ตอนที่ 15 : หวาน = ว่าน “อะไร”
ผมใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเสียงของตฤน สายตาที่มองตรงไปยังรถที่จอดอยู่เต็มไปด้วยความสงสัย ตฤนหยิบถุงที่แขวนไว้กับกระจกมองข้างออกมาเปิดดู หัวใจของผมเหมือนคนกำลังวิ่งร้อยเมตรมันเต้นแรงจนกลัวว่าจะทะลุออกมาจากอก
“เสื้อยืด?” ตฤนขมวดคิ้ว มือคลี่เสื้อยืดสีขาวออกดู ด้านหน้าเป็นรูปวาดสีน้ำลาย dreamcatcher ตาข่ายสีน้ำตาลกับขนนกสีฟ้าอ่อนพลิ้วไหว แบบเดียวกับที่ผมให้ตฤนในนามของหวาน
ใส่นอนก็ยังดีนะ อย่าทิ้งเลย...ว่าน ตฤนอ่านข้อความในการ์ดแผ่นเล็ก ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองหน้าผม
“ของผมเอง” ผมสบตากับตฤนด้วยใจเต้นระทึก ลุ้นจนตัวโก่งเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าตฤนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าผู้ชายฉลาดอย่างตฤนเห็นแค่นี้ต้องรู้แน่ว่าผมกับหวานคือคนคนเดียวกัน
“ฉันไม่ได้สอบตกภาษาไทย อ่านออก”
“แล้วว่าไง?” ผมรอว่าตฤนจะพูดอะไรต่อไป
“นึกยังไงถึงเลียนแบบหวานเอาของมาแขวนไว้แบบนี้ แต่ก็ขอบคุณนะสวยดี”
ผมอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ เดี๋ยว~นั่นลายมือเดียวกัน ดูสิดู
“ขึ้นรถสิจะยืนเอ๋อยู่ทำไม” ตฤนเปิดประตูรถฝั่งคนขับออก ก่อนขึ้นนั่งยังมีแก่ใจหันมาบอกผมที่ยืนทำหน้าซื่อบื้ออยู่
“เดี๋ยวตฤน!” ไม่ทันแล้วครับ ประตูปิดใส่หน้าผมเรียบร้อย ผมจึงต้องรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ ปิดประตูได้ก็หันไปจ้องหน้าตฤนทันที
“คุยกันก่อน”
“เอาไว้ก่อนเดี๋ยวกไปซื้อของไม่ทัน ป่านนี้พวกนั้นขับออกไปแล้วมั้ง” ใช่แล้วครับ หลังจากตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่บ้านพี่ซิน ผม ตฤน รามและปอนเป็นหน่วยซื้อวัตถุดิบ ในขณะที่พี่ซินกับกล้ากลับไปเตรียมสถานที่ รามพยายามขอไปด้วยแต่งานนี้พี่ซินใจแข็งมาก ซึ่งผมรู้ว่าเพราะอะไร ใครจะปล่อยหลักฐานไว้เต็มบ้านครับ
“แป๊บเดียว”
“ยุ่งจริง มีอะไรก็ว่ามา” ตฤนถอนใจเบาๆ ละมือจากพวงมาลัยหันหน้ามามองผม
“ตฤนรู้” ผมชี้หน้าอีกฝ่ายตาโต เพราะแว่บหนึ่งผมเห็นดวงตาของตฤนเป็นประกาย
“อะไร” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยกขึ้นที่มุมปาก
“รู้” ผมยังยืนยันคำเดิม
“นายคิดว่าฉันรู้อะไร” ดวงตาที่มองมาวาววับขนาดนั้นยังแกล้งมาถามผมอีก
“รู้ว่าผมกับหวานคือคนเดียวกัน”
“หึๆ”
“จำลายมือกับรูปdreamcatcher ได้ใช่ไหม ผมว่าแล้วว่าฉลาดอย่างตฤนต้องรู้ ว่าแต่ไม่โกรธเหรอ ไม่แปลกใจเลยเหรอ”
