Why am I strolling alone in the middle of the night?
ทำไมตัวฉันถึงยังเดินอยู่เพียงลำพังในราตรีนี้
Maybe all I want is a cold, a cold night air
บางที....ฉันแค่ต้องการอากาศเย็น อากาศเย็นของค่ำคืน
Every dreams that we drew fall from the sky
ทุกความฝันที่เราวาดไว้ ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
Oh no, I need a call
โอ้...ไม่นะ ฉันอยากโทรหาคุณ
(The fin.- Night Time)
(ในเวลาปัจจุบัน)
22.00 น.
“ถ้าแค่เอามือไล้ขอบเเก้ว เหล้ามันก็ไม่ลดหรอกเพื่อน” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นในวง
“สัส” เจ้าตัวตอกกลับด้วยคำสั้นๆ แต่กวน
“อ้าว ไอ้ฟง กวนตีนนะครับ”
“หุบปากไปเลยมึง” แก้วเหล้าถูกไล้ขอบก็ประทับเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะยกกระดกรวดเดียว
ไม่ทันเพื่อนจะดึงมือเอาไว้ ชายหนุ่มก็ยกแก้วกระดกพรวดๆ ไม่เกรงใจใดใดทั้งสิ้น
“มึงๆ พอก่อน แดกเพียวไปสามสี่รอบแล้วนะเว้ย”
“ไอ้อิลพูดถูก อย่าทำแบบเมื่อกี้อีกร่างมึงจะพังเอา”
“ไอ้อิล ไอ้ภีม ไอ้ขิง พวกมึงเป็นพ่อกูเหรอ”
“เอ้อ” แล้วคนทั้งสามก็ตบเข้าที่หัวเพื่อนรักที่ตกเป็นจำเลยโดยมิได้นัดหมาย
“เชี้ย ตบมาได้ เหล้าแม่งจะพุ่งเอา”
เมื่อฟงสบถใส่เพื่อนจบ เจ้าตัวก็หันหนีไปมองบรรยากาศภายนอกร้าน
ฝนที่อึมครึมมาตั้งแต่สองทุ่มก็เทลงมาเสียจนมันมืดมิดไปทั้งแถบถนน
แต่แปลกกว่าก็คนภายในร้านนี่แหละที่ยังคึกคักเฮฮากันอยู่
ผู้คนดูจะไม่ยินดียินร้ายกับบรรยากาศภายนอกแม้แต่นิด
โต๊ะที่ฟงและเพื่อนๆ นั่งชิลก็ยังดำเนินไปเรื่อยๆ
แก้วเปล่าแก้วเดิมกลับมาในมือเขาอีกครั้งพร้อมกับเครื่องดื่มสีอำพัน
เพื่อนก็เตือนๆ ไปแบบนั้นแหละ เพราะรู้ทั้งรู้ว่าฟงเองน่ะคอแข็ง
ช่วงปีหนึ่งปลายเทอมกับการกินเหล้าสังสรรค์ครั้งแรกก็ถูกพี่โตสุดในสายรหัสชวนกินเพียวหมดกลมกันสองคน
ตื่นมาก็ดีดไปเรียนเช้า แต่ให้ตายเถอะกลับมาแทบปางตาย
นอนทุรนทุรายอยู่สองวันถึงได้กลับมาปกติสดใส พอตอนนี้ปีสามก็เลยเซียนเหล้าอย่างที่เห็น
“ไหนบอกวันนี้วงมันส์” ภีมทำหน้าเป็นหมามู่ทู่
“โทษทีว่ะ ผิดแผนวันนี้รุ่นน้องดุริยางค์ขึ้นร้อง” อิลตอบ
“เอ้อ ช่างมัน ว่าจะมาส่องน้องกีตาร์คนงามซะหน่อย”
“เดี๋ยวๆ น้องเมที่มึงชมเนี้ยเมฆาทายาทค่ายมวยนะเว้ย”
“ชอบความติสส์”
“โรคจิตว่ะเพื่อนกู”
