Close Friend 2
#เพื่อนสนิทที่ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท
น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวคือความเสียใจที่ถูกยกเลิกข้อตกลง
ผมแอบชอบเพื่อนสนิท จำไม่ได้เหมือนกันว่าชอบเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ตัวอีกทีความรู้สึกเหล่านี้ก็อัดแน่นอยู่ในหัวใจจนแทบจะเอ่อล้น
“มึง...มันไม่ได้ผลหรอก” หลังจากปรับความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในรถพักใหญ่ผมก็โทรหาเพื่อนอีกคนทันที
เพื่อน...ที่ถูกยืมมือมาเป็นแฟนเมื่อหลายเดือนก่อน
(ยังไง)
“ก็...วันนี้มันยกเลิกข้อตกลงบางอย่างของกูกับมันแล้ว”
(ข้อตกลงอะไรทำไมกูไม่รู้)
“ข้อตกลงที่กูกับมันรู้กันอยู่สองคนไง”
(ถ้ามึงจะมาพูดปิดๆเปิดๆใส่กูแบบนี้ก็ไม่ต้องเล่านะ เพราะกูไม่ว่าง)
“อะไรคือไม่ว่างวะ ไหนมึงบอกว่าถ้าเป็นเรื่องกูกับมันมึงว่างเสมอ”
(ก็ตอนนี้กูกำลังตามปั่นโหวตให้แก๊งผัวกูอยู่เลยไม่ค่อยมีเวลามาเล่นสนุกกับมึงไงคะ) ผมถอนหายใจออกมาทันทีที่เพื่อนพูดถึงนักร้องเกาหลีของมัน (แต่กูจะว่างให้มึงทันทีถ้ามึงบอกข้อตกลงระหว่างมึงกับมันให้กูฟัง)
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”
(แล้วมันอะไรล่ะ)
เล่าดีไหมวะ
(ถ้าไม่รีบเล่ากูจะวางแล้วนะจ๊ะ)
“เล่าดิเล่า ก็คือ...ปกติกูกับมันถ้ามีเรื่องเศร้าๆหรือมีเรื่องที่อยากให้ปลอบใจกันเมื่อไหร่ กูกับมันมักจะใช้การจูบเป็นการปลอบ” ผมพูดเสียงเบามาก เพราะรู้สึกอายที่มาเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง
(เดี๋ยวนะ จูบปลอบเหรอ)
“เออ”
(จูบปลอบ!! ว๊ายยย ตายแล้ววววววว อกอีแป้นจะแตกจ้า) เสียงหวีดร้องดังขึ้นที่ปลายสายอยู่นานจนผมต้องรีบเบรกเพื่อนตัวเองก่อน
“กรี๊ดพอยัง”
(ไม่ไหวว่ะ หัวใจกูรับเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ)
“นี่คือจะไม่ฟังต่อใช่ไหมกูจะได้วาง”
(โว้ยยยย อะไรของมึงเนี่ย แค่กรี๊ดนิดๆหน่อยๆทำเป็นงอนไปได้ อย่าหัวเสียดิเพื่อน)
“เออ” ก็ที่มันหัวเสียได้ง่ายเพราะจู่ๆคนที่ตัวเองชอบดันเลิกข้อตกลงที่เราเคยทำไว้ด้วยกันมาหลายปี รู้หรอกว่ามันดูสมเหตุสมผลกับการเลิกจูบกันเพราะผมมีแฟน(ปลอมๆ)หรือเขามีคนคุย
แต่สิ่งนี้มันไม่ใช่หลักใหญ่ใจความของการมีแฟน(ปลอมๆ)ของผม เพราะการที่ผมแกล้งมีแฟนก็เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกหึงหวงและรู้ใจตัวเองสักทีว่าเขารู้สึกยังไง
แต่วันนี้เขากลับทำให้ผมตาสว่างเพราะที่ผ่านมาเป็นผมเองที่คิดไปคนเดียวว่าเขาชอบ
จูบอ่อนโยน วิธีการดูแล หรือแม้แต่เวลาที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น
(อ่าว เงียบทำไมเนี่ย)
“...”