“ฉันอยากรู้มากกว่าว่าทำไมนายถึงสารภาพ”
“เพราะผมไม่อยากให้ตฤนเข้าใจผิดอีกต่อไป” ผมตอบอย่างฉะฉาน ถ้าผมคิดจะเริ่มเดินหน้าเข้าหาตฤน ผมต้องเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ความสัมพันธ์ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการโกหก มันควรมาจากความจริงใจ ผมจึงเลือกที่จะสารภาพออกไปตรงๆ และพร้อมจะยอมรับผลของมัน ถ้าตฤนจะโกรธผมก็ไม่เป็นไร
“ทำไมถึงปลอมเป็นหวาน”
“ผมไมได้ปลอมนะ” ผมเถียงตาโต “ตฤนอ่านชื่อผมผิดเอง” อันไหนผมไมได้ทำผมก็ไม่ยอมถูกกล่าวหาหรอกครับ ถ้าเราไม่ปกป้องตัวเองใครจะปกป้อง ข้อนี้ตฤนต่างหากที่ผิดเต็มๆ ผมควรจะงอนด้วยซำ
“แล้วใครให้เขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ฉันเป็นผู้ชาย มาแนวห่วงใยแบบนั้นใครก็ต้องคิดว่าเป็นชื่อของผู้หญิง”
“มันก็ถูก” ผมพูดเสียงอ่อย เรื่องนี้ต้องโทษความกระแดะของผมส่วนหนึ่ง
“แล้วนายก็มีความผิดอยู่ดีเพราะหลังจากนั้นนายก็ยังไม่พูดอะไร”
“ก็ผมไม่อยากให้ตฤนหน้าแตก ตฤนเข้าใจว่าผมชื่อหวานเป็นผู้หญิง ดูมั่นใจมากด้วย ถ้าผมบอกว่าไม่ใช่ ผมเป็นผู้ชายชื่อว่านตฤนจะรู้สึกยังไง ผมคิดดีแล้วว่าไหนๆ เราก็ไม่ได้สนิทสนมกัน ผมเป็นแค่แฟนคลับห่างๆ คนหนึ่ง ปล่อยไว้แบบนั้นน่าจะดีกว่า คิดเสียว่ามีแฟนคลับเพิ่มสองคน”
“งั้นพอสนิทกันแล้วทำไมนายถึงไม่บอกฉัน” ตฤนยังซักถามผมต่อไป
“ก็ผมอยากให้ตฤนมีคนที่ทำให้ยิ้มได้”
“หือ?”
“ผมเคยคิดจะทำให้หวานหายไปตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มสนิทกัน แต่เพราะตฤนบอกว่าหวานเป็นคนที่ทำให้ตฤนยิ้มได้ ผมถึงไม่กล้าปล่อยหวานไป อย่างน้อยถ้าการมีอยู่ของหวานทำให้ตฤนมีความสุข ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ถึงหวานจะได้คะแนนของผมไปก็เถอะผมยอม” ผมพูดติดตลกทิ้งท้าย พยายามยิ้มกว้างๆ เผื่อมันจะทำให้ตฤนโกรธผมน้อยลง
สายตาที่ตฤนมองผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่อย่างน้อยผมก็พออุ่นใจได้ว่ามันไม่มีความโกรธหรือไม่พอใจอยู่ในนั้น
“แล้วทำไมวันนี้ถึงมาบอก”
“ผมบอกได้แค่ว่าผมไม่อยากให้ตฤนเข้าใจผิดอีกแล้วแต่เพราะอะไรขออุบไว้ก่อน”
“หึ”
“ไม่โกรธผมใช่ไหม อย่าโกรธเลยนะ ผมเจตนาดีจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงเลย”
“อืม” ตฤนรับคำในลำคอ หันกลับไปมองด้านหน้า เข้าเกียร์เตรียมเคลื่อนรถออกจากลานจอด สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
“โกรธเหรอ” ผมชะโงกตัวเข้าไปหา ใช้เสียงอ้อนเต็มที่ ตฤนหันกลับมามองสายตาจึงสบเข้ากับแววตางอนง้อของผม
“....”