เห็นเพื่อนนั่งเงียบ หนุ่มภีมจึงแซวเล่น “ใครจะไปชีวิตเอื่อยเป็นหนุ่มหมัดเมาแบบไอ้ฟงได้”
“สัส กูนั่งเงียบๆ ” ฟงหันขวับเมื่อถูกเปรยขึ้น
“กลัวเพื่อนเหงาเลยขอแซวหน่อย”
“พอเลยไอ้ภีม เลิกกวนมัน ” ขิงที่นั่งเงียบอยู่นานก็ป๊าบที่หัวเพื่อนรักเบาๆ
“พี่ฟงฮะ ชนแก้วกับภีมที”
“ปัญญาอ่อน” ฟงตอบสั้นๆ
“แต่กูเพื่อนมึง” หนุ่มภีมขยิบตาให้พร้อมกับมินิฮาร์ทชวนสยิว
“ชิ” ปฏิเสธไม่ได้จริง เขาขำให้กับความปัญญาอ่อนของเพื่อนตัวเองจริงๆ
ฟงรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาทันทีหลังจากแก้วในมือว่างเปล่านับครั้งไม่ถ้วน
ชายหนุ่มชะเง้อมองส่วนท้ายของร้านพบว่าคนไม่มากเท่าไหร่จึงหันไปบอกเพื่อนก่อนออกไปทำธุระส่วนตัว
“กูไปห้องน้ำแป๊บ” ฟงหยิบมือถือของตนเองก่อนจะลุกเดินไป
“เอ้อๆ อย่าให้เขาฉุด” อิลพูดขึ้น
“กูอาจไปฉุดเขา” ชายหนุ่มหันมาเหย้ากับเพื่อน
“มึงไม่อยากหาเรื่องเจ็บ แต่เขาหาเรื่องเสียวกับมึง” เป็นภีมคนเดิมที่กวนตีน
“ครับ” แทบยกนิ้วกลางถวายทุกคน
เมื่อเขาเดินลัดเลาะจนมาถึงส่วนด้านหลังของตัวร้าน
ชายหนุ่มก็เดินไปที่โถ่ปัสสาวะ เริ่มทำธุระส่วนตัว
ซึ่งยืนคนเดียวได้ไม่นานก็มีคนเดินมาซ้อนเกือบชิดที่หลัง
“ให้ผมช่วยไหม” เสียงกระซิบถามขึ้นหลังใบหู ขนอ่อนลุกขึ้นเป็นแถบ
ฟงสะบัดหน้าตอบ “ของตัวเองถือไหว”
“ก็เห็นพี่เดินแอ่น” เด็กหนุ่มด้านหลังไม่น่าเกินปีสองยังคงเร้าหรือ
“ไม่มีอารมณ์ทำ”
“แค่พี่ตกลง เราไปนั่งบิ๊วต่อที่ห้องออกเหงื่อก็ได้ เดี๋ยวฟิลลิ่งก็มา”
“ไม่เอาคือไม่เอา เข้าใจไหม” เสียงไม่ดังแต่เน้นทุกคำจนเด็กหน้าเสียเดินจากไป
ฟงรีบจัดสัดส่วนของตนเองพร้อมทั้งเดินไปล้างมือถูกไปมาจนเกือบถลอก
ความขุ่นหมองในใจก็ลดลงไป
แต่ทำไมตอนนี้ มันคั่นเนื้อคั่นตัวแปลกๆ
แถม...ในใจก็หนึบๆ
เกลียดที่สุด ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร
๐๐
ฟงเดินออกจากห้องน้ำไปแต่ไม่ได้เดินเข้าไปนั่งในร้าน
เขาเลือกเดินไปที่ส่วนด้านหน้าร้านแทน บริเวณนั่งชิวมีคนน้อยมากเพราะฝนตกไม่หยุดสาย
ชายหนุ่มนั่งมองสายฝนอยู่คนเดียว สายฝนเบาลงแต่ก็ยังตกอยู่ตลอดเวลา
ละอองที่สาดเข้ามาก็ทำให้เปียกได้ไม่ยาก เสียงเคาะกระจกเรียกให้ฟงหันมามอง
เพื่อนที่ทำท่ากวักให้เข้ามานั่งที่ของตนเอง เมื่อกลับเข้ามาในตัวร้านก็ถูกเพื่อนถามทันที
“มึงไปยืนทำเอ็มวีไรวะ” ขิงถาม
“แค่ไปดูฝน”