(เชี่ย มึงร้องไห้งั้นเหรอ)
“กูเปล่า” ไม่ได้ร้องแค่รู้สึกจุกและเจ็บในใจเฉยๆ
(แล้วที่มันยกเลิกจูบกับมึงเนี่ย...แม่งไม่อยากพูดเลย พูดทีไรกูเขินทุกที)
“เขินมากไหม”
(มากกกก)
“ถ้าเขินมากกูจะวางแล้วนะ”
(เออๆเข้าเรื่องแล้ว คือที่มันเลิกจูบเพราะมึงมีแฟนใช่ป่ะ)
“เออส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนกูคิดว่ามันก็น่าจะมีคนคุย”
(คนคุยเหรอ?)
“อืม”
(ไม่น่าใช่นะ...กูว่าเรื่องนี้มึงตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนเรื่องที่เลิกจูบเพราะมึงมีแฟนเนี่ยกูว่าเข้าเค้า) เสียงมันดีใจเหมือนคนที่รู้ในทุกๆอย่าง (กูว่ามันเศร้าเลยเลิกจูบ ไม่อยากจูบทับรอยใคร กรี๊ดดด อยากข้อความไปบอกเพื่อนมึงจังว่ากูไม่มีทางจูบกับคนแบบมึงแน่ๆ)
“...”
(เพราะงั้นคอนเฟิร์มเลยค่ะว่ามันชอบมึงแน่นอน)
“ไม่รู้ว่ะ”
(เรื่องอื่นฉลาด แล้วทำไมเรื่องนี้ทำไมถึงโง่นัก!!)
“มึงไม่ได้เป็นกูมึงจะรู้อะไร”
(กูรู้ เชื่อกูสิว่ามันชอบมึงแน่นอน) แม่งไปเอาความมั่นใจมาจากใจวะ ขนาดผมยังไม่กล้าฟันธงเลยว่ามันชอบ ยิ่งวันนี้มาเจอเหตุการณ์นี้อีกก็ยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่
“แล้วถ้าสมมติว่ามันชอบกูจริงทำไมมันต้องเลิกจูบกูด้วย”
(โอ๊ยยย กูบอกเหตุผลไปแล้วไงคะว่ามันเศร้าไม่อยากจูบทับรอยใคร มึงนี่ลำไยจริงๆ มัวแต่ลีลาร่ำไรอยู่นั่น เนี่ยกูบอกมึงไปแล้วตั้งแรกว่าให้สารภาพกับมันไปเลยว่าชอบ ไม่ใช่มาทำเรื่องแกล้งมีฟงมีแฟนให้มันยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้)
ผมก็บอกเหตุผลไปแล้วเหมือนกันว่าที่แกล้งมีแฟนเพราะนี่เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้ผมดูเขาออกว่ารู้สึกยังไงกับผม
ส่วนการบอกเพื่อนสนิทที่คบกันมาเกินสิบปีว่าชอบ... ผมว่ามันเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวเกินไปเพราะคงไม่มีใครรับได้ถ้าการบอกชอบของเราที่นอกจากจะไม่สมหวังแล้วยังต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปหนึ่งคน
ดังนั้นทางออกเดียวสำหรับผมคือการแกล้งมีแฟนแล้วดูปฏิกิริยาของเขา แต่แล้วไงล่ะสุดท้าย ความจริงว่าเขาไม่ได้ชอบผมก็ปรากฏขึ้นอย่างที่เห็น
(งั้นเอางี้ มึงนัดมันออกมากินเหล้า แล้วช่วยกันมอมมัน เค้นความจริงจากปากว่าสรุปแล้วมันชอบมึงหรือเปล่าดีไหม)
“แต่ว่า...”
(มันเป็นทางเดียวแล้วเว้ย ถ้ามันไม่ได้ชอบมึงก็แค่ตัดใจแล้วเดินต่อ แถมมึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเลิกเป็นเพื่อนด้วยเพราะมันไม่รู้ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน แต่ถ้าสมมติมันชอบมึงก็รุกแม่งเลย ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น จริงๆกูน่าจะเสนอวิธีนี้ให้มึงตั้งนานแล้วนะ มัวแต่ลำไยทำทีว่ามีแฟนเพื่อดูพฤติกรรมมันอยู่ได้)
“...” ผมยังลังเลไม่แน่ใจว่ามันเป็นวิธีที่โอเคหรือเปล่า
(ไม่ต้องลังเลอะไรแล้ว เจอกันร้านเดิม เดี๋ยวกูเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปเลย)
“มึงกูว่า...”
(ไม่ต้องปฏิเสธเชี่ยอะไรทั้งนั้นค่ะ แค่นี้นะ ไว้เจอกัน) สายถูกตัดไปทันที ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยนึกไปแล้วก็เซ็งจริงๆผมไม่ควรกุเรื่องแฟนปลอมๆขึ้นมาตั้งแต่แรก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปดูว่าใครพอเห็นว่าเป็นมันผมถึงค่อยลดกระจกลง
“ทำไมมานอนฟุบแบบนี้วะ ไม่สบายหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับมือหนาที่ยื่นมาแตะหน้าผากผม
“เปล่า ว่าแต่มึงเถอะแต่งตัวกำลังจะไปไหนวะ”
“พี่ที่ร้านโทรมาว่านักร้องประจำป่วยกูเลยต้องไปแทน”
“ไปด้วยดิ”
“ห้ะ??”
“ไปด้วยได้ไหม” ไม่รู้หรอกว่าส่งสายตาอ้อนๆไปหาเขาหรือเปล่า แต่การที่มันยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆแบบนี้แสดงว่าหน้าผมคงอ้อนมันน่าดู
“ไปดิ งั้นเอารถมึงไป”
“ไม่เอาอ่ะ เวลานี้รถติดจะตายห่า เอามอเตอร์ไซค์มึงนั่นแหละไป” ผมออกจากรถแล้วปิดล็อกก่อนจะไลน์ไปบอกแฟนปลอมๆของตัวเองว่ากำลังจะไปอีกร้านนึงแทน “ขี้เกียจใส่หมวก”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องใส่ ใกล้แค่นี้เองคงไม่มีด่าน แต่ถ้าขับรถแล้วแหกโค้งหัวทิ่มตายขึ้นมาก็อย่าหาว่ากูไม่เตือนละกัน”
“เออรู้แล้วน่า” ทุกครั้งที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผมจะชอบเอาคางไปวางซบบนบ่าเขา ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าชอบให้ลมเย็นๆปะทะเข้าที่ใบหน้า แต่อีกส่วนก็เพื่อความสุขของตัวเองล้วนๆ
ความสุข...ที่ได้มองหน้าด้านข้างของคนขับ
และก็เป็นความสุข...ที่ได้ซบจมูกลงบนไหล่กว้างเวลาที่เขาเผลอไผล
ปกติผมไม่เคยกอดเอวเขาเลยสักครั้ง มากสุดก็แค่จับเสื้อ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรเหมือนกัน
“หืม” คนขับรถคงรู้สึกถึงมือผมที่โอบกอดรอบเอวเขา เสียงครางในลำคอถึงดังขึ้นด้วยความสงสัยแบบนี้
“ก็แค่อยากอ้อน...ไม่ได้เหรอ”
“ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้” มือข้างหนึ่งปล่อยจากแฮนรถมอเตอร์ไซค์แล้วเอื้อมมาขยี้หัวผมช้าๆ สัมผัสอบอุ่นตราตรึงจนไม่อยากให้เขาปล่อยมือ แต่แน่นอนแหละการโฟกัสที่ทางข้างหน้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
เราสองคนใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาทีในการขับรถมาถึงร้าน ตอนแรกพี่เจ้าของร้านจะให้ผมไปนั่งโต๊ะเดียวกับเขา แต่พอเดินเข้ามาแฟนปลอมๆของผมก็รีบเข้ามาทักและควงเข้าที่แขนผมทันที
“เราจองโต๊ะไว้แล้ว ไปนั่งด้วยกันนะ” ไม่พูดเปล่าเธอลากพวกเราไปตรงโต๊ะที่ถูกจองไว้หน้าเวทีด้วย
“เดี๋ยวกูไปเตรียมตัวก่อน มึงก็อยู่กับแฟนไปละกัน”
“อ่าว”
“เออตามนี้” มันผลักหัวผมแล้วเดินไปตรงข้างเวที
“หล่อมาก เห็นใกล้ๆแล้วก็อยากจะลากกลับบ้านเลยอ่ะ” คนข้างกายผมพูดแล้วหันไปมองคนที่เพิ่งแยกกัน
“พูดอะไรของมึงเนี่ย” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เพื่อนตัวเอง
“โอเคๆ รู้จ้าว่าหวง ไม่พูดแล้วก็ได้” ก็ไม่ได้หวงขนาดนั้นป่ะวะ
“แล้วนี่สั่งเหล้าไปหรือยัง”
“สั่งแล้วเรียบร้อย ภารกิจมอมเหล้าเพื่อนมึงวันนี้ เชื่อมือกูได้เลยค่ะ กูจัดแต่ตัวเด็ดๆทั้งนั้น” ผมพยักหน้าให้มันเบาๆก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างเวทีอีกรอบ เขากำลังประชุมกับคนในวง คงกำลังตกลงกันแหละว่าจะร้องเพลงอะไรบ้าง
สีหน้าตอนจริงจังก็หล่อเสียจนน่าหมั่นไส้ โต๊ะสาวแถวนี้นั่งมองมันจนแทบจะสิง นี่ถ้าผมหล่อได้สักครึ่งหนึ่งของมัน ผมอาจจะไม่ต้องมานั่งจมปลักแอบหลงรักเพื่อนตัวเองแบบนี้ก็ได้
เออไงคนที่กูหลงรักก็มันนั่นแหละจะใคร
“เอาละครับหลังจากนี้จะเป็นการเล่นดนตรีสดของวงเก่าแต่นักร้องหน้าใหม่ หล่อๆแบบนี้บอกก่อนนะครับว่ายังไม่มีแฟน” เสียงกรี๊ดและตะโกนดังขึ้นทั่วร้าน บางคนถึงกับโบกไม้โบกมือให้นักร้องหน้าใหม่ในวันนี้ “แต่ส่วนจะมีคนคุยไหมก็ไปถามกับเจ้าตัวเองเลยละกัน ตอนนี้เชิญพบกับพวกเขาได้เลยยยยย!!!”
เสียงกรี๊ดยังดังขึ้นต่อเนื่องจนผมเผลอยกนิ้วขึ้นอุดหู
“แฟนมึงนี่ร้อนแรงจริงๆ”
“หึ” ผมหัวเราะออกมาอย่างขื่นๆ ถ้ามันเป็นแฟนผมจริงๆก็คงดี
ระหว่างที่รอวงดนตรีซาวด์เช็ค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกับแกล้มที่เพื่อนผมสั่งก็มาถึง
“มาค่าระหว่างรอเพื่อนมึงเล่นดนตรีก็จิบแอลกอฮอล์เล่นๆไปก่อน” ผมพยักหน้าแล้วยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มเรื่อยๆ เพราะแฟนปลอมๆที่มาด้วยกันนอกจากจะชวนคุยแล้วก็ทำหน้าที่มือชงส่งแก้วต่อแก้วให้ผมตลอด อดคิดไม่ได้ว่ามันกำลังเปลี่ยนเป้าหมายจากมอมเพื่อนสนิทผมเป็นมอมผมแทนหรือเปล่า
“สรุปมึงจะมอมกูหรือมอมมัน”
“มอมมันสิ แต่มันยังไม่มาไง มึงก็กินไปพลางๆก่อน นั่นไงมันจะร้องเพลงแล้ว” สายตาผมละจากเพื่อนข้างกายไปที่เวทีแทน ออร่าความหล่อของเขายังคงโดดเด่นเหมือนเดิม เสียงกรี๊ดจากสาวแท้และเทียมในร้านดังขึ้นเป็นระยะๆ ยิ่งเวลาที่เขายิ้มออกมาเสียงกรี๊ดแทบจะดังกลบเสียงดนตรีไปเลย
“ถ้างานนี้มันไม่ยอมสารภาพว่าชอบ มึงก็อ่อยแล้วให้มันจับมึงทำเมียเลยนะ”
“ทำไมกูต้องเป็นเมีย เป็นผัวไม่ได้เหรอ”
“หนังหน้าอย่างมึงแน่ใจเหรอคะว่าเป็นผัว” พูดเสร็จก็ผลักหัวผมจนแทบทิ่ม คือมึงเป็นผู้หญิงแบบไหนของมึงเนี่ย
