“มึงเอารูปใครขึ้นหน้าจอวะ”
“ไม่รู้ดิ”
“เอ้า! แล้วมึงไปเอารูปเขามาได้ยังไง”
“ช่วงที่ไปช่วยงานพี่กูที่มอแล้วถ่ายติดมา” ป่าวหรอก ผมจงใจยกกล้องขึ้นถ่ายเลยต่างหาก
“แล้วมึงเอารูปเขามาขึ้นหน้าจอ เดี๋ยวเขาก็หาว่ามึงเป็นสต๊อกเกอร์หรอก”
“ไม่หรอก เขาไม่รู้จักกู และกูก็ไม่รู้จักเขา” ผมยักไหล่ไม่ใส่ใจ มันแน่อยู่แล้ว คนที่ไม่รู้จักกัน แถมเรียนก็คนละจังหวัดอีก ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเรียนที่ไหน แต่ดูแล้วเขาคงไม่ใช่เด็กถิ่นอีสานแถวนี้หรอก ผิวดีแถมยังสว่างเหมือนคนไม่เคยเจอแดดขนาดนั้น
“แล้วทำไมมึงเอารูปเขามาขึ้นหน้าจอวะ รูปอื่นมีเยอะแยะ”
“รูปสวยดี”
“รูปหรือคนในรูป”
“เสือก” ผมด่ากระแทกหน้าไปตรงๆ แต่เหมือนคนโดนด่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแถมยังยิ้มกริ่มทำหน้าตาล้อเลียนผมไม่หยุด จนผมต้องเขกหัวมันไปแรงๆ จนมันร้องโอ๊ยดังลั่น
“แค่นี้ก็ต้องลงไม้ลงมือกับเพื่อน ไอ้คนนิสัยไม่ดี” ผมง้างมือขึ้นเตรียมเขกหัวมันอีกรอบ พอเห็นท่าทางของผมแบบนั้น คนกวนตีนก็รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที
“อารมณ์ดีแล้วหรือไงมากวนตีนกูเนี่ย”
“แน่นอน กูติดแล้ว ที่เดียวกับมึงเลย พวกที่เหลือก็ด้วย”
“กูไม่ได้รักพวกมึงขนาดนั้น”
“กูจะถือว่าเป็นคำบอกรัก”
“เอาที่เพื่อนสบายใจ”
“ไม่เล่นกับกูเลย” ผมอดขำกับหน้าบูดๆของมันไม่ได้ จนเก็บเสียงไว้ไม่อยู่ “ขำเหี้ยไร กูติดแล้ว เลี้ยงกูเลย!”
“กูก็ติดป่าววะ”
“คนรวยหุบปากไป” ผมยักไหล่ เลิกเถียงกับมัน เห็นแบบนั้นมันเลยกดโทรศัพท์โทรหาพวกที่เหลือทันที “โหล มีคนเลี้ยงเหล้า”
รับน้องไม่ใช่เรื่องตลก...
สำหรับคนโดนละเลงสีเต็มตัวแบบผม แล้วไม่ใช่สีธรรมดาด้วยนะ สีทาบ้าน...
“น้องอยู่นิ่งๆดิวะ” ขนาดอยู่ไม่นิ่งหัวผมยังส้มได้ขนาดนี้ ถ้าอยู่นิ่งจะไม่กลายเป็นพระพุทธรูปเลยหรือวะ
“ละเลงขนาดนี้เกลียดผมตั้งแต่ชาติปางไหนเนี่ยพี่”
“เดี๋ยวมึงจำหน้าพวกกูไม่ได้”
“ผมจำฝังใจไปแล้วครับ” ผมพูดจบเสียงหัวเราะคลื่นก็ดังก้องทั่วอาณาบริเวณ จากที่คนในคณะสนใจอยู่แล้ว คราวนี้คณะข้างๆเลยได้หันมามองกันเป็นพรวน แต่สายตาของผมกลับไปสะดุดกับเสี้ยวหน้าใครบ้างคนที่ยืนหันข้างให้ผมอยู่ไกลๆ ผมโคตรคุ้น
ไม่คุ้นก็แย่แล้ว เปิดหน้าจอเห็นหน้าอยู่ทุกวัน
“ขนาดดุริยางค์ยังหันมามอง มึงภูมิใจได้เลยว่าวันนี้มึงหล่อมาก”
“ผมต้องขอบคุณพวกพี่ใช่มั้ยเนี่ย”
อืม ผมอาจจะต้องขอบคุณพวกพี่จริงๆ
รับน้องผ่านไปได้ด้วยดี สีที่หัวผมก็ยังอยู่ดีเช่นกัน ขนาดนี่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ ผมยังเอาออกไม่หมดเลย สมกับสโลแกน ‘สีทนได้’ ของเขาจริงๆ และตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย
อาจจะเพราะมหาลัยมันกว้าง
อาจจะเพราะเวลาของเรามันสวนกัน
อาจจะเพราะมนุษย์หลายพันในรั้วไม่กี่ไม่กี่ร้อยไร่มันคงเยอะเกินไปที่จะมองหากันเจอ
แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมยังโอเคดี ไม่ได้อยากตามหาใคร
แต่มันจะจริงน่ะหรอ...