“ตฤนคร้าบ
ใบหน้าของตฤนขึ้นสีแดงนิดๆ เจ้าตัวรีบหันหน้ากลับ ผมเลยยิ้มออกมาได้ คุณหมีขี้อายของผมกลับมาแล้ว
“ตฤนใจดีผมรู้ ไม่โกรธหรอก” เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดผมเลยใช้ไม้ตาย นั่นคือการโมเมเข้าข้างตัวเอง
“ใช่ฉันไม่โกรธ”
“เยสสส” ผมชูกำลังขึ้น รอดตายแล้ว นี่ยังกลัวว่าจะทำงานพี่ซินกร่อย แต่ผมไม่อยากรอเวลาอีกต่อไป จึงอาศัยจังหวะช่วงคนเริ่มซาวิ่งเอาถุงเสื้อมาแขวนไว้ที่รถของตฤน
“แต่ที่ฉันไม่โกรธ....” ตฤนทิ้งระยะคำพูด ดวงตาส่องประกายวาววับ ดูเจ้าเล่ห์จนผมหวั่นใจ “เพราะฉันรู้มานานแล้ว”
รอยยิ้มของผมค้าง ปากเผยออ้าออกน้อยๆ ดวงตาเบิกโพลง สายตาของตฤนที่มองมาร้ายกาจ ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์แบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่า “กระต่ายเอ๋อเอ๊ย เอ๋อขนาดนี้คิดว่าไม่มีใครจับได้เหรอ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก “ตฤนรู้นานแล้วเหรอ” เสียงที่ถามออกไปเจื่อนสนิท
“ใช่”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“วันงานเดินแบบ”
“หา!” ผมตาเหลือก “นั่น! นั่นมันนานมากแล้วนะ”
“ใช่ แต่ฉันเพิ่งมั่นใจไม่นานมานี้
“ตอนไหนอีก” ผมโอดครวญ แทบจะตีกอกชกหัวตัวเอง
“ตอนที่ฉันบอกนายว่าหวานหายไป”
ผมอ้าปากพะงาบๆ “นี่..นี่..ตฤนวางกับดักล่อผมเหรอ”
“หึๆ”
“โอ๊ย ทำไมเป็นคนร้ายกาจแบบนี้”
“แล้วทำไมนายถึงเป็นคนซื่อบื้อแบบนี้ ฉันนึกว่าจะจับยากจับเย็นที่ไหนได้เขียนมันหน้ากระโปรงรถ ไม่คิดจะหลบเลยใช่ไหม”
“ก็ผมเห็นตฤนเพิ่งเดินเข้าไป อีกอย่างมันไม่มีตรงไหนสะดวกเลยนี่” ผมแก้ตัวเสียงอ่อยหลังจากอึ้งไปพักใหญ่
“ฮ่าๆ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ของนั่นผมตั้งใจซื้อมาให้ตฤนกะจะให้เองกับมือ แต่พอตฤนบอกว่าคิดถึงหวาน ผมอุตส่าห์เสียสละความดีความชอบยกให้คนไม่มีตัวตนไปเพราะอยากให้ตฤนยิ้มได้ แล้วดูนะ มาวางกับดักผม” ผมหน้าเป็นตูดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของตฤน แถมหน้านิ่งๆ ที่เคยเห็นประจำก็เอาแต่ยิ้มร้ายกาจ
“โมโหทำไม นายอยากปิดฉันเอง”
“ใช่ผมไม่ยอมบอกตฤน แต่ผมทำไปก็เพราะความเป็นห่วง”
“เข้าใจแล้ว” น้ำเสียงและดวงตาของตฤนอ่อนลง “ที่นายทำไปมันไม่เสียเปล่าหรอก ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” ผมเลิกหน้ามุ่ยเปลี่ยนมายิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหู ดีใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ฉันเคยพูดแล้วใช่ไหมว่าฉันอิจฉานาย ที่รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาอย่างนั้น”