“เอ้าเพื่อนจะติสส์ก็ดูสถานการณ์นิดหนึ่งนะ ปอดบวมมาจะยุ่งเว้ย” อิลบ่น
“ก็เหล้าไง อบอุ่นไปขั้วหัวใจเลย” พูดจบฟงก็ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว
คอแห้งผาก รสขมมันเข้มเหลือเกิน
เพื่อนทั้งสามส่ายหน้าให้กับอาการคนตรงหน้า
“ไอ้หนุ่มหมัดเมาถึงคราวเมาจริงว่ะ”
“เมาไร กูยังท่องสูตรคูณได้อยู่”
ภีมหรี่ตามองก่อนเทเหล้าเพิ่มให้เพื่อน
“เมารักอะดิ” ฟงสำลักทันที
คำพูดของเพื่อนทำให้เขาตึงไปทั้งหน้า
เหมือนโดนทิ้งลงกลางมหาสมุทรที่หนาวเหน็บ
เหมือนถูกอัปเปหิให้อยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัย
เพราะความรักสำหรับฟง เรื่องโคตรไกลตัว
ทุกวันนี้มีชีวิตแค่ตัวเองครอบครัวเพื่อนฝูงการเรียน
เรื่องเทือกนั้นไม่เคยคิดจริงจังอะไร แต่เรื่องทางกายก็ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง
พอมีบ้างประปรายแล้วแต่อารมณ์ มีแล้วก็ดับไป
จนมาถึงครั้งนี้แหละที่แม่งโคตรเข้าใจยาก
จนคนลอยๆ อย่างฟงต้องมาทิ้งดิ่งในร้านเหล้าแห่งนี้
เพื่อนเลิกคาดคั้นเอาคำตอบจากเขา
อีกทั้งยังเบนเรื่องไปทางอื่นสรวลเสลเฮฮาไปกับเรื่องตลกขบขัน
กลุ่มเขาพูดคุยตั้งแต่มีสาระยันไร้สาระจกเปรต
หรือแม้แต่เรื่องบนเตียงเรื่องหยาบโลนก็สามารถยกขึ้นมาสนทนาเป็นเรื่องปกติ
ฟงยกแก้วขึ้นจอริมฝีปาก
จมูกเชิดเล็กน้อยดมกลิ่นเหล้าที่ลอยวนในอากาศ
กลิ่นแอลกอฮอลยิ่งทำให้ความรู้สึกชัดเจนมากขึ้น
แทนที่จะลืมๆ มันกลับทำให้สมองค่อยๆ
ทำงาน ดึงภาพปัญาที่ยังคงวุ่นวายมาฉายซ้ำที่ละตอน ทีละตอน
เขายกดื่ม ...หมดแก้วอีกครั้ง
แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะไม้ เพื่อนยังคงพูดคุย
คนในร้ายโยกย้ายตามเสต็ปเพลงที่เร็วขึ้น
ชายหนุ่มผู้ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้างดึงเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาขึ้นมา
เขาก้มหน้าจิ้มๆ ในโลกส่วนตัวขอตนเองโดยเพื่อนก็เหลือบตามองเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้ไถ่ถามใดใด
สายตาจ้องมองแชทที่คุยค้างไว้เมื่อตอนเย็น
มันขึ้นจั่วหัวว่าคนคนนั้นกำลังออนไลน์อยู่
แต่เขาปิดหน้านั้นไป
นิ้วชี้สไลด์ไปมาก่อนกดเข้ารายชื่อที่บันทึกเอาไว้และเลือกที่จะกดโทรออก
1
.
2
.
3
“ฮัลโหล” เสียงฝ่ายตรงข้ามทักขึ้น
เจ้าของมือถือดึงจอลง ดูเวลาตอนนี้ก็ 22.46 น.