ชีวิตมหาลัยของผมก็ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องดูแลตัวเองมากๆ เรื่องเรียนไม่ใช่ปัญหากับผมเท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้เรียนเยอะเหมือนตอนเรียนมัธยม แต่แค่เรียนยากกว่านิดหน่อย
อารมณ์เหมือนเราหัดขี่จักรยานนั้นแหละ ตอนเด็กเราขี่จักรยานคันเล็กมีล้อ 4 ล้อ เพราะยังทรงตัวเองไม่ได้ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนคันที่ใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังมี 4 ล้อ นั้นก็เพราะเรายังถูกมองว่าเป็นเด็กอยู่ แต่พอโตมาจนจักรยานคันใหญ่ขึ้นมากๆ ล้อ 2 ล้อที่เอาไว้เสริมช่วยพยุงเราในตอนแรกมันไม่สามารถใส่ได้แล้ว เราก็ต้องมาหัดจักรยาน 2 ล้อที่คันใหญ่กว่าเดิม ทรงตัวยากกว่าเดิม บางคันก็ไม่ใช่สำหรับเรา ไม่ชอบสีบ้าง ไม่ชอบเบาะบ้าง ไม่ชอบทรงจักรยานบ้าง กว่าจะหัดกว่าจะหาคันที่ขี่ถนัดอาจจะเสียเวลาไปมาก บางคนล้มแล้วขยาดกับการขี่มันไปเลยก็มี
เอาจริงๆผมว่าช่วงขี่จักรยาน 4 ล้อมันอันตรายกว่าจักรยาน 2 ล้ออีก ถ้าขี่ไม่ระวังก็มีสิทธิล้มได้มากกว่า ที่น่ากลัวกว่าแผลที่ได้จากจักรยานล้มก็คงเป็นสายตากับคำกล่าวว่าของคนที่ไม่รู้จักเวลามองมานั้นแหละ
“ใส่เสื้อสีอะไรครับ” ผมถามลักษณะของคนปลายสายเพื่อจะได้หาได้ง่ายๆ เนื่องด้วยวันนี้ที่คณะผมจัดงานตลาดคณะ คนจึงค่อนข้างเยอะกว่าปกติมาก และด้วยความซุ่มซ่ามของผมไม่รู้ว่าไปทำโทรศัพท์ตกหายไปตอนไหน โชคดีที่พอผมยืมของเพื่อนโทรหาก็มีคนรับ และเขาก็บอกว่ากำลังจะเอาโทรศัพท์ของผมไปให้ประชาสัมพันธ์พอดี
“เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์ดำครับ แล้วคุณล่ะ”
“ผมเสื้อเทา กางเกงยีนส์ดำครับ” ผมตอบกลับพร้อมกวาดสายตามองหาคนที่มีลักษณะเหมือนที่ปลายสายบอก แต่ชะเง้อมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นคนใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีดำเลยสักคน
จนเมื่อมีแรงสัมผัสเบาๆสะกิดลงที่ไหล่ขวาผม และเหมือนเป็นปฎิกิริยาร่างกายมันตอบกลับอัตโนมัติไปเอง โดยการหันหลังกลับทันที แต่แล้วพอสายตาผมโฟกัสภาพตรงหน้าได้ว่าเป็นใครร่างกายกลับหยุดนิ่งแข็งค้างเหมือนถูกจับสตาฟ คนตรงหน้ายกโทรศัพท์ออกจากหู หันหน้าจอมาทางผมเหมือนกำลังจะถามว่าใช่ของผมรึป่าว
“เก็บดีๆล่ะ ระวังหายอีก” เหมือนหัวผมจะพยักตอบรับไปโดยที่สมองยังไม่ได้สั่งการ คนตรงหน้าเลยยื่นสมาร์ทโฟนสีดำสนิทมาให้ผม
“ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์เจ้าปัญหา ภาวนาให้เจ้าตัวไม่เห็นรูปหน้าจอโทรศัพท์ผม แต่แล้วความหวังนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่ออีกคนเอ่ยประโยคถัดมา
“รูปหน้าจอสวยดีนะครับ ผมขอได้ไหม”
พี่คนนั้น : ) : ช่วงนี้เราว่างมั้ย
ผมเลิกคิ้วให้กับข้อความที่แปลกกว่าทุกวันของใครอีกคน แต่ก่อนที่ผมจะประมวลผลข้อความที่ถูกส่งมาเสร็จมือผมก็ดันกดส่งข้อความไปเสียแล้ว
น้องคนนั้น : ) : ว่างอยู่ครับ
ไม่หรอก จะว่างได้ยังไงพึ่งได้โปรเจคมาหยกๆ ใบรายละเอียดยังคามืออยู่เลย แต่ทำไมผมตอบไปแบบนั้นก็ไม่รู้ มือมันไปไวกว่าความคิดเสียอีก
พี่คนนั้น : ) : พอดีพี่มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง” ผมยักไหล่ใส่คนถาม มือก็กดตอบกลับคนในแชทไปด้วย “ชอบพี่เขาแล้วก็บอก คนในรูปน่ะ”
“ไม่เสือกนะ” ผมตอบพร้อมทำหน้านิ่งเป็นการกวนตีนมันในที
“ชอบก็จีบไอ้สัด ชักช้าระวังหมาคาบไปแดกล่ะ” ผมหยิบหนังสือเรียนบนโต๊ะเคาะหัวมันไปที ข้อหาปากหมาเกินความจำเป็น
“โหย กำลังหิวเลย” ถุงขนมผมถูกดึงจากมือไปค้นหาของกินทันทีที่ผมยื่นไปตรงหน้า แต่สายตาผมไม่ได้สนใจที่จุดนั้น กลับเป็นใครอีกคนที่ตอนนี้หายตัวไปไหนไม่รู้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกลายเป็นพนักงงานส่งข้าวส่งน้ำให้นักดนตรีคณะดุริยางค์ อาจจะตั้งแต่ที่พี่เขาขอให้ผมช่วยเรื่องถ่ายรูปโปรโมทวง อาจจะตั้งแต่ที่ผมเลือกที่จะเอาเรื่องราวของพวกเขามาทำโปรเจคไฟนอล และยิ่งรู้จักพวกพี่เขาผมก็ยิ่งอยากถ่ายทอดให้คนภายนอกได้รู้ ว่ากว่าจะเป็นการแสดงหนึ่งเพลง พวกพี่เขาต้องร้องและเล่นมันซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยๆครั้ง อยากให้ผู้คนได้เข้าใจว่า รอยยิ้มของคนฟังคือรอยยิ้มของนักดนตรีมันเป็นแบบไหน อยากให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นเหมือนที่ผมได้รับรู้
“มันนอนอยู่หลังโซฟานั้นน่ะ” ผมพยักหน้าให้กับพวกรุ่นพี่และมองตามสายตาพี่เขาไปยังโซฟาหนังตัวยาวสีน้ำตาลเข้ม ที่ถูกว่างให้หันหลังให้เครื่องดนตรีในห้องแต่หันหน้าเข้าหน้าต่างบานใหญ่แทน เดินอ้อมไปยืนด้านหน้าโซฟา พยายามลงเท้าให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากรบกวนคนนอนหลับ ช่วงนี้เห็นซ้อมหนักกันน่าดู
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาโฟกัสคนบนโซฟา กดนิ้วลงชัตเตอร์ช้าๆ ไม่ว่าคนนี้จะทำอะไร มันก็ดูน่ามองน่าเก็บไว้ไปเสียหมด จนตอนนี้คอมผมอาจจะแรมเต็มเพราะรูปพี่เขาแน่ๆ
จากทีแรกมีแค่หนึ่งตอนนี้ผมคงมีไม่ต่ำกว่าห้าร้อย แต่เสียงชัตเตอร์มันคงจะดังเกินไปจนทำให้ที่กำลังหลับอยู่ลืมตาตื่น
“ขอโทษที่ปลุกครับ” ผมก้มหัวสำนึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้อีกคนตื่น ทิ้งตัวลงนั่งพื้นตรงหน้าพี่เขา
“ไม่เป็นไรๆ เรามานานหรือยัง” เงยหน้ามองอีกคนที่กำลังดันตัวลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตาตัวเองไปด้วยแต่อีกมือก็ยื่นมายีหัวผมเบาๆคล้ายการบอกว่าไม่ถือสาอะไร
“เพิ่งมาเมื่อกี้ครับ” ผมตอบพลางยกมือขึ้นไปปาดหยดน้ำสีใสที่ค้างอยู่ตรงหางตาพี่เบาๆ กว่าจะรู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองมันแปลกก็ตอนที่เห็นพี่ชะงักไป ผมจึงรีบชักมือกลับทันที แต่มันคงจะเปลี่ยนบรรยากาศแปลกๆรอบตัวไม่ทันเสียแล้ว “ขอโทษครับ” ผมบอกออกไปหวังให้บรรยากาศมันดีขึ้น พี่ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ มันไม่ได้อึดอัด แต่มันให้ความรู้สึกเก่อๆพิกล
“กลับไปนอนก่อนไปมึง” เสียงหนึ่งของเพื่อนพี่เขาดังแทรกขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆของพวกเราลงก่อนที่มันจะกลายเป็นความเงียบชวนอึดอัด พี่เลยหันไปมองเพื่อนด้านหลังทั้งที่ท่าทางยังดูงัวเงียอยู่ คิ้วเรียวเข้มขมวดปมขึ้นนิดๆ
“ซ้อมอีกรอบก่อน”
“พักเสียงบ้างเถอะ เดี๋ยวก็ได้พังก่อนแข่งแล้วจะแย่เอา”
“แต่กู...”
“พักหน่อยเถอะครับ ตอนกลางวันเสียงพี่แหบลงนะ” อาจจะดูเป็นการเสียมารยาทไปหน่อยก็เถอะที่ผมพูดแทรกทั้งที่อีกคนมีอายุมากกว่า แต่จะให้ผมทำยังไงได้ คำว่าน่าเป็นห่วง มันก็ลอยฟุ้งเต็มหัวผมไปหมดจนต้องพูดบอกให้อีกคนพักบ้าง ถึงผมจะชอบเวลาที่พี่ร้องเพลง แต่ถ้าถึงวันจริงแล้วร้องไม่ได้ตามที่ตั้งใจมันคงแย่น่าดู และสิ่งที่ผมบอกไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหก เสียงพี่เขาแหบกว่าทุกวัน น่าจะเกิดจากการใช้เสียงติดกันนานหลายวันและวันละหลายชั่วโมง ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ
“อื้อ” คำตอบรับเสียงอู้อี้แทบฟังไม่ได้ยินทำให้ผมยิ้มออก แต่ก่อนที่คนตรงหน้าผมจะได้ลุกจากโซฟาตัวยาวเสียงเพื่อนพี่เขาก็ดังแทรกเรียกให้เจ้าตัวหันควับจนน่ากลัวว่าคอจะเคล็ดเอาได้อยู่ไม่น้อย
“พรุ่งนี้ไม่ซ้อมนะเว้ย วันนี้จะไปแดกเหล้า”
“ไปด้วย”
“มึงควรไปพัก”
“พวกมึงจะทิ้งกูเหรอ”
“พวกกูเป็นห่วงมึงต่างหาก” แค่ปากที่ยืนออกมานิดๆก็พอรู้แล้วว่าไม่พอใจที่เพื่อนจะหนีไปเที่ยวโดยไม่ให้ตัวเองไปด้วย
ไม่รู้ว่าจะขำหรือจะสงสารดี พวกเพื่อนๆพี่เขาชอบบ่นให้ผมฟังว่าพี่เขามีฮอร์โมนแปลกๆ เอาไว้ดึงดูดเพศเดียวกัน ขนาดบางทีพาแฟน(เก่า)ไปด้วยยังกันไม่ให้ผู้ชายเข้ามาทักไม่ได้เลย