“ก็ตฤนเป็นนายแบบ คนสนใจเยอะ โซเชียลเดี๋ยวนี้น่ากลัวระวังไว้ก็ดีแล้ว”
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“เอ๋?” คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน “แล้วตฤนหมายถึงเรื่องไหน”
ตฤนยกยิ้มบางมุมปาก ดวงตาสีดำเข้มลุ่มลึก “กับบางคนถึงอยากพูดออกไปตรงๆ แต่พอคิดว่าถ้าบุ่มบ่ามมีโอกาสว่าจะเสียเขาไปฉันก็ไม่กล้า บางคนก็มีความหมายกับเรามากเกินไป”
“คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่น่าอิจฉามากแน่” ผมส่งยิ้มให้กำลังใจตฤน
“หายโมโหหรือยัง” ตฤนเปลี่ยนเรื่อง ผมว่าตฤนคงไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองมากเกินไป
“นิดนึง”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าถึงจะรู้ว่าหวานกับว่านคือคนเดียวกัน แต่เรื่องที่หวานทำให้ฉันยิ้มได้ฉันพูดจริง นายจะหายโมโหไหม” ผมตะลึงจนลืมตอบ ได้แต่จ้องมองใบหน้าของตฤน
“รู้ไว้เถอะฉันยิ้มได้เพราะนาย” ตฤนยื่นมือมาวางบนศีรษะของผม ขยี้มือเบาๆ ก่อนปล่อย เมื่อรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าผมถึงหายตะลึง ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“ตฤนพูดจริงใช่ไหม”
“หึๆ” ตฤนไม่ตอบคำถามผม แต่สายตาที่เหลือบมองมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเอ็นดู ผมยิ้มกว้างจนตาหยี ไม่ซักถามอะไรต่อไป
สำหรับผมการคาดเดาความคิดของคนอื่นเป็นเรื่องยาก แต่การเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเป็นเรื่องง่าย ดังนั้นผมจะไม่เสียเวลามานั่งคิดว่าตฤนรู้สึกอย่างไรกับผมกันแน่ แค่ทำในส่วนของตัวเองให้เต็มที่ก็พอ แสดงความรู้สึกชอบที่มีอยู่ในใจออกไป สมหวังหรือผิดหวังถึงตอนนั้นตฤนจะให้คำตอบผมเอง
“คิดอะไรอยู่”
“หือ?” ผมหันไปมองตฤน เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบตามามอง
“เอาแต่นั่งยิ้มไม่พูดไม่จา”
“ผมกำลังคิดว่าวันนี้มันดีจริงๆ”
“หึๆ”
“หัวเราะขำผมอีกแล้ว” ผมย่นจมูก ชอบหัวเราะขำผมทุกที
“เปล่า ฉันหัวเราะเพราะวันนี้มันดีจริงๆ อย่างที่นายพูดจริง”
“ตฤน”
“อะไร”
“ผมหล่อเนอะ”
“ไปส่องกระจกใหม่ไป๊”
“ฮ่าๆ ก็นึกว่าวันนี้จะเบลอๆ เห็นด้วยกับผมทุกเรื่อง”
“กระต่ายเอ๋อเอ๊ย” ตฤนหัวเราะออกมาเบาๆ ผมมองรอยยิ้มของตฤนด้วยความสุขใจ อย่างน้อยรอยยิ้มนี่ก็เป็นของผม ขอบคุณนะคุณหมีหน้าบึ้งที่ยอมให้กระต่ายเอ๋ออย่างผมวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin