【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]  (อ่าน 8125 ครั้ง)

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 8-2

คำพูดภาษาสเปนรัวเร็วแจ้งให้ตั้งด่านสกัดรถยนต์และตามหาตัวผู้ต้องสงสัยดังพุ่งขึ้นมา ในวิทยุบอกรูปพรรณสัณฐานของนิโคไลอย่างชัดเจน ตามด้วยลักษณะรถยนต์ที่เขาใช้หนีออกมา

นิโคไลหยิบแล็ปท็อปและแผนที่เมืองทั้งหมดมาวางบนตัก เขาฟังรายงานตำรวจแล้วมาร์กจุดที่จะมีการตั้งด่านตรวจ จากนั้นบอกเส้นทางซาช่าอย่างสั้นกระชับโดยไม่มีพลาด

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนขับรถหลบหลีกสายตาตำรวจและลูกน้องของอเลฮานโดรตามการเลือกเส้นทางของนิโคไลด้วยความเชื่อใจ และเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น พวกเขาถึงต้องไปเปลี่ยนรถ ซาช่าลัดเลาะไปตามเส้นทางลัดต่างๆ ตึกที่ฆวนแจ้งว่ามีรถอีกคันจอดรออยู่ห่างออกไปจากพิกัดในตอนนี้เพียงหนึ่งไมล์ แต่เพราะมีด่านสกัดจึงต้องขับอ้อม ไม่ถึงห้านาที ซาช่าก็ขับรถพาทั้งคู่มาถึงจุดเปลี่ยนรถ

มันเป็นอาคารจอดรถของห้างสรรพสินค้า ตามคำบอกเล่าของฆวนรถอีกคันจะจอดอยู่ที่ชั้นเจ็ด บล็อกสามซี ชายหนุ่มชาวรัสเซียนขับรถไปจอดเทียบที่รถเอสยูวีคันดังกล่าว ก่อนส่งสัญญาณให้นิโคไลลงจากรถ

“ยานอนหลับผสมเหล้าของฆวนมันห่วย!” นิโคไลสบถระหว่างเปิดประตูรถ “น่าจะใช้เพื่อให้อเลฮานโดรมันมึนๆ มากกว่า ไม่น่าเชื่อใจพวกเม็กซิกันเลย ให้ตายสิ!” เขาใส่อารมณ์ แต่ก็พอเข้าใจว่านางนกต่อคนเดิมเป็นหมากใช้แล้วทิ้ง ถ้ายอมให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บตัวหน่อย ให้มีเสียงจากห้องของอเลฮานโดร บอดีการ์ดจะไม่สงสัยและทำให้แผนการราบรื่นกว่า

“พูดตามตรงว่าฉันไม่เชื่อใจฆวน” ซาช่ากล่าวขึ้น เขาเกร็งท่อนแขนฟาดบนกระจกข้างคนขับ และเอื้อมมือผ่านหน้าต่างที่แตกเข้าปลดล็อกรถ ซาช่าเปิดประตูที่นั่งตอนหลัง บนเบาะมีกระเป๋าวางอยู่สองใบ ใบแรกเป็นกระเป๋าที่มีเสื้อผ้าที่ฆวนเตรียมไว้ให้นิโคไลเปลี่ยน อีกใบเป็นกระเป๋าเป้แบ็กแพ็กที่ซาช่าเตรียมมาจากอิตาลี เขาดึงกระเป๋าตัวเองออกมาเปิด หยิบเสื้อผ้าชุดลำลองชุดเดิมที่ใส่ขาลงเครื่อง และหยิบชุดคลุมท้องไซซ์ที่นิโคไลใส่ได้ออกมาด้วย

“ไม่เอา” นิโคไลทำตาโต “ชุดน่าเกลียด!”

“นายอย่าเรื่องมากตอนนี้น่า” ซาช่าจุปาก และถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนต่อหน้าคู่หู เขายัดเสื้อเชิ้ตและสแล็คของตัวเองใส่มือนิโคไลพร้อมทำท่าม้วนๆ ให้ยัดเข้าไปตรงหน้าท้อง

“ฉันให้เวลานายสองนาที” ซาช่าบอกก่อนผละไปจากบริเวณนั้น

“อะไรของนายวะ!” นิโคไลอยากจะโยนชุดทั้งหมดลงจากชั้นเจ็ด แต่เขายังมีความเป็นมืออาชีพพอจึงแค่สลัดเสื้อผูกคอตัวเก่าและยอมสวมชุดที่อีกฝ่ายส่งให้แต่โดยดี

ไม้กางเขนของอเลฮานโดรอยู่ในกระเป๋ากางเกง ก่อนปลดมาเขาตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่าเป็นของจริง

“ไม่ใส่เสื้อยัดท้อง” นิโคไลต่อรองขณะเช็ดคราบเลือดจากหน้า “และถ้าจะปลอมเป็นผัวเมียกัน นายคงเป็นประเภทใช้ความรุนแรงในครอบครัว” เขาเสียดสี เพราะสภาพเขาตอนนี้เหมือนผู้หญิงที่โดนสามีขี้เหล้าซ้อมมาไม่มีผิด

ซาช่ากลับมาต่อปากต่อคำกับนิโคไลต่อพร้อมซิตีคาร์ที่จะดูกลมกลืนกับรถคันอื่นบนท้องถนน เขาได้ยินทุกคำที่นิโคไลพูด

“ฉันจะเริ่มใช้ความรุนแรงเพราะนายดื้อนี่ละนิกกี้” ซาช่าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงตัดบท “หยิบของแล้วขึ้นรถ”

นิโคไลไม่พูดอะไรอีก เขาทยอยโยนของใส่รถซิตีคาร์ “ขับแยกกัน ฉันจะขับรถที่ฆวนให้มา”

“นายอย่างี่เง่าตอนนี้ ขึ้นรถ” ซาช่าพูดเสียงเฉียบ สีหน้าเขาดุจัด

นิโคไลชูไม้กางเขนต่อหน้าซาช่า

“นายบอกว่าที่นี่ฉันเชื่อใจนายได้คนเดียวใช่ไหม แต่นายเปลี่ยนแผนโดยไม่บอกฉัน ไหนล่ะ ความเชื่อใจ ฉันควรเชื่อใจคู่หูที่ไม่บอกแผนการล่วงหน้าหรือ!”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนสูดลมหายใจลึก เขาพยายามใจเย็นในเวลาเร่งด่วน “ฉันแค่เตรียมของเผื่อไว้เพราะไม่ไว้ใจฆวน แล้วประกาศของตำรวจก็ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจ พวกนั้นรู้แม้กระทั่งป้ายทะเบียนรถเรานิกกี้ นายอาจจะไม่ได้สังเกต แต่ฉันดูอยู่ว่าไม่มีใครมองรถเรานานพอจะจำทะเบียนได้ ฉันเลยนึกแผนใหม่ ทุกอย่างมันกระชั้นจนไม่ได้อธิบาย”

นิโคไลเม้มปาก เขายอมรับว่าได้ยินเลขป้ายทะเบียนรถ แต่พลาดเรื่องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตำรวจควรรู้เลขทะเบียนไหม ซึ่งพลาดก็คือพลาด ไม่ว่าจากการที่ถูกอเลฮานโดรตบจนมึนหรือเพราะเขาตั้งสมาธิกับการเลือกเส้นทางก็ตาม

“ตกลง ฉันผิดเอง ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่” ตาวาวๆ และเสียงดุๆ ไม่เข้ากับคำพูดเลย “อย่างนั้นก็ยิ่งต้องขับรถแยกกัน ฉันจะขับรถเอสยูวี ถ้านายถูก รถคันนี้จะถูกตามล่า แล้วรถนาย...”

ระหว่างทั้งคู่กำลังเถียงกัน เสียงประสานงานของตำรวจผ่านวิทยุคลื่นสั้นดังแทรกขึ้นมา คราวนี้รถต้องสงสัยกลายเป็นสองคันคือคันที่ซาช่าขับออกจากคฤหาสน์ของอเลฮานโดรและเอสยูวีที่จอดนิ่งอยู่ที่บล็อกสามซี

เงียบกันไปอึดใจเดียว นิโคไลก็ทำหน้าโกรธเหมือนแมวโดนเหยียบหาง “ก็ได้!” เขาเอาเสื้อยัดตรงท้องตามที่ซาช่าต้องการแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับรถ “นายถูก นายชนะ”

ซาช่าหลุดขำออกมาในสถานการณ์ตึงเครียด เขามองนิโคไล และบอกด้วยสีหน้ามั่นใจ มันเป็นประโยคที่บ้าพอควร

“ฉันมีแผนพาเราทั้งคู่รอดไปสบายๆ” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดันเกียร์ไปที่ช่อง D

“เราจะผ่านด่านไปดื้อๆ”

นิโคไลมองชุดของตัวเองกับอีกฝ่ายก็พอเดาได้รางๆ

เขาไม่นึกชอบแผนของซาช่าเลยสักนิด!

รถทุกคันถูกโบกที่ด่านสกัดตามที่คาด ซาช่าชะลอความเร็ว จอดและลดกระจกลงเมื่อตำรวจนายหนึ่งให้สัญญาณ เขาโวยวายขึ้นเป็นภาษาสเปนปนอิตาเลียน

“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! พวกคุณจะโบกให้ผมหยุดทุกด่านไม่ได้นะ!”

ชายหนุ่มเอะอะเสียงดังจนนายตำรวจที่ดูอายุยังน้อยนิ่วหน้า ซาช่าบ่นปนด่าเมื่อถูกถามว่ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน

เขาตอบว่าแวะมารับพี่สาวที่ท้องได้ห้าเดือนจากบ้านพี่เขย ไอ้หน้าตัวเมียนั่นซ้อมพี่สาวเขาเป็นกระสอบทราย แดกดันตำรวจว่าแทนที่จะไปจับไอ้พี่เขยเฮงซวยดันมาตั้งด่านไร้สาระ เขาเล่าต่อว่าจะพาพี่สาวกลับบ้านที่อยู่ในย่านคนรวยเมืองทางใต้

ซาช่าพูดรัวเร็วเป็นภาษาสเปนไม่ติดขัดแล้วใส่ท่าทางและอารมณ์เต็มที่ ส่วนบทของนิโคไลหรือ นั่งเป็นหญิงสาวที่ถูกสามีซ้อมไปเงียบๆ เพียงอย่างเดียว

“ผมตอบคำถามคุณพอแล้ว เราไปได้หรือยังคุณตำรวจ!”

นิโคไลเกลียดบทบาทนี้มาก และพาลเกลียดคนข้างตัวไปด้วย ให้เขาไปขับรถของฆวนที่ถูกตำรวจทั้งเมืองไล่ล่ายังดีกว่า!

แต่ในความไม่พอใจ เขากลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าความหดหู่จากการถูกใช้เป็นเครื่องระบายทางเพศหายไป อาจเพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจให้มีเวลาคร่ำครวญด้วยส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าเพราะคู่หูคนใหม่ด้วยอีกส่วน

นิโคไลจึงยอมนั่งก้มหน้าเล่นละครไปกับซาช่า

ตำรวจผู้น้อยคนนั้นยอมปล่อยรถของซาช่าและนิโคไลหลังโดนแผดเสียงว่า ‘เฮงซวย!’ ติดกันเป็นครั้งที่สี่ ซิตีคาร์คันเล็กแล่นออกจากเขตอิทธิพลของอเลฮานโดรโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องออกแรงกันมากนัก

“แสดงละครเก่งนะ” นิโคไลบอกเมื่อออกมาได้แล้ว “ไม่ต้องยิ้ม ไม่ได้ชมนาย”

ซาช่าหัวเราะจางๆ กับท่าทางเหมือนแมวขู่ ซิตีคาร์แล่นไปตามถนนของเมืองทางใต้โดยสะดวก ไม่นานทั้งคู่ก็ถึงคฤหาสน์ของคารินา

“นายอยากทำแผลก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร” นิโคไลถอดชุดน่าเกลียดออกแทบทันทีที่ล้อรถถึงจุดหมาย เขาสวมเสื้อเชิ้ตตัวเก่าของซาช่าพร้อมติดกระดุมลวกๆ เสยผมให้พ้นใบหน้าโดยไม่เกรงว่าใครจะเห็นร่องรอยถูกทารุณกรรม “ฉันจะคิดค่าจ้างเพิ่มจากไอ้นี่” เขาชี้แผลแตกที่มุมปาก “และคารินาต้องมีคำตอบเรื่องคนที่หล่อนส่งมาด้วย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ฆวน!”

ซาช่ามองใบหน้าช้ำๆ ของนิโคไล เขาฉีกชุดคลุมท้องที่นักส่งของอันดับหนึ่งไม่ใส่แล้วเป็นชิ้นขนาดพอดี เปิดประตูรถแล้วราดน้ำจากขวดที่ใส่อยู่ตรงข้างประตู บิดหมาด ก่อนจะหันกลับมาหาอีกฝ่าย

“ไม่ทำแผลก็เช็ดเสียหน่อย” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนแตะคางเนียนแล้วเช็ดเลือดที่แผลตรงมุมปากให้เบามือ

นิโคไลนิ่งไปกับน้ำใจของอีกฝ่าย เขาเชิดหน้าเพื่อให้ซาช่าเช็ดโดยสะดวกพลางหลับตา

เมื่อใบหน้าสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว นิโคไลหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงอิตาลี รายงานผลภารกิจให้เกเบรียลฟัง “ยืนยันว่ากำลังจะส่งมอบของ” เขาถ่ายวิดีโอไลฟ์ภาพคฤหาสน์ของคารินาโดยติดภาพการ์ดชุดดำที่กำลังเดินมาทางรถซิตีคาร์ ตามด้วยไม้กางเขนซึ่งเป็นสิ่งของในข้อตกลง “ตามที่ผมแจ้งไปว่านกต่อของทางนี้เกิดปอดแหก ผมเลยต้องทำหน้าที่แทน เรายังถูกคนของคารินาหักหลัง งานนี้ถ้าไม่ได้คู่หูที่อยู่ข้างๆ ผมจะทำงานลำบาก” เขาให้เครดิตซาช่า

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ เขาไม่แน่ใจหรอกว่าคารินาจะตุกติกอะไรหรือไม่

“เราจะกลับตรงเวลา” นิโคไลกล่าวกับเกเบรียลก่อนวางสาย

นักส่งของทั้งสองลงจากรถแล้วเดินตามการ์ดเข้าไปในภายในคฤหาสน์ ระหว่างทางซาช่าโน้มไปกระซิบกับนิโคไล

“ฉันว่าอย่าเพิ่งโชว์ของก่อนได้พบคารินาไหม” ถึงประโยคจะฟังดูปอดแหกแต่น้ำเสียงของซาช่าฟังดูเย้าแหย่เสียมากกว่า

“ถ้าเขาจะปล้น เขาก็ยิงเราทิ้งตั้งแต่หน้าบ้านแล้ว” ก่อนเข้ามาในคฤหาสน์ ทั้งสองถูกตรวจสอบว่าพกอาวุธหรือไม่ไปรอบหนึ่งแล้ว พวกเขามีปืนที่ได้จากฆวนก่อนเริ่มงาน ซึ่งถูกยึดไปเป็นที่เรียบร้อย งานเสี่ยงอันตรายกระทั่งผู้ว่าจ้างยังเชื่อใจไม่ได้คือโลกที่นิโคไลต้องเผชิญอยู่เป็นประจำ “คลอเดียยังอยู่กับสมาคม ฉันคิดว่าคารินาคงอยากคุยเรื่องลูกสาวมากกว่า”

คำพูดนี้เหมือนคนมองโลกในแง่ดี แต่ไม่หรอก ไม่เลย มันคือหลักประกันความปลอดภัยต่างหาก เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของสมาคมใต้ดินที่กำชีวิตลูกสาวคารินาในกำมือ

ราชินียาเสพติดรอทั้งคู่อยู่แล้ว หล่อนสวมชุดเดรสสีมุกซึ่งตัดเย็บพอดีตัว อวดเนินอกใหญ่ เอวคอด สะโพกผาย นั่งไขว้ห่างอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก ริมฝีปากอิ่มเหยียดเป็นรอยยิ้มสวยร้าย

“ได้ข่าวมาว่าพวกคุณพบปัญหามากมายระหว่างทาง”

คารินาเชิญทั้งคู่ให้นั่งพักผ่อน ก่อนหันไปบอกสาวใช้ให้เตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาเมื่อเห็นสภาพของนิโคไล หล่อนพอเดาได้ว่าสาเหตุมาจากใคร

“สมาคมจะอยากรู้เรื่องคนที่คุณจัดไว้ให้ คุณพลาดถึงสองครั้ง ทั้งเรื่องนกต่อและชายชื่อฆวน” นิโคไลนั่งบนโซฟาตรงข้ามคารินา เขาเอ่ยเป็นการเป็นงานถึงการตลบหลังของฆวน

ไม่มีใครใคร่เห็นนิโคไลทำสีหน้าจริงจังแบบนี้บ่อยนัก มันดูหล่อเหลามากกว่าสวยงาม

ซาช่านั่งลงข้างนิโคไลโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าสวยจัดของราชินียาเสพติด เขายิ้มให้หล่อน ท่าทางดูเจ้าชู้อย่างชัดเจน

“ฆวนทำไปเพื่ออะไร ถ้าเขาเป็นคนของอเลฮานโดรแต่แรก ผมคงไม่รอดตั้งแต่เข้าไปเอาของแล้ว คุณมีคำตอบเรื่องนี้ไหม ตอนนี้ผมสงสัยว่าคุณอาจมีเส้นสายในกลุ่มตำรวจของอเลฮานโดร ถ้าตำรวจจับผมได้แล้วฆวนได้ของ เขาส่งของให้คุณ คุณก็ได้ทั้งของและไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ทางสมาคม เพราะนักส่งของทำงานพลาดเอง”

-------------------------------------------------

A/N เราชอบที่ซาช่าเอาชุดน่าเกลียดมาให้นิโคไลใส่นะคะ แม้นิโคไลเค้าจะไม่ชอบ แต่เราว่ามันช่วยทำให้อารมณ์เขาหายหดหู่ไปได้มากโขเลยค่ะ ;w; ลูกรักของชุ้นนนนนน

ป.ล. บทนี้นิโคไลมาดเข้มตอนท้ายด้วยนะ อิอิ เวลาทำงานเขาก็จริงจังน้า คนนี้ เป็นเด็กดีๆ

ป.ล. 2 ส่วนความเจ้าชู้ของซาช่า เราจะเมินๆ มันไปนะคะ ซาช่าก็เจ้าชู้ตลอดเวลาอยู่แล้วไง!!!

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2018 21:00:52 โดย ILLREI »

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 8-3

“ข้อกล่าวหาของคุณรุนแรงมากนะ” ดวงตาคมสวยของคารินาปรายมามองนิโคไล หล่อนยังรักษารอยยิ้มและสีหน้าสงบไว้ได้ แม้น้ำเสียงจะเย็นชาก็ตาม

“ฉันไม่แน่ใจว่าฆวนทำอย่างนั้นทำไม มีหลายอย่างที่เป็นไปได้ เงิน ชีวิตครอบครัวของเขา หรืออาจเป็นอำนาจในฝั่งเหนือ” คารินาหัวเราะน้อยๆ แต่ฟังดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลก

“ผมจะรายงานสมาคมตามนั้น” นิโคไลพิจารณา

“ถ้าสมาคมต้องการสอบสวนเขาเพิ่มเติม ฉันจะส่งเขาไปให้หลังเราคุยกับเขาแล้ว” ราชินียาเสพติดมองนิโคไล เริ่มจากดวงตาคู่สวยเหนือไฝน้ำตา ลงไปถึงแผลแตกตรงมุมปาก ดวงตาของหล่อนมีร่องรอยของความเกลียดชังปรากฏชัด มันไม่ใช่ความเกลียดชังต่อนิโคไล แต่เป็นของคนที่ทำให้เกิดแผลนี้

“ถ้าคุณหาฆวนเจอ” นิโคไลหยิบล็อกเกตทองคำออกมา มันเป็นอันเดียวกับที่อเลฮานโดรสวมในภาพที่เขาเคยให้ซาช่าดู

นักส่งของเปิดฝาล็อกเกต ในนั้นมีภาพอเลฮานโดรอุ้มคลอเดียในวัยไม่เกินสองถึงสามขวบ หน้าตาของเจ้าพ่อมาเฟียชาวเม็กซิโกดูรักใคร่บุตรสาวและมีความสุขที่ได้อุ้มเธอ “โลกมันซับซ้อน แต่ผมคิดว่าคลอเดียรักพ่อของเธอมากทีเดียว จากที่มีโอกาสได้คุยกับเธอ ผมไม่ตั้งคำถามกับความรักที่คุณมีต่อลูกสาวเช่นกัน ฉะนั้น ผมเอ่ยด้วยความจริงใจ เราผู้ใหญ่ ทำงานนี้ให้สำเร็จ เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กคนนี้”

สีหน้าของคารินาผ่อนคลายและอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นรูปถ่ายของลูกสาว หล่อนฟังที่นิโคไลพูด และเอ่ยปากคล้ายจะย้ำความคิด

“โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อน และเจ็บปวดเกินกว่าที่จะให้คลอเดียรู้”

หล่อนเรียกบอดีการ์ดให้นำของแลกเปลี่ยนเข้ามา คาริน่าเปิดกระเป๋าหิ้ว ข้างในเป็นทองคำแท่งจำนวนเท่ากับราคาที่ต้องจ่าย

“ค่าตอบแทนของคุณจะส่งถึงสมาคม” นิโคไลพยักหน้าแล้วเก็บล็อกเกต เขาหยิบของที่ต้องส่งให้แก่คารินา “ผมเชื่อว่าคุณรอสิ่งนี้อยู่”

ไม้กางเขนสีเงินสะท้อนแสงภายในห้อง ผิวโลหะอาบไล้ด้วยแสงมอบความสงบและดูศักดิ์สิทธิ์ ทว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ย่อมรู้ว่าไม้กางเขนนี้เปื้อนเลือดมามากมายเท่าไร

ราชินียาเสพติดแลกเปลี่ยนทองคำแท่งและสร้อยไม้กางเขนกับนิโคไล หลังให้คนตรวจสอบว่าเป็นของจริง หล่อนสวมสร้อยไว้ที่ลำคอสีแทนเนียน ใบหน้างดงามมีร่องรอยเป็นมิตรมากขึ้น หล่อนไม่ได้กล่าวถึงเรื่องข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่างที่ตกลงกับทางสมาคมออกมา เมื่อรายชื่อนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ของอเมริกาและแคนาดาจะถูกส่งไปให้ทันทีที่คลอเดีย—ลูกสาวของตนได้ครอบครัวอุปถัมภ์

นี่คือรายละเอียดงานส่วนที่นิโคไลเลือกไม่บอกซาช่า

“ขอบคุณ” คารินายิ้มให้หนุ่มหน้าสวย สายตาของหล่อนมีแววซาบซึ้งไม่น้อยแม้สีหน้าจะดูเย็นชาเช่นเดิม ก่อนถามว่าเขาชื่อนิโคไลใช่หรือไม่ ชื่อเสียงนักส่งของอันดับหนึ่งของสมาคมใต้ดินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คู่ค้า

“ใช่ นั่นเป็นชื่อของผม นิโคไล” ไม่มีการแนะนำนามสกุล แม้ว่านามสกุลเขาจะเป็นที่รู้จักกันในโลกมืด แต่ก็เป็นตระกูลที่หมดอำนาจไปแล้ว

“ตอนนี้คุณไปอาบน้ำแล้วทำแผลเถอะนิโคไล ถือว่ารับน้ำใจจากฉัน” หล่อนแตะแผลถลอกบนข้อมือขาวเนียน “คนของฉันจะไปส่งพวกคุณขึ้นเครื่องบินทันทีที่ต้องการ”

นิโคไลเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าเจ้าบ้านหญิงจะมีน้ำใจขนาดนี้ และปกติเขาทำงานเสร็จก็กลับ ทว่าจากสายตาของคารินา เขาเห็นความจริงใจ “ตกลง ผมรับน้ำใจของคุณเรื่องที่พักและการทำแผล แต่ผมต้องการกลับอิตาลีภายในสองชั่วโมง คุณจัดการได้ไหม”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา” คารินาสั่งคนใช้ให้เตรียมห้องให้แขก หล่อนหันมาพยักหน้าให้นิโคไล “ฉันถือว่าคุณเป็นแขกของฉัน ทำตัวตามสบาย”

ซาช่านั่งเงียบฟังการโต้ตอบของนิโคไลและคารินาอยู่ครู่ใหญ่ เขาหลุบตามองสิ่งที่นิโคไลเอาตัวเข้าแลกมาจากอเลฮานโดรบนลำคอของนักค้ายาเสพติดหญิงผู้เคยมีอิทธิพลที่สุดในอเมริกาเหนือ ก่อนถูกอดีตสามีหักหลัง

เขาเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของคารินาอย่างใช้ความคิด ชายหนุ่มชาวรัสเซียนต้องการเวลาส่วนตัวกับเจ้าบ้านโดยไม่ให้นิโคไลผิดสังเกต

“ซาช่า ไม่ได้คิดจะฟันคู่ค้าหรอกใช่ไหม” นิโคไลกระซิบ

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยิ้มร้าย “ถ้าทำได้ ฉันก็ไม่ปฏิเสธนะนิกกี้”

“ฉันชักสงสัยแล้วว่ารอดด่านตรวจมาได้ นายจะได้กลับอิตาลีแบบครบสามสิบสองไหม” นิโคไลพ่นลมหายใจแล้วลุกไปหาสาวใช้ที่มานำทางเขา เมื่อเห็นซาช่าไม่ยอมลุกตามมาและเจ้าบ้านหญิงไม่ว่าอะไร เขาก็กลอกตา

“อย่าทำให้ฉันต้องรีบหาคู่หูคนใหม่”

นิโคไลไม่อยู่ในอารมณ์จะนึกถึงเซ็กซ์ และเกิดหงุดหงิดที่ซาช่าเอาแต่คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา

ยิ่งเมื่อคารินาไม่ว่า เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินออกไป

ซาช่ามองตามสะโพกนิโคไลจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากสายตา เขาเบือนหน้ากลับมามองคารินาแล้วยิ้ม รอยยิ้มของซาช่าในเวลานี้เปี่ยมเสน่ห์ และมันทำให้ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดูเซ็กซี่เย้ายวนใจ

คารินาหัวเราะในคอกับสีหน้าหล่อร้ายของนักส่งของอีกคนที่นั่งเงียบมาตลอดการสนทนา หล่อนขยับขาที่ไขว่ห้าง รอยแยกของชุดเดรสเผยให้เห็นต้นขาแน่นกระชับ

“ฉันคิดว่าสองชั่วโมงน่าจะพอให้เราคุยกันใช่ไหม”

ซาช่าไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนนั้น เขาลุกขึ้นแล้วช้อนร่างของราชินียาเสพติดขึ้นอุ้ม ท่าทางเขาเหมือนพวกชายหนุ่มเลือดร้อน หล่อนหัวเราะและปรามบอดีการ์ดที่ชักปืนออกมา

คารินาลูบมือบนแผงอกแข็งแกร่งเมื่อซาช่ากระซิบข้างใบหู

“ผมมีเรื่องคุยกับคุณเยอะทีเดียว คารินา”

กว่าซาช่าจะตามมาสมทบ นิโคไลก็เตรียมตัวพร้อมกลับอิตาลีแล้ว ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม หัวยุ่งและมีรอยลิปสติกสีแดงเข้มติดทั่วริมฝีปาก แก้มและลำคอ เขายิ้มทักนิโคไล ก่อนจะรีบเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ

นิโคไลไม่พูดหรือทักอะไร เขาไม่อยู่ในอารมณ์จะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคู่หู หรือคนที่เคยนอนด้วยกันเพียงครั้งเดียว

เขาทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงไว้ ยกเว้นเรื่องคู่หูคนใหม่ไปนอนกับคู่ค้า

เขาแค่รายงานกับสมาคมไปตามตรง ไม่มีอะไรที่ต้องทำมากกว่านั้น...ใช่ไหม?

————————————————-

วันต่อมา อิตาลี

ในห้องพักส่วนตัวของนักส่งของอันดับหนึ่งแห่งสมาคมใต้ดิน มีเสียงร้องไห้สลับกับเสียงพูดฟังไม่ได้ศัพท์เป็นภาษารัสเซียแว่วมาจากด้านในห้องอาบน้ำ แต่ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ มันคือคำพูดปลอบใจตัวเองของคนที่กำลังร้องไห้ เสียงที่เปล่งออกมานั้นยากทำความเข้าใจ คล้ายคนที่กำลังระเบิดอารมณ์ไม่ได้ต้องการความเข้าใจจากใครอื่น เขาแค่บาดเจ็บและเจ็บปวด ปวดแผลในอกที่ระบมเพราะถูกทุบตีทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก และกลั่นความไม่พอใจต่อชะตาชีวิต...ต่อคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดเจียนตายออกมาเป็นเสียง

นานทีเดียวกว่าเสียงสะอื้นจะสงบ จากนั้นห้องอาบน้ำก็คลุ้งด้วยควันบุหรี่ คนสูบสูบเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้ และอยากให้ตัวเองถูกกลืนหายไปในกลุ่มควันสีเทา

หลังเครื่องบินถึงอิตาลี นิโคไลไม่กลับบ้านไปหาโรเมโอ แต่ตรงมาห้องพักส่วนตัว เวลาร้องไห้ เขาจะร้องคนเดียว เพราะไม่ต้องการความเห็นใจใดๆ จากใครคนอื่น เขาแค่อยากระบายความทุกข์ที่อยู่ในใจ มันเป็นสิ่งที่ต้องเอาออกเสียบ้างเพื่อให้หัวว่าง

ทุกครั้งที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก นิโคไลจะรู้สึกว่างเปล่า ครั้งนี้ก็เช่นกัน...ทว่ามันเป็นความว่างเปล่าที่ดี

คนในอ่างอาบน้ำเหลือบมองกระบอกเข็ดฉีดยาซึ่งยังมียาบรรจุอยู่เต็มและสายรัดแขน เขาเอาสายรัดรัดแขน หยิบเข็มฉีดยาแล้วหลับตา เอนศีรษะพิงขอบอ่าง น้ำอุ่นทำให้รู้สึกสบายจนคิดว่าหลับไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่เลว

มือที่ห้อยอยู่นอกอ่างของนิโคไลถือเข็มฉีดยาค้างไว้เช่นนั้น

...เหมือนเขาต้องการเวลา

สองชั่วโมงในห้องอาบน้ำผ่านไปโดยไม่น่าใส่ใจ กระทั่งนิโคไลได้ยินเสียงจากโทรศัพท์มือถือ จึงเอื้อมหยิบมันมาดูอย่างขี้เกียจ ชื่อที่แสดงบนหน้าจอพร้อมภาพหมาจิ้งจอกแดงขนฟูทำให้คนหน้าสวยยิ้มแล้วกดรับสาย

“จิล โทรมามีอะไรหรือ ไม่ใช่ฮันเตอร์ไม่เชื่อฟังนายขึ้นมาแล้วนะ” น้ำเสียงของนิโคไลผ่อนคลาย

“นิกกี้! ได้ข่าวว่านายกลับมาแล้วฉันเลยโทรหา ส่วนฮันเตอร์...รายนั้นหงุดหงิดที่มาร์คไม่ติดต่อมาบ้างเลย งานที่บริษัทของเล่นก็ไม่ไปทำ ทุกวันนี้ถ้าไม่ห้ามไว้ก็ไม่รู้จะออกไปทำเรื่องอันตรายอะไรบ้าง” จิลบอก อันตรายที่ว่านี้เขาหมายถึงอันตรายต่อคนอื่นเป็นส่วนมาก

“มาร์คไม่ติดต่อมาเลยหรือ” นิโคไลหลุบตา เขาเริ่มจำไม่ค่อยได้แล้วว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

“ไม่เลย เขาติดต่อนายบ้างไหม”

“ไม่” คำตอบสั้น ง่าย และชัดเจน

“เขาอาจจะ...เอ่อ...อยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ได้นะ!” จิลพยายามคิดในแง่ดี

นิโคไลได้ยินเสียงเห่าร่าเริงจากปลายสายตอบรับเสียงจิล คงเป็นอัลเฟรด—สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่จิลเลี้ยงเหมือนลูก “เมี้ยว” เขาร้องเสียงเบา แล้วเพิ่มระดับเสียง “เมี้ยวๆๆ” นิโคไลคุยกับอัลเฟรด

และเพราะจิลเปิดสปีกเกอร์อยู่ อัลเฟรดจึงเห่าตอบอย่างฉงน

หวา น่ารัก! น่ารักอะไรขนาดนี้ จิลที่ฟังอยู่ถึงกับใจเต้นกับความขี้เล่นของนิโคไล และอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาทันที

“เออ นิกกี้ เรื่องอัลฟีโอ ฉันไปเยี่ยมเขามาตอนนายไม่อยู่ เขาดูไม่ดีเลย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจเหยื่อ...เอ้ย! คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขาดีเท่าไร”

ถ้าเข้าใจ จิลจะอยู่กับฮันเตอร์ได้หรือ

“หรือฉันควรไปหาเขาอีกสักรอบ” นิโคไลเอ่ยอย่างจนใจเหมือนกัน เราไม่อาจรู้ตื้นลึกหนาบางของผู้อื่นได้ทั้งหมด เขาคิดแทนอัลฟีโอว่าควรทำอย่างไรไม่ได้ ความพยายามครั้งที่แล้วยังล้มเหลวไม่เป็นท่า ส่วนสมาคม...สมาคมเก็บอัลฟีโอไว้ตามความต้องการของฮันเตอร์ในทีแรก และต่อมาด้วยคำขอร้องของเขา ซึ่งเป็นการทำเพื่อมาร์คกับตัวอัลฟีโอเอง มาร์คคงเสียใจถ้าอัลฟีโอโดนฆ่าปิดปาก แต่สิ่งที่อัลฟีโอต้องการล่ะ...จะมีใครตอบสนองเขาได้ไหม

อัลฟีโอเป็นเหยื่อในเรื่องนี้ แต่ก็มาจากความตั้งใจปกป้องเขาของแอนทอน แล้วสถานการณ์แบบนี้ควรมีข้อสรุปอย่างไร

“...นิกกี้ นิกกี้ ฟังอยู่หรือเปล่า” จิลเรียกเมื่อนิโคไลเงียบไป

“อ๊ะ อืม ขอโทษที เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” นิโคไลหลุดจากห้วงความคิด

“ฉันบอกว่า ถึงฉันไม่เข้าใจอัลฟีโอ แต่ฉันรู้จักคนที่อาจเข้าใจเขาและช่วยเราได้นะ!”