เขาจึงเริ่มบทสนทนากับอีกคน “ทำไรอยู่"
แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบก็มีเสียงแทรก
‘อือออ เรามาต่ออีกครั้งนะคะ’ เสียงหวานลอดจากสายตรงข้าม
ฟงได้ยินทุกสิ่งอย่าง สายตายังคงมองออกไปนอกร้าน ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากเล็กน้อย
“จะต่อไหม” เขาถามไปไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น
อีกฝ่ายเงียบไปนานจนนึกว่าสายหลุดไปแล้ว
“แล้วว่าไง” เสียงหนักแน่นแกมขบขันถามย้อน
ถ้าตอนนี้เห็นหน้ากันได้อีกฝ่ายคงยิ้มขึ้นมุมปากทั้งที่หน้านิ่งเป็นแท้
ฟงเกลียดรอยยิ้มมุมปากโชว์เขี้ยวที่สุด
แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายปราชัยให้กับความเงียบไปเอง
“รู้สึกคิดถึง” เขาตอบกลับไปเบาๆ
ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ฟันกระต่ายคู่น้อยขบริมฝีปาก
อีกฝ่ายดูจะไม่แสดงออกใดใดทั้งสิ้น อีกทั้ง....
‘ฮืม อะ อ๊าง อย่าเค้นตรงนั้นสิ มะ มัน เสียว’เสียงหญิงสาวก็ดังขาดห้วงเป็นระยะ
อยู่ๆ ฟงก็สอดขึ้นไม่ได้สนใจใดใด แก้วเหล้าถูกยกขึ้นจิบช้าๆ
“เปลี่ยนเป็นเปิดจอคุยกันแทนไหม”
“ย่อมได้”
แม้อีกฝ่ายจะตอบมาแบบนั้นแต่การสนทนายังคงเป็นการโทรคุยปกติอยู่
‘จะไปแล้วเหรอ’“อือ”
‘รีบไปไหน จะไปหาคนในสายใช่ไหม เขาไม่รู้หรือไง เรามีความสุขกันอยู่’เสียงหญิงสาวพูดเสียดแทงเสียจน ฟงอยากจะเอาเหล้าแรงกรอกลงหู
ให้แอลกอฮอลล้างแผลที่มองไม่เห็นและไม่ทราบว่าคำที่ส่งมาเหล่านั้นเสียดแทงลึกไปไหนต่อไหนแล้ว
เขายังคงถือสายเงียบๆ และเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
พอดูหน้าจอก็พบว่าคุยกับอีกฝ่ายได้เกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว
แต่พอคิดว่าจะวางสายไปเลย อยู่ๆ เสียงทุ้มติดแหบก็กระซิบมาตามสาย
“ว่าไง อยู่ไหนบอกมา”เสียงกระซิบตอบกลับแล้วฟงก็กดตัดการสนทนา
เมื่อพอเขาหันกลับมาก็เจอเพื่อนทั้งสามแทบจะเอาหูมาจะแนบหน้าอยู่แล้ว
“ไอ้ฟง มึงโทรหาใคร” อิลยิ้มกริ่มถาม
“เห้ยยยยยยย มันยังไงหว่าาาา เพื่อนกูเนี้ยยย” ภีมล้อ
“คนจริงไปอีกนะมึง กูว่าได้ยินเสียงที่สามด้วยนะ” ขิงสงสัยพร้อมยกแก้วขึ้นจิบ
“อื้ม กูโทรไป มันกำลังเอาสาว” ฟงตอบด้วยน้ำเสียงไหลเอื่อย
“เชี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”มหากาพย์การตกใจที่โคตรยาวพร้อมกับเครื่องดื่มที่พรวดพุ่งออกมาเป็นฝอยละออง
หลังจากนั้นก็เบิกตากว้างประหนึ่งเจอผีมาแหวกอกตรงหน้า
แต่ฟงก็ยังนั่งเอื่อยยกขวดเหล้ามาเทเพียวกินคนเดียวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
๐๐
23.23 น.