“รู้ฉันรู้ยังไงก็คงไม่ต่าง...รู้ฉันรู้ยังไงเธอก็เลือกเขา...รู้ถึงฉันขอร้องยังไงเธอคงต้องลืมเรื่องของเราเพราะว่าเขาดีกว่าเพราะเขาสำคัญกว่า” น้ำเสียงคุ้นเคยมาพร้อมกับเพลงคุ้นหู
“หล่อเว่อร์ ตอนไม่ร้องก็หล่อแล้วนะเพราะอ้าปากร้องเพลงแม่งหล่อกว่าเดิมอีก” ได้ยินเสียงเพื่อนพูดอยู่ข้างๆแต่ไม่ได้เข้าหูผมสักนิด เพราะตอนนี้ผมกำลังโฟกัสสายตาเขาที่ส่งตรงมายังผม
“แต่อยากจะขอร้องเธออีกครั้ง รักฉันรักฉันเถอะนะจะไม่ทำให้เธอเสียใจ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงมันทำเอาหัวใจผมเต้นโครมครามไม่หยุด เพื่อนสนิทที่กำลังร้องเพลง please ของอะตอม ยังไม่ละสายตาไปจากผม
“มึงๆ” จนกระทั่งเพื่อนที่นั่งข้างกันเอียงหัวเข้ามาใกล้แล้วทำท่ากระซิบบางอย่าง
“ว่า”
“เห็นแบบนี้ ชะนีฟันธงเลยค่ะว่าชอบมึงแน่นอน ดูดิมองมึงสายตาหวานเยิ้มเชียว นี่แค่กูเอียงหัวมาซบมึงมันก็หน้าตึงซะแบบนั้น ชอบก็บอกว่าชอบกันสิวะ จะปิดบังกันเพื่ออะไร สาววายอย่างฉันลุ้นค่า” ผมส่ายหัวแล้วมองกลับไปที่เวที มีบ้างที่เขาหันไปเล่นกับคนดูแต่ส่วนใหญ่ก็มองมาทางผม
เขาร้องเพลงจบไปหลายเพลงและในทุกๆเพลงที่ร้องมันมีความหมายทั้งเศร้า เหงา และแอบรัก นี่ถ้าผมไม่คิดไปเองคนเดียว ผมว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาคือเขาชอบผมนะ...
แล้วทำไมเขาถึงไม่อยากจูบกับผมอีกวะ
ทำไม
“ขอบคุณทุกคนมากๆนะครับ” นักร้องนำพูดขอบคุณคนดูหลังจากที่หมดเวลาเล่นดนตรีสด ในมือเขามีกระดาษเล็กๆที่คาดว่าน่าจะเป็นเบอร์โทรของสาวในร้าน ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ เลือกจะชอบคนหน้าตาดีก็ต้องทำใจเรื่องนี้สินะ
แก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ผมมองตามนักร้องนำจนเขาลงไปยืนข้างเวที สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้คือผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาคุยกับเขาด้วยท่าทางสนิทสนม รอยยิ้มและมือของผู้หญิงคนนั้นที่จับบ่าเขาบ่งบอกว่าทั้งสองคนรู้จักกันเป็นอย่างดีและแน่นอนไม่ใช่แค่ผมที่คิดไปเอง
“คงเป็นคนรู้จักแหละ” เพื่อนที่นั่งข้างกันตบบ่าผมเบาๆ
“เห็นแค่นี้ก็รู้เหตุผลของมันแล้วว่าคืออะไร ไม่ต้องมอมแล้วมั้ง”
“มอมค่ะ ยังไงวันนี้ไม่มึงก็มันที่ต้องเป็นคนได้” เหล้าถูกเติมเรื่อยๆ ส่วนผมก็ส่งมันเข้าปากตัวเองเรื่อยๆเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็เหมือนสติผมจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
✦✦✦