“ใครหรือ” นิโคไลถามขณะมองเล็บตัวเองไปด้วย การได้คุยกับจิลทำให้เขาผ่อนคลายและกลับมาเป็นนิโคไลคนเดิม

จิลหัวเราะแล้วบอกอย่างกระตือรือร้น “เขาคือฟรานซิส กาลิฟิอานาคิส หรือคนที่พวกนายเรียกว่าสไควร์”

“เอ๋” คราวนี้นิโคไลทำเสียงประหลาดใจ แม้ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ฟรานซิส กาลิฟิอานาคิสเป็นคนที่เขาได้ยินชื่อเสียงและได้ฟังเรื่องราวมาพอสมควร นอกจากเป็นดีไซเนอร์คนโปรดแล้ว...ผู้ถูกกล่าวถึงยังเป็น ‘คนธรรมดา’ ที่มีตำแหน่งสูงในสมาคมใต้ดิน

------------------------------------------

A/N ตอนนี้เราเศร้าค่ะ จริงๆ นิโคไลเขียนยากกว่าจิลเยอะเลยค่ะ เพราะเขามีกรอบที่จำกัดตัวเองไว้หลายอย่าง จะว่าเขาเป็นคนปกติที่เข้ามาอยู่โลกใต้ดินด้วยความจำเป็นก็ไม่ผิดนัก แม้จะเจ้าชู้และชอบขับรถอันตราย อย่างอื่นนิโคไลปกติมาก จะว่าเขาเป็นคนปกติที่สุดในบรรดาตัวละครของเราในซีรีส์นี้ก็ว่าได้ค่ะ

(แน่นอนว่าเรามีตัวละครไม่ปกติเยอะกว่ามาก แง!)

ถ้าเป็นตัวละครที่น็อตในหัวหลุดไปตัวสองตัวแล้วมาเจอสถานการณ์แบบนิโคไล เขาจะรับมือได้อย่างไม่แคร์กว่านี้ค่ะ แต่พอเป็นนิโคไล เขาเลือกสละตัวเองหลายอย่าง และการเลือกทำสิ่งที่คิดว่าดี บางครั้งก็เป็นทางที่ลำบากกว่ามากๆ เลยค่ะ

ป.ล. จำฟรานซิสกันได้ไหมเอ่ย?


ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 9-1

สองวันต่อมา สมาคมใต้ดิน

สมาชิกที่ทำงานให้กับสมาคมจะได้ห้องพักของตัวเองกันคนละห้อง อย่างซาช่าที่ตอนแรกเป็นคู่หูของหมอก็ได้รับห้องพักแบบธรรมดาในอาคารใต้ดินเขตนอก ต่อมาเมื่อทำงานเป็นนักส่งของก็เลื่อนมาอยู่อาคารใต้ดินเขตใน

เขตที่พักอาศัยของคนทำงานและโรงพยาบาลเป็นสถานที่ไม่ต้องสวมหน้ากาก ไม่เหมือนเขตเพื่อความบันเทิงซึ่งมีแขกจากภายนอก หรือ ‘ย่านการค้าและงานศิลปะ’ ซึ่งใช้ติดต่องาน

นิโคไลกดกริ่งหน้าห้องพักของนักส่งของคนล่าสุด แม้ไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะมาหา แต่ได้มีการส่งข้อความจากทีมนักส่งของมาแล้วว่า วันนี้ให้ทุกคนทำตัวให้ว่างและอยู่ในเขตสมาคม

นิโคไลอยู่ในชุดแปลกตา ไม่ใช่แฟชั่นเปรี้ยวจัดของกาลิฟิอานาคิส และไม่ใช่ชุดทำงานรัดกุม แต่เป็นชุดลำลองสบายๆ เสื้อไหมพรมตัวโคร่งแบบปาดไหล่ กับกางเกงยีนขาสั้นอวดเรือนขาอ่อนและรองเท้าบูตสีแดงยาวเหนือเข่า “สวัสดี” เขาทักทายซาช่าด้วยสีหน้าเหมือนแมวหยิ่ง

ซาช่าเปิดประตูห้องพักออกมาแบบมีกางเกงนอนผ้าเนื้อบางตัวเดียว เขาเท้าแขนกับกรอบประตู พลางทักทายนิโคไลด้วยประโยคสุดกวนประสาท

“ตาบวม ไปทำอะไรมา”

นิโคไลขมวดคิ้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหน้าตาตัวเองเรียบร้อยดี แต่ก็ตอบไปอย่างกวนประสาทพอกัน “โดนผึ้งเม็กซิกันต่อย”

“ผึ้งตัวใหญ่” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะ เขาขยับจากประตู เปิดทางให้นิโคไล “มีธุระอะไร หรือนายแวะมารับฉัน”

นิโคไลมองเนื้อตัวซาช่า ตั้งแต่แผ่นอกกว้าง ต้นแขน ไล่ลงมายังหน้าท้องและแนวไรขนสีทองใต้สะดือ ซาช่าเป็นผู้ชายน่ากิน เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคารินาหรือหลายๆ คนถึงไม่ปฏิเสธหมอนี่

คนหน้าสวยชะโงกดูที่วางรองเท้า “ถ้ามีคนอยู่ ฉันไม่เข้าไปก็ได้”

“ไม่มีใครอยู่ เตียงเย็นเฉียบเลยล่ะ” ซาช่าไม่ได้ขยับตัวเมื่อนิโคไลยื่นหน้ามามองชั้นวางรองเท้าที่อยู่ด้านหลังเขา ใบหน้าของนิโคไลจึงเฉียดผิวของคู่หูไปนิดเดียว ใกล้จนได้กลิ่นเหงื่อเจือกลิ่นบุหรี่จางๆ

นิโคไลระบายลมหายใจ ปัดความคิดชั่วแล่นที่วาบขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นกายของอีกฝ่ายทิ้งไป ขณะที่ซาช่ายังไม่ได้อาบน้ำ เส้นผมของนิโคไลหอมด้วยกลิ่นแชมพู วันนี้เขาไม่ได้ใส่น้ำหอม

“งั้นฉันมีของที่ทำให้นายอุ่น” นิโคไลชูขวดคอนยัคสีน้ำเงินเข้มราคาเหยียบแสนยูโรตรงหน้าซาช่า “ฉันให้ ได้โบนัสมานิดหน่อย ขอบคุณเรื่องที่เม็กซิโก”

“โอ้” เขารับขวดเหล้ามาจากนิโคไล พลิกดูปีที่ผลิตแล้วก็ผิวปาก ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรั้งเอวคู่หูมาแนบชิด แล้วจูบแรงๆ บนหน้าผาก

“ของดีแบบนี้ดื่มคนเดียวไม่อร่อย เข้ามาข้างในเถอะน่านิกกี้”

นิโคไลยันอกซาช่าเหมือนแมวขืนตัว “กลัวเข้าไปแล้วไม่จบแค่ดื่มเหล้าน่ะสิ”

ซาช่าหัวเราะท่าทางเหมือนแมวไม่พอใจของนิโคไล เขายอมปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ

“ถ้านายอยากแค่ดื่มเหล้า เราก็จะดื่มเหล้า แต่ถ้านายอยากทำอย่างอื่น…” เขาเว้นช่วงด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบกวนๆ

“น่า ดื่มกันสักแก้ว”

“ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไปอาบน้ำแต่งตัวสิ มีที่อยากพาไป” นิโคไลกอดอก ยืนสะโพกสวยว่าเขาจะรออยู่ตรงนี้ ซาช่าจึงพยักหน้าแล้วผละไปจัดการตัวเอง

เมื่อซาช่าออกมา นิโคไลพาเขาขึ้นลิฟท์ไปบนดิน ผ่านสวนสไตล์อิตาลีไปตามทางเดินปูหินสีขาวเป็นช่องสลับกับพื้นหินกรวดกลมมน ทิวทัศน์ทางซ้ายคือต้นสนไซเปรสเขียวสดเป็นทิวยาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าและหาดทราย ส่วนทางขวาเป็นลานพรรณไม้และกำแพงหินติดรูปปั้นหัวสิงโตกำลังพ่นน้ำ

‘สิงโต’ คือสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและเกียรติยศของ ‘แกรนด์ฟาเธอร์’ ชายผู้ก่อตั้งสมาคมใต้ดินแห่งอิตาลี

หมู่ตึกฝั่งตะวันออกที่อยู่สุดทางเดินมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าตึกโอลิมปัส เพราะเป็นที่อยู่ของคนทำงานระดับสูง อย่างในกลุ่มนักส่งของก็มีเพียงนิโคไลที่ได้ห้องสวีทของที่นี่เป็นห้องพักส่วนตัว

“เพิ่งเคยเข้ามาหรือเปล่า” นิโคไลถามซาช่าระหว่างเดินผ่านการ์ดชุดขาว “หรือมีใครเคยชวนนายมาแล้ว”

“ไม่เคย” ซาช่ายักไหล่ “สักวันหนึ่งมาอยู่ตรงนี้ดีไหม”

“ถ้าชอบ ความสามารถอย่างนายคงทำได้” นิโคไลตอบตามที่คิด ไม่ได้ประชด ส่วนซาช่ายิ้มแล้วถามต่อ

“แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไม หรือชวนมาดื่มที่ห้องนายแทน”

“ก็ใช่” นิโคไลไม่ปฏิเสธ ซ้ำแววตายังเป็นประกาย “เอ้า ถึงแล้ว เปิดประตูสิ นำเข้าไปเลย” เขาหยุดหน้าประตูไม้บานหรูทาสีเขียวอ่อนของห้องพักบนชั้นสามตึกฝั่งหันหน้าเข้าทะเล

“เจ้าบ้านนำก่อนเลยดีกว่า”

“ไม่ นายก่อน” นิโคไลเท้าเอว “ต้องเป็นนาย”

“ไม่ เชิญก่อน” ซาช่าพยักพเยิด

นิโคไลจ้องอีกฝ่าย “ได้โปรด เข้าไปก่อน” เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ได้โปรด’

“เราจะยืนอยู่ตรงนี้กันทั้งวันก็ได้นะ”

“นายเป็นคนอ่านบรรยากาศไม่เป็นหรือแค่อยากกวนอารมณ์ฉัน”

“ฉันไม่ชอบเดินนำ ฉันเป็นฝ่ายซัพพอร์ต จำได้ไหม” ซาช่ายิ้มและเท้าเอวเลียนแบบท่านิโคไล

คนหน้าสวยทำหน้าเข่นเขี้ยว ก่อนจะคล้องแขนซาช่าแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม พวกเขาผ่านประตูเข้าไปพร้อมกัน

“เซอร์ไพรส์! เด็กใหม่!”

เศษกระดาษสีรุ้งแวววาวจากพลุดึงถูกยิงใส่หน้าคู่หูนักส่งของ นิโคไลหลับตาแบบเตรียมใจไว้แล้ว ขณะที่สายรุ้งและกระดาษสียังพุ่งมาไม่หยุด

“เซอร์ไพรส์ๆ! ทำได้ดีมากที่เม็กซิโก! วู้ววว ...อ้าวนิกกี้ ทำไมเข้ามารับน้องพร้อมเด็กใหม่ล่ะ” โซเฟีย หนึ่งในลูกทีมนักส่งของทัก ขณะที่ลูกทีมคนอื่นๆ หัวเราะลั่น

“เพราะหมอนี่ไม่ยอมเข้ามาคนเดียวน่ะสิ และฉันคอแห้งแล้วด้วย” นิโคไลตอบทั้งที่เศษกระดาษสียังติดเต็มเส้นผมและใบหน้า “เลิกยิงได้แล้ว เจ้าพวกนี้!” เขาตะโกนเมื่อมีคนมือดี ยิงพลุกระดาษใส่หน้าซ้ำเติมตอนกำลังพูด

พวกนายควรยิงใส่หน้าคนข้างๆ ฉันนี่ ไม่ใช่ฉัน!

ซาช่าที่เบี่ยงหน้าหลบพลุกระดาษทันกลั้นขำจนไหล่สั่นเมื่อคนอื่นๆ ในทีมหันไปโจมตีนิโคไลแทน ชายหนุ่มจับมือนิโคไลชูขึ้น แล้วค้อมตัวด้วยท่าทางราวกับนักแสดงที่เพิ่งแสดงจบ

นิโคไลสะบัดมือออกแล้วเดินไปเอาเศษกระดาษสีออกจากเส้นผมกับตามเนื้อตัว ระหว่างนั้น คนอื่นๆ เข้ามาห้อมล้อมซาช่า

“นายเจ๋งว่ะ เด็กใหม่” เดมิตริโอ ลูกทีมท่าทางร่าเริงตบหลังซาช่า “พวกเราได้ยินความเจ๋งของนายที่เม็กซิโกมาเยอะเชียว”

“เหล้าที่ถือมานั่นคอนยัคปีหนึ่งเก้าหรือเปล่า ว้าว ยอดไปเลย!” ใครคนหนึ่งพูด

“ก็แค่ช่วยนิโคไลจากพวกเม็กซิกันเจ้าเล่ห์ครั้งเดียว” โซเฟียปราม แต่สีหน้าดูเป็นมิตรมากขึ้น

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทีมนักส่งของอย่างเป็นทางการ” คริสตอฟ คู่หูของโซเฟียยื่นมือให้ซาช่า

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจับมือตอบแล้วกระชับหนักๆ

“ขอบใจ” เขาหันไปทักทายกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอันเป็นเอกลักษณ์

ลูกทีมนักส่งของเคยเย็นชากับซาช่าจริง แต่นั่นเพราะซาช่าเป็นคนใหม่ที่น่าสงสัยและทำตัวกวนประสาท ซาช่าไม่นับเป็นหนึ่งในพวกเขาจนกว่าจะพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งในที่นี้คือภารกิจที่เม็กซิโก การส่งของเป็นงานเสี่ยงตาย คุณไม่รู้ว่าเมื่อได้รับภารกิจแล้วจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า นักส่งของที่ยอมเสี่ยงชีวิตและช่วยเหลือประคับประคองเพื่อนร่วมทีมจึงนับเป็นหนึ่งในทีม

เป็นหนึ่งในครอบครัวของพวกเขา

หลังทักทายและคุยกันไปพักหนึ่งซาช่าก็เปิดขวดคอนยัครินแจกจ่ายให้คนในทีม บรรยากาศในห้องพักของนักส่งของอันดับหนึ่งครึกครื้นจนแทบเรียกว่าอึกทึก

“ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิเด็กใหม่ อยู่นิวยอร์กเป็นยังไง”

“ไม่ เล่าเรื่องแข่งมอเตอร์ครอสส์ดีกว่า”

ชายหนุ่มสองคนแย่งกันพูด พวกเขาคือคู่หูนักแข่งรถ เกรย์และลูคัส

ซาช่าเลยเล่าทั้งสองเรื่องให้ฟัง ท่าทางเขาตอนนั้นผ่อนคลาย นานเป็นสิบนาทีกว่าจะจบเรื่อง

นิโคไลถือแก้วเปล่ามาสองใบ ให้กับตนเองและคู่หู “ดื่มกันสักแก้ว”

“ขอบใจนิกกี้” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรับแก้วมาใบหนึ่ง เขารินเหล้าให้นิโคไลและตัวเอง แล้ววางขวดไว้บนโต๊ะข้างตัว ซาช่าชนแก้วกับคู่หูเบาๆ ดวงตาเขาคล้ายจะนุ่มนวลขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง

“ดีใจที่ได้ทำงานกับนาย”

นิโคไลมองตาซาช่าแล้วสีหน้าอ่อนลง บางส่วนในใจเขาอ่อนยวบ จึงเผลอยิ้มนุ่มนวล “อืม ขอบใจที่ดีใจนะ” เขาค่อยๆ ละเลียดเหล้ารสนุ่มเหมือนจะละลายลิ้น

ด้านข้าง ลูกทีมบางคนชวนกันเล่นน้ำทะเล ไม่บ่อยนักที่พวกเขาได้มาฉลองที่ห้องพักเขตระดับสูง ริมทะเลที่สวยที่สุดของเมืองฝั่งนี้

“ซาช่า เล่นน้ำไหม” ลอเรน สาวสวยประจำทีมและเป็นคู่หูของเดมิตริโอถาม หล่อนมีผมสีน้ำตาลหยักสวยรับกับริมฝีปากอวบอิ่ม

“อีกสักพัก” ซาช่าตอบลอเรน เขาจิบคอนยัคก่อนจะเสริม “ขอดื่มด่ำช่วงเวลาดีๆ กับนิกกี้ก่อน”

ลอเรนฟังแล้วหน้าแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอมองหัวหน้าทีมและคู่หูคนใหม่อย่างใช้ความคิด

“เธอล่ะ นิกกี้” โซเฟียถามบ้าง

“วันนี้ไม่เล่น ยังช้ำจากภารกิจล่าสุดน่ะ” นิโคไลตอบ เขาใส่เสื้อตัวหลวมก็เพราะเหตุนี้

-------------------------------------------

A/N หนักมาแล้วต้องผ่อนคลายกันบ้างเนอะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 9-2


เหล้าพร่องไปครึ่งแก้ว ไม่รู้ทำไมคนถึงหายไปเล่นน้ำทะเลกันหมด ยกเว้นคริสตอฟที่ออกไปนั่งสูบบุหรี่ ทว่าคอยมองโซเฟีย

“นายบอกว่าอยากดื่มด่ำช่วงเวลาดีๆ กับฉันหรือ” นิโคไลถามเมื่ออยู่กันสองคน

“ใช่”

นิโคไลรู้สึกร้อนที่แก้ม อาจเพราะเหล้าดีกรีแรง และลมก็พัดเข้ามาน้อยไป “รู้ไหม ช่วงเวลาดีๆ ฉันทำอะไร”

“นั่งคุยกัน?” ซาช่าทำตาใส ก่อนจะหัวเราะพร้อมจิบเหล้าจากแก้วในมือหนึ่งคำ เขานึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริงสำหรับงานเลี้ยงในครั้งนี้ และนึกขอบคุณมิตรภาพซึ่งบรรดานักส่งของมอบให้อย่างกะทันหัน

ขอบคุณ...ขอบคุณ ถึงในอนาคตพวกนายจะเกลียดฉันก็ตาม

“คำตอบของนายน่ารักไม่สมกับเป็นคาสโนวาตัวพ่อเลยนะ” นิโคไลพาดพิงเรื่องที่เม็กซิโก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่กล้าขึ้นเตียงกับเจ้าแม่มาเฟียตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

“เอ้า ก็จริงๆ แล้วฉันน่ารัก” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยิ้มตาหยี

“ช่วงเวลาดีๆ ฉันทำแบบนี้” นิโคไลขยับเข้าไปใกล้ เขาเอนศีรษะพิงแขนซาช่าและยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดเข่า ท่าทางสงบเหมือนแมวตัวโตกำลังอ้อนมนุษย์

“โอ๋...เจ้าเหมียวอ้อนฉันหรือ” ซาช่าลูบศีรษะนิโคไล “โอ๋ โอ๋ นิ่งซะๆ”

“เวลาดีๆ” นิโคไลย้ำ “อย่าทำผมฉันเสียทรง”

“มีทรงด้วยหรือนี่” ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะถอนใจยาวและเบือนสายตามองทิวทัศน์

นิโคไลพิงซาช่าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เสียงต่างๆ เหมือนจะหยุดลง เหลือเพียงความสงบระหว่างคนทั้งสอง

“คืนนี้ค้างที่นี่ไหม ฉันอยากมีเพื่อนดูดาว” นิโคไลชวน

“ยินดี” ซาช่าตอบรับ สายตาทอดยาวออกไป เขานึกว่ามีช่วงเวลาไหนที่สงบบ้างในอดีต คำตอบคือช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแม่ อาหารเช้า อาหารเที่ยงและค่ำ เป็นช่วงเวลาที่ได้คุยกันในทุกเรื่อง แม่ชอบปรัชญา ส่วนเขาสนใจการแข่งมอเตอร์ไซค์ เขานึกขำเวลาแม่โยงปรัชญาเข้ากับมอเตอร์ไซค์จนได้ ขณะที่เขาทำเสียงอืม...อืม เหมือนเข้าใจแต่ความจริงคือเขาไม่เข้าใจอะไรเลย

ตลอดชีวิตของชายหนุ่ม เขามีคนที่ผูกพันด้วยไม่มาก นับแล้วก็ได้แค่สามสี่คน แม่ อา กับอาอีกคนหนึ่งที่อุปถัมภ์เขาเรื่องการแข่งมอเตอร์ไซค์ โฮมสคูล และเรื่องอื่นๆ ส่วนคนที่สี่...คนที่สี่

อาจเป็นคนที่ชื่อ ‘นิกิ’ ซึ่งเขาเพิ่งนึกได้ อีกฝ่ายเลือนรางในความทรงจำ แม้กระทั่งในความรู้สึก แต่นิกิยังปรากฏวูบวาบในความคิดเวลาที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ความสัมพันธ์อายุสั้น คนเราก็อย่างนี้ เข้ามาในชีวิตแล้วหายไป บ้างหายไปอย่างหมดจด บ้างหายไปแล้วกลับมาในรูปแบบคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน

“ขอบใจ” นิโคไลพึมพำ ลมเริ่มพัดเข้ามาใหม่ แสงแดดอุ่นและสายลมเย็นช่วยขยับเขยื้อนบรรยากาศให้กลับมามีชีวิตชีวา นิโคไลวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะด้านหน้า เพราะรู้สึกเคลิ้มกับบรรยากาศจนอยากหลับตา เขาไม่ชวนซาช่าคุยอะไรอีก เพียงแค่ฟังเสียงลมหายใจและหัวใจของอีกฝ่าย…

“ซาช่า” นิโคไลพึมพำ ทว่าไม่เหมือนการเรียกหาคนข้างๆ เขาแค่เอ่ยขึ้นนั้นเหมือนหลุดปากออกมา

“หืม” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนก้มมองนิโคไล “ว่ายังไง”

“อา...” นิโคไลกะพริบตา “ฉันพูดอะไรไปหรือ...พักนี้ฉันเลี่ยงหมอซะด้วยสิ” เขาซุกเบาะมนุษย์ด้านข้าง พบว่าแข็งแน่น ไม่น่าซุกเลยสักนิด แต่กลับอุ่นสบาย

“นายเหมือนเรียกฉัน ไม่ฉันก็หูแว่ว”

“ซาช่า” นิโคไลเรียกอีกครั้งและเอนหัวบนตักอีกฝ่าย “ซาช่า ซาช่า ซาช่า” เขาหลับตา ยิ้มเหมือนเด็ก

ซาช่าโคลงศีรษะ ไม่ใส่ใจ เขาจิบเหล้าชมวิวเงียบๆ ปล่อยให้นิโคไลพักผ่อน

และด้วยความแปลกใจของนักส่งของคนอื่นๆ พวกเขากลับมาเห็นนิโคไลนอนหลับสนิทบนตักซาช่า สีหน้าดูสงบสบายราวกับว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งได้นอนพักกลางวันหลังจากเหนื่อยมานาน

———————————————

นิโคไลรู้สึกตัวอีกทีตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เขาไม่ได้นอนดีๆ อย่างนี้มาหลายคืน และยิ่งนอนไม่หลับหลังกลับจากเม็กซิโก เขาไม่คาดว่าตัวเองจะเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้นเมื่อตอนกลางวัน

ขณะที่ซาช่านอนคว่ำ เปลือยอก เสียงลมหายใจดังและสม่ำเสมอทำให้ทราบว่าเขาหลับสนิทยิ่งกว่าเด็กทารก แพขนตาขยับไหวตามการกลอกกลิ้งของลูกตา ชายหนุ่มดำดิ่งในห้วงฝัน เขาฝันถึงสนามแข่ง ถึงปรัชญาและอาหารของแม่ ถึงการย้ายบ้านจากรัสเซียมาสหรัฐฯ ผสมปนเปไม่มีเส้นเรื่อง

นิโคไลแปลกใจที่ซาช่าพาเขามานอนในห้องนอน ซ้ำยังถือวิสาสะถอดเสื้อนอนบนเตียงคนอื่น แต่ใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายยังคงดึงดูดสายตาเขา ความทรงจำที่ขาดหายไปคล้ายได้รับการเติมเต็ม ไม่มีอาการปวดศีรษะยามเผลอนึกเรื่องในอดีตจนต้องใช้ยาฉีดเพื่อบรรเทา

เขาตัดสินใจไม่รบกวนซาช่าและนอนมองเฉยๆ แม้วูบหนึ่งจะนึกอยากจูบริมฝีปากน่าจูบนั้นก็ตาม

ซาช่านอนไปจนพระจันทร์ขึ้นสูงที่สุดบนฟ้า นาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือร้องบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มงัวเงีย ควานมือหาโทรศัพท์มือถือเพื่อปิดเสียงน่ารำคาญ แต่กลับควานพบเส้นผมนุ่ม

“ป—” เขาเกือบหลุดเสียงเรียกหาใครบางคน ทว่ายั้งได้ทัน ในอาการสะลึมสะลือยังมีสติเหลืออยู่ และสติกรีดร้องใส่เขาว่าไม่ใช่คนที่เขาคิด...ไม่มีทาง

“อือ…” นิโคไลคราง เขามองคนข้างๆ จนเผลอหลับไปอีกรอบ “เจ็บนะ”

“อืม” ซาช่ามุดหน้าจมหมอน มือยังไม่หยุดขยุ้มผมนิโคไลเล่น “นุ่ม...นุ่ม”

“หยุดนะ” นิโคไลตะปบมือใหญ่เหมือนแมวขี้โมโห “บอกให้หยุดไงล่ะ”

“หยุดจ้ะหยุด” ซาช่าหันมาหาอีกฝ่าย ยกมือขึ้นพร้อมยิ้มกวนอารมณ์

“ทำอะไรกับเสียงนั่นที” นิโคไลจัดทรงผม พลางมองเวลาจากนาฬิการูปพระจันทร์ตรงโต๊ะข้างเตียง

“เพราะดีออก ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยันร่างขึ้น แต่แล้วก็ปล่อยตัวลงนอนตามเดิม “อา...ไม่อยากลุก” คราวนี้เอาขาก่ายนิโคไลและเขย่าตามจังหวะเสียงนาฬิกาปลุก

“รู้ไหมว่าตัวหนัก ทำตัวเป็นเด็กยักษ์” ผมนิโคไลกลับมายุ่งอีกรอบ ครั้งนี้เขาเลิกพยายามจัดมันและเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือของซาช่า จับหน้าจอส่องหน้า ‘เด็กยักษ์’ เป็นทำนองให้ปิดเสีย

ซาช่าปิดเสียงนาฬิกาปลุกในที่สุด ก่อนหันมาจั๊กจี้คนที่นอนข้างกาย ปลุกปล้ำแบบไม่กลัวถูกโกรธ

ไม่รู้ซาช่าทราบได้อย่างไรว่านิโคไลบ้าจี้ คนตัวเล็กหัวเราะพร้อมดิ้นไปมา แขนขาป่ายกันอย่างสับสน รู้ตัวอีกทั้งสองก็พัวพันอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หมอนกับผ้าห่มกระจัดกระจายไปคนละทาง “พอๆ ซาช่า พอ!” นิโคไลเอาแขนกันตัวเองเป็นพัลวัน

ซาชาหัวเราะ เขาหยุดพลางเสยผมที่เริ่มชื้นเหงื่อ “ชักจะหิว” ชายหนุ่มพลิกนอนหงาย “เราสั่งอะไรมากินไหม ตอนไปเม็กซิโกยังไม่ได้ลองชิมอะไรสักอย่าง สั่งอาหารเม็กซิกันมาเข้าท่าดี”

นิโคไลที่ไม่ได้หัวเราะเต็มเสียงมานานรู้สึกสดชื่นขึ้น “ไม่ได้กินผู้หญิงเม็กซิกันจนอิ่มแล้วเหรอ” เขากลับมาช่างประชดพลางพลิกตัวนอนคว่ำ เอื้อมหยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่เป็นสายภายใน “อยากกินอะไรล่ะ หรือต้องมีเมนู” คนที่นอนคว่ำถาม บั้นท้ายกลมกลึงและต้นขาเปลือยดูน่ารักน่าฟัด

“นาโช ฉันเคยกินอย่างเดียว อร่อยดี” ซาช่าพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางนิโคไล เขาวางมือบนสะโพกได้รูป

นิโคไลชะงักไปครู่ “นาโชหรือ ได้สิ” ...เป็นเพราะใครบางคนที่ไม่อยู่แล้วก็ชอบกินนาโชเหมือนกัน

“แต่มันไม่อิ่มน่ะสิ อยากได้อะไร ฟูลคอร์ส”

“เชื่อเขาเลย” ความหน้าด้านของซาช่าทำให้นิโคไลหลุดจากภวังค์ เขาตีจมูกหล่อๆ “คิดจะกินฟรีตลอด” เขาหัวเราะและกดสั่งอาหารให้ซาช่ากับเครื่องดื่มให้ตัวเอง เมื่อวางสายก็หันไปรั้งอีกฝ่ายมาคุยกัน “ฉันเกรงว่าวันนี้ฟูลคอร์สจะไม่มี”

“ไม่เข้าใจคำว่า ‘ฟูลคอร์ส’ จริงๆ หรือ” ซาช่าขยำสะโพกนิโคไล ฟูลคอร์สของชายหนุ่มไม่ใช่ฟูลคอร์สแบบที่นิโคไลเข้าใจแน่

ดวงตาคู่สวยเหนือไฝน้ำตาหลุบลง นิโคไลแตะปากกับปากของซาช่าอย่างแผ่วเบา “ฉันชวนนายมาดูดาวจริงๆ นะ” เขากดปุ่มข้างเตียง ครู่เดียวเพดานห้องก็เลื่อนออกครึ่งหนึ่ง เพดานกระจกใสกระจ่างคล้ายกรอบภาพท้องฟ้ายามกลางคืน ดวงจันทร์ฉายแสงจรัสท่ามกลางหมู่ดาว ชวนให้นึกว่าอวกาศอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“สวยไหม ดาวนี่ จะดูจากที่ไหนก็สวยเหมือนกันหมด” นิโคไลมองท้องฟ้าครู่หนึ่งก็หันมาจูบแก้มซาช่า “นายเป็นผู้ชายที่วิเศษ ฉันไม่ปฏิเสธว่าอยากนอนกับนายแม้กระทั่งตอนนี้ แต่ ซาช่า รู้ไหมถ้านอนกันฉันจะนึกถึงอะไร ฉันจะนึกถึงคำพูดของอเลฮานโดรกับมือของมันที่บีบคอฉัน สภาพของฉันที่คลานอยู่พื้นห้องเหม็นกลิ่นอาเจียนของตัวเองหลังถูกเตะที่ท้อง...ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเซ็กซ์เพื่อความสนุกสนานหรือการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ ถ้านายไม่โกรธที่ฉันปฏิเสธ ก็อยู่เป็นเพื่อนอีกหน่อยได้ไหม”

--------------------------------------

A/N หวานๆ นะคะ ตอนนี้ T_T
ป.ล. หลายท่านอาจยังไม่ทราบ ขณะนี้ หนังสือชุด Of Vivid Creatures เล่ม 1-2 มีวางขายแล้วนะคะ ออกกับสนพ. SENSE BOOK วางขายที่ บูธ O-08 ในงานสัปดาห์หนังสือ ถึงวันที่ 8 เมษายน 2561 นี้ และหลังจากนี้จะขายทางปณ. กับสนพ. ค่า
ส่วนที่ลงในเน็ต จะลงจนจบเรื่องโดยไม่ลบ แต่ไม่มีตอนพิเศษ ตอนพิเศษสงวนไว้สำหรับนักอ่านที่ซื้อฉบับรวมเล่มค่ะ (และมันดีงามมากๆ จ้า) หากท่านอ่านแล้วถูกใจ กรุณาซื้อหนังสือเล่มเพื่อสนับสนุนให้นักเขียนสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้นะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า!