อาการเริ่มหนักๆ หัวอยู่เหมือนกัน
เพื่อนก็ยังเฮฮากันต่อ มีเขาร่วมแจมกันบ้าง
สายตายังคงเหมื่อมองออกไป
ตอนนี้ไม่ใช่มองแค่ฝน
เขาเหมือนกำลังรอบางอย่างอยู่
เขารู้สึกครั้นเนื้อครั้นตัวอีกแล้ว
มือแตะที่อกเบาๆ ใจก็เต้นหน่วงไปอีก
พิษเหล้าแล่นสู่หัวใจรึไงกัน
เมื่อหันมองไปนอกตัวร้าน เขาเพ่งฝั่งตรงข้ามดีๆ
ร่มใสคันนั้นคนที่ยืนสูบบุหรี่คนเดียวท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
หลอดไฟข้างถนนส่องลงตรงเขาคนนั้น
ควันขาวลอยเอื่อยในอากาศ เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ผ้าใบ โคตรเซอร์
ข้อแขนมีกำไลเชือกถัก เพ่งมองใบหน้าไร้หนวด
ริมฝีปากคาบบุหรี่ ตาดำน่าดึงดูด มันดึงดูดให้เขามองอยู่นาน
หัวใจเต้นสูบฉีด มือที่ยังวางทาบสัมผัสได้
ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดนี้
คนในสายตาเดินข้ามถนนมาแล้ว
พร้อมเสียงกระดิ่งแขวนประตูร้าน
วงดนตรีเปลี่ยนจังหวะเป็นเพลงสบายๆ
ร่มใสคันนั้นถูกทิ้งไว้ด้านนอก
มันกางไว้ที่ระเบียงหน้าร้าน
“ไง” เสียงทักจากข้างหลัง เสียงจากบุคคลที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้านนั่นเอง
ทุกคนในโต๊ะจึงหันไปมอง
แม้กระทั่งตัวคนรอเองก็ยกมือขึ้นทักก่อนจะเอาลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งชักชวนให้อีกฝ่ายร่วมโต๊ะ
“นั่งดิ” ฟงชี้ตรงข้ามกับตัวเอง
ผู้มาใหม่จึงเดินอ้อมไปดึงเก้าอี้จากอีกโต๊ะที่ไร้คนนั่ง
ก่อนลากลงตรงข้ามคนนั่งเหงาริมกระจกภายในตัวร้าน
“มึงว่าจริงเหรอ ไนต์” ผู้มาใหม่ยิ้มให้กับทุกคนพร้อมก้มทักเพื่อนร่วมสถาบัน
“อื้ม ก็ฟงมันทักมา”
“แค่ทัก เอิ่ม ก็ไม่น่าทิ้งสาวนะเว้ย” ภีมแซวเบาๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน คงคิดถึงมั้ง” ไม่พูดเปล่า ยังหันมามองจำเลยของเรื่องด้วย
“เหยดดดดดดดดดดด” เสียงตกใจรวมพลังกันอีกรอบ
ภีมหันมาแขวะเพื่อน “มึงมันเลว เขากำลังมีสุขก็ให้เขามาหา”
“พี่เอาแต่ใจจังครับ” อิลทำเสียงเปลี้ยแม้ความจริงมันก็เปลี้ยเพราะเมาเข้าเส้น
ขิง หนุ่มสุขุมไล้แก้วเหล้ามองตรงไปที่เพื่อนรัก “หรือมึงหึง ไอ้หมา”
ฟงโวยวายเพราะเพื่อนหันมาเล็งคำถามมาที่ตนจนอยากจะหนีกลับไปนอนห้อง
“ไรๆ ก็แค่ทักไป ถ้ามันเลือกจะต่อก็ไม่ได้ว่าไร ไปถามมันนู้นเสือกขอชื่อร้านจนมาเนี้ยแหละ”
ทั้งสามก็สะบัดหน้าไปมองไนต์ที่ตอนนี้ดึงแก้วเปล่าจากมือฟงรินเหล้าดื่มเองบ้าง
ไนต์ยังยืนยันคำเดิม “บอกแล้วไง ก็คิดถึง ”
ท่ามกลางความอยากสอเสือกของหมู่เพื่อนพ้อง
ตัวแทนหมู่บ้านอย่างอิลจึงสวนคำถามประหนึ่งรายการเกมเศรษฐีแบบไม่มีตัวช่วย
“มึงอยู่ในสภาวะไหนวะเนี้ยครับ กูไม่เข้าใจว่ะ
ไอ้ไนต์กูรู้ว่ามึงเข้ามาใกล้ไอ้ฟงเดือนสองเดือนมานี้เพราะอยากจีบ
แต่ทำไมเจอหน้ามึงก็พากันเอื่อยฉิบหาย นั่งเงียบรักษาฟันรึไง
ของมึงก็ข่าวเจ้าชู้สาวน้อยหนุ่มน้อยไม่หาย แถมอีกคนก็ลั้ลลาเหล้าไม่หย่อน”
“ตอบมาฮะพี่ โตกันขนาดนี้ ไอ้ไนต์จ้องฟันเพื่อนกูใช่เปล่า” ขิงหรี่ตามอง
“จ้องฟันทำไมก็ได้ไปเเล้ว” ไนต์ยังคงรักษาความสุขุมของตนเอง
ขิงคนชี้คาดโทษถึงกับหน้าแดงกับคำตอบที่ได้รับ
เพราะทั้งคู่ค่อนข้างจะแตกต่างกันพอสมควร
ประหนึ่งอยู่กันคนละห้องของจักรวาล
ไนต์คนชื่อดังพอควรของวิดวะภาคโยธา เพราะความหล่อ
กีฬาประจำตัวอย่างฟุตบอลกำลังและสมองล้วนๆ
อีกทั้งเจ้าตัวไม่ลงกิจกรรมใช้หน้าตาเลยสักอย่าง โคตรลึกลับมุมมืด
แต่อยู่ๆ วันหนึ่งก็โผล่มาหน้าคณะบริหารพร้อมกับเค้กชาเขียวและชาเขียวปั่น
ไนต์ยื่นสองสิ่งนี้ให้กับ
ฟง หนุ่มหน้าเฉี่ยวละอ่อนสดใสที่ยิ้มทีก็สะท้านใจใครหลายๆ คน
มีคนว่าใครเห็นมันยิ้มจะโชคดีไปอีกหลายวัน
แต่ติดอย่างเดียวที่เจ้าตัวชอบความเอื่อยเฉื่อย
ดังนั้นไม่ต้องคาดหวังให้ยิ้ม แค่เงยหน้ามามองโลกนั่นก็เพียงพอแล้ว
แต่วันนั้นฟงมันแค่เบิกตาตกใจเฉยๆ โดยมีเพื่อนสามคนเป็นพยานเชื่อถือได้
หลังจากนั้นก็เห็นแวะเวียนคุยแบบเจอหน้ากันเป็นบางเวลา
อย่างฟงนั่งแช่แอร์อ่านหนังสือ ไนต์ก็หอบหนังสือกะเกมพกพามาเล่นด้วย
บางทีอยากกินสุกี้รสเด็ดฟงก็โผล่ไปนั่งที่โรงอาหารวิศวะพร้อมกับไนต์และผองเพื่อน
ในเวลาที่คนทั้งคู่มองหน้ากัน มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฎและคงเข้าใจกันได้เอง
อย่างกับโลกส่วนตัวได้ถูกสร้างขึ้นจนคนรอบขางเข้าไม่ถึงนั่นเอง
ภีมกระตุ้นคำถามด้วยการเทเหล้าใส่แก้วน้อยก่อนจะเลื่อนแก้วไปตรงกลางระหว่างฟงและไนต์
“วินวิน คนละครึ่งแล้วตอบมา”
“ถ้ายังกวนตีนจะใก้จ่ายค่าเหล้า แต่ถ้าแถลงไขความแปลกประหลาดของมึงทั้งคู่ วันนี้ไม่ต้องจ่าย” เสี่ยภีมพูดขึ้น
“แต่กูเพิ่งมา” ไนต์ตอบคนอื่นแต่สายตายังคงมองคนฝั่งตรงข้าม
“มึงใจๆ ให้ไอ้ฟงมันหน่อย”
“กูวางตังค์แล้วเดินออกได้ไหม” ฟงดึงกระเป๋าออกมาทำท่าจะควักเงินจ่าย
“ไอ้ประสาทคู่ ตอบมาไม่งั้นจะช่างแม่ง” ขิงใช้เสียงโทนต่ำ
ไนต์เดาะลิ้นถูใบหูของตนเองที่เจาะส่วนบนใส่จิวเพชรเล็กๆ และดึงแก้วดื่มไปครึ่งหนึ่ง