“ถ้ามึงเมาใครจะแบกมึงกลับ วันนี้กูไม่ให้มึงค้างห้องกูแน่ๆ”
“เออพวกกูด้วย”
“พวกเหี้ย” ปากบางขมุมขมิบออกมาเบาๆแต่คนที่อยู่หากันไม่ถึงครึ่งเมตรอย่างผมได้ยินชัดจนอดขำไม่ได้ จนเจ้าตัวหันกลับมามองผมเขม็ง แต่ตาเรียวใสๆนั้นมันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ผมเลยลุกขึ้นยืนเพื่อหนีสายตานั้นแทน ไม่อย่างนั้นคงได้ขำออกมาจริงจังจนโดนโกรธแน่ๆ
“ผมไปด้วยได้มั้ยครับ ถ้าพี่เมาเดี๋ยวผมพากลับเอง พวกพี่จะได้ไม่โดนงอนด้วยไง” ผมเสนอความคิดเพราะยังไง หลังๆมานี่พี่ก็ไปค้างห้องผมบ่อยอยู่แล้ว
“ใครงอน”
“เอ่อ.. ผมหมายถึงโกรธน่ะครับ” ผมแก้คำถูกให้คนฟังสบายใจ “หรือพี่จะกลับล่ะครับ”
“ไม่ดิ” อดอมยิ้มกับคำตอบที่ตอบเร็วจนผมไม่ต้องลุ้นแทบไม่อยู่
“งั้นเก็บของเลย กูขี้เกียจซ้อมล่ะ” จบประโยคนั้นทุกคนก็พร้อมว่างเครื่องดนตรีที่ถืออยู่อย่างไว เก็บเร็วกว่าตอนเอาออกมาตั้งซ้อมเสียอีก
จริงอย่างที่พวกเพื่อนๆพี่เขาบอก หลังจากมาหย่อนตัวลงนั่งในร้านได้ไม่ถึง 15 นาที ค็อกเทลแก้วแรกจากใครสักคนก็ถูกบริกรยกมาเสิร์ฟ หลังจากนั้นก็มีตามมาอีกเรื่อยๆจนผมที่เป็นแค่คนร่วมวงยังรู้สึกรำคาญแปลกๆ บางคนก็ถึงกับเดินเข้ามาทักเอง จนเพื่อนพี่เขาขอแลกที่กับผม โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้กูปกป้องมึงไม่ได้นะครับ เดี๋ยวคะแนนลด ตกเหยื่อไม่ได้” ทีแลกผมก็ไม่เข้าใจความหมายหรอก แต่ยิ่งนั่งนานผมก็เริ่มเข้าใจด้วยตัวเองมากขึ้น
“ขอโทษนะครับ ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ ”
“พอดีที่เต็มแล้วน่ะครับ” คนที่ตอบกลับไม่ใช่พี่ แต่เป็นเพื่อนของพี่ที่นั่งอยู่โซฟาข้างๆ
“ผมนั่งตรงนี้ก็ได้ครับ” คนมาใหม่ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งที่วางแขนโซฟาข้างพี่ จนเจ้าตัวผงะขยับมาเบียดผม “ขอรบกวนหน่อยนะครับ” เขาหันมาส่งยิ้มให้พี่ที่กำลังขมวดคิ้วมองอยู่เช่นกัน คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเล็กๆพอให้ผมเดาออกว่าเจ้าตัวเองก็คงจะไม่ได้ชอบที่ถูกรุกหนักแบบนี้เหมือนกัน ถึงสีหน้าจะไม่ได้แสดงออกมาก อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อีกคนดื่มไป ที่ทำให้พี่เงียบและหน้านิ่งกว่าปกติมาก แต่นั้นก็ยังดึงดูดเพศเดียวกันได้อยู่ดี