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 9-3

มือใหญ่ที่ร้อนจัดเลื่อนจากสะโพกของนิโคไล ซาช่านวดแผ่นหลังอีกฝ่ายแผ่วเบา มือข้างนั้นขึ้นมาถึงบ่า และแตะบนแก้มเนียน

“ไม่เลยนิโคไล ฉันไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียวที่นายปฏิเสธ” สีหน้าและเสียงของซาช่าอ่อนโยนขึ้น เขาเป็นคนแฟร์เซ็กซ์และใส่ใจคู่นอนเสมอ “เซ็กซ์สำหรับฉันคือการที่คนสองคนตกลงจะใช้เวลาและสัมผัสกันและกัน ฉันดีใจที่นายปฏิเสธเมื่อไม่อยากในตอนนี้” ปลายนิ้วของชายหนุ่มชาวรัสเซียนเกลี่ยผมขึ้นทัดใบหู

“แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากบอกนาย นิกกี้ อย่าเก็บคำพูดของอเลฮานโดรมาใส่ใจ สิ่งที่นายทำกับมัน ฉันเรียกว่าความรับผิดชอบและความเสียสละ ส่วนสิ่งที่มันทำกับนาย คือการทารุณกรรม”

นิโคไลยิ้ม “ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยบีบคอฉัน นายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ” เขาพูดถึงครั้งแรกที่ร่วมหลับนอนกัน

ซาช่ายักไหล่ เขาตอบตรงไปตรงมา “ยอมรับว่าบางครั้งฉันควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนัก”

“ทำไมล่ะ” เขาถามพลางเอานิ้วปัดผมจากหน้าผากซาช่า “ก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ ถึงจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้” คำพูดนี้เป็นการชวนคุยเพื่อผ่อนคลายมากกว่าหาเรื่อง

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะพลางพลิกลงไปนอนหงายมองดาวข้างนิโคไล “ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นวัยรุ่นอยู่เลย”

“เบญจเพสแล้วต่างหาก” นิโคไลอิงศีรษะชนกับอีกฝ่าย “ยี่สิบห้าปีหรือ...สิบปีที่แล้ว...ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ที่นี่หรอก ยังไม่รู้จักที่นี่เลยด้วยซ้ำ”

“ฉันถามได้ไหม” ซาช่าเอียงหน้าไปมองนิโคไล “ทำไมถึงชอบพูดถึงอดีตนัก ฉันรู้สึกว่านายเจ็บปวดเมื่อนึกถึงอดีต แต่นายก็ชอบพูดถึงมัน”

“เพราะจำไม่ได้น่ะสิ” นิโคไลหลับตา “มีคนคนหนึ่งที่ฉันลืมไป ตอนแรกฉันไม่ใส่ใจนัก ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร แต่พอหลายปีเข้า ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ นายเรียกสิ่งที่อเลฮานโดรทำว่าทารุณกรรมใช่ไหม งั้น...ฉันบอกได้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่ และฉันต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต กับยาที่ต้องใช้เป็นประจำเพื่อให้ลืมคนคนนั้น” เขาลืมตาและหันไปทางซาช่า “ฉันเริ่มสงสัยตัวเองในอดีตแล้วว่ามันคุ้มกันไหมกับการอยู่โดยลืมคนที่พูดถึง มันไม่มีสาเหตุอื่นแล้วหรือนอกจากฉันอยากลืมเขาเพราะรักเขามาก มันฟังดูโรแมนติกสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ด แต่ตอนนี้ฉันสงสัยและติดอยู่ระหว่างกลาง ว่าควรจำได้หรือควรลืม”

“ตามที่ฉันเข้าใจคือ นายพูดถึงอดีตบ่อยๆ เพราะนายจำมันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันนายก็ไม่รู้ว่าควรลืมหรือจำมัน” ซาช่าเลิกคิ้ว “พูดตามตรงฉันไม่ค่อยเข้าใจที่นายพูด การจำได้หรือไม่ได้มีค่าเท่ากัน คือมันเป็นอดีตไปแล้ว”

“ฉันไม่แน่ใจซาช่า แค่เราบอกว่า ‘มันเป็นอดีตไปแล้ว’ มันจะไม่มีอิทธิพลกับเราได้จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราไม่มีอดีตให้จดจำ และไม่มีอนาคตที่อยากสร้างขึ้น ฉันคิดว่าควรจำให้ได้ และเผชิญหน้ากับมัน”

“เราถกกันคืนนี้คงไม่จบ เพราะเรายืนกันอยู่คนละฝั่งความคิด” ซาช่ายิ้มจางๆ “อดีตอาจส่งผลต่อฉันในทางใดทางหนึ่ง แต่ฉันไม่ให้มันมีอิทธิพลเหนือตัวฉันในปัจจุบันหรืออนาคตแน่”

“หรือไม่ก็เพราะนายไม่มีอดีตที่สำคัญจนสามารถส่งผลถึงปัจจุบัน...แต่ช่างเถอะ” นิโคไลไม่ต่อความ แม้คิดต่าง แต่เขาไม่ใช่คนหัวดื้อ การรับฟังมุมมองที่แตกต่างก็ดีกว่าจมอยู่กับความคิดเดิมๆ “ดีใจที่ได้คุยนะ เราควรเปลี่ยนอาชีพไปทำงานนั่งโต๊ะกันไหม พวกงานวิชาการหรืออะไรทำนองนั้น”

“ไม่ล่ะ ถึงนายในมาดศาสตราจารย์น่าจะดูเซ็กซี่ แต่ฉันเกลียดงานวิชาการ”

“ให้ตายเถอะซาช่า นายกล้าดียังไงถึงนึกภาพฉันในชุดเชยบรม” นิโคไลแทบกางเล็บ

ท่าทางฟึดฟัดทำให้ซาช่าหัวเราะเต็มเสียง เขามองนิโคไล ยกมือยีผมอีกฝ่ายจนยุ่ง

ยีผมอีกแล้ว จะยีอะไรนักหนา! นิโคไลข่วนมือซาช่า จากนั้นก็หลุบตา

“ฉันคิดว่า...เราควรลองจูบกันมั้ย ก่อนที่เราจะเริ่มบทสนทนาปรัชญาอีกเรื่องและทำให้มันกลายเป็นการถกเถียงทางจิตวิญญาณ” เขาชวนเพราะรู้สึกดีกับอีกฝ่ายหลังพูดคุยกัน

แทนคำตอบ ชายหนุ่มชาวรัสเซียนประคองใบหน้านิโคไลมาจูบ ริมฝีปากละเลียดบนกลีบปากนุ่ม ใต้ท้องฟ้าที่ดวงดาวระยับ คล้ายความรู้สึกดีๆ ระหว่างซาช่าและนิโคไลจะถักทอขึ้นอย่างเงียบงัน

พวกเขาจูบและจูบ เพียงแค่จูบนิโคไลก็รู้สึกเต็มอิ่ม เขาลูบเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างต้องการทำความรู้จัก ระหว่างกำลังหลับตาและเพลิดเพลินในรสจูบนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น

“รูมเซอร์วิส…” นิโคไลพึมพำ “ยังต้องกินอีกไหม”

“กิน...แต่ปล่อยให้เขารอสักหน่อยก็ได้” ซาช่ามองนิโคไล ยิ้ม...ก่อนประทับจูบอีกครั้ง

———————————————————————-

ไม่รู้เพราะอะไร ช่วงนี้โรงพยาบาลของสมาคมใต้ดินกลายเป็นสถานที่ที่มีคนสุขภาพแข็งแรงเดินเข้าออกบ่อย วันนี้คนสุขภาพแข็งแรงที่ว่าสวมชุดสูทสีแดง หอบช่อดอกไม้สีชมพูน่ารักและกล่องช็อกโกแลตผูกโบสีแดงมาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ป้ายด้านหน้าห้องเขียนว่า ‘Little Miss C. C.’

นางพยาบาลที่อยู่ในห้องหันมองเขาแล้วลอบยิ้มขวยเขิน เพราะชายที่เพิ่งเข้ามามีใบหน้าหล่อเหลาแบบชนชั้นสูงกับรอยยิ้มอบอุ่น หล่อนได้ยินว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนไฟและชอบใช้ความรุนแรง พักก่อนก็ชกต่อยจนได้รับบาดเจ็บแล้วมาอาละวาดในโรงพยาบาล ทว่าไม่เคยมีโอกาสได้พบตัวจริง จึงไม่คิดว่าใบหน้าใต้หน้ากากจะทำให้ใจเต้นแรงเหมือนกำลังมองปีศาจร้ายในคราบเทพบุตร

“สมอลเลดี้” ไพโรอ้าแขนให้เด็กหญิงผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งเล่นแท็ปเล็ตอยู่บนเตียงคนไข้ ข้างเตียงเธอมีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายคนนั้นสวมชุดสูทสีดำและแว่นตากรอบดำ ใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยตามวัยครึ้มด้วยเคราสีเดียวกับเส้นผมสีดอกเลาที่เสยขึ้น เขาคือ ‘รามิเอล’ เทวทูตผู้มีหน้าที่ดูแลเธอซึ่งเป็นบุตรสาวของคารินา คาห์โล—ราชินียาเสพติด

“คุณอา!” คลอเดียวางแท็ปเล็ตเมื่อเห็นว่าใครมาหา คุณอาชุดแดงคนนี้มาเยี่ยมเธอบ่อยๆ เพราะเป็นเพื่อนกับ ‘พี่นิกกี้’ พี่ชายที่พาเธอมารักษาตัวที่นี่

วันที่นิโคไลไปรับคลอเดีย เด็กหญิงไม่ได้สติเป็นส่วนมาก แต่ก็ร้องไห้หวาดกลัวทุกครั้งที่ตื่นมาเห็นผู้ใหญ่ มีเพียงนิโคไลซึ่งรูปร่างเล็กและดูใจดีที่เธอไม่ผวา นอกจากนี้นิโคไลยังคอยเฝ้าเธอเกือบตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน คลอเดียจึงไว้ใจนิโคไลที่สุดในบรรดาคนที่นี่ แต่นิโคไลมักต้องไปทำงานบ่อยๆ เขาจึงแนะนำให้เด็กหญิงรู้จักกับไพโร ผู้รับหน้าที่มาเยี่ยมแทนเขา

และด้วยความแปลกใจของคนอื่นๆ นอกจากนิโคไล ไพโรเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเวลาอยู่กับคลอเดีย เขาทำตัวเป็น ‘คุณอา’ ผู้แสนใจดีธรรมดาๆ คนหนึ่ง

สาเหตุที่ไพโรเข้ากับเด็กหญิงได้เพราะเขาเคยบอกนิโคไลว่า ถ้าวันหนึ่งเขามีลูกกับคนรัก เขาอยากมีลูกสาว จึงใจอ่อนกับเด็กผู้หญิงเป็นพิเศษ

ซึ่งนิโคไลไม่คิดว่าไพโรจะมีลูกจริงๆ หรอก...เพราะอีกฝ่ายไม่มีคนรัก และไม่เห็นเคยรักใคร

อย่างไรก็ตาม ไพโรพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าได้รับความไว้ใจจากคลอเดีย ดูจากที่เธอลงจากเตียงมาโผกอดเขาเวลานี้

“เบาๆ อาไม่ไปไหน” ไพโรหัวเราะ ใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา “หายดีแล้วหรือเรา หายไวอย่างนี้เก่งจังเลยครับ” เขาชม แต่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคลอเดียดีขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการทางการแพทย์ของสมาคมใต้ดิน และเด็กหญิงยังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักพัก

“ยังไม่หายค่ะ ยังอยากได้ของเยี่ยมอยู่” สาวน้อยเชื้อสายเม็กซิกันอ้อนพลางสนอกสนใจกล่องช็อกโกแลตอย่างออกหน้าออกตา

“แล้วกัน แล้วดอกไม้ของอาล่ะ สมอลเลดี้” ไพโรแสร้งทำเสียงน้อยใจ

“ดอกไม้ก็เอาค่ะ!” เธอบอก คว้าช่อดอกไม้มากอดรวมกับกล่องช็อกโกแลต “หอมจังเลยค่ะ คาร์เนชั่นมีกลิ่นด้วยเหรอคะ” คลอเดียสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ อันหวานสดชื่นเข้าเต็มปอด

“ปกติไม่มี แต่อาปรุงกลิ่นนี้ให้หนูโดยเฉพาะ ชื่อกลิ่น ‘Small Lady’ ชอบไหม” อย่างไรไพโรก็เป็นนักปรุงน้ำหอมของสมาคมใต้ดิน ถึงไม่มีเจตนาร้ายกับเด็กอายุเจ็ดขวบ แต่การที่เขาเอาคลอเดียเป็น ‘นางแบบ’ ก็อาจโดนนิโคไลเอ็ดทีหลัง

ทว่าการที่นักปรุงน้ำหอมระดับโลกปรุงน้ำหอมเพื่อเอาใจเด็กหญิงคนหนึ่งโดยหวังเพียงรอยยิ้มของเธอ...ฟังแล้วก็น่ารักดีไม่ใช่หรือ

“ชอบค่ะ!” คลอเดียยิ้มกว้าง แม้อยากเจอพ่อกับแม่ แต่เธอก็ทำตัวเป็นเด็กดีอดทนรอ การได้เล่นกับคุณอาเป็นความสุขอย่างหนึ่งระหว่างนั้น

---------------------------------------

A/N หลังจากนี้ เรื่องราวจะเข้มข้นขึ้นอีกครั้งแล้วค่ะ ;)


ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 9-4

รามิเอลมองภาพนักปรุงน้ำหอมและเด็กหญิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาหลังกรอบแว่นตานิ่งไม่ยินดียินร้าย ตั้งแต่ได้หน้าที่ให้เฝ้าคลอเดีย เขาก็ทำตามหน้าที่ด้วยการเฝ้าอย่างเดียวจริงๆ ไม่มีการปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ครั้งแรกเด็กหญิงค่อนข้างเกรงรามิเอล แต่พอเวลาผ่านไป เธอก็คุ้นชินในรูปแบบที่คนเราจะคุ้นชินกับเฟอร์นิเจอร์ไร้ชีวิตในห้อง ซึ่งนั่นเป็นลักษณะอันเฉพาะตัวของรามิเอล คนในโลกใต้ดินต่างรู้จักเขาในชื่อ ‘เทวทูตใบ้’

เทวทูตคนนี้เข้าร่วมกับสมาคมเมื่อประมาณสิบห้าปีก่อนด้วยพฤติกรรมแสนเฉพาะตัว—เขาไม่พูด แรกเริ่มเขาเข้ามาในตำแหน่งการ์ดที่ผ่านการทดสอบทางกายภาพและสมองด้วยคะแนนดีมาก เขาเป็นการ์ดที่ไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยทำงานพลาด และไม่มีคำว่าไม่ได้ ตำแหน่งในสมาคมของเขาจึงขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ

มีคนเคยพูดว่ารามิเอลเป็นคนของรัสเซีย แต่แม้ถูกสอบสวน ทรมาน หรือถูกยิงและทิ้งให้ตาย เขาก็คลานกลับมาที่อิตาลีทุกครั้ง

เวลานี้ จู่ๆ แววตาของรามิเอลก็ไหวกระเพื่อมเมื่อบทสนทนาระหว่างหนูน้อยสายเลือดเม็กซิกันและนักปรุงน้ำหอมดำเนินไปถึงเรื่องของครอบครัว

“หนูคิดถึงพ่อกับแม่” คลอเดียว่า

ครอบครัว

ครู่เดียว...แววตาของเทวทูตใบ้กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง

ด้านนอกห้องพยาบาล ซาช่าและนิโคไลกำลังเดินต่อปากต่อคำกันมาบนทางเดินของโรงพยาบาล พวกเขาเพิ่งประชุมเสร็จ และนิโคไลมีธุระต่อที่นี่ ซาช่าก็ตามมา

นักส่งของคนอื่นคล้ายเห็นว่าทั้งสองสนิทกันมากขึ้น

“พี่นิกกี้!” ไพโรเพิ่งวางคลอเดียลงบนเตียงตอนที่นิโคไลเปิดประตูเข้ามา

นิโคไลยิ้มแล้วเข้าไปหอมแก้มเด็กหญิง ปล่อยให้ปากเล็กๆ ระดมหอมกลับ และเมื่อถูกทวงของฝาก เขาก็ล้วงล็อกเกตสีทองออกมา

“พ่อมีสร้อยแบบนี้” คลอเดียตาโต ดีใจมากที่ได้ล็อกเกตทองคำ “นี่เหมือนของพ่อเลย แต่พ่อมีภาพหนูข้างใน” ล็อกเกตที่คลอเดียเปิดค้างไว้ข้างในว่างเปล่า ไม่มีภาพใดๆ

นิโคไลยิ้มน้อยๆ ก่อนหอมกลุ่มผมหยักศกอันฟูนุ่ม จากตรงนี้เขายังมองเห็นรอยแผลที่เพิ่งสมานกันข้างศีรษะเด็กหญิง “เอาไว้...มีภาพที่อยากเก็บไว้ในนี้เมื่อไร ค่อยเอามาใส่นะ”

คลอเดียพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง แขกคนล่าสุดคือหนึ่งในทนายของสมาคม ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องครอบครัวอุปถัมภ์ให้แก่คลอเดีย เขามาพร้อมชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าหล่อราวรูปสลักเดวิดของมิเกลันเจโล สีหน้าของทนายหนุ่มดูฉงนเมื่อพบว่ามีคนอยู่เต็มห้อง ทั้งรามิเอล ไพโร นิโคไล และชายหนุ่มอีกคนที่เขาไม่รู้จักชื่อ

“ผมขอรบกวนเวลาหน่อยนะครับ พอดีคุณผู้ชายท่านนี้อยากพบคุณหนูคลอเดียเป็นการส่วนตัว” ระหว่างพูดประโยคนั้น สายตาของทนายหนุ่มมองไปที่รามิเอลซึ่งนั่งกอดอกอย่างเฉยชาอยู่ในท่าเดิมเป็นการขออนุญาต เทวทูตใบ้พยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผายมือไล่ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ

กระนั้นก็ไม่มีใครขยับ รามิเอลชินแล้วกับพฤติกรรมของคนในโลกใต้ดิน แต่อย่างไรเสีย การเชิญของเทวทูตต้องเป็นผล

ไพโรยักไหล่ ทำท่าจะออกไปตามที่ถูกเชิญ ทว่านิโคไลไม่ขยับตัว และเมื่อนิโคไลไม่ขยับตัว ไพโรก็ไม่ไป ส่วนซาช่าน่ะหรือ...

ไม่ออกไปเหมือนกันเพราะรอตามน้ำนิโคไล

“สวัสดีคลอเดีย” ชายที่มาพร้อมทนายของสมาคมทักทายเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของเธอ และหยิบตุ๊กตาหมาฮัสกี้นอนตัวยาวขึ้นมาจากถุงกระดาษ “ฉันเอาตุ๊กตาที่เธออยากได้มาให้”

“เย้!” เด็กหญิงรับตุ๊กตาก่อนโถมตัวจากเตียงใส่ร่างสูงใหญ่ที่อ้าแขนรับ เธอเรียกเขาว่าอเลสสิโอ และหลับตาพริ้มเมื่อเขาประทับริมฝีปากบนหน้าผาก

“เด็กน้อยของฉันเป็นยังไงบ้าง วันนี้มีคนมาเยี่ยมเธอเยอะ ยังอยากให้ฉันเล่านิทานให้ฟังหรือเปล่า” อเลสสิโออุ้มเด็กหญิงเข้าเอวแบบไม่กลัวสูทยับ ทั้งคู่เจอกันมาหลายครั้งแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายวัยกลางคนเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคม เขาติดต่อขอเป็นผู้อุปถัมภ์คลอเดียหลังข่าวประกาศออกไปในวงจำกัด การดำเนินการเป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบประวัติ เมื่อผ่านแล้วทนายจะนำผู้อุปถัมภ์มาเจอกับเด็กเพื่อดูว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิดของทนายและเทวทูตผู้ดูแล ซึ่งอเลสสิโอเข้ากับคลอเดียได้เป็นอย่างดี

“หนูอยากฟังนิทานของอเลสซี” คนโดนเรียกหัวเราะจนตาระยับเมื่อถูกเรียกสั้นๆ

“ได้สิ” ชายหนุ่มจูบขมับคลอเดียแผ่วเบา

นิโคไลมองทนายและผู้อุปถัมภ์ ดวงตาเขาหลุบลง อันที่จริงเขาเคยพยายามยื่นคำทัดทานผ่านเกเบรียลว่า ไม่อยากให้อเลสสิโออุปถัมภ์คลอเดีย แต่เหตุผลของเขาไม่สามารถใช้เป็น ‘ข้อคัดค้านอย่างเป็นทางการ’ เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์

นิโคไลมองไพโร อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากพูดว่า ‘ปล่อยมันไปเถอะน่า’ แล้วก็เปลี่ยนเป็นระอาเมื่อนิโคไลเอ่ยกับอเลสสิโอว่า “ไหนๆ ก็ได้มาเจอกันแล้ว ผมอยากคุยกับคุณโดยมีทนายกับเทวทูตเป็นพยานได้ไหม ‘ปาปา’ ”

“ได้สิ” อเลสสิโอยิ้ม “เดี๋ยวนี้เลยหรือ”

“สมอลเลดี้ ผู้ใหญ่เขาจะคุยความลับกัน เราออกไปเล่นข้างนอกกันดีกว่า” ไพโรยิ้มกว้างและยื่นมือให้หนูน้อย

ซึ่งนั่นทำให้ซาช่าอยากหัวเราะ โถ...พ่อคนดี รักเด็กน้อย แต่ให้หมาล่าเนื้อหน้าคลับกัดเมีย

“ไม่...ไม่เป็นไร ฉันออกไปคุยดีกว่า ที่นี่คลอเดียเป็นเจ้าบ้าน” อเลสสิโอวางมือบนศีรษะของเด็กหญิง

“ขอบคุณครับ” นิโคไลน้อมศีรษะ

“เดี๋ยวปาปากลับมาเล่านิทานให้หนูฟัง” อเลสสิโอเอ่ยกับคลอเดีย ก่อนผายมือให้นิโคไลนำไปก่อน

“เขาห้ามสูบบุหรี่ในโรงพยาบาล แต่ฉันต้องการสักตัว จะว่าอะไรหรือเปล่าถ้าเราทั้งหมดเดินไปที่เขาจัดไว้”

“เชิญ ผมรู้จักระเบียงทางเชื่อมเงียบๆ ที่สูบบุหรี่ได้” นิโคไลนำทาง

จากชั้นใต้ดินขึ้นมาด้านบน เมื่อถึงจุดหมาย เขายืนข้างอเลสสิโอ มองทิวทัศน์ท้องฟ้าสีครามในวันแดดแรงไปพร้อมกัน โดยมีรามิเอลและทนายของสมาคมยืนด้านหลัง

“ผมได้ยินมาว่าคุณเลี้ยง ‘สุนัข’ ” นิโคไลเปิดประเด็นเมื่ออีกฝ่ายหยิบบุหรี่ “น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ได้เป็นผู้อุปถัมภ์”

“มีอยู่สองตัว เกรทเดน” อเลสสิโอจุดไฟแช็กลนปลายบุหรี่ที่กลัดในริมฝีปาก ชายวัยกลางคนสูบควันลึกก่อนระบายควันเป็นสายยาว ควันย้อมสีของนัยน์ตาให้ดูอ่อนลงทว่าลึกลับขึ้นอย่างอัศจรรย์

“ ‘เจ้าของ’ ผมเขามีสิบสองตัว ไม่รวมผม คนเลี้ยงสุนัขเหมือนกัน ก็เคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง ผมจึงรู้ว่าคุณมีสุนัข” ‘สิบสอง’ เป็นเลขเฉพาะตัว มีชายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงสุนัขถึงสิบสองตัว และจะเป็นสิบสองตัวเสมอ นิโคไลเป็นสัตว์เลี้ยงก็จริง แต่ไม่ใช่ ‘สุนัข’ ของชายคนนั้น

“ไม่ ฉันไม่แน่ใจ” อเลสสิโอขมวดคิ้ว “เราจะคุยกันเรื่องนี้หรือ สุนัข?”

“คนอยู่ในสมาคมเหมือนกัน ไม่ต้องเกรงใจกันก็ได้ครับ” นิโคไลหันมายิ้ม “ผมก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน เพราะกับผู้ใหญ่อย่างคุณ ผมเล่นเล่ห์ตามไม่ทัน คุณเลี้ยงสุนัข หรือจะบอกว่า คุณเลี้ยง ‘เด็ก’ ให้โตมาเป็นสุนัข ผมรับรองว่าผมรู้จักขั้นตอนการเลี้ยงเด็กให้โตมาเป็นสุนัขดี ไม่ว่าจะด้วยความรัก ความไว้ใจ หรือใช้สิ่งที่ตรงข้ามกัน ผมจึงคัดค้านที่คุณรับดูแลคลอเดีย”

“ฉันเลี้ยงสุนัขที่เป็นสุนัขจริงๆ เกรทเดน อย่างที่เพิ่งบอกไป ส่วนการเลี้ยงคนแท้ๆ ให้เป็นสุนัข ฉันไม่นิยม” อเลสสิโอมองตานิโคไลตรงๆ เพื่อแสดงความจริงใจ

นิโคไลไม่หลบตา เขาจ้องกลับเหมือนอิคารัสผู้ไม่กลัวดวงอาทิตย์ “เจ้าของผมบอกอีกอย่าง และผมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดี ผมเชื่อเขามากกว่าคุณ สัตว์เลี้ยงเชื่อเจ้าของอย่างไม่มีข้อแม้อยู่แล้วครับ”

“เธอจะเค้นเรื่องที่ฉันบอกว่าไม่มี ไม่ใช่ ไปทำไมหรือ…”

ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากัน เทวทูตยืนฟังอย่างรูปสลัก และทนายเริ่มควานหาบุหรี่จากกระเป๋าอกเสื้อออกมาสูบบ้าง

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เค้นหาความจริง ผมแค่จะบอกคุณว่า ถึงผมห้ามคุณรับคลอเดียไปอุปถัมภ์ไม่ได้ แต่ผมทำอย่างอื่นได้”

“ที่รัก...ถ้าเธอสืบประวัติฉัน เธอจะพบว่าฉันเสียลูกสาวและภรรยาไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์” อเลสสิโอยิ้ม แต่ดวงตากระด้าง ภาพที่เขากอดศพลูกสาวในห้องชันสูตรยังติดตาเขาอยู่

“เธอชื่อจอร์เจีย อายุหกขวบ กำลังจะเจ็ดขวบในอีกสัปดาห์”

ชายวัยกลางคนสูบควันเฮือกใหญ่

“ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ แม้ผมนึกว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมดา’ สำหรับทุกคนในโลกใต้ดิน”

“ใช่...แต่ฉันห้ามความโศกเศร้าเสียใจไม่ได้หรอก” อเลสสิโอไม่พูดอะไรแม้นิโคไลกำลังเสียมารยาท อีกฝ่ายยังเด็ก สำหรับเขา...เด็กมีสิทธิ์ที่จะเกรี้ยวกราด เด็กมีสิทธิ์ที่จะซื่อตรง

นิโคไลย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังเสียมารยาท แต่เขาทำมันด้วยความตั้งใจ และค้นพบว่าชายคนนี้มีความสามารถในการควบคุมตัวเองดีทีเดียว

-------------------------------------------

A/N ในที่สุด ทั้งสองฝั่งก็มาปะทะกันแล้วค่ะ :) เอาใจช่วยนิโคไลด้วยนะคะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 9-5

“เธอเป็นห่วงคลอเดีย ฉันเข้าใจว่าทำไมถึงอยากคุยให้แน่ใจ แต่ก็แปลกที่เธอให้ความสำคัญกับคลอเดียเป็นพิเศษ ถ้าฉันถามกลับบ้างล่ะ ทำไมเธอถึงผูกพันกับคลอเดียนัก”

“ไม่ คุณไม่เข้าใจ ว่าผมทำอะไรได้บ้าง” นิโคไลฉีกยิ้ม เขาเลือกตอบคำถามบางส่วน ความรู้สึกปวดศีรษะจี๊ดเหมือนถูกเข็มเป็นพันเล่มแทงกลับมาอีกระลอก

อเลสสิโอถอนใจ “เธอจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของบทสนทนานี้ พูดตามตรงอย่าถือโกรธกัน”

“จุดประสงค์ของบทสนทนานี้คือ ผมเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อคลอเดียไปอยู่กับคุณ ชีวิตเธอไม่มีทางดีขึ้นกว่าตอนอยู่กับพ่อหรือแม่ของตน”

“เธอไม่น่ารักเอาเสียเลย ฉันรับคลอเดียเพราะฉันชอบสาวน้อยคนนี้จริงๆ”

“หรือไม่คุณก็รับเลี้ยงเด็กที่เบื้องหลังมีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าอยากรับเลี้ยงเด็กหญิงสักคนละก็ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่รับดูแลเด็กคนอื่นล่ะ”

อเลสสิโอไม่พูดอะไรอีก ป่วยการจะพูด เขาให้นิโคไลกล่าวหาได้ตามต้องการ นึกขำกับคำถามเสียอีก ทำไมน่ะหรือ...ไม่มีเหตุผลนอกจากความประจวบเหมาะ ไม่มีเหตุผลนอกจากเวลามองดวงตาใสๆ และแก้มกลมอิ่มทำให้หวนคิดถึงสาวน้อยคนหนึ่งที่จากไปก่อนวัยเหมาะสม หากจอร์เจียยังอยู่ ตอนนี้เธอจะมีอายุสิบเจ็ดปี อยู่ในวัยต่อต้าน อาจไม่รักพ่อ อาจหนีออกจากบ้าน ทำอะไรๆ ที่วัยรุ่นควรทำ อาจสูบกัญชา อาจมีแฟนหนุ่มคนแรก คนที่สองหรืออาจสาม ความคิดเหล่านี้ทำให้อเลสสิโอเหม่อลอยชั่วขณะ

นิโคไลปวดหัวจัด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกำมือ “ผมเสียมารยาทจริงๆ เอาล่ะ ทำให้มันสั้น ชื่อของผมคือนิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟ คุณไม่รู้จักสกุลเกราซิมอฟก็ไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อว่าเทวทูตและทนายรู้จัก เราโด่งดังมากทีเดียวเมื่อหลายปีก่อน”

“ฉันรู้จักเธอ ทำไมจะไม่...ฉันรู้จักภูมิหลังของใครหลายคน”

“ดีครับ เราถูกซิมาฆ่าล้างบ้านเมื่อหลายปีก่อน มีแค่ผมกับน้องชายรอดมาได้ ตอนนั้นน้องชายผมอายุแปดขวบ คุณรู้ไหมว่าผมทำยังไงกับคนเลวที่สั่งฆ่าเด็ก”

“พูดเถิด พูดแบบที่อยาก” อเลสสิโอผายมือ เขาดับบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนกับถาดทราย

“ศพมันไม่มีหน้า เพราะผมขอให้เขาเอากลับมา ผมอยากเห็นความตายของมัน” ในหัวนิโคไลเหมือนมีอะไรขาดผึง เขารู้สึกแย่และอยากอาเจียน “ผมจะจับตาดูคุณ และ ‘คนของคุณ’ เท่านี้แหละที่ผมอยากบอก”

อย่างที่อเลสสิโอบอก ทำไมนิโคไลถึงให้ความสำคัญกับคลอเดียเป็นพิเศษน่ะหรือ...เขาไม่ได้ตอบออกไปตามตรงว่า ‘แล้วการปล่อยเด็กไปอยู่กับคนที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ประโยชน์จากเด็ก เป็นสิ่งที่ควรมองข้ามหรือ’

อเลสสิโอน้อมศีรษะรับ เขามองไปยังทนายและเทวทูต ยิ้มให้คล้ายขออภัยที่มาเสียเวลา

“ถ้าเธอไม่ว่าอะไร จะได้เวลาเล่านิทานให้ลูกสาวฉันฟังแล้ว”

“เชิญ” นิโคไลไม่ไปส่ง

และพออยู่ตามลำพัง นิโคไลพบว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่

มาร์ค แอนโธนี

——————————————-

“ไม่เจอกันนาน” มาร์คยิ้มอ่อนโยนให้นิโคไลเช่นเคย

สิ่งที่เปลี่ยนไปคงเป็นแค่ดวงตา...ที่มีสีแดงซ้อนจางๆ

“คุณกลับมาตอนไหน” นิโคไลหาคำพูดไม่เจอไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนฝันไป

“ไม่นาน อาจเรียกได้ว่าเมื่อสักครู่” มาร์คตอบคำถามนิโคไลแล้วดึงอีกฝ่ายมากอด “คุณดู…” มาร์คหาคำพูด “ไม่ดี”

“ได้ยินแค่ไหน...เมื่อกี้” นิโคไลไม่แน่ใจว่าเขาดู ‘ไม่ดี’ ขนาดไหน มาร์คจึงถึงกับเอ่ยปาก เขายังรู้สึกตัวแข็งเป็นหิน แม้อ้อมกอดจะอบอุ่น

มาร์คส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ เขาลูบหลังปลอบโยนอดีตคนรัก พาโยกเบาๆ คล้ายพาขยับเต้นรำ

“จริงหรือ” นิโคไลถามเหม่อลอย อาการปวดหัวมาจากการนึกถึงอดีตที่ถูกฆ่าล้างครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“จริง” มาร์คกระซิบข้างขมับของนิโคไล “เราไปหาที่นั่งพักก่อนไหม”

“อืม...ขอผมส่งข้อความก่อน” นิโคไลหยิบมือถือมาพิมพ์ข้อความและส่งออกไปสองฉบับ ถึงไพโรและซาช่าว่าเขามีธุระ ไม่ต้องรอกลับไปหา

ทั้งสองนั่งตรงเก้าอี้มุมหนึ่งของลอบบีประชาสัมพันธ์

“คุณหาผมเจอได้ยังไง”

“ผมโทรถามจากจิล เขาคิดว่าคุณน่าจะอยู่ที่นี่ผมเลยลองมาดู” มาร์คเลื่อนมือไปกุมมือนิโคไล บีบกระชับแผ่วเบาเพื่อส่งผ่านความห่วงใยไปให้ เขามองสบดวงตาของอดีตคนรักก่อนถาม

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

นิโคไลนิ่งไปครู่ เขาไม่รู้จะตอบมาร์คอย่างไร จะบอกว่าหมู่นี้ปวดศีรษะเป็นพักๆ เขาก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไรและรู้ทางแก้ไขดีอยู่แล้ว

...เพียงแต่ไม่คิดแก้ไขเท่านั้นเอง

“ไม่ค่อยดี แต่ผมคิดว่ารับมือได้” นิโคไลเลือกตอบอย่างคนเข้มแข็งควรทำ เขาไม่คิดว่ามาร์คควรรับปัญหาเพิ่มอีก “คุณกลับมาเพราะพบทางแก้ปัญหาของคุณแล้วหรือ” เขาถามเพราะก่อนหายตัวไป มาร์คบอกจะไปรักษาโรคหลายบุคลิก

“ใช่ การรักษาจบสิ้นแล้ว” มาร์คยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม “และผมตัดสินใจกลับมาที่นี่ เพราะคุณ”

“เพราะผม?” นิโคไลคิดว่ามาร์คมีบางอย่างต่างจากเดิม “ทำไมคุณทำให้ผมนึกถึงตอนที่แอนทอนบอกผมว่า ‘ฉันจะตื่นขึ้นมาอีก’ นะ” เขาส่ายหน้า “ถ้าคุณโกรธผมบ้าง หรือแสดงออกว่าโกรธ ทุกอย่างน่าจะง่ายกว่านี้”