“ตั้งใจมาจีบจริงๆ ต้องการเป็นแฟน ส่วนจุดประสงค์ก็บอกฟงมันแล้ว
แต่ก็อย่างที่เห็นกูไม่ผลีผลาม เกิดมาก็เพิ่งเจอคนโดนใจ ก็อยากเริ่มตามแต่เวลามันสมควร”
เเก้วเลื่อนกลับมาสู่กึ่งกลาง ฟงก็ยกมามองก่อนหัวเราะเฮอะ
“ยังแรงได้อีก” ขิงมองเพื่อนใหม่
ฟงเลื่อนแก้วเข้าหาตัวเองพร้อมยกขึ้นดื่ม
“มึงก็รู้ ตั้งแต่คบกันมาเป็นเพื่อนก็เห็นว่ากูไม่มีแฟน ......ใจเต้นนะ เต้นกับหลายคนเลยเว้ย
แต่ก็ยังไม่มีใครถึงขั้นที่แบบ เอ้อ อยากผูกพันธะด้วย
จน….มาเจอไอ่เนี้ย กูรู้สึกเป๋ๆ ไปไม่เป็น อยากตั้งหลักก่อน กูกลัวใจพัง เพราะใจกูบอบบาง”
จบประโยคเหล่าเพื่อนรักก็ทำหน้าล้อเลียนทันที
“โถ่พ่อพระนางในละครรักหอมหวาน ไม่เค้นมึงตอนนี้ปีหน้ากูก็ว่าไม่ก้าวหน้า” ภีมล้อ
“ก็...หรือมึงรีบไนต์” ฟงถามด้วยเสียงขึ้นจมูก
“ไม่นะ สำหรับมึงได้เรื่อยๆ ”
“แล้วชีวิตมึงไม่หยุดเรื่องเฮลๆ หน่อยรึไง” ขิงถามขึ้น
“คู่นอนมันก็เป็นแค่คู่นอน หลังๆ กูเอาเวลาไปเทกับเพื่อนมึงหมดแล้ว ”
“กูติสท์นะ ไม่ได้ติดยา กูเลิกไม่ได้แต่ก็เพลาๆ เหล้าก็มาไม่ถี่แล้ว”
“เอ้อดี กูพอเข้าใจ คนไม่ปกติมารักกันแล้ว แม่งโคตรปวดหัว” คำพูดของอิลเรียกเสียงฮาไม่น้อย
หลังการซักถามทั้งกลุ่มก็กลับมาเฮฮาดื่มกินเช่นเดิม
เป็นฝ่ายฟงเริ่มนั่งเอียง ตาปรือ ชายหนุ่มบ่นงุบงิบ “ง่วง”
ไนต์กดปิดจอสอดลงกับกางเกงเมื่อเห็นว่าคนตรงข้ามเริ่มใกล้สู่นิทรา “กลับ”
“อือ” ยืนขึ้นพร้อมเก็บของของตนเอง
“อัญเชิญทั้งคู่ไปเลยฮะ ผมสามคนจะอยู่ต่อก่อน”
หลังจากโบกมือลาเพื่อนแล้วคนทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านไป
ฝนยังคงตกไม่สร่างซา มือขาวนวลเนียนยื่นออกไปนอกเชิงชายรองน้ำฝน
มันเย็นสดชื่น
แล้วบางอย่างก็เลื่อนมาปกป้องตัวเขาเอาไว้
ร่มใสคันนั้นพร้อมเจ้าของ
“พร้อมยัง” เสียงทุ้มถามขึ้นจากด้านหลัง ไม่ได้สร้างความรู้สึกแย่ๆ แต่อย่างใด
ฟงผินหน้าไปยิ้มให้คนถาม “โอเคแล้ว”
คนสูงกว่าเล็กน้อยมองคนข้างเคียงที่เงยหน้าขึ้นมา
ทั้งสองสบตากัน
แรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูดของกันและกันทำให้ไนต์เลือกที่จะบดขยี้ปากเล็ก
รสบุหรี่ติดกลิ่นไหม้เปเปอร์มินต์ ความชื้นแลกเปลี่ยนอากาศ
จูบดูดดื่มหน้าร้านเหล้ายามใกล้เที่ยงคืน
ทั้งสองผละออกจากก่อนจะหัวเราะประหนึ่งเมาควันกัญชา
มือจับกันแน่นเดินออกไปจากร้านภายใต้ร่มใสคันนั้น
(นี่คือ 70 เปอร์เซ็นของเรื่อง เดี่๋ยวมาต่อนะจ๊ะ)