“ใส่เสื้อหน่อยมั้ยครับ” ผมก้มถามคนข้างๆพอให้ได้ยินกันสองคน ในขณะที่คนมาใหม่เริ่มชวนคนทั้งวงคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อย แต่สายตาที่หันมามองพี่กลับจ้องลึกลงตรงแผงที่กำลังขึ้นสีชมพูจางๆ เพราะเจ้าตัวดันเป็นคนขี้ร้องที่ไม่เข้ากับสีผิวขาวจัดของตัวเองเอาเสียเลย พอเข้ามาในร้านและหาที่นั่งได้เลยถอดเสื้อไหมพรมตัวโคร่งที่ใส่ทับเสื้อกล้ามคอกว้างแขนกว้างด้านในออก
“ร้อน” คนเริ่มเมาส่ายหัวปฏิเสธพลางขยับตัวเบียดผมเข้ามาอีก ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับรู้ “เบียด”
“หื้ม” ผมเลิกคิ้วก้มมองคนข้างๆอีกรอบ ก็เห็นปากสีระเรื่อยื่นออกมานิดๆ คนข้างๆผมกำลังไม่พอใจ? เห็นแบบนั้นผมเลยยืดตัวนั่งหลังตรงทำให้เห็นว่าคนที่นั่งแขนโซฟาอยู่ทีแรก ตอนนี้กำลังใช้แขนพาดพนักพิงแล้วเอียงตัวมาทางพี่จนแทบจะเรียกว่าสิงร่าง
ผมไม่รู้ว่าความหงุดหงิดมันเริ่มตั้งแต่คนที่เท่าไหร่ แต่คนนี้คงเป็นคนสุดท้ายที่ดึงฟิวส์ผมขาด
หึ เดี๋ยวรู้เลยว่าสิงร่างจริงๆเป็นยังไง “พี่ ผมขอโทษนะครับ” ผมก้มลงบอกคนข้างๆก่อนที่จะใช้แขนข้างหนึ่งสอดใต้ข้อพับขาส่วนอีกข้างก็โอบช่วงเอวพี่เอาไว้ แล้วออกแรงรั้งให้อีกคนลอยมานั่งระหว่างขาผมแทน ความง่วงที่สะสมมาบวกกับแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปทำให้คนโตกว่าคงประมวลผลไม่ทันจึงทำได้แค่นั่งนิ่ง ผิดกับคนมาใหม่พี่พยายามเบียดพี่จนตอนนี้หล่นลงมานั่งเบาะโซฟาแทนคนตัวขาว สายเอาเรื่องถูกตวัดมามองผมทันที
แต่ใครสนล่ะ
ผมวางคางเกยไหล่คนด้านหน้า เอียงหน้าจ้องเขม็งอีกคนไม่ต่างกัน สงครามเย็นถูกสร้างขึ้นนานนับสิบนาทีจนคนมาใหม่ลุกเดินกลับไปโต๊ะเดิมของตัวเองโดยไม่พูดอะไร พอเห็นแบบนั้นผมเลยยืดตัวขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างของผมกับพี่ขึ้นมาหน่อย เพราะรู้สึกปวดๆที่อกข้างซ้ายขึ้นมาตุบๆ ไม่รู้ว่าจะเต้นอะไรนักหนา เต้นขนาดนี้ผมว่าพี่คงได้ยินแน่ๆ
แต่เหมือนคนด้านหน้าจะไม่ให้ความร่วมมือกับผมเอาเสียเลย เพราะทันทีที่ผมยืดตัวขึ้นพี่เขาก็ทิ้งตัวพิงผมลงมาประหนึ่งผมเป็นเบาะโซฟาส่วนตัว แผ่นหลังเย็นๆแนบกับแผงอกของผมจนหาช่องว่างไม่เจอ
“หูย...” เสียงโห่แซวดังขึ้นรอบโต๊ะ แต่จุดโฟกัสของผมมันดันมีแค่คนตรงหน้า ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองเหมือคนบ้าพลางก้มกระซิบกับคนโตกว่าให้พอได้ยินกันสองคน
ตอนนี้ผมได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วว่า ไม่ว่าจะลองพยายามยังไง
“พี่ครับ"
ผมไม่สามารถทนดูพี่อยู่กับคนอื่นได้
"หื้ม"
และควรถึงเวลาที่ผมจะทำอะไรให้มันชัดเจนเสียที
"ผมจีบพี่นะ"
- END -