“มันจะง่ายกว่านี้ยังไงนิกกี้”

“เพราะ…” นิโคไลกำลังจะตอบ ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ เขาค่อยๆ ดึงมือออกจากมือมาร์ค “ปกติคุณไม่ถามกลับ แปลกจริง…”

“ผมสงสัยก็ถาม แปลกตรงไหนหรือ” มาร์คปล่อยให้นิโคไลดึงมือกลับ เขายังมองดวงตาคู่สวยนิ่ง “ผมอยากเข้าใจอะไรให้มากขึ้น”

“ปกติคุณไม่รุกผมด้วยคำถาม แต่คุณจะยอมถอยไปเงียบๆ” นิโคไลลุกยืน “แบบนี้แหละ ที่มันจะง่ายขึ้น คุณแสดงอารมณ์จริงๆ ของคุณนอกจากยิ้มและให้อภัย ถ้าคุณสามารถโทษผมและการกระทำที่ผ่านมาของผม ว่าผมเองที่ผิด และผมเองที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับคุณ ผมคิดว่าคุณจะก้าวต่อไปได้แล้ว มาร์ค”

“ไม่เลย จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่เคยโทษว่ามันเป็นความผิดของคุณ” มาร์คส่ายหน้าช้าๆ “ผมให้อภัยและยอมรับคุณเสมอเพียงแค่อยากรู้อะไรให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมเข้าใจคุณเพราะผมเป็นจิตแพทย์ ทั้งที่ความจริงแล้วผมละเลยสิ่งพื้นฐานคือการพูดคุย ถามคำถามหรือบอกสิ่งที่คิด”

สีหน้าของนิโคไลทะมึน “มันเป็นความผิดของผมที่เป็นคนของโลกใต้ดินแต่ยังไปแต่งงานกับคนปกติ”

“พูดต่อเถอะนิกกี้ อย่าเพิ่งตัดสินถูกหรือผิด ผมรอฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของคุณ”

“ผม...ส่งภาพพวกนั้นไปให้คุณเอง” นิโคไลรู้สึกอยากบุหรี่จนคอแห้ง “จำได้ไหม ภาพนอกใจของผมที่คุณได้รับ มันเป็นภาพจริง ผมส่งไปเพราะอยากหย่า คุณไม่รู้ว่าตัวเองแต่งงานกับคนแบบไหนด้วยซ้ำ และผมเบื่อจะแสดงเป็นคนปกติ ผมอุตส่าห์ทำให้มันจบแบบธรรมดาแล้วเชียว แต่คุณ...คุณเอาตัวเองเข้ามาในโลกนี้...จากไป...แล้วก็ยังกลับมาอีก”

มาร์ควางมือบนบ่าของนิโคไล เขามองตาอดีตคนรัก “แล้วอย่างไรต่อนิกกี้ มีอะไรที่ผมควรรู้อีก”

นิโคไลปัดมือมาร์คออก “ผมคิดว่าคุณควรไปให้พ้น มาร์ค และเลิกยุ่งกับผม!” ตอนตะโกนออกมา นิโคไลรู้สึกเหมือนพ่นเอาสติสุดท้ายของตัวเองออกไปด้วย เขาหอบหายใจแรงแล้วเอามือกดหน้าอกตัวเอง

เขาทำอะไรอยู่! อาการของเขาจู่ๆ ก็แย่ลง...ทั้งที่ปกติเขาจะระบายความโกรธเกรี้ยวในที่ที่ไม่มีใครเห็นแท้ๆ

มาร์คไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อเห็นนิโคไลอาการไม่ดี ชายหนุ่มหยิบถุงพลาสติกเล็กๆ ที่พกติดตัวเป็นนิสัยออกมาครอบบนจมูกและปากนิโคไล

“ไม่! ไปให้พ้นหน้าผม” นิโคไลสั่ง ปัดมือมาร์คเป็นพัลวัน

จิตแพทย์หนุ่มรวบตัวอดีตคนรักไว้ในอ้อมแขน การกระทำของมาร์คยังคงนุ่มนวล แต่มีความดุดันและบังคับเพื่อให้นิโคไลสงบ

“ชู่ว นิกกี้ นิ่งเสีย” เขากระซิบราวกับกำลังปลอบสัตว์เล็กๆ ที่บาดเจ็บ มาร์คกดปากถุงบนตำแหน่งที่จะช่วยให้อีกฝ่ายหายใจคล่องขึ้น

“หายใจช้าๆ”

นิโคไลยังพอมีสติทำตามที่บอก เขาทรมานและต้องการรู้สึกดีขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจตัวเองได้แล้ว มือที่เกร็งก็ค่อยๆ คลายออก น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย เขาแตะมือมาร์คให้ปล่อยตน

“ผมไม่อยาก...รู้สึก...แย่...กับตัวเอง...ไปมากกว่านี้ ได้โปรด...ให้ผม...อยู่...คนเดียว...เถอะ” นิโคไลพูดกระท่อนกระแท่น

“ผมก็ไม่อยากรู้สึกแย่กับการปล่อยคุณไปอีกแล้ว นิโคไล” เขาลูบปลอบบนแผ่นหลังที่ยังสั่น

“ให้ผมไปส่งคุณนะ ได้โปรด”

นิโคไลเห็นสีแดงในดวงตาของมาร์คเรืองขึ้น...เขาจับมืออีกฝ่ายอย่างจนปัญญาปฏิเสธ “อย่าบอกโรม...ไม่กลับบ้าน ผมมีห้องพัก...ในสมาคม”

“ตกลง” มาร์คพยักหน้า เขาวางมืออีกข้างบนเอวนิโคไล ดวงตาสีแดงจางลง เขายังคงอ่อนโยนกับอดีตภรรยาเสมอ

------------------------------------------------

A/N แบบว่าตอนมาร์คกลับมานี่แทบจะร้องไห้ค่ะ แบบว่า มาร์ค กลับมาแล้ว มาร์ค แงงงงง มาร์คคคค ซบบบบบบหน่อยค่ะ! /เนียน อิอิ


ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 10-1

นี่คือเหตุการณ์ก่อนที่มาร์ค แอนโธนีจะกลับมาหานิโคไล

การเดินทางมาบ้านของศาสตราจารย์อาร์มานีครั้งที่สองใช้เวลาน้อยกว่าครั้งแรกเพราะมาร์คจดจำเส้นทางและบ้านหลังที่เป็นจุดหมายในกลุ่มบ้านเรือนสีขาวได้ขึ้นใจ

เช่นเดิม ประตูบ้านของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเปิดต้อนรับก่อนเขาจะได้กดกริ่งราวกับอีกฝ่ายรับรู้การมาเยือนของเขาด้วยอำนาจวิเศษ ศาสตราจารย์อาร์มานีอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เหมือนเคย ใบหน้าซึ่งยังมีเค้าหล่อคมคายระบายรอยยิ้มใจดีให้

“แวะดื่มชากันสักหน่อย” อีกฝ่ายพูดแล้วเดินนำเขาไปที่ครัว เหมือนครั้งแรกไม่มีผิด

อาร์มานีต้มน้ำ เขาหยิบซองชาจากกล่องที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ในครัว ไม่นานกาก็ส่งเสียงหวีด ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ราดน้ำร้อนอุ่นแก้ว จากนั้นวางซองชาและรินน้ำตาม

“ชานี่ผมเบลนเอง มีรสเบอร์รี่หน่อยๆ” เขาเลื่อนแก้วชาให้มาร์คอย่างมีน้ำใจ

“ขอบคุณครับ” จิตแพทย์หนุ่มยกแก้วชาเป่าแล้วจิบ รสหอมของเบอร์รี่อวลในปากและจมูก ชามีรสเฝื่อนประหลาดแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแย่

“เราต้องขับรถจากที่นี่ไปสามสี่ชั่วโมง” เสียงนุ่มเนิบของศาสตราจารย์อาร์มานีคล้ายดังจากที่ไกลๆ มาร์คพบว่าตัวเองกำลังจะวูบ แต่มือแข็งแรงข้างหนึ่งรับเขาไว้

“ผมจะขับรถให้ ไว้ใจผมแล้วหลับเสียมาร์ค”

แบบนี้ไม่แรงไปหน่อยหรือ...มาร์คขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบใจแต่ไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้ภายใต้สภาวะนี้ แม้แต่เปลือกตาของตัวเองก็ไม่อาจฝืน มันปิดเข้าหากันช้าๆ ภาพสุดท้ายก่อนหลับใหลคือภาพศาสตราจารย์วางมือบนดวงตาเขาด้วยความนุ่มนวล

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยุงร่างของชายที่สูงน้อยกว่าเขาเพียงคืบเดียวมาขึ้นรถ (ที่จริงแล้วเขาแบกกึ่งอุ้มมาร์ค) เขาคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นปรับเบาะให้มาร์คได้นอนเหยียดด้วยท่าสบายตัวที่สุด แล้วจึงปิดประตูรถ อาร์มานียิ้มให้เพื่อนบ้านหญิงที่มองผ่านหน้าต่างมาอย่างสอดรู้ ก่อนจะขับรถของมาร์คออกจากหน้าบ้านด้วยท่าทางปกติไร้พิรุธ

อาร์มานีบอกมาร์คตั้งแต่แรกว่าการรักษาจะไม่ทำที่บ้าน เพราะเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณและอาจผิดกฎหมาย มันจึงต้องการความเป็นส่วนตัว แต่เขาไม่ได้บอกว่าสถานที่ดำเนินการจะเป็นความลับจนต้องวางยานอนหลับ

ระหว่างขับรถห่างจากเมืองเรื่อยๆ อาร์มานีหันไปมองมาร์คเป็นระยะ เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะมาร์ค สางเส้นผมนุ่มเบามือ ดวงตาของอาร์มานีมีประกายอ่อนโยนยามมองใบหน้าหลับสนิทของมาร์ค แต่ความจริงแล้วความคิดของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า มันกระหวัดไปถึงชายหนุ่มอีกคนในอดีตอันห่างไกล ชายผู้นำเขาสู่ความสนใจเรื่องโรคหลายบุคลิกจนกลายเป็นความหมกมุ่น ชายคนเดียวกับที่มอบรอยแผลเป็นให้เขาบนปลายคาง

คุณเหมือนเขาเหลือเกิน มาร์ค

มาร์คตื่นมาในห้องอบอุ่น ชายหนุ่มสดชื่น ไม่มีอาการปวดศีรษะคอยรังควานเช่นเคย เขาเรียบเรียงความคิดหลังตื่นนอน จำได้ว่าถูกศาสตราจารย์วางยานอนหลับ หรืออาจเป็นยากล่อมประสาท (ถึงตรงนี้เขาหัวเราะ ดูเหมือนคนรอบตัวจะนิยมวางยาเขาเสียเหลือเกิน) อีกฝ่ายบอกว่าจะขับรถพาเขามาที่ไหนสักแห่ง ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียง เดินไปยังม่านสีเปลือกไม้ เมื่อรูดเปิดก็พบว่าตัวเองอยู่กลางป่า เวลานี้อาจเป็นช่วงสายหรือบ่าย แดดจัดถูกลดความร้อนแรงด้วยปราการใบไม้ที่สานกันค่อนข้างหนาทึบ นกส่งเสียงร้องก่อนโผจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง มันเป็นภาพที่คนเมืองอย่างเขาหลงลืมไปนานแล้ว

เมื่อเลื่อนสายตาไปจนสุด มาร์คพบศาสตราจารย์อาร์มานีนั่งจิบเครื่องดื่มร้อนอยู่ที่ชานเรือนด้วยสีหน้าสงบ ดวงตาของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เหม่อออกไปยังป่า

จิตแพทย์หนุ่มผละจากหน้าต่าง เขาเดินออกไปสมทบกับอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น ระหว่างทางผ่านบริเวณส่วนกลางของบ้านขนาดกะทัดรัดซึ่งจัดเป็นสัดเป็นส่วน ห้องนั่งเล่นอยู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ฝากไอแดดไว้ตามโซฟาเดี่ยวหนานุ่ม เก้าอี้โยก และชั้นวางหนังสือ ส่วนห้องครัวมีเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มอบอุ่น บนนั้นวางอุปกรณ์คั่วเมล็ดกาแฟด้วยมือและเครื่องชงเอสเปรสโซที่อาศัยแรงกดจากมือเช่นกัน กลิ่นหอมของกาแฟยังอวลอยู่ มันช่วยสร้างบรรยากาศของยามเช้า ถึงแม้จะสายมากแล้วก็ตาม

เปิดประตูบ้านออกไปด้านนอก อากาศสดชื่นเข้าปะทะจมูก มาร์คสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด เงยหน้ามองแสงแดดรำไรแล้วขยับยิ้ม เขาชมทิวทัศน์อยู่อึดใจก่อนเดินไปหาเจ้าบ้านที่ชานเรือน

“สดชื่นขึ้นไหมมาร์ค” ศาสตราจารย์อาร์มานีทักขึ้นโดยยังคงนั่งหันหลังให้

“สดชื่นขึ้นมากครับ” มาร์คอ้อมมาด้านหน้าอีกฝ่ายแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวเอง “ขอบคุณที่แบกผมเข้าบ้าน”

“ฉันต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำนี่” ดวงตาสีเข้มเบนไปมองคนที่นั่งลงใกล้ๆ อาร์มานีวางถ้วยกาแฟบนจานรอง แดดสายส่องผ่านยอดไม้ลงฉาบบนเสี้ยวหน้าฝั่งหนึ่งแต่เขาไม่ได้ขยับหนี

“รู้ไหมว่าเธอหลับไปนานเท่าไหร่”

“ไม่ทราบครับ” มาร์คตอบตามตรง

“เธอหลับข้ามวัน” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ตอบพร้อมหัวเราะ “ที่จริงเธอทำฉันกังวล ยามันควรทำให้เธอพักผ่อนสักสามสี่ชั่วโมง แต่ฉันปลุกอย่างไรเธอก็ไม่รู้สึกตัว” อาร์มานีนึกไปถึงตอนที่เขาปลุกมาร์คบนรถเมื่อเย็นวาน อีกฝ่ายหลับสนิทไร้การตอบสนอง จนต้องออกแรงแบกมานอนต่อที่เตียง

“แต่เธอได้พักผ่อนก็ดีแล้ว ตอนนี้สิบโมงแล้ว อยากดื่มอะไรไหม”

“ถ้าผมตอบรับคำชวน ผมจะหลับไปอีกรอบไหม” มาร์คพูดติดตลก “ขอโทษที่ผมต้องเสียมารยาท แต่การที่คุณวางยาผมเป็นอะไรที่...ทำใจยอมรับได้ยาก”

“ฉันเข้าใจและต้องขออภัยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า จากนี้เชื่อเถิดว่าเครื่องดื่มทุกแก้วจากฉันจะไม่ทำให้เธอหลับ” อาร์มานียิ้มกว้าง รอยยับบนใบหน้าไม่ได้ทำให้เขาดูหล่อเหลาน้อยลงแม้แต่น้อย “ยกเว้นตอนขากลับ”

มาร์คหัวเราะพลางโคลงศีรษะ “ผมเห็นเครื่องทำเอสเปรสโซด้วยมือ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมอยากลองชิมรสมือคุณสักแก้ว”

อาร์มานีพยักหน้าอย่างเจ้าบ้านที่ดี เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำมาร์คไปที่ครัวขนาดเล็ก เมล็ดกาแฟที่เพิ่งคั่วยังถูกผึ่งให้คลายความร้อนบนตะแกรงสเตนเลส

“เธอได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแยกบุคลิกบ้างไหม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ถามพร้อมหยิบเมล็ดกาแฟซึ่งเย็นแล้วบางส่วนใส่เครื่องบดมือ เขาหมุนแกนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ดวงตาสีเข้มจับอยู่บนใบหน้าของคนไข้ในความดูแล

“ผมวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของพี่ชาย การแยกบุคลิกน่าจะเกิดในช่วงเวลาที่ผมต้องการปกป้องใครสักคนอย่างรุนแรง” มาร์คเคลื่อนตัวไปนั่งบนสตูลบาร์

“แค่นั้นหรือ”

มาร์คพยักหน้า “ผมคิดว่ามีแค่นั้น” ชายหนุ่มเสริมให้ศาสตราจารย์อีกหน่อยว่า “และไม่จำกัดแค่คนในครอบครัว เพื่อน คนรัก ผมอีกคนปกป้องคนที่เพิ่งรู้จักด้วย” แล้วมาร์คก็เล่ากรณีของอัลฟีโอ ซึ่งถูกอดีตคนรักทำร้ายต่อหน้าเขา

“งั้นคำถามถัดไป” อาร์มานีหยุดมือแล้วดึงลิ้นชักเครื่องบดกาแฟออกมา มืออีกข้างหยิบถาดกลมแล้วเทผงกาแฟบดลงไปเท่าที่ต้องใช้

“แอนทอนออกมาได้ยังไง เธอพอจำช่วงเวลาก่อนจะถูกสลับตัวได้บ้างไหม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เขย่าถาดกลมแล้วเคาะกับโต๊ะเบาๆ เขาหยิบที่อัดผงกาแฟมากดให้ผิวหน้าของผงกาแฟเสมอกันในถาดขนาดเล็ก ก่อนสวมมันเข้ากับก้านกรองกาแฟ

“ฉันเคยเจอบางเคสที่ตัวตนอื่นต้องถูกเชิญถึงจะออกมา คล้ายร่างทรงหมอผี หลายเคสคนไข้ระบุว่าได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงของตัวเองในหัว ก่อนจะไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ แล้วของเธอล่ะเป็นแบบไหน”

ขณะถามอาร์มานีขยับไปหาเครื่องเอสเปรสโซซึ่งเสียบปลั๊กอยู่ก่อนแล้ว เขาเปิดไล่ไอน้ำลดความดัน กดสวิตช์ให้น้ำไหลผ่านท่อไล่คราบกาแฟที่อาจค้างอยู่ในเครื่อง ก่อนสวมก้านกรองบรรจุถาดกาแฟเข้ากับหัวล็อกแล้วดันให้แน่นพอประมาณ หลังขั้นตอนนั้นอาร์มานีเงยหน้าส่งยิ้มให้มาร์ค และเลื่อนจานครัวซองต์ไปให้ด้วยเมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปคล้ายกำลังใช้ความคิด

“ผม…” จิตแพทย์หนุ่มขยับริมฝีปากแล้วนิ่งไปอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดแน่นขณะที่สมองไล่หาความทรงจำซึ่งฝังอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างภาวะตื่นรู้และหลับฝัน

“ผมรู้สึกเหมือนถูกดึงแรงๆ” มาร์คจับอกตัวเอง “ถูกดึงตรงนี้...ตรงกลางอก ใจเต้นแรงเฉียบพลัน...น่าจะ ตึก! แล้วก็...วูบ”

“ใจเธอเต้นแรงเฉียบพลันก่อนหรือหลังรู้สึกเหมือนถูกดึง” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่หยิบแก้วเซรามิกวางบนแท่นที่กาแฟจะไหลลงมา

“...ก่อน”

“อืม...” เขามองสีหน้ามาร์คและถามต่อว่า “หัวใจคุณเต้นแรงอยู่นานไหม ก่อนจะถูกดึงและหมดสติ”

“สองถึงสามวินาที” มาร์คตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด เขามองหน้าอาร์มานี มือยังวางบนอกคล้ายความรู้สึกจากการถูกกระชากยังตกค้าง

อาร์มานีรับคำในคอ และใช้กำลังแขนดันน้ำให้ไหลผ่านเครื่องเอสเปรสโซ กาแฟถูกกรองลงแก้วเซรามิกช้าๆ

“เคยได้ยินเรื่องไซโคเจนิกแบล็กเอาต์ไหม มาร์ค”

“ครับ” จิตแพทย์หนุ่มมองท่อนแขนที่เกร็งจัดก่อนเลื่อนสายตาไปมองหน้าอีกฝ่าย “คุณคิดว่าการหมดสติของผมเข้าข่ายไซโคเจนิกแบล็กเอาต์หรือ”

“มีความเป็นไปได้” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้า เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำเมื่อได้กาแฟปริมาณที่ต้องการ “สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไข้หมดสติ เกิดไซโคเจนิกแบล็กเอาต์ เป็นเพราะการทำงานอย่างผิดปกติของสมอง ซึ่งเป็นผลจากความกังวลหรือความเครียด หรืออาการทางประสาทอื่นๆ”

อาร์มานีหยิบผ้ามือเช็ดมือ แล้วจึงยกแก้วเซรามิกใบเล็กวางตรงหน้ามาร์ค กลิ่นหอมเข้มลอยอวลจากเครื่องดื่มสีดำ

“ฉันยังไม่ได้สรุป...แต่คิดว่าเมื่อเธอเห็นคนรู้จักตกอยู่ในอันตราย สมองเธอไม่สามารถรับมือความกดดันระหว่างต้องตัดสินใจว่าจะสู้หรือหนีได้ มันดับตัวเอง แล้วเธอก็หลุดการควบคุม หรือที่เธอจำได้ว่าตัวเองสลบ”

“โอเค…” มาร์คกลืนน้ำลายขณะรับฟังการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญตรงหน้า เขาหลุบตามองแก้วเอสเพรสโซ สูดกลิ่นซึ่งช่วยปลุกสติให้แจ่มชัดขึ้น แล้วจึงเลื่อนสายตามองอาร์มานี “แต่มันไม่ได้อธิบายตอนที่ผมอีกคนตื่นเวลาที่ผมหลับ”

---------------------------------------

A/N อ่านเรื่องฝั่งมาร์คกันบ้างเนอะ ว่าหายไปไหนมา ;)

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 10-2

คำพูดของมาร์คทำให้ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้าช้าๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นั่นล่ะ สิ่งที่ทำให้เรื่องของเธอฟังดูซับซ้อน”

“แอนทอนรู้ได้ยังไงว่าต้องตื่น…” อาร์มานีพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า “มันคงง่ายกว่านี้ถ้าฉันจับเธอเข้าเครื่องเอ็มอาร์ไอเพื่อดูการทำงานของสมองเธอระหว่างแอนทอนกำลังจะตื่นและหลังเขาตื่น”

ความเงียบแผ่ปกคลุมการสนทนาเมื่ออาร์มานีและมาร์คต่างกำลังใช้ความคิด สุดท้ายเป็นฝ่ายเจ้าบ้านที่ทำลายกลุ่มก้อนความกังวลที่เริ่มก่อตัวในบรรยากาศ

“เอาเถอะ...อย่างที่ฉันบอกไปแต่แรก การรักษาของเราไม่ได้ยึดหลักการแพทย์และวิทยาศาสตร์เสียทีเดียว” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้าให้มาร์ค “ฉันจะลองหาวิธีทดสอบเธอดู”

เมื่อสบตากันอีกครั้ง มาร์คพยักหน้าตอบ เขายกกาแฟจิบเมื่ออาร์มานีกล่าวว่า

“แต่ตอนนี้จัดการมื้อสายของเธอเสียก่อนมันจะชืด”

————————————————

หลังจบมื้อสาย มาร์คถูกชวนออกไปเดินเล่น เมื่อได้ออกมายืนนอกชายคาจิตแพทย์หนุ่มจึงพบว่าเคบินของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่สร้างอยู่กลางป่าที่ค่อนข้างทึบ พวกเขาพูดคุยกันในเรื่องทั่วไประหว่างเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่อาร์มานีกล่าวว่าจะพาไปโผล่ที่ลำธาร

“เธอไม่อยู่ตรงนี้”

มาร์คเบือนสายตาจากพุ่มไม้ด้านข้างซึ่งขึ้นขนาบเส้นทางไปมองอาร์มานี เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่นำอยู่ด้านหน้า เมื่ออีกฝ่ายหยุดเดินโดยที่เขาไม่ทันสังเกต

“อา...” มาร์คถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“คิดอะไรอยู่หรือ” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เอ่ยอีกครั้งโดยไม่ขยับตัว

“ขอโทษครับ…” มาร์คยกมือนวดหัวตาและฝืนยิ้ม “ ผมสลัดเคสไม่ได้”

“เคสอะไร”

จิตแพทย์หนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาลูบหน้าก่อนกล่าวเสียงเบา “เคสตัวผมเองนี่ละ”

คำตอบของมาร์คทำให้อาร์มานีหัวเราะจางๆ บรรยากาศชวนอึดอัดคลายตัวกับเสียงต่ำทุ้มที่ดังอยู่ในคอของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ “เธอเรียกเรื่องตัวเองเป็นเคสไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นคนไข้”

“ขอโทษครับ”

“ทำไมถึงขอโทษล่ะ หืม” อาร์มานีเลิกคิ้ว ทั้งคู่เริ่มเดินต่อ ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่กวักมือเรียกมาร์คมาเดินข้างๆ เมื่อเส้นทางกว้างขึ้นพอให้เดินเคียงกันได้

“คำติดปากน่ะครับ” มาร์คหัวเราะจางๆ

“แปลว่าเธอขอโทษพร่ำเพรื่อ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มเย็นอย่างผู้ใหญ่ใจดีเหมือนเดิม

มาร์คหัวเราะเสียงดังขึ้น “แปลว่าผมเลี่ยงการปะทะด้วยการถอย พอเลี่ยงมากเข้าคำว่าขอโทษก็กลายเป็นคำติดปาก”

“เธอไม่คิดหรือว่าการขอโทษเป็นการปะทะอารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง เหมือนเธอโยนระเบิดใส่คู่สนทนาว่า ‘นี่ไงผมขอโทษแล้ว ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็เถอะ ทำไมคุณไม่ขอโทษบ้างล่ะ’ ” คนอายุมากกว่าถามกลับแบบชวนคุย อาร์มานีเหลือบตามองเพื่อนร่วมทาง เขาเดินนำมาร์คเลี้ยวขวาผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ป่าบริเวณนั้นโปร่งขึ้น หากเพ่งสายตาผ่านพุ่มไม้ไปจะเห็นลำธารสายหนึ่งทอดตัวอยูไม่ไกล

“คุณจับผมได้” มาร์คยิ้มมองหนุ่มใหญ่ที่เดินอยู่ด้านข้าง “เป็นคนแรกที่จับได้”

คนข้างๆ หัวเราะเต็มเสียง “ฉันรับมือกับคนประเภทนี้มามาก” อาร์มานีดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “พูดเรื่องการเลี่ยงการปะทะอารมณ์ จนอายุเท่านี้ฉันยังไม่เจอวิธีที่ได้ผลชะงัดเลย การขอโทษ การเงียบ หรือการเดินหนี...เป็นการปะทะในอีกรูปแบบทั้งนั้น บุหรี่ไหม”

คนอายุน้อยกว่าส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้ววิธีไหนเหมาะสมที่สุดในความเห็นของคุณครับ”

“ไม่ถือใช่ไหมถ้าฉันจะสูบ” อาร์มานีมองหน้าอีกฝ่าย เขากลักบุหรี่บนริมฝีปากและยกมือป้องที่ปลายมวนระหว่างจุดไฟ “แนะนำในฐานะคนแก่ทั่วไป ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็หายใจลึกๆ แล้วพูดความต้องการและความเห็นออกไปอย่างมีสติที่สุด”

หนุ่มใหญ่อัดควันเข้าปอดพลางยิ้ม

“แต่ถ้าเป็นคนที่ไปเคลียร์กันบนเตียงได้ ฉันว่าเซ็กซ์เป็นการคลี่คลายสถานการณ์ที่ดี”

“อา…” มาร์คอึ้งไปเล็กน้อย “ผมนึกถึงด็อกเตอร์มาร์แชล โรเซนเบิร์ก ‘การสานสัมพันธ์ด้วยสันติ’ ” เขาวกเข้าประเด็นการเลี่ยงการปะทะ “ผมว่าเขามีแนวคิดน่าสนใจ เราพูดความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน เปิดใจรับฟังความต้องการของอีกฝ่าย และมองหาวิธีการตอบสนองความต้องการที่ลงตัว คล้ายคลึงกับวิธีการประนีประนอม”

คนสูบบุหรี่มองหน้ามาร์ค ดวงตาระยับด้วยประกายขบขันกับความจริงจังของอีกฝ่าย

“ทำไมเธอถึงพยายามอธิบายมันอย่างเป็นการเป็นงานนัก”

จิตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วพลางเม้มปาก “เราไม่ควรกระโดดไปเรื่องเซ็กซ์แบบฉับพลันหรือเปล่าครับ”

อาร์มานีพ่นควันบุหรี่ไปทางอื่น เขาหันมายิ้มให้มาร์คพร้อมค้อมศีรษะนิดๆ “ขอโทษที ฉันนึกว่าเธอถึงวัยที่จะพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

อากัปกิริยาคล้ายจะล้อเลียนทำให้มาร์คถอนใจและพยักหน้า “โอเค เราพูดเรื่องเซ็กซ์กันก็ได้ครับ”

ท่าทียอมจำนานเรียกเสียงหัวเราะจากศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ เขาตบบ่าคนหนุ่ม “เอาเถอะมาร์ค เราจะไม่คุยกันเรื่องที่เธอกระอักกระอ่วน ฉันหยอกเธอไปอย่างนั้นเอง”

อาร์มานีสูบบุหรี่อีกคำ แล้วพาชายหนุ่มผู้หลงวนเวียนในเขาวงกตทางจิตใจเดินต่อ

“พูดเรื่องการเลี่ยงการปะทะ…” มาร์คยกประเด็นขึ้นอีกครั้ง ขณะมองผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลายบุคลิกดับบุหรี่ “มีความเป็นไปได้ว่าการที่ผมเป็นไซโคเจนิกแบล็กเอาต์เพราะสมองผมเกิดความขัดแย้งมากเกินไปหรือเปล่า…” เขาพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง “ในสถานการณ์ปกติ สมองส่วนควบคุมความคิดของผมเลือกที่จะเลี่ยงการปะทะ ในขณะเดียวกันจิตใต้สำนึกผมกลับสั่งการให้ปะทะ เพื่อจะจัดการทุกอย่างให้ลงตัว ผมถึงต้องสลับเอาตัวตนที่ก้าวร้าวกว่าออกมารับมือกับสถานการณ์นั้น”

“มาร์ค” อาร์มานีเรียกคนที่คล้ายหลุดเข้าไปในความคิดตัวเองเสียงนุ่ม มือใหญ่ที่ร้อนจัดวางบนต้นคอแกร่งและบีบคลายอาการเกร็งที่อีกฝ่ายแผ่วเบา “ตอนนี้เธอเป็นคนไข้ เธอต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเธอป่วย และหน้าที่ของเธอคือให้ความร่วมมือกับฉัน ตั้งสติอยู่กับฉัน ไม่ใช่จมในความคิดตัวเอง”

“โอเค…” มาร์คเป่าลมหายใจออกทางปาก “โอเคครับ”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ตบบ่ามาร์คเบาๆ อาร์มานีถามขึ้นขณะเคาะบุหรี่ตัวที่สองออกจากซอง

“เมื่อวานนี้ เธอทำอะไรบ้างก่อนมาพบฉัน”

“ผมไปหาแฟนเก่ามาครับ พูดคุยกันนิดหน่อย”

อาร์มานีอัดควันลึกเข้าปอด “แฟนเก่า?” สีหน้าเขาคล้ายจะสนใจ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องแรกที่มาร์คเล่า

“ครับ” มาร์คตอบรับ “อันที่จริง เขาเป็นอดีตภรรยา ผมจดทะเบียนกับเขาที่อเมริกา ผมมาจากที่นั่น”

“เขา?”

“ผู้ชาย...ถูกต้องครับ”

อาร์มานีพยักหน้า “เธอเกิดที่อเมริกา?”

“ครับ เกิดที่นั่น โตที่นั่น เพิ่งย้ายมาอิตาลีตามพี่ชาย”

“เธอพูดอิตาเลียนสำเนียงแบบเจ้าของภาษา” อีกฝ่ายชม แล้วหยุดเดินเมื่อทั้งคู่มาถึงธารน้ำเล็กๆ ไม่ไกลจากเคบิน

“ขอบคุณครับ” มาร์คยิ้มน้อยๆ “ตอนแรกผมลังเลที่จะย้ายตามฮันเตอร์...พี่ชายผม แต่ประจวบเหมาะที่อดีตภรรยาผมก็อยู่อิตาลี เลยตัดสินใจง่ายขึ้นครับ”

อาร์มานีสังเกตว่าสีหน้ามาร์คดูปั่นป่วนเล็กน้อยเมื่อพูดถึงอดีตภรรยา มีความอ่อนโยน ความเสียใจ และความรู้สึกที่หนุ่มใหญ่อธิบายไม่ถูกบนสีหน้า

“พบรักกันที่อเมริกาหรือ”

“ที่นี่แหละครับ”

“อา...เธอมาอยู่อิตาลีกับพี่ชายชั่วคราว เมื่อเจอภรรยาของเธอ—อดีตภรรยา เธอเลยตัดสินใจย้ายมาอยู่อิตาลีถาวร ฉันเข้าใจถูกไหม”

มาร์คพยักหน้า

“เขาชื่ออะไร”

“นิโคไลครับ”

“นิโคไลเป็นคนยังไง” อาร์มานีถามเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยธรรมดา

“ตรงไปตรงมา” มาร์คนึก “เขาค่อนข้างเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน บางครั้งพูดอย่างทำอีกอย่าง แต่โดยรวมน่ารักและใส่ใจครับ”

“พบกันได้อย่างไร”

“มันสำคัญต่อการรักษาไหมครับ”

“ฉันคิดว่าฉันควรทำความรู้จักนิโคไล เขาเป็นคนที่เธอไปหาในช่วงเวลาไม่ปกติ และเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องแรกที่เธอเปิดปากเล่าขยาย...โดยที่ฉันไม่ต้องถาม”

“โอเค” มาร์คมองพื้น และเริ่มเล่าเรื่องของนิโคไลให้อาร์มานีฟัง “ผมพบเขาที่หาดในครีมา มันเป็นรักแรกพบ ผมเข้าไปหาเขาก่อน ทำความรู้จักแบบเหลอหลา แต่เขาก็ให้โอกาสผม”

“ฟังดูเป็นความรักที่งดงาม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เผยยิ้มจาง เขาจับสายตาที่ดวงตามาร์ค “แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอหย่ากัน”

“เขานอกใจผมหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ผมที่ขอหย่า...เขาขอหย่า” มาร์คถอนใจ

“อืม...เป็นเรื่องแปลกที่เธอยังไปพบอดีตภรรยาที่นอกใจเธอหลายครั้ง โดยเฉพาะก่อนเธอจะมารักษาอาการทางจิต”

“เขาคิดเหมือนคุณ...เขาว่าผมปฏิเสธความจริง” มาร์คส่ายหน้า “แต่ผมคิดว่าความจริงมีหลายรูปแบบ การที่ผมรับพฤติกรรมเขาได้ก็ไม่ควรถูกปัดว่าไม่ใช่ความจริง”

“เธอแน่ใจหรือว่าเขาคิดเหมือนฉัน” อาร์มานีย้อนนิ่มๆ เขาหย่อนก้นกรองบนพื้นดิน ขยี้ให้ดับด้วยปลายเท้า “แล้วฉันคิดอย่างไร”

“เขาคิดเหมือนคุณตรงที่มองว่าเป็นเรื่องแปลก”

คู่สนทนาพยักหน้า ไม่ได้โต้ตอบในประเด็นเดิม “คำถามถัดไป ทำไมเธอถึงไปพบนิโคไลเมื่อวานนี้”

“ผมไปเพื่อบอกลา...ผมยังรู้สึกผูกพันกับเขา...มาก ศาสตราจารย์”

อาร์มานีพยักหน้าอย่างเห็นใจ และถามต่อ “เขารู้เรื่องที่เธอเดินละเมอไหมมาร์ค”

“ผมไม่มีอาการตอนเราอยู่ด้วยกัน” คนพูดขมวดคิ้ว “แต่…”

ผู้ให้คำปรึกษาวางมือบนบ่าคนไข้ บีบเบาๆ และทำหน้าให้พูดต่อ

“ผมน่าจะมีอาการหลังจากหย่ากับเขา”

อาร์มานีขยับยิ้ม สีหน้าเขาแสดงความพอใจกับคำตอบ “ดูเหมือนเขาจะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่เรามองหา”

มาร์คขยับอย่างกระตือรือร้น “โอเค ผมจะลองเรียบเรียงเหตุการณ์จากปัจจุบันที่สุดไปอดีต...จากคำบอกเล่า ครั้งล่าสุดที่ผมอีกคนตื่นเพราะฮันเตอร์เล่าว่าเขาทำสิ่งที่เลวร้ายมาก ย้อนกลับไปอีก...ตอนนั้นผมรู้ว่าตัวเองเดินละเมอจึงตั้งกล้องสังเกตการณ์ และพบว่าผมอีกคนตื่นขึ้นยามกลางคืนเพื่อปิดกล้องสังเกตการณ์ทีละตัว ย้อนกลับไปอีก ผมอีกคนตื่นเพราะอัลฟีโอถูกทำร้าย ย้อนกลับไปอีก...ช่วงเวลาก่อนหน้าผมเพิ่งรับรู้อาการเดินละเมอของตัวเอง คืนนั้นจำได้ว่าผมหลับสนิท แต่ในวันต่อมากลับได้แผลข่วนตรงแขนซ้าย ร่องของรองเท้ากีฬาเปรอะดิน และ...มีขวานผ่าฟืนอยู่ท้ายรถ ผมไม่พกขวานไปไหนมาไหน”

มาร์คหลับตาแน่น บีบสันจมูกตัวเอง “ย้อนกลับไปอีก…”

-----------------------------------------

A/N คุณ FOULSOUL เขียนการรักษามาร์คไว้อย่างน่าสนใจ อ่านแล้วคิดยังไงบอกได้นะคะ ;)

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 10-3

มือของอาร์มานีที่ยังวางอยู่บนบ่ากว้างบีบเบาๆ อีกครั้ง “ช้าๆ มาร์ค ช้าๆ คุณต้องช้าลงหน่อย”

จิตแพทย์หนุ่มขบกราม เขาลืมตา หันมาจ้องศาสตราจารย์ “มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับผมกันแน่”

“สงบใจไว้มาร์ค” อาร์มานีปลอบด้วยเสียงชู่วเบาๆ “เรายังต้องช่วยกันหาอีกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รวมถึงวิธีแก้ไขเรื่องนี้ด้วย”

————————————————

ระหว่างมื้อค่ำ มาร์คลอบมองอาร์มานีครั้งแล้วครั้งเล่า

“มีอะไรหรือ” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ถาม

“ทำไมคุณถึงตอบรับเคสผมหรือ”

“ทำไมคุณถึงสงสัยเรื่องนั้นล่ะ” เขายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างผ่อนคลาย

“ผมแค่สงสัย เห็นว่าคุณเลิกรับเคสไปนานแล้ว”

อาร์มานีมองมาร์ค มองสายตาซื่อตรงของชายตรงหน้าและหวนนึกถึงใครอีกคนในอดีต การตอบตามจริงว่านึกถูกชะตาอีกฝ่ายคงเป็นคำตอบที่ชวนกระอักกระอ่วนไม่น้อย

“เคสของคุณน่าสนใจ...จิตแพทย์กับโรคหลายบุคลิก” ศาสตราจารย์ยิ้ม

“ครับ” การเว้นช่วงคิดของอาร์มานีทำให้มาร์คนึกเชื่อคำตอบนั้นแบบครึ่งๆ แต่เขาไม่ถามเรื่องนั้นต่อ “เราจะ...รักษากันต่อไหมครับคืนนี้”

“แน่นอนมาร์ค...เราจะพูดคุยกันต่อเรื่องของเธอ” คนตอบยิ้มจางกับความกระตือรือร้นในดวงตา

“ครับ ไม่มีปัญหา” มาร์ครับคำ

หลังเก็บล้างจานชาม พวกเขาแยกย้ายไปอาบน้ำแล้วมาเจอกันตามนัดที่ห้องนั่งเล่น ตอนมาร์คมาถึง เจ้าของบ้านกำลังเติมฟืนใส่เตาผิง เสียงไม้ปะทุเบาๆ กับกลิ่นเครื่องหอมอ่อนๆ ซึ่งกำจายทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“เธอใช้เครื่องทำน้ำร้อนแบบเตาแก๊สเป็นใช่ไหม” หนุ่มใหญ่ถามคล้ายเพิ่งนึกได้

“ทุลักทุเลหน่อย แต่พอได้ครับ” มาร์คเอามือลูบท้ายทอย ผมที่มักถูกเซ็ตให้เสยขึ้นเปิดหน้าผากตอนนี้เปียกชื้นและตกลงมาปรกหน้าผาก มันทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ลงเล็กน้อย

“ดี...ดี เอาละ ทำตัวตามสบายมาร์ค เราจะทำความรู้จักกันเพิ่มก่อนเข้านอนเสียหน่อย” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่หย่อนตัวบนโซฟาฝั่งซ้ายของเตาผิง เขาวางสมุดหนังเล่มหนึ่งบนตัก เปิดมันและจรดปลายปากกาบนหน้ากระดาษ

“เมื่อบ่าย...เธอเล่าถึงการตื่นของแอนทอน เธอสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับการเดินละเมอ และทุกอย่างเกิดขึ้นหลังเธอหย่ากับนิโคไล ฉันเข้าใจถูกไหม”

“ครับ”

“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะมาร์ค ก่อนจะได้พบนิโคไล หรือตอนเธอเป็นวัยรุ่น เธอมีอาการเดินละเมอบ้างไหม”

“อาจมีแต่ผมไม่ทราบ”

“แปลว่าเธอจำไม่ได้?”

มาร์คพยักหน้า

อาร์มานีร้องอืมในคอและจดบางสิ่งลงสมุด

“เธอกล่าวถึงครั้งล่าสุดที่แอนทอนตื่น ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเลวร้ายที่พี่ชายเธอทำ ฉันอยากให้เธอเล่ารายละเอียด มันเกิดขึ้นที่ไหน ใครอยู่ในเหตุการณ์นั้นกับเธอบ้าง”

มาร์คพยายามนึกย้อน เขาส่ายหน้า “ไม่...นั่นไม่ใช่ครั้งล่าสุด” แล้วนิ่งไปเพื่อเรียบเรียงความคิด เขาเม้มริมฝีปาก สุดท้ายกลับพยักหน้าและนวดขมับที่เต้นตุบไปด้วย

“ขอโทษครับศาสตราจารย์ ผมจำเวลาคลาดเคลื่อนเอง ครั้งล่าสุดที่แอนทอนตื่นเป็นตอนผมรู้เรื่องพี่ชายทำเรื่องเลวร้ายมากๆ จริง”

“ไม่เป็นไร อาการสับสนเรื่องเวลาเกิดขึ้นได้ หายใจช้าๆ แล้วตั้งสติอยู่กับฉัน...มาร์ค” อาร์มานีบอกอย่างอารี เขาจดอาการของมาร์คไปด้วยระหว่างพูด “หาท่านั่งสบายๆ ให้ตัวเองบนเก้าอี้มาร์ค สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงสองอย่าง ฟังและตอบสิ่งที่ฉันถาม อย่าปล่อยความคิดเตลิดไปมากกว่านั้น”

เขารอจนกระทั่งมาร์คขยับตัวหามุมสบายที่สุดบนโซฟา ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “เราจะช่วยกันลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับแอนทอน...ผมหมายถึง ลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้อง”

มาร์คพยักหน้า “ผมจะพยายาม”

“ลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้องคือ ครั้งล่าสุดที่เกิด ‘การแยกบุคลิก’ เป็นตอนที่เธอรู้ว่าฮันเตอร์ทำเรื่องเลวร้ายมากๆ ถูกไหม”

“ครับ...ใช่ มันเกิดขึ้นสี่ห้าวันก่อน ถ้าผมไม่เลอะเลือน”

อาร์มานีก้มจดข้อความของมาร์คลงสมุดที่กางอยู่บนตัก เขาถามคำถามถัดไป “มันเกิดขึ้นที่ไหน”

จิตแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ป่วยทางจิตเสียเองเม้มริมฝีปากอีกครั้ง “ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่ผมไม่รู้จัก”

“จำได้ไหมว่าทำไมคุณไปอยู่ที่นั่น”

“ไม่ครับ” มาร์คสั่นศีรษะ

“ใครอยู่ที่นั่นกับเธอ ก่อนเกิดการแบ่งแยกบุคลิก”

“ฮันเตอร์ จิล และนิโคไล”

อาร์มานีจดชื่อทั้งสามคนลงบนหน้ากระดาษ ด้านล่างคำถามว่า ‘อยู่กับใคร’ เขาวงกลมชื่อจิลพร้อมใส่เครื่องหมายคำถาม และวาดดาวที่ชื่อนิโคไล ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เลื่อนสายตาขึ้นมองมาร์ค “หมายความว่าทั้งสามคนอยู่ในเหตุการณ์ที่คุณแยกบุคลิก”

มาร์คพยักหน้าและตอบเสียงพร่า “ครับ”

“กลับมาที่ลำดับเหตุการณ์ การแยกบุคลิกครั้งก่อนหน้าจะรู้ว่าฮันเตอร์ทำเรื่องเลวร้าย เป็นตอนที่เธอพบตัวเองเดินละเมอปิดกล้องสังเกตการณ์ เธอเชื่อว่ามันคือการแยกบุคลิก ใช่ไหม?” อาร์มานีจ้องมาร์คพลางถามย้ำ “มีการแยกบุคลิกเกิดขึ้นระหว่างการปิดกล้องและเรื่องของฮันเตอร์หรือเปล่า”

คนฟังเม้มปากและหลับตา ความนึกคิดย้อนไปหาคำตอบในอดีดอันรางเลือน

“ผม...ผมแน่ใจว่ามี”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้า เขาปล่อยให้มาร์คใช้ความคิด ไม่นานสิ่งที่ต้องการก็หลุดผ่านริมฝีปากเม้มแน่นมาทีละส่วน

“ก่อนหน้าจะรู้เรื่องของฮันเตอร์ที่โรงพยาบาล ผมจำได้ว่าตื่นขึ้นในที่ที่ไม่คุ้นเคย และพี่ชายเอาหลักฐานว่าแอนทอน...” มาร์คลูบหน้า “...ว่าอีกบุคลิกของผมเกี่ยวข้องกับการกักขังอัลฟีโอ และการหายไปของอดีตสามีอัลฟีโอ”

“จากนั้นแอนทอนก็ตื่นขึ้นมาแทน เธอรู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล และสลบไปอีกครั้ง?” อาร์มานีเสริม

“ครับ” คนอายุน้อยกว่าพยักหน้า เขานวดกระบอกตาที่ปวดหนึบ ก่อนกล่าวต่อไปว่า “ย้อนกลับไปอีก...ก่อนหน้านั้น” มาร์คเค้นความทรงจำอย่างหนัก “วันที่พี่ชายผมพบอัลฟีโอในห้องใต้หลังคา เขาถามผมเรื่อง ‘ผู้พิทักษ์’ และ...แสดงความรุนแรงด้วยการดึงผมของผม ตอนนั้นใจผมเต้นแรง ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกดึง” เขาเอามือวางบนอก “...ตรงกลางอก”

ข้อความหนึ่งสะดุดความสนใจของอาร์มานี เขาจดมันและย้อนถาม “อะไรคือผู้พิทักษ์”

มาร์คลืมตา “นิทานสมัยเด็กน่ะครับ”

จากนั้นเขาก็เล่านิทานผู้พิทักษ์ให้ศาสตราจารย์ฟัง...นิทานที่ฮันเตอร์แต่งขึ้นเพื่อหลีกหนีความรุนแรงในครอบครัว

สีหน้าของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เคร่งขรึมขึ้น “ย้อนกลับไปอีก คือเธอเดินละเมอปิดกล้องสังเกตการณ์”

มาร์คพยายามนึกอีก และพยักหน้า “ครับ”

“ครั้งแรกสุดที่เธอนึกออกคือตื่นมาพบว่ามีแผลถูกข่วนที่แขน รองเท้ากีฬาเปรอะดิน ถูกไหม”

มาร์คพยักหน้า สีหน้าเขาอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังเธอหย่ากับนิโคไล” อาร์มานีย้ำอีกครั้ง

คนฟังสูดลมหายใจ ภายในเขารู้สึกต่อต้าน แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

“ฉันคิดว่านิโคไลเป็นตัวกระตุ้นการแบ่งแยกบุคลิก ความเจ็บปวดจากการหย่าร้างอาจเล่นงานสมองเธอให้บาดเจ็บแบบเดียวกับการถูกใช้ความรุนแรง”

ถึงตรงนี้มาร์คหัวเราะ อีกฝ่ายวิเคราะห์ตามที่เขาคาดการณ์ไว้

“ผมไม่คิดว่านิโคไลเป็นตัวกระตุ้น ผมเจ็บปวดจากการหย่าร้างแต่ผมรับมือได้”

“ฉันวิเคราะห์ตามข้อมูลที่ได้รับ และ...ฉันไม่ได้ถามความเห็นของเธอ ตอนนี้เธอเป็นคนไข้ของฉัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานที่กำลังช่วยกันดูแลเคส”

สีหน้าของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่สงบราบเรียบ

“ถึงตรงนี้ฉันคิดว่าเธอยังผ่านขั้นแรกของ ‘ห้าขั้นในการเผชิญความเศร้าและความสูญเสีย’ ไม่ได้เลย ทั้งเรื่องนิโคไลและแอนทอน”

มาร์คหรี่ตาเล็กน้อย เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก “คุณกำลังทดสอบผมอยู่หรือครับ”

“ไม่...มาร์ค ฉันกำลังบอกความจริงให้เธอรู้ เธอป่วยจากความสูญเสีย และเธอเป็นเหยื่อจากความรุนแรงในครอบครัว”

“ใช่ ผมสูญเสีย ใช่ ผมเป็นเหยื่อ แต่ผมไม่คิดว่า…” มาร์คเริ่มเสียงแข็ง เขาโพล่งออกไปและตามอารมณ์ตัวเองทันในครึ่งทาง หากคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทฤษฎีของอาร์มานีเป็นไปได้อย่างมาก เขาป่วย เขามีสองบุคลิก ซึ่งอาจมีรากมาจากความรุนแรงในครอบครัว

อาร์มานีไม่ปล่อยให้สติของมาร์คกลับมาครบถ้วน เขาเห็นช่องให้รุกจากสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่ม

“นิโคไลขอเธอหย่าอย่างไรมาร์ค เขาขอเธอหย่าหลังพวกเธอมีเซ็กซ์กันหรือเปล่า พ่อของเธอ...เขารุนแรงกับเธอและฮันเตอร์อย่างไร กระทืบ? หรือข่มขืนด้วย”

“ผมทำต่อไม่ไหว” มาร์คยกมือเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพลางลุกขึ้น

“เธอเกลียดการหลุดการควบคุม” เสียงอาร์มานีคล้ายกลั้วหัวเราะ

“คุณจะว่าอย่างไรก็ตาม...” มาร์คจ้องอาร์มานี ดวงตามีสีแดงซ้อนจางๆ “ผมพอเท่านี้ครับ”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่จ้องกลับ แววตาเขาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว “เธอปกป้องใครไม่ได้หรอกมาร์ค”

มาร์คชะงักเหมือนสิ่งที่อีกฝ่ายพูดกระทบใจเขาอย่างจัง

“แม้จะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องตัวเองเธอยังทำไม่ได้เลย เลี่ยงการปะทะกับขี้ขลาดมีเส้นกั้นบางๆ นะมาร์ค”

วินาทีนั้น หัวใจมาร์คเต้นแรงอย่างน่ากลัว เขารู้สึกถึงการกระชากที่กลางอก ก่อนสติจะดับวูบ

ศาสตราจารย์อาร์มานีลุกขึ้นเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าจ้องเขากลับมาด้วยดวงตาสีแดง

——————————————

มาร์ครู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมอาการปวดที่แล่นลามไปทั่วศีรษะ เขาฝืนลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือไฟเพดานสีออกส้มนวลตา สิ่งถัดมาคือใบหน้าคมคายราบเรียบของศาสตราจารย์อาร์มานี

“รู้สึกอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงถามไถ่ของหนุ่มใหญ่ยังคงเมตตา มันช่วยให้ความรู้สึกขุ่นเคืองจากการถูกบีบคั้นเจือจางลง

“ผมปวดศีรษะ” มาร์คหลับตา คิ้วขมวดแน่น เขาเป่าลมหายใจออกทางปาก รู้สึกเหนื่อย

อาร์มานีสังเกตอาการนั้น แล้วถามอย่างเมตตาเช่นเดิมว่า “อยากนอนคุยกับฉัน นั่งพิงหัวเตียงคุยกับฉัน หรือรอคุยกันพรุ่งนี้”

“ช่วยพยุงผมนั่งหน่อยครับ” มาร์คลูบหน้า “ไซโคเจนิกแบล็กเอาต์หรือ”

“ใช่…” อาร์มานีรับคำขณะพยุงมาร์คนั่งพิงหัวเตียง “ฉันได้พบแอนทอน พูดคุยกันหลายอย่าง”

“คุณจงใจกดดันผม?” มาร์คละมือจากใบหน้าครึ่งๆ สายตาจับจ้องที่อาร์มานี

“ใช่...มันมีช่องว่างเล็กๆ ต้องขยี้กันหน่อย แต่ฉันไม่อยากทำอย่างนี้ทุกครั้ง มาร์ค เธอต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับเขาเอง”

“...เขาเป็นยังไง” มาร์คประสานมือบนตัก

อาร์มานีกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนตอบว่า “เหมือนเธอ แต่แสดงอารมณ์น้อยกว่า กระด้างกว่า ฉันไม่ใคร่อยากแนะนำเขาให้เธอรู้จัก” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักพเยิดไปทางโต๊ะข้างเตียงของจิตแพทย์หนุ่ม “หยิบกล้องวิดีโอบนโต๊ะนั่นสิ คำตอบถูกบันทึกอยู่ในนั้น”

มาร์คหันไปทางโต๊ะข้างหัวเตียง กล้องขนาดกะทัดรัดวางนิ่งรอให้เขาหยิบไปควานหาความจริงซึ่งถูกบันทึกในรูปแบบวิดีโอ

---------------------------------------

A/N รอลุ้นตอนต่อไปกันค่ะ ว่ามาร์คจะได้พบอะไรในวิดีโอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 10-4

เขาสูดหายใจลึกเมื่อศาสตราจารย์อาร์มานีบอกให้เปิดคลิปล่าสุดซึ่งถูกบันทึกในคืนก่อน เขากดเล่นวิดีโอ พบตัวเองในนั้นถูกกล้องจับบริเวณใบหน้าถึงช่วงอก ดวงตาสีแดงไม่ได้มองจ้องมายังกล้องวิดีโอ คาดว่าคงกำลังจ้องมองใครที่นั่งเผชิญหน้าอยู่

ใครคนนั้นหนีไม่พ้นอาร์มานี

“สวัสดี แอนทอน” อาร์มานีในคลิปทักทายก่อน น้ำเสียงอ่อนโยนและสงบ ดังเช่นจิตแพทย์ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“สวัสดี” แอนทอนตอบรับคำทักทายด้วยภาษาอังกฤษ มาร์คสังเกตว่าแอนทอนมีสำเนียงแปลกแปร่ง คล้ายสำเนียงของชาวยุโรปตอนเหนือที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เขาค้นกรุความทรงจำ นึกรายละเอียดโลกของแอนทอนซึ่งพี่ชายเขาเคยเล่า ถ้าความทรงจำถูกต้อง เขาจำได้ว่าฮันเตอร์ใส่รายละเอียดภูมิหลังของแอนทอนหรือผู้พิทักษ์โดยอิงจาก ‘ไวกิ้ง’

ถึงตรงนี้ มาร์คพอเข้าใจ ว่าทำไมถึงมี ‘ขวาน’ อยู่ท้ายรถ ขวานเป็นอาวุธของนักรบชาวไวกิ้งนั่นเอง

“ฉันอาร์มานี เป็นผู้รักษามาร์ค เธอคือผู้พิทักษ์ของมาร์ค”

การสนทนาดำเนินต่อไป มาร์คซูมภาพเฉพาะส่วนดวงตาของแอนทอน มันกระด้าง เกือบเรียกว่าไม่มีหัวจิตหัวใจ

“ใช่”

“ทำไมเธอถึงออกมา”

“เขากำลังกลัว”

มาร์คขมวดคิ้ว...เขากลัว?

“มาร์คอยู่ที่ไหน”

มาร์คพอเดาคำตอบได้

“อีกโลก ที่ที่ผมจากมา”

จิตแพทย์หนุ่มดูวิดีโอด้วยความรู้สึกหลากหลาย สับสน ตระหนก ประหลาดใจ...ไปจนตื่นใจ ในฐานะจิตแพทย์ เขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นตื่นใจขึ้นระหว่างชมวิดีโอความยาวประมาณสี่ชั่วโมงของศาสตราจารย์อาร์มานี มาร์คกดเร่งในบางท่อน หยุดฟังเอาความแล้วกดเร่งอีก ประกายตาอย่างนักศึกษาที่กระตือรือร้นวาบขึ้น

“เธอมีความเห็นอย่างไร ต่อหลักฐานชิ้นแรกที่แสดงถึงการมีอยู่ของแอนทอน”

“ผม…” มาร์คพูดไม่ออก “ผมไม่มีความเห็น” เขาจำนนต่อหลักฐานซึ่งประจักษ์อยู่ตรงหน้า “ชื่อโลกที่แอนทอนอาศัยอยู่ เป็นชื่อถนนที่บ้านเกิดผมตั้งอยู่” มาร์คหลุบตาลง กระซิบเบาๆ “...วินด์ฮ็อก”

อาร์มานีเปลี่ยนคำถาม เขารับกล้องวิดีโอคืนจากมาร์ค “เธอรู้สึกอย่างไรในตอนนี้”

“สับสนไปพร้อมๆ กับกระจ่างครับ” สติของมาร์คยังค้างกับภาพในวิดีโอ โดยเฉพาะกับภาพดวงตาสีแดงเรืองของแอนทอน เขาคลับคล้ายว่า ในอดีต เวลาพ่อโกรธมากๆ ดวงตาจะกลายเป็นสีอ่อน บางครั้งออกน้ำตาลสว่างจ้า บางครั้งแดง

“และ…” มาร์คจ้องมือตัวเองบนตัก “กลัว”

“เธอกลัวอะไร” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่วางกล้องบนโต๊ะข้างเตียง เขาคิดอยากเอื้อมมือไปกุมมือมาร์ค แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งมองอีกฝ่าย

ฉันคิดถึงเธอ…อาร์มานีหวนนึกถึงใครบางคนในความทรงจำอันเลือนรางห่างไกล

“ผมต้องมอบตัว” มาร์คเม้มปาก “ผมกลัว”

“มาร์ค…” อาร์มานีวางมือบนบ่าซึ่งงุ้มเข้าหากัน “เธอกลัวความจริงเรื่องแอนทอน หรือกลัวที่จะมอบตัว”

“ทั้งสองอย่างครับ” มาร์คว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเรื่องที่แอนทอนทำยังไกลตัว ยังไม่ใช่เรื่องของผม แต่ถ้า…” เขาสูดลมหายใจลึก “แต่ถ้าการรักษาทำให้ผมจำเหตุการณ์เลวร้ายที่ ‘ตัวผมเอง’ ลงมือทำได้ ถ้ามันทำให้ผมกับแอนทอนเป็นคนเดียวกัน ผมจะไม่เหลือความเชื่อในความดีงามของตัวเองเลย”

อาร์มานีบีบบ่ามาร์ค เขามองความเจ็บร้าวในสีหน้า เสียงในหัวดังระงม

เธอเหมือนเขาเหลือเกิน

“ฉันไม่คิดว่าการรักษาจะเรียกความทรงจำเหล่านั้นกลับมาได้ และมาร์ค หากเธอมองในอีกแง่ การรวมกับแอนทอนหมายถึงการที่เธอควบคุมจิตใจของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ” เขาหลับตา สูดลมหายใจเมื่อคลื่นความคิดอันรุนแรงปั่นป่วนในอก

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ลืมตาอีกครั้ง กล่าวนุ่มนวล

“มีวิธีอีกมากกับการสำนึกผิดที่ไม่ใช่โยนตัวเองเข้าคุกมาร์ค คุณยังแก้ไขมันได้ด้วยหนทางอื่น”

มาร์คเงยหน้าสบตากับศาสตราจารย์อาร์มานี สายตาถามอีกฝ่ายว่า ‘ยังมีหนทางไหนอีกหรือ’

“โลกใต้ดิน”

คำพูดของอาร์มานีทำให้มาร์คนิ่งราวถูกสาป เขาจำได้ว่าตนไม่เคยพูดถึงเรื่องโลกใต้ดิน

“แอนทอนพูดถึงมันในช่วงที่เธอกดข้าม” อาร์มานียังพูดต่อด้วยสีหน้าสงบ แม้เนื้อความของเขาจะเกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินซึ่งควรเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับคนปกติก็ตาม “และฉันรู้จักคนหนึ่งที่ทำงานในโลกใต้ดิน” ดวงตาคมมองมาร์ค หนุ่มใหญ่ยกมือแตะแผลเป็นตรงปลายคาง “คนเดียวกับที่มอบแผลนี้ให้ฉัน”

อาร์มานีเล่าเรื่องส่วนตัวเป็นครั้งแรก เขาเล่าถึงเพื่อนสนิทซึ่งรู้จักตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ เมื่อพูดถึงเพื่อนคนดังกล่าว แววตาเขานุ่มนวลลง มาร์ครู้จักแววตาแบบนั้นดี มันเป็นแววตาแบบเดียวกับที่เขาใช้มองนิโคไล

ตามคำบอกเล่าสรุปได้ว่าเพื่อนสนิทของศาสตราจารย์อาร์มานีมีอาการของโรคหลายบุคลิก และพลั้งมือฆ่าพ่อเลี้ยงเพราะอีกตัวตนถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำเลวร้ายในอดีต หลังจากนั้นเขาหนีไปกบดานที่โลกใต้ดิน

“เขาติดต่อมาว่าได้งานในโรงพยาบาลของโลกใต้ดิน…” สีหน้าอาร์มานีสงบจนน่ากลัวขณะจบเรื่องเล่าด้วยประโยคที่ว่า “และไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย”

“คุณกำลังจะบอกผมว่า…?”

“มันมีทางเลือกอื่นสำหรับเธอ”

“ให้ผมหนีคดีไปอยู่โลกใต้ดินหรือครับ”

“เธอลองคิดดูนะมาร์ค ผลสรุปของคดีนี้อาจทำให้เธอลงเอยที่โรงพยาบาลจิตเวช” อาร์มานีว่า “ความสามารถของเธอ พลังของแอนทอนไม่ควรเสียเปล่า และฉันเชื่อว่าเธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่เธอไม่มีความทรงจำต่อมันเลยแม้แต่นิดเดียวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว นั่นต่างจากการติดคุกยังไง”

มาร์คนิ่งอึ้ง คำพูดของศาสตราจารย์อาร์มานีเป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่วางอยู่ในสำนึกคนปกติ

“ในวิดีโอ แอนทอนพูดถึงนิโคไล”

มาร์คเกร็งตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่ออดีตคนรัก

“เขาเล่าเรื่องที่อดีตภรรยาเธอเป็นสมาชิกของสมาคม เล่าเรื่องที่อดีตภรรยาเธอเกือบถูกขย้ำด้วยสุนัขล่าเนื้อ พวกมันถูกสั่งโดยสมาชิกคนสำคัญของสมาคม และถ้าเขาไม่ได้อยู่ในสมาคม ไม่ได้ตามหาอดีตภรรยาเธอในเวลานั้น...” อาร์มานียิ้ม “คิดดูสิมาร์ค ถ้าไม่มีเขา...ไม่มี ‘เธอ’ นิโคไลจะเป็นยังไง”

มาร์คใจเต้นดังตุบ! ขมับตึง ศีรษะปวดหนึบ ดวงตาสองข้างเกิดสีแดงซ้อนจางๆ

เขาเป็นห่วงนิโคไล...เขาเป็นห่วงนิโคไล

เขาต้องการอยู่ใกล้ๆ นิโคไล

มากเหลือเกิน

“เธอยังมีเวลาคิด” แม้จะพูดแบบนั้น แต่อาร์มานีพอคาดเดาคำตอบของจิตแพทย์หนุ่มได้

และแม้มาร์ค แอนโธนีจะสับสนในช่วงเวลานี้...แต่อีกไม่นาน เขาจะเลือกทางที่จิตใต้สำนึกเรียกร้อง

เขาได้ยินเสียงมันดังชัดเจน

เสียงที่เอาแต่จะพร่ำหานิโคไล

“อ้อ” เสียงของศาสตราจารย์อาร์มานีดึงมาร์คกลับมา “เขาบอกฉันว่า...เขากลับมาเพราะเธอต้องการให้เขาปกป้องนิโคไล เขาดูแลนิโคไลห่างๆ ทุกคืนเวลาเธอหลับ ไปดูแลถึงหน้าประตูบ้านนิโคไล...เฝ้ามองเหมือนยามรักษาการณ์”

เสียงในจิตใต้สำนึกของมาร์คยิ่งดังขึ้น

“เธอยังมีเวลาคิด มาร์ค…”

——————————————————-

เมื่อมาร์คยอมรับการมีอยู่ของแอนทอน กระบวนการต่อจากนั้นก็ง่ายขึ้น พวกเขาเข้าสู่การรักษาที่มีเป้าหมายเพื่อให้มาร์คไม่แยกบุคลิกอีก และหลังผ่านไปสามสัปดาห์ มาร์คก็ควบคุมจิตใต้สำนึกได้อย่างสมบูรณ์

แอนทอนจะไม่ตื่นขึ้นอีกตลอดกาล และมาร์ค แอนโธนีได้กลายเป็นชายผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีแดงเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่นในครอบครัว ทว่าสีแดงนั้นยังอ่อนจางและอ่อนโยนกว่าใคร

ส่วนหนึ่งของแอนทอน—อีกตัวตนหนึ่งของจิตแพทย์หนุ่มคงอยู่...เพื่อปกป้องบุคคลอันเป็นที่รัก

“ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่ของคุณ” อาร์มานียิ้มให้มาร์ค หลังจบงานซึ่งได้ผลสรุปเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่าย เขาให้มาร์คดื่มยานอนหลับเจือจางและขับรถมาส่งอีกฝ่ายที่บ้านสีขาวหลังเดิมกับที่เจอกันครั้งแรก

มาร์คพยักหน้า “ขอบคุณครับ สำหรับทุกอย่าง” เขายิ้มให้ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่

รอยยิ้มของมาร์คมีความลึกลับไม่น่าไว้ใจบางอย่าง แต่กลับขับให้จิตแพทย์หนุ่มยิ่งดูเซ็กซี่

พวกเขาจับมือกันและการร่ำลาก็จบลงเพียงเท่านั้น มาร์ค แอนโธนีขับรถมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง

สู่หนทางใหม่ที่เขาเลือกเดิน...โลกใต้ดิน

ขณะที่อาร์มานีขับรถยนต์ส่วนตัวมุ่งหน้ากลับไปที่เคบิน

...สู่หนทางที่เขาเลือกเดินมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

“เธอใช้เวลากับเขานานกว่าที่คิดนะอาร์มานี และเธอไม่ให้ฉันล่าเขา...ทำไม” ชายคนหนึ่งซึ่งมาร์คไม่เคยพบในเคบินหลังนี้ถาม

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เข้าไปจูบชายวัยสี่สิบเศษที่สูบบุหรี่รอเขาอยู่ตรงระเบียงบ้าน เขาลูบใบหน้าไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่าย และนาบริมฝีปากบนหน้าผาก

“ไม่...เพราะเขาเป็นเด็กดี” อาร์มานีปัดริมฝีปากผ่านขนตาคนที่ยืนจ้องเขาตาดุ

“แต่เขามีดวงตาที่สวย” ชายคนนั้นเชิดหน้าขึ้นจูบอาร์มานีอย่างร้อนแรง “...สีแดง”

“ไม่ ที่รัก…” อาร์มานีกระซิบบนหน้าผากของอีกฝ่าย “เราจะไม่ล่ามาร์ค แอนโธนี”

ชายลึกลับหัวเราะ “ฉันเป็นบุชเชอร์จำได้ไหม บุชเชอร์ต้องล่า”

อาร์มานีพูดความจริงกับมาร์คครึ่งหนึ่ง ‘เพื่อน’ หรือ ‘คนรัก’ ของเขาทำงานในสมาคมใต้ดินจริง แต่ไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาล คนรักของเขาเป็นบุชเชอร์หรือนักค้าอวัยวะเหมือนฮันเตอร์ เป็นมือดี...ก่อนเขาจะพาคนรักหนีและหลบซ่อนในเคบิน

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ทนเห็นคนรักบ้าคลั่งไม่ได้ กลิ่นเลือดเรียกให้บุคลิกที่เกรี้ยวกราดของคนรักออกมาครอบครองร่างกายและสติสัมปชัญญะ เมื่อกลับเป็นบุคลิกหลักหลังจากนั้น...คนรักของเขาร้องไห้และโทษตัวเอง ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย

เขาตัดสินใจรักษาอีกฝ่าย พามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับชำระจิตใจ ทำให้สดชื่นขึ้น ทว่า...ผลไม่เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์

บุคลิกหลักที่แสนอ่อนโยนกลายเป็นบุคลิกรอง และบุคลิกรองที่เกรี้ยวกราดรุนแรงกลายเป็นบุคลิกหลัก อาร์มานีจมอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองเป็นเวลายี่สิบปี ในบางคืนเขาต้องพยาบาลคนรักที่พยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า มองเศษซากที่แตกสลายของมนุษย์คนหนึ่ง

เป็นเวลายี่สิบปี

ฉันคิดถึงเธอ...อาร์มานีกอดคนรักตรงหน้า แต่กระหวัดนึกถึงใครอีกคนที่หลบซ่อนในจิตใต้สำนึก

ฉันคิดถึงเธอ

-------------------------------------------------

A/N นอกจากเรื่องของมาร์คกับแอนทอนแล้ว เรื่องของศจ. อาร์มานียังกินใจเราไม่แพ้กันค่ะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 11-1

คารินานั่งพิจารณาแหวนวงหนึ่งอยู่ภายในสวนของคฤหาสน์ หล่อนได้รับมันมาเมื่อหกวันก่อน วันเดียวกับที่มีความสัมพันธ์ทางกายอย่างเร่าร้อนกับหนึ่งในนักส่งของ—ซาช่า แดดบ่ายสะท้อนบนเรือนแหวนสีดำเงาวับ ภายในสลักชื่อสกุลของหล่อน ‘คาห์โล’ หัวแหวนสลักเป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยายชนิดหนึ่ง รูปร่างมันเป็นวัวเพศผู้ตัวใหญ่ มีขาอย่างกวาง หัวอย่างม้า และเขาแหลมขนาดมหึมาพุ่งตระหง่านจากกลางหน้าผาก

มันคืออินดริก

ราชินียาเสพติดกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในการเทียบผลเสียและประโยชน์ที่จะได้จากการตัดสินใจครั้งสำคัญ อินดริกเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวงในตำนานรัสเซีย ความหมายของมันแทนอำนาจอันมหาศาล ชัดเจนเหลือเกินว่า รัสเซียกำลังรวบรวมผู้สนับสนุน และอีกไม่นานนี้โลกใต้ดินคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

คารินาลูบริมฝีปากอิ่มเต็มของตัวเองไปมา หล่อนเป็นผู้หญิงฉลาด และรู้เสมอว่าควรเลือกอะไรเพื่อเพิ่มพูนอิทธิพลของตัวเอง ความผิดพลาดเดียวของหล่อนคงเป็นคราวที่ตัดสินใจร่วมชีวิตกับอเลฮานโดร

แต่การที่ผู้หญิงฉลาดและเฉียบขาดยังลังเลเป็นเพราะหล่อนต้องตัดสินใจเรื่องนี้ในสองฐานะ

ในฐานะผู้นำเม็กซิโกทางใต้ ความเสี่ยงต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกับรัสเซียยังมีมาก แม้การขยับขยายอำนาจและอิทธิพลอาจทำได้มากกว่าการเป็นคู่ค้ากับอิตาลี แต่ก็ไม่คุ้มเสี่ยง

ทว่าในฐานะแม่ ภาพถ่ายของคลอเดีย—ลูกสาวเพียงคนเดียวกำลังถูกอุ้มด้วยชายที่หล่อนไม่เห็นหน้า เห็นเพียงช่วงตัวสูงใหญ่และมือขวาซึ่งสวมแหวนประดับตราสัญลักษณ์เดียวกับวงที่หล่อนได้มาจากซาช่า คารินาก็ทราบได้ทันทีว่ารัสเซียเข้าถึงตัวลูกสาวของหล่อนแล้ว

คารินาหลับตาลงเพื่อควานหาการตัดสินใจสุดท้าย และเมื่อลืมตาขึ้น หล่อนยกภาพถ่ายของคลอเดียขึ้นจูบ ดวงตาคู่สวยมีประกายเฉียบขาด ราชินียาเสพติดหันไปตามเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาหา ชายตรงหน้าของหล่อนคือฆวน ท่าทางเขายังดูสบายดี นั่นหมายความว่าการวิเคราะห์ของนิโคไลถูกต้องแล้วว่าเม็กซิโกใต้วางแผนตลบหลังชิงของจากคนที่อิตาลีส่งมาทำงาน มือใหญ่สองข้างของชายวัยกลางคนวางบนไหล่เปลือยของหล่อน คารินาเงยหน้ามองฆวน

“พ่อ” หล่อนเรียกฆวนด้วยสถานะแท้จริง

“ช่วยหนูติดต่อรัสเซียว่า เม็กซิโกใต้และคู่ค้าทั้งหมดจะเข้าร่วมกับรัสเซีย”

————————————————

ไม่ถึงชั่วโมงหลังการตัดสินใจของคารินา อเลสสิโอมาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลของสมาคมใต้ดินโดยไม่มีทนาย ชายวัยกลางคนเข้าเยี่ยมคลอเดียเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อไพโร ผู้นั่งอยู่ข้างเตียงของเด็กหญิงอย่างใจดีและเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้เทวทูตใบ้ที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นปูนปั้นด้วย

“อเลสซี!” คลอเดียที่กำลังคุยกับนักปรุงน้ำหอมร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นอเลสสิโอ เด็กหญิงวางขนมที่กินอยู่ในมือและอ้าแขนรออ้อมกอดจากชายผู้มาใหม่

“คิดถึงหนูจริงๆ” อเลสสิโอเข้ามากอดและจูบแก้มใสอย่างรักใคร่ เขาหันไปทักทายไพโร

“ปกติคุณไม่ได้มาเวลานี้ไม่ใช่หรือ”

“ช่วงนี้นิโคไลอยากให้ผมมาอยู่กับคลอเดียแทนเขาน่ะครับ” ไพโรยิ้มสุภาพ แม้ไม่เห็นหน้านิโคไลมาสองวันหลังจากวันที่นักส่งของออกไปคุยกับอเลสสิโอ และโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย ไพโรก็ยังมาทำหน้าที่ ‘เยี่ยมแทน’ ตามปกติ

“เธอดูชอบเด็ก” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เปรยตามที่เห็น ทุกครั้งที่พบไพโรอยู่กับคลอเดีย เขาเห็นอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเด็กหญิงเสมอ

“ถ้ามีลูกสาว อยากให้พ่อผมทองแล้วเด็กผมแดงเหมือนผม” ไพโรเขี่ยแก้มคลอเดีย แต่คำพูดเขาแปลกนิดๆ อยากให้พ่อผมทองหรือ...เขาอยากให้ผู้ชายอีกคนคลอดลูกให้เขาหรืออย่างไรกัน ซ้ำพูดออกมาอย่างปกติจนคลอเดียไม่เอะใจว่ามันผิดปกติ

“ลูกสาวคุณอาจะมีพ่อสองคนหรือคะ แล้วแม่ไปไหนคะ”

“พ่ออีกคนก็ให้เป็นแม่ไปด้วยไงล่ะ” ไพโรยังคงตอบอย่างไร้ความรับผิดชอบต่อระบบความคิดของเด็ก

อเลสสิโอหัวเราะจางๆ กับความใสซื่อของคลอเดีย ระหว่างสนทนากัน ชายวัยกลางคนหยิบกล่องเครื่องดื่มเล็กๆ ที่คลอเดียบ่นว่าอยากดื่มมาสักพักจากกระเป๋าด้านในของสูท เขาส่งมันให้เด็กหญิงเชื้อสายเม็กซิกันซึ่งตาวาว หลายสัปดาห์ในโรงพยาบาลกับอาหารรสชาติจืดชืด คลอเดียคิดถึงเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้หวานจัดแบบนี้จะแย่ เธอรับกล่องเครื่องดื่มไปเจาะดูด สีหน้าแจ่มใสขึ้นมาอีกจนอเลสสิโออดลูบศีรษะไม่ได้

อืม...ไพโรมองอเลสสิโออย่างชั่งใจ “ผมเคยบอกไหมว่าคุณดูคล้ายๆ คนในรสนิยม” เขายิ้มและขยับตัว

“ไม่เคย” อเลสสิโอยิ้มให้อีกฝ่ายแบบผู้ใหญ่ใจดี เขาเคยชินกับการถูกจีบทั้งทีเล่นทีจริง

ไม่กี่อึดใจถัดมา คลอเดียอ้าปากหาวหวอดทั้งที่ไม่ใช่เวลานอน เด็กหญิงปล่อยกล่องเครื่องดื่มร่วงลงพื้น ร่างเล็กโงนเงนไปมา แต่ก่อนที่คลอเดียจะวูบหล่นลงจากเตียง อเลสสิโอยื่นมือไปรับศีรษะเล็กมาพิงบนแผ่นอกกว้าง เขาถอนหายใจ สีหน้าคล้ายรู้สึกผิดขึ้นมา

ไพโรจุปากอย่างรู้สึกยุ่งยาก เขาไม่ใช่คนโง่ ที่มาดูแลเด็กหญิงอยู่ทุกวันก็ไม่ได้มานั่งเฉยๆ เพียงแต่เรื่องที่นิโคไลสงสัยอเลสสิโอยังมีชิ้นส่วนจิกซอว์ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถต่อเป็นภาพรวมของเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาเฝ้าระวังอยู่ตรงนี้ได้

เขาเห็นแผ่นอกเด็กหญิงยังสะท้อนขึ้นลงอย่างแผ่วเบา ซึ่งแปลว่าไม่ได้ดื่มยาพิษแต่เป็นยาที่ทำให้หมดสติ และการที่อเลสสิโอวางยาเด็กหญิงต่อหน้าเขาก็หมายความว่า…

“คุณกำลังจะแสดงชิ้นส่วนซึ่งขาดหายไปที่ผมกับนิโคไลเฝ้ารอแล้วหรือ”

ชายผมแดงลุกยืนพลางคิดว่าถ้าเขาใช้ ‘น้ำหอม’ กับอเลสสิโอ คลอเดียก็อาจโดนลูกหลงไปด้วย และเอาจริงๆ เขาชอบดูเรื่องสนุก นิโคไลมีใจอยากปกป้องเด็กหญิงจริง แต่เขามาเพราะได้รับการขอร้องเท่านั้น

“ไอ้นิสัยผมมันก็ลมเพลมพัด…” ไพโรลากเสียงยานคางพลางมองรามิเอล “ให้เทวทูตตรงนี้จัดการคุณที่ละเมิดกฎของสมาคมดีไหมครับ แต่ถ้าเขาจัดการคุณ มันคงไม่ค่อยน่าตื่นเต้น คุณรู้ว่ามีเทวทูตเฝ้ายังกล้าเข้ามาวางยาเด็ก หรือคุณมีไพ่ตายอะไรที่จะใช้พาคลอเดียออกจากเขตสมาคม”

ไพโรเคลื่อนไหวว่องไว และเสี่ยงกับสัญชาตญาณของตน เขาทำมือคล้ายขว้างบางอย่างใส่เทวทูตใบ้ แต่ไม่มีอะไรถูกขว้างออกมา

ทว่าคนที่รู้จักนักปรุงน้ำหอมย่อมไม่ประมาท ไพโรไม่ใช่นักปรุงน้ำหอมธรรมดา แต่เขาเชี่ยวชาญด้านสารเคมีและยา ซึ่งทำให้เขาเป็นทรัพยากรบุคคลที่สมาคมใต้ดินจะไม่ปล่อยไป

รามิเอลลุกยืนเต็มความสูงตั้งแต่เห็นความผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กหญิงในความดูแล เทวทูตใบ้ยังยืนสงบนิ่งแม้ในวินาทีที่ไพโรทำท่าคล้ายขว้างบางสิ่งใส่ตน ในขณะเดียวกันอเลสสิโออุ้มเด็กหญิงเชื้อสายเม็กซิกันขึ้นซบบนบ่า เขาประคองร่างที่อ่อนยวบอย่างถนอม

ไพโรยื่นแขนมาทางอเลสสิโอ เขากำมือค้างไว้อย่างนั้น “ขอดูหน่อยสิ ชิ้นส่วนสุดท้าย” หากเขาใช้ของที่อยู่ในมือจริง ไม่เพียงอเลสสิโอ แต่คลอเดียจะโดนลูกหลง

รามิเอลชักปืนติดที่เก็บเสียงออกจากสูทได้รวดเร็ว มีเพียงเทวทูตและการ์ดที่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืนภายในสมาคม ร่างกายของเทวทูตใบ้แข็งแกร่งกว่าคนปกติ ทนต่อยาชาและพิษได้มากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังเริ่มมีอาการชาปลายนิ้วทั้งสิบ รามิเอลยิงปืนนัดแรกใส่แขนไพโรข้างที่ยื่นไปหาอเลสสิโอ อีกสองนัดยิงที่ขาทั้งสองข้างของนักปรุงน้ำหอม จังหวะการยิงของรามิเอลรวดเร็วกว่ามนุษย์แม้อยู่ในภาวะไม่ปกติ กระสุนนัดแรกทะลุผิวหนังของไพโรเฉียดอเลสสิโอไปฝังบนฟูกอย่างแม่นยำ

ไพโรกัดฟันกลั้นเสียงแม้เจ็บฉิบหาย กระสุนนัดหนึ่งโดนเส้นเลือดใหญ่ที่ขา มือเขาคลายออกพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะ “ให้ตาย โหดจริงๆ ไพ่ตายของคุณ แต่เขายิงพลาดนะ ควรยิงที่หัวสิ หรือเขาฉลาดก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ!!!”

ยาของไพโรที่ใช้กับรามิเอลคือยาชา แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ยาชาธรรมดาหรอก

ปัดความคิดอันไม่มีประโยชน์ออกไปก่อน ถ้าไพโรตาย รามิเอลก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาโดนอะไรอยู่แล้วนี่

ไพโรยกแขนข้างที่ยังดีปรบมือกับแขนข้างที่โดนยิง “บราโว...บราโว...คุณได้เทวทูตใบ้ไปเป็นพวก นี่วางแผนกันมากี่ปี ให้ตาย ขอดูเรื่องสนุกต่ออีกหน่อยสิ”

“เขารู้ว่าเธอจะรู้สึกอัปยศ ถ้าถูกศัตรูไว้ชีวิต” สีหน้าของอเลสสิโอยังคงอ่อนโยน เขาถอนหายใจและไม่ตอบคำถามด้วยรู้สึกว่าเสียเวลา

“ฉันไม่ใช่อัศวิน ฉันไม่มีเกียรติยศพรรค์นั้น” ไพโรมอง ‘คู่รัก’ ที่ทรยศโลกใต้ดิน ต้องเป็นคนรักกันแน่ๆ รามิเอลถึงได้ยิงเขาสามนัดรวดเพราะเป็นห่วงเมียมัน “ต้องขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ตั๋วที่นั่งแถวหน้าต่างหาก อันนี้ขอบคุณจริงๆ แต่คิดอีกที ตายก็ไม่เลวนะ...กำลังอยากรู้ว่าไอ้พี่บ้ามันจะหายบ้าหรือบ้าหนักกว่าเดิมถ้าไม่มีคนคอยคุ้มหัวมัน”

ช่างเป็นคนที่พูดมากจริงๆ เหมือนพวกขี้อวด แต่ไม่ ถ้าคุณมองเข้าไปในดวงตาสีแดงของไพโร มันคือตาของหมาบ้าจนตรอกที่สนุกสนานแม้กระทั่งกับความตายของตัวเอง

“ขอให้โชคดี คุณสุภาพบุรุษ” ไพโรรู้ว่าเขากำลังเสียเลือดปริมาณมาก ถึงจะเอามือข้างที่ไม่เจ็บกดแผลไว้ก็ได้แค่จุดเดียว...การหายใจก็ช้าลง...เขามองเด็กหญิงอีกแวบหนึ่ง แล้วคิดในใจว่า

ก็ยังลงมือกับเด็กและผู้หญิงไม่ได้จริงๆ

อเลสสิโอนับถือเกียรติของไพโรในใจเงียบๆ เขายกมือลูบแก้มของนักปรุงน้ำหอมและบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“รัสเซียต้อนรับเธอเสมอ”

อเลสสิโอค่อยๆ ผ่อนร่างที่หมดสติของไพโรบนพื้น เขาก้าวข้ามนักปรุงน้ำหอมที่นอนจมกองเลือดไปหารามิเอล รั้งเทวทูตใบ้ลงมาจูบ

“ดิมิตริ” อเลสสิโอเรียกแล้วจูบซ้ำ

“รถพร้อมแล้ว” เสียงต่ำแหบพร่ากระซิบชิดริมฝีปากของอเลสสิโอ เทวทูตผู้ทรยศสมาคมใต้ดินพูดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ราวกับเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่รัสเซีย

--------------------------------------

A/N ฝั่งรัสเซียเคลื่อนไหวรวดเร็วมากค่ะ ไพโรยับเยินทีเดียว ;w;

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 11-2

ในเวลาเดียวกับที่อเลสสิโอไปถึงโรงพยาบาล ซาช่ามาหานิโคไลที่ห้องพักส่วนตัวในตึกโอลิมปัส ความจริงแล้วเขาไม่มีความจำเป็น—และไม่ควรมาเจอนิโคไล มีความเสี่ยงสูงที่แผนการซึ่งเตรียมมาสิบกว่าปีจะล่มกับการกระทำนอกแผนในครั้งนี้ ถึงอย่างนั้นความรู้สึกบางอย่างและความผูกพันบางประการกลับผลักดันให้ชายหนุ่มชาวรัสเซียนทำตามใจตัวเอง

บานประตูไม้ทาสีเขียวอ่อนยังคงให้ความรู้สึกหรูหราเช่นเดิม คนที่อยู่ในนี้มีพร้อมทั้งเงินและอำนาจจากสมาคมใต้ดิน เป็นนักส่งของอันดับหนึ่งผู้เป็นที่รักใคร่ของทางสมาคม

ไม่มีการตอบรับจากภายในห้องเมื่อซาช่ากดกริ่ง ทว่าเขารู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ความเงียบนี้สงบ...และวังเวงจนหนาวเยือกเหมือนอยู่ในห้องดับจิต

“เฮ้ นิกกี้” ซาช่าเปลี่ยนเป็นเคาะกำปั้นบนประตูพร้อมกับส่งเสียงดัง “เปิดประตูหน่อยคู่หู ฉันรู้ว่านายอยู่ในนั้น”

ประตูเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ มีคนอยู่ข้างในจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครกดปุ่มปลดล็อกประตูให้ซาช่า ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องกลับไม่พบใคร ไม่ว่าจะเป็นในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ข้าวของเครื่องเรือนทุกอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน

“ซาช่าหรือ” เมื่อมาถึงห้องนอน ซาช่าได้ยินเสียงแหบโหยภาษารัสเซียมาจากด้านในห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ติดกัน “...มีอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเดินตามเสียงไปยังห้องอาบน้ำ เขาพูดไปพลาง “จำได้ว่าลืมคอนยัคราคาแพงหูฉี่ไว้ เลยแวะมาเอา”

“จะไปไหนหรือ ถึงต้องรีบมาเอาจนทุบประตูห้อง” นิโคไลยังพูดภาษารัสเซีย มันต่ำและเบา ฟังแทบไม่ออก แต่เนื่องด้วยในห้องเงียบมาก ซาช่าจึงได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ซาช่าบิดประตูห้องอาบน้ำและพบว่ามันไม่ได้ล็อก เขาเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไป

“ฉันมีนัดกินข้าวกับอาที่ไม่ได้เจอกันมานาน” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนตอบตามจริง “วันนี้คงไม่มีงานด่วนใช่ไหม”

นิโคไลนั่งเปลือยกายกอดเข่าอยู่ในอ่างอาบน้ำหินอ่อนสีขาวซึ่งตั้งกลางพื้นกระเบื้องลายหิน ขาอ่างอาบน้ำสีทองหรูหราดูเหมาะกับรสนิยมเจ้าของห้อง ทว่าสิ่งไม่เข้ากันคือกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าบรรจุเข็มฉีดยาจำนวนหลายกล่อง...กล่องเหล่านั้นวางเรียงกันเป็นระเบียบ ภายในเข็มฉีดยาแต่ละอันยังมีของเหลวบรรจุเต็ม

“ไม่มีหรอก แต่ถึงมีก็ไม่ไป” นิโคไลกอดเข่าคู้ตัว เขาไม่พูดภาษาอังกฤษสักคำ ซึ่งนั่นแปลกมาก เพราะปกตินิโคไลไม่พูดภาษารัสเซีย

“คิดถึงนายจัง ขอบคุณที่แวะมานะ”

ถึงพูดว่าคิดถึง แต่นิโคไลก็ไม่มองซาช่า

ซาช่ามองสภาพของคู่หูแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเดินเข้าไปใกล้ ตอบกลับเป็นภาษารัสเซีย “นั่งโป๊อยู่ในน้ำเดี๋ยวก็เป็นไข้”

“นี่…ไม่รู้สิ อาจไม่เป็นก็ได้ ฉันจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว” น้ำในอ่างของนิโคไลเย็นเฉียบ “หาคอนยัคไม่เจอหรือ...น่าจะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราว “มาเถอะ” เขายิ้มให้นิโคไล ดวงตาคล้ายอ่อนแสงลง

นิโคไลเงยมองซาช่า ดวงตาเขาดูกลมโตกว่าที่เคย อาจเพราะใบหน้าซูบตอบลง เขามอง...กะพริบตา แล้วก็ยิ้มและลุกตามอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ซาช่าห่มผ้าเช็ดตัวให้ และรอว่าอีกฝ่ายอยากทำอะไรต่อ

ซาช่าห่อและซับน้ำบนผิวนิโคไลด้วยผ้า แต่อุ่นตัวเย็นเฉียบของอีกฝ่ายด้วยอ้อมแขน ชายหนุ่มชาวรัสเซียนอุ้มนักส่งของอันดับหนึ่งออกจากห้องอาบน้ำ เขาพานิโคไลไปที่เตียง หาเสื้อผ้ามาสวมให้

“นายดูเหนื่อย ฉันจะเว้นเรื่องการกวนประสาทไว้ก่อน” ซาช่านาบมือบนแก้มเย็นๆ อุ่นให้ด้วยความร้อนจากร่างกาย

นิโคไลหลับตา “อืม นิดหน่อย เหนื่อย...แต่ไม่ถึงตาย”

ซาช่ามองสีหน้าของนิโคไล เขาขยับริมฝีปากแล้วก็นิ่ง มือใหญ่วางบนเส้นผมชื้นลูบแผ่วเบา ก่อนเอ่ยประโยคกึ่งกวนประสาท

“นายควรอยู่กับใครสักคนตอนนี้ สามีเก่าไหม ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว”

นิโคไลมีท่าทางคิดเล็กน้อยเมื่อซาช่าเอ่ยถึงมาร์ค “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน” นิโคไลไม่ได้พูดว่า ‘อยู่กับใคร’ แต่เป็น ‘อยู่ตรงไหน’ จากนั้นเขาปรับน้ำเสียงให้ฟังล่องลอยน้อยลง “ไม่ได้รีบไปหรือ”

“รีบ ฉันกำลังจะสาย” ถึงพูดแบบนั้น แต่ซาช่ายังไม่ขยับตัว เขาเลื่อนมือจากศีรษะลงมาเกลี่ยบนแก้มที่อุ่นขึ้นแล้ว

“นี่ สมมตินะ...สมมติเคยมีคนบอกว่าเขาจะไม่ไปจากนาย แต่วันหนึ่งเขาหายตัวไป เขาเป็นคนในอดีต ฉันจำได้ว่านายไม่สนใจอดีต แสดงว่า นายก็ไม่โกรธหรือเสียใจที่เขาผิดสัญญาใช่ไหม”

“ในตอนนั้นฉันอาจโกรธหรือเสียใจ แต่มันผ่านไปแล้ว” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหลุบมองดวงตาคู่ของคนตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ฟุ้งขึ้นเหมือนบ่อตะกอนขุ่นนอนก้นที่ถูกหย่อนหินลงรบกวน ใบหน้ารางเลือน น้ำเสียง และคำพูดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งซุกอยู่ในความคิดปรากฏขึ้น แต่สุดท้ายซาช่าเลือกที่จะปัดมันทิ้ง อดีตผ่านพ้นไปนานแล้ว ชีวิตของเขาอยู่เพื่อปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น

นิโคไลร้องไห้หลังจากได้ยินคำตอบ เขาจับมือซาช่าแผ่วเบา “มันมี...การลบความทรงจำ...สองขั้นตอน มันซ่อน...ไว้สองชั้น” เขาสะอื้น “ชั้นแรก...พวกเขาจะบอกว่านายลืมอะไร...ให้นายยึดติดกับกับส่วนนั้น...แต่ชั้นที่สอง...คือความจริงที่ลึกลงไปอีก...เป็นกล่องแพนโดรา”

นิโคไลสูดจมูก

“...ช่างเถอะ...ทั้งสองอย่างเป็นเรื่องในอดีต นายคงไม่สนใจ”

ซาช่าพยักหน้า เขามองนาฬิกาก่อนจะบอก “ฉันต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรวบตัวนิโคไลมากอด เขากอบใบหน้าสวยและประทับจูบ จูบของซาช่านุ่มนวลกว่าครั้งไหน

“ปล่อยมือจากอดีตบ้างนิกกี้ มันอาจทำให้นายรู้สึกดีขึ้น” เขากระซิบ ปัดริมฝีปากผ่านขนตาชื้นไปจูบบนหน้าผาก

นิโคไลอยากกอดตอบ แต่ตัวเขาแข็งไปหมด...รอยจูบของซาช่าทำให้ในหัวและหัวใจของเขาโหยหาสัมผัสนี้อีก...แต่คิดอีกทีก็ไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า...เพราะรอยจูบในความทรงจำของ ‘นิกิ’ นั้นผ่านมานานมากแล้ว

“ฉันรักนาย...ขอโทษ...ที่ผิดสัญญา แต่ยังดีที่ครั้งนี้...ได้บอกลา” นิโคไลยิ้มส่ง “ฉันจะปล่อยมือจากอดีตตามที่นายบอก”

วิธีการใช้คำพูดของนิโคไลไม่เหมือนตัวเขาตามปกติ

เขาจูบแก้มซาช่าอย่างอ่อนโยน ในจูบนั้นไม่มีตัณหา มันแค่...จริงใจ

ซาช่าจูบนิโคไลอีกครั้งก่อนผละจากห้องเมื่อถึงเวลา ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจากไปแต่ไม่ได้เอาขวดคอนยัคไปด้วย เขาต้องไปพร้อมอเลสสิโอ คลอเดีย และรามิเอล มันเป็นการจากลาที่คงไม่มีโอกาสได้พบกันในโลกใต้ดินแห่งนี้อีก

...แม้ซาช่าออกไปนานแล้ว คนที่ถูกบอกลายังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ในที่สุดเขาก็ขยับปากพูดกับตัวเองคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า

“...บ๊ายบาย…รักแรก...และ...ซาช่า”

ทว่าด้านนอก ซาช่ายังไม่ผละไปทันที ดวงตาเขาแข็งกร้าว สีหน้าจริงจัง เขาจำนิกิได้ และจากบทสนทนาเมื่อสักครู่ก็ทำให้แน่ใจว่านิกิคือนิโคไล แต่เขาตัดสินใจแล้วที่จะไม่ยึดติดกับอดีต อีกอย่างคือการจำนิกิได้อยู่ในจังหวะที่ไม่เหมาะสม เขามีภารกิจที่ ‘ต้อง’ ทำให้สำเร็จ ความรู้สึกใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นไม่ควรถูกสานต่อ

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนมองกระดาษโน้ตในมือที่เขาดึงจากสมุดบนโต๊ะวางโทรศัพท์ของนิโคไล ดึงปากกาจากอกเสื้อออกมาเขียนฝากข้อความสั้นๆ แล้วสอดเข้าตรงช่องใต้ประตู

‘อาจได้ดูดาวที่ฝั่งเหนือด้วยกัน

รอ’

——————————————

เกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อมีคนพบร่างไร้สติท่วมเลือดของไพโรที่โรงพยาบาลใต้ดิน ภายในห้องพักฟื้นของคลอเดีย คาห์โล โดยปราศจากร่องรอยของเด็กหญิงและเทวทูตรามิเอลผู้เป็นคนเฝ้า นางพยาบาลคนหนึ่งแจ้งว่าเห็นอเลสสิโอผู้ได้สิทธิ์เป็นผู้อุปถัมภ์คลอเดียแวะเข้ามาและออกจากโรงพยาบาลพร้อมอุ้มเด็กหญิงไปด้วย อเลสสิโอแจ้งว่าจะพาคลอเดียไปชมบรรยากาศข้างบน เมื่อเห็นว่ามีเทวทูตใบ้ดูแลอยู่ใกล้ชิดจึงไม่มีใครทัดทาน

มีพยานแจ้งว่าเห็นรถที่ซาช่า—คู่หูของนักส่งของอันดับหนึ่งขับมารับทั้งสามคน แต่ไม่มีการแจ้งว่าพวกเขาใช้เส้นทางไหนในการเดินทาง

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังการจากไปของรามิเอล อเลสสิโอ คลอเดีย และซาช่า หุ้นส่วนธุรกิจต่างๆ ของสมาคมกว่าครึ่งถอนหุ้นจนเกิดความวิตกกระสับกระส่ายกับหุ้นส่วนที่เหลือ แต่สมาคมใต้ดินแห่งอิตาลีก็ใช้เวลาไม่นานในการเข้าจัดการทุกอย่างให้ดำเนินต่อไปได้ ส่วนฝ่ายรัสเซียได้ประกาศอำนาจและอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้

ผลกระทบเกิดขึ้นในหมู่คนทำงานโลกมืด เมื่อมีการตรวจพบว่าสายลับของรัสเซียแอบแฝงอยู่ในสมาคมอีกหลายคนนอกจากรามิเอล หรือชื่อจริงคือดิมิตริ วลาดิมีโรวิช ซิมา ผู้เป็นน้องชายของอิลยา วลาดิมีโรวิช ซิมา—อดีตผู้นำสมาคมใต้ดินรัสเซีย

ยังมีซาช่า และคริสตอฟผู้เป็นหนึ่งในทีมนักส่งของ

นั่นทำไปสู่การสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ทีมนักส่งของซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญถูกสั่งสอบสวน โดยเฉพาะนิโคไลกับโซเฟียซึ่งใกล้ชิดกับสายลับเป็นพิเศษ

---------------------------------------------

A/N ตอนนี้คือ...น้ำตาไหล 30 ลิตร โฮรวๆๆๆ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 11-3

หนึ่งเดือนต่อมา

นางพยาบาลมีอารออยู่แล้วตอนที่มาร์ค แอนโธนีในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเดินเข้ามา เธอผายมือให้นายแพทย์คนใหม่ของสมาคมใต้ดินนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้ด้านหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ พร้อมเอ่ยสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปให้เขาฟัง

“ขอบคุณที่มาในวันนี้ เนื่องจากนิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟระบุชื่อคุณเป็นแพทย์ประจำตัวเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าคุณตอบตกลงรับเขาเป็นคนไข้ คุณจะได้รับอนุญาตเข้าถึงประวัติการรักษาทั้งหมดของเขา แต่หากปฏิเสธ ก็ไม่มีความผิดอะไรตามมาเช่นกัน…”

นางพยาบาลหยุดพูดเมื่อมาร์คยกมือ เขาตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม

“ผมตกลงเป็นแพทย์ประจำตัวคุณเกราซิมอฟ”

“เข้าใจแล้วค่ะ แฟ้มเอกสารและบันทึกดิจิทัลของคนไข้ทั้งหมดอยู่ที่นี่ คุณสามารถศึกษาประวัติการรักษาของเขาได้ในห้องนี้ ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับของทางสมาคม หมอ คนไข้ และผู้สอบสวนภายใน ไม่อนุญาตให้นำออกจากห้องและเผยแพร่โดยมิได้รับความยินยอมจากสมาคม…”

มีอายังแจ้งสิทธิ์และกฎทั้งหมดที่มาร์คจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เสร็จแล้วก็ให้เขาลงชื่อในเอกสารอีกหลายฉบับ เมื่อขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น หล่อนก็ออกไปจากห้องโดยไม่ลืมกำชับว่ามาร์คสามารถเรียกใช้บุรุษพยาบาลที่อยู่ด้านนอกได้ตลอดเวลา

หน้าจอโปรเจคเตอร์ถูกเปิด มันเป็นสีขาวสว่างในตอนแรก ก่อนฉายภาพคนไข้ในชุดสีขาวของโรงพยาบาล วันที่ตรงมุมซ้ายบนของภาพระบุว่าเป็นเวลาหนึ่งวันหลังเกิด ‘เหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่’ ในสมาคมใต้ดิน คนที่อยู่ในภาพมีผมสีทองและผิวขาวซีด รูปร่างเล็ก ใบหน้ามีเสน่ห์เกินชาย และไฝน้ำตาสองข้างใต้ดวงตาคู่สวยที่ติดจะเหม่อลอย

“กรุณาบอกชื่อของคุณ” เสียงผู้หญิงเริ่มบทสนทนา มาร์คจำได้ว่าเป็นเสียงของมีอา

“นิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟ” ชายหนุ่มหน้าสวยในภาพตอบ

“อายุ”

“ยี่สิบห้าปี”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมจึงถูกพาตัวมาที่นี่” เสียงมีอายังราบเรียบ

“ผมคงทำอะไรพลาด” นิโคไลตอบ เขาไม่สนใจมองกล้องตั้งแต่คำถามแรก

“เราจะแจ้งข้อกล่าวหาให้คุณฟัง”

ไม่มีการตอบรับ ทว่าหญิงสาวก็ยังพูดต่อ ใจความเกี่ยวข้องกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนักส่งของอันดับหนึ่ง เมื่อมีการพิสูจน์ว่าคู่หูของเขา หรือนักส่งของที่รู้จักในนาม ‘ซาช่า’ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดึงคารินา คาห์โล อดีตคู่ค้าคนสำคัญของสมาคมไปเข้ากับฝ่ายรัสเซีย

“คุณเป็นคนเลือกซาช่าเป็นคู่หู และทำภารกิจที่เม็กซิโกด้วยกัน คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการครั้งนี้หรือไม่”

“ไม่มี”

“คุณมีหลักฐานใดพิสูจน์”

ไม่มีคำตอบจากนิโคไล

“เราตรวจสอบพบว่า นักส่งของซาช่ามาหาคุณช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดเรื่องลักพาตัวคลอเดีย คาห์โล ทว่าเป็นซาช่าที่หายตัวไปพร้อมกับอดีตเทวทูตรามิเอล และอดีตคู่ค้าอเลสสิโอ แฟร์เรรา มีเพียงคุณที่ถูกทิ้งไว้ พวกคุณแตกคอกันหรือไม่”

“เขาแค่มาลา” ครั้งนี้นิโคไลตอบ

“คุณสนิทสนมกันถึงขั้นมีการร่ำลาหรือ”

นิโคไลเลือกที่จะเงียบ

“คำถามต่อไป ภายในห้องพักของคุณ เราพบยาฉีดชนิดพิเศษที่แพทย์ของสมาคมระบุให้คุณใช้เป็นประจำ ทว่าเข็มฉีดยาทั้งหมดรวมสามสิบสองอันไม่ถูกใช้งาน คุณหยุดยาเองโดยไม่บอกแพทย์มานานแค่ไหนแล้ว”

“หลังผมได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในโรงพยาบาล” นิโคไลเอ่ยถึงเรื่องเมื่อตอนอัลฟีโอทุ่มแจกันใส่หัวเขา

“กรุณาแจ้งเหตุผลในการหยุดยา”

“ผมเกิดสงสัยว่า...ผมควรลืมจริงหรือ”

“เหตุผลมีเพียงเท่านั้น?”

เมื่อนิโคไลไม่ตอบ มีอาจึงถามต่อ “เราทราบตัวตนที่แท้จริงของ ‘ซาช่า’ คุณล่ะ ทราบหรือไม่”

“อเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมา” นิโคไลเอ่ยชื่อนั้นโดยมีปฏิกิริยา...ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าระหว่างการถูกสอบสวน คิ้วของเขาขมวดเข้า แต่ปากยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม เป็นสีหน้าที่น่าอึดอัดและดูทรมาน

“คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมา”

“เขาเป็นลูกชายของอิลยา วลาดิมีโรวิช ซิมาที่สั่งสังหารครอบครัวผม”

“คุณรู้ไหมว่าคุณควรลืมชื่อและตัวตนของอเล็กซานเดอร์”

“รู้ นั่นเป็นเงื่อนไขในการสะกดจิต”

มีเสียงถอนใจของมีอา “คุณยืนยันว่าการสะกดจิตที่ใช้ร่วมกับยาคลายออกแล้วหรือ”

“ใช่”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“สองวันก่อนที่อเล็กซานเดอร์จะมาลา ผมไม่ได้จำทุกอย่างได้ทันที แต่ค่อยๆ จำได้ทีละเรื่อง”

“คุณกำลังสารภาพว่ารู้ตัวจริงของอเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมาก่อนที่จะเกิดเหตุหรือ”

“ครับ”

“ถ้าคุณแจ้งตัวจริงของเขาแก่ทางสมาคมตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นได้ คุณตระหนักหรือไม่”

“ครับ”

“แต่คุณไม่ได้แจ้ง เพราะอะไร”

นิโคไลหลับตา

“หากคุณไม่แจ้งเหตุผล ข้อสรุปจะกลายเป็นคุณยอมรับผิดในข้อหาเอาใจออกหากสมาคม”

นิโคไลยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น

“คิดถึงน้องชายของคุณแล้วกรุณาตั้งใจตอบคำถาม” ประโยคนี้ไม่น่าอยู่ในรายการคำถาม มีอาคงคิดขึ้นมาเอง

การเอ่ยถึงโรเมโอทำให้นิโคไลมีปฏิกิริยาอีกครั้ง นานครู่ใหญ่...เขายอมเปิดปาก “ผมคิดไม่ออก ว่าตัวเองควรทำอะไรในเวลานั้น”

“คุณมีเวลาคิดตั้งสองวัน”

“ผมเปิดกล่องแพนโดรา” นิโคไลกดเสียงต่ำ

“กล่องแพนโดราหมายถึงความทรงจำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ ตัวตนของอเล็กซานเดอร์ เป็นความทรงจำที่คุณต้องการลืมจริงๆ ใช่หรือไม่”

“ใช่”

มีอาเงียบไปครู่หนึ่ง มีเสียงแทรกจากนายแพทย์ที่ร่วมฟังการสอบสวน จากนั้นหล่อนจึงกล่าวต่อ “กรุณาระบุรายละเอียดของความทรงจำนั้นเพื่อประโยชน์ของคุณ จิตแพทย์จะประเมินว่าคุณตกอยู่ในภาวะ ‘คิดไม่ออก ว่าตัวเองควรทำอะไรในเวลานั้น’ จริงหรือไม่”

นิโคไลหัวเราะ เขาก้มหน้าจนคอตก...แล้วก็เริ่มร้องไห้ “ผมเป็นคนขโมยข้อมูลจากแล็ปท็อปของพ่อไปให้อิลยาเอง เขาถึงรู้ว่าจะสั่งฆ่าพวกเราได้ที่ไหน ผมแลกข้อมูลกับการได้แอบพบซาช่า...ผมมันโง่...สมควรตาย...ไม่ใช่พ่อกับแม่ ไม่ใช่…”

มีเสียงแพทย์ปรึกษากันโดยที่นิโคไลยังไม่หยุดร้องไห้ ตามด้วยคำถามจากมีอา

“ตอนนี้คุณอายุเท่าไร นิโคไล”

“สิบเจ็ด” คนสะอื้นตอบกระท่อนกระแท่น

มีความเงียบหลังคำตอบ การปรึกษาของแพทย์กลายเป็นการถกเถียง กระทั่งนิโคไลสะอื้นจนไม่มีเสียง มีอาจึงตัดสินใจสรุป

“คุณกำลังอยู่ในภาวะสับสน เมื่อการสะกดจิตคลายออก คุณไม่รู้ว่าตัวเองคือนิโคไลที่อายุสิบเจ็ดปี หรือนิโคไลที่อายุยี่สิบห้าปี วันนี้เราจะหยุดการสอบปากคำไว้เพียงเท่านี้”

ภาพบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ดับลง

มาร์คนั่งมองเทปบันทึกคำให้การของนิโคไลด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ หลังดูเทปล่าสุดจบ เขาเรียกดูเทปอื่นๆ และอ่านประวัติการรักษาของนิโคไลด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง มาร์ครู้สึกเจ็บปวดที่เขาไม่เคยรู้เรื่องอาการของนิโคไลมาก่อน เขาเจ็บปวดที่ไม่สามารถเข้าไปปกป้องหรือโอบกอดอดีตภรรยาในเวลาที่นิโคไลเผชิญหน้าความทรมานได้ จิตแพทย์หนุ่มถอนหายใจยาวหลังอ่านเอกสารทั้งหมดจบ เขาติดต่อมีอาและแจ้งความประสงค์ในการเข้าพบนิโคไลโดยเร็วที่สุด

———————————————

ห้องที่นิโคไลพักรักษาตัวหรือ ‘ถูกกักบริเวณ’ อยู่ที่ชั้นสิบของโรงพยาบาลใต้ดิน เขาถูกห้ามเยี่ยม ซึ่งทำให้ก่อนหน้านี้ไม่มีญาติหรือเพื่อนพบหน้าได้ คนที่แสดงออกว่าไม่พอใจที่สุดคือโรเมโอ ทว่าจากการห้ามปรามของเพื่อนวัยเดียวกันในสมาคมใต้ดิน ที่ขู่ว่า ‘ถ้านายทำเรื่อง พี่ชายก็ยิ่งลำบากไม่ใช่เรอะ!’ ทำให้แม้ไม่พอใจ โรเมโอก็อดทนรอโดยไม่อาละวาด

วันนี้ คนใกล้ชิดคนแรกที่จะได้พบนิโคไลก็คือมาร์ค

มีอาเปิดประตูนำมาร์ค ในห้องพักคนไข้มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อนำมาเป็นอันดับแรก คนไข้ไม่ถูกล่าม แต่ก็มียามเฝ้าหน้าห้อง

นิโคไลสวมชุดคนไข้สีขาว นั่งหันหลังมองผนัง เขาไม่ขยับตัวแม้ได้ยินเสียงรองเท้าเดินเข้ามา

“คนไข้ปฏิเสธการใช้ยาคู่กับการสะกดจิตเพื่อกดความทรงจำอีกครั้ง คณะแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะเขาหยุดยาเองเป็นเวลานานพอสมควร ถึงกลับมาใช้ยาตัวเก่าก็อาจได้ผลน้อยลงหรือมีการต้านยา และเขายังมีคุณค่าเกินกว่าจะส่งไปเป็นหนูทดลองยา” มีอาอธิบาย รวมถึงกล่าวรายละเอียดอื่นๆ ที่แพทย์ประจำตัวควรรู้

มาร์คพยักหน้ารับข้อมูลจากมีอา เขากล่าวกับนางพยาบาลแต่ดวงตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของนิโคไล

“ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม ผมจะสอบถามไปทางคณะแพทย์ ขอบคุณมาก”

“คนไข้ไม่พูดนัก การพูดครั้งสุดท้ายคือตอนเลือกคุณเป็นแพทย์ประจำตัว ทางสมาคมอนุมัติคำขอของเขาเพราะยังต้องการนักส่งของอันดับหนึ่ง คนไข้ได้รับเวลา แต่เขาจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้” หล่อนกล่าวแล้วถอยไปยืนข้างประตู

“ผมขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหม...มีอา” นิโคไลเปิดปาก ซึ่งทำให้มีอาแปลกใจ หล่อนตอบรับและเดินออกไปอย่างสง่า

มาร์คเดินเข้าไปยืนข้างๆ นิโคไล เขาหลุบดวงตามองอดีตคนรักที่ดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมขอโทษที่ใช้เวลานานกว่าจะมาเจอคุณ”

--------------------------------------------

A/N แต่มาร์คก็มาแล้วนะคะ ;w;

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 11-4

“คุณไม่ผิดอะไรเสียหน่อย จะขอโทษทำไมมาร์ค” นิโคไลเกร็งตัวเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะตอบรับเรื่องแพทย์ประจำตัวไหม แต่นั่นเป็นทางเดียวที่เราจะได้คุยกัน ผมติดค้างเรื่องที่ควรบอกคุณอยู่...ถามมาเถอะ ผมจะตอบทุกอย่างที่คุณอยากรู้” ลิ้นนิโคไลพันกันเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดประโยคยาวๆ มาสักพักแล้ว

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนี้” มาร์คถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ว่างเปล่าและสงบ...ไม่อยากเจอหน้าใครเท่าไร”

มาร์คจดคำพูดของนิโคไลลงแฟ้มคนไข้ “คุณอยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า”

“ผมอยากให้คุณอยู่...คุยกันให้จบ”

“คุยอะไรดีละ คุณช่วยผมได้ไหม” มาร์คยิ้มจางๆ

“วันที่คุณกลับมา คุณบอกว่าอยากรู้เรื่องของผม...” นิโคไลเอ่ยช้าๆ “หรือเท่าที่แฟ้มประวัติคนไข้กับภาพบันทึกเทปของผมบอกคุณก็เพียงพอแล้ว”

“ผมอยากฟังเรื่องที่คุณอยากเล่ามากกว่า มีอะไรที่คุณคิดว่าอยากพูด อยากคุย หรือรู้สึก...ค้างคาใจกับผมหรือเปล่า” มาร์คถาม

“ผมแค่อยากตอบสิ่งที่คุณอยากรู้”

มาร์คมองนิโคไลอย่างพิจารณา “เราอาจพอก่อนดีไหมสำหรับวันนี้”

“ไม่ดี” นิโคไลหันมา ใบหน้าขาวซีดมีความไม่พอใจแฝงอยู่ “ผมอยากคุยให้จบ ถึงคราวหน้ามาทำแบบนี้อีกก็ไม่มีประโยชน์”

จิตแพทย์หนุ่มปิดแฟ้มคนไข้ เขาเคลื่อนตัวมานั่งข้างๆ อีกฝ่าย

“อืม” มาร์คยิ้มมุมปากน้อยๆ “อะไรทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่างเปล่า บอกผมได้ไหม”

นิโคไลเม้มปากกับรอยยิ้มของมาร์ค เขาไม่เคยสนใจงานของอดีตสามีอย่างจริงจัง แต่ไม่คิดว่าจิตแพทย์ควรมีรอยยิ้มแบบนี้...มันเป็นรอยยิ้มมุมปากธรรมดา ทว่าเขากลับรู้สึกขัดตา

ทำไมถึงยังยิ้มเหมือนให้อภัยทุกอย่างในโลกได้

“ผมอยู่คนเดียวเป็นเดือน ถ้าไม่ว่างเปล่าจะให้คิดถึงอะไร” การรักษาช่วงแรกบันทึกไว้ว่านิโคไลไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจริง

“โรเมโอล่ะ” มาร์คถาม “เขามาที่นี่ประจำ นั่งรอฟังอาการของคุณจากข้างนอก”

คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบนิโคไล ซึ่งนั่นรวมถึงโรเมโอด้วย เด็กหนุ่มโวยวายลั่นโรงพยาบาล ถูกการ์ดหามออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่ละความพยายามในการจะมาหาพี่ชาย โรเมโอเคยประกาศกับมาร์คว่า “ถ้าไม่ให้ไปหานิกกี้ เค้าก็จะนั่งรอตรงนี้!” พร้อมหอบข้าวของจำเป็นมาเฝ้าตรงที่นั่งรอคิวพบแพทย์ (การ์ดห้ามโรเมโอเฝ้าไข้แม้กระทั่งบริเวณหน้าห้อง)

“ไม่ดีกว่า…” นิโคไลปฏิเสธการพบน้องชายทันที ซึ่งแปลก นอกจากนี้เขายังจับแขนตัวเองและห่อไหล่ อันขัดกับท่าทางหงุดหงิดที่เพิ่งแสดงออก

บางที...นิโคไลอาจพยายามทำตัวเป็นปกติต่อหน้ามาร์ค

เหมือนที่เคยทำมาตลอด

“ไม่คิดถึงเขาหรือ” มาร์คส่งเสียงอืมในลำคอ “ผมถามได้หรือเปล่าว่าทำไม”

“เราคุยกันแค่เรื่องคุณได้ไหม” นิโคไลบอกปัด และเขารู้สึกแน่นหน้าอกกับความคิดปฏิเสธน้องชาย “ไม่มีสักเรื่องที่คุณอยากรู้จริงๆ หรือ” น้ำตาคลอในดวงตาคู่สวย

มาร์คจะส่งทิชชูให้นิโคไล แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขาลงมือทำสิ่งที่ไม่ควรทำในฐานะจิตแพทย์ นั่นคือเกลี่ยน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาบนผิวแก้มอีกฝ่าย “คุณเหมือนอยากเล่า แต่ไม่เล่า มีอะไรติดขัดหรือเปล่า...บอกผมที”

นิโคไลสะอื้น “ผมจะเปลี่ยนแพทย์ประจำตัว ผมคิดว่าพอแค่นี้ก็ได้”

เขายังไม่เป็นปกติจริงดังคาด

“ได้สิ” มาร์คเอ่ย “จริงๆ แล้วผมรักษาคุณไม่ได้ รู้หรือเปล่า...จิตแพทย์เกิดความผูกพันต่อคนไข้เมื่อไร นั่นเป็นสัญญาณให้ทรานสเฟอร์เคส”

“ผมก็ไม่ได้ต้องการจิตแพทย์ ผมต้องการ!...” นิโคไลแทบกัดลิ้นตัวเอง เขาสะอื้นเหมือนต่อสู้กับความอยากบอกความในใจและการกักเก็บมันไว้

“ในเมื่อคุณไม่อยากรักษากับผมแล้ว ให้ผมเป็นแค่มาร์คของคุณได้ไหม”

นิโคไลเงยหน้ามองมาร์ค น้ำตาเขาไหลอาบหน้าเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างไรอย่างนั้น

“ผมรู้...ผมรู้ คนเราอกหักก็จะเจ็บปวดแบบนี้ละ” มาร์ควิเคราะห์อาการของนิโคไลจากข้อมูลในแฟ้ม จากวิดีโอ และจากอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่ปรากฏระหว่างคุยกัน “แถมพ่อของเจ้าคนหักอกยัง...หักหลังครอบครัวคุณด้วย”

คำพูดของมาร์คกระทบใจคนฟังอย่างจัง

“กอดผมหน่อย” นิโคไลพยายามควบคุมให้ตัวเองหยุดสะอื้น “...ได้โปรด”

มาร์คดึงนิโคไลเข้ามากอดแน่น “ไม่เป็นไร คุณเจ็บปวดได้ ร้องไห้เถอะ...ร้องนะ ผมอยู่ตรงนี้” เขาให้อดีตคนรักซบหน้ากับบ่า พร้อมลูบศีรษะจนกว่าจะนิ่ง

“ผมไม่ได้รักเขาแล้ว” นิโคไลสูดจมูกและพูดเสียงสั่นจนเหมือนมาร์คกำลังปลอบเด็กเล็กๆ “เขาบอกให้ปล่อยมือจากอดีต ผมว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน” มือเล็กเกาะบ่ามาร์ค “แค่ความรักเล็กน้อยแบบนั้น มีอะไรให้ควรจำ” เล็บจิกบนเสื้อกาวน์ “...ผมจะมีหน้าไปพบโรเมโอได้ยังไง ผมทำให้พ่อแม่ของเราตาย”

“นิกกี้…” มาร์คจูบขมับคนตัวเล็กกว่า “คุณติดบ่วงความรักความทรงจำนั้นเกือบสิบปี ไม่ต้องเร่งตัวเอง” เขาจับไหล่นิโคไล ดึงออกให้สบตากัน “ส่วนอีกเรื่อง...คุณในตอนนั้นจะรู้หรือว่าเขาจะลงมือฆ่าพ่อแม่ของคุณ คุณไม่ใช่ฆาตกร คุณเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ และคุณกำลังลงโทษตัวเองให้ตายช้าๆ ในความผิดบาปที่คุณไม่ได้มีเจตนาเลย”

นิโคไลรับฟังโดยไม่ต่อต้าน “ผมคิดว่าตัวเองในอดีตโง่เง่า แต่ผมสลัดเด็กผู้ชายโง่ๆ คนนั้นไม่พ้น นั่นไม่ใช่คนแบบที่ผมในปัจจุบันเป็น ผมรู้ว่าเราต้องยอมรับความผิดพลาดในอดีต แต่...แต่...แค่คิดว่าจะเดินออกไปจากที่นี่แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกลับต้องการใครสักคน ผมไม่ควรต้องการใคร ผมต้องอยู่ให้ได้เหมือนที่เคยเป็น ผมแค่อยาก…”

นิโคไลกัดปากตัวเองแน่น เขาผ่อนลมหายใจที่ถี่กระชั้น” แล้วพูดเสียงต่ำ

“ผมอยากอาเจียนกับสิ่งที่ผมเป็นในตอนนี้”

“คุณมีผม” มาร์คลูบแก้มนิโคไล “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” เขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอีกครั้ง

“ผมหย่าคุณนะมาร์ค” นิโคไลมีแววพยศในดวงตา เขาดูไม่เหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดแต่กลับมาเป็นนิโคไลคนเดิม

“ผมจีบคุณใหม่ได้หรือเปล่า”

“ผมทำงานที่ไม่รู้ต้องไปนอนกับใคร เมื่อไหร่!” นิโคไลทุบ!

มาร์ครับกำปั้น “ผมรู้”

“ที่ผมบอกให้กอด ผมไม่ได้ให้กอด ผมให้คุณนอนกับผม!”

“ชู่ว…” มาร์คปลอบให้นิโคไลสงบ

“คุณเคยถามตอนหย่าว่าผมไม่รักคุณแล้วหรือ คำตอบนะมาร์ค ผมรักคุณ รักก่อนที่จะจำเรื่องในอดีตได้ นิโคไลที่เป็น ‘นักส่งของ’ รักคุณ แต่เราจะอยู่กันยังไง ในเมื่อผมอยู่ในโลกอันตราย ผมที่เป็นผู้ใหญ่ตัดสินใจได้มีสติกว่าตัวเองตอนอายุสิบเจ็ด ไม่มีอะไรดีกว่าการหย่าแล้วต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง!”

นิโคไลกำมือดันอกมาร์ค

“แล้วตอนนี้?” มาร์คไม่ยอมปล่อยกอด

นิโคไลสูดหายใจอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้ายิ้มทั้งน้ำตา “ผมบอกคุณไปรึยัง เสื้อกาวน์ที่ใส่อยู่นี่…ทำให้คุณน่ากินชะมัด”

เขาหัวเราะแบบ ‘ช่างเถอะชีวิต’

มาร์คจะว่าเขาหน้าด้าน ร่าน ไร้ยางอาย หรืออะไรก็ช่าง...เขาเบื่อจะเสแสร้งแกล้งทำสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น

“เอาไว้ผมจะให้คุณกินตอนออกจากโรงพยาบาล” มาร์คหัวเราะ “เรารอคุณอยู่ ผม โรเมโอ เจเรไมน์ ขนาดฮันเตอร์ยังเหงาปากไม่รู้จะต่อคำกับใคร”

“ผมอยากเป็นคนที่เสียใจก็ร้องไห้ โดยไม่ต้องไปหลบอยู่ในห้องอาบน้ำ” นิโคไลน้ำตาไหล “ผมอยากร้องไห้ได้อย่างเข้มแข็งจริงๆ เสียที”

“คุณทำได้แล้วนี่...เก่งมาก” มาร์คจูบหน้าผากและเปลือกตานิโคไล

“ผมจะปล่อยอดีตไป แต่ไม่ลืมมัน ผมอยากให้มันเป็นบทเรียน...ให้เรารู้จักตัวเอง...และเข้มแข็ง”

เขาประคองใบหน้ามาร์คมาจูบแนบแน่น เขาในวัยเด็กอาจรักซาช่า และเคยตะโกนบอกโลกว่ารักเด็กหนุ่มชาวรัสเซียนคนนั้น รวมถึงยอมรับว่าตนเริ่มมีใจให้ซาช่าที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง แต่ตัวเขาที่เป็นผู้ใหญ่ยังมีอีกความรักหนึ่ง...อันแตกต่างกับรักแรกโดยสิ้นเชิง ความรักนี้เงียบงัน ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจมาตลอด และถูกปัดทิ้งด้วยเหตุผลว่าเขากับอีกฝ่ายอยู่คนละโลก

“คุณต้องเล่าให้ผมฟังบ้างนะมาร์ค ว่าคุณหายไปทำอะไรมา...และคุณกับแอนทอน เป็นยังไง เราอยู่ในโลกเดียวกันแล้ว ครั้งนี้ ผมจะไม่ปฏิเสธคุณ ถ้าไปกันไม่ได้ ผมให้คุณปฏิเสธผม...”

มาร์คยิ้มอ่อนโยน เขาเกลี่ยริมฝีปากบนริมฝีปากนิโคไล และจูบนุ่มนวล

“ผมจะเล่าให้คุณฟัง ทุกๆ อย่าง แต่หลังจากเราได้เจอกันข้างนอกนะ” เขากอดนิโคไลแน่นขึ้น

“ผมจะเล่า...ระหว่างเราดื่มกาแฟด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน เดินทางด้วยกัน หรือระหว่างเราร่วมรักกัน” มาร์คยิ้มกว้าง

นิโคไลหน้าแดงกับประโยคสุดท้าย เขารู้สึกขัดเขินอย่างไม่มีเหตุผล จากปกติที่ทำท่าทางเชิดใส่ประโยคหวานเลี่ยนแบบนี้ กลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“อื้อ…” นิโคไลน้ำตาคลอ “ผมว่าเป็นความคิดที่ดีนะ...เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”

----------------------------------------------

A/N เป็นความคิดที่ดีจริงๆ /ร้องไห้ไปกับนิโคไลค่ะ ;w;


ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 12-1

เมื่อมีคำรับรองจากแพทย์ว่านักส่งของอันดับหนึ่งอยู่ในภาวะที่สามารถพูดคุยได้แล้ว นิโคไลถูกเรียกไปพบหัวหน้าเทวทูตเป็นการส่วนตัว

ชายคนนี้มีชื่อว่าดอเรียน ในสมาคมใต้ดิน เขาเปิดเผยหน้าตามากกว่าสวมหน้ากาก แต่แม้ทุกคนจะเห็นรูปลักษณ์แท้จริง ก็ไม่ใช่ทุกคนจะทราบตำแหน่งหรือสถานะของดอเรียน เวลาถูกซักถาม เขาตอบคำถามไม่ตรงกันสักครั้ง “ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว” หรือวันต่อมาอาจเปลี่ยนกะทันหันก็ได้ จนหลายต่อหลายคนระอา เรียกเขาว่า ‘พินอคคิโอ’ ตามตัวละครเด็กชายผู้ชอบโกหกในวรรณกรรมเด็กคลาสสิกของคาร์โล คอลโลดิ

ไม่ใช่แค่ชอบพูดเรื่อยเปื่อยเรื่องตำแหน่งและสถานะ เขายังชอบเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองไปเรื่อยๆ ตามแต่อารมณ์และความสนใจ ณ ขณะนั้น อย่างเวลานี้เขาถูกใจ ‘ดอเรียน’ ซึ่งมาจากชื่อเต็มว่า ‘ดอเรียน เกรย์’ ตัวละครเอกในนวนิยายเชิงปรัชญาของออสการ์ ไวลด์ เขาชอบเรื่องราวของดอเรียน เกรย์—ชายหนุ่มผู้ไม่มีวันตาย แก่ชราหรือแม้กระทั่งเจ็บไข้ เนื่องเพราะวิญญาณเขาถูกฝังไว้ในภาพวาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพวาดภาพนั้นจะรับความเสื่อมเอาไว้เอง ดอเรียนจึงไม่มีความกลัวแบบมนุษย์เหลืออยู่ ทว่าอยู่ไปนานวัน ความสุขแบบมนุษย์ก็ไม่อาจเติมเต็มเขาได้เช่นกัน

‘ว่างเปล่า’ อาจเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด

ในตอนนี้ภาชนะว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยใครคนหนึ่ง เขาเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเป็นชื่ออื่น แต่สงวนไว้เฉพาะใครคนนั้นรวมไปถึงเพื่อนสนิท

สำหรับคนในสมาคมยังคงเรียกเขาว่าดอเรียน คนเก่าคนแก่ของที่นี่เห็นว่าเหมาะแล้ว เพราะแม้เวลาจะผ่านมาสิบหรือยี่สิบปี เทวทูตคนนี้...ไม่แก่ชราตามกาลเวลาเลย สิบปีหรือยี่สิบปีก่อนดูเป็นอย่างไร เวลานี้ก็ไม่แตกต่าง เขายังคงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ดวงตามีประกายแห่งพลังชีวิต

“สวัสดี นิโคไล ไม่เจอกันนาน” ดอเรียนเอ่ยทักทายนักส่งของ เสียงเขาทุ้มจัดทว่าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“สวัสดีครับดอเรียน ไม่เจอกันนานจริงๆ ขอบคุณที่เชิญมา ผมอยากกล่าวคำขอโทษที่ทำให้หลายคนลำบากอยู่พอดี” นิโคไลถอดชุดคนไข้มาสวมชุดตามปกติ เสื้อแจ็กเกตทับเสื้อยืดและกางเกงหนังขาสั้นกับรองเท้าบูตยาว ทว่าแม้ชุดเปรี้ยวจี๊ด ท่าทางคนสวมกลับนิ่งสงบ “ผมพร้อมชี้แจงแล้ว”

“เชิญ” ดอเรียนผายมือให้นิโคไลนั่งบนโซฟา

นิโคไลนั่งลงอย่างว่าง่ายและเป็นการเป็นงาน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมรับฟัง เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดในมุมของตัวเอง ตั้งแต่การรับซาช่าเป็นหนึ่งในทีมนักส่งของและให้เป็นคู่หู การมีความสัมพันธ์ทางกาย ภารกิจที่เม็กซิโก และเรื่องราวหลังจากนั้น

“ส่วนอเลสสิโอ ผมจับตาดูเขาเพราะความไม่วางใจส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญ ผมไม่คาดว่าเขาจะร่วมมือกับซาช่า รามิเอล หรือกระทั่งคริสตอฟ รากที่ชอนไชเข้ามาในสมาคมของพวกเขาลึกมากและหยั่งรากไว้นานทีเดียว”

การจับตาดูอเลสสิโอที่นิโคไลทำร่วมกับไพโรมีสาเหตุมาจากข้อมูลที่ได้รับจาก ‘เจ้าของ’ อันที่จริง แม้ช่วงนักส่งของรักษาตัวจะห้ามคนส่วนใหญ่เข้าเยี่ยม แต่เจ้าของก็ยังได้รับการยกเว้น มีการติดต่อจากเจ้าของนิโคไลผ่าน ‘สุนัขหมายเลขหนึ่ง’ หลังนิโคไลถูกกักตัวในโรงพยาบาลได้สองวัน สุนัขคนนั้นเป็นชายหนุ่มผมดำร่างสูงผู้หล่อเหลาและมีบรรยากาศรอบตัวอย่างเชื้อพระวงศ์ เขายืนมองนิโคไลครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกมา และแจ้งแก่สมาคมว่า

‘เขายังเป็นสัตว์เลี้ยงของเดอ โรเวเร อย่างไรก็ฝากดูแลด้วย’

“เอาเถอะ ฉันเองก็ตามรามิเอลไม่ทัน” ดอเรียนนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง ไขว่ห้าง เอนหลังสบายๆ “ฉันเรียกเธอมาคุยทั่วไป ไม่ได้จะเรียกมาตำหนิ อย่างไรเธอก็ทำงานเป็นนักส่งของ ไม่ใช่พวกไนท์วอทช์หรือพวกที่ตรวจสอบประวัติสมาชิก”

“แต่ความผิดพลาดที่ทำให้สูญเสียคู่ค้าสำคัญอย่างคารินา คาห์โล อย่างไรก็ต้องมีการแสดงความรับผิดชอบใช่ไหมครับ” นิโคไลไม่หวังว่าตัวเองจะผ่านเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย เพราะเขาเก็บงำตัวจริงของซาช่าไว้ถึงสองวัน

“ความผิดตกที่บรรดานักสอบประวัติ ถ้าเธออยากรู้” ดอเรียนประสานมือวางบนเข่า “ตกที่ไนท์วอทช์และเทวทูต เราหละหลวม” ตอนเหตุซา เขาเรียกประชุมหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบด้านโครงสร้างของสมาคมมาปรึกษาหารือถึงช่องโหว่ในการตอบรับสมาชิก ตรวจสอบสมาชิก ไปจนถึง ‘อำนาจ’ ของสมาชิก เพื่อให้การดูแลสมาชิกทุกคนรัดกุมขึ้น

“กรุณาบอกสิ่งที่ผมทำได้” นิโคไลน้อมศีรษะ ถึงสมาคมจะใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มขีดจำกัด หรือบางทีมากกว่าขีดจำกัด แต่ในใจลึกๆ นิโคไลรู้ว่าชีวิตใหม่ของเขาหลังครอบครัวถูกสังหารเริ่มต้นใหม่ที่นี่...เขายังมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับสมาคมอยู่

“ทำอย่างเคยนั่นละ นิโคไล” ดอเรียนเอ่ย มีความเมตตาเจือในน้ำเสียง

“รับทราบครับ ดอเรียน”

“ฝากความคิดถึงไปให้โรเมโอและมาร์ค แอนโธนี สมาชิกใหม่ของเราด้วย”

นิโคไลเสียววูบในใจ จากนั้นก็ฝืนยิ้ม เขาทราบว่าหัวหน้าเทวทูตสามารถอารีได้มากพอๆ กับเหี้ยมโหด และอีกฝ่ายไม่ต้องแตะตัวเขาด้วยซ้ำหากคิดลงโทษ

“ขอบคุณในความกรุณาครับ...ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัว”

——————————————————-

กลับจากพูดคุยกับดอเรียน มีคำสั่งให้ปล่อยตัวนิโคไลจากโรงพยาบาล ทว่ายังติดทัณฑ์บนต้องมารายงานตัวตามเวลาที่กำหนด

นิโคไลใช้เวลาตรวจร่างกายและพูดคุยกับแพทย์อยู่ราวสองชั่วโมงก็เป็นอิสระ

คนแรกที่เขาไปพบคือโรเมโอซึ่งปักหลักรออยู่ในโรงพยาบาล

“นิกกี้!” โรเมโอลุกพรวด! จากที่นั่ง ในมือยังถือผ้าพันคอซึ่งผืนใหญ่พอจะเป็นผ้าห่มได้ เขามานั่งรอพี่ชายทุกวันพร้อมกับมาร์ค ในหัวมีแต่จะคิดหาวิธีย่องไปหานิโคไล

ด้านจิตแพทย์หนุ่มหัวเราะ เขาลุกขึ้นตามอาการสะดุ้งของเด็กหนุ่มข้างตัว พลางส่งรอยยิ้มให้ ‘คนรัก’ ซึ่งกำลังเดินมาหาพวกเขาทั้งคู่

นิโคไลยิ้มให้มาร์คแล้วเท้าเอวเอียงคอมองน้องชาย เขาทำจมูกฟุดฟิดพร้อมสีหน้าฉงน “ทำไมกลิ่นน้ำหอมฟุ้งแบบนี้ มาร์คไม่บ่นเลยหรือ” พี่ชายยื่นหน้ามาดมเหมือนแมวตัวโต “อาบน้ำบ้างหรือเปล่านี่…”

“อะ...อาบ” โรมอ้อมแอ้ม เขาเปิดห้องโรงแรมของสมาคมไว้แต่ไม่เคยอยู่เพราะเป็นห่วงนิโคไล เด็กหนุ่มจะกลับไปนอนโรงแรมเฉพาะเวลาเหนื่อยถึงขีดสุดจนต่อกรกับมาร์คซึ่งเพียรอุ้มเขากลับโรงแรมไม่ไหว

คิ้วสวยของนิโคไลขมวดเข้าหากัน เขาปวดใจนิดๆ ที่ทำให้โรเมโอเป็นห่วงถึงขนาดลืมดูแลตัวเอง จึงดึงน้องชายมากอด “ยอมให้ครั้งเดียวนะ ถ้าคราวหน้าไม่อาบน้ำ...ไม่กอดแล้วด้วย”

นิโคไลกอดโรเมโอแน่นแล้วระบายลมหายใจออกมายาวๆ

“ไม่เป็นไร คราวนี้พี่ไม่สบายหนักหน่อย...แต่หายแล้วล่ะ สบายดีแล้วไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เขาปลอบคนตัวสั่นในอ้อมกอด

“เค้ากลัวนิกกี้ไม่กลับมาหาเค้า” โรเมโอสะอื้น น้ำตาไหลพรากเปรอะชุดนิโคไล เด็กหนุ่มปล่อยโฮอย่างไม่อายกลางโรงพยาบาล สองแขนรัดอีกฝ่ายแน่น

“อายุสิบแปดแล้วจริงหรือเปล่าเนี่ย”

“อายุเป็นตัวเลขไร้สาระ” โรเมโอสูดจมูก “เค้าเหงา”

“ถึงบอกให้มีแฟนไง” นิโคไลบีบจมูกน้องชาย เขาทำเหมือนทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เป็นเรื่องที่รับมือได้ง่ายๆ เพื่อให้โรมเลิกกังวล

“มีนิกกี้พอแล้ว!” โรเมโอประกาศ

“เอาละ...เอาละ เราไปฉลองกันดีไหม อยากกินอะไรกันบ้าง” มาร์คถามสองพี่น้อง

“ไม่เอาอาหารเม็กซิกันก็แล้วกัน” นิโคไลกอดและจูบมาร์คกลางทางเดินโรงพยาบาล เขาอ้อยอิ่งอยู่สักพักกว่าจะยอมปล่อยปากพลางไล้จมูกชนกับสันจมูกโด่ง “อืม...ดูคุณสิ เสียดายจัง วันนี้ไม่ใส่เสื้อกาวน์” เขายิ้มร้าย

“เอาไว้เราซื้อสักตัวไว้ที่บ้าน” มาร์คก้มลงไปกระซิบตอบ ดวงตาเจือสีแดงมีแววหยอกเย้า

“ไม่ก็นัดเจอกันที่โรงพยาบาล” นิโคไลมองมาร์คทั้งเนื้อทั้งตัว พบว่าสามีเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นคน ‘ลองคบกันใหม่’ ยังน่ากินเสมอต้นเสมอปลาย

ระหว่างทั้งสามคนกำลังเดินไปทางลอบบีประชาสัมพันธ์เพื่อออกจากโรงพยาบาล ก็สวนกับชายผมแดงในชุดสูทสีดำแบบสั่งตัดพอดีตัว ใบหน้าของชายคนนี้โดดเด่นและคุ้นตา ทว่าที่แปลกไปจากเดิมคือมันไม่มีรอยยิ้มกวนอารมณ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

โรเมโอกำลังจะทักว่า ‘ไพโร!?’ ด้วยความประหลาดใจที่อีกฝ่ายลุกเดินได้หลังมีข่าวว่าถูกยิงเลือดท่วม ทว่าชายในชุดสูทสีดำกลับเพียงปรายตามาทางนิโคไลแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร

“อะไรของเขา โดนยิงจนสมองเสื่อมหรือไง ไม่ทักทายกันเลย” โรเมโอเบ้ปาก

นิโคไลมองตามหลังชายหนุ่มผมแดงร่างสูงซึ่งมีท่วงท่าสง่างามอย่างผู้ดีแต่กำเนิด เขาเพิ่งทราบเรื่องไพโรถูกยิงอาการสาหัสก็วันนี้และแวะไปดูทันที ทว่าไม่ได้พบคนเจ็บเพราะมีคำขอร้องจากญาติว่าไม่ประสงค์ให้ ‘บุคคลภายนอก’ เข้าเยี่ยม

“นั่นไม่ใช่ไพโรหรอก” นิโคไลเปรย

ไม่ใช่เลย เขาแยกอีกฝ่ายออกจากไพโรได้ในทันที

——————————————————-

‘เพียโตร’ คือชื่อของพี่ชายฝาแฝดของชายหนุ่มผมแดงที่นอนอยู่บนเตียง ข้างเตียงของเขามีดอกไม้เยี่ยมไข้สีแดงซึ่งกลีบดอกสวยงามเรียงกันสมบูรณ์ราวกับไม่ใช่ของจริง ซ้ำดอกไม้นี้ยังมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติอันแตกต่างจากกลิ่นดอกไม้ในท้องตลาดทั่วไป เป็นกลิ่นหอมที่เหมือนมาจากในความฝันอันน่าหลงใหล กระทั่งนางพยาบาลที่เข้ามาดูแลคนป่วยยังเผลอเคลิ้มไป

“กลิ่นดอกไม้ของแกนี่...เหมือนของสุกจัดทุกทีเลยว่ะพี่” คนบนเตียงพูดจาเสียดสี “เอาของใกล้เน่ามาเยี่ยมกันแบบนี้ จะฆ่ากันด้วยกลิ่นหรือไง”

เพียโตรไม่ต่อปากต่อคำ เขาเดินมาข้างเตียง มือจับคางน้องชายจะพลิกดูแผล

“มันยิงที่แขนกับขา” ไพโรจ้องพี่ชายอย่างหาเรื่อง “ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะมาเยี่ยมได้ ให้ตาย เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่จริงหรือเปล่าวะ”

“ฉันมองหาแผลที่แกโดนตอกหน้า” เพียโตรพูดเสียงเรียบ ก่อนละมือจากน้องชาย

ไพโรแสยะเมื่อถูกกวนอารมณ์กลับ “ฉันก็ควรมองหาศพแกในเรือนกระจกสักวันไหม”

เพียโตรทำธุรกิจขายไม้ดอกไม้ประดับ รวมไปถึงไม้ผลบางประเภท นอกจากนี้เขายังมีงานอดิเรกคือเลี้ยงพันธุ์ไม้แปลกๆ จากทั่วโลก บางครั้งทดลองผสมจนได้พันธุ์ไม้ชนิดใหม่ก็นำมาประมูลในสมาคมใต้ดิน อย่างดอกไม้ที่นำมาเยี่ยมไพโรเขาก็ผสมพันธุ์ขึ้นเอง อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะนำมาประมูลหรือปล่อยออกสู่ตลาดทั่วไป

บาดแผลของไพโรใกล้หายดีแล้ว ที่จริงเขาเดาว่าเพียโตรน่าจะมาที่โรงพยาบาลหลายครั้งก่อนหน้านี้ เพราะเขากับมันมีเลือดกรุ๊ปพิเศษ ไม่สามารถใช้เลือดสำรองตามปกติ หากต้องให้เลือด เพียโตรน่าจะถูกเรียกมาทันทีตั้งแต่วันแรกที่เขาถูกยิงนั่นแหละ

“ฉันอยากฆ่าไอ้คนที่กล้ายิงแกจริงๆ” เพียโตรจ้องแผลที่แขนน้องชาย

--------------------------------------

A/N บทนี้ขออนุญาตปักธง ดอเรียน ไพโร เพียโตร ค่า! // นิกกี้อาการดีขึ้นแล้ว ดีใจ ;w;

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
Case 12-2

ไพโรเลิกคิ้วสีแดงอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป วันนี้จู่ๆ เกิดรักน้องชายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาซึ้งจนอยากจูบปากแกเลยว่ะพี่”

“ถ้าปากแกไม่อวดดี ฉันก็อยากจูบ” เพียโตรดึงผ้าห่มของไพโรออกเพื่อดูแผลบริเวณขา

“จูบสิ กำลังเบื่อพอดี” ไพโรยันตัวขึ้น เรือนร่างกำยำเผยสัดส่วนน่าประทับใจแม้อยู่ในชุดคนไข้สีขาว

“ถ้าปากแกไม่อวดดี” เพียโตรย้ำ

“อ้อ แกชอบคนปากเงียบๆ หัวอ่อนนี่นะ” ไพโรจ้องพี่ชายด้วยดวงตาสีแดงเปี่ยมพลัง แต่เห็นอย่างนี้ วันแรกที่เพียโตรมาถึง ไพโรนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดยอาศัยเครื่องช่วยหายใจและรอเลือดจากพี่ชายฝาแฝดมาต่อชีวิต ในตอนนั้นเขาไม่ได้สติ ดวงตาปิด ร่างกายไม่ไหวติง ดูไม่ต่างอะไรจากศพ

“ฉันเบื่อ เพียโตร แกจะใช้อำนาจในฐานะญาติสนิทกับหน้าหล่อๆ เหมือนฉันล่อลวงหมอให้กักตัวฉันไว้อีกนานเท่าไร” ที่จริงไพโรดึงดันจะออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สัปดาห์แรกด้วยซ้ำ

“จนกว่าจะแน่ใจว่าแกไม่ไปตายที่ไหน” พี่ชายฝาแฝดตอบ แม้จะพูดจาเย็นชา แต่เพียโตรเป็นคนที่ร้อนใจที่สุดเมื่อทราบข่าวไพโรถูกยิง เขาจะเอาเรื่องสมาคมให้จงได้

“รับรองว่าไพโรไม่เป็นไร? ฉันจะมั่นใจอะไรกับพวกแกได้! ขนาดระดับเทวทูตยังทรยศ หมอจะไม่ฆ่าน้องชายฉันหรือไง ไม่เอาโว้ย เปลี่ยนโรงพยาบาล!” เขาตะโกนลั่นขณะที่ไพโรอยู่ในห้องผ่าตัด ตะโกนใส่หมอ พยาบาล ไปจนถึงการ์ดรักษาความปลอดภัย ก่อนจะยอมสงบเมื่อเกเบรียลเข้ามาไกล่เกลี่ย

“ถ้าอย่างนั้น…” กลับมาที่ปัจจุบัน ไพโรยกมุมปากพลางช่วยขยับเน็กไทให้พี่ชาย “ขอสาวๆ น่ารักมาปาร์ตี้หน่อยสิ บอกตามตรง ที่นี่โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ หรือถ้าแค่นี้ยังไม่ได้ ฉันจะพิจารณาเอาแกแทนดีไหม” เขาหัวเราะอย่างไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น

“แกถูกเอามากกว่า” เพียโตรกดเรียกพยาบาลเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของอาการน้องชาย เขาเบาใจขึ้นเมื่อเห็นว่าไพโรกลับมาปากดีได้

“ถ้าออกแล้วจะกลับไปพักที่บ้านหรือที่นี่”

“ที่บ้านนั้นน่ะหรือ” ไพโรกระตุกยิ้มแปลกๆ วูบหนึ่ง จากนั้นดึงหน้าเพียโตรมาจูบ มือเขาจับสันกรามแข็งแรงของพี่ชายขณะค่อยๆ ละเลียดปากกับปาก

ริมฝีปากของเพียโตรให้ความรู้สึกเย็นชาเหมือนกำลังจูบกับรูปปั้น ไพโรถอนปากแล้วตบแก้มเพียโตรเบาๆ เขาหัวเราะนิดๆ เหมือนจะเยาะ “ถ้าบ้านนั้นน่ากลับไปนะพี่...แต่ไม่ ฉันเบื่อกลิ่นเหม็นเน่าในเรือนกระจกของแกเต็มที”

นางพยาบาลที่เป็นพยานการจูบกันของชายหน้าเหมือนทั้งสองถึงกับใจเต้นระส่ำกับสายตาและน้ำเสียงอันตรายที่สมาชิกกลุ่มไฟระดับสูงมีให้แก่พี่ชายของเขา

“ตามสบาย” เพียโตรคล้ายไม่ยินดียินร้าย “แต่กลับไปบ้างก็ดี บ้านเงียบเหงาเกินไปพอขาดเสียงแก” เขาวางมือบนศีรษะน้องชาย ขยี้เบาๆ “พักซะ”

สีหน้าไพโรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขายอมเอนหลังและหลับตา “ฉันจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ เรื่องกลับบ้าน...จะคิดดูอีกที”

เพียโตรยิ้มมุมปาก “ขอบใจที่เก็บไปคิด” เขาอยากกอดและตบหลังอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เขาแสดงความรักความห่วงใยไม่เป็นนัก

“พอดีคิดขึ้นมาได้ว่า ไปคอยจับตาดูแกไม่ให้ทำเรื่องด้วยตัวเองก็ไม่เลว” ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดตอบ ในใจเขามีปีศาจร้ายที่ไม่ยอมจากไป และปีศาจตนนั้นนุ่งห่มเนื้อหนังที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขา

หรือไม่...ปีศาจอาจมีสองตนมาตั้งแต่แรก

เพราะพวกมันเป็นพี่น้องฝาแฝด

———————————————————

ในเวลาใกล้เคียงกัน มีคนมายืนรอนิโคไลตรงลอบบีประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล เขาผมทอง สวมชุดสูทคอตั้งแบบอินเดียสีขาวชายยาวถึงหน้าแข้ง ตัวเสื้อแขนกระบอกปักลายด้วยด้ายดำและแดงอย่างวิจิตรทว่าดูทันสมัย มีผ้าคลุมไหล่สีแดงพาดบ่าข้างซ้าย

นิโคไลเห็นแล้วนึกถึงคอลเลกชันใหม่ของดีไซเนอร์คนโปรด และยิ่งแน่ใจว่าตัวเองกำลังได้พบใครเมื่อเห็นหน้าของชายคนนี้ชัดๆ

“คุณนิโคไล เราอาจไม่เคยพบกันโดยตรง แต่...”

“คุณคือฟรานซิส กาลิฟิอานาคิส” นิโคไลเอ่ยทักทาย ‘สไควร์’ ซึ่งมีหน้าที่รับใช้แกรนด์ฟาเธอร์โดยตรง ชื่อเรียกในสมาคมของเขาก็มาจากความหมายว่า ‘ผู้ติดตามรับใช้อัศวิน’

ด้านโรเมโอซึ่งพักนี้เกาะติดพี่ชายตลอดเวลาถึงกับอ้าปากค้าง เขาหลงใหลชุดของกาลิฟิอานาคิส ไม่นึกเลยว่าจะได้พบดีไซเนอร์ที่ชื่นชอบในสมาคมใต้ดิน

“เขาเป็นสมาชิกเหรอนิกกี้” เด็กหนุ่มกระตุกแขนเสื้อพี่ชายพลางกระซิบ

“คนที่เดินไปมาอย่างอิสระที่นี่ มีไม่กี่คนหรอกที่ไม่เป็นสมาชิก” นิโคไลลูบหลังโรเมโอให้คลายความตื่นเต้น

โรเมโอพยักหน้าหงึกหงัก เขามองเลยไปทางด้านหลังของดีไซเนอร์คนโปรด เห็นชายหน้าตาหล่อเข้มยืนถมึงทึงอยู่ โรเมโอใจเต้นแรง อีกฝ่ายตรงสเป็กเขาทุกอย่าง ทั้งดูมีอายุ ภูมิฐาน ขรึม...ดวงตาคมกริบ แถมยังมีกลิ่นที่เขาชอบ

กลิ่นที่ให้ความรู้สึกอันตราย

“ดอเรียนบอกว่าวันนี้คุณออกจากโรงพยาบาล มีคนอยากพบคุณก่อน ผมจึงพาเขามา” ฟรานซิสยิ้มสุภาพ ใบหน้าเขาสวยน่ามองแต่ไม่คล้ายผู้หญิงอย่างนิโคไล รูปร่างก็สูงโปร่งแข็งแรง ให้ความรู้สึกว่างามอย่างผู้ชายแท้ๆ ราวกับรูปปั้น ‘วีนัส’ ในภาคบุรุษที่รวมความงามสะกดใจของทั้งสองเพศไว้ในร่างเดียว

มาร์คเดินมาสมทบในตอนนั้นเอง เขาถือชาร้อนมาให้นิโคไล และช็อกโกแลตเย็นสำหรับโรเมโอ ชายหนุ่มชะงักเมื่อเข้ามาใกล้ชายสองคนซึ่งพูดคุยกับนิโคไลอยู่ หนึ่งในนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่ปลอดภัย

อาจเป็นเพราะกลิ่น

“สวัสดีครับ” มาร์คทักทายชายผมทอง โดยลอบสังเกตชายผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยืนคุมด้านหลังไปด้วย

“คุณมาร์ค แอนโธนี” ฟรานซิสทักทายกลับอย่างมีมารยาท “หน้าตาคุณคล้ายพี่ชายมากทีเดียว”

มาร์คน้อมศีรษะรับและยิ้มให้ชายผมทอง เขาทดไว้ในใจว่าอีกฝ่ายรู้จักกับฮันเตอร์ผู้เป็นพี่ชาย

“คนที่อยากพบผมเป็นใครหรือครับ” นิโคไลมีลางสังหรณ์...เพราะเรื่องที่ทำให้เขาเกี่ยวข้องกับฟรานซิสก็มีอยู่เพียงเรื่องเดียว

“ที่จริง เขาอยากพบทั้งคุณและมาร์ค” ฟรานซิสพยักหน้าไปทางโซฟาตัวยาวด้านหลัง ในตอนแรกนิโคไลเห็นหมอในชุดเสื้อกาวน์คนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ แต่เมื่อเขาลุกขึ้นก็มีคนไข้ในชุดโรงพยาบาลลุกขึ้นพร้อมกัน

คนที่อยากพบทั้งนิโคไลและมาร์คกลับมาสวมแว่นตาอย่างที่เขาสวมเป็นประจำแล้ว รูปร่างยังเล็กจนจมหายไปในโซฟาจึงไม่เป็นที่สังเกตในทีแรก เขามองนิโคไลก่อน จากนั้นมองโรเมโอ ตามด้วยมาร์คเป็นคนสุดท้าย

อัลฟีโอเผลอถอนใจเฮือกเมื่อเห็นมาร์ค ทว่าหมอที่อยู่ข้างๆ ช่วยรับหลังของเขาไว้ ให้ทรงตัวได้ หมอคนนี้คืออดีตคู่หูของซาช่า และเป็นแพทย์เจ้าของไข้อัลฟีโอ

มาร์คประหลาดใจที่อัลฟีโอต้องการพบเขา ท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย

“ตอนคุณรักษาตัว ฟรานซิสพาผมไปเฝ้าดูอาการของคุณมาบ้าง” อัลฟีโอเลือกพูดกับนิโคไลก่อน “ก่อนหน้านี้คุณดูไม่ดี แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”

ไม่ดีในที่นี้คือ ‘ไม่ดีมาก’ และ ‘น่าสงสาร’ แต่อัลฟีโอเลือกละไว้

“ครับ” นิโคไลตอบรับ เขาไม่แน่ใจว่ามีใครมาหาเขาบ้างในช่วงแรกของการรักษา เขาอาจเคยเห็นอัลฟีโอหรือฟรานซิส หรือกระทั่งคนของ ‘เจ้าของ’ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ความทรงจำต่างๆ เลือนราง

“ระหว่างเฝ้าดูคุณ ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง คนที่ดูเข้มแข็งอย่างคุณ...จริงๆ แล้วก็มีเรื่องทุกข์ใจสาหัสซ่อนอยู่ข้างใน” อัลฟีโอใช้น้ำเสียงสงบ แบบที่เหมาะกับอาชีพของเขา “คุณเคยบอกว่าครั้งก่อนคุณลืมเรื่องในอดีตเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ตอนนั้นเราคุยกันไม่รู้เรื่องเท่าไรและผมทำร้ายคุณ ผมมาขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป และอยากถาม…”

อาจารย์ไฮสคูลลังเลนิดหน่อย แต่ฟรานซิสพยักหน้าให้กำลังใจเขา

อัลฟีโอจึงพูดต่อ “ได้ยินว่าตอนนี้คุณเลิกใช้ยาเพื่อให้ลืมแล้ว...เพราะอะไร”

นิโคไลหลับตา เขาค้นคำตอบในตัวเองสักพักแล้วจึงพูด “ผมยังอยากมีชีวิตรอด...แต่ด้วยวิธีที่ต่างออกไป ผมคิดว่าครั้งนี้...จำได้ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถูกคนในอดีตมาหลอกใช้” เขาพาดพิงถึงซาช่าแบบติดตลก

อัลฟีโอพยักหน้า จากนั้นจึงหันไปทางมาร์ค “คุณจำได้ไหมว่าวันนั้นที่คุณไปส่งผมเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลายคนเล่าให้ผมฟังว่าคุณจำไม่ได้ แต่ผมอยากฟังจากปากคุณเอง” เสียงเขาสั่นเล็กน้อย แต่พยายามทำใจกล้า

จิตแพทย์หนุ่มมองอัลฟีโอ เขาสบตาหลังกรอบแว่นเพื่อแสดงความจริงใจก่อนจะตอบ

“ด้วยความสัตย์จริงอัลฟีโอ ผมจำไม่ได้ว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง แต่ผมรับรู้แล้วว่าผมทำอะไรลงไป และผมเสียใจ”

นานทีเดียว อัลฟีโอจึงตอบ “คุณไม่เหมือนเขาเท่าไร…” เขาถอดแว่นมาปาดน้ำตา “ผมไม่รู้ว่าผมยังอยู่ที่นี่ได้ด้วยความกรุณาของใคร แต่การเก็บพยานไว้และเสนอจะมอบชีวิตใหม่ให้เขาแทนการฆ่าปิดปากก็… ไม่สิ ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก”

หมอประจำตัวช่วยปลอบใจอัลฟีโอด้วยการแตะไหล่

“แต่ในโลกนี้มีความไม่ยุติธรรมมาก...มากเกินไป” อัลฟีโอได้รับรู้เรื่องราวของนิโคไลผ่านฟรานซิส และนั่นเป็นบางอย่างที่มองข้ามไม่ได้...ไม่ได้จริงๆ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันมาทางมาร์ค “ขอบคุณที่พยายามช่วยผมจากสามีเก่า คืนนั้นถ้าคุณไม่ช่วยไว้ ผมอาจถูกเขาซ้อมจนตายจริงๆ ก็ได้ ผมไม่สามารถยอมรับความรุนแรงหรือการฆ่าคน แต่...อีกบุคลิกหนึ่งของคุณแค่อยากช่วย...ใช่ไหม”

มาร์คไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด เขาเหลือบมองนิโคไล และเบนสายตากลับมามองอัลฟีโอก่อนพยักหน้าหนักแน่น

“คุณตัดสินใจได้หรือยัง” นิโคไลถามอย่างอ่อนโยน

อัลฟีโอหลับตา เขาตอบอย่างคนที่แน่ใจในตัวเอง

“เราแต่ละคนมีวิธีเอาตัวรอดไม่เหมือนกัน...ผมอยากกลับไปหาครอบครัว ผมจะเลือกข้อเสนอให้ลืมเรื่องราวทั้งหมดแบบถาวร”

----------------------------------------------

A/N ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของบทที่ 12 เหลืออีก 1 ตอนเป็นบทสรุปของเล่มนะคะ และในฉบับรวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่เป็นเรื่องหลังจากนี้ หวานและอบอุ่น รวมถึงอันตรายต่อหัวใจนิดๆ ด้วย ;)

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
The Garden of Sinners

ในสวนอันเป็นส่วนตัวของผู้บริหารสูงสุดแห่งสมาคมใต้ดินอิตาลี ดอเรียนยืนเอามือไพล่หลังอย่างสงบข้างโต๊ะซึ่งวางกระถางเคลือบไว้ใบหนึ่ง กระถางเคลือบใบนั้นเป็นภาชนะจัดสวนไม้แคระที่ถูกดัดกิ่งไว้อย่างประณีต

สายตาของดอเรียนจับจ้องไปตามมือซึ่งกำลังตัดแต่งใบของไม้แคระ เจ้าของมือที่ดูแลมันอย่างทะนุถนอมเป็นชายชราผมสีขาวเหมือนหิมะ เขาไว้หนวดเคราบนใบหน้าสง่าอย่างราชาของประเทศอันทรงอำนาจ แววตาอ่อนโยนยามชื่นชมต้นไม้ที่ลงแรงปลูกด้วยตนเอง

“เธอคงเหนื่อยหน่อยสินะ เรื่องในครั้งนี้” แกรนด์ฟาเธอร์หรืออาเธอร์ผู้ได้สมญา ‘คิงอาเธอร์’ เอ่ยกับดอเรียน “รัสเซียเองก็พยายามได้ดีมากทีเดียว หลังหมดยุคของวลาดีมีร์ ฉันเคยคิดว่าคงไม่มีใครมีความสามารถเท่ากับเขาอีกแล้ว”

“ครับ” ดอเรียนตอบรับ เขาไม่มีความเห็นอะไรในเรื่องนี้จึงทำเพียงมองมือที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้ต่อ

“สวนของเราสวยงาม” แกรนด์ฟาเธอร์เอ่ยต่อ สวนแห่งนี้เขาเป็นคนปลูก ดูแล และตกแต่งมาเองกับมือ คัดเลือกพรรณไม้จากที่ต่างๆ มาอยู่รวมกัน มีทั้งต้นที่โดดเด่นหายาก สูงใหญ่และแข็งแรงจนน่าประทับใจ กับต้นเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวด เติบโตไม่เต็มที่ แคระแกร็น ทว่าถูกใจเขา “แต่เวลาผ่านไป สวนก็ย่อมขยายใหญ่ มีพันธุ์ไม้ใหม่เข้ามา หรือพันธุ์ไม้เก่าเหี่ยวเฉาไปก็มี รวมถึงพวกวัชพืชที่เติบโตเอง” เขาใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งเล็มใบไม้ส่วนที่เกินออกมา “วัชพืชบางต้นมันก็สวยเสียเหลือเกิน จนนึกว่าเป็นต้นไม้ที่ควรถนอม อย่างรามิเอลนั่นไง ฉันเอ็นดูเขาที่เป็นลูกชายของวลาดีมีร์ ชี่...อย่าเอ็ดไป ฉันคิดว่าใช่เพราะเขาเหมือนพ่อน่ะ อย่าถือโกรธที่ฉันไม่ได้บอกเธอหรือใครๆ”

ดอเรียนน้อมศีรษะ แกรนด์ฟาเธอร์มีจุดประสงค์ลึกลับเกินหยั่งถึงอยู่เสมอ การที่สมาคมรับรามิเอลเข้ามาก็อาจนับรวมเป็นจุดประสงค์ชนิดเดียวกัน

“ข้อเสียของวัชพืชที่ปะปนเข้ามาคือ มันอาจทำให้ต้นไม้ที่เราดูแลอยู่ติดโรค การกำจัดมันให้สิ้นซากก็เป็นหนทางหนึ่ง...” แววตาของชายผู้ก่อตั้งอาณาจักรมืดได้ในชั่วอายุคนเดียวดูใส ทว่าลึกและหนักอยู่ภายใน “ที่จริงแล้ววัชพืชก็มีประโยชน์ มันแย่งน้ำและสารอาหารของต้นไม้ในสวน แต่ก็ทำให้พรรณไม้ที่สุขสบายจนขี้เกียจขยันเอาตัวรอดมากขึ้น หรือทำให้เกิดการผสมระหว่างสายพันธุ์ใหม่ ฟังจากเรื่องพ่อหนูนิโคไลที่เธอรายงานกับเรื่องหลานชายของวลาดีมีร์ ฉันคิดว่าทางนั้นคงอยากรีบเก็บอเล็กซานเดอร์กลับไป เพราะกลัวพันธุ์ไม้ของเขามาผสมกับของเรากระมัง”

ชายชราหัวเราะแผ่ว

“ฉันรอดูพันธุ์ไม้ใหม่ที่สวยงามเสมอ เพราะเรามองแต่ความรุ่งเรืองในอดีตไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสวนของเราคือสวนที่ตายแล้ว เรายอมรับความเสี่ยงในบางครั้งเพื่อทดลองปลูกต้นกล้าใหม่ วัชพืช เมื่อถึงเวลาก็เอาออกจากสวนเป็นเรื่องปกติ หลังจากนี้เราจะทำอย่างไรกับต้นไม้ที่ไปเติบโตในสวนใหม่ จะกำจัดทิ้งทั้งสวน หรือเฝ้าดูว่ามีต้นไม้อะไรน่าสนใจเหมือนที่ฉันเคยทำกับวลาดีมีร์ ให้เธอเป็นคนเลือก...”

แกรนด์ฟาเธอร์วางกรรไกรตัดแต่งกิ่ง เช็ดมือด้วยผ้าขนหนู แล้วหันมาตบบ่าดอเรียนอย่างเมตตา

“เพราะเธอคือผู้สืบทอดของฉัน”

“ครับ…” ดอเรียนขยับยิ้ม “พ่อ”

ไม่มีใครทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่แน่ใจได้เลยว่า...อิตาลีพร้อมต้อนรับรัสเซีย

อีกครั้งหนึ่ง

---------------------------------------

A/N สวัสดีค่ะ จากนักเขียนนะคะ Of Vivid Creatures เล่ม 2 ก็จบลงที่ตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาและคอยให้กำลังใจ หลายท่านส่งข้อความมาบอกว่าได้อุดหนุนฉบับรวมเล่มแล้ว ซึ่งฉบับรวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่ไม่ลงในอินเทอร์เน็ต เป็นเรื่องราวต่อจากบทนี้ ได้แก่

1. เรื่องของมาร์คกับนิโคไล 1 อาทิตย์หลังจากจบบทที่ 12

2. เรื่องของจิลกับฮันเตอร์

3. เรื่องของฟรานซิสกับอิกเนเชียส

4. เรื่องของซาช่าและตัวละครฝั่งรัสเซีย

5. เรื่องราวหลังจากนั้น 1 ปี นิโคไลไปทำงานส่งของให้กับรัสเซีย และได้พบซาช่าอีกครั้ง

6. เรื่องหลังนิโคไลกลับจากรัสเซีย

ทั้งหมดเป็นตอนพิเศษสั้นๆ แต่เติมเต็มอารมณ์ได้ดี เราอยากให้คุณได้อ่าน ขอบคุณล่วงหน้าที่ให้การสนับสนุนนักเขียนและเอ็นดูหนุ่มๆ ค่ะ!

แล้วพบกันใหม่ในเล่มถัดไป ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของ ไพโร เพียโตร และตัวละครใหม่ที่น่าเอาใจช่วยให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของสองคนนี้ รวมถึงมีตัวละครเก่าที่ท่านเคยผ่านตามาแล้ว พวกเขาจะออกมาสร้างสีสันอีกครั้งค่ะ!

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
จบแล้ว  :mc4:


มีข้อ suggest ให้นิดนึงนะคะ ตรงคำพูดของดอเรียน

“ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว”

fuoco (fire,flame) จะออกเสียงว่า 'ฟัวโค' ก็ได้ หรือ 'ฟูออโค' ที่เป็นการอ่านแบบเรียงเสียงก็ได้ ไม่ผิดค่ะ

แต่

fiore (flower) ถ้าเราเข้าใจว่าผู้เขียนจะหมายถึงดอกไม้นะคะ

คำนี้ต้องออกเสียงว่า 'ฟิออเร' ---> 'fi-o-re' อ่านเรียงตัวเลยค่ะ ไม่อ่านว่า ฟิยอเร นะคะ เสียง 'ย' จะมีในเสียง 'gl' เช่น 'figli' (ฟิลยิฺ) หรือ gn เช่น 'lasagna' (ลาซานญา) 'signor' (ซินญอรฺ) ค่ะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
จบแล้ว  :mc4:


มีข้อ suggest ให้นิดนึงนะคะ ตรงคำพูดของดอเรียน

“ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว”

fuoco (fire,flame) จะออกเสียงว่า 'ฟัวโค' ก็ได้ หรือ 'ฟูออโค' ที่เป็นการอ่านแบบเรียงเสียงก็ได้ ไม่ผิดค่ะ

แต่

fiore (flower) ถ้าเราเข้าใจว่าผู้เขียนจะหมายถึงดอกไม้นะคะ

คำนี้ต้องออกเสียงว่า 'ฟิออเร' ---> 'fi-o-re' อ่านเรียงตัวเลยค่ะ ไม่อ่านว่า ฟิยอเร นะคะ เสียง 'ย' จะมีในเสียง 'gl' เช่น 'figli' (ฟิลยิฺ) หรือ gn เช่น 'lasagna' (ลาซานญา) 'signor' (ซินญอรฺ) ค่ะ

โอ้ ขอบคุณมากค่ะ มีประโยชน์มากๆ เลย  :mew1:
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบด้วยนะคะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด