พิมพ์หน้านี้ - 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ILLREI ที่ 03-03-2018 17:50:50

หัวข้อ: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 03-03-2018 17:50:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1. ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3. การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4. ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกัน

5. ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8. Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9. คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11. บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

12. ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13. ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14. ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16. นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17. ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


---------------------------------------------------------------------------------

【Of Vivid Creatures 02】

Mark Anthony & Nikolai & Sasha



นิยายชุด Of Vivid Creatures

เขียนโดย ILLREI & FOULSOUL

เป็นเรื่องราวของคู่รักชายหนุ่มในโลกอาชญากรรม

มีกลิ่นอายแบบซีรีส์ทริลเลอร์ฝรั่ง / เน็ตฟลิกซ์

โดยแต่ละเล่มเปลี่ยนคู่หลักและพล็อตไปตามคู่นั้นๆ

ขณะนี้มีจำนวน 2 เล่ม ได้แก่

เล่ม 1: Hunter & Jeremine (กด Link เพื่ออ่าน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66405.0)

เล่ม 2: Mark Anthony & Nikolai & Sasha (NEW!)

(ควรอ่านตามลำดับเล่ม เพราะเส้นเรื่องต่อกัน)

----------------------------------

เรื่องย่อเล่ม 1

จิล—เจเรไมน์ กับ ฮันท์—ฮันเตอร์ คือคู่รักสุดสวีทที่แต่งงานกันมา 17 ปี

ทว่าพวกเขาไม่ใช่คู่รักธรรมดา เพราะต่างเป็นซีเรียลคิลเลอร์ด้วยกันทั้งคู่

วันหนึ่งคู่รักดาร์กๆ คู่นี้กลับถึงเวลาเตียงหัก

เพราะจิลจับได้ว่าฮันเตอร์พาชู้มานอกใจถึงบนเตียงในบ้านของพวกตน

(เห็นนัวเนียกันอยู่แบบจะๆ คาตา!)

จิลโมโหระเบิดลงถึงขนาดประกาศลั่นว่าจะฟ้องหย่า และเอาฮันเตอร์เข้าคุกให้ได้!

----------------------------------

เรื่องย่อเล่ม 2

มาร์ค แอนโธนี จิตแพทย์หนุ่ม ถูกนิโคไล ภรรยา (ชาย) ขอหย่า

สาเหตุคือนิโคไลชอบนอกใจมาร์ค และเบื่อจะปิดบัง

แต่มาร์คยังรักนิโคไลและขอโอกาสในการเป็นสามีที่ดี ไม่ทำให้อีกฝ่ายเบื่อ

ทว่าสุดท้ายทั้งสองก็หย่ากัน

ต่อมาฮันเตอร์ผู้เป็นพี่ชายของมาร์คเข้ามาวุ่นวายด้วยการประเคนแฟนใหม่ให้น้องชาย

ช่วงเวลาเดียวกัน มาร์คเกิดอาการเดินละเมอซึ่งทำให้ได้บาดแผลน่ากลัว

เขาจำรายละเอียดหรือหาสาเหตุของการเดินละเมอไม่ได้

อาการผิดปกตินี้เองนำมาร์คเข้าสู่โลกใต้ดินแห่งอาชญากรรม

เขาได้รู้ความลับของใครคนหนึ่งที่ตนรักสุดหัวใจและอยากให้กลับมาอยู่ด้วยกัน

----------------------------------

เนื้อหาแต่ละเล่มลงให้อ่านจนจบ และมีการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม

ในฉบับตีพิมพ์มีตอนพิเศษที่ไม่ลงในอินเทอร์เน็ต

Exclusive เพื่อนักอ่านที่น่ารักผู้อุดหนุนและให้การสนับสนุนนักเขียนค่ะ!


----------------------------------

TBL-548-828

สั่งซื้อผลงานของเราที่รวมเล่มแล้วได้ที่ ► ILLREI BOOKS SHOP (http://illrei.lnwshop.com/category/3/หนังสือพร้อมส่ง)

I L L R E I © 2016-2018

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำงานเขียนและภาพที่เป็นผลงานของ ILLREI ในเว็บไซต์นี้ไปทำซ้ำ
หรือเผยแพร่ในรูปแบบใดๆ หรือด้วยวิธีอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นทางอิเลคทรอนิกส์ หนังสือ รวมทั้งการถ่ายเอกสาร การบันทึก
หรือการเก็บข้อมูลใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ILLREI
หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใด ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】Mark Anthony & Nikolai & Sasha: Case 1-1 [03/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 03-03-2018 17:52:28
แนะนำเนื้อเรื่องและตัวละคร Of Vivid Creatures เล่ม 2

Mark Anthony & Nikolai & Sasha

สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบกันใน OVC เล่ม 2 นะคะ
ตัวละครหลักของเล่มนี้มีอยู่ 3 คนด้วยกัน และมีตัวละครเสริมสุดก๊าวมากมาย
รับรองว่าอ่านแล้วหลายคนจะหลงรักพวกเขาเหมือนเราค่ะ!

ป.ล. แนะนำเพลงประกอบเรื่อง เพลง 'Riptide' ของ Vance Joy เพราะมากๆ เลยค่ะ!
https://youtu.be/BdsdgL4_wuY (https://youtu.be/BdsdgL4_wuY)

นิโคไล

(https://k.lnwfile.com/kctbvs.jpg)

อดีตภรรยาของมาร์ค เป็นหนุ่มสวยรูปร่างเล็ก เซ็กซี่ และนิสัยร้ายกาจ
เป็นประเภทที่มักตกหลุมรักผู้ชายเลวๆ แต่เวลาอยู่กับมาร์คมีหลายคนบอกว่า 'น่ารัก'
นิโคไลหย่ามาร์คด้วยเหตุผลว่าตนชอบนอกใจ และขี้เกียจปิดบัง
เขาไม่เชื่อว่ามาร์คไม่เคยโกรธเคืองที่ตนทำตัวไม่ดี
นิโคไลยังติดต่อกับมาร์คเพราะโรเมโอ—น้องชายเพียงคนเดียว
เป็นโรคเสพติดความเจ็บปวดและไว้ใจปรึกษาแค่กับมาร์ค
นิโคไลมีความลับ เขาไม่คิดให้มาร์คทราบ แต่เมื่อมาร์ค 'แปลกไป'
การเข้าไปพัวพันกับมาร์คอีกครั้งทำให้ความลับของเขาอันตรายต่อการถูกเปิดเผย

มาร์ค แอนโธนี


(https://k.lnwfile.com/wlwq48.jpg)

จิตแพทย์หนุ่มหล่อผู้เคร่งขรึมและสุภาพอ่อนโยน
ทำอาหารอร่อย ออกกำลังกายเป็นประจำ
เซ็กซี่น่ากินแม้จะสวมชุดทำงานอย่างเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คธรรมดาๆ
บนเตียงยังร้อนแรงผิดกับความสุภาพ ถือเป็นสามีตัวอย่าง
เขาเป็นอดีตสามีของนิโคไล ถึงหย่าร้างกันไปแล้วก็ยังรักนิโคไลอยู่
มาร์คเป็นน้องชายของฮันเตอร์ (พระเอกจากเล่ม 1)
เขาไม่รู้ความลับของพี่ชาย กระทั่งตนมีอาการเดินละเมอ
และเกิดเรื่องราวลึกลับน่าสะพรึงบางอย่างกับตัวเขาหลังจากนั้น

ซาช่า

(https://k.lnwfile.com/66tqqw.jpg)

หนุ่มหล่อเชื้อสายรัสเซียนผู้ร่าเริงและเป็นมิตร แต่นั่นเป็นแค่ฉากหน้า
ชายหนุ่มที่เอาตัวเข้ามาในชีวิตของนิโคไลอย่างกะทันหันคนนี้มีวาระซ่อนเร้นอยู่
และอย่างที่หลายคนเอะใจได้ นิโคไลมักตกหลุมรักผู้ชาย 'ร้ายๆ'
ซาช่าเองก็ร้ายกาจถึงขนาดที่ว่า
“ฉันไม่สนว่านายจะมีผัวอยู่แล้ว”
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】Mark Anthony & Nikolai & Sasha: Case 1-1 [03/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 03-03-2018 18:04:15
Of Vivid Creatures 02

Mark Anthony & Nikolai & Sasha

“เราทุกคนต่างสวมหน้ากาก
และแล้ววันหนึ่ง ก็จะถึงเวลาที่เราไม่อาจถอดมันได้
โดยไม่กระชากผิวตนติดออกไปด้วย”
André Berthiaume

Case 1-1

“มาร์ค เราหย่ากันเถอะ”

วันที่นิโคไลบอกเลิกมาร์คเป็นวันอากาศดี ทั้งคู่ยืนอยู่ในสวนสไตล์อิตาลีหรูหราของบ้านนิโคไล ลมทะเลเย็นจัดพัดผ่านพุ่มดอกไม้สีขาว ต้นไม้สูงตัดแต่งเป็นทรงกรวยไหวน้อยๆ ตามแรงลม สีเขียวของพรรณไม้ตัดกับสีขาวของตัวอาคารโอ่อ่าด้านหลัง ตรงบ่อน้ำพุกลางสวน หยดน้ำไหลเอื่อยแนบไปกับผิวสำริดของรูปหล่อวีนัสดูคล้ายหยดน้ำตา

ทว่าชายหนุ่มหน้าสวยผู้บอกเลิกสามีไม่มีความเศร้าหมองบนใบหน้า เขาแค่สูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเย็นชา และเอ่ยอย่างติดรำคาญ

“ผมจะคืนแหวนให้”

มาร์ครับฟังนิโคโลอย่างสงบ ทว่าข้างในจุกอย่างไม่สามารถบรรยายอาการเป็นคำพูดได้ จุกแบบหน่วงๆ หรือจุกแบบมีอาการเจ็บแปลบเข้าร่วมด้วย...ก็ไม่ใช่ทั้งนั้น เขาไม่อาจเปรียบเทียบสิ่งที่สัมผัสในขณะนี้ กับอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นภาพเป็นรูปธรรมกว่าให้คนฟังเข้าใจได้ โดยเฉพาะตัวเขาเอง การทราบว่าจุกแบบไหน หน่วงๆ หรือเจ็บแปลบ จะทำให้สามารถ ‘จัดการ’ ความจุกนั้นได้ในขั้นต่อไป ดังเช่นหมอซักประวัติคนไข้อย่างละเอียดเพื่อจัดการรักษาได้ถูกจุด

คำพูดของนิโคไลหรือนิกกี้ทำให้เขาจุกแบบไหนกัน

เขาไม่สามารถจัดการมันได้อย่างมืออาชีพเลย

“ขอโอกาสได้หรือเปล่า” มาร์คไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาควานหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ความจุกที่ระบุอาการชัดเจนไม่ได้ทำให้หูอื้อ กว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ ก็ใช้เวลาควานหาเสียงนานเกินไป แถมเสียงดังกล่าวยังแหบระโหย เบาหวิว และคล้ายเจือเสียงสะอื้นเล็กน้อย

คนไข้คนไหนมาฟังเสียงมาร์คตอนนี้คงให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า เสียงแบบนี้ไม่ใช่เสียงปกติของคุณหมอมาร์ค แอนโธนี—จิตแพทย์ผู้ใจดี ใจเย็น เสียงนุ่ม ทุ้ม ฟังแล้วผ่อนคลายหรือถึงขั้นปลอดภัย

แต่เวลานี้ออกจะเหมือนชายหนุ่มใจสลายมากกว่า

“ซองที่คุณถือมา…” นิโคไลปรายตามองซองเอกสารสีน้ำตาลในมือมาร์ค “ดูภาพข้างในแล้วไม่ใช่เหรอ”

ซองเอกสารนี้ถูกส่งไปที่ทำงานของมาร์คเมื่อสองวันก่อน ช่วงเวลาเดียวกับที่นิโคไลไม่อยู่บ้าน นิโคไลร่ำรวยด้วยมรดกจากบิดามารดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เขาไม่ต้องทำงาน หลังแต่งงานกับมาร์คก็ย้ายไปอยู่บ้านสามี ทว่ายังกลับคฤหาสน์ของตนเป็นประจำ และนัดเที่ยวกับเพื่อนคนรวยบ่อย

สามวันก่อนนิโคไลแค่เดินสะโพกสวยมาหอมแก้มมาร์ค และบอกว่าจะไปเที่ยว วันต่อมา ภาพถ่ายของนิโคไลในซองปิดผนึกถูกส่งมาถึงมาร์คโดยไม่ระบุชื่อผู้ส่ง ในภาพ นิโคไลในชุดวาบหวิวกำลังเมามายและเฟลิร์ตกับชายหนุ่มมากหน้าหลายตา

“ผมนอกใจคุณ ขี้เกียจปิดบังแล้วด้วย เราหย่ากันดีกว่า” นิโคไลพ่นควันบุหรี่ เขากอดอกมองวิวทะเลจากเนินสวน ไม่มองมาร์คตั้งแต่ต้นจนจบ

“ผมรู้” มาร์คจับลำคอของตัวเอง เขาจุกมาถึงตรงนี้ “ผมเลยขอโอกาสที่จะเป็นสามีที่ดี...ไม่ทำให้คุณเบื่อ”

“มันไม่เกี่ยวว่าดีหรือไม่ดีมาร์ค ผมไม่ได้นอกใจครั้งแรก ผมพยายามแล้ว แต่มันไม่ได้ผล ผมเลยจะปล่อยคุณไปเสียที”

“คุณไม่รักผมแล้วหรือ”

นิโคไลพ่นลมหายใจ เขาเหลือบตาไปเห็นร่างหนึ่งกำลังแอบมองตนกับมาร์คจากด้านหลังต้นไม้สูง ไม่ต้องเดาก็ทราบว่าเป็น ‘โรเมโอ’ น้องชายคนเดียวของเขา ผู้รัก ชื่นชม และสนิทสนมกับมาร์ค

ชายหนุ่มร่างเล็กผู้ดูสวยร้ายไปทั้งตัวหันมาเผชิญหน้าสามีที่ตนเพิ่งขอหย่า เขาดึงเน็กไทมาร์ค ให้อีกฝ่ายก้มลงมา แล้วขโมยจูบ เป็นจูบที่อ้อยอิ่งด้วยการขบริมฝีปาก ก่อนจะรุกหนักด้วยการกัดและสอดลิ้น ขัดกับอารมณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างทั้งคู่

มันควรแปลว่าอะไร


มาร์คจับใบหน้าของนิกกี้ เขาพยายามแปลความหมายของคำพูดที่ขัดแย้งกับการกระทำของคนรัก เขาเป็นจิตแพทย์ ก็ควรแปลมันออกไม่ใช่หรือ แต่ไม่...เขาแปลไม่ออกเลยสักทาง

มาร์คได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยจากตัวคนรัก เมื่อปล่อยจูบ นิโคไลหน้าแดงนิดๆ และดูเร่าร้อนไปทั้งตัว กระทั่งรสขมของบุหรี่ก็ทำให้รู้สึกซาบซ่านด้วยความต้องการทางเพศ

รอยยิ้มของคนหน้าสวยยิ่งร้ายกาจ เมื่อมาพร้อมกับประโยคตัดเยื่อใยถัดมา

“ผมจูบคุณได้แบบนี้ จูบคนอื่นก็ได้แบบนี้ มันไม่ต่างกันเลย รวมถึงเรื่องบนเตียงด้วย เพราะงั้น ทำให้มันจบๆ ไปเถอะมาร์ค”

แล้วนั่นก็นำไปสู่การหย่าของมาร์ค แอนโธนีและนิโคไล

————————————————-

“จะไปยุ่งกับมันทำไม”

คำถามนั้นทำให้มาร์คถอนใจ เขามาหาฮันเตอร์ผู้เป็นพี่ชายทุกวันอาทิตย์เหมือนไปโบสถ์ และถูกพี่ชายสวดเรื่อง ‘อย่าไปยุ่งกับเมียเก่า’ ทุกครั้งจนหน่าย

“เขามีปัญหา ผมก็แค่ให้คำปรึกษา” มาร์คถอนหายใจอีกคำรบ ส่วนใหญ่นิกกี้จะมาหาเขาด้วยเรื่องของโรเมโอ—เด็กหนุ่มผู้มีปัญหาด้านการเสพติดความเจ็บปวด

อันที่จริงเขาไม่สามารถรักษาโรเมโอได้อย่างเต็มที่ เพราะเกิดความผูกพันซึ่งเกินความเป็นหมอรักษาไข้ แต่โรเมโอไม่ยอมไปหาจิตแพทย์คนอื่น เขาจึงทำหน้าที่รับฟังและให้คำปรึกษา แต่ไม่ได้ลงมือรักษาเต็มรูปแบบ และเพียรบอกนิโคไลว่าโรเมโอต้องการหมอคนใหม่

“ไม่” ฮันเตอร์ยกนิ้วขึ้น “ฟังฉัน แกจะแย่ถ้าไม่ตัดให้ขาด ฉันไม่อยากเห็นแกแย่” แววตาเขาจริงจังและเอาเรื่อง

“พี่...ผมโอเค เราเป็นเพื่อนกัน ผมก็มองหาคนใหม่อยู่” มาร์คโกหก...และทุกคนก็รู้ว่าเขาโกหก

จิล—เจเรไมน์ยืนถือถาดใส่แก้วน้ำสำหรับแขก แอบฟังบทสนทนาของสองพี่น้อง เขาหลบอยู่ตรงทางเข้าห้องนั่งเล่น โดยมีอัลเฟรด ลูกชายพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์แกว่งหางเบาๆ อยู่ข้างกัน

จิลมองออกว่ามาร์คยังรักนิโคไล ความพยายามครั้งล่าสุดของเขาในการทำให้ทั้งสองกลับมาคืนดีกัน คือการเชิญทั้งคู่มาร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ ทว่าจบลงด้วยความล้มเหลว เป็นความล้มเหลวที่เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ทั้งๆ ที่ผ่านมาได้สองสามเดือนแล้ว

จิลยิ่งเบ้ปากเมื่อฮันเตอร์ให้เหตุผลว่า ‘เพราะนิโคไลช่างนอกใจ มาร์คจึงควรตัดให้ขาดเสียที’ ...ทุกวันนี้เขายังคอยดมกลิ่นเสื้อฮันเตอร์เวลากลับมาบ้าน ว่ามีกลิ่นเด็กหนุ่มติดมาด้วยหรือเปล่า

ก่อนที่พี่น้องจะมีปากเสียงด้วยเรื่องเดิมๆ จิลก็ถลาเข้าไป

“เครื่องดื่มชูใจ!” เขาประกาศ จิลทำเวอร์จิ้นโมฮิโต้สูตรของมาร์คที่ใช้ดื่มเรียกกำลังใจมาให้

“ฉันเจอคนที่เหมาะกับแก” ฮันเตอร์เอื้อมไปหยิบเครื่องดื่มโดยไม่ยอมให้บทสนทนาขาดตอน

จิลตีมือสามี “นี่ของมาร์ค” เขายกเครื่องดื่มมาแก้วเดียว

“แล้วฉันล่ะ” ฮันเตอร์ตาละห้อย

“อ่า ลืม ขอโทษที” จิลแกล้งทำตาใสซื่อ แต่เหตุผลหลักๆ ที่ไม่ยกเครื่องดื่มมาให้สามีก็เพราะหมั่นไส้นั่นแหละ

ฮันเตอร์ทำตาละห้อยอีกครั้ง คราวนี้แทบจะมีคำว่า ‘เมียจ๋า…’ ลอยออกมา

อุ… จิลซึ่งพยายามทำใจแข็ง อ่อนยวบกับสีหน้านี้

“พี่ดื่มเถอะ” มาร์คหัวเราะ ผายมือให้ฮันเตอร์ เขาทำเมินหัวข้อที่พี่ชายยกขึ้นมา

“โรเมโอเป็นยังไงบ้าง” จิลช่วยเปลี่ยนเรื่องอีกแรง เขารู้จักนิกกี้ ย่อมรู้จักโรเมโอ และมาร์คก็เป็นจิตแพทย์ของน้องชายนิกกี้ตั้งแต่ก่อนหย่า

“อา...ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง โรมให้ความร่วมมือดี” มาร์คตอบแบบกลางๆ

“เดี๋ยว ทุกคนอย่าเปลี่ยนเรื่อง” ฮันเตอร์ยกมือซึ่งถือเครื่องดื่มขึ้นแทรกระหว่างมาร์คและจิล “เราควรพูดถึงอะไรที่สดชื่นๆ เหมือนโมฮิโต้ อย่างเช่นคนที่ฉันเลือกให้แก”

“พี่…” มาร์คอยากนวดขมับ

“อัลฟีโอ” ฮันเตอร์วางเครื่องดื่ม นั่งเอนหลังและเปิดหาภาพอัลฟีโอในโทรศัพท์มือถือ

“แกต้องชอบ เชื่อฉันสิ”

“เดี๋ยว ฮันท์—ฮันเตอร์ ทำไมนายถึงมีภาพ ‘อัลฟีโอ’ อะไรนี่ในโทรศัพท์มือถือ” จิลวางถาด เขากอดอกและปรายตามองสามีอย่างไม่ไว้ใจ

“โฮ่งๆ!” อัลเฟรดเห่ารับอย่างร่าเริงกับความน่าเกรงขามของแม่

“ฉันเห็นเขาหาแฟนอยู่ เลยบอกว่า ‘น้องชายฉันโสด สนใจไหม’ ไม่มีอะไรเลยจิล” ถึงปากจะพูดว่า ‘จิล’ แต่สายตาร่ำร้องว่า ‘เมียจ๋า...เมีย’ ชัดๆ

จิลพ่นลมหายใจแล้วแย่งแก้วโมฮิโต้ที่ยังไม่ถูกดื่มจากมือฮันเตอร์มาให้มาร์ค “เดี๋ยวทำมาให้อีกแก้วนะ” เขาอยากหยิกแก้มสามีโทษฐานขยันทำสายตาออดอ้อนจนคนมองร้อนไปหมดทั้งตัว!

จิลปล่อยให้ฮันเตอร์พรีเซนต์ภาพในโทรศัพท์มือถือแก่มาร์ค ส่วนเขาขอตัวไปทำเครื่องดื่มมาเพิ่ม ทว่าระหว่างทางเดินกลับไปห้องครัว เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น

จิลเดินไปดูว่าใครมาหา พลางคิดว่าไม่น่าใช่เพื่อนที่ทำ ‘งานนอก’ ของฮันท์หรอกน่า แม้คนทั่วไป (รวมถึงมาร์ค) จะเห็นว่าเขากับฮันท์เป็นคู่รักปกติ แต่ที่จริงพวกเขามีความลับดำมืดซึ่งอันตรายถึงตาย

‘ถึงตาย’ ในที่นี้ หมายถึงความตายของแท้ เพราะฮันเตอร์เป็น ‘นักล่า’ ส่วนจิลเองแม้เป็นนักล่าที่วางมือแล้ว ก็ไม่มีปัญหากับงานนอกของสามี

อธิบายอย่างสั้น เท่าที่จิลผู้ไม่ได้อยู่ในสมาคมใต้ดินเข้าใจ งานนอกของฮันเตอร์คืองาน ‘จัดหาวัตถุดิบ’ ให้กับสมาคมใต้ดิน—สมาคมที่อยู่ในเงามืดของอิตาลี โยงใยกับมาเฟียและกลุ่มอิทธิพลระดับประเทศ เป็นทั้งสถานที่พบปะของนักสร้างสรรค์งานศิลปะทุกแขนง อันรวมไปถึงงาน ‘เฉพาะตัว’ ที่สร้างจาก ‘มนุษย์’ และสถานที่ดำเนินกิจการด้านมืดซึ่งมีเงินไหลสะพัดจำนวนมหาศาล

“ออกไปดูให้หน่อยสิ มาร์ค” ฮันเตอร์ว่า

“ครับ” มาร์ครับคำ ในทีแรกเขาไม่ได้คิดอะไร ทว่าวินาทีถัดมาก็ชะงัก เขาเกิดลางสังหรณ์ว่าคนที่มากดกริ่งจะเป็นอัลฟีโอ

“ใช่ อย่างที่นายคิดนั่นละ” ฮันเตอร์ยิ้มร้าย

“ให้ตายเถอะพี่” มาร์คสบถเบาๆ ถึงอย่างนั้นก็เดินไปเปิดประตูให้แขก ระหว่างทางเขานึกถึงนิโคไล ครั้งแรกที่ได้พบเป็นอย่างไรกัน...

ในห้วงระลึก มาร์คคล้ายได้ยินเสียงคลื่น และรู้สึกถึงไออุ่นจากแดดหน้าร้อนทาบบนใบหน้า ใบหน้าเขาร้อนเห่ออยู่ใต้แสงนั้น ก่อนจะถูกลูบไล้ด้วยลมทะเลเย็นฉ่ำ สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของมาร์คร้อนและหัวใจเต้นแรงคือนิโคไล ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ทราบชื่ออีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

นิโคไลยืนหันหลังย้อนแสงอยู่กลางน้ำทะเลสูงถึงขาอ่อนกลมกลึง สวมกางเกงหนังขาสั้นสีดำรัดแนบไปกับสัดส่วนราวผิวหนังชั้นที่สอง กับเสื้อผูกคอทำจากผ้าเช็ดหน้าเวอร์ซาเช่ หนุ่มสะโพกสวยแต่งตัวเปรี้ยวเกินชาย ทว่าเข้ากันเหมาะเจาะกับรูปร่างเซ็กซี่ของเขา

พอนิโคไลหันมาเพราะคล้ายรู้ว่าถูกจ้องมอง มาร์คเห็นไฝน้ำตาใต้หางตาสองข้างของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก ตามด้วยสีหน้าผ่อนคลายและดูร้ายกาจอยู่ในที ริมฝีปากอิ่มสีชมพูสูบบุหรี่ ก่อนพ่นควันสีเทาจางออกมาอย่างไม่รีบร้อน

ฟองคลื่นซัดต้นขานิโคไลราวกับพยายามแทรกเข้าไปใต้เนื้อผ้า ทั้งเร้าอารมณ์และจาบจ้วง มาร์คนึกถึง ‘ริปไทด์’ กระแสน้ำที่ไหลต้านกระแสน้ำอื่น เป็นคลื่นที่พัดออกจากฝั่ง ม้วนคนเล่นน้ำผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้ออกจากจุดปลอดภัย

นิโคไลผู้ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ นำพามาร์คออกจากจุดปลอดภัย ยกยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า...

“สวัสดี”

“สวัสดีครับ” อัลฟีโอเอ่ยกับคนที่มาเปิดประตู เขาเป็นชายหนุ่มร่างเล็กหน้าตาสุภาพน่ามอง ผมสีทองเข้มเหมือนนิโคไล ความสูงก็ใกล้เคียงกัน หากมองเพียงรูปร่างก็ดูคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าแตกต่างกันที่อัลฟีโอสวมแว่นตาซึ่งขับให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอย่างคนสุขภาพดีดูน่ารัก เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคเข้ารูป ไม่หวือหวาแบบชุดของนิกกี้

“ผมมาหาคุณฮันเตอร์” อัลฟีโอชูกระเช้าผลไม้เมืองร้อนที่นำมาเป็นของฝาก “คุณคือ...มาร์ค?”

มาร์คยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า รอยยิ้มเขาอบอุ่น อ่อนโยน เป็นรอยยิ้มมาตรฐานซึ่งทุกคนได้รับโดยเท่าเทียม

ทว่าเพียงรอยยิ้มนี้ อัลฟีโอก็ถึงกับเหม่อมอง

“มาร์ค แอนโธนีครับ” จิตแพทย์หนุ่มทักทายเรียบร้อยก็เอ่ยขอบคุณสำหรับของฝาก รับมาจากมือของอัลฟีโอ แล้วผายมือให้อีกฝ่ายเข้าไปในบ้านก่อน

“พี่ชายผมรออยู่ด้านใน ผมขอตัวไปทำผลไม้ให้คุณก่อนนะครับ”

“เอ่อ ครับ” ชายหนุ่มสวมแว่นตาเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย ตอนนั้นเองที่มีชายหนุ่มอีกคนออกมาต้อนรับเขา ชายคนนี้หน้าสวยและมีดวงตาสีแปลก เพราะลูกตาดำเหมือนผืนผ้าใบของจิตรกร ระบายสีน้ำเงิน เขียว และทองผสมกันอย่างลงตัว “คุณคงเป็นเจเรไมน์” อัลฟีโอบอก

จิลยิ้มให้แขก เขามาเปิดประตูไม่ทันมาร์ค แต่ไม่อยากพลาดฉากเด็ดจึงอยู่ดูต่อ “คุณคงเป็นอัลฟีโอ” ประโยคทักทายถูกกล่าวออกมา แม้จิลสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาได้อย่างไร

“ใช่ครับ อัลฟีโอ ยินดีที่ได้รู้จัก ซินญอร์ฮันเตอร์เคยอวดภาพคุณให้ผมดู เขาพูดถึงคุณบ่อยๆ ครับ” ผู้เป็นแขกเฉลย เขาน้อมศีรษะนิดๆ แล้วเดินตามจิล

ไม่นานมาร์คก็ตามมาสมทบ เขาจัดการปอกผลไม้และจัดใส่จานอย่างมีศิลปะ บางส่วนก็นำไปทำเป็นน้ำปั่น เขาพอมีฝีมือทางด้านการครัว ยอมรับว่าเมื่อก่อนหัดทำอาหารเพราะอยากให้คนรักประทับใจ ผู้ชายเข้าครัวก็โรแมนติกดีไม่ใช่หรือ

มาร์ควางถาดผลไม้ตรงกลางโต๊ะรับแขก ตามด้วยเหยือกน้ำปั่นสีสดใส เขาพับแขนเสื้อขึ้นเกือบถึงข้อศอก เห็นท่อนแขนแกร่งอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เส้นเลือดซึ่งแล่นจากหลังมือขึ้นไปยังท่อนแขนดูเซ็กซี่ สมคำร่ำลือว่าเป็นจิตแพทย์ที่น่าหลงใหลยิ่งกว่านายแบบ ทำเอาคนไข้ลืมเรื่องปรึกษาเสียสนิท

เสน่ห์นี้อาจไม่มีผลกับจิลที่นั่งเกาะแขนฮันเตอร์อยู่บนโซฟาอย่างคู่สามีที่รักกันดี แต่มีผลกับอัลฟีโอที่นั่งใกล้มาร์คอย่างแรง ตอนมาร์คเข้ามา พวกเขากำลังคุยกันว่าอัลฟีโอพบฮันเตอร์ได้อย่างไร จากการพูดนำของจิล (ที่เหมือนสอบสวนสามีไปพร้อมกัน) ได้ความว่าอัลฟีโอเป็นอาจารย์ไฮสคูล รู้จักกับฮันเตอร์เพราะอีกฝ่ายมาติดต่อเรื่องขายอุปกรณ์การศึกษา

“อ้อ ใช่ครับ สามีผมเขาชอบขายของเล่น ‘เด็ก’ ” จิลเน้นคำว่าเด็กอย่างจงใจ และแอบหยิกแขนฮันเตอร์แบบเนียนๆ ทั้งที่ยิ้มแย้มพูดคุยกับอัลฟีโอ งานบังหน้าของฮันเตอร์คือเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในบริษัทผลิตของเล่นเด็ก ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์การศึกษาที่ว่า

“เป็นอาจารย์ไฮสคูลหนักไหมครับ” มาร์คชวนอัลฟีโอคุย เขาชอบบรรยากาศสงบนิ่งของอีกฝ่าย

“นิดหน่อยครับ แต่ผมชอบงานนี้นะ” ที่จริงอัลฟีโอมาตามคำเชิญของฮันเตอร์เพื่อรับแคตตาล็อกอุปกรณ์การศึกษาชุดใหม่ ซึ่งเขาต้องเอากลับไปอ่านและนำเสนอหัวหน้าอาจารย์ในวันจันทร์ ตรงนี้จิลสอบถามแล้ว ส่วนเรื่องคุณครูหนุ่มกำลังหาแฟนอยู่...ดูเหมือนฮันเตอร์จะกุขึ้นมา

จิลหมั่นไส้ในความกระตือรือร้นหาแฟนใหม่ให้มาร์คของฮันเตอร์อย่างไรก็ไม่รู้ แล้วที่นั่งอยู่ในบ้านนี่ก็ ‘เหยื่อ’ ชัดๆ เป็นประเภทที่ถูกล่าอย่างง่ายดายเสียด้วย เขาพอเข้าใจฮันเตอร์ที่คิดหาคนธรรมดาให้มาร์คที่เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน แต่เกรงว่าต่อไปถ้าใกล้ชิดกันขึ้นมาจริงๆ อัลฟีโอจะรับมือพี่ชายสามีได้ดีเหมือนนิโคไลหรือเปล่านะ (ใช่ จิลคิดเผื่อล่วงหน้าหลายสเต็ป หากมาร์คแต่งงานกับอัลฟีโอ)

“ทำไมถึงมาทำงานเป็นอาจารย์ล่ะครับ ขอโทษถ้าละลาบละล้วงนะ ผมแค่สงสัย” มาร์คยิ้มเป็นมิตร

“ไม่เป็นไรเลยครับ” หนุ่มสวมแว่นหยิบแก้วน้ำปั่นขึ้นมาจิบ “ผมสอนวิชาวรรณคดี สมัยเรียนเคยมีอาจารย์ที่นับถือทำงานตรงนี้ เลยนึกอยากเป็นอาจารย์บ้าง แล้วการเป็นอาจารย์ของรัฐก็สามารถขอทุนวิจัย ผมมีโครงการที่อยากทำหลายอย่าง...”

อัลฟีโอเอ่ยถึงสิ่งที่เขาอยากทำ ถ้อยคำภูมิใจทว่าไม่โอ้อวด เขาดูมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือก มองออกว่าทำไปด้วยความปรารถนาดี

ดูเป็นคนดี...ที่มีสุขภาพจิตดี จิลนิยามอัลฟีโอในใจ เรื่องวิชาการที่อีกฝ่ายเล่าเขาไม่เข้าใจเท่าไรนัก อาจเพราะไม่มีหัวทางนี้และเรียนไม่จบไฮสคูล

มาร์คตั้งใจฟัง พออัลฟีโอพูดจบก็พยักหน้ารับ เขาสานต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหล จากคำถามพื้นๆ ไปสู่คำถามซึ่งลึกขึ้นโดยคู่สนทนาไม่อึดอัด

มาร์คยังไม่ทราบว่าอัลฟีโอมาที่นี่เพื่อชมแคตตาล็อก ไม่ใช่มาเพราะเรื่อง ‘อื่นๆ’ จิตแพทย์หนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายเผชิญชะตากรรมถูกจับคู่เหมือนกัน และในเมื่อเขาเชิญตัวเองและอัลฟีโอกลับบ้านไม่ได้ จึงชวนคุยให้ผ่อนคลายแทน

เขาพบว่าอาจารย์หนุ่มเป็นคนน่าสนใจ น่ารัก ยิ้มมาตรฐานเริ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มจากใจ ซึ่งดูต่างจากปกติเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มของเด็กชายที่ได้พบสิ่งถูกใจ

จิลลอบสังเกตสีหน้ามาร์ค ไม่รู้ทำไมจึงเหมือนเห็นรอยยิ้มแบบฮันเตอร์แฝงอยู่ในนั้น เขาขยี้ตาตัวเองแล้วขมวดคิ้ว

“แล้ว...คุณรู้จักร้านอาหารเม็กซิกันดีๆ บ้างไหมครับ เผื่อผมไปชิมบ้าง” บทสนทนาย้ายมาที่เรื่องอาหาร มาร์คหันไปทางจิล “ถ้าพูดถึงเรื่องแนะนำร้านอาหาร ผมยกความดีให้จิล เขาชอบตระเวนชิม ได้รายชื่อร้านดีๆ มาจากจิลเยอะ”

“งั้นผมคงต้องขอบ้าง บอกตามตรงว่าผมไม่เคยกินอาหารเม็กซิกันครับ” อัลฟีโอหันไปทางจิล

จิลตอบรับด้วยรอยยิ้มและหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดแอปพลิเคชั่นแนะนำร้านอาหาร การพูดคุยออกรสและจบลงด้วยการชวนกันรับประทานอาหารเม็กซิกันแบบง่ายๆ โดยฝีมือเข้าครัวของจิล

“ฉันขอเข้าไปเป็นลูกมือ ฝากดูแลอาจารย์ด้วยนะมาร์ค” ฮันเตอร์ขยิบตาใส่น้องชาย ซึ่งทำให้มาร์คถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ในใจ

ในห้องครัว ฮันเตอร์ยืนประชิดจิลจากด้านหลัง มือฟอนเฟ้นสะโพกแน่น ปากเม้มใบหูของเมียรักเล่น

“ดูไปกันได้ดีนะ” เขาวิจารณ์

“ฮันเตอร์ ทำไมเอาเหยื่อเข้าบ้าน อือ…” จิลหยุดมือที่เตรียมของแล้วพูดเสียงแข็งสลับอ่อน กลิ่นนักล่าของฮันเตอร์ฟุ้งจนปิดไม่มิด ชวนให้คิดว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายกดความต้องการล่าไว้มากแค่ไหน “ก็ดูไปกันได้ดี จนวันหนึ่งนายจะอยากล่าอัลฟีโอขึ้นมา” เขาหลับตาขณะจมอยู่ในกลิ่นของฮันท์ ร่างกายที่แนบชิดกับมือไม้ไม่อยู่สุขช่างน่าตี เพราะมันดีจนอาจทำให้เขาหลุดแล้วกระโจนใส่สามี

“ถ้ามาร์คจะเอา ฉันก็ไม่ล่า” ฮันเตอร์ลูบหน้าขาของจิลขณะเบียดเข้าไปใกล้จนไม่อาจใกล้กว่านี้ได้

“มีคนอยู่ในบ้าน” จิลกระซิบ มือจิกขอบเคาน์เตอร์

“แต่ไม่มีใครอยู่ในครัว” ฮันเตอร์จูบท้ายทอยของเมียรัก “เห็นแขนซ้ายของมาร์คไหม ที่เอาผ้าพันแผลพันไว้”

“อืม เห็นอยู่...” จิลขยับแยกขาให้ฮันเตอร์พร้อมส่งเสียงครางด้วยความวาบหวิว

“ขอให้มาร์คมันแกะผ้าหน่อยซี เมียจ๋า...ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร”

“ฮันท์...พี่...ต้องทำอะไรสักอย่างกับกลิ่นนี่นะ” ใบหูของจิลแดงไปหมด เขาได้ยินสิ่งที่ฮันท์พูดและตอบรับอืออา ด้วยกลิ่นเร้าอารมณ์ที่ฟุ้งอยู่ในจมูกทำให้เขาเผลอเรียกอีกฝ่ายแบบสมัยก่อน

“ต้องสั่งน้ำหอมไหม” ฮันเตอร์ตะปบก้นจิล คลึงเคล้นอย่างถือสิทธิ์ โดยให้คนรักทำอาหารไปด้วย

“ไม่เอา ผมชอบกลิ่นพี่” จิลเม้มปาก เขาเพิ่งเริ่มหั่นผัก “แต่ช่วยทำให้กลิ่นมัน…” เสียงหั่นสะดุด “อา! ช่างเถอะ!” จิลหันมากอดคอฮันท์ทั้งที่ยังถือมีด ถูไถริมฝีปากกับแก้มสากคล้ายต้องการสูดกลิ่นของอีกฝ่ายให้ลึกขึ้น

ฮันเตอร์ดันหน้าเข้าไปจูบจิล ลิ้นสอดเข้าไปกระหวัดเกี่ยวพัวพันทันที เขาชอบเวลาเมียถือมีด มันเซ็กซี่จนแทบอดรนทนไม่ไหว

จิลจูบตอบทั้งที่มีดทำครัวคมกริบพาดอยู่บนหลังคอฮันท์...ดูเหมือนสามีต้องควบคุมภรรยาของเขาให้ดี

และดูท่ามาร์คกับอัลฟีโอต้องรอมื้อนี้ไปอีกนาน…

อีกด้านหนึ่ง ผ่านไปเกือบชั่วโมง มาร์คถึงเอะใจว่าเจเรไมน์ใช้เวลานานเกินไป

“ขอโทษครับ ผมคุยเพลินไม่ได้ดูเวลา คุณน่าจะหิวแล้ว เดี๋ยวผมไปตามพวกเขาให้”

ทว่ามาร์คยังไม่ทันถึงห้องครัว เจเรไมน์ก็เข้ามาเรียกอัลฟีโอกับเขาเสียก่อน

“อาหารเสร็จแล้วครับ ฮันเตอร์จัดโต๊ะอยู่ ไปนั่งกันเถอะ”

มาร์คซึ่งเกือบเดินชนเจเรไมน์ที่กรอบประตูห้องครัวสังเกตเห็นประกายอิ่มเอิบในดวงตาคนรักของพี่ พร้อมได้กลิ่นซึ่งยามปกติไม่เคยสัมผัสจากอีกฝ่าย มันเป็นกลิ่นหอมหวานเหมือนเซ็กซ์ แต่ก็หนักและฝาดจมูกคล้ายสนิม

หรืออาจเป็นเลือด...

“มาร์ค...มาร์ค” เสียงจิลเรียกเหมือนมาจากที่ไกลๆ

มาร์ครู้สึกตัว...พบว่าตนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว โดยมีอัลฟีโอมองมาอย่างเป็นห่วงและสงสัย

“นายใจลอยไปถึงไหน” จิลถามด้วยเสียงคล้ายดังมาจากความฝัน เขาแตะแขนมาร์คเบาๆ “ผ้าพันแผลนี่...ไปโดนอะไรมา มันพันแน่นไปหรือเปล่า ฉันช่วยพันให้ใหม่ไหม”

“ไม่เป็นไร…” มาร์คกระแอม กะพริบตาถี่ จากนั้นค่อยยิ้ม

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า…

วูบหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างของตนเรืองสีแดง

--------------------------------------------

A/N สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ของ ILLREI นะคะ คิดถึงนักอ่านในเล้าจังเลยค่ะ :)
นิยายเรื่องนี้มีกำหนดการอัปเดตทุกวันจนจบ เพราะเรากับคุณ FOULSOUL เขียนเสร็จแล้วค่ะ
เนื้อเรื่องจะเป็นแนวทริลเลอร์ เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชอบแนวซีรีส์ฝรั่ง Netflix
ขึ้นชื่อเรื่องสามคน แต่ไม่ใช่นิยาย 3P นะคะ ^^a (เผื่อบางท่านคาดหวัง)
เล่มนี้เป็นเล่ม 2 หากไม่เคยอ่านเล่ม 1 กรุณาตาม Link ไปนะคะ
อ่านแล้วมีข้อติชม อยากบอกรักนักเขียน ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลย
หรือจะฝากความถึงไปถึงนักเขียนอีกท่านก็ได้นะคะ!

ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy
♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/ (https://www.facebook.com/ILLREI/)
♰ Twitter : @VinzeSchwarz
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 1-2 [4/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 04-03-2018 17:34:33
Case 1-2

หลังมื้ออาหาร อัลฟีโอรับแคตตาล็อกอุปกรณ์การศึกษาจำพวกลูกโลก แบบจำลองร่างกายมนุษย์ แบบจำลองมนุษย์จิ๋วในยุคต่างๆ พืชและสัตว์สูญพันธุ์ ฯลฯ จากฮันเตอร์ จากนั้นจึงขอตัวกลับ ขามาเขามาแท็กซี่ ขากลับก็ตั้งใจจะเรียกแท็กซี่ ทว่าฮันเตอร์ยังไม่เลิกทำตัวเป็นพ่อสื่อและบอกให้มาร์คไปส่งอัลฟีโอ

ตลอดการร่ำลาของพี่น้อง จิลกอดอกครุ่นคิด ขนาดอัลเฟรดเอาตัวมาไถขาเพื่อออดอ้อน เขายังลืมเล่นกับลูก

“มาร์ค ช่วงนี้สบายดีไหม” จิลกระซิบถามตอนพวกเขากอดลา “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็โทรมาได้นะ หรือจะแวะมาบ่อยๆ ก็ได้”

“ฉันสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วง” มาร์คลูบหลังจิล “แต่จะแวะมาบ่อยๆ เพราะรสมือของนาย” เขาพูดติดตลกระหว่างผละจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย ก่อนโบกมือลาคู่รักแล้วพาอัลฟีโอขึ้นรถ

“เหม็นกลิ่นน้ำยาขัดเบาะหน่อยนะครับ ผมเพิ่งขัดเมื่อวาน” จิตแพทย์หนุ่มออกตัว พลางเขี่ยถุงหอมกลิ่นวานิลลาซึ่งแขวนไว้ตรงช่องแอร์ “เจ้านี่ไม่ช่วยเท่าไรเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” อัลฟีโอสูดกลิ่นน้ำยาขัดเบาะพลางคาดเข็มขัดนิรภัย เขารู้สึกถูกชะตากับความสุภาพและช่างเอาใจใส่ของมาร์ค พูดให้ตรงอีกหน่อยคือชอบเลยละ จึงดีใจที่ชายหนุ่มรับปากไปส่ง “ผมอยู่อพาร์ตเมนต์อีกฟากของเมือง คุณส่งผมที่ป้ายรถบัสก็ได้ครับ ให้ไปไกลผมเกรงใจ” อัลฟีโอหยิบนามบัตรของตนส่งให้ เพื่อแลกเบอร์โทรศัพท์กับมาร์คอย่างไม่กระโตกกระตาก

มาร์คแลกนามบัตร นึกชมว่าอัลฟีโอน่ารักอยู่ในใจ “ผมมีรถ ไปไหนมาไหนสะดวกกว่าคุณเยอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมจะถือว่าขับรถเล่นไปในตัว”

อัลฟีโอหน้าแดงนิดๆ เมื่อเผลอมองหน้ามาร์คนานไปหน่อย เขายกมือขยับแว่นตาเพื่อลดอาการประหม่า “ถ้าอย่างนั้น...รบกวนด้วยนะครับ”

มาร์คเข้าเกียร์แล้วออกรถ “ด้วยความยินดี” เครื่องยนต์ครางรับเมื่อคันเร่งถูกเหยียบ มาร์คขับรถค่อนข้างเร็ว แต่คราวนี้เขาขับช้ากว่าปกติ ใจหนึ่งเกรงว่าเพื่อนใหม่จะตกใจ อีกใจหนึ่งอยากมีเวลาคุยกับอีกฝ่ายมากขึ้นอีกนิด

ระหว่างขับรถ อัลฟีโอชวนมาร์คคุยบ้าง เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายหรือไม่ ทว่าอดแอบคาดหวังไม่ได้ “แขนคุณเจ็บหรือครับ” เขาทักเรื่องเดียวกับเจเรไมน์ ตอนอยู่ที่โต๊ะอาหาร มาร์คตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่อัลฟีโอเห็นพี่เขยคนสวยของมาร์คขมวดคิ้วแล้วเอาแต่จ้องหน้าน้องเขย หลังจากเงียบไปครู่ เจเรไมน์ก็เริ่มมื้ออาหาร...แต่สีหน้าไม่สบายใจของเขาทำให้อัลฟีโอติดใจ

“ครับ นิดหน่อย” มาร์คเปิดเครื่องเสียง ชั่วอึดใจ เพลงคลาสสิกท่อนแรกของเมนเดลโซห์นลอยล่องจากลำโพงมากระทบหู

“รอยเล็บแมวป่าน่ะครับ”

มาร์คละวลี ‘ผมเดาว่าเป็น…’ ตรงหน้าประโยคไว้ อันที่จริงเขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นรอยอะไร โรคเดินละเมอกลับมาเล่นงานเขาหลังหายไปหลายปี เขามั่นใจว่าเพราะโรคบ้านี่ละทำให้เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก่อนได้แผลเขานอนอยู่บนเตียง หลังได้แผลเขายืนอยู่ปลายเตียง เลือดชุ่มแขน ไหลลงบนพรมจนซึมเป็นวง เขาตั้งใจว่าจะปรึกษาจิตแพทย์ทว่ายังหาเวลาเหมาะๆ ไม่ได้

“ผมชอบแมว แต่ถ้าเป็นแมวป่าต้องระวังนะครับ มันดุเอาการ คนละเรื่องกับแมวบ้านเลย” อัลฟีโอยิ้ม

หากพูดถึงแมว มาร์คจะนึกถึงนิโคไล เมียเก่าของเขามีหางตาชี้เหมือนแมวป่า เวลาปรายตามองใครมักให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า

“คุณมาร์ค...อ๊ะ!” อัลฟีโอเรียกเมื่ออีกฝ่ายเหมือนใจลอยไปที่อื่น ทว่าไม่ทันได้จบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของมาร์คก็ดังขึ้น ทำให้รถแฉลบออกข้างทางจนเกือบชนรถที่สวนมา

“ขอโทษครับ ขอโทษ เป็นอะไรหรือเปล่า” มาร์คได้สติ เขาคุมพวงมาลัยได้ทันท่วงที “ผมขอรับโทรศัพท์หน่อยนะครับ”

อัลฟีโอยังตกใจไม่หาย เขายึดที่จับซึ่งติดอยู่เหนือหน้าต่างข้างประตูรถพร้อมจับหน้าอกตัวเอง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงดัง ตุบๆๆ

“มาร์ค...” เสียงคุ้นเคยดังมาตามสาย มาร์คเคยตั้งเสียงเรียกเข้าของนิโคไลไว้เป็นพิเศษ หลังหย่าก็ไม่ได้เปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงรู้แต่แรกว่าใครโทร.มา “ขอโทษที่รบกวนวันอาทิตย์ แต่…” น้ำเสียงคนพูดมีความลังเล ไม่มั่นใจดังเช่นปกติ ซึ่งนั่นก็ทำให้มาร์ครู้อีกนั่นแหละว่านิกกี้โทร.มาเพราะอะไร

“ผมฟังอยู่…” มาร์คเอ่ยเสียงนุ่มนวล เขาเหลือบไปทางอัลฟีโอ และขยับปากว่า ‘ขอโทษครับ สักครู่นะ’

“โรเมโอทะเลาะกับแฟนที่ร้านกาแฟที่เขาไปทำงานพิเศษ เขาไม่ได้โทรหาผม แต่มาสเตอร์เจ้าของร้านโทรมา พอผมไปหา เขาไม่อยากคุยกับผม แต่เขาร้องไห้หนักมาก...คุณพอจะคุยกับเขาได้ไหม ผมจะส่งโทรศัพท์ให้เขาคุย”

“ได้สิ” มาร์คไม่เคยมีคำว่าไม่ได้พอเป็นนิโคไลหรือโรเมโอ นั่นทำให้คู่พี่น้องเสียนิสัยกลายๆ

“มาร์ค…” เสียงสั่นเครือของเด็กหนุ่มดังมาตามสาย “ผมโดนมันด่าแรงมาก” จากนั้นเป็นเสียงสะอื้นตัวโยน มาร์ครอให้โรเมโอสงบลงอีกหน่อยจึงถามว่า

“เป็นอะไร...มีอะไร ฉันเคยว่าอย่างไรนะเรื่องคำด่า มันไม่มีอำนาจเหนือเธอหากเธอไม่อนุญาตมันใช่ไหม”

“ใช่!” เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มดังลอดออกมาจนอัลฟีโอได้ยิน และมาร์คต้องยกโทรศัพท์มือถือห่างหู

“มันไม่มีสิทธิ์มาด่าผมแรด!”

มาร์คเงียบไปกับคำหยาบคาย เขานึกโกรธแทนโรเมโอ แต่ถ้าไฟเจอไฟ ร้อนเจอร้อน ก็ไม่ทำให้อะไรดี

“แรดแล้วทำไม หนักหัวใคร” เสียงพูดเฉยชาของนิโคไลแทรกเข้ามา ดูเหมือนโรเมโอจะเปิดสปีกเกอร์ คนที่อยู่ข้างเขาจึงได้ยินบทสนทนาด้วย

“ใช่น่ะสิ!” โรเมโอปล่อยโฮกับจิตแพทย์ส่วนตัว “มาร์ค...มาร์ค ผมเจ็บใจที่ผมเจ็บใจอะ ผมต้องไม่เจ็บใจสิ แต่ผมยังไม่เก่งเหมือนนิกกี้ ผมเสียใจ มาร์ค...มาหาหน่อย มาเลยนะ ผมกับนิกกี้จะรอ”

“ฉันยังไปไม่—” มาร์คกรอกเสียงลงไป แต่ดูเหมือนโรเมโอจะไม่ฟังเลย อีกฝ่ายร้องไห้พลางระบายเรื่องที่อยากพูด ทำให้เขาต้องหยุดฟัง

“อ้าวๆ แค่ฉันไม่พอหรือไง ลูกแมวน้อย อุตส่าห์มากับนิกกี้เพื่อเธอเลยนะ” เสียงยียวนของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แทรกขึ้น มาร์คไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่ฟังจากที่เขาเรียกนิโคไลว่า ‘นิกกี้’ และเรียกโรเมโอว่า ‘ลูกแมวน้อย’ แสดงว่าสนิทสนมกับสองพี่น้อง

“จะเอามาร์ค!” โรเมโอหวีดแบบเด็กเอาแต่ใจ

“ฉันละเจ็บหัวใจ” ชายคนเดิมพูดล้อเล่นมาตามสาย จากนั้นมาร์คได้ยินโรเมโอส่งเสียงฮึดฮัดพร้อมบอกให้ปล่อย! “ฮัลโหล” ชายคนนั้นมาพูดโทรศัพท์แทนโรเมโอ “นายไม่ว่างใช่ไหม ไม่ต้องมาหรอก ตามสบาย เดี๋ยวฉันดูต่อให้เอง”

“ผมพูดกับใครอยู่นะครับ” มาร์คกำหัวเกียร์แน่น

“ฉันเหรอ” ชายคนนั้นตอบกลั้วเสียงหัวเราะ เหมือนกำลังสมใจบางอย่าง “ฉันคือ…”

“เอามานี่!” เสียงเฉียบขาดของนิโคไลขัดจังหวะ “ปล่อยโรเมโอ แล้วส่งโทรศัพท์มา!” มาร์คไม่เคยได้ยินนิกกี้ทำเสียงร้อนใจอย่างนี้มาก่อน ดูเหมือนเขาจะโผเข้ามายื้อแย่งโทรศัพท์มือถือกับชายปริศนา เสียงโรเมโอร้องไม่พอใจดังขึ้นแข่งกับเสียงหัวเราะของชายคนนั้น อัลฟีโอที่อยู่กับมาร์คยังรู้สึกตกใจกับความวุ่นวายนี้

“ถ้าจะทำตัวระรานแบบนี้ก็ออกไปเลย ฉันบอกให้นายออกไป!” นิโคไลตะคอกชายที่ตนกำลังยื้อยุด ทว่าไม่ทันสิ้นประโยคดี เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อฉาดใหญ่ก็ดังขึ้น และทำให้เสียงทั้งหมดเงียบไป

“ไพโร นายตบนิกกี้!” โรเมโอร้องหลังความเงียบครู่ใหญ่

มาร์คสูดหายใจลึก เขาควบคุมอารมณ์ให้สงบที่สุด แต่ไม่ว่าภายนอกจะสงบอย่างไร ภายในกลับปั่นป่วน และหากเขาส่องกระจกมองหลัง…

จะพบว่านัยน์ตาของตัวเองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

“ไม่เป็นไร” แว่วเสียงนิกกี้ที่สงบลงแล้ว จากนั้นตามด้วยเสียงตบอีกครั้ง ทว่าเบากว่าครั้งแรก “...พี่ตบเขาคืนแล้ว”

มีเสียงแกรกกรากคล้ายโทรศัพท์มือถือถูกยกขึ้น นิกกี้กลับมาพูดขัดๆ เหมือนคนที่ปากและลิ้นบวมแต่พยายามพูดให้เป็นปกติ “ผมไม่แน่ใจเรื่องโรม...เขายังต้องการคุณอยู่ ผมจะพาเขากลับบ้าน คุณมารับเขาไปนอนด้วยได้ไหม”

“อืม” มาร์ครับคำ “ฉันจะไปรับ” เขาวางโทรศัพท์และผ่อนลมหายใจ สักพักสีตาก็กลับเป็นเหมือนเดิม

อัลฟีโอที่นั่งเงียบมาตลอดรู้สึกหนาวสันหลังเยือกกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาวิตกจนไม่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงของสีตามาร์ค “ถ้าคุณมีธุระ ส่งผมลงที่ป้ายรถบัสก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ” มาร์คถอนใจ “ผมสัญญากับคุณแล้วจริงไหม” เขาหันมายิ้ม

รอยยิ้มนั้นทำให้อัลฟีโอใจเต้นแรงกว่าเดิม

——————————————

นิโคไลที่อยู่ปลายสายกำโทรศัพท์มือถือพลางใช้ความคิด เขาติดใจน้ำเสียงและวิธีการพูดของมาร์คก่อนวางสาย เพราะมีอะไรบางอย่างแปลกไป แต่เขานึกไม่ออกว่าคืออะไร

วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดหนังรัดรูปสีดำตลอดตัวเหมือนมีแข่งมอเตอร์ไซค์ ดูแปลกตาเป็นพิเศษ ทว่าตอนที่เขามาหาโรมหรือโรเมโอ เขาไม่ได้ขับมอเตอร์ไซค์ มีคนขับรถหรูมาส่ง ซึ่งคนนั้นคือ ‘ไพโร’ หรือชายที่ตบเขา

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาปฏิเสธอีกฝ่าย ไม่ยอมให้พาโรเมโอและตนไปส่งบ้าน เขาโทร.เรียกคนขับรถให้มารับเดี๋ยวนั้น และเมื่อถึงบ้านหรือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่พ่อแม่เหลือไว้ให้ เขาก็เดินจูงมือน้องชายขึ้นชั้นสองพลางปลอบ

“เดี๋ยวมาร์คก็มารับแล้ว...ไม่เป็นไร”

โรเมโอมองรอยบนแก้มของพี่ชาย เด็กหนุ่มน้ำตาซึมด้วยความโกรธ “ช่างมาร์คเถอะ ทำไมนิกกี้ไปคบกับไพโรอะ” การเห็นนิโคไลผู้เป็นพี่ชายเจ็บทำให้โรมลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปจนหมด เนื่องเพราะหลังพ่อกับแม่เสียชีวิต เขามีนิโคไลเป็นทั้งพี่ชาย พ่อ แม่ และเพื่อน หรือจะว่าเป็นโลกทั้งใบก็ได้

“ก็คบมาตั้งนานแล้ว” นิโคไลพาโรมไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน เขาหยิบผ้าขนหนูมารองน้ำจากอ่างล้างมือ แล้วซับหน้าซับตาให้โรม

“ตอบไม่ตรงคำถาม” โรมจ้องพี่ชาย “ทำไมนิกกี้ไปคบกับผู้ชายแบบนั้น”

นิกกี้หรี่ดวงตาคมสวย ดูเหมือนว่าถ้าน้องชายเขาไม่ได้คำตอบที่พอใจก็จะไม่หยุดถาม “ก็แค่คบเล่นสนุกๆ เขากล้าตบเรา เราก็ตบกลับ จะไปยากอะไร”

คำตอบช่างสมเป็นนิโคไลผู้ไม่แคร์สิ่งใด

“ไม่ยุ่งแล้วก็ได้” โรมยื่นปากทำแก้มป่อง เขาเมียงมองแก้มของพี่ชายที่เริ่มขึ้นรอยปื้นแดง จากนั้นก็เดินไปหาผ้าสะอาดๆ หาน้ำแข็งประคบไม่ให้บวมไปกว่านี้

“แต่เรามีอยู่แค่สองคน...เค้าเป็นห่วงนิกกี้นี่นา” เด็กหนุ่มบ่นไปก็ประคบผ้าห่อน้ำแข็งบนแก้มของนิกกี้ไปด้วย “มาร์คก็ต้องเป็นห่วงด้วยแน่ๆ ...เนอะ!”

โรเมโอก็เหมือนกับเจเรไมน์ พยายามทำให้มาร์คกับนิโคไลกลับมาคบกันแต่ไม่เคยเป็นผล

“เดี๋ยวเขาจะมารับแล้ว อาบน้ำก่อนไหม” นิโคไลเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นน้องชายเป็นห่วงตน ที่จริงโรมเสพติดความเจ็บปวด ซึ่งเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่องกับมาร์ค รอยโดนตบแค่นี้...หากโรมโดนเอง เจ้าตัวคงชอบด้วยซ้ำ

นิโคไลรูดซิปผ่าหน้าของชุดหนังที่ขับเน้นสัดส่วนกระชากใจชาย ใต้ชุดไม่มีชั้นใน เขารูดชุดลงต่อหน้าโรมอย่างเคยชิน แล้วเดินเปลือยไปรองน้ำใส่อ่าง “มาอาบน้ำมา จะได้ไม่มอมแมมไปเจอเขา” เขาเรียกน้องเหมือนเรียกแมว

โรเมโอยิ้มน่ารัก ถอดชุดของตัวเองแล้วเดินเปลือยไปแช่ในอ่างน้ำอุ่นบ้าง เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาวด้วยความผ่อนคลาย เขาจุดเทียนหอมซึ่งวางอยู่รอบอ่าง แล้วจุดบุหรี่สูบ

“นิกกี้เอาด้วยไหม” โรมยื่นบุหรี่ไปจรดก้นกรองกับปากของพี่

“เอามาสิ” นิโคไลรับบุหรี่ต่อจากโรม เขาสูบพลางนั่งหลับตาอยู่อีกฟากของอ่าง วางแขนพาดขอบอ่างขณะเขี่ยบุหรี่ “แล้วแฟนน่ะ ยังรักเขาไหม”

“ไม่รู้ แต่ไม่สนใจแล้ว กล้ามาว่าเค้าแรด”

“ชอบกินแต่งกเนอะพวกนี้ น่าเบื่อ ไม่เผื่อแผ่คนอื่น” นิโคไลลืมตามายิ้มให้น้องชาย คำพูดของเขา ถ้ามาร์คได้ยินคงเสียใจ

“มาร์คไม่งก” โรมพูดเสียงเบาพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาของพี่ชาย

“นั่นเรียกโง่” ผู้เป็นพี่ป้อนบุหรี่คืนน้อง

โรเมโอสูบเฮือกใหญ่ “ถ้างกเรียกน่าเบื่อ ถ้าไม่งกเรียกโง่เหรอ”

“คนดีๆ เขาไม่ควรมาคบกับเรา เพราะเราไม่ดีไง” นิโคไลยิ้มไปถึงตา “พี่ถึงปล่อยมาร์คไป”

“อือฮึ”

นิโคไลเป็นฝ่ายสังเกตโรมบ้าง “ถ้าชอบแบบมาร์ค...ไม่ลองจีบดูล่ะ จะได้เลิกไปเที่ยวคลับ”

“ไม่เอา มาร์คเป็นของนิกกี้” โรมส่ายหน้าพรืด “เค้าหาเองได้แหละ แต่ตอนนี้ไปเล่นกับพวกไฟก่อนก็ได้”

“เล่นกับ ‘ไฟ’ มันร้อน...ไม่เอามาร์คจริงเหรอ เขาดีนะ” นิกกี้พูดติดตลกแต่ประกายตาพราวระยับเมื่อนึกถึงลีลาบนเตียงของอดีตสามี ซึ่งถ้ามาร์คได้ยินคงเสียใจมากขึ้น ที่อดีตคนรักยกเขาให้คนอื่นง่ายๆ

“มาร์ค-เป็น-ของ-นิกกี้” โรเมโอเน้นทีละคำก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ “นิกกี้อยู่กับมาร์คแล้วน่ารักแหละ”

นิโคไลวักน้ำใส่น้องชาย “มั่วนะเรา” เขาหยิบบาธบอมบ์สีเขียวสดยี่ห้อหรูโยนลงอ่าง รอมันละลายจนเกิดฟองฟู่ทั่วอ่างก็ป้ายฟองที่แก้มโรเมโอ “เอ้า อาบน้ำไวๆ”

“เอ้อ นิกกี้” โรเมโอพูดเหมือนนึกขึ้นได้

“อะไรหรือ” ขณะนี้พี่ชายเปลี่ยนไปทำความสะอาดเล็บตัวเองแล้ว

“อืม…” โรเมโอขมวดคิ้ว แต่แล้วก็ไหวไหล่ “ไม่มีอะไร ช่างเถอะ”

“โรเมโอ” นิกกี้เตือนให้พูด เพราะมันต้องมีอะไร

“ไม่ดุนะ!” โรเมโอร้อนตัว

“ไม่ได้ติดโรคใช่ไหม” พี่ชายเหล่ตากลับมา “บอกให้ใช้ถุงยางไง ถ้าติดก็ขึ้นไปเลย ไม่อาบน้ำด้วยหรอก”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย” โรเมโอหน้าแดงจัด “เรื่องมาร์คต่างหาก”

“มาร์คทำไม เขายังไม่มาสักหน่อย”

“แบบ…” คิ้วที่ตกแต่งอย่างดีของโรเมโอขมวดเข้าหากันอีก “ช่วงนี้มาร์คแบบ…แปลกๆ”

“แปลกยังไง” นิโคไลละความสนใจจากเล็บมาที่น้องชาย

“เค้าไม่รู้จะพูดยังไงอะ ก็แค่แปลกๆ ไม่รู้สิ”

คนฟังเสยผมเปียกน้ำพลางใช้ความคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็สรุปให้โรมว่า

“เอาไว้เขามาถึงแล้วจะดูให้”

--------------------------------------------
A/N ตอนต่อมาแล้วค่ะ ;)
เราชอบคู่พี่น้อง นิโคไล-โรเมโอ นะคะ ไพโรก็แซ่บไม่เบาเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 2-1 [5/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 05-03-2018 18:40:45
Case 2-1

หลังหย่า นิโคไลมักเลี่ยงการพบเจอมาร์ค หากไม่มีเรื่องคราวที่จิลชวนเขาไปงานเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ และหลังจากนั้นโรเมโอยืนยันให้มาร์คเป็นจิตแพทย์ต่อไป ทั้งสองคงขาดการติดต่อกันไปเลย

เมื่อสาวใช้แจ้งว่ามาร์คมาถึงแล้ว จากเดิมที่คิดจะไม่โผล่หน้าไปหา นิโคไลก็ลงมาต้อนรับอดีตสามีด้วยตัวเอง เขาสวมเสื้อคลุมผ้าซาตินสีแดงของกาลิฟิอานาคิส—ดีไซเนอร์คนโปรด เนื้อผ้าจับจีบทิ้งตัวแนบสะโพกกลมกลึง และแกว่งอย่างมีพลังขณะผู้สวมใส่ก้าวเดิน

นิโคไลนั้นดูดีจนคนมองใจสั่น ถ้าเขาใส่ชุดนี้ร่วมกับรองเท้าส้นสูงที่มาร์คชอบก็ยิ่งน่าคลั่งไคล้ ทว่าวันนี้ชายหนุ่มไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูง และใบหน้าด้านหนึ่งก็บวมแดงจนเห็นได้ชัด

“ขับรถมาหนาวๆ ดื่มอะไรอุ่นท้องก่อนไหม” เจ้าของบ้านพยักพเยิดไปที่โต๊ะรับแขก บนนั้นมีขวดแก้วเจียระไนบรรจุของเหลวสีทองวางคู่กับแก้วเปล่าสองใบ

“โรมล่ะ” มาร์คปฏิเสธด้วยการถามถึงน้องชายของนิโคไล เขามาช้า สภาพค่อนข้างเหนื่อย ชายหนุ่มมองหน้าอดีตคนรักเพียงแวบเดียวแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ภาพรอยปื้นแดงตรงแก้มของอีกฝ่ายยังติดตาแม้จะวางสายตาไว้ตรงอื่นแล้วก็ตาม

นิโคไลเดินสะโพกสวยไปรินเหล้าใส่แก้ว แล้วเอากลับมายื่นให้มาร์ค “สักแก้ว โรมแต่งตัวอยู่ ก็รู้ว่ารายนี้เลือกชุดนาน แล้วปกติคุณตามใจยอมรอเขา”

มาร์คถอนใจ “นิกกี้” เขาสบตานิโคไลนิ่ง “ผมไม่อยากก้าวก่าย แต่คนที่คุณคบด้วย…” มาร์คพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป เขาเม้มปาก สิ่งที่กำลังจะพูดไม่ใช่ธุระเขาเลย เขาเป็นแฟนเก่า และแฟนเก่าไม่ควรก้าวก่ายเรื่องแฟนใหม่ “อา ช่างเถอะ ขอบคุณสำหรับวิสกี้” เขารับมาดื่ม

“อืม” นิโคไลเอียงคอมองหน้ามาร์คชัดๆ เขาไม่หลบตา คล้ายเรื่องน่าอายอย่างการโดนตบและรอยมือบนแก้มเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งหรือตุ้มหูคู่ใหม่ “หมอนั่น...โกรธที่ผมไม่ให้เขาเปิดตัวกับคุณละมั้ง พวกอารมณ์ร้อน หลุดบ่อย ปกติเขาไม่ทำรุนแรงหรอก ยกเว้นพาร์ทเนอร์จะชอบ”

นิโคไลใช้คำว่า ‘พาร์ทเนอร์’ ไม่ใช่คนรักหรือแฟน

“มาร์ค แอนโธนี!” โรเมโอวิ่งจี๋ลงมาจากชั้นบน เด็กหนุ่มดูร่าเริงเมื่อเห็นมาร์ค เขาใส่ชุดของกาลิฟิอานาคิสเหมือนพี่ชาย ดีไซน์ออกแรงกว่าหน่อยเพราะเป็นคอลเลกชันสำหรับวัยรุ่น เสื้อชีฟองสีขาวเปลือยหลังแหวกเกือบถึงก้น เข้ากันดีกับกางเกงหนังขาสั้นสีดำสนิท

“โรเมโอ!” มาร์คปรับเสียงให้สดชื่น วางแก้วเหล้าคืนบนโต๊ะ และอ้าแขนรับโรเมโอซึ่งโถมตัวเข้ามา ทั้งคู่กอดทักทายกัน โรเมโอจูบแก้มมาร์คซ้ายขวา

“ดูดีแล้วนี่”

“ม่าย” โรเมโอส่ายหน้า “ใจเค้ายังเจ็บจี๊ด”

นิโคไลกอดอก เขาพิจารณามาร์ค มองหาสิ่งที่อาจแปลกไป แต่มองอย่างไรก็มองไม่ออก มาร์คก็ยังเป็นมาร์คผู้แสนดี แสนสุภาพคนเดิม “แขนไปโดนอะไรมา” คำถามเดิมรอบที่สามของวันนี้ ทว่านิโคไลถึงเนื้อถึงตัวที่สุดด้วยการเข้ามาสะกิดผ้าพันแผล

“นิกกี้…” มาร์คปราม เขาเกร็งแขนเล็กน้อยเมื่อสัมผัสของอีกฝ่ายถูกแผลเต็มๆ

เลือดของมาร์คซึมติดนิ้วเรียวสวย ทำให้ปลายนิ้วขาวของนิโคไลเปื้อนสีแดง “อ้าว เลือดออกแล้ว ไปนั่งสิ ทำแผลก่อนดีกว่า” เขาว่าแล้วส่งสายตาให้โรเมโอช่วยตะล่อมมาร์คอีกแรง

โรเมโอนิ่วหน้า “เจ็บไหมอะ” เขากอดแขนอีกข้างของมาร์คไว้ “เจ็บแหง ต้องทำแผลเนอะนิกกี้เนอะ” เด็กหนุ่มบุ้ยปาก

มาร์คใจอ่อนให้โรเมโอ เขาหัวเราะเบาๆ “เธอสองคนอยากดูแผลฉันขนาดนั้นเลยหรือ แผลไม่สวยนะ เพิ่งให้หมอเย็บมาหมาดๆ”

“ต้องเย็บเลยหรือ” นิโคไลนั่งลงบนโซฟารับแขกแล้วเอาบุหรี่มาคาบไว้ ปกติเขาจุดสูบ แต่มาร์คไม่สูบบุหรี่ และไม่ชอบควันบุหรี่ นานๆ ครั้งนิโคไลจะเกรงใจมาร์ค แสดงว่าเขาอยากให้อีกฝ่ายอยู่คุยด้วยจริงๆ

“ค่อนข้างสาหัสสากรรจ์” มาร์คยอมให้โรเมโอแกะผ้าพันแผล เด็กหนุ่มสูดปากไปแกะไป บางครั้งก็หลับตาปี๋พอมาร์คเกร็งแขนเพราะเจ็บ

ดวงตาเฉียบคมเหนือไฝน้ำตาของนิโคไลมองตามผ้าพันแผลที่ถูกลอกออกทีละชั้น รอยเย็บที่เผยออกมาดูน่ากลัว เขาจึงคะยั้นคะยอมาร์ค “ดื่มต่ออีกหน่อยไหม ระหว่างรอโรมไปเอากล่องยา”

ด้วยการชักชวนกึ่งบังคับ มาร์คจำต้องยอมดื่มเหล้าอีกแก้วและอีกแก้ว โดยมีนิโคไลนั่งไขว่ห้างดื่มอยู่ข้างกัน โรมทำแผลอย่างเบามือ แต่แม้ไม่เบามือมาร์คก็แทบไม่รู้สึกอะไร เพราะหลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว เขาก็เห็นนิโคไลเป็นภาพซ้อน พร้อมรู้สึกมึนจนต้องเอนหลังพิงพนักโซฟา

ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ดื่มเหล้าจากขวดเดียวกัน ขณะมาร์คแทบหัวทิ่ม นิโคไลเพียงนั่งสวยไร้อาการเมา

“เขาเมามากแล้ว ให้นอนบนโซฟาก่อน” เสียงนิโคไลพร่าอยู่ในโสตประสาทของมาร์ค จิตแพทย์หนุ่มรู้สึกคล้ายถูกดึงให้นอนลง เปลือกตาหนักจนต้องหลับตา

เมื่อเห็นมาร์คหลับดีแล้ว นิโคไลบอกโรเมโอ

“ดูเขาไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”

ถูกต้อง นิโคไลมอมมาร์คด้วยเหล้าผสมยากล่อมประสาท (ซึ่งยาที่ว่ามีอยู่แค่ในแก้วของมาร์ค) เขาบอกให้น้องชายเฝ้าอดีตสามี ส่วนตัวเองมือไว ล้วงหากุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงมาร์คแล้วเดินออกไป

นิโคไลบอกโรเมโอว่าเขาจะดูมาร์คให้ แต่ ‘ดู’ ในที่นี้ไม่ใช่ระหว่างการพูดคุย เพราะแค่พูดจากันตามปกติยังไม่รู้จะพูดอะไร นิโคไลเลี่ยงมาร์ค มาร์คก็เลี่ยงเขา

สุดท้าย นิโคไลก็มาอยู่ตรงที่นั่งคนขับบนรถของมาร์ค เขาจับโน่นเปิดนี่ด้วยความคุ้นเคย ทั้งด้านหลังแผ่นบังแดด เก๊ะหน้ารถ และช่องเก็บของข้างหลังเกียร์ มองหาสิ่งที่อาจเป็นเบาะแส เขาพบเอกสารทั่วไปของมาร์ค นามบัตร ใบเสร็จจากร้านขายของชำ ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวด และกระเป๋าเอกสารใส่แฟ้มประวัติคนไข้ ทั้งหมดดูธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสงสัย

ยกเว้นกลิ่น


นิโคไลเอานิ้วถูจมูก นอกจากกลิ่นน้ำยาขัดเบาะที่ฉุนเกินไป ภายในรถยังคล้ายมีกลิ่นสารเคมีบางอย่างที่เขาคุ้นเคย...ทว่าไม่แน่ใจว่ากลิ่นนั้นจะใช่สิ่งที่ตนคิดหรือเปล่า

“อืม...เอายังไงดี” หนุ่มตาคมลูบไล้พวงมาลัยขณะคิด จากนั้นก็เปลี่ยนไปลูบเกียร์ หมุนฝ่ามือบนหัวเกียร์เบาๆ ท่าทางอย่างนี้เคยทำให้มาร์คคลั่งมาแล้ว และรถคันนี้ก็เป็นหนึ่งในอดีตสถานที่ร่วมรักของพวกเขา

หลังสรุปว่าคงไม่สามารถหาอะไรได้มากกว่านี้ นิโคไลเปิดประตูเพื่อลงจากรถ ทว่าตอนจะดึงกุญแจรถออก เขาเหลือบตาไปเห็นปุ่มเปิดกระโปรงท้ายรถยนต์

ท้ายรถหรือ… ปกตินิโคไลขับรถสปอร์ตที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านหลัง จึงมักลืมว่ามีช่องเก็บของท้ายรถอีกที่ เขากดปุ่มเปิดแล้วลงไปดู

พอยกกระโปรงท้ายรถขึ้น อดีตคู่แต่งงานผู้ไม่แคร์สิ่งใดของมาร์คถึงกับยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง...เขานิ่งเพราะของที่นอนอยู่ท้ายรถอดีตสามี...มันเป็นขวานสำหรับฝ่าฟืน ยังดูใหม่ ด้ามไม้ที่ยาวกว่าแขนของเขาลงน้ำยาจนขึ้นเงา ใบขวานเหล็กกล้าอันใหญ่ถูกลับจนคมกริบ

บรรยากาศวังเวง แสงวาวของโลหะสะท้อนกับแสงไฟจากเสา ภาพตรงหน้าชวนให้นิโคไลนึกจินตนาการว่า ขวานด้ามใหญ่นี้มีแรงสับหนักหน่วงแค่ไหน

...และสามารถสับอะไรได้บ้าง

————————————————

มาร์คไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน แต่ตอนตื่นมาก็ถูกแสงแยงตาแล้ว เขามีหมอนใบใหญ่รองใต้คอ ผ้าห่มคลุมอยู่บนอก

จิตแพทย์หนุ่มได้ยินเสียงคนพูด ทว่าเสียงนั้นไม่ได้พูดกับเขา

“ไม่อยากคุยกับนายแล้ว ฮันเตอร์ ถ้าจะโวยวายเรื่องมาร์คนอนค้างที่นี่” นิโคไลนั่งไขว่ห้างคุยโทรศัพท์มือถือ เขาสวมชุดเดียวกับเมื่อคืน เสื้อคลุมสีแดงเซ็กซี่ที่พอนั่งไขว้ขาก็รั้งสูงจนเห็นขาอ่อน “อ้อ มาร์คมีแฟนใหม่แล้ว ชื่ออัลฟีโอ? อืม...แล้วไง ภูมิใจเหมือนเป็นแฟนกับอัลฟีโอเสียเอง ระวังจิลแหกอกเอานะ ...นอกใจ? ว่าฉันเหรอ หรือว่าตัวเอง ...ใช่ นายมันจอมนอกใจ” นิโคไลต่อปากต่อคำกับปลายสาย โทรศัพท์ที่เขาถืออยู่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นของมาร์ค

นึกภาพออกเลยว่าเมื่อฮันเตอร์โทรหาน้องชายแล้วนิโคไลเป็นคนรับสาย ด้วยความที่เกลียดนิโคไลเข้าไส้ ฮันเตอร์จะเดือดดาลแค่ไหน

“นิกกี้” มาร์คเรียกอดีตคนรักพลางกวักมือขอโทรศัพท์มือถือ หัวเขาปวดหนึบ เดาไม่ยากว่าเป็นเพราะ ‘บางอย่าง’ ที่นิโคไลผสมใส่วิสกี้ พอได้โทรศัพท์มือถือมาก็พูดเสียงแหบ “พี่…”

จากนั้นก็เหมือนฮันเตอร์พูดใส่มาร์คฝ่ายเดียว เขาได้แต่รับคำ “ครับ อืม ครับ”

“พูดมากน่ารำคาญ เป็นพ่อมาร์คหรือไง” นิกกี้แกล้งส่งเสียงดังให้ฮันเตอร์ได้ยิน แม้ไม่ทราบเนื้อความที่ฮันเตอร์พูดกับมาร์คก็ตาม

มาร์ครับว่า “ครับ” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนวางสาย จากนั้นกดดูนาฬิกา เข้าช่วงสายของอีกวันแล้ว ดีที่วันนี้เขาไม่มีนัด

“ไม่ทำแบบนั้นอีกนะ นิกกี้” มาร์คครางขณะนวดสันจมูกระหว่างคิ้วที่ปวดตุบ

“ก็เห็นหน้าตานอนไม่พอ จะชวนค้างก็คงไม่ค้าง นอนที่นี่ไม่เห็นเป็นไร โรมนอนเฝ้าคุณทั้งคืน” นิโคไลรินน้ำใส่แก้วส่งให้มาร์ค “อันนี้ไม่มียา”

หากเป็นคนปกติคงโมโหที่ถูกวางยาแล้วคนทำยอมรับหน้าตาเฉย ทว่านี่คือมาร์ค แอนโธนีผู้แสนใจดีและใจเย็น เขาจึงเพียงตอบว่า...

“ขอบใจ” มาร์คควานมือมารับโดยยังไม่ลืมตา หน้าเขายับสนิทแบบคนเพิ่งตื่นนอน

“ผมเดินละเมอหรือเปล่า”

เขาฝันร้าย จำเรื่องไม่ใคร่ได้ ทว่าเป็นฝันร้ายแน่นอน สิ่งที่มาร์คกังวลกว่านั้นคือการหลับแล้วเดินละเมอ

“ไม่ บอกแล้วว่าโรมนอนเฝ้าคุณทั้งคืน” นิกกี้เอาผมทัดหู “ตอนนี้เขาไม่อยู่น่ะ จู่ๆ ก็บอกว่าอยากไปมหา’ลัย” เขาอธิบาย

มาร์คยิ้ม “ดีแล้ว เป็นข่าวดียามเช้า” เขาลูบใบหน้าตัวเองหลายครั้งให้สร่างจากยากล่อมประสาท “ดีจริงๆ”

จิตแพทย์หนุ่มเป็นคนเรียบๆ ต่างจากนิโคไลลิบลับ นี่อาจเป็นสาเหตุให้อดีตคนรักขอหย่า เขาสงบเกินไป น่าเบื่อเกินไป ไม่มีอะไรหวือหวา โกรธก็ไม่โกรธ หรือเวลาดีใจยังเผยแค่รอยยิ้มมุมปากเล็กๆ

“มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่ามาร์ค” นิโคไลเข้าประเด็นที่เขามานั่งรออีกฝ่ายตื่นนอน “แฟนใหม่ทำให้เครียดหรือ นึกว่าผมเป็นเรื่องวุ่นวายคนเดียวเสียอีก”

“แฟนใหม่?”

“อัลฟีโอ...ฮันเตอร์บอกแล้ว เห็นว่าเมื่อวานกินอาหารเม็กซิกันด้วยกันแล้วคุณขับรถไปส่งเขา สงสัยฮันเตอร์จะโทรมาติดตามชีวิตรักน้องชายละมั้ง” คนหน้าสวยยกยิ้มสะใจที่พี่ชายอดีตสามีโทรมาเจอเขา

“เพิ่งคุยกันไม่ถึงวัน พี่บอกว่าอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ต้องเกรงใจผมก็ได้” นิโคไลเดาว่ามาร์คคนดีคงไม่อยากพูดเรื่องแฟนใหม่ต่อหน้าเขา “ใครจะคบกับคุณ ยากที่สุดคือฮันเตอร์ ถ้าเขาชอบก็สบาย” คนพูดยักไหล่

“พี่ชอบคุณนะ นิกกี้” มาร์คเย้า “ไม่มีคุณ เขาคงไม่รู้จะหาใครลับฝีปากด้วย”

“เหรอ มิน่า ทุกครั้งที่เจอกันเขาถึงบอกให้ผมเลิกแพศยากับน้องชายเขา”

มาร์คหัวเราะแล้วเงียบไป เขามองนิโคไลด้วยสายตาซึ่งปิดไม่มิดว่า ‘คิดถึง’

“เป็นอย่างไรบ้าง”

พอมาร์คใช้สายตานั้นมองใส่ ใจของนิโคไลนิ่งไป รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง “ก็เรื่อยๆ คุณต่างหากที่…” คนหน้าสวยหยุดพูดกะทันหัน เขาเม้มปาก ก้มหน้าแล้วเอามือขยี้ผม “มาร์ค ให้ตายเถอะ อย่าทำตาแบบนั้น”

นิ้วใหญ่ถือวิสาสะเอื้อมมาเกลี่ยข้างแก้มของนิโคไล—ข้างที่แดงเป็นรอย สัมผัสอ่อนโยนต่างจากคนที่กล้าฟาดมือลงมาบนผิวแก้มเนียน

“แบบไหน”

นิโคไลเงยหน้าขึ้น มองมาร์คทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่ใบหน้าหล่อเหลาติดเคร่งขรึม ลำคอหนาชวนให้ประทับจูบลงไป กล้ามอกใต้ร่มผ้า ไล่ลงมาถึงเอวสอบ...และพระเจ้าเป็นพยาน เขายังจดจำวีไลน์ของมาร์คกับส่วนที่ต่ำลงไปกว่านั้นได้

“แบบที่ทำให้ผมอยากกินคุณละมั้ง” นิโคไลทิ้งแก้มกับฝ่ามือใหญ่พลางยิ้มยั่วเย้า

หลังหย่าร้าง คนเราจะเจอเรื่องบัดซบแค่ไหนก็คงไม่แย่ไปกว่าการที่เมียเก่ามายั่วยวนเพราะอยากได้เซ็กซ์ใช่ไหม

-----------------------------------------------

A/N คิดว่ามาร์คจะตอบว่าอะไรคะ ดูทำสายตาสิ ^^;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 2-2 [6/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 06-03-2018 18:12:56
Case 2-2

มาร์คดันหน้าไปจูบ เขารู้ดีว่าหากเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าเขาจะต้องเสียใจ แต่เวลานี้เขาเสียใจจนชาแล้ว ชาอีกนิดคงไม่เป็นอะไร

นิกกี้เบิกตาโตอย่างคนไม่ทันตั้งตัว เพราะเขาคิดว่ามาร์คจะปฏิเสธ

มาร์คฉวยโอกาสตอนนิโคไลเผยอปากสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัด ร่างเขยิบเข้าประชิด มือหนาข้างหนึ่งไล้บนแก้ม อีกข้างวางบนเอวสอบ

รสจูบที่ขาดกันไปนานทว่าคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นทำให้นิโคไลรุ่มร้อนเหมือนได้ดื่มเหล้าเก่าดีกรีแรง ใจเขาเต้นแรงขณะกอบหน้าอดีตสามี ลิ้นยังแตะกันไม่ห่างตอนที่พูด “มาร์ค ถ้าไม่หยุดจะโดนกินจริงๆ นะ”

“ยินดี” มาร์คตอบเสียงพร่าขณะเลื่อนใบหน้าไปซบท้องแบนราบของอดีตคนรัก เขาฝังจมูกตรงร่องกล้ามเนื้อเคร่งครัด สูดกลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่าย ดำฤษณาทำให้หูอื้อ และความเป็นชายค่อยๆ ตื่นตัวจากการหลับใหล

นิโคไลหงายหลังไปบนโซฟา ขาข้างหนึ่งตั้งพิงพนัก อีกข้างเหยียบพื้น มีความไม่แน่ใจซ้อนอยู่ในดวงตาเขา หากเป็นตัวเขาตามปกติย่อมหลับนอนกับมาร์คโดยไม่ใส่ใจ

แต่เวลานี้…

“มาร์ค มาร์ค...แน่ใจเหรอ” เขาช้อนแก้มอดีตสามี หวังจะเห็นความเสียใจและอาการปฏิเสธในดวงตา

“นิกกี้…” มาร์คสบตานิโคไลแวบเดียวก่อนฝังจมูกลงไปยังส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย ปลุกมันให้ดุนดันผ่านเนื้อผ้า เขาต้องการนิโคไลมากเหลือเกิน

นิโคไลจิกผมสีน้ำตาลเข้มอย่างสุดกลั้น ความเป็นส่วนตัวของเขาชูชันอยู่ใต้เสื้อคลุมเนื้อบาง ไหล่เสื้อตกลงมาข้างหนึ่ง เผยผิวขาวและยอดอกสีชมพูน่ารักใต้สาบเสื้อสีแดง

เวลาทำรักมาร์คชอบปอกเสื้อผ้านิกกี้ออกทีละชิ้น แต่จะปอกไม่หมด มักเหลือบางชิ้นติดกาย

“บะ บนห้อง มี...อา!” นิโคไลต่อประโยคไม่จบเพราะริมฝีปากที่รุกเร้าอยู่เบื้องล่าง เขาต้องขยับปากหาเสียง แล้วจึงพูดเหมือนคราง “ส้นสูง…”

คำว่า ‘ส้นสูง’ ทำเอามาร์คหายใจเฮือก เขาครางต่ำ “สีอะไร” ชายหนุ่มขบผิวเนื้อเนียนนุ่มบริเวณข้างเอวคอด ก่อนจะดูดเม้มจนเป็นรอย

“แดง” นิโคไลพูดสั้นๆ แล้วดึงหน้ามาร์คขึ้นมาจูบคลอเคลีย ความดีเล็กๆ ในใจเขาถูกปัดทิ้งไปเรียบร้อย และเมื่อยินยอมพร้อมใจ คนเร่าร้อนยิ่งกว่าเร่าร้อน

“ส้นเข็มหรือ” มาร์คเลียริมฝีปากนิโคไลเรื่อยไปถึงติ่งหูขวา ลิ้นเขาชำนาญ และรู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบแบบไหน

“ใช่...สูงมาก” คำตอบนั้นพร่าเมื่อลิ้นสอดเข้ามาในหู ก่อนที่เจ้าตัวจะทั้งฉุดและดึงมาร์คให้ตามขึ้นไปบนชั้นสอง ระหว่างทางชุดของมาร์คถูกดึงทึ้งอย่างเอาเรื่อง เข็มขัดถูกรูดจากเอวแล้วโยนข้ามราวบันได เสื้อเชิ้ตหลุดจากขอบกางเกง กระดุมเสื้อถูกปลดอย่างรีบร้อน มือเล็กลูบต้นขาแกร่งด้านหน้าลงไปถึงซอกขาแน่นตึงด้านใน

นิโคไลแลกจูบ ระหว่างนั้นยังใช้ข้อนิ้วลากขึ้นลงตามความยาวแข็งนูนตรงหว่างขาของอดีตสามี

เมื่อถึงห้อง เขากระซิบให้มาร์คไปนอนรอบนเตียง แล้วเดินไปเปิดประตูบานพับห้องแต่งตัว รองเท้าส้นเข็มสีแดงสดวางอยู่กลางห้องดังคำสัญญาถึงความเร้าใจที่จะตามมา หนุ่มหน้าสวยยิ้มร้ายขณะใช้นิ้วหิ้วมันเดินกลับมาหามาร์ค

“มานี่...ที่รัก” มาร์ควางมือบนตัก บางครั้งเขาจะให้นิโคไลนอนพาดขา เล่นบทคุณหมอกับคนไข้ที่ดื้อไม่ยอมกินยาตามที่สั่ง เขาจะดุเสียงทุ้มและฟาดก้นสวยๆ เหมือนลงโทษเด็ก

นิโคไลยืนมั่นใจอยู่หน้ามาร์ค ใกล้เพียงเอื้อมมือ เขายกชายเสื้อคลุมแล้วบรรจงสวมรองเท้าส้นเข็มให้อีกฝ่ายดูทีละข้าง เท้าเนียนสวยสอดอย่างเชื่องช้า เมื่อยืนอยู่บนส้นสูง เรียวขาของเขาช่างสวยงามไร้ที่ติ

‘ที่รัก’ จับคางอดีตสามีอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนนอนคว่ำพาดบนตัก บั้นท้ายใต้เสื้อคลุมเนื้อบางลอยโด่ง เรียวขาตึงแน่นหนีบเข้าหากัน หัวเข่างอ ปลายเท้าจิกพื้น

“คุณหมอครับ วันนี้จะรักษาผมยังไงดี” คนไข้เอี้ยวคอมาส่งสายตาท้าทาย

“อืม…” มาร์คยิ้มซุกซน นัยน์ตาพราวระยับ “อาจต้องฉีดยา” เขาใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เลิกเสื้อคลุมเนื้อบางขึ้นจนถึงบั้นเอว ก่อนวางมือบนเรียวขา ผิวของนิโคไลชวนสัมผัสเหมือนผ้ากำมะหยี่ เขาบีบเบาๆ จากน่องมาถึงต้นขา และจากต้นขาไปยังก้น จิตแพทย์หนุ่มแหวกรอยแยก ชำแรกนิ้วไปที่หลืบเร้น เสียงพร่ากระซิบถามว่า “เด็กดี พร้อมหรือยัง”

นิโคไลใจเต้น กับมาร์คเขามักใจเต้นโดยไม่ตั้งใจเสมอ พลางนึกถึงคำพูดของโรเมโอว่า ‘นิกกี้อยู่กับมาร์คแล้วน่ารักแหละ’ เขาเผลอเกร็งตัว ทำให้ท่าทางเหมือนคนไข้ที่กลัวเข็มและกำลังจะโดนฉีดยาจริงๆ

มาร์คสอดนิ้วกลางเข้าในตัวนิโคไล เขาไม่เร่งร้อน ช่องทางแคบบีบรัดเขาทันที

“เราน่าจะมีตัวช่วยหน่อยไหมหืม” เขาถามถึงน้ำมัน

...หรือไม่ก็

น้ำลาย

โดยไม่รอคำตอบ มาร์คถอนนิ้วออกแล้วอมจนชุ่มน้ำลายอย่างไม่รังเกียจ เขาสอดนิ้วกลับคืน ครั้งนี้อดีตคนรักตอบรับเขาง่ายขึ้น

นิโคไลสะดุ้งเฮือก! ตอนอาบน้ำเขาล้างข้างในอย่างสะอาดตามความเคยชิน และมีน้ำมันติดไว้ข้างเตียง ทว่าไม่ทันได้บอกเพราะอีกฝ่ายใจร้อน (ปกตินิโคไลไม่พาใครมานอนบ้าน น้ำมันนี้เป็นของที่เคยใช้กับอดีตสามี)

มือเล็กกำแล้วคลายเมื่อนิ้วใหญ่ขยับ เท้าในส้นสูงก็ขยับตาม เขากัดปากและส่ายสะโพก ความวาบหวามแล่นจากนิ้วของอีกฝ่ายเข้ามาในตัวเขา ทำให้ส่วนไวสัมผัสด้านหน้าดุนดันหน้าตักมาร์ค

“คะ คุณหมอ ผม...ชอบ”

มองจากคนนอก นิโคไลดูจะข่มมาร์ค (ซึ่งก็จริงเป็นส่วนใหญ่) แต่บนเตียง มาร์คเป็นฝ่ายคุมเกมเสียโดยมาก เขาชอบเล่นบทคุณหมอหรือไม่ก็...ปาปา เวลานิโคไลครางเรียกเขาว่าปาปา มาร์คจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ แน่นอนว่านิโคไลก็จะถูก ‘รัก’ เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน

นิ้วใหญ่เข้าไปจนสุดข้อ มาร์คเพิ่มอีกนิ้วและอีกนิ้ว ทำให้สะโพกของนิโคไลยกไม่ติดตัก ความเป็นชายของจิตแพทย์หนุ่มเบ่งคับกางเกง พร้อมที่จะทิ่มแทงช่องเร้นอ่อนนุ่มของอดีตภรรยา เขาเตรียมนิโคไลจนพร้อม และขอให้อดีตคนรักลงไปคลานบนพื้นด้านหน้า ส่วนเขาจะนั่งตรงนี้ มอบรักให้จากขอบเตียง

นิโคไลทรงตัวด้วยเข่าและฝ่ามือ เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ความต้องการถูกเติมเต็มในรูปแบบต่างผุดขึ้นมาเป็นภาพสีสดในหัว เขาไม่เขินอายกับท่าทาง ออกจะชอบด้วยซ้ำ

“มาร์ค...ขวานหลังรถ...มีไว้ทำไม” หนุ่มหน้าสวยพูดขณะรับส่วนสำคัญของอดีตสามี ด้วยการขยับบั้นท้าย ความใหญ่โตค่อยๆ ชำแรก แม้เจ็บในทีแรก ทว่าต่อมามันจะเป็นความเพลิดเพลิน

“ขวาน…” มาร์คทวนคำ ขณะดึงสะโพกนิโคไลเข้ามาแนบชิดครั้งแล้วครั้งเล่า “ขวานธรรมดา ไม่มีอะไร คุณก็รู้ว่าผมชอบเตาผิงดั้งเดิม ได้ผ่าฟืนก็ได้ออกกำลังดี”

“อึ๊ อืม!” นิโคไลหน้าสั่น เขาตั้งตัวรับแรงกระทำจากด้านหลัง การกระทบกระแทกกันระหว่างร่างกายทำให้เหงื่อเริ่มหยด บางส่วนไหลลงมาถึงปลายคางมนสวย พรมใต้ท้องเขาถูกของเหลวที่ขับออกมาเพราะความเสียวซ่านหยดใส่เป็นวง “นี่ก็ออกกำลังเหมือนกัน”

“คุณไม่อยู่ให้ผมออกกำลังนี่” มาร์คตัดพ้อแต่ไม่จริงจังนัก

นิโคไลตาพร่าอยู่บนสองขาที่ยังสวมรองเท้าส้นสูงสีแดง เสื้อคลุมเขาร่นและหลุดรุ่ย เนื้อผ้านุ่มสีแดงยับยู่ยี่อยู่บนผิวเต่งตึง “มาร์ค มาร์ค คุณหมอครับ อา! แรงๆ”

เสียงครางลั่นของนิโคไลทำให้มาร์คขบกรามด้วยความกระสัน เขาอุ้มอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนตัก โขยกเขย่าไปด้วยกัน

ปลายเท้าในรองเท้าส้นสูงสีแดงแยกออก มันสั่นรัวตามแรงกระทำ นิโคไลเอื้อมแขนไปคล้องคอมาร์ค คุ้นเคยกับความแข็งแรงและความแข็งร้อนของอีกฝ่าย “มาร์ค...ผมจะ!” เขาปิดตาแน่น เตียงโยกเสียงดัง คนข้างตัวคำรามอย่างอดกลั้นอยู่ข้างหู

“ชู่ว...อีกนิดที่รัก” มาร์คหน่วงจังหวะช้าลง เขาอยากถูกนิโคไลโอบกอดและโอบรัดนานอีกหน่อย มือหยาบดันอกอีกฝ่ายให้เอนพิงอกของตัวเอง จังหวะรักเนิบช้าทำเอานิโคไลแทบขาดใจ

มาร์คเคลื่อนเข้าออกในตัวเขา นิโคไลกระซิบเสียงเบาขณะปล่อยตัวเองให้ล่องลอยในเพศรส “ปาปา...ผมเสียวฮะ” แม้เป็นการแสดงแต่ก็กล่าวออกมาอย่างน่าสงสาร ยิ่งขนาดตัวมาร์คแตกต่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด จึงเหมือนนิโคไลถูกโอบกอดด้วยชายที่โตกว่ามาก “ปาปาใจร้าย...ทำผมไม่หยุด” ส้นเข็มสีแดงจิกฟูกเตียง คนพูดยกยิ้มคล้ายต้องการเอาคืน แต่น้ำเสียงออดอ้อนไปพร้อมกัน

แบบนี้กระมังที่ทำให้มาร์คหลงนิกกี้หัวปักหัวปำ

มาร์คขบหลังคอนิโคไล เสร็จสมทะลักทลายในจังหวะที่ถูกเรียกด้วยคำเรียกผิดบาป เขาไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน ของเหลวร้อนจึงฉีดพุ่งเข้าในตัวอีกฝ่าย การทำรักคล้ายทำให้คนสองคนกลับมาสื่อสารกันด้วยภาษาพิเศษซึ่งมีแต่คนรักเท่านั้นที่จะเข้าใจ

นิโคไลไม่ได้ลืมบอกให้มาร์คใช้ถุงยางอนามัย แต่เขาอนุญาตให้มาร์คไม่ต้องใช้ คนหน้าสวยเกร็งตัวอยู่บนตักอดีตสามี ปากเผยอค้างไว้ ดวงตาล่องลอยจากการเสร็จสมที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ส่วนสำคัญซึ่งแข็งจนปวดหนึบฉีดพ่นน้ำรักอย่างไม่อาย

...มาร์ควิเศษเหมือนเคย อย่างที่เขาเคยบอกโรเมโอว่าเรื่องบนเตียงมาร์คดีจริงๆ

แล้วทำไมนิโคไลถึงยังไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน กินผู้ชายคนอื่นอีก...คำตอบของคำถามนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่า... ‘มักมาก’

“ผมไม่ชอบใจเลยนิกกี้” มาร์ควางมือบนรอยปื้นแดงตรงแก้มของอดีตภรรยา ฝังหน้าบนลาดบ่าผอมบาง ท่าทางคล้ายสุนัขอ้อนนายอยู่ในที

“นิดหน่อยเองน่า” คนตอบเอ่ยเหมือนเป็นเรื่องปกติ เขาพลิกตัวดึงให้มาร์คนอนลง ครางเบาๆ เมื่อร่างกายแยกจากกัน “แขนคุณยังดูเจ็บกว่า” ทั้งสองหันหน้าคุยกัน ผ้าพันแผลของมาร์คเหมือนมีเลือดซึมออกมาอีกแล้ว

ก็ดูออกแรงเมื่อกี้สิ

“พอคุณพูดก็…” มาร์คมองแผลตัวเอง “เพิ่งจะรู้สึกเจ็บเนี่ย”เขาหัวเราะ “ทำแผลให้หน่อยได้ไหม แบบไม่ต้องวางยานะ”

นิโคไลซุกตัวเข้าหาผ้านวม มือควานหากระดิ่งสำหรับเรียกสาวใช้ที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง

“หรือขยับตัวมากๆ ไม่ไหว?” มาร์คกระเซ้า

“เปล่า แต่เรียกเมดมาทำก็ได้นี่” คำตอบช่างสมเป็นลูกคนรวย ที่เมื่อวานนิโคไลไม่ได้เรียกคนมาทำแผลให้มาร์คเพราะคิดวางยา จึงให้โรเมโอทำแผลและช่วยตะล่อมมาร์ค ระหว่างกำลังจะสั่นกระดิ่งนั้นเอง เขาสังเกตเห็นคิ้วของมาร์คขมวดเข้าหากัน จึงแค่แตะปลายนิ้วค้างไว้ “คุณอายเมดบ้านผมหรือคุณอยากอ้อนให้ผมทำแผล”

“ผมว่าอย่างที่สอง” มาร์คตอบโดยไร้มาด

“น่ารัก” นิโคไลหอมแก้มมาร์ค เขาลุกนั่ง จัดเสื้อคลุมและคิดลงจากเตียง ทว่านิ่วหน้าเพราะขาไม่มีแรง “ผมว่าคุณต้องไปหยิบกล่องยาเอง”

มาร์คบีบสะโพกนิโคไลเบาๆ อย่างนึกหมั่นเขี้ยว เขาเดินไปหากล่องยาตามอดีตภรรยาว่า

“น่าจะอยู่ในห้องแต่งตัว บนชั้น ที่เดิม” นิโคไลบอกขณะนอนคว่ำมองมาร์ค

“ผมจะหลงอยู่ในห้องแต่งตัวของคุณไหม” มาร์คยิ้ม เขาเล่นมุกที่เคยเล่นสมัยยังเป็นสามีภรรยากัน

“ไม่หรอก เล็กแค่นั้นเอง” นิโคไลยันตัว เขาปรายตามองมาร์คเหมือนแมวหน้าหยิ่งมองมนุษย์ตัวโต ทว่าสิ่งที่ทำให้นิโคไลดูเร้าใจกว่าแมวคือรองเท้าส้นสูงสีแดงสวยบนเท้าที่ไขว้อยู่ด้านหลัง

ในห้องแต่งตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเต็มด้วยเสื้อผ้าสุดเปรี้ยว รองเท้า กระเป๋า และเครื่องประดับแบบยูนิเซ็กซ์ ทว่าหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมีน้ำหอมขวดสีแดงเหมือนไฟวางอยู่ มาร์คจำน้ำหอมกลิ่นโปรดนิกกี้ได้ทุกกลิ่น แต่เขาไม่เคยเห็นน้ำหอมขวดนี้มาก่อน

จิตแพทย์หนุ่มยกขึ้นมาสูดกลิ่นซึ่งค้างอยู่บริเวณหัวฉีด แม้จะผ่านมาเกือบปี เขากลับยังจำกลิ่นนี้ได้ เพราะมันประทับลงในวันที่เกิดเรื่องสะเทือนใจ น้ำหอมผู้ชาย กลิ่นร้อนแรงเหมือนไฟและเสียดจมูกเหมือนเหล็กในของนางพญาผึ้ง...เป็นกลิ่นเดียวกับที่ติดตัวนิโคไลในวันขอหย่า

ไม่ชอบใจ…

เขาไม่ชอบใจเลย

---------------------------------------------

A/N คือมาร์คเนี่ย...สุภาพนอกเตียง แต่บนเตียงจะอีกอย่างนึงนะคะ /// เขิน
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 3-1 [7/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 07-03-2018 18:11:09
Case 3-1

มาร์ค แอนโธนีดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ เขาปรึกษาเรื่องอาการเดินละเมอในยามหลับกับจิตแพทย์ที่เชื่อใจกัน อยู่ในเซสชันของการบำบัด ซึ่งเขาเคยตั้งกล้องไว้ตามมุมของบ้าน พบว่าตัวเองเดินละเมอเกือบทุกคืนแต่ไม่มีอะไรเลวร้าย เว้นแต่เขาเดินไปทั่วบ้านหลังใหญ่...ไล่ปิดกล้องทีละตัว แล้วกลับมานอนบนเตียง

“มอนิเตอร์การหลับในโรงพยาบาลไม่พบอะไร หรือคุณจะลองมอนิเตอร์ภายในบ้านดูบ้าง อาจมีบางสิ่งกระตุ้นระหว่างคุณไม่ได้สติ”

เขาลองทำ มีพยาบาลและผู้ชำนาญการเฉพาะเข้ามาติดตั้งเครื่องและมอนิเตอร์การหลับภายในบ้าน แต่ไม่พบอะไรผิดปกติเช่นเคย

“เหมือนผมคนที่ตื่นตอนผมคนนี้หลับจะรู้ว่ามีคนมองอยู่”

เขาเคยพูดติดตลกกับจิตแพทย์ ถึงจะตลกไม่ออกเท่าไรก็ตาม

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรแย่ โรคเดินละเมอแค่ทำให้ชายหนุ่มรำคาญใจ เขาทำตัวปกติแบบที่ไม่มีอะไรปกติ (อันที่จริง เรื่องนี้เริ่มไม่ปกติจนปกติ ซึ่งนั่นทำให้เขารำคาญใจขึ้นไปอีก) อย่างเช้าวันนี้เขาเช็คโทรศัพท์มือถือดูคิวคนไข้ตามปกติ กินอาหารเช้าตามปกติ และหงุดหงิดรำคาญใจกับอาการของโรคตามปกติ

ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือเขาสั่น มีสายเรียกเข้าในตอนเช้าจากจิล เจเรไมน์ ซึ่ง...ปกติ

หรืออาจไม่...

“มาร์ค” เสียงจิลฟังร้อนรนนิดๆ “ฮันเตอร์ไม่อยู่ ฉันจะโทรหาเขาทีหลัง แต่โทรมาบอกนายก่อน เพราะตำรวจคงไปหานายต่อจากฉัน”

“ตำรวจ?”

“จำอัลฟีโอได้ไหม อาจารย์ไฮสคูลที่มาหาฮันเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ก่อน วันจันทร์หลังจากนั้นเขาต้องไปทำงานแต่ไม่ได้ไป เขาไม่มีญาติในเมือง เพื่อนกับที่ทำงานแจ้งตำรวจสองวันหลังจากนั้น ตำรวจเพิ่งรู้ว่าเขามีนัดกับฮันเตอร์ เพราะไม่ได้ลงตารางนัดไว้เป็นทางการ ฉันบอกตำรวจว่าหลังกินอาหารเสร็จนายไปส่งเขา...หลังจากนั้นอัลฟีโอเป็นยังไง ตำรวจคงไปถามนาย”

มาร์คเข้าใจสถานการณ์ทันที

“ขอบคุณมาก จิล”

“อืม...มาร์ค มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า...หมู่นี้ไม่ค่อยแวะมาเลย” จิลยังกังวล เขาคิดว่าที่อัลฟีโอหายไปไม่ใช่ฝีมือฮันเตอร์ เพราะฮันท์บอกแล้วว่าจะไม่ล่าคนที่น้องชายสนใจ ดูอย่างนิกกี้สิ ฮันเตอร์ไม่ถูกโรคด้วยแค่ไหนก็ยังไม่ล่า ไม่ไปแตะต้อง เพราะรู้ว่ามาร์คมีใจให้ สิ่งที่เขาต้องตัดสินใจคือจะตอบคำถามตามตรง หรือปิดบังเรื่องมาร์คไปส่งอัลฟีโอ เขาเลือกไม่โกหกตำรวจ เพราะคำโกหกมักทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิม อีกอย่างเขาเชื่อว่ามาร์คไม่มีทางทำร้ายใคร

...เขาเชื่ออย่างนั้นได้ใช่ไหม

“ไม่มีอะไร ฉันสบายดี” มาร์คลูบหน้าผากตัวเอง โรคเดินละเมอทำให้เขาเพลียและตื่นสายขึ้นทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นมาร์คก็คิดว่าไม่ใช่อะไรที่เลวร้าย เขากับจิตแพทย์จัดการได้

แต่

“ช่วงนี้…” ชายหนุ่มเม้มปาก เขาลองคิดในมุมของจิล หากเขาไม่บอกอะไรเลยอีกฝ่ายคงกังวล และการเลี่ยงไปเลี่ยงมาก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ไม่ใช่ ‘ครอบครัว’ ที่ไม่ว่ามีอะไร ทุกคนในบ้านสามารถปรึกษากันได้ ครอบครัวคือสิ่งที่จิลและฮันเตอร์ให้ความสำคัญมากที่สุด...แล้วเขาล่ะ

“ช่วงนี้…” จิลลากเสียงแบบอยากรู้เต็มที่ เขานั่งอยู่บนโซฟา เกาขนปุยใต้คออัลเฟรดที่มาอ้อนไปด้วย

“ฉันนอนไม่พอเท่าไหร่ มีอาการเดินละเมอนิดหน่อย”

“แปลกจัง...เดินละเมอ หมายถึงลุกขึ้นมาเดินตอนกลางคืน ระหว่างนอนหลับน่ะเหรอ”

“ใช่” มาร์ครับคำ “เคยเป็นตอนเด็กๆ น่ะ สักประมาณสิบสองสิบสามได้ มันหายไปนานมากแล้ว ไม่นึกว่าจะกลับมาอีก”

“งั้นก็น่าจะบอกฮันเตอร์ เขามีเพื่อนเก่งๆ เยอะนะ” จิลหมายถึงเพื่อนในโลกใต้ดิน “แล้วตอนเด็กๆ เป็นเพราะอะไรเหรอ”

“อา...ไม่รู้ เราไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นนักจำได้ไหม อย่าว่าแต่ไปหาจิตแพทย์เลย ไม่สบายธรรมดายังไม่ได้ไปหาหมอ” มาร์คเหลือบไปทางประตู ตำรวจยังไม่มา เขาเลยหันมาคุยโทรศัพท์อีกหน่อย “ให้ลองวินิจฉัยตัวเองก็อาจเป็นเพราะความรุนแรงในครอบครัว”

จิลลูบย้อนขนอัลเฟรดกับคำว่า ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ “แต่ตอนนี้…” ไม่มีความรุนแรงที่ว่าแล้วไม่ใช่หรือ จิลละไว้ในใจ

“ตอนนี้...ใช่ มันกลับมา แต่ฉันหาตัวกระตุ้นไม่เจอ”

“นิโคไล” จิลเปรย กระแอม “ฉันไม่รู้ว่ามีเรื่องอื่นไหม แต่ความสนใจหลักๆ ของนายก็เป็นเรื่องนี้นิกกี้นี่นา”

“นิโคไล?” มาร์คหัวเราะเบาๆ “แต่เขาไม่ได้ตบฉันเหมือนพ่อ...ขอโทษ แค่เปรียบให้เธอเห็นภาพ” หลังจบประโยคเขาก็หัวเราะเบาๆ อีก เพราะนิโคไลเคยตบเขา หมายถึง...ตบตอนที่โรลเพลย์เป็นคุณหมอกับเด็กดื้อกันน่ะนะ

“มาร์ค นายก็รู้ว่ามีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับจิตใจได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง” จิลนึกถึงแม่ของเขา...นึกถึงวันเวลาในรถบ้านกับมารดาผู้เป็นโสเภณี แม่ไม่เคยทำร้ายเขา...แต่ปล่อยปละละเลยกระทั่งแขกของหล่อนอยากมาซื้อบริการจากเขา

“ฉันเสียใจ จิล...แต่ไม่ถึงขั้นนั้น จะว่าอย่างไรดีล่ะ ฉันคิดว่าฉันจัดการตัวเองได้ดีหลังหย่า ตัวกระตุ้นน่าจะรุนแรงกว่านั้น หรือไม่มันก็แค่อยากกลับมา”

“อืม...ถ้านายว่าอย่างนั้น” จิลไม่แน่ใจว่าควรวางใจหรือไม่ มาร์คทำเหมือนเรื่องหย่ากับนิกกี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่สิ ก็อาจใหญ่ แต่เขาแสดงออกว่าจัดการมันได้ ใช้ชีวิตต่อไปได้

แล้วจิลจะพูดอะไรได้

“โอ๊ย!” จิลร้อง “ไม่รู้ละ ต้องบอกฮันเตอร์จริงๆ นะ เขาต้องโกรธแน่ถ้านายไม่บอก” สุดท้าย...ฮันเตอร์ก็เป็นที่พึ่งทางใจของจิล

“พี่จะกังวลเปล่าๆ” พูดได้แค่นั้นก็มีเสียงกดกริ่งที่ประตูบ้าน

ดูเหมือนตำรวจจะมาถึงแล้ว

“ไม่หรอก นายไม่บอกเขาจะกังวลกว่าอีก” จิลพยายามบอก

“ฉันต้องไปแล้ว” มาร์คกรอกเสียงระหว่างเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขกที่ไม่มีใครอยากต้อนรับในวันที่อากาศสดใส “สวัสดีครับ” เขาเอ่ยกับตำรวจโดยยังถือสายจิลครู่หนึ่ง

“เดี๋ยวสิมาร์ค…” จิลคราง เขาอยากพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่มาร์คกดวางสายใส่เขา

----------------------------------------------------------

น้ำหนักตัวมันมาก แต่ฝีเท้ามันเบาเหมือนแมวป่า—เหมือน เพราะมันไม่ใช่แมวป่า หากแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเกือบสองเมตร กล้ามเนื้อเครียดเกร็งสมบูรณ์พร้อมและเส้นขนที่ขึ้นตามใบหน้า แขน แผงอก ขา รวมไปถึงส่วนลับบ่งบอกว่ามันล่วงเข้าวัยเจริญพันธุ์นานแล้ว ตาสีแดงคมกริบของมันฉายแววนักล่า ซึ่งตามันดีกว่าสัตว์ในตระกูลเดียวกันมาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าแม้ในความมืด ขณะนี้...มันเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เหยื่อซึ่งเป็นสัตว์นักล่าขนาดเล็กโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

สัตว์นักล่าขนาดเล็กซึ่งกำลังจะกลายเป็นเหยื่อของมันอยู่ในตระกูลแมวป่า ประสาทสัมผัสดี ว่องไวและปราดเปรียว ยามปกติ...เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะล่าแมวป่าได้ แต่ยามนี้ มันสามารถใช้พรสวรรค์ในการลบตัวตนได้อย่างหมดจด เป็นนักล่าเหนือนักล่า มันย่องไปใกล้เข้า...ใกล้เข้า นิ้วขวาทั้งห้าค่อยๆ งอเข้าดุจกรงเล็บ เล็บของมันไม่ยาวหรือคมแบบสัตว์นักล่าทั่วไป แต่นิ้วที่งองุ้มและเกร็งกล้ามเนื้อจนเส้นเลือดปูดโปนชวนให้ใจหาย นึกถึงพลังทำลายที่สามารถขยุ้มคอหอยเหยื่อตายในอึดใจเดียว

แมวป่าระแวดระวังเพราะมันบาดเจ็บจากการสู้กับแมวป่าตัวอื่น แผลยังไม่หายดี แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้ถึงภัยที่กำลังเข้าประชิดตัว แค่วูบเดียว...เพียงวูบเดียวเท่านั้น มันตกเป็นเหยื่อในอุ้งมือแกร่งของสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่า!

แมวป่าเคราะห์ร้ายร้องสู้ มันดิ้น กัด ข่วนศัตรูจนเลือดไหลอาบแขน ขณะที่สัตว์ผู้เป็นนักล่าในยามนี้ส่งเสียงร้องว่า “ชู่ว...ชู่ว”

แรงบีบของอุ้งมือหนักขึ้นเมื่อเจ้าแมวป่านักสู้ไม่ยอมจำนน มันสู้จนแผลเดิมปริแตก จากนั้นแรงบีบก็ทำให้กระดูกเล็กๆ แตกและแทงอวัยวะภายใน แมวป่าค่อยๆ สิ้นฤทธิ์ อีกไม่นานมันจะถึงวาระสุดท้าย มันรู้ดี

“อ้าว” เสียงของสัตว์อีกตัวร้อง มันมองร่างเล็กจ้อยหายใจแผ่วจนในที่สุดก็สงบ ชีพจรหยุดลงในตอนนั้นเอง

ไม่น่าเลย...สัตว์นักล่ารำพึงในใจ

ไม่น่าเลย

...นั่นเป็นความทรงจำที่ถูกบันทึกในจิตสำนึกที่ลึกที่สุดของมาร์ค แอนโธนี

——————————————-

“ฮันเตอร์!” จิลวิ่งไปกอดคอสามีที่เพิ่งลงจากรถ หลังมาร์ควางสายกะทันหัน เขาก็โทรหาฮันท์ เล่าเรื่องตำรวจมาถามหาอัลฟีโอ และอาการเดินละเมอของมาร์ค “ที่ฉันถามนายวันก่อน เรื่องเห็นตามาร์คเรืองสีแดงเหมือนนายเวลาออกล่า แล้วนายบอกว่าฉันตาฝาด ยังจะพูดแบบนั้นอีกไหม” จิลแทบจะบิดหูหล่อๆ ด้วยความหมั่นไส้

“เขาเดินละเมอหรือ” สีหน้าของฮันเตอร์เปลี่ยนไปทันที จากตอนแรกสดชื่นเพราะได้พบหน้าเมีย กลายเป็นตกใจและกังวล “ชวนมาร์คมาบ้าน มอมยา แล้วจับมันขังไว้”

สีหน้าฮันเตอร์จะตกใจแค่ไหน ก็เทียบกับจิลที่เบิกตาโตเมื่อได้ยินคำพูดของสามีไม่ได้ “มอมยาแล้วจับขังเลยเหรอ มากไปหรือเปล่า”

“ขังแล้วเรียกหมอจากโลกใต้ดินมาน่าจะดี” ฮันเตอร์ลูบปาก

“ฮันท์ ฮันเตอร์ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” จิลจ้องเป๋ง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยง “นายไม่อยากให้มาร์ครู้ตัวจริงไม่ใช่เหรอ ถ้าทำอย่างที่ว่า ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนเข้าใจหรอก” เขาไม่มีปัญหากับสิ่งที่ฮันเตอร์อยากทำ แต่คนที่เป็นเหยื่อคือ ‘มาร์ค’ นั่นแหละ ปัญหา

“มาร์คมีอาการทางจิตที่รุนแรง และมีแต่คนไม่ดีอย่างฉันนี่ละที่รู้”

จิลอิดออด แต่เห็นสีหน้าดุขรึมจริงจังของฮันเตอร์แล้วก็ไม่อยากเถียงต่อ “อืม ตอนนี้มาร์คน่าจะคุยกับตำรวจอยู่ ฉันจะส่งข้อความไปหาเขา ตกลงไหม”

นั่นละฮันเตอร์ถึงสงบ ไม่ต่อปากต่อคำกับเมียรัก เขาเดินนิ่งขึงหน้าเครียด เอ่ยปากขอวิสกี้เสียด้วยซ้ำ

“นี่...แล้วอัลฟีโอ คงไม่ได้” จิลถามขณะตามสามีเข้าบ้าน

ฮันเตอร์ขมวดคิ้ว ดวงตามีแววไม่พอใจเล็กน้อย “มาร์คมันเป็นโรคจิตแบบช่างเลือก ตลกไหม มันเลือกคนชั่วเป็นเหยื่อ แต่ก็ไม่แน่ ถ้าความจริงแล้วอัลฟีโอชั่วละก็…”

จิลหรี่ตา คำพูดของฮันเตอร์ไม่มอบกำลังใจให้เขาเลย “นายนั่งรอกับอัลเฟรด เดี๋ยวไปรินวิสกี้มาให้”

“ขอบใจ” ฮันเตอร์จูบแก้มเมีย “แล้วฉันจะเล่าเรื่องสมัยเด็กให้เธอฟัง”

เรื่องสมัยเด็กของฮันเตอร์ย่อมน่าฟัง เพราะฮันท์หลีกเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอด ทว่าจิลมีแผนสำหรับมาร์คอีกแบบ...แบบที่ไม่ต้องจับน้องชายสามีมาขัง และให้รับรู้ด้านมืดของพี่ชาย

ในครัว จิลปลดล็อกโทรศัพท์มือถือ เลื่อนหน้าจอสัมผัสหาชื่อคนที่ต้องการติดต่อ เขาหยุดนิ้วที่ชื่อ ‘มาร์ค แอนโธนี’ ครู่หนึ่ง หรี่ตา...แล้วเลื่อนนิ้วต่อเพื่อส่งข้อความถึง…

‘นิกกี้’

--------------------------------------

A/N แล้วเราก็รู้ที่มาของบาดแผลแล้วนะคะ

หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 3-2 [8/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 08-03-2018 18:15:01
Case 3-2

“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ ถ้าคุณนึกอะไรได้อีกหรือมีเบาะแสเพิ่มเติม ก็โทรมาตามนามบัตรนี้นะครับ” ตำรวจนักสืบที่มาพบมาร์คเอ่ยลา เขามีผมสีทองกับดวงตาสีเขียวมรกต ยังหนุ่มและดูจริงจัง ถามคำถามโดยใส่ใจกับงาน มองออกว่าเป็นผู้รักษากฎหมายประเภทที่ทำงานเพราะอยากช่วยเหลือผู้คนจริงๆ ส่วนคู่หูของเขาอายุมากกว่าไม่มาก หน้าตาเคร่งขรึม ดูแก่ประสบการณ์

ตำรวจคนที่สองนี้มองมาร์คด้วยสายตาเหมือนยังไม่เชื่อเรื่องที่เล่า แต่ก็ไม่พบข้อสงสัยจนต้องเอ่ยปาก

“ครับ แน่นอน” มาร์คพยักหน้าขณะรอส่งเจ้าหน้าที่ เขาไม่มีอะไรน่าสงสัยก็เพราะเขาบริสุทธิ์จริง หลังส่งอัลฟีโอที่อพาร์ตเมนต์ในวันก่อนนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก

เมื่อรถซีดานของนายตำรวจทั้งสองแล่นออกไป ก็มีคนลงจากรถลัมโบร์กีนีเปิดประทุนสีแดงคันหรูที่จอดแอบอยู่บนถนนด้านหลัง เจ้าของรถใส่กางเกงหนังขาสั้นสีดำกับเสื้อหนังแขนยาวเข้ารูป เอวเสื้อลอยขึ้นแต่พองาม โชว์ช่วงเอวเซ็กซี่กับหน้าท้องแบนราบกระชากใจ เขาสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ ที่ไม่ว่าจะซื้อมาจากที่ไหน ราคาเท่าไร พอมาอยู่บนใบหน้าเขาก็ดูเป็นของแบรนด์เนมราคาแพง

นิโคไลกดกริ่ง

ชั่วอึดใจ มาร์คมาเปิดประตู เขาดูประหลาดใจที่ได้พบอดีตภรรยา

“จิลส่งข้อความให้มาดูคุณ ผมอยู่แถวนี้เลยแวะมา” นิโคไลเอาแว่นกันแดดคาดผมแล้วยกโทรศัพท์มือถือเป็นทำนองให้ดูข้อความจากจิล

มาร์คเข้าใจว่าจิลเป็นห่วงจริง แต่การที่ให้นิโคไลมาดูแทน น่าจะเป็นหนึ่งในแผนการพยายามทำให้เขาสองคนกลับมาคืนดีกันมากกว่า

“เข้ามาก่อนสิ” มาร์คผายมือ “สงสัยผมต้องเลื่อนนัดทุกนัด สายมากแล้ว” เขาถอนใจ

นิโคไลมองมาร์คตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ดวงตาสวยเหนือไฝน้ำตาคล้ายไม่ยอมพลาดสักรายละเอียด “กลัวเข้าไปแล้วจะไม่ได้เข้าไปนั่งเฉยๆ” เขายกยิ้ม แตะมือบนหน้าอกคนตัวโตแล้วเดินผ่าน กลิ่นน้ำหอมเย้ายวนเหมือนเปลวไฟลอยเตะจมูก

“ไม่ได้มานานเท่าไรแล้วนะ” นิโคไลเท้าเอวมองสภาพบ้าน เขาไม่มาเหยียบบ้านหลังนี้ตั้งแต่ขอหย่ากับมาร์ค หลังหย่ากันก็ไม่ขนข้าวของตัวเองกลับ แต่บอกให้มาร์คเอาไปทิ้งได้เลย

มาร์คหัวเราะในลำคอ “ก็นานพอดู คุณอยากดื่มอะไรหรือเปล่า”

“น้ำส้ม” นิโคไลชอบดื่มน้ำส้มคั้นสดเหมือนจิล ที่มาร์คมีส้มติดบ้าน ไม่รู้เพราะเตรียมไว้ให้จิลเวลามางอแงเรื่องฮันเตอร์ หรือเตรียมไว้รอแฟนเก่า

“รอหน่อยนะ เดี๋ยวไปคั้นให้” มาร์คแกะกระดุมแขนเสื้อ เตรียมจะทบขึ้น

“อยากเห็นตอนคั้นจัง ใช้มือใช่ไหม” คนพูดส่งยิ้มยั่วเย้า การยั่วยวนเป็นเรื่องถนัดของเขา เก่งกาจถึงขนาดเสกคำพูดธรรมดาๆ ให้ฟังมีนัย

“นิกกี้…” มาร์คปรามพร้อมรอยยิ้มอ่อนใจ

นิโคไลเดินสะโพกสวยไปรออีกฝ่ายในห้องครัว เขานั่งบนเคาน์เตอร์ ไขว่ห้าง “วันก่อนผมแอบค้นรถคุณ เจอนามบัตรของอัลฟีโอ เลยว่าจะเอามาคืนเสียหน่อย” นิ้วสวยคีบนามบัตรจากกระเป๋ากางเกง แม้กางเกงหนังรัดติ้วนั้นดูแล้วไม่น่าใส่อะไรได้เลย “พอดีกับที่รู้จากจิลว่าเขาหายไป และตำรวจมาถามหาเอากับคุณ”

ที่จริงมาร์คคงรู้ตัวอยู่แล้วว่านิโคไลถือวิสาสะสำรวจรถเขา เพราะอีกฝ่ายพูดถึงขวานท้ายรถตั้งแต่เมื่อวันก่อน

“ทุกคนมาหาผมด้วยเรื่องอัลฟีโอ” มาร์คเลือกส้มผลสวยๆ เลือกมีดคมกริบ หั่น แล้วคั้นส้มกับเครื่องคั้นน้ำผลไม้ด้วยมือ

“ผมมาหาคุณด้วยเรื่องคุณ อัลฟีโอเป็นข้ออ้าง” นิโคไลลูบผิวหน้าเคาน์เตอร์ขณะมองเส้นเลือดน่าลูบไล้บนหลังมือมาร์ค

“หืม” มาร์คบรรจงคั้นน้ำส้มทีละเสี้ยว โดยไม่บีบแรงจนรสเปลือกส้มเจือผสม “เรื่องของผมหรือ”

นิโคไลเปิดปากนิดๆ “จิลบอกว่า ถ้าอาการคุณไม่ดีขึ้น ฮันเตอร์จะจับคุณเข้าโรงพยาบาลหรืออะไรทำนองนั้น” เขากอดอก “เชื่อสิ คุณไม่อยากให้ฮันเตอร์เข้ามาวุ่นวายในชีวิตหรอก”

“อาการที่คุณว่าหมายถึง…?” มาร์คเว้นช่วงให้นิโคไลเอ่ยปากออกมาเอง

“เดินละเมอ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าอาการนี้มาจากพี่ชาย จิลเล่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัว พ่อกับพี่ชายนี่นิสัยคล้ายๆ กันใช่ไหม”

“ไม่” มาร์คขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด

“เหรอ แล้วทำไมตอนผมเลิกกับคุณ ฮันเตอร์มาหาผม บีบคอผม แล้วบอกว่า ‘อย่ามาแพศยากับน้องชายของฉันอีก’ ” นิโคไลจับลำคอตัวเองในท่าบีบ

“เป็นเรื่องจริงหรือ”

“แล้วคุณคิดว่าจริงไหม ผมว่าถ้าฆ่าได้ เขาคงฆ่าผมไปแล้ว” คนพูดเอ่ยยิ้มๆ “คุณว่ารสนิยมในการเลือกผู้ชายของผมไม่ดี...น่าเสียดายที่คุณเลือกพี่ชายไม่ได้”

มาร์คถอนใจยาว “นิกกี้...ผมรักษาโรคเดินละเมออยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

นิโคไลกดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นให้มาร์คดู “ผมเก็บภาพไว้แบล็กเมล์ฮันเตอร์” เขาขยิบตา ในภาพถ่าย นิโคไลอยู่ในชุดคนไข้โรงพยาบาล รอบคอมีรอยแดงซึ่งบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีเขียวและม่วงอย่างน่ากลัว...รอยช้ำรูปฝ่ามือนั้นใหญ่ คล้ายเกิดจากมือที่ใหญ่กว่าลำคอของเขามาก “คุณไม่เชื่อจริงๆ คิดว่าผมกุเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายเขาหรือ” ดวงตาสวยช้อนมอง “ผมมันจอมโกหกใช่ไหม มาร์ค”

“ผมไม่ชอบใจ และผมไม่เข้าใจว่าคุณมาที่นี่ มาหาผม บอกว่าเป็นห่วง แต่ดูเค้นหาอะไรบางอย่างหมายความว่าอะไร” มาร์คคีบน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วตามด้วยรินน้ำส้มคั้นสด

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณรู้เรื่องนี้แล้วจะทำหน้ายังไง” นิโคไลยกยิ้ม เอานิ้วจิ้มหน้าผากมาร์ค “คุณไม่เชื่อด้วยซ้ำ ดีแล้วที่เราหย่ากัน เพราะคุณรับความจริงไม่ไหว คุณถึงปฏิเสธมันตลอดเวลา”

“คุณช่างตัดสินเหมือนเดิม” มาร์คส่ายหน้าเบาๆ พลางยื่นแก้วให้นิโคไล “ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าผมรับความจริงอะไรไม่ไหว”

นิโคไลรับแก้วน้ำส้มมาจิบ “คุณไม่ชอบนิสัยผม แต่คุณชอบนอนกับผม ใช่หรือไม่ใช่”

“ผมชอบนิสัยคุณ และผมชอบนอนกับคุณนะ” มาร์คตอบตามตรง

“มาร์ค คนที่อยู่กับความจริง เขาไม่โอเคที่แฟนนอนกับผู้ชายคนอื่นแล้วกลับมานอนกับเขาหรอก”

มาร์คยิ้มจาง “ผมเสียใจ นิกกี้...แต่ผมไม่โทษคุณ มันไม่โอเค ผมไม่เคยบอกว่ามันโอเค ผมแค่ขอโอกาสที่จะทำให้คุณรักผมคนเดียว แต่เราก็ไปไม่รอดจนต้องแยกทางกันจริงไหม” เขาพูดเสียงนุ่ม

“สังคมผัวเดียวเมียเดียวเป็นแค่กรอบที่อุปโลกน์ขึ้น ผมเข้าใจคอนเซ็ปต์ แต่ยังทำใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

นิกกี้นิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองมาร์คแบบที่ไม่ใช่การสำรวจ จับผิด หรือค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่เป็นสายตาเย็นชาที่ดูรำคาญใจ

“ผมว่าผมกลับดีกว่า” เมื่อตัดสินใจ หนุ่มร่างเล็กก็ลงจากเคาน์เตอร์

“เดี๋ยว…” มาร์คยึดข้อมือนิโคไล “อยู่ด้วยกันก่อนเถอะ ผมเลื่อนนัดไปแล้ว บ่ายนี้ไม่มีอะไร เราไปกินอาหารเบาๆ กันดีไหม”

“มาร์ค” นิโคไลขึงตา เขาวางมือข้างที่เป็นอิสระบนหน้าอกอีกฝ่ายเพื่อดันออก “คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่ประเภทเสียเวลากินอาหารหรือนั่งคุย ผมชอบมีเซ็กซ์ สิ่งผมอยากได้จากคุณก็แค่เซ็กซ์ อยากให้มันจบลงที่เตียงอีกหรือไง”

“ผมรู้” มาร์คจับผมนิโคไลทัดหู “ผมแค่อยากเสนอทางอื่นให้คุณบ้าง กินอาหารกันตรงริมทะเล ว่ายน้ำ ขับรถเล่น…”

นิโคไลเม้มปาก เหมือนกำลังต่อสู้กับคำปฏิเสธหรือคำตอบรับที่พยายามหลุดออกมา

“มาร์ค…”

เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดจังหวะ หนุ่มหน้าสวยเหลือบมองหน้าจอซึ่งไม่แสดงสายเรียกเข้า แต่นั่นทำให้เขาทราบว่าใครโทรมา

“ผมต้องรับสายนี้” นิโคไลบอก

มาร์คพยักหน้า เขาปล่อยมือและถอยออกจากนิโคไล ให้อีกฝ่ายรับโทรศัพท์

“ฮัลโหล” นิโคไลหันหลังให้มาร์ค เขากอดอก หลังและลำคอตั้งตรง ภาษากายแข็งกร้าว เขาฟังเสียงปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเด็ดขาด “ไม่ว่าง ไม่อยากไป…” คำพูดนั้นเย็นชาพอๆ กับเวลาตัดรำคาญมาร์ค ทว่าเพียงฟังต่ออีกครู่หนึ่ง นิโคไลก็กอดอกแน่นขึ้น “...เข้าใจแล้ว...ถ้าอย่างนั้นจะไปก็ได้”

ดูเหมือนปลายสายจะทำให้นิโคไลยอมแพ้ได้

มาร์ค แอนโธนีมองตามนิโคไลแบบติดจะเหม่อลอย เขาคิดถึงอดีตคนรัก แม้เวลานี้อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วเอื้อม แต่ก็ถือว่าไกลเมื่อสถานะ ‘คู่ชีวิต’ ที่เคยได้รับกลายเป็นสถานะ ‘เพื่อน’ เขาไม่กล้าพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่าย ไม่กล้าเอ่ยไปว่า ‘นิกกี้...ถ้าคนปลายสายทำให้คุณลำบากใจก็ช่างหัวหมอนั่นเถอะ’

“ฉันอยู่ข้างนอก ไม่...ไม่ต้องมารับ…” เหมือนเป็นที่แน่นอนแล้วว่าหลังนิโคไลวางสาย เขาจะหันมาบอกมาร์คว่า ‘ผมมีธุระ ไปตามที่คุณชวนไม่ได้แล้ว’

“ไม่ได้อยู่กับผัวเก่าใช่ไหม นิกกี้” คำถามจากอีกฟากของโทรศัพท์มือถือสวนขึ้นมา

คนฟังหน้าตึง แต่เพียงเอ่ยเสียงเย็น “ถามอย่างนี้หาเรื่องกันหรือไง”

มาร์ครอคอยอย่างอดทน

“อย่ามัวนอนกับผัวเก่าเพลินสิ ทางนี้ก็เหงาเหมือนกัน” คนทางนั้นหัวเราะ มาร์คไม่ได้ยินประโยคนี้ แต่นิโคไลฟังอยู่เต็มๆ

เขาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนกับคนปลายสายอีกหลายประโยค แต่ไม่ยอมเรียกชื่อคนคนนี้ให้มาร์คได้ยิน และเมื่อฟังจนพอแล้ว ดวงตาเขาก็มีประกายเด็ดขาด “เลิกยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของฉันเสียที” เขาตัดบทแล้วกดวางสาย

ครู่ต่อมา คนหน้าสวยที่หลับตาเพื่อสงบอารมณ์ก็ลืมตา เขาหันมาทางมาร์ค “ขอโทษที่ให้เห็นตอนไม่น่าดู คุณชวนผมไปกินอาหาร คำชวนนั้นยังอยู่หรือเปล่า”

“อยู่เสมอ” มาร์คยิ้มอ่อนโยน “น้ำส้มก็ยังรอคนดื่มนะ ดื่มเสียก่อนแล้วค่อยออกไปดีไหม”

“ถ้าคุณสัญญาว่าจะขับรถให้เร็ว” นิโคไลปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ ยกแก้วน้ำส้มที่ดื่มค้างไว้ขึ้นมา

“คุณไม่ห้ามผมแล้วหรือ” มาร์คเคยโดนนิโคไลปรามอยู่หลายครั้งเรื่องขับรถเร็ว แม้อีกฝ่ายจะขับรถเร็วไม่แพ้กัน (หรืออาจเร็วกว่า) ก็ตามที

“วันนี้ผมอยากรับลม” หัวคิ้วของคนพูดคลายออก เขาเสยผมหยักศกที่ปรกหน้าแล้วดื่มน้ำผลไม้จนหมด “หรือถ้าคุณไม่กล้า ผมขับเอง”

“ผมก็อยากนั่งให้คุณขับเหมือนกัน” มาร์คท้าในที

“คุณต้องร้องขอชีวิตแน่” ดูเหมือนอารมณ์ของนิกกี้จะดีขึ้นแล้ว เพราะเขายิ้มให้มาร์ค

---------------------------------------------

A/N คู่นี้ จริงๆ แล้วก็น่ารักนะคะ XD (ถึงนิกกี้จะชอบยั่วโมโหมาร์คก็ตาม...)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 3-3 [9/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 09-03-2018 17:15:07
Case 3-3

จิลนั่งกอดอัลเฟรด เขาบอกฮันเตอร์ว่าตนส่งข้อความหามาร์คแล้ว (แต่จริงๆ ข้อความ ‘ชวนมากินข้าวที่บ้าน’ นั้นยังอยู่ในถาดรอส่ง)

“เรามีกันสองคน ฉันกับมาร์ค อันที่จริงสองคนกับอีกหนึ่งตัว ออกัสต์ หมาใหญ่พันธุ์ผสมเป็นน้องเล็กของพวกเรา มาร์คได้มันมาช่วงวันเกิดเดือนสิงหาคม ชื่อมันก็ชื่อเดือนนี่ละ”

“โฮ่งๆ!” อัลเฟรดกระดิกหางและเห่าอย่างแสนรู้เมื่อ ‘พ่อ’ หรือฮันเตอร์มองมัน

“แม่ของฉันกับมาร์คไม่รู้ไปไหน พ่อไม่เคยเล่า จะงัดปากยังไงก็ไม่เคยเล่า พ่อเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวตอนฉันอายุได้หกขวบละมั้ง ช่างไฟ เลี้ยงลูกเล็กสองคนยังไงก็ไม่ไหว บางครั้งแกเลยให้แม่เล้ากับหญิงโสเภณีดูแลฉันกับมาร์คบ้าง ดีนะ พวกเธอรักเด็ก”

จิลลูบเนื้อลูบตัวอัลเฟรดให้มันอยู่นิ่งๆ

“ฉันโตมาแบบนี้ละ โรงเรียนรัฐที่ไปบ้างไม่ไปบ้าง บ้านที่เต็มไปด้วยขวดเบียร์กับซ่องเหม็นอับ พ่อเมาทีไรฉันต้องหอบมาร์คไปซ่อง ที่นั่นปลอดภัยกว่า แต่ให้ตาย พ่อแม่งตามเจอทุกที” ฮันเตอร์หัวเราะ

ฟังถึงตรงนี้ จิลโพล่งคำถาม “พ่อนายเป็นแบบนายหรือเปล่า”

“หล่อร้ายเหมือนกัน” ฮันเตอร์ขยิบตา “ไม่ ฉันไม่เหมือนพ่อ” เขาปฏิเสธเด็ดขาด

“เอ่อ…” จิลนิ่วหน้า แล้วเอานิ้วดึงหางตาสองข้างของตัวเองให้เฉียงขึ้น “ตาแดงๆ เหมือนกันหรือเปล่า มาร์คบอกว่าเขาเคยโดนพ่อทำร้ายร่างกาย”

“พ่อตบทุกคนนั่นละ ส่วนตาแดงหรือ...ตาแดงเป็นยีนแฝงของพวกเราละมั้ง ลุงฉันตาแดงตลอดเวลา ส่วนพ่อก็เฉพาะตอนแกโกรธจัด เหมือนเลือดมันไปคั่งตรงนั้น? ไม่รู้ ฉันไม่ใช่หมอ”

ฮันเตอร์นิ่งไปครู่

“ทำไม? จะว่าลูกปีศาจก็ต้องเป็นปีศาจทุกคนหรือ”

“เปล่า อย่างมาร์คก็โตมาแบบ...ไม่เหมือนนาย...ไม่ใช่เหรอ” จิลทำคอหด “ไม่ได้ว่านายนะ หมายถึง เขาไม่ได้ล่าใคร ไม่ได้ชอบล่าหรือ ‘ต้อง’ ล่านี่นา”

ถึงตรงนี้ ฮันเตอร์แสยะยิ้ม

“ฉันแค่ไม่เคยเล่าให้เธอหรือใครฟัง”

“แต่ฉันไม่เคยได้กลิ่นเลือดจากตัวมาร์ค” จิลเถียง เขามั่นใจในจมูกตัวเอง

“เธอไม่ได้โตมากับเขา เอ้า จะฟังต่อไหม”

“ฟัง ให้โอกาสนายทำให้ฉันเห็นด้วยกับการจับมาร์คมาขังได้”

“เรื่องมันเหมือนนิทาน จิล เจเรไมน์...เพราะมีพ่อผีเข้าผีออก ฉันในตอนเจ็ดขวบเลยคิดจะเป็นพ่อที่เจ๋งกว่าให้มาร์คแทน ทุกคืนฉันจะเล่านิทานเรื่อง ‘ผู้พิทักษ์’ ให้เขาฟัง” น้ำเสียงของฮันเตอร์เปลี่ยน มันเนิบนาบ ราวกับเขากำลังเล่านิทานให้คนรักฟังด้วยอีกคน—นิทานผู้พิทักษ์

ทุกคนมีผู้พิทักษ์ ร่างกายของผู้พิทักษ์แข็งแรง พวกเขามีพละกำลังมหาศาล ตัวใหญ่กำยำกว่าพ่อหรือลุง แต่อ่อนโยนและใจดีเหมือนซิลเวีย (ฮันเตอร์อธิบายให้จิลฟังว่าหล่อนคือโสเภณีคนหนึ่งในซ่องที่ช่วยเลี้ยงดูพวกเขาตอนเด็ก)

“ฉันบอกมาร์คว่าถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยให้หลับตาแน่นๆ นับเลขหนึ่ง สอง สาม แล้วเรียกผู้พิทักษ์ซ้ำไปมา เมื่อผู้พิทักษ์ออกมา มาร์คจะถูกส่งไปอยู่ในอีกโลกชั่วคราว มันเป็นโลกที่ผู้พิทักษ์จากมา เป็นโลกที่มีแต่ขนม ช็อกโกแลตที่เขาชอบ และสัตว์ประหลาดขนนุ่ม” ถึงตรงนี้น้ำเสียงของฮันเตอร์คล้ายจะอ่อนโยนขึ้น

นักค้าอวัยวะเล่าต่อ “เมื่อผู้พิทักษ์จัดการเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยเรียบร้อย เขาจะกลับไปเอง และมาร์คจะกลับมาโลกนี้ ไม่มีอะไรต้องกังวล หลังจากนั้นเวลาพ่ออาละวาด เสียงดังเวลาทะเลาะกับลุงหรือเมียชั่วคราว ฉันจะพามาร์คไปหลบในตู้เสื้อผ้า บอกเขาให้เรียกผู้พิทักษ์ และรอให้ทุกอย่างสงบลง”

จิลกอดอัลเฟรดแน่นขึ้น ปกติฮันเตอร์ไม่พูด ไม่อธิบายอะไรมากขนาดนี้ เรื่องเล่าก็ส่วนหนึ่ง ทว่าท่าทางของฮันเตอร์ต่างหากที่ทำให้จิลเป็นกังวล ว่าอาการของมาร์คนั้นน่าเป็นห่วง และควรนำตัวมารักษา (หลังจากจับขังไว้) จริงๆ

“แต่ว่า เราให้หมอปกติดูเขาก็ได้นี่” จิลมีศรัทธาในตัวมาร์ค—น้องชายของสามีผู้คอยช่วยเหลือเขาอย่างจริงใจมาตลอดหลายปี การเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของฮันเตอร์แก่มาร์คเป็นเรื่องเสี่ยง เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากมาร์คผู้จริงจังและใจดีทราบว่าพี่ชายของตนเป็นฆาตกรเลือดเย็น และฮันเตอร์ผู้แสดงออกว่าไม่เกรงกลัวการเปิดเผยตัวตน แต่หากเปิดเผยออกไปแล้วถูกน้องชายปฏิเสธ เขาจะเป็นอย่างไร…

“ใช่ มาร์คเป็นเด็กปกติ ยกเว้นเรื่องเดียวที่เขาเชื่อเรื่องผู้พิทักษ์ที่ฉันเล่าให้ฟังอย่างจริงจัง ตอนแรกฉันคิดว่ามันไม่เป็นไร ก็แค่นิทานหลอกเด็ก ฉันในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเมื่อคนๆ หนึ่งเชื่อในอะไรมากๆ เชื่ออย่างหมดใจ วันหนึ่งมันจะมีพลังขึ้นมาจริง”

ฮันเตอร์ละสายตาจากจิลแล้วเอ่ยต่อ

“มันเริ่มจากมาร์คเดินละเมอเป็นครั้งแรกตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เขาเดินละเมอออกจากห้องนอน ฉันไม่ได้ปลุกเพราะอยากรู้ว่ามาร์คจะทำอะไร เขาเดินละเมอไปที่บ้านของเด็กที่ชอบรังแกเรา เขาปีนเข้าไปในห้องนอนของเด็กคนนั้น ฉันไม่ได้ตามเข้าไปแต่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนหลังจากมาร์คเข้าไปไม่นาน หลังจากนั้นมาร์คปีนกลับมาในสภาพเลือดเปรอะเสื้อ เขาทักทายเมื่อเห็นฉัน ด้วยใบหน้า ด้วยน้ำเสียงของมาร์ค แต่ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่มาร์คที่ฉันรู้จัก”

ฮันเตอร์เว้นช่วง

“เขาบอกว่า ‘สวัสดี ฮันเตอร์...ฉันเป็นผู้พิทักษ์ของมาร์ค’ และยิ้มทั้งที่มืออาบเลือดไอ้เด็กคนนั้น ฉันพามาร์คกลับบ้าน เปลี่ยนชุด เผาเสื้อผ้าเปื้อนเลือด และพาเข้านอน เช้าวันถัดมาเราได้ข่าวเด็กคนนั้นถูกคนบุกเข้าไปใช้ดินสอแทงหลายแผลกลางดึก เขาตายเพราะเสียเลือดมาก”

ฟังถึงตรงนี้ จิลกลืนน้ำลาย อัลเฟรดร้องงี้ด! เพราะแม่ดึงขนมัน “ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อนาย แต่ แบบว่า...ฉันใกล้ชิดกับมาร์คแต่ไม่เคยเห็นความผิดปกติที่ว่าเลยนะ...”

“เรื่องยังไม่ถึงจุดสูงสุด…”

ดวงตาของนักค้าอวัยวะเหม่อกลับไปสู่ความทรงจำเปื้อนเลือดในอดีต เขาถอนหายใจ มองสบตาจิล ก่อนกล่าวประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็น

“มาร์คเป็นคนพาฉันหนีออกจากบ้าน ไม่ใช่ตัวฉันเอง”

—————————————————-

นิโคไลพามาร์คขึ้นลัมโบร์กีนี ขับออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารริมทะเล ร้านโปรดของพวกเขาอยู่ระหว่างทางไปบ้านนิโคไล แน่นอนว่าราคาแพงเอาเรื่อง “สั่งกลับบ้าน แล้วเรานั่งกินริมทะเล หรือกินตรงจุดพักรถชมวิวสวยๆ ดี” คนขับถามขณะเหยียบคันเร่งแบบไม่เกรงใจคนนั่ง เสียงเครื่องยนต์เจ็ดร้อยแรงม้ากระหึ่มเร้าใจ

นิโคไลสวมแว่นกันแดด เส้นผมสั้นสีทองปลิวตามลมเพราะรถเปิดประทุน ท่อนแขนกับมือเล็กทว่าแข็งแรงบังคับพวงมาลัยอย่างมั่นคง เขาควบคุมซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์แรงเหมือนม้าพยศคันนี้อยู่หมัด เป็นคนที่ขับรถได้อย่างเชี่ยวชาญพอๆ กับลีลาบนเตียง

“ไปกินที่บ้านคุณดีไหม โรมอยู่บ้านหรือเปล่า” มาร์คเอื้อมไปลูบผมนิโคไล ก่อนจะเขยิบตัวไปจูบขมับ

“มาร์ค ไม่กลัวรถคว่ำหรือไง” นิโคไลเปลี่ยนเกียร์ ให้แรงกระชากของรถดึงคนข้างๆ กลับไปนั่งที่เดิม และเป็นโชคดีของมาร์คที่ไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัย “โรมไม่อยู่ ไปเที่ยวเล่นตามประสา ส่วนกินที่บ้านผม? คุณไม่เบื่อหรือ”

“ไม่เบื่อ จะเบื่อได้ยังไงหืม” มาร์คกัดริมฝีปากขณะมองนิโคไล เขานึกอยากไซ้หูเล็กๆ นั่น แต่กลัวรถจะคว่ำอย่างอีกฝ่ายว่า

“นานๆ เอาท์ดอร์บ้างก็ได้” นิโคไลยกยิ้มร้ายกาจเหมือนรู้ทันความคิดมาร์ค

มาร์คหัวเราะพลางส่ายหน้า “คุณนี่...ร้าย” เขาเอื้อมนิ้วไปเล่นใบหูและติ่งหูของนิโคไล “แต่ผมชอบ”

“ทะเลหรือจุดชมวิว” นิโคไลเลี้ยวรถ ดูเหมือนวันนี้เขาอยากขับรถเล่น จึงเลือกถนนเส้นทางขึ้นเนิน อ้อมหน่อย แต่วิวที่มองลงมาจากที่สูงนั้นคุ้มค่าน่าประทับใจ

“จุดชมวิวเงียบๆ ดีไหม”

“ต้องเงียบๆ ด้วยนะ” คนขับหัวเราะในคอ “ได้สิ ตามที่ต้องการเลย มาร์ค”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองถึงร้านอาหารริมทะเล นิโคไลกินไม่เยอะ เขาสั่งเคซะธียา—แผ่นแป้งตอร์ตียาพับสอดไส้มะเขือเทศ ไก่ และชีส ทาซอสซัลซ่ารสชาติเผ็ดร้อน อบกรอบกำลังดีหนึ่งชิ้นกับสปาร์กกิ้งวอเตอร์ ส่วนของมาร์คคือนาโช่เนื้อธรรมดาๆ ...ร้านอาหารเม็กซิกัน ใช่ อาหารเม็กซิกันที่มาร์คพูดถึงตอนไปรับประทานอาหารบ้านจิล คือหนึ่งในของโปรดนิโคไล

“ผมชอบเวลาคุณกินเคซะธียานะ” มาร์คว่า “ชอบเวลามุมปากคุณเลอะเหมือนเด็ก”

“คิดอกุศลละไม่ว่า” หลังขับรถมาถึงจุดชมวิวประจำ เป็นโชคดีของพวกเขาที่ไม่มีคนอื่น จึงได้ครองที่จอดรถ ชมวิวทะเลเบื้องล่างอย่างเป็นส่วนตัว คลื่นสีเงินสะท้อนกับแสงจัดจ้ายามบ่าย ลมทะเลพัดพากลิ่นสดชื่น ทิวไม้เขียวสดขนานคดเคี้ยวไปกับเส้นทางขับรถลงจากเขา สมัยก่อนนิโคไลจะนั่งบนตักมาร์ค ให้สามีป้อนอาหาร แล้วถ้าอารมณ์ดีหน่อยเขาจะหันไปจูบ จากนั้นก็...อืม...เลยเถิด

อย่างที่รู้กัน อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เมื่อคนร้อนแรงเริ่มจูบ ตามด้วยกระซิบถ้อยคำสัปดนท่ามกลางทิวทัศน์เปิดโล่งสวยบาดใจ และสามีของเขาก็ยิ่งกว่าเต็มใจจะตอบสนองจินตนาการทางเพศนั้น

“ยอมรับครับว่าใช่” มาร์คหัวเราะในลำคอ ดวงตาเขาเป็นประกายเวลาอยู่กับนิโคไล เขาจัดแจงปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูรถออกไปยืดเส้นยืดสายไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด

นิโคไลเดินตามมาลงมา เขาพิงสะโพกกับรถขณะเปิดขวดน้ำดื่ม “ผมไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน” ...ตั้งแต่หย่ากับคุณ เขาละประโยคหลังไว้ในใจ

“ผมมาบ่อย” ดวงตาสีเข้มของมาร์ค แอนโธนีมองตรงไปข้างหน้า แต่ใจเขามองไปยังด้านหลัง—ไปยังอดีตที่เคยมีร่วมกับคนรัก แต่แน่ละ เขาไม่ได้พูดออกมาให้นิโคไลรำคาญใจ

“มีแฟนใหม่ก็ดีแล้วนี่นา มาร์ค” นิโคไลดื่มน้ำ

“ไม่ใช่แฟนครับ” มาร์คจริงจัง “คุณเชื่อฮันเตอร์มากกว่าผมหรือ”

“คุณยังไม่เชื่อผมเรื่องฮันเตอร์เลยนี่นา” นิโคไลเปรย แต่ไม่ได้จริงจัง

“เราจะไม่ทะเลาะกันในวิวดีๆ แบบนี้ใช่ไหมหืม”

“ไม่ทะเลาะ” คนหน้าสวยบอก “แล้วเขาหายตัวไป คุณไม่เป็นห่วงหรือ” ดูเหมือนนิโคไลอยากคุยเรื่องนี้แทน

“ห่วงเท่าที่คนเพิ่งได้พบกันจะห่วงได้” มาร์คตอบ “ตำรวจมาหาผม ซักเสียละเอียด ผมก็ให้ความร่วมมือเท่าที่จะให้ได้ หลังไปส่งเขาที่บ้านก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”

----------------------------------------

A/N อดีตของฮันเตอร์กับมาร์คน่าสนใจนะคะ และที่น่าสนใจกว่าคือเรื่องอัลฟีโอ...ว่าหายไปอยู่ที่ไหน
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 3-4 [10/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 11-03-2018 00:37:55
Case 3-4

นิโคไลพยักหน้ารับรู้ “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...บางทีผมก็สงสัยนะว่าทำไมคุณใจเย็นได้กับทุกเรื่องและไม่เคยโกรธผม คนเป็นจิตแพทย์ควบคุมอารมณ์ได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ” เขาหยิบถุงกระดาษใส่อาหาร ส่งกล่องนาโช่เนื้อให้มาร์ค

“ไม่หรอก ผมก็ไปหาจิตแพทย์เป็นประจำ พยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมห้ามคุณไม่ได้ แต่ผมห้ามตัวเองได้ ปรับปรุงตัวเองได้ ผมเลยขอโอกาสไง” มาร์คเลี่ยงการสบตากับนิโคไลด้วยการมองนาโช่ในมือ

“จิตแพทย์หรือ...” นิโคไลมองอาหารในมือแล้วหยิบขึ้นมากัด เมื่อเคี้ยวจนหมดก็พูดต่อ “โรมโชคดีที่มีคุณ แต่ผมไม่ได้หมายความว่าผมอยากได้จิตแพทย์นะ…” เขาวางอาหารแล้วเลียนิ้ว เหมือนแมวที่กินเสร็จแล้วทำความสะอาดอุ้งเท้า “เรื่องของเรา มาร์ค มันไม่ใช่เรื่องของโอกาส คุณเข้าใจใช่ไหม ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ลำบากคุณเกินพอ ผมคิดเรื่องจิตแพทย์คนใหม่ของโรมอยู่ ไม่ใช่ว่าผมอยากตัดคุณกับเขา แต่เขาต้องเอาแต่ใจกับคนอื่นบ้าง คุณยังมาหาเขาหรือเขาไปหาคุณได้เสมอ แต่เขาควรปล่อยให้คุณมีเวลาส่วนตัว คุณคิดว่ายังไง”

ปกตินิโคไลไม่พูดจาเปิดอกเช่นนี้กับมาร์ค เขามักปรายตาอย่างเหยียดๆ และเงียบเวลาไม่อยากคุยเรื่องที่ไม่อยากคุย

“คุณเป็นผู้ปกครอง ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ” มาร์คตอบเรียบๆ “ผมก็จะอยู่ในฐานะเพื่อนเขา”

“บางทีผมก็คิดนะว่า ที่ทะเลวันนั้น...คุณน่าจะเจอเขา ไม่ใช่ผม” อาหารถูกวางทิ้งไว้ นิโคไลหลับตาเมื่อลมทะเลพัดมา ปล่อยร่างกายให้สายลมลูบไล้

“คุณหมายถึงโรม?”

“จะมีใคร คุณกับเขาจะเป็นคู่ที่น่ารักดีนะ” นิโคไลขยับตัวไปควานหาบุหรี่ในรถ บุหรี่มักทำให้ใจเขาสงบลง เมื่อหยิบได้เขาก็จุดไฟแช็ค สูบลึก แล้วระบายลมหายใจ

มาร์คหัวเราะ “เขายังเด็ก”

“คุณจะบอกว่าคุณแก่เกินไปงั้นเหรอ ที่จริงคุณก็แก่กว่าผมนะ” นิกกี้หันมาขยิบตา ร่องรอยความอ่อนไหวแทบไม่เคยปรากฏบนหน้าเขา คล้ายเป็นคนที่ไม่หวั่นไหวกับสิ่งซึ่งมากระทบใจ ไม่เต้นไปตามอารมณ์

หรือไม่เขาก็แค่เก็บงำมันได้ดี

มาร์คเป็นจิตแพทย์ แต่เขาแปลการกระทำของนิโคไลไม่ออกเป็นส่วนมาก นิโคไลแค่ให้ความรู้สึกเข้มแข็งจนไม่ต้องพึ่งพาใคร ถ้ามีอะไรมาพุ่งเข้ามาชนจนเสียหลัก เขาก็จะลุกขึ้นมาใหม่ได้เองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากใคร

แต่จะมีคนแบบนั้นอยู่ในโลกนี้จริงหรือ มันเป็นไปได้ หรือเป็นแค่อุดมคติลวงตาที่โลกจัดไว้ให้แก่คนที่ถูกนิยามว่า ‘เข้มแข็ง’

มื้ออาหารเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทั้งสองเริ่มสานบทสนทนาอื่นๆ ที่ไม่พูดถึงเรื่องอดีต เมื่ออาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า มาร์คอาสาขับรถไปส่งนิโคไลที่บ้าน

“มาร์ค” นิโคไลเรียก หลังนั่งตรงฝั่งผู้โดยสารและคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ

“หืม”

อดีตคนรักยื่นหน้ามาพลางดึงคอเสื้อเชิ้ตเขาให้โน้มตัวลงต่ำ มาร์คได้รับสัมผัสบางเบาที่หน้าผาก ริมฝีปากนุ่มประทับอยู่เหนือหว่างคิ้วเขา และค้างไว้เช่นนั้น

“คุณเป็นคนที่ควรมีความสุขมากกว่าใคร จำไว้นะมาร์ค”

“แค่เท่านี้ผมก็…” มาร์คจูบหน้าผากนิโคไล ก่อนจะเลื่อนไปจูบแก้ม “เป็นผู้ชายที่โชคดีมากแล้ว”

...ที่เคยมีคุณ

——————————————-

“มาร์ค”

กลับไปบ้าน มาร์คพบพี่ชายที่นั่งรออยู่ในความมืด ดวงตาสีแดงเรืองรองดุจนักล่ายามราตรีกาล มันคมกริบ คล้ายจะเฉือนเขาเพื่อควานหาสิ่งที่อยู่ในความคิด

“พี่” มาร์คตกใจกับการปรากฏตัวของพี่ชาย จากนั้นกลายเป็นความไม่พอใจ “ถ้าจะมาก็บอกผมก่อน พี่ไม่ควรบุกรุกบ้านใคร” เขาพูดตรงๆ

แต่ฮันเตอร์ไม่สนใจ เขามีธุระที่สำคัญกว่านั้น หลังจิลสารภาพว่าไม่ได้ส่งข้อความหามาร์ค

“จำ ‘ผู้พิทักษ์’ ได้หรือเปล่า”

มาร์คถอนหายใจ “จำได้ นิทานที่พี่เคยเล่าตอนเด็กๆ” เขาว่า “ผมก็มีอะไรจะถามพี่เหมือนกัน”

ฮันเตอร์ผายมือเป็นเชิงอนุญาต

“ตอนผมเลิกกับนิกกี้ พี่ไปทำร้ายเขาหรือ”

“ใช่” ฮันเตอร์ตอบทันที “ฉันบันดาลโทสะไปนิดหน่อย เรื่องในอดีต”

“พี่…” มาร์คนวดหน้าผากตัวเอง เขาปวดหัวอย่างหนัก “ผมไม่โอเคกับเรื่องนี้”

“แล้วนายจะทำยังไง” ฮันเตอร์ลุกขึ้น “ฉันพูดผิด มันต้องเป็น ‘แล้วนายจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ล่ะ’ มาร์ค…”

มาร์คหลับตาและนวดสันจมูกตัวเอง

“เอา ‘เขา’ ออกมาคุย”

“เขา?”

“ ‘เขา’ ที่ไม่เคยไปจากนาย”

“ใคร” มาร์คขมวดคิ้ว

“ ‘เขา’ ที่เอาแจกันทุบหัวพ่อแล้วพาฉันหนีออกจากบ้าน” ฮันเตอร์เดินเข้ามาประชิดตัวมาร์ค เขาขยุ้มผมน้องชายแล้วดึงไปด้านหลัง จ้องลึกเข้าไปยังดวงตา เห็นสีแดงเรืองอยู่ภายใน

“ ‘เขา’ ที่แอบซ่อนอะไรอยู่ในห้องใต้หลังคา”

ระหว่างนั้นมีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น

โรเมโอ...

——————————————-

เขาไม่รู้ว่านี่เป็นวันที่เท่าไรแล้ว อาจวันที่สาม...วันที่ห้า ไม่ก็มากหรือน้อยกว่านั้น ช่วงแรกเขาพยายามนับวันเวลาจากมื้ออาหารที่ได้รับหรือการพาไปขับถ่าย แต่เนื่องจากถูกปิดตา อุดหู มัดปาก และมัดร่างกายไว้แทบตลอดเวลา เขาจึงเสียความสามารถในการรับรู้ด้านเวลา

ช่วงแรกเขาพยายามขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยตนไป เขาสัญญาว่าจะไม่พูด ไม่แจ้งตำรวจ ไม่คิดเอาเรื่อง จะไปให้ไกล ช่างเป็นคำขอร้องที่โง่เขลา เพราะเขาเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว จะรอดไปได้อย่างไร

ทว่าคนที่กลัวจับใจก็ไม่สามารถคิดหาคำพูดได้ดีกว่านั้น

เมื่อแขนที่หักมีอาการบวมและอักเสบจนยาแก้ปวดก็เอาไม่อยู่ เขาไข้ขึ้น ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนฟูกปูพื้น อีกฝ่ายไม่ต้องมัดไว้เขาก็ไม่มีแรงพูด ร้องตะโกน หรือพยายามหนีไปไหน อีกอย่างแว่นตาเขาหักและแตกไปตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง มองอะไรก็ไม่ค่อยชัด

เขานอนเงียบ แทบไม่แตะอาหาร ผู้ที่จับเขามาขังไว้ก็เพียงนั่งเฝ้าโดยไม่พูดอะไร ที่จริงอีกฝ่ายไม่พูดอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามพูดคุยขอร้องความเห็นใจแค่ไหนก็มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ช่วงหลังเขาท้อแท้จนเลิกพูด และอาจเริ่มยอมรับชะตากรรมว่าตนคงต้องตายอยู่ที่นี่

วันนี้ก็เช่นกัน ทุกอย่างดำเนินไปในความเงียบและความมืดสลัว เขาเหม็นสาบร่างกายตัวเอง เส้นผมจับตัวเป็นก้อนเหนียวหนึบ ใบหน้าคันคะเยอ แขนข้างที่หักก็กระดุกกระดิกไม่ได้เหมือนเป็นเนื้อตายท่อนหนึ่ง

ทั้งหมดที่เขาทำได้คือเพียงหายใจเสียงเบา

ในความเงียบที่คล้ายจะจบลงเหมือนวันที่ผ่านๆ มา วันนี้มีเรื่องแปลกไป จู่ๆ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นแล้วปีนหายลงไปในช่องสี่เหลี่ยมที่พื้น—ช่องเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้ปีนขึ้นมาเป็นประจำ

เขาใจเต้นเมื่อเห็นว่าประตูบานพับไม่ถูกปิดขึ้นมาอย่างทุกที เขารีบแนบหูกับไม้กระดาน ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินห่างไป

โอกาสหนี!

เขากลั้นเสียงขณะพยายามคลานไปทางช่องประตูทั้งที่แขนเจ็บ เขากลัวมาก แต่อย่างไรก็ยังไม่อยากตาย จึงลองพยายามดูอีกครั้ง

อีกนิดเดียว... เขาคิด ...ก็จะถึงประตู...จากนั้นเราจะปีนลงไป...หาทางออกจากบ้านหลังนี้

เขาชะโงกหน้าไปตรงช่องว่างสีดำเพื่อดูลาดเลา ไม่มี...ไม่มีใคร…

ทว่าถูกดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องกลับมา!

แขนเขาทรุดลงขณะอุทานเฮือก! หน้าอกกระแทกขอบประตู ตัวคาพาดอยู่บนช่องประตูโดยร่างกายท่อนบนห้อยลงไป

อีกฝ่ายเฝ้าอยู่...อีกฝ่ายเห็นเขาพยายามหนี ดวงตาสีแดงนั้นน่ากลัว ดูคลุ้มคลั่งเหมือนคนโกรธอยู่ตลอดเวลา แม้ท่าทางที่แสดงออกจะนิ่งเฉยขัดกับแววตา

เขากลัวจับใจ

“ผะ...ผมไม่ทำแล้ว จะไม่พยายามหนี อย่าทำผม...อย่าฆ่าผมเลย...ได้โปรด” เขาร้องไห้อย่างสิ้นหวังและสิ้นอายเมื่อชายตรงหน้าดันตัวเขากลับขึ้นไปในห้องใต้หลังคา

ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วยมือเปล่าของอีกฝ่ายยังตามหลอกหลอน ภาพตัวเองตกใจสุดขีดทว่าโดนอุดปากไว้แล้วลากขึ้นรถ นำมาขังไว้ที่นี่ ยังสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่ใช่เกิดขึ้นนานจนเขาแยกวันเวลาไม่ออก

เขารู้สึกอุ่นแฉะและสกปรกตรงหว่างขา…

ความอับอายและความกลัวทำให้สะอื้นจนตัวโยน

ตัวเขาเองกำลังฉี่ราด...กลัวจนฉี่รดกางเกง

——————————————-

“ฉันช่วยคนที่นายขังไว้”

“พี่ กรุณาปล่อยผมก่อน”

“ไม่อย่างนั้นจะทำอะไรหรือ”

“ผมไม่อยากชกพี่”

“ชกสิ”

โรมกลืนน้ำลายกับสถานการณ์ตรงหน้า

“พอเถอะ” มาร์คมีท่าทีต่อต้านพี่ชายอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก

“ไม่” ฮันเตอร์ปฏิเสธเสียงต่ำเหมือนกำลังขู่ “ออกมา!” เขาดึงผมน้องชายจนหน้าหงาย

“พี่!”

“ฉันบอกให้ออกมา!”

ฉับพลัน มาร์คชกฮันเตอร์จนคว่ำ ดวงตาเรืองรองเป็นสีโลหิตไม่ผิดกับพี่ชาย!

ทว่าคนที่ตกใจสุดกลับเป็นโรเมโอ เขาอยากร้องหานิโคไลแต่ก็ร้องไม่ออก เขาทำพลาด ทำผิดแผนที่วางกันไว้ ทำให้คนวิปลาสฮันเตอร์จับได้

นิกกี้ เค้าขอโทษ

แต่ก็ถือว่าดี เพราะโรเมโอพบฮันเตอร์ขณะกำลังหาวิธีงัดห้องใต้หลังคาอยู่...ตอนแรกเด็กหนุ่มนึกเล่นๆ ว่ามันเป็นประตูบนเพดานที่ล็อกไว้ธรรมดา แต่กลับจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่นิกกี้ยังอยู่กับมาร์ค ประตูบานนี้ไม่เคยล็อก เขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่แม่กุญแจจนลืมระวังตัว ตอนนั้นเองที่ฮันเตอร์จับหลังคอเขาแทบยกขึ้น กระซิบถามเสียงต่ำ

“มาทำอะไรที่นี่”

เขายังไม่ทันตอบ ฮันเตอร์ก็มองไปที่กุญแจ ดวงตาเจือสีแดงและทำจมูกเหมือนสัตว์นักล่า อีกฝ่ายปล่อยเขาแล้วหาอะไรมางัดกุญแจอันเขื่องซึ่งลั่นประตูไว้

ฮันเตอร์ขึ้นไปก่อน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาปีนตามขึ้นไป ภาพที่ปรากฏแก่สายตา—ภาพในห้องใต้หลังคานั้นทำให้เขาตัวชา

เขาเห็นชายที่ปรากฏในข่าวโทรทัศน์ว่าหายตัวไปโดนมัดมือเท้าและปาก ล่ามไว้ราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง

และภาพตรงหน้าเวลานี้...ทำให้เขาตัวชาไม่ผิดกัน

ปีศาจนัยน์ตาสีแดงฉานประจันหน้ากัน มาร์คไม่เหมือนมาร์ค เขาดูสงบจนน่ากลัว หมัดที่ออกไปเมื่อครู่ไม่เจือปนด้วยโทสะ แต่เป็นในรูปแบบของการแสดงพลังที่เหนือกว่า

---------------------------------------------

A/N มาร์คคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค เขียนมุมมองของอัลฟีโอแล้วขอบอกว่ากลัวมากค่ะ ;w;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 3-5 [11/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 11-03-2018 18:01:48
Case 3-5

“มาร์ค?” โรเมโอเรียกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขณะฮันเตอร์ลุกขึ้นพลางเช็ดเลือดกำเดารวมไปถึงเลือดจากริมฝีปากที่แตกเพราะแรงชก

“อย่าไปคุย มาร์คหลับอยู่” ฮันเตอร์กันโรเมโอออกไป “กลับบ้านไปซะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า แต่สองขาก้าวไม่ออก เขายืนนิ่งขึงราวถูกสาป พลันมีแขนมารวบเอวจากด้านหลัง ท่อนแขนนั้นเล็กแต่แข็งแรง

“โรเมโอ พี่บอกให้ทำเสร็จแล้วรีบออกมา ทำไมยังอยู่ที่นี่”

นิโคไลกอดน้องชายและดันให้มาหลบด้านหลัง

เขาไม่คิดปรากฏตัวออกมา หากโรมไม่ทำผิดแผนการที่วางไว้ ทีแรก เขาแค่สงสัยมาร์คไม่หายจากการค้นรถเมื่อวันก่อน จึงตามดูอดีตสามีมาสักพัก พอวันนี้จิลส่งข้อความมาก็ถือโอกาสใช้เรื่องนี้เข้ามาพูดคุยในบ้าน

เขาตั้งใจจะสำรวจบ้านหลังนี้ หรือไม่ก็ให้โรเมโอที่รออยู่บนรถแอบเข้ามาติดตั้งกล้องไว้ที่มุมต่างๆ ของบ้านขณะเขาดึงความสนใจของมาร์ค

เมื่อมาร์คเป็นฝ่ายชวนเขาไปกินอาหารข้างนอก นิโคไลจึงแอบส่งข้อความให้น้องชายเข้ามาติดตั้งกล้องหลังพวกเขาออกไป

โรเมโอควรแค่ติดตั้งกล้องแล้วออกมา ทว่านิโคไลนึกไม่ถึงว่าน้องชายจะยังอยู่ในบ้านหลังนี้ หลังกลับจากจุดชมวิวและแยกกับมาร์คที่หน้าบ้าน เขาโทรหาโรเมโอ ทว่าโทรศัพท์มือถือของน้องชายขึ้นเป็นระบบฝากข้อความ เขาจึงลองเปิดกล้องที่ติดตั้งไว้ และเห็นเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างฮันเตอร์กับมาร์ค พร้อมโรเมโอที่ยังอยู่ในบ้าน

“เค้าคิดว่า...มาแล้วก็น่าจะสำรวจ” โรเมโอละล่ำละลัก

นิโคไลทำตาดุใส่โรม ทว่าหางตาไม่คลาดจากมาร์คที่มีท่าทางแปลกไป เขาเอากุญแจรถใส่มือน้อง แล้วบอกให้ไปรอที่รถ

“นิกกี้ไปด้วยกัน” โรเมโอยึดพี่ไว้แน่น

นิโคไลหันไปกระซิบบางอย่างข้างหูโรเมโอ เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชายกระซิบ สีหน้าของโรเมโอค่อยคลายความกังวล แม้ความไม่แน่ใจยังคงอยู่ แต่ก็ดูใจชื้นขึ้น

“ไปทั้งคู่ ไปซะ” ฮันเตอร์ส่งเสียงลอดไรฟัน

“ไปรอที่รถก่อน พี่มีเรื่องอยากพูดกับฮันเตอร์” นิโคไลยืนกราน เขาไล่โรมเพราะไม่อยากให้น้องชายได้ยินสิ่งที่จะพูด

โรเมโอพยักหน้ารับ เขาวิ่งไปทางประตูหลังซึ่งเป็นทางที่แอบเข้ามา ขณะที่มาร์คเพียงมองตาม เขาไม่ได้ขยับจากจุดเดิม ว่ากันตามจริง เขาดูไม่สนใจอะไรนัก

“ฮันท์ ฮันเตอร์ บนรถน้องชายนายมีกลิ่นน้ำยาฟอกขาว ที่นี่เกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวฉันก็รู้จากโรเมโอ แต่ฉันไม่รอถามว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นจากนายทีหลังหรอก เพราะนายคงไม่ยอมบอกแน่ๆ”

กลิ่นคุ้นเคยที่นิโคไลได้กลิ่นจากรถมาร์ค และทำให้เขาสงสัยจนคอยจับตาดูอีกฝ่าย ก็คือกลิ่นน้ำยาฟอกขาว—สารเคมีทำความสะอาดชนิดแรง ที่ทำความสะอาดได้แม้กระทั่ง ‘คราบเลือด’ มาร์คไม่เคยใช้น้ำยาฟอกขาวทำความสะอาดรถ นิโคไลมั่นใจ จากที่แต่งงานและอยู่ด้วยกันมา

“ฉันส่งอัลฟีโอให้หมอแล้ว ส่วนเธอกับโรเมโอ ฉันคิดว่าคนจากโลกใต้ดินไม่น่าชอบตำรวจใช่ไหม” ฮันเตอร์ดักคอ ดวงตาวาววาม

นิโคไลหน้าตึงกับคำว่า ‘โลกใต้ดิน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาปิดบังจากมาร์คมาโดยตลอด และยิ่งไม่พอใจเมื่อมันออกมาจากปากของฮันเตอร์

“จะแฉกันหรือ ฉันยังไม่แฉนาย”

ใช่ นิโคไลกับโรเมโอเป็นคนของโลกใต้ดิน เช่นเดียวกับฮันเตอร์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนิโคไลไม่เกรงกลัวฮันเตอร์ แม้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังในตำแหน่ง ‘บุชเชอร์’ หรือ ‘คนขายเนื้อ’ ของอีกฝ่าย และเป็นเหตุผลที่ฮันเตอร์ฆ่านิโคไลไม่ได้ แม้เขาจะหักอกมาร์คอย่างรุนแรงก็ตาม

คนในโลกใต้ดิน มีกฎห้ามฆ่ากันเอง

เรื่องที่นิโคไลเป็นคนของโลกใต้ดินนั้น เขาเป็นมาก่อนจะได้พบและแต่งงานกับมาร์ค มีเพียงฮันเตอร์ที่รู้ จิลหรือมาร์คไม่เคยทราบ

“เขาจะปลอดภัยไหม” มาร์คถามฮันเตอร์ เสียงเขาแหบพร่าราวกับไม่ใช่เสียงของมาร์คคนเดิม

“ปลอดภัย” ฮันเตอร์ว่า “แต่มาร์คของฉันไม่ปลอดภัยจากแก”

“เขามีฉัน ฉันมีเขา เราปลอดภัยดี” มาร์คตอบกลับ “ฉันชื่อแอนทอน สวัสดี...นิโคไล”

ฮันเตอร์ขบกราม ความไม่พอใจแล่นริ้วอยู่ในดวงตาและเส้นเลือดที่ปูดโปนบนขมับ

“สวัสดีแอนทอน นายทำอะไร” นิโคไลกอดอก ยืนกางขาในท่าเตรียมพร้อมหากต้องขยับตัว คนที่พูดกับเขาก็ยังเป็นมาร์ค หมายถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกยังเหมือนกับมาร์คทุกประการ เหมือนกับชายที่เพิ่งพูดคุยกับเขา จูบหน้าผากและหอมแก้ม แต่แววตาสิไม่ใช่...มาร์คไม่เคยมีแววตาแบบนี้ และเมื่อครู่ ฮันเตอร์ยังเอ่ยชื่อ ‘อัลฟีโอ’

นิโคไลเป็นคนฉลาด ครู่เดียวเขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาถามย้ำกับมาร์คที่ไม่ใช่มาร์คเพื่อฟังเนื้อเรื่องในมุมของอีกฝ่าย

“ฉันแค่ปกป้องเขาจากคนที่…”

“ทำร้ายเขา” ฮันเตอร์ต่อประโยคให้จบ

“ใช่ ใช่”

“ทำไมนายใช้น้ำยาฟอกขาวในรถ รถนายเลอะอะไร เลือดอัลฟีโอเหรอ หรือมี ‘อย่างอื่น’ อีก” นิโคไลถาม

“ฉันแค่ปกป้องเขา” แอนทอนยืนยัน “จากอดีตคนรัก”

“หมายความว่ายังไง” คนหน้าสวยคิ้วขมวด

“วันนั้นฉันไปส่งเขาที่อพาร์ตเมนต์ มีคนมารอเขาอยู่ เป็นสามีเก่า เข้ามาทำร้ายเขา...”

แล้วเรื่องก็เผยรูปรอยว่า วันที่มาร์คอาสาไปส่งอัลฟีโอ เขาพบอดีตคนรักของอัลฟีโอรออยู่ แม้จะไม่ทราบที่มาที่ไป แต่มาร์คพอเดาออกว่าอีกฝ่ายชอบใช้ความรุนแรง โดยสังเกตเอาจากแววตาหวาดกลัวของอัลฟีโอ ทั้งการเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณหาผมเจอได้ยังไง” และทั้งจากท่าทางคุกคามของอดีตคนรัก มาร์คปล่อยไปไม่ได้ เขายืนอยู่ตรงนั้น ปกป้องอัลฟีโอ จนกระทั่งชายหนุ่มโดนอดีตคนรักกระชากแขน อัลฟีโอล้มไปตามแรงกระชากนั้นจนทับแขนตัวเองร้าว

แอนทอนตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนนั้นเอง

นิโคไลมองหน้าฮันเตอร์ ก่อนหันมาทาง ‘แอนทอน’ “สามีเก่าของอัลฟีโออยู่ที่ไหน”

“ไม่สำคัญ” แอนทอนเดินไปนั่งบนโซฟา “ฉันเป็นห่วงมาร์คเหมือนกันนะ ฮันเตอร์...ฉันเลยขังอัลฟีโอไว้จนกว่าจะคิดออกว่าเอาอย่างไรดี ฉันอาบน้ำ แปรงฟันให้ แต่เขาดิ้นเหลือเกินเลยปล่อยให้หมดแรงสักสองสามวัน อ้อ เปิดเน็ตฟลิกซ์ให้ดูตอนกลางคืนด้วยนะ”

นิโคไลขนลุก แม้เขาจะเผชิญกับคนในโลกใต้ดินมากมายหลายแบบมาจนชินชา กระทั่งโฉมหน้าแท้จริงของฮันเตอร์ซึ่งเป็น ‘นักล่า’ ก็ไม่เคยทำให้เขาพรั่นพรึง ทว่ากับมาร์ค...เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

“เรื่องอัลฟีโอเราจะว่ากันทีหลัง แต่สามีเก่าของเขาอยู่ที่ไหน มันสำคัญ” นิโคไลถามย้ำ เขากำลังประเมินว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แอนทอนหรือ? อีกฝ่ายคือมาร์คที่อ้างว่าตัวเองชื่อแอนทอน...หรือ...มันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น

“หมายถึงส่วนไหนของร่างกายล่ะ”

นิโคไลเอามือปิดปาก เขายอมรับว่าตกใจ แม้คาดไว้แล้วก็ยังตกใจ ถ้าเป็นฮันเตอร์ทำเรื่องนี้เขาจะไม่ตกใจ แต่นี่เป็นมาร์ค...เป็นมาร์ค

อดีตสามีที่ควรเป็นคนธรรมดา เพิ่งยอมรับกลายๆ ว่าตนแยกชิ้นส่วนของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ขณะจับชายอีกคนมาขังไว้งั้นหรือ

“ส่วนไหนก็ไม่สำคัญ หลับๆ ไปแล้วปลุกมาร์คซะ” ฮันเตอร์แทรก

“มาร์ค หรือแอนทอน หรือบ้าอะไรก็ตาม ทำไมนายทำ…!” นิโคไลจนคำพูด เขาร้อนรนอย่างที่ปกติไม่เคยเป็น

ทว่าฮันเตอร์พุ่งเข้าไปหาแอนทอน โถมเข้าไปโดยแรง เร็ว ไม่ให้แอนทอนทันตั้งตัว เขาช่วงชิงจังหวะน้อยนิดนั้นและฉีดยากล่อมประสาทเข้าเส้นเลือดของอีกฝ่าย

“ฉันจะตื่นขึ้นมาอีก” แอนทอนเหลือบมองนิโคไล “ฉันจะตื่นขึ้นมาอีก…”

นิโคไลได้แต่ยืนนิ่ง มองอดีตสามีที่เหมือนกลายเป็นคนแปลกหน้า อีกฝ่ายบอกจะตื่นขึ้นมาอีกพร้อมมองเขา เพื่ออะไร หรือในใจมาร์คจริงๆ แล้วโกรธที่เขานอกใจและคิดแค้นเคืองมาตลอดเวลา

————————————————-

“ไหวหรือเปล่า”

อัลฟีโอฟื้นในห้องสีขาว ขณะที่สติยังคืนมาไม่ครบ เขาได้ยินเสียงชายคนหนึ่งถามขึ้นท่ามกลางแสงพร่าพราย

“ซาช่า” ชายคนนั้นแนะนำตัว

ตำรวจหรือ นี่คือสิ่งแรกที่อัลฟีโอคิด เขาแทบไม่ได้สติตอนที่มีคนมาพบตน และแทบไม่รู้สึกตัวตอนถูกช่วยออกมา สายตาเขาสั้นประกอบกับมีไข้สูงจึงมองหน้าคนที่มาช่วยไม่ถนัด ในใจคิดเพียงว่าตนเองรอดแล้ว และสลบไป

เวลานี้เขาก็ยังจำไม่ได้ว่าคนที่มาพบตนคือ ‘ฮันเตอร์’ พี่ชายของมาร์คผู้จับเขาขังไว้

“ไหวน่า ไม่มีอะไรบุบสลายมาก” เสียงชายอีกคนว่า “แกอย่าเกะกะฉัน ซาช่า”

“ไอ้คุณหมอ ใครเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์พาแกไปไหนมาไหน”

“ทวงบุญคุณเรอะ”

“เปล๊า”

“ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นคู่หูแก เด็กใหม่”

“ฉันอยากเป็นคู่หูแกนะจ๊ะ แต่อยากเป็นคู่หูนิกกี้มากกว่าจ้ะ”

“โอ้โฮ ระดับนิโคไล...แกไปสอบในสนามโหดให้ผ่านก่อนเถอะ”

นิกกี้...นิโคไล ใครกัน? อัลฟีโอสะดุดใจกับชื่ออันไม่มีที่มาที่ไปและพยายามจดจำไว้

“หนวกหูหรือเปล่า” เสียงชายคนที่สามดังกระทบโสต คราวนี้สองเสียงเมื่อครู่เงียบไปชั่วขณะ

อัลฟีโอแทบไม่มีแรงขยับเปลือกตา เขาพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อตอบรับ ทว่าน้ำตากลับไหลออกมาแทน

“เกเบรียล” ปลายนิ้วอุ่นเช็ดน้ำตาให้ “เธอปลอดภัยแล้ว”

คำปลอบโยนนี้ทำให้อัลฟีโอสงบใจจนปิดเปลือกตาลง เขารู้สึกเพลียและง่วงจนอยากนอนหลับสักตื่น...เมื่อตื่นมาเขาอยากขอบคุณคนที่ช่วยเหลือ ถ้าแขนที่หักหายดีแล้ว ก็จะจับมือพวกเขาแล้วโค้งขอบคุณหลายๆ รอบ

อาจารย์หนุ่มสงสัยว่าเรื่องของตนจะเป็นข่าวไหม พ่อแม่ที่อยู่ต่างเมืองจะร้องไห้อยู่หรือเปล่า...แต่ตอนนี้พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเขาปลอดภัยแล้ว ทว่าหลังจากนี้ล่ะ ครอบครัวของสามีเก่าจะรู้ไหมว่าหมอนั่นโดนอะไร...

อัลฟีโอน้ำตาซึมกับภาพความทรงจำหฤโหด เขาพยายามปล่อยภาพความคิดเหล่านั้นไป โดยยังไม่เอะใจว่า...ผู้ช่วยเหลือเขาไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจ ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลในเมือง ไม่มีนักข่าว...ไม่มีใครแจ้งข่าวดีกับครอบครัวเขา การพบตัวเขาไม่ถูกประกาศให้สาธารณชนรับรู้

และยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้

-------------------------------------------

A/N เฉลยหลายๆ อย่างเลยนะคะ แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวจริงๆ เท่านั้น ตอนต่อไป เราจะได้รู้อะไรๆ เกี่ยวกับนิโคไลเพิ่มขึ้นค่ะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 4-1 [12/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 12-03-2018 19:14:11
Case 4-1

สมาคมใต้ดิน คลับ Fire Pit

‘ไฟร์พิท’ เป็นหนึ่งในคลับชื่อดังของสมาคมใต้ดิน ไม่เปิดให้คนภายนอกเข้า หรือกระทั่งสมาชิกสมาคมใต้ดินระดับต่ำหน่อยก็ไม่มีสิทธิ์ย่างเท้าเข้ามา สมาชิกที่มามั่วสุมกันในคลับร้อยละเก้าสิบคือคนของกลุ่มฟัวโค หรือ ‘กลุ่มไฟ’ กลุ่มรวมคนหัวขบถ พยศ ใจร้อน พวกบ้าที่ควบคุมอารมณ์ไม่เก่ง และชอบ ‘ช่างหัวกฎ’ เป็นชีวิตจิตใจ

ถ้าอยากสนุกจนลืมชีวิตต้องมาที่ ‘หลุมไฟ’ ใครๆ ในโลกใต้ดินก็บอกแบบนั้น

วันนี้ที่คลับ ไพโร—สมาชิกระดับแกนนำกลุ่มไฟสัญญาว่าคนสำคัญของกลุ่มจะมา ทำให้ทุกคนตั้งตารอ และเมาเละเทะตั้งแต่ยังไม่หัวค่ำดี

สุนัขโดเบอร์แมนเกือบสิบตัวยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าคลับติดไฟสีส้มสลับแดง แสงเรืองในหลอดนีออนรูปเปลวไฟวิ่งวนเร็วจี๋รอบชื่อคลับ Fire Pit ตัวใหญ่ เสียงเพลงจังหวะรุนแรงดังกระหึ่มจากด้านใน ผู้คนสวมหน้ากากหน้าตาประหลาดเดินเข้าออกกันขวักไขว่ เสกให้ตั้งแต่ทางเข้ามีบรรยากาศวุ่นวายร้อนแรงเหมือนอยู่ในนรก

นอกจากยามเฝ้าประตูผิวเข้มร่างยักษ์สองคน ฝูงสุนัขที่กระเหี้ยนกระหือรือยังเป็นยามชั้นดี พวกมันมีเขี้ยวยาวโง้งกับกรามแข็งแรง สวมปลอกคอหนังติดหนามแหลม เปรียบได้กับสุนัขเฝ้าประตูนรกที่คอยกระชากคอหอยแขกไม่ได้รับเชิญ

โรเมโอมาถึงก่อนใคร เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ใจเขายังกระหวัดนึกถึงวันที่เจอมาร์คซึ่ง ‘ดูเหมือนจะ’ ไม่ใช่มาร์ค จึงดูเหม่อลอยกว่าปกติ นิโคไลไม่ได้เล่าให้เขาฟังมากไปกว่า “นั่นไม่ใช่มาร์ค” และเมื่อไปหาหลังจากนั้นก็พบว่าบ้านปิด ไม่มีคนอยู่ ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้รับความกระจ่าง เรื่องนี้เลยวนไปวนมาอยู่ในหัว สลัดไม่หลุดและทำให้เขาหงุดหงิดจนอยากระบายอารมณ์ใส่อะไรก็ตามที่ขวางหูขวางตา ซึ่งคลับของกลุ่มไฟก็เหมาะที่จะเหวี่ยงอารมณ์พอดี

“หน้าตาเหมือนอยากโดนอะไรเจ็บๆ นะ ลูกแมวน้อย”

ชายร่างสูงน้ำเสียงยียวนเดินเข้ามาซ้อนหลังโรเมโอ เขามีผมสีแดง สวมชุดสูทสั่งตัดสีแดงเข้มลายทาง รูปร่างกำยำล่ำสันดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจในชุดทางการของสุภาพบุรุษ เมื่อรวมกับน้ำหอมกลิ่นเหมือนไฟและเซ็กซ์มาหมุนเหวี่ยงกัน ก็ยิ่งมีอำนาจกระตุ้นอารมณ์สวาทให้เตลิดไปไกล

โรเมโอหันขวับ! เขาใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างปิดบังด้วยผ้าลูกไม้บางเบาแทบมองทะลุ สะดุดตาจนไม่แปลกที่ใครๆ ย่อมจำได้

‘หน้ากาก’ เป็นธรรมเนียมของโลกใต้ดิน มีไว้เพื่อปิดบังรูปลักษณ์ไปจนถึงตัวตนแท้จริงของสมาชิก หากทำผิดกฎหน้ากากจะถูกหัก อาจเป็นเสี้ยวหนึ่งหรืออาจถึงครึ่งหนึ่ง สำหรับกลุ่มไฟ การถูกหักหน้ากากถือเป็นเรื่องปกติ บางคนไม่สวมหน้ากาก ซึ่งถือเป็นการยอมรับว่าตัวเองเป็น ‘คนของโลกใต้ดิน’ ไม่คิดกลับไปสู่ชีวิตปกติ

สำหรับโรเมโอ เขาหักหน้ากากตัวเองเหลือครึ่งหนึ่งเพื่อให้คู่กับนิโคไล ซึ่งฝ่ายพี่ชายปิดบังใบหน้าช่วงล่าง เห็นดวงตาคู่สวยกับไฝน้ำตาที่หางตาทั้งสองข้างเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน

“อะไร วันก่อนใครช่วยจับมือไม่ให้สั่นหืม สั่นจนใส่กุญแจรถยังไม่เข้า มาวันนี้กางเล็บใส่ซะแล้ว”

‘วันก่อน’ ที่ชายในชุดสูทสีแดงว่า หมายถึงวันที่โรเมโอลอบเข้าไปติดกล้องสอดแนมในบ้านมาร์ค และจบลงด้วยการค้นพบอาจารย์โรงเรียนไฮสคูลที่ถูก ‘มาร์คซึ่งไม่ใช่มาร์ค’ ลักพาตัวมาขังไว้ วันนั้นนิโคไลกระซิบใส่หูน้องชายว่า เขาโทรเรียก ‘ไพโร’ ให้มาช่วยดูแลแล้ว

ถึงไพโรจะเคยทำรุนแรงกับนิโคไล (และอาจยังทำอยู่ในที่ที่โรเมโอไม่เห็น) เขาก็มักเป็นคนที่นิโคไลเรียกหาเวลามีปัญหาในโลกใต้ดิน

ไพโรพึ่งพาได้ แต่เรียกค่าตอบแทนสูงลิบสำหรับความช่วยเหลือแต่ละครั้ง

“อยากมาดื่มเฉยๆ” โรเมโอขู่ฟ่อ

“นึกว่าจะมาพร้อมนิกกี้” ชายชุดแดงบีบก้นโรเมโอ

“ห้ามบีบนะ!” โรเมโอขู่แฟ่ “นิกกี้บอกว่าจะมา คิดถึงรึไง”

“อืม คิดถึงดีไหมนะ” เขาบีบหนักขึ้น พร้อมคลึงอย่างเชี่ยวชาญ พลางก้มลงกระซิบผ่านหน้ากากเต็มหน้าสีแดงซึ่งวาดลายเปลวไฟ “ส่วนเธอ เป็นลูกแมวก็ร้องเมี้ยวๆ ลูกแมวไม่ต้องพูด แค่คลานแล้วก็คราง”

โรเมโอหน้าแดงจัดเพราะโกรธ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ล้อเล่น เด็กหนุ่มถองศอกไปข้างหลังโดยหวังจะให้ถูกท้องอีกฝ่าย

“โอ๊ะ แมวดุ” ไพโรหัวเราะเสียงทุ้มขณะยืนรับศอก เขาไม่หลบด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มตัวแค่นี้จะมีแรงสักเท่าไร

ชายหนุ่มวางคางบนศีรษะโรเมโอ

“ถอยไปได้แล้ว” โรเมโอฮึดฮัด เขาจะไปที่บาร์ เขาจะดื่มค็อกเทล เขาจะทำนู่นทำนี่ ไม่ใช่เป็นที่วางคาง!

“ไม่อยากรู้เหรอว่า ผัวเก่าพี่เธออยู่ที่ไหน... ‘ในนี้’ ” ชายผู้ร้ายกาจพูดอย่างมีเลศนัย

โรเมโอหยุดกึก เขาหันไปหาไพโร แม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่แววตาหลังหน้ากากฉายชัดถึงความอยากรู้อยากเห็น

“โรเมโอ อย่าไปคุยกับไพโร” ไม่ทันได้คำตอบ นิโคไลก็เดินนำมาพร้อมสมาชิกในกลุ่มไฟอีกสามคน เขาสวมชุดสีดำที่ไม่เปิดเผยร่างกายสักส่วนกับเสื้อโค้ตหนัง ใบหน้าครึ่งล่างปิดด้วยหน้ากากสีดำแกะลายเปลวไฟ ดวงตาคมซึ่งไม่มีอะไรปิดบังหรี่มองไพโรที่ยังขยำก้นน้องชายเขา

“หรือถ้าจะเปิดห้อง ก็แค่เอาไพโรให้หนำใจก็พอ”

“เจ็บปวด” ชายที่ถูกพูดถึงในฐานะเครื่องระบายทางเพศยอมละมือจากก้นน่ารักของโรเมโอ “ว่าแต่เธออยากมาเอาฉันให้หนำใจพร้อมกับน้องชายไหม”

โรเมโอถองศอกใส่ไพโรอีกครั้งก่อนไปหาพี่ชาย “ไปไหนมา นิกกี้”

“ไปคุยกับไฟ เรื่องงาน” ในกลุ่มไฟมีบางคนที่ทำงานร่วมกับนิโคไล ขณะที่โรเมโอโลดแล่นในฐานะสมาชิกแขกผู้มีเงินไม่อั้น หลงใหลในความรุนแรง พึงพอใจกับการไล่ตามประสบการณ์อันจัดจ้านและมืดดำไร้ก้นบึ้งของโลกแห่งนี้ นิโคไลกลับเป็นคนทำงานในตำแหน่งที่ถูกเรียกใช้จากพวกระดับสูงอยู่บ่อยๆ

“งานแน่นะ” โรเมโอดมกลิ่นของนิโคไล “เค้าได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ...กลิ่นเหมือนโรงพยาบาล แล้วก็…” เด็กหนุ่มยืดตัวไปสูดกลิ่นบริเวณต้นคอของพี่ชาย ก่อนกระซิบว่า “กลิ่นคล้ายพี่...มีความลับ”

นิโคไลรวบเอวน้องชายแล้วบีบเบาๆ ดวงตาคู่คมจ้องแบบไม่หลบตา “อย่าดื้อ”

“อย่ามีความลับกับเค้า” โรเมโอไม่ยอมลดละ

“ไม่ได้มี” นิโคไลพูดความจริงอยู่ เขาตอบคำถาม ‘เรื่องมาร์ค’ ของโรเมโอไม่ได้ แม้รู้ว่าน้องชายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับและไม่อยากอดทนรอ เขาก็ยังไม่มีคำตอบดีกว่าสิ่งที่เคยให้ไป “อยากดื่มเหล้า จะเข้าคลับไหม”

“เข้าก็ได้” โรเมโอจำต้องยอมเมื่อพี่ชายยืนกราน เขาเดินตามนิโคไลโดยเมินไพโร ปกติเด็กหนุ่มชอบคุยกับอีกฝ่าย เฉพาะเจาะจงเรื่องกลิ่นและน้ำหอม แต่คืนนี้ไม่ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ให้ไพโรหยอก

“กรร! แฮ่!!โฮ่งๆๆ!!!” จู่ๆ สุนัขโดเบอร์แมนแปดตัวที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าคลับก็เห่าเสียงขรมพร้อมแยกเขี้ยวขู่นิโคไล ปกติพวกมันเชื่องกับคนกลุ่มไฟ แต่วันนี้พอได้กลิ่นนิโคไลกลับคลั่งขึ้นมากะทันหัน

ไม่ทันที่สองพี่น้องจะตั้งตัว ก็ถูกพวกมันกระโจนใส่!

นิโคไลเอาตัวกันน้องชายพร้อมยกแขนขึ้นมาบังเขี้ยวชุ่มน้ำลาย ทว่าโดเบอร์แมนที่หวังขย้ำคอเขากลับถูกเตะอย่างแรงจนมันร้องเสียงหลง ขณะที่ตัวอื่นหยุดขู่และหูลู่ไปด้านหลัง ราวเผชิญหน้ากับสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่า

ตรงหน้านิโคไลคือชายหนุ่มคนหนึ่ง เขายืนจังก้าท้าสุนัขกระหายเลือดแปดตัว ดวงตาสีแดงหลังหน้ากากสีขาวเรืองขึ้นอย่างปีศาจ แม้จะมีหน้ากากปิดบังแต่นิโคไลทราบทันทีว่าเป็นใคร

“แอนทอน?” เขาอุทานอย่างประหลาดใจ

“แฮ่!!!” เสียงขู่ดังขึ้นอีก แต่ไม่น่าหวาดเสียวเท่าทีแรก โดเบอร์แมนเหล่านี้ถูกฝึกมาเพื่อล่าและฆ่าเหยื่อโดยเฉพาะ พวกมันรู้จักหลบอาวุธเช่นมีดหรือปืน เป็นสุนัขนักล่าที่ทางคลับภูมิใจ ทว่าเวลานี้สุนัขนักล่ากลับได้แต่ขู่เหมือนลูกสุนัขเพราะความหวาดกลัว

จังหวะนั้น ชายหนุ่มสวมหน้ากากสีขาวคำรามเหมือนสัตว์ ทำให้พวกมันหมอบ ทำให้พวกมันถอย ดวงตาสีแดงทรงพลังจ้องเขม็ง

“ไม่ใช่วันดีสำหรับพักผ่อน เธอไม่ปลอดภัย” แอนทอนเอ่ยกับนิโคไลโดยยังหันหลังให้

นิโคไลหรี่ตา หลังจากวันนั้น ฮันเตอร์ก็พามาร์คหรือแอนทอนไปโดยไม่บอกว่าจะพาไปที่ไหน ซ้ำยังห้ามจิลติดต่อกับเขา ส่วนตัวเขาเอง ตอนที่ไพโรโทรมาตามขณะอยู่กับมาร์ค คือมี ‘งาน’ จากสมาคมใต้ดินเข้ามาพอดี นั่นเป็นสาเหตุให้ไพโรบังคับเขาได้ในทีแรก ก่อนจะทะเลาะกันจนทำให้เขาปิดโทรศัพท์มือถือและไปเข้างานในคืนนั้นอย่างฉิวเฉียด (ซึ่งถึงไปไม่ทัน เขาก็กะให้คนอื่นทำแทน แม้จะมีคนไม่พอใจก็ตาม)

นิโคไลบินไปต่างประเทศสามวัน พอกลับมาก็ต้องรับมือกับคำถามของโรเมโอและการรบเร้าของไพโร วันนี้ก็เป็นวันแรกที่เข้าสมาคม

เขาพบว่าฮันเตอร์ปกปิดร่องรอยน้องชายในสมาคมใต้ดินได้ดีมาก หมอนั่นมีเพื่อนฝูงมากมายอย่างเหลือเชื่อ และเขาก็ให้กลุ่มไฟไปสืบไม่ได้ เพราะนั่นจะมีคำถามมากมายตามมา โดยเฉพาะคำถามจากไพโร

“อ้าวๆๆ มีบอดีการ์ดมาด้วยหรือนี่” ด้านหลังสองพี่น้อง ไพโรเดาะลิ้นเหมือนไม่พอใจ เขาใช้แขนรวบคอนิโคไลเข้ามากอดไว้พลางมอง ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’

แอนทอนหันกลับไปมองไพโร เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าย้ำกับนิโคไลว่า “เธอไม่ปลอดภัย”

“ช่างมันเถอะ มันอยากเป็นไฟก็ให้มันเป็นไฟ” ฮันเตอร์ปรากฏตัวโดยไม่มีหน้ากากปิดบัง เขาเป็นคนของโลกใต้ดินอย่างแท้จริง ไม่กลัวหากใครจะทราบว่าโลกภายนอกตนเป็นใคร

“บุชเชอร์ พาน้องชายมาทัวร์หรือ” ไพโรทักทาย เขาดูไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของสองพี่น้องฆาตกร แสดงว่ารู้ความเป็นไปของบุชเชอร์และ ‘คนใหม่’ ในโลกใต้ดินจริง อย่างที่เอามาล่อหลอกโรเมโอ

รอบด้าน คนมาคลับที่ตกตะลึงกับท่าทางของพวกสุนัขค่อยได้สติ พวกเขาเพิ่งเห็นว่าฉากนี้เด็ด เมื่อนิโคไลและน้องชายอยู่กับไพโร เผชิญหน้ากับคนใหม่ที่แค่คำรามก็ทำให้สุนัขที่ฝึกมาอย่างดีกลัวหงอ

นิโคไลกับไพโรเป็นพาร์ทเนอร์บนเตียง เรื่องนี้ใครๆ ในกลุ่มไฟก็รู้ และยังรู้อีกว่าทั้งสองเคยห่างกันไปช่วงนิไคไลแต่งงานกับ ‘คนข้างนอก’ เพิ่งกลับมาดีกันหลังนิโคไลหย่า

---------------------------------------

A/N เปิดเรื่องราวฝั่งนิโคไลบ้างแล้วค่ะ :)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 4-2 [13/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 13-03-2018 18:19:23
Case 4-2

“นิโคไล...”

ระหว่างคนในคลับเงียบกันไปครู่ใหญ่ มีชายคนหนึ่งแทรกตัวจากในคลับออกมายืนแถวหน้า ซาช่าชอบเรื่องตื่นเต้นที่สุดของที่สุด (“หรือจะว่าชอบเ-ือกก็ได้ ไม่ว่ากัน” เขาเคยบอกคู่หู) และเหตุการณ์ตรงหน้าก็โคตรจะดึงดูดคนอย่างเขา พอเห็นว่าหนึ่งในนั้นเป็นนิโคไลแห่งไฟก็ยิ้มให้อย่างไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น

อ้อ ซาช่าไม่สวมหน้ากาก ไม่สนใจชีวิตปกติในโลกภายนอก เขากินอยู่ในโลกใต้ดิน ทำงานเป็น ‘นักซิ่ง’ รับส่งหมอผู้เป็นคู่หูคนปัจจุบัน

นิโคไลกอดอก เขาจำชายในชุดเสื้อแจ็กเก็ตหนังกับกางเกงยีนสีดำคนนี้ได้ มันเป็นคนที่เคยมาประกาศต่อหน้าไฟว่าอยากคู่กับเขา และตอนนั้นเขาตอบมันไปว่าอย่างไรนะ...อ้อ เขาตอบไปว่า

‘คนใหม่รีบทำคะแนนเหรอ กลัวคนไม่รู้ว่าไอ้หนูมีดีหรือไงถึงต้องรีบพิสูจน์ พนันกับใครไว้ว่าจะได้ฉันล่ะ’

เป็นคำตอบที่แสนเย็นชาและตัดเยื่อใย

“วุ่นวาย” ฮันเตอร์เหลือบตาขึ้น พ่นลมหายใจหนักๆ

“ใช่ วุ่นวายกันหมด” นิโคไลปัดมือไพโรที่กอดไม่ปล่อย เขาเดินไปหาแอนทอน หรือที่จริงต้องพูดว่าเดินผ่านเพื่อไปหาสุนัขโดเบอร์แมน พอได้กลิ่นนิโคไลพวกมันก็ขู่ขึ้นมาอีก แม้จะไม่เต็มเสียงเพราะกลัวแอนทอน แต่ก็ยังความแปลกใจที่พวกมันจงเกลียดจงชังนิโคไลขนาดนี้

ชายหนุ่มหน้าสวยจับหมับเข้าที่ปากของสุนัขตัวหนึ่งอย่างไม่ปล่อยโอกาสให้มันอ้าปาก เขาบีบปากยาวยื่นของเจ้าสุนัขและลากมันมาทางไพโร แรงบีบทำให้เจ้าสุนัขร้องงี้ดๆ อย่างน่าสงสาร ตะกุยเท้าข่วนมือคนจับปาก ทำให้ผิวเนื้อส่วนที่โผล่พ้นถุงมือขับรถมีเลือดซึม ทว่านิโคไลเพียงแค่ลากมันไปหาไพโรต่อ เมื่อมาถึง เขาประกาศ “แก้ ฝีมือนาย ฉันรู้”

ไพโรยืนรอด้วยท่าทางสบายๆ แม้สวมหน้ากากแต่ภาษาร่างกายชวนให้คิดว่าเขากำลังยิ้มอยู่

“กรร!!!” สุนัขที่โดนนิโคไลบีบปากลากมาสะบัดหน้าออกได้ในที่สุด มันกัดมือเล็กด้วยความหวาดกลัว นิโคไลปล่อยให้มันกัดแต่ใช้อีกมือบีบคอหอยไว้ เขาชาที่มือและนึกถึงความเจ็บปวดที่จะตามมา

ทว่าแค่นี้เขารับมือได้

“ไม่อยากให้เรื่องถึง ‘เทวทูต’ ใช่ไหมไพโร ครั้งนี้ฉันจะเอาเรื่องนายจริงๆ แล้ว” นิโคไลย้ำ

‘เทวทูต’ คือยามกะกลางคืนของโลกใต้ดิน คนที่ฉลาดหน่อย ไม่มีใครอยากถูกพวกเขาเพ่งเล็ง

ไพโรขยับเข้ามาค้ำร่างที่สูงเพียงคางของตน เขาจ้องแววตาที่ปรากฏความมุ่งมั่นเด็ดขาด แล้วเหยียดริมฝีปากภายใต้หน้ากากสีแดงพลางปรบมือช้าๆ

นิโคไลได้กลิ่นหอมบางอย่างจากมือไพโร อึดใจต่อมา สุนัขที่ฝังเขี้ยวในมือเขาก็นิ่งค้าง

มันปล่อยปากเพราะหมดสติ ซึ่งไม่ทราบว่าไพโรทำได้อย่างไร

มีเสียงโห่ร้องชื่นชมจากสมาชิกกลุ่มไฟ เสียงเชียร์ตะโกนเรียกชื่อ ‘นิกกี้! นิกกี้!’ ดังสนั่น ทว่าคนถูกเรียกชื่อไม่เต้นตามอารมณ์ปลุกใจ เขารู้ว่าไฟก็เป็นอย่างนี้ เป็นพวก ‘บ้า’ อย่างที่ไพโรคิดจะทดสอบหรือรับขวัญเขาด้วยสุนัขโดเบอร์แมนทั้งฝูง แล้วคนอื่นๆ ก็รอดูว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง นิโคไลกำหมัดชกหน้าไพโร เขาใช้มือข้างที่โดนกัดนั่นแหละ ใส่ไปเต็มแรงจนหน้ากากอีกฝ่ายกระเด็น และจะยังตามเข้าไปเอาเรื่องอีก หากโรเมโอไม่กอดเขาไว้

“นี่สำหรับน้องชายฉัน ที่นายลากมาเกี่ยว!” นิโคไลตะโกน ไพโรอยากทดสอบเขายังไม่เท่าไร แต่การลากโรเมโอมาเสี่ยงโดนขย้ำคอหอยด้วยทำให้เขาโกรธจัด

ซาช่าปรบมือด้วยความชื่นชม ฮันเตอร์ปรบมือแกนๆ ส่วนแอนทอนนิ่งเฉย ฝ่ายโรเมโออยากเข้าไปชกไพโรบ้าง แต่พอนึกว่าอีกฝ่ายเอาคืนอย่างสาสมแน่ เขาก็หยุดคิด

“กลับ แอนทอน” ฮันเตอร์พูดเรียบๆ “ที่นี่ไม่มีใครให้แกปกป้อง”

ทว่าแอนทอนไม่ขยับ รั้งรอคล้ายยังห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

“เธอต้องทำแผล” เขาพูดกับนิโคไล นั่นทำให้บุชเชอร์หรือฮันเตอร์ส่งเสียงอา! อย่างไม่สบอารมณ์

คนใหม่กล้าชวนนิโคไล!?!

นอกจากมันจะกระโดดออกมาปกป้องแล้ว ยังกล้าพูดจาเหมือนสนิทสนม มันจะโดนนิโคไลตอกกลับแบบไหน นี่ก็น่าสนใจ

ขณะทุกคนตั้งตารอคำพูดเชือดเฉือนจากปากนิโคไล ฝ่ายไพโรเพียงแค่หยิบหน้ากากกลับมาสวม โรเมโอทันเห็นมุมปากของชายผมแดงยกยิ้มอย่างน่าขนลุก ก่อนที่หน้ากากจะช่วยบดบังความบิดเบี้ยวนั้น

“ไปดื่มเหล้ากันดีกว่า” เขาบีบมือข้างที่เลือดไหลของคนตรงหน้า “แผลแค่นี้ เอาเหล้าล้างหน่อยก็หายแล้ว ใช่ไหม”

นิโคไลเหงื่อออกข้างขมับ ไพโรบีบแรงจนเขาเกือบร้องออกมา

แอนทอนคว้าหมับเข้าที่ผมของไพโรแล้วกระชาก! ความคิดเขาเร็ว มือยิ่งเร็วกว่า เขาคำรามเสียงแหบต่ำ เหมือนสัตว์ตัวผู้ปกป้องคู่ของมัน

แอนทอนได้หมัดลุ่นๆ เป็นการตอบแทน เทียบกับที่ไพโรบีบมือนิโคไลเมื่อครู่กลายเป็นการหยอกล้อไปเลย เพราะหมัดนี้หนัก แรงเอาจริงแบบคนละเรื่อง

ร่างกำยำเกือบหงายไปตามแรงเหวี่ยงของหมัด แต่ด้วยสัญชาตญาณเฉียบคมทำให้แอนทอนยังทรงตัวได้ เขาเอียงศีรษะจากซ้ายไปขวา กำหมัดเตรียมสู้

สมาชิกกลุ่มไฟอ้าปากค้าง เบิกตาโตอยู่หลังหน้ากากที่ตกแต่งเหมือนสัตว์ประหลาด พวกเขาตกใจเพราะไพโรไม่ใช่ประเภทชกต่อยใช้กำลัง จู่ๆ มาฟิวส์ขาดใส่เด็กใหม่ แถมมีนิโคไลอยู่ตรงกลาง!

ซาช่าสูดลมหายใจ ศึกชิงนาย...คือสิ่งที่เขาคิดเป็นอันดับแรก

ไพโรหัวเราะเสียงหนัก เสียงหัวเราะนี้เสียดหูแอนทอนหรือมาร์ค มันเป็นเสียงหัวเราะแบบเดียวกับวันที่เขาตบหน้านิโคไลและมาร์คได้เป็นพยานทางโทรศัพท์

“เมื่อก่อนมีเมียคอยปกป้อง แต่ไหนๆ ก็เข้ามาที่นี่แล้ว ยินดีต้อนรับ มาร์ค!”

ไพโรเข้ามาชก คราวนี้แอนทอนหลบทัน เขาเหวี่ยงหมัดโดยเล็งใบหน้า แต่พออีกฝ่ายยกแขนกันเขาก็ยกเท้าถีบเข้าบริเวณท้อง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ผลัดกันเป็นฝ่ายรุกฝ่ายรับ คิ้วเขาแตกเมื่อถูกกำปั้นลุ่นๆ ของไพโรเข้ากระแทก แอนทอนโถมตัวเข้าใส่ไพโร ทั้งสองล้มไปคลุกกันอยู่บนพื้น หน้ากากกระเด็นไปคนละทางแบบช่างหัวมัน แลกหมัดจนหน้าแตกยับ

มวยคู่เด็ด! ไพโรอยู่ระดับไหนของไฟ ใครๆ ก็รู้ เขาไม่เคยลงมาต่อยตีใช้กำลังเหมือนพวกมือใหม่ ส่วนอีกฝ่ายข่มสุนัขนักล่าจนหางจุกตูด และทำเอาหนุ่มๆ สาวๆ ไฟหลายคนอยากเลิกเสื้อผ้าดูข้างใน ว่าจะแข็งแกร่งไปทุกส่วนอย่างที่เห็นภายนอกหรือเปล่า

เสียงเชียร์ด้วยความตื่นเต้นสุดขีดดังระงม! ดูเหมือนพวกไฟจะมีอะไรให้มันส์ๆ ให้ดูอย่างต่อเนื่อง!

นิโคไลปล่อยให้ไพโรชกกับแอนทอน ส่วนตัวเองบีบมือห้ามเลือดแล้วหันไปทางฮันเตอร์ “ไปดื่มเหล้ากัน ระหว่างรอพวกนี้ตายไปข้าง ฉันอยากคุยกับนาย”

“เอาเลือดบ้าออกบ้างมันน่าจะสงบ” ฮันเตอร์พยักพเยิดไปทางแอนทอน แล้วตอบรับคำชวนของนิโคไล

ภายในคลับ นิโคไลมีโต๊ะ VIP ส่วนตัว เขานั่งลงบนโซฟาแล้วดันก้นโรเมโอให้ออกไปเต้นไปเมา ด้วยรู้ว่าน้องชายมาปลดปล่อย และบรรยากาศชกต่อยอันดุเดือดก็คงทำให้เลือดในกายโรเมโอร้อนไม่เบา “มือไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีคนมาทำแผลให้ ไปเถอะ” เขานั่งไขว่ห้าง ด้านข้างคือบริกรที่รอรับออเดอร์

“เค้าไม่ไป ดื่มตรงนี้แหละ” โรเมโอว่า เขาอยากรู้อะไรๆ บ้าง อะไรๆ ที่พี่ชายกับคนวิปลาสฮันเตอร์จะคุยกัน

“น้ำเปล่ากับเลมอนฝาน” ฮันเตอร์สั่งบริกร ช่วงหลังเขาไม่แตะต้องแอลกอฮอล์เพราะจิลขอไว้

“วอดก้ากับเลมอนฝาน” นิโคไลสั่งเหมือนประชดฮันเตอร์ “ขอแรงๆ ล่ะ จะดื่มเผื่อคนที่มาคลับแต่สั่งน้ำเปล่า” ใต้หน้ากากที่ปิดใบหน้าช่วงล่าง ฮันเตอร์รู้สึกว่านิโคไลยิ้มล้อเลียนเขาอยู่

“ฮา...ฮา” ฮันเตอร์หัวเราะแบบประชดประชัน “มีอะไรก็ว่ามา”

“วันก่อนฉันเอารูปที่ถ่ายเก็บไว้แบล็กเมล์นายให้มาร์คดู” นิโคไลยักไหล่

“ฉันมีรูปของโรเมโอมากมายที่นายไม่อยากให้หลุด”

ผู้พี่หันไปทางน้องชาย “ไปนอนกับฮันเตอร์มาหรือ ก่อนหรือหลังเขาแต่งงานรอบที่สอง”

“เปล่า!” โรเมโอปฏิเสธทันควัน

“แฮ็กมา อย่าไปว่าเด็กมันเลย” ฮันเตอร์ยักไหล่ เลียนแบบนิโคไลได้เหมือนเปี๊ยบ

“แน่ใจว่าไม่เคยนอนกับน้องชายคนอื่น” นิโคไลตอบเหมือนไม่เชื่อโรเมโอ

“ไม่รู้สิ” ฮันเตอร์กระตุกยิ้ม

สายตาพี่ชายจึงมองสำรวจน้องชายอย่างทำให้อึดอัดไม่เบา

โรเมโอหน้าแดงก่ำจนเกือบเป็นสีม่วง เขาลุกหนีไปทันที ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพราะยอมรับ แต่เพราะโกรธที่พี่ชายไม่เชื่อใจกัน

พอลับโรเมโอไปแล้ว นิโคไลก็ยอมเข้าเรื่อง “เดี๋ยวฉันกลั่นกรองก่อน ค่อยบอกให้เขารู้ ขอบใจที่ช่วยตามน้ำ” เขาดึงหน้ากากลงแล้วหยิบวอดก้าที่เพิ่งมาเสิร์ฟด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ หลับตาดื่มให้ของเหลวดีกรีแรงไหลลงไปอุ่นท้อง

โต๊ะ VIP เป็นพื้นที่ส่วนตัว แม้ถอดหน้ากากก็ไม่ต้องเกรงใครมาเห็นหน้า รวมถึงบริกรไม่ปากโป้ง ถือว่าคลับในโลกใต้ดินมีการจัดการที่ดี

“ว่ามา” ฮันเตอร์ดื่มน้ำเปล่า รสเจือจางของเลมอนฝานทำให้สดชื่นจากเรื่องปวดหัวเมื่อครู่

“ที่ฉันเอาภาพให้มาร์คดู เพราะอยากทดสอบเขา ถ้ารู้ว่าพี่ชายเลวแล้วจะทำยังไง” ตอนนั้นฮันเตอร์ทำเขาเกือบตาย...หากไพโรไม่เข้ามาช่วยไว้ แต่เอาจริงๆ เขาก็เมาเหล้าเล่นยาอยู่เกือบตลอดเวลาในช่วงนั้น จึงจำความเจ็บปวดไม่ได้เท่าไร

“แล้วเป็นยังไง”

“เขาเลี่ยงไม่พูดเรื่องนั้น ดูเหมือนเขารักนายมากทีเดียว แต่จะเรียกว่าไม่ปกติก็ได้ เพราะคนปกติ ถ้าฉันบอกว่าถูกทำร้ายร่างกายพร้อมเอาภาพหลักฐานให้ดู ก็ควรมีการถามไถ่ พูดคุยหาความจริง ไม่นิ่งเฉยและเปลี่ยนเรื่อง ฉันคิดว่า...มาร์คใช้ความเงียบเป็นกลไกการป้องกันตัว”

ในเวลานั้น นิโคไลไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ ทว่านี่สาเหตุที่เขาบอกว่ามาร์คไม่ยอมรับความจริง

“เขาอาจรับฟังแล้วรอถามฉันก็ได้ ใครจะไปรู้” ฮันเตอร์มองนิโคไลนิ่งๆ

“เขาไม่ได้บอกฉันว่ารับฟังนี่ แต่ช่างเถอะ โรเมโอบอกว่าเขาถามนายแล้ว ส่วนผลลัพธ์ก็…” นิโคไลมองไปทางทิศที่มาร์คหรือแอนทอนยังชกต่อยตะลุมบอนกับไพโร

“ก็…?”

“แอนทอนนี่ใคร” นิโคไลกระดกแก้วช็อต “เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

-----------------------------------------------

A/N ชุลมุนวุ่นวาย แต่ละคนนี่ตัวแสบทั้งนั้นเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 4-3 [14/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 14-03-2018 16:59:05
Case 4-3

ฮันเตอร์เล่าว่าแอนทอนเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ ของมาร์คในสมัยเด็ก “หรือจะว่าเป็นอีกบุคลิกหนึ่งของมันก็ได้” เขาเสริมต่ออีกหน่อยว่าแอนทอนไม่ได้ปกป้องเพียงมาร์ค แต่ปกป้องทุกคนที่มาร์คเห็นว่าควรปกป้อง

“เข้าใจไหม เขาไม่ได้วูบ! มาเพื่อปกป้องจิตใจอ่อนแอของมัน แต่มาเพื่อปกป้องอะไรบางอย่างด้วย ซึ่งฉันคิดว่าคือแก” ฮันเตอร์หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “เหมือนที่มาร์คมันเคยปกป้องฉันตอนตัวมันอายุสิบเอ็ดขวบ เด็กรุ่นพี่คนหนึ่งชอบรังแกพวกเราและฉันเลือกไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากมีปัญหา วันหนึ่งไอ้เด็กนั่นเล่นอะไรเกินเลย คืนนั้น ‘แอนทอน’ ตื่นมากลางดึก บุกบ้านไอ้เด็กช่างรังแกแล้วเอาดินสอแทงมันเสียยับ”

คนฟังปวดแผลที่มือแปลบๆ เหล้าไม่ช่วยลดความแสบร้อนของพิษเขี้ยวสุนัขเลย “แล้วมาร์คล่ะ มาร์คไปไหน หลังจากวันนั้นนายทำอะไรกับเขา” เขารินวอดก้าอีกแก้ว

“ฆ่าคนตายต้องมีที่คุ้มหัว” ฮันเตอร์ว่า “ฉันเลยลากมันมาที่นี่ในฐานะ ‘ผู้มาเยือน’ ...แล้วก็อย่างที่แกน่าจะเดาได้ มาร์คมันปฏิเสธว่าตัวเองฆ่าคน กลไกร่างกายเลยบังคับมันให้หลับ แอนทอนตื่นขึ้นมาแทน นี่ไปฟังหมอเขาวินิจฉัยมา”

“สรุปว่า ถ้าเขามีสองบุคลิกอะไรนี่จริง มาร์คยังไม่กลับมาเลยใช่ไหม” นิโคไลเข้าประเด็นสำคัญ

“ตื่นมาครั้งหนึ่ง มาฟังความจริงจากฉัน พอแสดงหลักฐานไปเรื่อยๆ มันก็ซึม ขออยู่คนเดียวสักครู่...พอเปิดประตูมาดูอีกที ฉันก็พบแอนทอน” ฮันเตอร์ส่งเลมอนฝานเข้าปาก “แต่ก็ดีนะ จะได้พามันในฐานะแอนทอนเข้าทดสอบร่างกายเลย มันน่าจะเป็นบุชเชอร์ได้”

“มาร์คเนี่ยนะจะเป็น ‘บุชเชอร์’ ” นิโคไลมองเหยียด “อยากเป็นคู่พี่น้องฆาตกรหรือไง”

“ให้เป็นแบบพี่น้องแมวหง่าวร้อนรักคงไม่ไหว” ฮันเตอร์จงใจล้อเลียนนิโคไลกับโรเมโอ

“เหอะ” นิโคไลแค่นเสียงดูถูก ถ้าพูดถึงเรื่อง ‘ร้อนรัก’ ฮันเตอร์ก็ต่างกับเขาแค่ตำแหน่งบนเตียงเท่านั้นแหละ แม้หลังแต่งงานครั้งที่สอง หมอนี่จะรามือไปแล้วก็เถอะ...คิดถึงตรงนี้ คนหน้าสวยก็นึกขึ้นได้ “นายบอกจิลเรื่องฉันหรือยัง แล้วมาร์ค เขารู้ไหม”

“เรื่องอะไรล่ะ” ฮันเตอร์เอนหลัง ท่าทางยวนอารมณ์

“ช่างเถอะ” นิโคไลไม่ต่อความ “จิลรับนายได้ เรื่องฉันก็ไม่เท่าไร ส่วนมาร์ค ถึงนายบอกว่าเขาไม่รับรู้เรื่องราวตอนเป็นแอนทอน แต่ตัวเขามาอยู่ที่นี่แล้ว จะเลี่ยงอะไรได้”

งานของนิโคไลไม่เกี่ยวข้องกับฮันเตอร์ และสิ่งที่ต่างกันสุดขั้วคือ ฮันเตอร์อาจเลิกงาน ‘บุชเชอร์’ ได้ แต่นิโคไลเป็นคนที่โลกใต้ดินจะไม่ปล่อยไป เขาเลิกงานที่ทำอยู่ไม่ได้ เมื่อมาร์คมาเกี่ยวข้องกับโลกมืดแห่งนี้...ก็เหมือนแค่รอเวลาเผชิญหน้ากัน

“ขอโทษ ขอโทษนะครับ ขอแทรกหน่อย...นั่นแหละ สวัสดี ผมชื่อซาช่า นักซิ่งคนใหม่ของที่นี่”

จู่ๆ บทสนทนาระหว่างสองคนก็ถูกแทรกด้วยชายหนุ่มไม่รู้กาลเทศะ ซาช่าตัวสูงใหญ่ ผมสีทองสั้นยุ่งน้อยๆ แต่ยังจัดเข้าทรงอย่างพวกแบดบอย รอยยิ้มประดับใบหน้าดูยวนอารมณ์กว่าฮันเตอร์เสียอีก

นิโคไลมองหาบริกรที่ปล่อยหมอนี่เข้ามา ทว่าไม่เห็นใคร

เข้ามาเองในจังหวะที่ไม่มีคนดูแลหรือ...หรือว่า…

“นิกกี้…” ซาช่ายิ้มกว้าง

ขณะที่ฮันเตอร์เลิกคิ้วแปลกใจกับมารยาทของชายหนุ่มคนนี้ วอนตีนหรือ...แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เขาเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นเพื่อเมียรัก—จิล เจเรไมน์

เนอะเมียเนอะ

“นาย...” นิโคไลเห็นหมอนี่ตั้งแต่ตรงทางเข้าคลับ แต่นึกไม่ถึงว่าจะตามมาตรงนี้

“ขอตัวก่อนแล้วกัน” ฮันเตอร์ลุกขึ้น “นั่งได้ตามสบาย...เด็กใหม่” เขาพูดกับซาช่าและตบบ่าสองสามที

“ฮันเตอร์ ทั้งหมดนี่ลงบัญชีนาย” คนที่นั่งอยู่คร้านจะดึงอีกฝ่ายไว้ เขาเป็นคนชวนมานั่งดื่มก็จริง แต่เรื่องอะไรจะยอมเป็นฝ่ายเลี้ยง

“บริกรมันรู้น่า” ฮันเตอร์โบกมือไม่ใส่ใจ

พอฮันเตอร์ไป นิโคไลก็นั่งเงียบอย่างผิดวิสัยคนรักสนุก ใจเขาไพล่นึกว่าแอนทอนกับไพโรจะชกกันเสร็จแล้วหรือไม่

ระหว่างคิด นิโคไลรู้สึกตัวว่าถูกจ้อง จึงปรายตาไปทางคนที่กำลังมองตน

“มีธุระอะไร”

“อยากมาแนะนำตัวอีกครั้ง” ซาช่าวางแก้ววอดก้าของตัวเองลงตรงหน้า “ซาช่า ไม่เปิดเผยนามสกุล เป็นนักซิ่งที่ได้ยินว่าคุณกำลังจะเปิดรับสมัครนักซิ่งคนใหม่”

“อืม” นิโคไลหยิบแก้วช็อตขึ้นมาดื่มต่อ คราวนี้ละเลียด “นอกจากคิดว่าไอ้หนูมีดีแล้ว อย่างอื่นก็มีดีด้วยหรือ” เนื้อปากนุ่มนิ่มแตะขอบแก้วใสอย่างไม่รีบร้อน คนดื่มกระดกปลายลิ้นน้อยๆ เกิดเป็นภาพที่ทำให้ผู้ชายหลายคนคงรู้สึกอิจฉาแก้ว และผู้หญิงคิดจำท่าทางไปใช้

“หืม” ซาช่าเลิกคิ้ว “รู้ได้ยังไง ผมยังไม่เคยบอกคุณเลยนะว่าเจ้าหนูผมมีดี” เขายิ้มมุมปาก “ส่วนฝีมือการซิ่ง สงสัยคุณต้องรอดูในสนาม”

เจอผู้ชายยียวน นิโคไลรับมือด้วยการยกมุมปาก “ฟาดไปกี่คนแล้ว ฉันเป็นแต้มที่เท่าไร”

“เกี่ยวอะไรกับแต้ม” ซาช่ากระดกวอดก้าและสั่งใหม่

“ไม่เกี่ยวเลยหรือ” นิโคไลหงายฝ่ามือข้างที่โดนกัด ปล่อยให้มันเจ็บไปเรื่อยๆ โดยไม่ยี่หระ เขานึกสงสัยคนตรงหน้าว่าคิดอะไรอยู่ ใครๆ ก็รู้ว่าเขากลับมาคบกับ ‘ไพโร’ หรือ ‘นักปรุงน้ำหอม’ ชายที่มีอิทธิพลในกลุ่มไฟมากกระทั่งเทวทูตยังจับตามอง

หลายคนไม่กล้าเข้าหาเขา

ไพโรไม่ใช่พวกขี้หวงหรือขี้หึง ไม่ใช่ประเภทจะตามไปอัดคนที่นอนกับนิโคไล แต่เป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนคาดเดาไม่ได้ เขาไม่หึงหรือไม่หวงก็จริง ทว่าวันดีคืนดี แม้เขากำลังหัวเราะพูดคุยอยู่กับคนอื่น แล้วคุณแค่เข้าไปทักนิโคไล คุณกลับถูกเขากระทืบเอาง่ายๆ

ไพโรเป็นชายที่เข้าใจได้ยาก หรือจะเรียกว่า ‘บ้า’ ดีก็ไม่ทราบ

ยิ่งดูจากที่เขามีเรื่องชกต่อยกับแอนทอน คนสติดีๆ ไม่น่ามาทักนิโคไล

“ไม่เลย” นักซิ่งหน้าใหม่กระดกวอดก้าอีกแก้ว “ผมแค่ได้ยินว่าการทำงานกับคุณมันตื่นเต้น” สิ่งที่ซาช่าได้ยินมาคือ หากทำงานกับนิโคไล ภายในสามเดือนไม่พิการก็เครียดจัดจนเสียสติ

“มีบุหรี่มั้ย” หนุ่มหน้าสวยถาม

หนุ่มนักซิ่งยื่นบุหรี่ให้แทนคำตอบ เมื่อกลัดบนริมฝีปากสวยเรียบร้อยแล้วก็จุดไฟแช็กให้

นิโคไลยิ้มเป็นครั้งแรกของวันนี้ เพราะหมอนี่รู้ใจเขา

“อีกสามวันจะถึงการทดสอบ ผมมาแนะนำตัว”

“ซาช่าใช่ไหม” นิโคไลหลุบตามองรอยสักรูปงูบนหลังมืออีกฝ่าย พลางนึกถึงรายงานการรับสมัครลูกทีมที่ส่งมาถึงเขาวันนี้ เมื่อนึกออกว่าผลการทดสอบเบื้องต้นของหมอนี่เป็นอย่างไร เขาก็เขี่ยบุหรี่ “อีกสามวัน นายจะได้แนะนำตัวเมื่อลงจากรถโดยครบสามสิบสอง”

ซาช่ายิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ด้านซ้าย เขาสั่งวอดก้ามากระดกแก้วแล้วแก้วเล่า คอแข็งจนสมเป็นพวกรัสเซียน แต่ก็น่าสนใจว่าซาช่าเป็นรัสเซียนที่ไม่ติดสำเนียงของฝั่งนั้นมาเลย ภาษาอังกฤษที่เขาใช้เป็นนิวยอร์กเกอร์โดยแท้ หรือเวลาสื่อสารในภาษาอิตาเลียนก็จะติดสำเนียงแบบนิวยอร์กเกอร์ ไม่มีความเป็นรัสเซียนเจือปน

นิโคไลมองชายผมทองที่เป็นเหมือนอาหารตา หมอนี่หล่อเหลา มีรอยยิ้มรักสนุกดูเข้าหาง่าย รูปร่างแข็งแรงสูงใหญ่ชวนให้คิดไปไกล มีคุณสมบัติเป็นนักล่าบนเตียง จะชายหรือหญิงคงถูกล่าจนร้องไห้มาแล้วไม่น้อย

โรเมโอน่าจะชอบ เขาคงต้องไม่ลืมสอนน้องชายว่า ผู้ชายประเภทนี้กินเล่นได้อย่างเดียว อย่าไปให้ใจ

“ไม่มีใครมาทำแผลให้หรือ”

นิโคไลค่อยรู้สึกตัวว่าเลือดจากมือเปรอะโซฟาหนังอยู่ บาดแผลก็เริ่มตึงเพราะเลือดแห้งติดเนื้อ เขามองไปทางเข้าคลับที่ตนละความสนใจมาสักพักแล้วตอบง่ายๆ “รอว่าใครมารับ ค่อยไปกับคนนั้น”

“แฟนคุณสองคนถูกเทวทูตพาไปพักสงบสติอารมณ์แล้ว” ซาช่าบอก “เหลือแต่ผม”

“งั้นหรือ” นิโคไลหัวเราะเบาๆ กับคำว่า ‘แฟน’ เขาไม่รู้จักแอนทอนมาก่อน อีกฝ่ายก็ไม่ได้รักใคร่ชอบพอเขา จะเรียกว่าแฟนได้อย่างไร ส่วนไพโร...รายนั้นห่างไกลคำว่าแฟนสุดกู่

ก็แค่คนที่นอนด้วยกัน

“งั้นเดี๋ยวน้องชายฉันคงมารับ” ชายหนุ่มร่างเล็กเหมือนแมวแสนสวยขยับไขว้ขา ใช่ว่าเขาฟังคำชวนของอีกฝ่ายไม่ออก จึงยิ้มและมองตรงๆ ดูว่าจะทำอย่างไร

“ยอดเยี่ยม ผมจะได้พาคุณสองคนไปพร้อมกัน ทำแผล เสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกิน”

“มีน้ำใจจัง” นิโคไลพ่นควัน จากนั้นลุกยืน “แต่เราไม่รู้จักกัน ไม่ต้องทำเหมือนสนิทกันก็ได้” เขายืนคร่อมอยู่หน้าซาช่า ลูบหน้าลูบตาอีกฝ่ายก่อนป้อนบุหรี่คืนให้

“อีกสามวัน เจอกัน” คนพูดลดมือแล้วผละออก

ซาช่าสูบลึกก่อนพ่นควันเป็นสาย ดวงตาคมกริบมากเล่ห์จ้องด้านหลังนิโคไลจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไปในกลุ่มคน

นิโคไล...นิกกี้

เขารำพึงกับตัวเอง

น่ารักจริงๆ

————————————————————————-

“มาร์ค...มาร์ค ตื่นเถอะ” มีเสียงกระซิบเบาๆ ข้างหูคนที่นอนหลับอยู่

คนถูกเรียกกะพริบตาปริบๆ มองเพดานที่ไม่คุ้นเคยก็พยายามนึกอย่างหนักว่าตัวเองอยู่ที่ไหน พอหันไปมองด้านข้างจึงได้พบกับนิโคไล

“ตื่นแล้วหรือ” นิโคไลนอนอยู่บนเตียงพยาบาลกับมาร์ค เขาไม่ได้สวมหน้ากากหรือเสื้อโค้ตเมื่ออยู่ในห้องพักคนไข้ แผลที่มือได้รับการดูแลเรียบร้อย ติดผ้าก๊อซ พันผ้าพันแผลไว้ เขาต้องเย็บแผล และคงหายไม่ทันสามวันข้างหน้าซึ่งเป็น ‘วันทดสอบ’

“เกิดอะไรขึ้น มือคุณเป็นอะไร” มาร์คยกสันมือนวดกระบอกตา หัวปวดจี๊ด ใบหน้าก็รู้สึกระบมไปหมด

“จำไม่ได้จริงๆ เหรอมาร์ค ค่อยๆ นึกสิ คุณหลับไป แต่ไม่นานมาก”

“ผมนึกไม่ออก” มาร์คขบกราม “ไม่สิ ผมนึกไม่ได้...ผมนึกไม่ได้”

นึกไม่ออกกับนึกไม่ได้แตกต่างกันอยู่มาก ‘นึกไม่ออก’ คือเวลาที่คุณพยายามนึกแต่ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมา ขณะที่ ‘นึกไม่ได้’ คือเวลาที่คุณพยายามนึกแต่ ‘มีบางอย่าง’ ในจิตใต้สำนึก ‘ปิดกั้น’ ไม่ให้คุณนึกได้

“มาร์ค ชี่…” นิโคไลกอดอีกฝ่าย เขาซบหน้าลงข้างหูมาร์ค ส่งเสียงปลอบต่ำและเบา

“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้” มาร์คน้ำตาซึมขณะยิ้มสมเพชตัวเอง “วันที่จิตแพทย์จะกลายเป็นบ้าเสียเอง”

“ฮันเตอร์เล่าเรื่องคุณให้ฟังแล้ว ผมเจอแอนทอนเป็นครั้งที่สอง เขามาช่วย ผมเลยมีแผลแค่นี้” นิโคไลขยับมือที่ถูกพันอย่างแน่นกระชับให้มาร์คดู

------------------------------------------

A/N มาร์คกลับมาแล้วค่ะ ;w; ส่วนซาช่า ชิ้วๆ อย่ามองนิกกี้นะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 4-4 [15/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 15-03-2018 18:03:33
Case 4-4

“ผม...พยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง” มาร์คทำท่าคล้ายลูบมือข้างที่บาดเจ็บของนิโคไล แต่ไม่วางมือลงไปให้ระคาย “ผมไม่ได้ทำร้ายคุณใช่ไหม”

“ไม่ คุณไม่ได้ทำร้ายผม...” นิโคไลหอมแก้มอดีตสามี “แต่คุณทำร้ายคนอื่น มาร์ค หรือต้องบอกว่า แอนทอนทำ”

“แอนทอนคือผม ซึ่ง...ผมต้องยอมรับ”

“คุณชกไพโรเสียยับเยิน” ซึ่งหน้ามาร์คก็ยับเยินไม่ต่างกัน

“ไพโร?”

“คนบ้าอีกคนน่ะ ไม่ต้องสนใจ”

“ผมควรสนใจ นิกกี้” มาร์ครั้งนิโคไลเข้ามากอด ซุกจมูกบริเวณต้นคอ สูดกลิ่นซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น

นิโคไลตัวอ่อนในอ้อมแขน เขาปล่อยให้มาร์ครู้สึกสบายที่สุด ก่อนจะลูบหลัง ถามไม่เร็วไม่ช้า

“ฮันเตอร์บอกใช่ไหมว่าคุณทำอะไรกับอัลฟีโอและอดีตสามีเขา”

มาร์คพยักหน้ากับบ่าของนิโคไล เขาจำไม่ได้ สักนิดก็จำไม่ได้ แอนทอนแยกขาดจากเขาโดยสิ้นเชิง แต่ในฐานะจิตแพทย์ เขาจะว่าแอนทอนไม่ใช่เขาก็ไม่ได้ แอนทอนคือเขา เขาคือแอนทอน สิ่งที่แอนทอนกระทำเกิดขึ้นจริง เขามีภาวะทางจิตอย่างแท้จริง มีหลักฐาน มีพยาน นั่นคือสิ่งที่เขาต้องยอมรับและหาทางแก้ไข

“ฮันเตอร์บอกว่าผมต้องมีคนคุ้มหัว แต่ผมว่าไปหาตำรวจน่าจะดีกว่า” มาร์คถอนใจ เขากลัว เหนือสิ่งอื่นใด เขาลังเลที่จะเข้ามอบตัวในเมื่อทางรอดฉายชัดอยู่ตรงหน้า และมันทำให้เขารู้สึกผิด

มือเล็กกดนวดบนกล้ามเนื้อหลังและไหล่ตึงแน่น นิโคไลชอบทำแบบนี้เวลาใช้ความคิด “คุณรู้ไหมว่าพี่ชายคุณทำอะไร”

“หมายถึง?”

“รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน”

“สมาคมที่ไม่ถูกกฎหมาย”

“พี่ชายคุณเลือกทางที่ไม่ถูกกฎหมาย เขาอยากให้คุณเป็นเหมือนเขา ผมไม่รู้ว่าแอนทอนคิดยังไง แต่คุณไม่น่าอยากเป็นแบบฮันเตอร์”

“ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” มาร์คว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณทำอะไร...ที่นี่” เขากระชับอ้อมกอด

“เรื่องของฮันเตอร์ ให้เขาบอกเองแล้วกัน ผมไม่อยากยุ่ง ไม่อยากโดนบุกมาบีบคออีกรอบด้วย ส่วนผมทำอะไร...อืม ผมไม่คิดว่าต้องอธิบาย เราไม่ได้มาพูดเรื่องผม แต่พูดเรื่องคุณ คุณรู้ไหมว่าอัลฟีโอก็อยู่ที่นี่ด้วย ในโรงพยาบาลของสมาคม เขายังไม่ได้ออกไป ไม่รู้ว่าฮันเตอร์ไปตกลงอะไรไว้กับคนข้างใน แต่คุณต้องเลือกมาร์ค ว่าอัลฟีโอจะได้ออกไปจากที่นี่หรือไม่ และในสภาพไหน”

“ผมจะไปหาเขา” มาร์คดันนิโคไลออกอย่างนุ่มนวล “ผมจำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่เกิดขึ้น ผมต้องรับผิดชอบ”

แต่เขายังไม่ทราบว่าต้องรับผิดชอบอย่างไร

เพราะแม้แต่ศพอดีตคนรักของอัลฟีโอซึ่งเป็นหลักฐานชั้นดีก็ยังไม่ทราบว่าฝังไว้ที่ไหน

“คุณจะไปทำให้เขากลัวลนลานจนเป็นบ้าหรือ”

“ผมควรทำยังไง นิกกี้” มาร์คเม้มปาก “ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไปแล้ว”

“ที่จริงผมแปลกใจด้วยซ้ำว่าฮันเตอร์เก็บอัลฟีโอไว้ทำไม มันไม่ใช่นิสัยเขาที่จะเก็บปัญหาไว้” นิโคไลหลับตา คล้ายเจอวันที่เหนื่อยและหนักจนต้องการพักผ่อน “แต่คิดอีกที คำตอบก็ง่ายๆ เขาห่วง ‘คุณ’ กลัวคุณจะไม่กลับมา กลัวว่าแอนทอนจะยึดครองร่างหากอัลฟีโอตายเพราะคุณเป็นสาเหตุ เขาจะโกหกก็ได้ แต่เขาคงกลัว...กลัวมากๆ ที่จะเสียคุณไป ถึงได้ทำอะไรไม่สมกับเป็นเขาอย่างช่วยเหยื่อไว้”

“คุณเชื่อในตัวผมไหม” มาร์คกอบใบหน้านิโคไล

“ไม่รู้สิ” นิโคไลลืมตาตอบ “ผมคิดว่า เราควรเชื่อในตัวเองมากกว่ารอให้คนอื่นมาเชื่อในตัวเรา”

“หรือ” มาร์คจูบหน้าผากอดีตคนรัก “ผมต้องการคุณมากกว่าครั้งไหน นิกกี้...ผมพูดตรงเกินไปหรือเปล่า”

“มีทางออกนะ คุณทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นได้ ในเมื่อคุณจำไม่ได้ ก็แค่ย้ายไปอยู่ที่ไกลๆ ส่วนอัลฟีโอ ถ้าคุณไม่อยากให้เขาตาย ฮันเตอร์คงจัดการได้ ที่นี่เขาทำให้คนลืมความทรงจำแย่ๆ ได้ ...แค่ใช้เวลาหน่อย”

นิโคไลไม่ขยายความว่า ‘และต้องใช้อย่างอื่นมากกว่าเวลา’ การลบความทรงจำเป็นทางเลือกที่มีค่าแลกเปลี่ยนสูง แม้ผลลัพธ์ทำให้ยังมีชีวิตต่อไปได้ แต่ระหว่างทางอาจเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจจนอยากตายๆ ไปเสียดีกว่า อีกทั้งความทรงจำเป็นส่วนหนึ่งของคนเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หากเราขาดส่วนหนึ่งของตัวเองไป ก็คงคล้ายกับคนพิการ

ทว่าจากสิ่งที่อัลฟีโอเผชิญมา...ให้เขาลืมมันไปอาจดีเสียกว่า

“นิกกี้...ผมไม่มีวันเลือกทางนั้น”

“แต่คุณดูไม่มีทางอื่นให้เลือกนะ มาร์ค”

“ผมทำผิด ผมต้องรับผิดชอบ”

มาร์คจูบขมับนิโคไลก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัว เขาคิดว่าตัวเองไม่ควรพบอัลฟีโอตามนิโคไลว่า ถ้าอย่างนั้นอันดับแรกที่ควรทำคืออะไร คุยกับฮันเตอร์? ป่วยการเปล่า ฮันเตอร์จะปกป้องเขา แล้วอย่างไรต่อละ

เขารู้สึกคล้ายไม่เหลืออำนาจการตัดสินใจใดในมือ

ประตูห้องพักคนไข้เปิดออก คนที่ถลาเข้ามาคือจิล เมื่อเขาเห็นมาร์คก็ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วโผเข้ากอด “นายกลับมาแล้ว!”

“ไง...จิล” มาร์ครับกอด “ฉันหายไปนานเลยหรือ”

“ก็ฮันเตอร์พานาย หมายถึงพาแอนทอนมาที่นี่โดยไม่บอกฉันนี่นา ฉันเลยต้องมาตาม” จิลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาเป็นอีกเสียงหนึ่งที่คัดค้านเรื่องให้แอนทอนเป็นบุชเชอร์

“คนรอบตัวฉันรู้จักที่นี่หมดเลยหรือ” มาร์ครำพึงขณะลูบศีรษะเจเรไมน์

“กลับบ้านเรากัน ฉันจะดูแลนายเอง” จิลสะอื้น เกาะมาร์คไม่ปล่อย มาร์คอาจไม่ทันสังเกต แต่จิลแยกเขากับแอนทอนได้ไวมาก นั่นเพราะจิลมีประสาทสัมผัสไวกว่าคนปกติ ยิ่งเขาใกล้ชิดคุ้นเคยกับมาร์ค จึงแยกสองบุคลิกนี้ได้อย่างรวดเร็ว

“ขอบใจนะ” มาร์คหัวเราะเบาๆ “แต่ฉันต้องมอบตัว”

“จะมอบยังไง แกไม่ได้ทำอะไรเลย” ฮันเตอร์ตามจิลเข้ามา สีหน้าเครียดขึ้ง “จำได้หรือไงว่าฆ่าคน จำได้หรือไงว่าเอาศพไปฝังไว้ที่ไหน แกจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างแล้วจะให้การยังไงหืม สวัสดีคุณตำรวจ ผมว่าผมฆ่าคน ถามพี่ชายผมดูก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแกคิดว่าฉันจะตอบอะไรพวกมัน ครับ ใช่ครับ จับน้องชายของผมได้เลย ไม่...ไม่ มาร์ค แอนโธนี ฉันจะไม่พูดในทำนองนั้น ฉันจะพูดว่านายป่วยเพราะโรคเครียดทำให้หลุดเพ้ออะไรๆ ไปบ้าง ส่วนอัลฟีโอ ถ้ามันอยากอยู่ มันต้องเงียบ”

“พวกเผด็จการ” นิโคไลลุกขึ้นมานั่งไขว่ห้างบนเตียง พอคนด้านหน้าห้องหันมามอง เขาก็ยกยิ้มให้

“นิกกี้” จิลเพิ่งสังเกตเห็นอีกฝ่าย เพราะทีแรกเขารีบร้อนเข้ามา

“ไง จิล” นิโคไลขยิบตา จากที่ฮันเตอร์เล่าเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวของแอนทอน ถ้าจิลเป็นคนดูแลมาร์ค เขาคิดว่าแอนทอนคงไม่ทำอะไรจิล

“มาร์ค” ฮันเตอร์ไม่สนใจนิโคไล เขาเดินเข้ามาจนชิดน้องชาย “นายทำอะไรไม่ได้ นายไม่มีพลัง คิดว่า ‘คนที่นี่’ จะยอมให้นายไปหาตำรวจหรือ”

“เขาเลือกทางของเขาเองได้ ถ้าเขาอยากสู้คดีอย่างที่คนทั่วไปทำกัน ก็ให้เขาทำไปสิ” นิโคไลเอ่ยแทรก

“เงียบเถอะนิกกี้” ฮันเตอร์ยกมือโดยไม่หันไปมอง เขายังจ้องมาร์คตาไม่กะพริบ

“ผมตัดสินใจแล้วพี่” มาร์คยืนยันหนักแน่น “ผมจะมอบตัว”

“ก็ลองดู” ฮันเตอร์เหยียดยิ้ม “สิ่งที่นายควรรู้ มาร์ค แอนโธนี...ฉันเป็นบุชเชอร์คนเดียวของที่นี่ ฉันทำงานดี คนข้างบนช่วยฉันได้ ถ้าฉันไม่ให้แกติดคุก ถ้าฉันอยากให้แกสะอาด แกก็จะสะอาด” เขาทิ่มนิ้วที่อกมาร์ค “และนิโคไล...มันก็จะช่วยแก มันทำได้ เพราะมันเป็น—”

“นี่มันสมัยไหนแล้วฮันเตอร์ จะรอดหรือไม่รอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามอบตัวหรือไม่มอบตัว ทนายดีๆ มีถมไป โดยเฉพาะทนายของที่นี่ เผื่อนายลืม!” นิโคไลขัดจังหวะอีกครั้ง

“อา...หนวกหู!” ฮันเตอร์หันไปหานิโคไลในที่สุด

“ฮันท์!” มาร์คขึ้นเสียงปรามพี่ชาย “ผมฆ่าคน!” ดวงตาเรืองสีแดงขึ้นวูบหนึ่ง “ไม่มีใครฆ่าคนแล้วหนีได้ อย่างน้อยก็ในสายตาพระเจ้า!”

“ที่นี่ไม่มีพระเจ้า!”

“มาร์ค! คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฆ่า คุณสู้คดีในฐานะผู้ป่วยได้ อย่างน้อยแบบนั้นพระเจ้าก็ลงโทษด้วยการริบที่ยืนในสังคมของคุณไป คุณจะได้รับโทษเท่าที่ควรได้รับ พอใจไหม” นิโคไลพูดอย่างติดรำคาญ แต่การแทรกของเขาทำให้สีแดงในดวงตามาร์คจางลง

“นักส่งของ…” ฮันเตอร์เอียงศีรษะ “แกไม่ใช่คนในครอบครัว อย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง”

มาร์คได้ทดคำหนึ่งไว้ในใจ

‘นักส่งของ’

“ฮันเตอร์” นิโคไลเข่นเขี้ยว ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “อย่าเริ่มนะ ไม่งั้นเราเห็นดีกันแน่”

“ผมไม่อยากถามตอนนี้ แต่ผมคงต้องถาม” มาร์คนวดหัวตา “บุชเชอร์...นักส่งของ พวกคุณมี ‘ตำแหน่ง’ ในนี้หรือ”

นิโคไลกอดอกอย่างไม่พอใจ ส่วนจิลตาโตเพราะตกใจ

“ฮันเตอร์…” จิลครางเป็นทำนองขอร้องว่า ‘จะบอกมาร์คจริงๆ หรือ’ เขาเองก็เพิ่งทราบว่านิกกี้ทำงานให้สมาคมใต้ดินเช่นเดียวกับฮันเตอร์ แม้เขาไม่ทราบรายละเอียดงาน ‘นักส่งของ’ แต่รู้ว่าบุชเชอร์ทำอะไร และนั่นไม่ใช่สิ่งที่มาร์คควรรู้!

จิลไม่ได้คิดถึงตัวเอง ว่าเขาเองก็เป็นผู้ร่วมมือกับฮันเตอร์ แต่เขาคิดถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องที่อาจเปลี่ยนไปตลอดกาลหากพูดความจริง

“ฉันฆ่าคนเป็นอาชีพ” ฮันเตอร์แสยะยิ้ม

“ฮันเตอร์!” จิลร้อง

“ฉันขายชิ้นส่วนมนุษย์ มาร์ค แอนโธนี”

คำตอบของฮันเตอร์ทำให้มาร์คถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงนิ่ง เงียบ และไม่พูดอะไรอีก

นิโคไลดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น เหมือนเขาฟังเรื่องแบบนี้มาจนชิน ส่วนจิล...ก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าเม้มปาก

มาร์คเพิ่งทราบว่าคนรอบตัวเขา...จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นมาโดยตลอด ทั้งฮันเตอร์...จิล...นิโคไล

นาน...กว่ามาร์คจะพยักหน้า เขาเรียกสติ แต่พบว่ามันเลือนไปทุกขณะ ความจริงเกี่ยวกับพี่ชายทำให้เขาเหมือนถูกผลักเข้าไปในกลุ่มหมอกอันมืดทึบจนหายใจไม่ออก

ฮันเตอร์ขายชิ้นส่วนมนุษย์...ฮันเตอร์ขายชิ้นส่วนมนุษย์

เขาคิดซ้ำไปซ้ำมา

และยังคงเวียนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสติสุดท้ายหมดไป

พร้อมกับนัยน์ตาสีแดงซึ่งเริ่มฉายแสงเรือง

----------------------------------------

A/N ฮันท์กล้าพูดความลับแบบนี้ จิลเป็นห่วงมากเลยค่ะ ^^;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 4-5 [16/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 16-03-2018 22:33:11
Case 4-5

“ฉันเป็นหนึ่งในผู้ดูแลของที่นี่”

อัลฟีโอได้พบชายที่ชื่อเกเบรียลเกือบทุกวัน ชื่อเขาเหมือนอัครเทวาองค์หนึ่ง ซึ่งแม้คุณไม่สนใจไปโบสถ์ ก็ย่อมเคยได้ยินชื่ออันสากลนี้ผ่านหู และชายตรงหน้าก็มีผมสีทองสว่าง ดวงตาสีฟ้าอ่อน สีหน้าท่าทางดูสงบ สง่า เหมือนอัครเทวาจริงๆ

อัลฟีโอยังนอนอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือติดแขน เขาได้รับอาหารและพักผ่อนเพียงพอจนสีหน้ามีเลือดฝาดดีแล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่ค่อยมีแรง ขนาดจะลุกไปเข้าห้องน้ำยังต้องเรียกพยาบาล

“ที่นี่? หมายถึงโรงพยาบาลนี้เหรอครับ” เขาถามอย่างระมัดระวัง เพราะเอะใจมาสักพักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ทั้งหมอหรือตำรวจ

“ใช่ ของโรงพยาบาลนี้” เกเบรียลตอบอย่างสุภาพ เขารินน้ำให้คนเจ็บซึ่งเกือบหายดีเป็นปกติแล้ว กระดูกแขนประสานกันในความเร็วน่าอัศจรรย์จนอัลฟีโอยังประหลาดใจ

“ผม...จะได้ออกไปเมื่อไรครับ” อัลฟีโอไม่รับน้ำ

“เธออยากออกไปเมื่อไรล่ะ” เกเบรียลดึงแก้วคืนมาแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง เขาประสานมือไว้บนตัก ตอบกลับด้วยคำถาม

“ผม…” อัลฟีโอจนคำพูด หมอและพยาบาลที่นี่ดูแลเขาดี...ดีมากๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีห่วงรัดคอจนพูดหรือทำอะไรไม่สะดวก สายตาที่คล้ายอ่อนโยนแต่แฝงความเฉยชาของอีกฝ่ายก็ด้วย…

เขาไม่ได้ถูกจับขังไว้อีกแล้ว มีอิสระแล้วไม่ใช่หรือ...แต่ทำไมถึงยังรู้สึกเหมือนถูกล่ามไว้ในห้องใต้หลังคาห้องเดิม

...ในฝันร้ายที่ไม่ยอมหายไป

“มิสเตอร์เกเบรียล มีเรื่องที่ต้องการความสนใจจากคุณค่ะ” นางพยาบาลชุดขาวเข้ามาบอกอย่างสุภาพ

“เรื่องนั้นรอได้ไหม มีอา” เกเบรียลยกมือขึ้นขัด “ผมกำลังคุยกับคุณคนนี้” เขาไม่ละความสนใจจากอัลฟีโอ ในช่วงอาทิตย์นี้ สมาคมต้อนรับ ‘ผู้มาเยือน’ สองคน อัลฟีโอคือหนึ่งในนั้น ตามกฎผู้มาเยือนต้องจากไปภายในหนึ่งอาทิตย์ หรือเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม (หรือใช้เวลาพิจารณามากกว่านั้น ซึ่งอนุมัติยากและอนุญาตเป็นกรณีไป)

เขากำลังจะเอ่ยปากแจ้งรายละเอียดแก่อัลฟีโอแต่ถูกขัดเสียก่อน

“ถึงดิฉันอยากปล่อยให้คนก่อเรื่องได้รับผลการกระทำของเขามากแค่ไหน แต่เกรงว่าถ้าคุณไม่ไปห้าม เราต้องเรียกยาม แล้วโรงพยาบาลอาจต้องเสียยามไป เรายังไม่พร้อมจะเสียบุคลากรมีค่ากับเรื่องไม่เป็นเรื่องค่ะ”

มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ครั้งแรกก็ที่คลับไฟร์พิท คราวนี้ใน ‘โรงพยาบาล’

           “มิคาเอล ราฟาเอล...ไม่อยู่หรือ”

นางพยาบาลมีอาส่ายหน้า

“โปรดรอสักครู่ ผมจะรีบกลับมา” เกเบรียลลุกขึ้นและกลัดกระดุมสูท เขาขยับแว่นตาเล็กน้อย ท่าทางคล้ายระดับผู้บริหารโรงพยาบาลแต่ใบหน้ายังอ่อนวัย คะเนแล้วไม่น่าเกินสามสิบห้า

มีอานำเทวทูตออกจากห้องคนไข้ไปยังระเบียงทางเดิน ให้เขาลงลิฟท์ไปชั้นผู้ป่วยนอก ทั้งสองเดินผ่านห้องคนไข้ห้องหนึ่งซึ่งมีเสียงดังตึงตังมาจากด้านใน ทว่าหล่อนเพียงส่ายหน้า “ระดับนั้น ไม่ต้องถึงคุณค่ะ”

นางพยาบาลสาวนำเกเบรียลเข้าไปลึกอีก ไกลจากห้องคนไข้ห้องแรก เมื่อเปิดประตู กลิ่นหอมเหมือนไฟฟุ้งอยู่ทั่วห้องพร้อมกับเสียงสบถด่า บุรุษพยาบาลกำลังประคองหมอที่ยืนตัวงอ มือกุมจมูกอยู่มุมหนึ่ง ทั้งสองยืนห่างจากคนไข้ ไม่เสี่ยงเข้าไป

“เขาทำร้ายหมอ อย่างที่คุณเห็น” มีอาแจ้งสถานการณ์กับเกเบรียล

เทวทูตพยักหน้า ก่อนจะสืบเท้าเข้าไปใกล้คนก่อเหตุ “ว่าอย่างไร ไพโร” เสียงของเกเบรียลนุ่มนวล “ไม่ต้องการหมอหรือ”

“อย่าเสือกเรื่องคนอื่นให้มากนัก เทวทูต คนจะชกกันที่คลับมันผิดตรงไหน ปกติไม่เห็นเคยสนใจ!” ชายผมแดงกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูด แขนเขาใหญ่ ท่าทางก็ว่องไว ที่ชกหมอแค่จมูกแตกเพราะหมอไหวตัวทันแล้วเขาไม่ได้ตามเข้าไปซ้ำ

“ไม่ให้เสือกเห็นจะไม่ได้ คุณเป็นสมบัติล้ำค่าของสมาคม” เทวทูตยิ้มมุมปาก ก่อนหาที่นั่งให้ตัวเองโดยไม่เกรงอารมณ์คุกรุ่นของไพโร หรือ ‘นักปรุงน้ำหอม’ “ร่างกายฟื้นฟูดี” เขาวิจารณ์

“เรียกนิโคไลมา ไม่งั้นก็เลิกขวางทาง ฉันจะไปหาเอง” ไพโรยิ้มบ้าๆ ทั้งที่หน้าตาสะบักสะบอม เขาเสยผมที่เสียทรงจนตกลงมาปรกหน้า เวลานี้เสื้อนอกสีแดงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเลือดตรงคอเสื้อ กระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนหลุดรุ่ย เผยช่วงคอแกร่งชุ่มเหงื่อ

“เราไม่มีหน้าที่ในการเรียกใครมาให้คุณนะ ไพโร…” เกเบรียลมองตามชายที่ดูคล้ายสัตว์ป่า “แต่เรามีหน้าที่ดูแลคุณ...ให้เราดูแลคุณได้หรือไม่ นักปรุงน้ำหอม”

“อย่าคิดว่านายมาแล้วฉันจะไม่กล้า เกเบรียล” ไพโรแสยะอย่างคนที่ ‘กล้า’ และ ‘บ้า’ เหมือนไม่กลัวเสียอะไร

“คุณเป็นคนกล้า เราทราบดี ตกลงว่าคุณอยากพบนักส่งของ ถ้าอย่างนั้น…ให้หมอตรวจร่างกายคุณสักหน่อย แล้วเราไปหานิโคไลกันดีไหม”

คนฟังหัวเราะเสียงดังพร้อมทำหน้าตายียวนแบบเป็นปฏิปักษ์เต็มที่ “เอาไปหลอกเด็กเถอะ เทวทูต ไม่ต้องตรวจอะไร ไอ้หมอเก๊นี่จะฉีดยาให้ฉันตายละไม่ว่า เหมือนที่มันเคยทำข้างนอกไง”

“ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่สิ ไพโร...ผมกับคุณ เรานั่งคุยกันดีๆ ได้ไม่ใช่หรือ” เกเบรียลปรายตาไปทางหมอ “ไหน หมอ...นั่นยาอะไร จำเป็นต้องฉีดด้วยหรือ”

“ยากล่อมประสาท” หมอตอบ เขามองไพโรสายตากร้าว เป็นหมอคนเดียวกับที่ดูแลอัลฟีโอ

เทวทูตพยักหน้าเข้าใจ “เขาไม่เป็นไร” จากนั้นก็โบกมือให้หมอและพยาบาลออกไป

“คุณไม่พอใจหมอคนนี้ ผมเปลี่ยนให้ดีไหม”

ไพโรหัวเราะแล้วหยิบผ้าสะอาดข้างเตียงคนไข้มาเช็ดมือ หลังมือเขายังถลอกปอกเปิก เพราะไม่ยอมรับการรักษา “หมอแค่โดนหางเลข ที่ฉันไม่พอใจจริงๆ คือการที่เทวทูตมาเสือก แถมยังให้มิคาเอลมา!” เห็นเป็นคนบ้าบอแบบนี้ ไพโรก็อ่อนให้กับผู้หญิง การส่งมิคาเอลที่เป็นผู้หญิงและราฟาเอลมาแยกเขากับผัวเก่าของนิโคไลจึงยิ่งเพิ่มความหงุดหงิด ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงหรือมาแค่ราฟาเอล เทวทูตย่อมโดนอัดไปพร้อมกันแล้ว

“พี่ชายคุณสบายดีไหม ไพโร” เกเบรียลถามเรียบๆ ดูเหมือนเทวทูตคนนี้จะชอบถามคำถามให้ ‘คิด’

ใช่… ‘คิด’

“อา!” ไพโรคำราม “นอกจากหัวหน้าแกแล้ว แกนี่มันไร้สามัญสำนึกที่สุดในกลุ่มเลยใช่ไหม” หัวหน้าของเกเบรียล—ของเทวทูตทั้งหมดเป็นพวกไร้สามัญสำนึก และเกเบรียลเป็นมือขวาของชายคนนั้น จึงมีวิธีจัดการ ‘พวกชอบหาเรื่อง’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพคล้ายๆ กัน

“ได้ยินว่าเขาละเมิดกฎของทางสมาคมหลายครั้งอยู่เหมือนกัน หรือผมอาจเข้าใจผิดไปเอง”

เรื่อง ‘พี่ชาย’ เป็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของไพโรทีเดียว

“เรา ‘คุย’ กันได้ นักปรุงน้ำหอม คุณมีวาทศิลป์ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง”

ไพโรยอมนั่งลงในที่สุด เขานั่งตรงขอบเตียง ดวงตาสีแดงร้อนแรงมองตรงยังเทวทูต ประกายในดวงตาเหมือนไฟนรกที่พร้อมแผดเผาอีกฝ่ายให้เป็นจุณ “งั้นฟังวาทศิลป์ของฉันไว้ เกเบรียล พี่ชายฉัน มันเกินเยียวยา ฉันยอมรับว่าต้องพึ่งพาพวกแกในการช่วยกลบกลิ่นเหม็นเน่าที่มันทำไว้ ...แต่!” เขาชี้หน้าเกเบรียล แสยะยิ้มกว้าง รอยยิ้มกดลึกเหมือนถูกกรีด “สักวันหนึ่ง คนเราต้องตาย ถ้ามันตาย...ถ้ามันตายเมื่อไรนะ ใครที่เอาเรื่องของมันมาฉุดฉันไว้ จะได้มีกลิ่นเน่าเหม็นของบาปติดจมูกไปตลอดชีวิต” ถ้าผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลิ่นซึ่งเสกสุนัขให้ทำร้ายคนได้ดังใจพูดเองขนาดนี้ แปลว่าเขามั่นใจว่าทำได้จริง

“ยินดี” เกเบรียลผายมือ

หากคนของโลกใต้ดินโฉดชั่ว แล้วเทวทูตของพวกเขาเล่า...จะเป็นอย่างไร

————————————————-

เมื่อเล่าเรื่องตัวเองเป็นนักค้าอวัยวะไปแล้ว ฮันเตอร์เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับมาร์ค เขามองสบดวงตาสีแดง ก่อนหันไปมองจิลกับนิโคไล สีหน้าเคร่งเครียดบอกชัดว่าต้องการใช้เวลากับน้องชายเป็นการส่วนตัว

จิลลังเล เขาอยากอยู่กับฮันเตอร์ แต่ในเมื่อคนรักตัดสินใจว่าเรื่องนี้ต้องพูดคุยกับมาร์ค...หรือแอนทอนตามลำพัง เขาก็ยอมถอย “ถ้ามีอะไร...ฉันรออยู่ข้างนอกนะ ฮันเตอร์”

นิโคไลลงจากเตียงแล้วไปสมทบกับจิล เขาเหลือบมองแอนทอน เมื่อแอนทอนออกมา...ก็คงไม่จำเป็นต้องมีเขา

ฮันเตอร์หันกลับมามองแอนทอนเมื่อทั้งคู่ออกไปแล้ว เขาเปิดปากถามสิ่งที่สงสัย

“ทำไมแกถึงออกมา”

“เขากำลังกลัว” แอนทอนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

คำตอบเรียบๆ ของอีกฝ่ายทำให้ฮันเตอร์ถอนหายใจหนัก เขาพอเดาได้ว่ามาร์คจะรู้สึกแย่ขนาดไหนหากรู้เรื่องความเกี่ยวพันของเขากับสมาคมใต้ดิน แต่ไม่คิดว่ามันจะกระทบอารมณ์น้องชายจนผู้พิทักษ์ตื่นขึ้นมา

นักค้าอวัยวะคว้าเก้าอี้เยี่ยมไข้แถวนั้นมานั่ง แล้วจึงกอดอกมองมาร์คหรือแอนทอนที่ยืนมองกันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อย่างพิจารณา ฮันเตอร์ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เมื่อนานมาแล้ว—การเผชิญหน้ากับคนรู้จักที่เขาแน่ใจว่าไม่รู้จัก

มันเป็นช่วงแรกๆ ของการทำงานในสมาคม สมัยที่บุชเชอร์ยังรวมทีมทำงานเหมือนนักส่งของ มีนักค้าอวัยวะคนหนึ่งซึ่งฮันเตอร์คุยด้วยบ่อย อีกฝ่ายเป็นชายอายุประมาณสามสิบนิดๆ ที่ดูท่าทางสุภาพมีน้ำใจและออกจะอ่อนโยนไม่น้อยเท่าที่เขาได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ทว่าเรื่องผิดปกติคือ ‘บางวัน’ นักค้าอวัยวะคนนั้นกลับมีท่าทีต่างออกไปชัดเจน สีหน้าที่เคยสุภาพอ่อนโยนเต็มเปี่ยมด้วยความเหี้ยมเกรียมวิกลจริต ทีแรกฮันเตอร์คิดว่าคนๆ นั้นมีฝาแฝด แต่นักค้าอวัยวะคนอื่นที่พอคุยกันได้บอกว่ามันเป็นอีกตัวตนหนึ่งเท่านั้น มันใช่เรื่องแปลกเลยเพราะฆาตกรอย่างพวกเขาก็บ้ากันเป็นปกติอยู่แล้ว แค่อาการของนักค้าอวัยวะอันดับหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่พบกันบ่อย

เขาคิดว่ามาร์คเป็นแบบชายคนนั้น แต่จะให้ไปถามอะไรเอาตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายหายตัวจากสมาคม ไม่นานหลังกลุ่มนักค้าอวัยวะถูกยุบ สาเหตุมาจากพวกเขาบ้าคลั่งเกินกว่าจะล่าเป็นคู่หรือเป็นทีม

“เอาเถอะแอนทอน แกจะอยู่ก็อยู่ ฉันจะรอจนกว่ามาร์คจะออกมา” เมื่อกล่าวไปเช่นนั้นแล้ว ฮันเตอร์ก็ไม่พูดอะไรอีก

เขารอเช่นที่ว่าไว้อย่างอดทน

--------------------------------------------------

A/N เห็นฮันเตอร์โหด แต่จริงๆ ครอบครัวสำคัญกับเขานะคะ เรื่องนี้มีหลายอย่างที่ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ขอให้จำไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องแต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ^^;

อนึ่ง เราชอบไพโรบทนี้มากเลยค่ะ! เขาดูบ้า แต่ดันมีพี่ชายเป็นเชือกล่ามหมาบ้าเสียอย่างนั้น แสดงว่าไพโรก็มีหัวใจนะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 5-1 [17/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 17-03-2018 18:34:17
Case 5-1

วันทดสอบ

ซาช่าวอร์มร่างกายก่อนลงสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ สนามแรกซึ่งนิโคไลออกแบบสำหรับทดสอบผู้มาสมัครเป็น ‘คู่หู’ คือสนามแข่งความเร็ว

สนามแข่งรถยามกลางคืนนี้เป็นสนามเปิด คนทั่วไปก็สามารถเข้ามาได้ สมาชิกโลกใต้ดินไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่เป็นที่รู้กันว่าเจ้าของสนามแข่งคือสมาคม

สนามแข่งรถผิดกฎหมายเช่นนี้จะย้ายที่ไปเรื่อย ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน ใครอยากเข้าร่วมแข่งขันจำต้องมีเส้นสายหรือมีคนพาเข้ามา สิ่งที่ทำให้นิโคไลสนใจเด็กใหม่ก็คือหมอนี่ไม่มีคนหนุนหลัง แต่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นมาด้วยฝีมือตัวเองล้วนๆ

“นิกกี้ กับสามีเก่าเป็นยังไง” วันนี้ไพโรมาชมการแข่งด้วย เขาไม่ได้ทำงานกับนิโคไล และไม่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ แค่เสนอหน้าอย่างมั่นใจนั่งอยู่ข้างเจ้าของการทดสอบ ทั้งโอบเอวและหอมแก้ม

นิโคไลนั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟาหนังตัวยาวข้างไพโร ลูกทีมเขายืนอยู่ด้านข้าง กำลังนัดแนะรายละเอียดการทดสอบ คนถูกกอดไม่ห้ามไพโร นานครั้งอีกฝ่ายจะแสดงความสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่

“ก็ไม่มีอะไร” นิโคไลตอบง่ายๆ ขณะไพโรไซ้แก้มและหูเขา มือใหญ่จับเอวบางไว้อย่างเป็นเจ้าของ

“มือยังเจ็บไหม” คำถามนี้ของไพโรถามได้น่าชก กระทั่งลูกทีมของนิโคไลที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่คลับยังรู้เลยว่าหัวหน้าทีมของเขาได้แผลมายังไง

“วันนี้อารมณ์ดีมาจากไหน ไพโร” นิโคไลถอนใจแล้วหันไปสบตาชายผมแดงผู้มีใบหน้าหล่อร้ายกาจ เขาเคลียจมูกกับไพโร จากนั้นก็จูบ จูบของทั้งสองเป็นไปอย่างไม่ขัดเขิน เหมือนพาร์ทเนอร์บนเตียงที่รู้ใจ นิโคไลวางมือข้างที่ไม่เจ็บบนแก้มไพโร เขาหลับตาแล้วปล่อยใจให้เพลิดเพลินกับรสจูบ

มีความสงบบางอย่างระหว่างพวกเขา แทบจะเหมือนการพลอดรัก ทว่าขณะที่ไพโรสอดมือเข้าในกลุ่มผมของนิโคไล คนหน้าสวยก็กัดปากอีกฝ่ายเสียเต็มแรง!

ไพโรกระชากศีรษะแมวดุออก เห็นนิโคไลยกยิ้มท้าทายเขา

“ยังเจ็บอยู่” นิโคไลตอบเรื่องมือ และมองเลือดบนปากไพโรอย่างพอใจที่ได้เอาคืน

“เธอนี่มัน” ไพโรปาดเลือดมาดูพลางแสยะยิ้ม เขากระตุกผมจนนิโคไลหน้าหงายแล้วประทับจูบลงไปใหม่อย่างไม่ยอมเข็ดหลาบ

ไกลจากบริเวณนั้น ในห้องพักของนักแข่ง ซาช่าเผชิญหน้ากับคนที่หมั่นไส้เขาอย่างเปิดเผยเป็นคนที่เจ็ด คนนั้นเดินดุ่มมาหาเขา เชิดหน้าข่มเขา และพูดอะไรที่เขาได้ยินได้ฟังมาเป็นร้อยรอบ

“แกคิดว่ามีดีอะไร เด็กใหม่”

ก็มีดีพอตัวจ้ะ...ซาช่าคิดขณะรูดซิปแจ็คเก็ตหนัง เขาลอยหน้าลอยตา ทำเป็นไม่สนใจคนมาหาเรื่อง ซึ่งเป็นวิธียวนอารมณ์ที่ได้ผลมาก

“พนันได้ว่าแกจอดตั้งแต่สนามแรกนี่ละ”

จ้ะ พี่ก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน ซาช่าคิดระหว่างสวมถุงมือหนัง เขาทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายเช่นเคย

“เฮ้ย ฟังอยู่หรือเปล่า”

คราวนี้ซาช่าถูกคว้าแขนหมับ! ขณะที่เขากำลังเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง ชายหนุ่มถอนใจยาว

“ฟังครับ ฟังอยู่”

“แกตายแน่”

“ครับ ผมตายแน่”

“มึงกวนกู!”

“ครับ ผมกวนพี่”

ซาช่ายิ้มแฉ่ง อีกฝ่ายกำหมัดพร้อมออกอาวุธอยู่รอมร่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำอะไร เพราะชั่วอึดใจต่อมา เสียงประกาศให้บรรดานักแข่งเตรียมตัวก็ดังขึ้น

“โชคแกยังดี”

จ้ะ จ้ะ...ซาช่ายกมือคล้ายยอมจำนน แต่ไม่ เลือดนักสู้ในกายเขาฉีดพล่าน พร้อมกระโจนใส่อีกฝ่ายนานแล้ว

คนที่โชคดีน่ะ...แกต่างหาก

นิโคไลยืนเท้าเอวอยู่หน้าผู้เข้าทดสอบที่เป็นชายหนุ่มกลัดมันทั้งหลาย แสงสปอตไลต์แผงใหญ่ส่องลอดส่วนเว้าส่วนโค้งของชายหนุ่มร่างบาง ยิ่งมองบั้นท้ายไร้ส่วนเกินกับช่องว่างระหว่างต้นขาด้านในในชุดหนังรัดติ้ว หลายคนลอบกลืนน้ำลาย

“อยากทำงานกับฉันหรือ งานดีๆ มีไม่ทำ ชอบทำงานเสี่ยงตาย” คนพูดเดินมองหน้าผู้เข้ารับการทดสอบทีละคน รองเท้าบูตส้นสูงยิ่งทำให้ช่วงขาเพรียวยาวน่าฟอนเฟ้น “ถ้าวันนี้รถล้มคอหักตายก็ไม่มีใครจ่ายเงินทำศพให้พวกแกหรอกนะ” เขามาหยุดหน้าซาช่า มือข้างหนึ่งเท้าสะโพก อีกข้างวางบนอกอีกฝ่าย เงยหน้าเหยียดยิ้มให้

ใจซาช่าเต้นเป็นจังหวะหนักแน่น เขายิ้มหวานให้นิโคไล คนแบบนี้ไม่โง่ก็บ้า หรืออาจทั้งสองอย่าง (“และฉันคิดว่าตัวเองเป็นทั้งสองอย่างนั่นละ” ซาช่าเคยบอกหมอซึ่งเป็นคู่หูกัน)

“ขับรถให้ดีเหมือนรอยยิ้ม” นิโคไลยิ้มไปถึงตาก่อนผลักอกอีกฝ่ายเบาๆ มือข้างที่เจ็บของเขาพันผ้าพันแผลแล้วสวมถุงมือหนังทับไว้ คนไม่รู้เรื่องที่คลับย่อมไม่ทราบเลยว่าเขาเจ็บมืออยู่

ซาช่าถือวิสาสะโน้มใบหน้ามาใกล้จนริมฝีปากเฉียดใบหูอีกฝ่าย แล้วกระซิบว่า “คุณจะเห็นนักซิ่งที่เซ็กซี่ที่สุด...ผม”

“ถ้าไม่คอหักตาย” นิโคไลย้ำอย่างนึกสนุกแล้วเดินผ่านกลับไปยืนบนยกพื้นที่มองเห็นทั่วสนามแข่ง

การทดสอบมีด้วยกันสองรอบ รอบแรกคือการแข่งมอเตอร์ไซค์ ผู้ชนะสามคนจากการแข่งรอบแรกจะได้ไปแข่งรอบที่สองซึ่งเป็นการแข่งรถ และนิโคไลจะรับสมาชิกใหม่เข้าทีม ‘นักส่งของ’ เพียงคนเดียวเท่านั้น

เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์กระหึ่มเมื่อผู้แข่งขันเข้าประจำจุดสตาร์ท ผู้ชมจำนวนมหาศาลมุงดูการแข่งขันแทบจะพังขอบสนามที่กั้นไว้ เสียงเชียร์ระงมปนเสียงสบถว่า ‘กูพนันข้างมึง อย่าแพ้นะเฮ้ย!’ หญิงสาวในชุดเสื้อบิกินีกางเกงยีนสั้นแค่เป้าเดินถือผ้าเช็ดหน้ามาอย่างยั่วยวน หล่อนขยิบตาให้ซาช่าซึ่งหล่อเหลาที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน จากนั้นก็ชูมือขึ้นขณะเจ้าหน้าที่สนามแข่งเริ่มนับถอยหลัง

“สาม!”

“สอง!!”

“หนึ่ง!!!”

“ไป!!!!”

ผ้าเช็ดหน้าถูกตวัดลงพร้อมกับที่มอเตอร์ไซค์แปดคันวิ่งผ่านตัวหล่อน!

ภายใต้หมวกกันน็อก ซาช่าเป็นหนึ่งเดียวกับยานยนต์ เขาควบมันตะบึงไปในสนามแข่ง ก่อนเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมใต้ดิน ซาช่าเคยแข่งมอเตอร์ครอสส์มาก่อน ถึงผ่านมาห้าหกปีแล้ว แต่วิญญาณนักซิ่งผู้หลงรักความเร็วอยู่ในตัวเขาเสมอ

ทว่านี่ไม่ใช่การแข่งความเร็วธรรมดา วัตถุที่ไม่น่ามีอยู่กลับปรากฏบนถนนดินลูกรังและทำให้คู่แข่งคนหนึ่งรถไถลแหกโค้งด้วยความคาดไม่ถึง

มีลวดหนามวางอยู่บนพื้นบางจุดโดยผู้จัดการแข่งไม่แจ้งล่วงหน้า ตามด้วยน้ำที่ถูกสาดลงมาจนเส้นทางบางส่วนกลายเป็นถนนโคลนชุ่มฉ่ำ!

นอกจากความเร็ว นิโคไลยังทดสอบสายตาในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ต้องเจอขณะขับขี่รถ รวมถึงความแข็งแรงของร่างกาย สติ และความสามารถในการตัดสินใจที่จะพารถผ่านสภาพถนนอันทรงตัวยากลำบาก

เขาบอกแล้วนี่นา ว่าถ้าตายขึ้นมาก็ไม่มีใครจ่ายเงินทำศพ

ซาช่ากำแฮนด์มอเตอร์ไซค์แน่นขึ้น รถกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว การหักหลบสิ่งกีดขวางอันไม่คาดคิดจึงดำเนินไปอย่างหมดจดโดยไม่เสียทั้งความเร็วและจังหวะ ขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นหักรถหลบจนท้ายปัด หรือเสียหลักเมื่อถึงช่วงโคลน ผู้ชมบนอัฒจันทร์ข้างสนามโห่ร้องและเป่าปากให้กับความสามารถของผู้เข้าแข่งขันหมายเลขแปด แต้มเดิมพันของชายหนุ่มถีบตัวสูงลิ่วในพริบตา

ราวกับรับรู้ถึงแต้มต่อของตัวเอง มอเตอร์ไซค์ของหนุ่มชาวรัสเซียนพุ่งทะยานไปบนพื้นดินลูกรัง ทิ้งคราบโคลนและผู้เข้าแข่งขันคนอื่นไว้เบื้องหลัง

นิโคไลไม่ชายตามองผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในสนาม แต่มองชายในเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำที่ขับมอเตอร์ไซค์ดูคาติถึงเส้นชัยเป็นคนแรก

“เคยแข่งมอเตอร์ครอสส์มานี่นา แค่นี้คงไม่เท่าไร” เขาเปรยอย่างไม่ให้หน้าซาช่า ขณะไพโรเข้ามายืนซ้อนหลังแล้วดึงเอวเขาอย่างไม่ออมแรง ให้บั้นท้ายเขาแนบกับหน้าขาของอีกฝ่าย

“ชอบเวลาอยู่ในสนามแข่ง วันนี้จะขับรถไหม” ไพโรกระซิบเสียงกระเส่า

“ก็อาจจะ” นิโคไลขยุ้มผมสีแดงขณะปล่อยให้อีกฝ่ายไซ้คอเขา คนหน้าสวยครางเบาเมื่อมือใหญ่ล้วงมาลูบต้นขาด้านใน

ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขแปดเอาชนะในสนามแข่งและเข้าเป็นที่หนึ่งชนิดทิ้งคู่แข่งคนอื่นไม่เห็นฝุ่น เสียงเฮดังลั่น นักพนันหลายคนรวยไม่รู้เรื่องจากการลงเงินฝั่งนักแข่งนิรนามที่เป็นม้ามืดของรายการ

ซาช่าผ่อนความเร็วรถและจอดมันในจุดจอด ในใจนึกเสียดายที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยกับการแข่งขันรอบนี้ เขาถอดหมวกกันน็อกและถุงมือหนัง รอยสักรูปงูบนหลังมือดูเด่นขณะเขาเสยเส้นผมสีทองของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นไปหานิโคไลคล้ายจะทวงถามถึงรางวัล

ลูกทีมของนิโคไลเข้ามาถามว่าจะให้ผ่านแค่คนนี้จริงหรือ แม้คู่แข่งคนอื่นจะทุลักทุเล แต่บางคนก็พยายามประคองรถเข้าเส้นชัยได้ในที่สุด

“ตอนส่งของจริง มันมีเวลาให้ช้าหรือไง” ถึงจะห้วนและสั้น แต่คำตัดสินนี้ก็ไม่มีใครเถียงว่าไม่จริง

“ไม่เอาน่า ดูตาบางคนสิ ยังไม่ยอมรับเลย” ไพโรลอยหน้าลอยตาพูด

“ให้เขาขึ้นมา” นิโคไลบอกลูกทีม อนุญาตให้ซาช่าขึ้นมาเหยียบบริเวณที่กันไว้เฉพาะสมาชิก VIP

ชายหนุ่มเดินมาหานิโคไลราวนักรบ เขามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ดวงตาพราวระยับ

‘นักส่งของ’ มีหน้าที่ส่งของจากทางสมาคมไปถึงผู้รับ หรือรับของจากผู้ส่งมาถึงสมาคม ฟังดูเป็นงานง่ายๆ แต่ ‘สิ่งของ’ ที่สมาคมไม่ถูกกฎหมายใช้ผู้เชี่ยวชาญในการขับขี่ยานพาหนะรับส่งโดยเฉพาะ ย่อมไม่ใช่อะไรที่ขนส่งง่ายๆ

ไม่ง่ายเลย...และบางครั้ง นักส่งของไม่รู้ว่าตัวเองกำลังส่งอะไรจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจกลัวหัวหดจนเป็นบ้า หรือทำผิดพลาดให้ถูกตามล่าเอาได้

ทีมนักส่งของประกอบด้วยชายหนุ่มสี่คน หญิงสาวสองคน และนิโคไลผู้เป็นหัวหน้าทีมรวมเจ็ดคน ปกติสมาชิกจะมีแปดคน และทำงานกันเป็นคู่เพื่อส่งของให้ถึงจุดหมาย หากคนใดคนหนึ่งพลาด ก็ยังมีคู่หูคอยช่วย ทว่าคู่หูคนเก่าของนิโคไลบาดเจ็บจนไม่สามารถขับรถต่อได้ จึงมีการคัดเลือกสมาชิกใหม่เข้าทีม และจะเลือกคนหนึ่งในทีมขึ้นมาเป็นคู่หูของเขา

“การแข่งมีสองรอบ แต่นายคนเดียวผ่านรอบแรกจนไม่เหลือคู่แข่งคนอื่น ดีใจไหม”

“ก็…” ซาช่าไหวไหล่ “ตอบยาก แต่สะใจดี”

“ทุกคนในที่นี้ยังไม่ยอมรับนาย รวมถึงฉันด้วย เราจะแข่งรถกันอีกรอบตามกำหนดการเดิม แต่คู่แข่งของนายไม่ใช่พวกเต่าที่อยู่ข้างล่าง ในทีมนี้ฝีมือดีทุกคน ฉันให้นายเลือกว่าจะแข่งกับใคร ถ้าฉันเลือกเองคงดูเป็นการรังแกเด็กใหม่ไปหน่อยใช่ไหม”

“ไม่ ไม่เลย ผมอยากแข่งกับคุณ” ซาช่าประกาศพร้อมรอยยิ้มกว้างขึ้น “และถ้าผมชนะ ผมอยากเป็นคู่หูของคุณ”

โซเฟีย—หนึ่งในลูกทีมของนิโคไลฟังแล้วหน้าตึง เธอจำได้ว่าไอ้หมอนี่อยู่ที่คลับวันที่นิโคไลโดนโดเบอร์แมนกัด นี่ไม่ใช่จงใจท้าแข่งกับคนมือเจ็บหรือ แล้วยังกล้าประกาศเอาชนะอีก

คริสตอฟ คู่หูของโซเฟียเห็นหญิงสาวอ้าปากจะพูด จึงชิงขัดเสียก่อน “นิโคไลให้เขาเลือกว่าจะแข่งกับใครก็ได้ ก็เป็นไปตามนั้น ใช่ไหม”

“ใช่” นิโคไลดึงมือไพโรที่โอบเอวเขาออก ส่วนไพโรถือว่าตนฝากกลิ่นไว้จนพอใจแล้วจึงยอมถอยแต่โดยดี

“นายขับรถอะไร เดี๋ยวฉันจะเลือกคันที่เหมาะแข่งกับนาย” นิโคไลถามซาช่า ที่นี่เป็นสนามแข่งของเขา ย่อมมีรถหลายคันให้เลือกใช้ แม้ไม่ใช่รถตัวเองก็ตาม

“เราแข่งกันด้วยซิตีคาร์ดีไหม” ชายหนุ่มเสนอ “ซิตีคาร์แบบยังไม่แต่งอะไรทั้งสิ้น”

โซเฟียแทบถลึงตา ดูถูก! มันดูถูกการแข่งรถเกินไปแล้ว! ส่วนไพโรระเบิดหัวเราะ เขาไม่ใช่นักส่งของก็จริง แต่รถที่ขับก็มีทั้งรถหรูอย่างเบนท์ลีย์ แอสตันมาร์ติน และรถสปอร์ตแรงสุดขีด

“นายคิดว่าฉันขับซิตีคาร์ไม่เป็นหรือ” นิโคไลโบกนิ้วให้คนไปจัดรถมาแล้วหันไปทางซาช่า “ไปสตาร์ทเครื่องรอได้”

“เปล่า” ซาช่าปฏิเสธ “ผมคิดว่านักส่งของอันดับหนึ่งน่าจะซิ่งซิตีคาร์ได้เซ็กซี่ แค่อยากเห็นสักครั้ง”

ได้ยินประโยคนี้นิโคไลยกมุมปาก “ฉันขับอะไรก็เซ็กซี่” เขาปรายตาไปทางลูกทีม “เชื่อสิ พวกนี้เคยเห็นมาหมดแล้ว”

ลูกทีมผู้ชายบางคนหน้าขึ้นสี ชวนให้คิดว่าสิ่งที่นิโคไลขับขี่ได้เซ็กซี่นั้นมีอะไรบ้าง ส่วนไพโรน่ะหรือ...แค่นั่งลงบนโซฟาแล้วหัวเราะชอบใจ

“ผมเชื่อสายตาตัวเองมากกว่า”

“งั้นก็ไปพิสูจน์ นายเลือกแข่งกับคนมือเจ็บก็ดี ถ้าแพ้จะได้คร่ำครวญว่าเลือกคู่แข่งผิดไม่ได้” ที่จริงนิโคไลคาดไว้แล้วว่า พอถึงวันทดสอบเขาอาจต้องลงสนามเอง จึงพันแผลมาอย่างดี

----------------------------------------------

A/N มีใครรอคอยความสนุกในบทต่อไปไหมคะ ว่าสองคนนี้จะเชือดเฉือนกันยังไง ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 5-2 [18/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 18-03-2018 17:41:22
Case 5-2

ซิตีคาร์สองคันติดเครื่องคู่กันอยู่ที่จุดสตาร์ท คันของนิโคไลเป็นสีเงิน ส่วนของซาช่าเป็นสีดำ หญิงสาวทรงโตนางเดิมเดินนวยนาดผ่านรถของซาช่าพลางยิ้มทอดสะพานให้ เมื่อครู่ชายหนุ่มฝากลีลาขับมอเตอร์ไซค์ไว้อย่างเร้าใจ คืนนี้มีสาวๆ หรือเด็กหนุ่มๆ หลายคนจ้องกระโดดขึ้นเตียงเขาตาเป็นมัน

การแข่งรถเป็นการขับออกนอกสนามและวนไปตามจุดที่กำหนดไว้ในเมือง แต่ละจุดมีกล้องวิดีโอความเร็วสูงคอยจับภาพเมื่อรถวิ่งผ่าน และส่งภาพแบบเรียลไทม์มาที่แล็ปท็อปของฝ่ายเทคนิคเพื่อตัดสินความเร็วและความสามารถในการบังคับรถ

ก่อนขึ้นรถ ซาช่าได้รับแผนที่กระดาษซึ่งกำหนดจุดห้าจุดที่เขาต้องวิ่งผ่าน ไม่มีข้อบังคับว่าต้องผ่านจุดไหนก่อน แต่ต้องวนไปให้ครบทุกจุดก่อนกลับมาที่สนามแข่ง

ใครกลับมาถึงก่อนโดยทำตามเงื่อนไขครบจึงถือว่าชนะ

บททดสอบของนิโคไลออกแบบมาเพื่อหาคนทำงานจริงๆ อย่างจุดที่กำหนดในแผนที่ เขาและลูกทีมก็ไม่ทราบมาก่อนเพื่อความยุติธรรมหากต้องลงแข่ง ผู้เข้าแข่งขันไม่ได้รับ GPS แม้เวลาทำงานจริงจะมีการใช้เทคโนโลยี แต่นิโคไลต้องการคนที่สามารถจดจำและเลือกเส้นทางได้แม้ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ช่วย

นิโคไลนั่งอยู่หลังพวงมาลัยโดยยิ้มมุมปากน้อยๆ เขาชอบเสียงเครื่องยนต์ยามเร่งเพื่อออกสตาร์ท แม้เป็นการแข่งขันด้วยซิตีคาร์เขาก็รู้จักรถรุ่นนี้ดี เป็นหน้าที่นักส่งของต้องรู้จักยานพาหนะหลากหลายประเภท

ซาช่าดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจแผนที่บอกพิกัดของจุดที่ต้องผ่านนักเพราะเขาเอาแต่มองนิโคไล จนกระทั่งได้ขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยชายหนุ่มชาวรัสเซียนถึงดูมีสมาธิมากขึ้น เขาคาดเข็มขัดนิรภัยแบบไม่รีบร้อน เสยผมไม่ให้ปรกตา แล้วเหยียดนิ้วกำรอบพวงมาลัยซิตีคาร์ของตัวเองด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้าผมชนะ ขอรางวัลมากกว่าเป็นคู่หูคุณได้หรือเปล่า” ซาช่าถามพร้อมกับยิ้ม คันเร่งถูกเหยียบมิด เครื่องยนต์ครางกระหึ่มรับกันอย่างดี

นิโคไลได้ยินอีกฝ่ายเพราะต่างลดกระจกไว้ทั้งคู่ ตาเขามองไปข้างหน้า นิ้วสวยในถุงมือขับรถจับพวงมาลัยและเกียร์อย่างมั่นใจ “ช่างขอ ขอโน่นขอนี่ ถ้านายแพ้นายจะให้อะไรฉันดีกว่า”

“เป็นราคาที่คุ้มจ่ายนะ” ซาช่าเหยียดยิ้มกับคำพูดถากถาง เขายังต่อปากต่อคำอย่างอารมณ์ดี คันเร่งถูกเร่งและผ่อน เครื่องยนต์ของซิตีคาร์ที่ไม่ได้แรงนั้นครางรับเป็นจังหวะ สายตาของซาช่าจ้องตรงไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ มือซ้ายของเขากำพวงมาลัย ขณะที่มือขวาเริ่มลดลงมาจับที่เบรกมือเมื่อคนให้สัญญาณชูผ้าขึ้นเหนือศีรษะ

“ผมไม่คิดจะแพ้”

“ใจตรงกัน” นิโคไลตัดบทด้วยการกดปุ่มปิดกระจก และพุ่งรถออกไปในจังหวะที่ผ้าเช็ดหน้าสะบัดลงมา ผมยาวสลวยของแม่สาวที่จุดสตาร์ทถึงกับปลิวไสวตามแรงปะทะของสายลม

ซาช่าเองก็ปลดเบรกมือทันทีที่ได้สัญญาณให้ออกตัว รถพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า เขานำหน้านิโคไลอยู่หน่อยเพราะออกตัวได้เร็วกว่า ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหันไปยิ้มให้ซิตีคาร์สีเงินที่กระจกหน้าต่างปิด แต่เขารู้ว่านิโคไลจะได้รับรอยยิ้มของเขา ก่อนจะกดปิดหน้าต่างแล้วตั้งสมาธิทั้งหมดกับการแข่ง

นิโคไลเปลี่ยนเกียร์ เร่งเครื่องตีรถคู่ขึ้นมา ดูก็รู้ว่าเป็นประเภทไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รถสีเงินพุ่งฝ่าความมืดเหมือนลูกกระสุน หมดจากทางตรงระยะทางหนึ่งกิโลเมตรเส้นนี้จะเป็นทางแยกที่เลี้ยวไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ได้ เวลานี้รถสองคันยังสูสี ยอมรับเรื่องความเร็วว่าหมอนี่มีดี แต่การตัดสินใจล่ะ

นิโคไลเลือกเลี้ยวซ้าย เขาจับเบรกมือ แทบไม่ชะลอความเร็วเมื่อดริฟท์เข้าโค้ง เป็นการดริฟท์โดยใช้ซิตีคาร์ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งบังคับยากกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง มุมการเข้าโค้งเพื่อบังคับรถไปต่อก็ไม่มีที่ติ

นักส่งของอันดับหนึ่งมีดีสมชื่อ

ซาช่าตามดูลีลาการควบซีตีคาร์ของนักส่งของอันดับหนึ่งอย่างที่พูดไว้ เขาเหยียบคลัทช์แล้วตบเกียร์ตอนใกล้เข้าโค้ง มือใหญ่คว้าเบรกมือแล้วดึงสลับดันเมื่อรถมาถึงมุมที่เขาต้องการ ขณะที่มือซ้ายก็ควบคุมพวงมาลัยคล่องแคล่ว รถสีดำเลี้ยวซ้ายเข้าโค้งขนาบคู่ไปรถของนิโคไลโดยที่ไม่เบียดกัน และความเร็วไม่ตกเลยแม้แต่นิดเดียว หัวใจของซาช่าเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ฝีมือการขับรถของนิโคไลสมกับที่ได้ยินมาจนเขาคงต้องเอาจริงมากกว่านี้

ตามมาหรือ

นิโคไลเปลี่ยนเกียร์อีกครั้ง เขาไม่คิดให้อีกฝ่ายไล่ตามไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทางเดียวกัน แต่ยอมรับว่าซาช่ามีทักษะที่ทำให้รู้ว่าเขาจะเลี้ยวรถไปทางไหน เพราะถ้าคาดเดาไม่ได้หรือมองไม่ทัน คงไม่สามารถเลี้ยวรถคู่กันได้ขนาดนี้

หรือไม่ก็แค่บังเอิญ

นิโคไลหรี่ตานิดๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าเขาจำชื่อเด็กใหม่คนนี้ได้แล้ว

เอาเป็นว่าจะมีดีให้จำได้จนจบหรือเปล่าก็คอยดู

รอยยิ้มของนิโคไลผุดขึ้น เขาแสยะปากขณะตามองตรงไปยังถนนปูหินอันเก่าแก่สวยงามของเมืองริมทะเลแห่งนี้ รอยยิ้มนี้ไพโรเคยบอกว่าเห็นเฉพาะเวลานิโคไลขับรถเอาจริงเท่านั้น และมันน่ามองพอๆ กับสีหน้าเร้าใจเหมือนไฟบนเตียงยามมีเซ็กซ์กัน

...นั่นเป็นเรื่องก่อนที่นิโคไลจะแต่งงานกับมาร์ค

ตรงมุมหนึ่งของเมือง รถของทั้งคู่ผ่านพิกัดหนึ่งบนแผนที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน นิโคไลเลี้ยวเข้าตรอกซึ่งกว้างพอให้รถคันเดียวผ่าน หากซาช่ายังตามมา ก็ต้องช้ากว่าเขา

ซาช่ามองรถของนิโคไลที่หักเข้าไปในตรอกแคบๆ เขาไม่ได้ตามเมื่อมีแผนที่ดีกว่า ซิตีคาร์สีดำควบทะยานเต็มกำลังอยู่บนถนนเก่า เลนที่รถของเขาวิ่งอยู่จะนำไปสู่เส้นทางเลียบชายทะเล แต่อีกพิกัดที่ใกล้เขาที่สุดต้องตัดเลนแล้วย้อนศรมุ่งหน้าไปลอดอุโมงค์ ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหักพวงมาลัยเข้าไปขับสวนเลนบนถนนเส้นข้างๆ ดวงตาสีฟ้าหรี่แคบอย่างใจเย็นกับรถที่พุ่งสวนเข้ามา การกระทำของซาช่าระห่ำจนรถคันอื่นหักหลบกันจ้าละหวั่น รถสีดำพุ่งผ่านอุโมงค์ที่กินระยะสั้นๆ มาโผล่อีกฝั่งโดยทิ้งความวุ่นวายบนท้องถนนไว้เบื้องหลัง

ตอนจะถึงจุดหมายที่สอง รถสีเงินคันคุ้นเคยก็สวนเข้ามาบนถนนเส้นเดียวกัน เป็นนิโคไลที่มาจากอีกเส้นทางหนึ่งแต่มีจุดหมายเดียวกัน

นิโคไลเหยียบคันเร่งแม้เห็นรถคันสีดำพุ่งมาทางตน เขาไม่เบี่ยงออกเพราะกล้องอยู่ตรงทางแยกข้างหน้า ถ้าไปถึงช้ากว่าเพราะกลัวรถชนคงน่าอายไม่เบา

ซาช่าเห็นนิโคไลนอกจากไม่หลบแล้วยังยิ้มให้ คนที่หวาดเสียวกลับเป็นคนเดินถนนและรถคันอื่นๆ รถหลายคันถึงกับจอดดูรถยนต์สองคันที่พุ่งเข้าหากัน

พวกเขาสบตากันผ่านกระจกหน้าพวงมาลัย และซาช่ายิ้มตอบพร้อมกับทำท่าคล้ายจะโค้งอย่างให้เกียรติ ระยะห่างระหว่างรถทั้งสองคันแคบลงอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีใครยอมลดความเร็วหรือเบี่ยงหลบ นักเที่ยวกลางคืนบนถนนหวีดเสียงก้องเมื่อซิตีคาร์ของทั้งคู่กำลังจะประสานงากัน แต่ในวินาทีนั้นเอง ทันทีที่ผ่านกล้อง รถทั้งสองก็ฉีกออกคนละข้างพร้อมๆ กัน ราวกับทั้งคู่คำนวณเอาไว้แล้ว!

ชั่วขณะที่รถสวนกันในระยะประชิด ซาช่าลดกระจกแล้วหันมาขยิบตาให้นิโคไลอย่างหยอกล้อ ก่อนจะควบซิตีคาร์สีดำทะยานไปในทิศตรงกันข้าม

ตอนขับรถช่วงแรก มือข้างที่เจ็บของนิโคไลปวดร้าวไปหมด แต่เวลานี้เขากลับไม่รู้สึกเจ็บ การสวนกันเมื่อกี้ทำให้อะดรีนาลินหลั่งออกมาจนหัวใจเต้นแรงจัด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคำนวณพลาดก็ไปโรงพยาบาลทั้งคู่ ทว่ากลับไม่มีใครพลาด

หมอนี่อาจมีดีจริงดังที่เคยโอ้อวดว่า ‘ฝีมือการซิ่ง ให้รอดูในสนาม’

แม้จะฟังดูโอ้อวดเกินไปมาก แต่ซาช่าพอเดาได้ว่านิโคไลจะไปผ่านกล้องพิกัดไหนเป็นลำดับถัดไปจากเหตุการณ์เผชิญหน้ากันเมื่อครู่ และนั่นทำให้เขาเลือกมุ่งหน้าไปในทิศตรงกันข้าม

เพราะไม่มีคู่แข่ง ซาช่าตะบึงรถผ่านกล้องลำดับสามของตัวเองไปง่ายๆ เขากลับรถกลางถนนแทบไม่ผ่อนความเร็วจนล้อบดถนนดังเอี๊ยด พวงมาลัยหมุนฟรีในมือใหญ่ที่บังคับมันอย่างเชี่ยวชาญ ในหัวของซาช่าปรากฎเป็นแผนที่ของเมืองริมฝั่งทะเลและพิกัดของกล้องทุกตัว เขาหาเส้นทางที่จะพาไปถึงพิกัดถัดไปได้เร็วที่สุด และคำนวณหาพิกัดของนิโคไลจากความเร็วสูงสุดที่ซิตีคาร์ของอีกฝ่ายจะทำได้ และเส้นทางอันน่าจะเป็นต่างๆ ซึ่งหากชายหนุ่มชาวรัสเซียนไม่พลาด ตอนนี้นิโคไลน่าจะใกล้ถึงกล้องตัวที่สี่แล้ว การอนุมานนั้นทำให้ซาช่าเหยียบคลัทช์และตบเกียร์อีกรอบ เขาแซงผ่านหน้ารถเอสยูวีที่อยู่ข้างหน้า เหยียบคันเร่งแล้วพุ่งจากเลนซ้ายสุดตัดถนนสี่เลนผ่านหน้ารถใหญ่ไปเลนขวาสุดอย่างใจเย็นและมีสมาธิ เมื่อครู่หากพลาดหรือเสียจังหวะแค่นิดเดียวเขาไม่จบแค่ที่โรงพยายาลแน่

หลังเก็บกล้องตัวที่สี่ ซาช่ามุ่งหน้าเต็มความเร็วไปที่กล้องตัวสุดท้ายซึ่งอยู่คนละฟากกับสนามแข่ง เขารู้ว่าตัวเองจะคิดถูกว่านิโคไลกำลังมุ่งหน้าไปที่กล้องตัวนั้นเป็นลำดับสุดท้ายเช่นกัน ไหวพริบ เทคนิคการขับ และการตัดสินใจเลือกเส้นทางเป็นสิ่งจำเป็นในการแข่งก็จริง แต่ความเร็วต่างหากที่น่าสนใจมากกว่า ชายหนุ่มชาวรัสเซียนคิดจะงัดความเร็วกับนักส่งของอันดับหนึ่งระหว่างทางกลับสนามตั้งแต่เห็นแผนที่ครั้งแรกว่าใครจะเร็วกว่า

และหากนิโคไลไม่ได้คิดแบบนั้น ก็เป็นคนที่น่าเบื่อเกินกว่าจะให้ความสนใจต่อ

อีกด้านหนึ่ง นิโคไลฮัมเพลง เวลานี้สมองเขาปลอดโปร่ง สมาธิอยู่กับการเหยียบคันเร่งให้มิดเท้าและหักเลี้ยวพวงมาลัยพารถซอกซอนไปตามเส้นทางเมืองเก่าของอิตาลี

เวลาปกติเขาขับรถไวและเฉียบคม สีหน้าหลังพวงมาลัยมักนิ่งเฉย แต่เวลาทำงานหรือในการแข่งขันจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา

การขับรถทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระ เสียงเสียงล้อรถบดถนน เสียงเครื่องยนต์ เสียงหายใจของตัวเขาเองเมื่อตื่นเต้นถึงขีดสุด

ทุกๆ เสียงช่าง...ทำให้รู้สึกเหมือนมีชีวิต!

ไม่ผิดจากที่ซาช่าคาด นิโคไลมาถึงพิกัดสุดท้ายจากถนนที่สูงกว่า ลงมาตีรถคู่กันกับเขาในเส้นทางตรงสู่กล้องตัวที่ห้า มีแต่พิกัดนี้เท่านั้นซึ่งหากเลือกเก็บท้ายสุด จะสามารถแข่งความเร็วได้เหมือนตอนออกสตาร์ท

ซาช่าเดาทางนิโคไลได้ นิโคไลก็เดาทางซาช่าออก

อย่างนี้ถึงเรียกว่าเหมาะสมเป็นคู่หูกันใช่หรือไม่!?!

แสงไฟหน้ารถสะท้อนกับเลนส์กล้อง ซิตีคาร์สองคันพุ่งผ่านไปโดยไม่มีการชะลอ จากนี้จะเข้าสู่การแข่งขันความเร็ว!

ซาช่าลดกระจกอีกครั้งระหว่างตีคู่กันไปบนถนนด้วยความเร็วเกินปกติ ซิตีคาร์ทั้งสองคันผลัดกันนำอย่างสูสี ไม่มีใครยอมใคร

“ตกลงคำตอบว่ายังไง!” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนตะโกนถามเสียงดังแข่งเสียงลม

“ฮะๆๆ!!!” นิโคไลหัวเราะ หมอนี่มันบ้าหรือไง

ตั้งแต่ซาช่าเห็นนิโคไลในโลกใต้ดินมา นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายหัวเราะเต็มเสียง

“ไม่! เพราะนายจะแพ้!” คนพูดหันมองด้วยดวงตาหยาดเยิ้มพร้อมหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว รถคันสีเงินกระแทกใส่รถคันสีดำ เบียดอีกฝ่ายให้ตกถนน

ซาช่าสบถคำหยาบภาษารัสเซียออกสั้นๆ เขายอมลดความเร็วลงนิดหน่อยเพื่อให้รถของตัวเองลดระดับลงมาไม่งั้นได้ตกถนนจริงๆ แน่ ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม เขาถูกใจกับความร้ายของเจ้าของซิตีคาร์สีเงินไม่น้อย

----------------------------------------------

A/N ถ้าเรื่องแข่งรถ สองคนนี้ไม่มีใครยอมใครค่ะ ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 5-3 [19/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 19-03-2018 17:41:12
Case 5-3

ยัง...ยัง ยังทิ้งห่างไม่พอ นิโคไลเบี่ยงรถออกซ้ายขึ้นถนนเส้นสูงกว่า แต่ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ทางตรงไปสนามแข่งแบบถนนเดิม มันตรงช่วงหนึ่งแล้วหักออกซ้ายอีก เป็นเส้นทางสายอ้อม แต่นักส่งของอันดับหนึ่งจะพลาดง่ายๆ แค่นี้หรือ หรือมีเส้นทางลัดที่ไม่เห็นจากในแผนที่ แต่ถ้ามีเส้นทางลัดจริง ก็แปลว่านิโคไลเลิกแข่งความเร็วแล้วใช้เทคนิคไหวพริบเข้าสู้แทน

ถ้าเช่นนั้น ซาช่าก็ต้องผิดหวังแล้ว!

มันมีอีกหลายจุดที่จะได้พบกันอีกครั้งก่อนถึงโค้งกลับสนาม ซาช่าจึงเร่งเครื่องเพื่อไปดักหน้านิโคไล เขาพุ่งรถเข้าไปตามตรอกทางลัดต่างๆ ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังแข่งความเร็วกันอยู่นั่นละ แต่คล้ายจะเป็นการแข่งว่าใครจะแก้เกมได้เร็วกว่า และกับเรื่องนี้ซาช่าไม่คิดจะยอมแพ้ เขาไล่ตามทันจนเห็นรถสีเงินวิ่งขนานอยู่บนถนนซึ่งมีตึกอาคารกั้น ถนนสองเส้นนี้จะพาพวกเขาจะไปบรรจบกันข้างหน้าในไม่กี่อึดใจ

และเหมือนไม่อยากทำให้ซาช่าผิดหวัง ซิตีคาร์สีเงินเร่งเครื่องจนช่วงล่างสั่น พวกเขาเห็นกันและกันห้อตะบึงเป็นภาพวูบวาบผ่านช่องว่างระหว่างตึก

“แพ้ไปซะ!” นิโคไลคำรามหน้าพวงมาลัยแล้วหัวเราะชอบใจแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน เส้นทางที่เขาเลือกได้เปรียบกว่าเล็กน้อยในจุดบรรจบ รถซิตีคาร์สีเงินลอยมาเบรกเอี๊ยดขวางถนนที่รถของอีกฝ่ายกำลังพุ่งตรงมา

ใครๆ ก็บอกว่านักส่งของอยู่กลุ่มไฟทั้งหมดเพราะเป็น ‘พวกบ้าบนถนน’ วันนี้นิโคไลแสดงให้ซาช่าดูของจริง!

คนไม่กลัวตายจ้องรถคันสีดำเหมือนจ้องลูกกระสุนที่ลั่นจากปากกระบอกปืน เขาหอบพลางพูดไว

“เอาสิ เข้ามาเลย!”

การแข่งนี้จะจบลงที่ตรงไหน

ถ้านิโคไลกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าคนกลุ่มไฟบ้าบนถนนยังไง ซาช่าก็กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเหมาะกับกลุ่มไฟแค่ไหน ซิตีคาร์สีดำพุ่งทะยานเต็มความเร็วเข้าใกล้รถที่จอดรออยู่แบบไร้ความลังเล ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะในคออยู่เหนือพวงมาลัยกับการท้าทายของนักส่งของอันดับหนึ่ง

แต่ก่อนที่รถยนต์สีดำจะชนเข้าตรงฝั่งข้างคนขับของรถคันสีเงิน ซาช่าหมุนพวงมาลัย กดคลัทช์สลับเบรกเท้าแล้วดึงเบรกมือสุดกำลัง ล้อหลังที่ถูกหยุดหมุนคว้างตามทิศทางที่ถูกกำหนด ท้ายรถสะบัดชนซิตีคาร์อีกคันตามแรงเหวี่ยงจนรถทั้งคันสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะที่รถของทั้งคู่หันหน้าไปทางทิศเดียวกันราวกับมันเป็นคำท้าทายจากซาช่าให้มาแข่งความเร็วกันอีกรอบ

“บ้าชะมัด! ฮะๆๆ!!!” นิโคไลตบพวงมาลัยอย่างคะนองแบบไฟ แล้วเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งขับออกไปไม่รอช้า เขาเพิ่งสังเกตว่าพวงมาลัยลื่นเพราะเลือดสดๆ เปรอะเต็มไปหมด คนหน้าสวยย่นจมูก กลิ่นคาวเลือดทำให้สะอิดสะเอียนจนต้องเปิดกระจก ลมเย็นด้านนอกพรูเข้ามาปะทะจนหน้าชา ขณะที่ในครรลองสายตาของคนขับมองเห็นแต่ถนนอันเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

นิโคไลแสยะยิ้มให้กับเส้นทางที่พุ่งเข้าใส่หน้า ท้าทายให้มันพุ่งเข้ามา!...พุ่งเข้ามา!!

คู่หูคนเก่าของนิโคไล นอกจากเป็นคู่หูยังเป็นอาจารย์ในโลกใต้ดินของเขา อาจารย์คนนั้นเคยเตือนว่า ถ้าขับรถแล้วบ้าขึ้นมาอย่างนี้ทุกทีเวลาทำภารกิจ นิโคไลจะไม่ได้ตายดี

พวกเขาออกตัวแทบจะพร้อมกันในการแข่งขันช่วงสุดท้าย ถนนที่นำกลับไปยังสนามแข่งเป็นเส้นหลักที่เวลานี้มีรถใหญ่วิ่งขวางทางอยู่ประปราย ซาช่าเร่งเครื่องจนตามทัน ซิตีคาร์สีดำตีคู่มาจากทางซ้าย พวกเขาผลัดกันนำอีกครั้งและคราวนี้ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน เขาหมุนพวงมาลัยกะทันหัน เบนรถไปกระแทกรถของนิโคไลอย่างไม่ลังเล เขาตามไปขยี้รถอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพอใจ ซาช่ารักการเป็นฝ่ายไล่ล่า ทั้งในสนามแข่งและบนเตียงด้วย

ปิดเกมกันเสียที เขาหมุนพวงมาลัยอีกรอบ กระแทกรถสีเงินไม่ให้ได้จังหวะตั้งตัว ซาช่าบีบรถของนิโคไลไปอยู่ตรงเลนที่เขาต้องการ ข้างหน้าของนักส่งของอันดับหนึ่งเป็นรถบรรทุก ฝั่งหนึ่งเป็นทางหญ้าริมถนน ส่วนอีกฝั่งเป็นรถของซาช่าที่ไล่บี้ไม่ยอมละลด ด้วยความเร็วเท่านี้ หากนิโคไลไม่เบรกหรือเบี่ยงลงข้างทางซิตีคาร์สีเงินต้องชนเข้ากับท้ายรถบรรทุกอย่างจังในไม่กี่นาทีข้างหน้า หรืออีกทางเลือกคือหันมาเบียดกับเขา ซึ่งชายหนุ่มชาวรัสเซียนไม่ยอมให้มันง่ายเช่นนั้น

“กะเอาให้ตายเลยหรือ!” นิโคไลแยกเขี้ยวขณะบังคับพวงมาลัยดันรถกลับ ไม่รู้ทำไม หมอนี่ถึงชอบดึงความสนใจของเขากลับมาได้จังหวะ รถยนต์ทั้งสองคันมีสมรรถนะใกล้เคียงกัน การจะดันอีกคันจนตกเลนเป็นเรื่องยากหากคนขับยังประคองรถอย่างขันแข็ง การฉีกหนีลงข้างทางดูน่าสมเพชไม่สมกับตำแหน่งนักส่งของมือหนึ่ง แต่การผลักรถคันสีดำก็ทำไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แล้วเหตุใดนิโคไลยังดึงดันเบียดรถของซาช่า

เขาหวังให้อีกฝ่ายออมมือให้ หรือหวังว่าตัวเองจะไม่ประสานงาท้ายรถบรรทุกเพราะความปรานีของคู่แข่ง?

จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ!

เวลาทำงานจริง คนที่ไล่ล่าย่อมอยากให้เขาตาย ไม่เคยมีทางเลือกในการขอความเมตตาใดๆ ทั้งสิ้น

เขาไม่ใช่เหยื่อบนเตียง และบนถนนก็เช่นกัน!

นิโคไลบังคับรถให้ดันสุดแรงและรั้งไว้ ซาช่าต้องรีบดันกลับทันทีถ้าไม่อยากให้อีกฝ่ายหลุดจากท้ายรถบรรทุก เหล็กกับเหล็กบดเบียดกันอย่างน่าหวาดเสียว จู่ๆ รถคันสีเงินก็เปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่งถอยหลัง!

นิโคไลเปลี่ยนเกียร์อีกครั้งแล้วฉีกหลบออกข้างทาง กลายเป็นรถคันสีดำแฉลบมาอยู่เลนเดิมของเขาหรือก็คือเลนด้านหลังหลังรถบรรทุก

ซาช่าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องชะลอความเร็ว ขณะที่นิโคไลก็ช้าลงเพราะวิ่งบนทางหญ้า

รถซิตีคาร์สีเงินเร่งเครื่องปาดหน้ารถบรรทุกจนได้เสียงแตรยาวแทนคำด่า ขณะคันสีดำวิ่งตีขึ้นมาคู่กัน ในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนั้น รถทั้งสองคันถึงจุดหมายแบบไม่มีใครยอมใคร พุ่งผ่านเส้นชัยพร้อมกัน!

เสียงเฮดังลั่นสนามแข่งทันทีที่รถยนต์ของนิโคไลและซาช่าแล่นเข้ามาจอดในจุดจอด การตัดสินผลว่าใครเข้าเส้นชัยก่อนไม่สามารถทำได้ด้วยตาเปล่าเพราะซิตีคาร์ทั้งสองคันผ่านเข้ามาแทบพร้อมกัน ฝ่ายเทคนิคจึงต้องดึงภาพมาดูแบบวินาทีต่อวินาที

ผลการแข่งถูกฉายแบบสโลว์ขึ้นจอยักษ์เพื่อให้เห็นกันจะๆ ว่าหัวรถของนิโคไลเฉือนเข้าเส้นชัยมาก่อนในหน่วยย่อยที่สุดของเวลาที่เร็วกว่าวินาที!

ซาช่าตบพวกมาลัยพร้อมสบถคำหยาบเป็นภาษารัสเซีย แต่ใบหน้านั้นยังประดับรอยยิ้ม เขาเลียไรฟันอย่างหงุดหงิด แต่ถึงเขาจะเข้าเส้นชัยทีหลังก็ไม่ได้แปลว่าจะแพ้ เพราะการแข่งกับนักส่งของอันดับหนึ่งจะถูกตัดสินรวมกับคะแนนเรื่องเทคนิค ไหวพริบ และการตัดสินใจต่างๆ ประกอบด้วย ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเปิดประตูลงมายืนข้างรถ เขาหัวเราะเมื่อบราเซียหลากสีถูกโปรยลงมาหาพร้อมเสียงกรี๊ดที่ดังสนั่นอัฒจันทร์

โดยไม่มีใครคาดคิด นิโคไลลงจากรถแล้วปิดประตูปังอย่างไม่สนใจเลือดที่ชุ่มฝ่ามือตัวเอง เขากระโดดกอดคอเด็กใหม่ กระชากผมอีกฝ่ายพร้อมเขย่งเท้าขึ้นไปจูบดูดดื่ม!

จูบของนิโคไลวาบหวามและทำให้ชาเหมือนบนลิ้นมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ น้ำหอมกลิ่นร้อนแรงเหมือนไฟยิ่งช่วยกระตุ้นอารมณ์ใคร่ คนหน้าสวยซึ่งมีบั้นท้ายแน่นตึงกลมกลึงเร้าใจถอนปาก ไฝน้ำตาที่หางตาทั้งสองข้างดูเด่นอยู่ใต้ดวงตายั่วยวน

“นายสอบผ่าน ซาช่า”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนโอบแขนรับร่างที่โถมเข้ามาไว้แนบชิด เขาประทับจูบต่ออย่างเร่าร้อน ริมฝีปากเบียดชิดและดูดคลึงปลายลิ้นซุกซนด้วยความกระหาย ซาช่าเลื่อนมือลงไปวางบนสะโพกสวยเมื่อนิโคไลขยับออกห่างเล็กน้อย เขายิ้มกว้าง

“ผมจะได้ทุกอย่างที่อยากได้หรือเปล่า”

นิโคไลยิ้มโปรยเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงกระซิบ “ขึ้นอยู่กับว่า นายมีถุงยางไหม”

ซาช่ายิ้มจนตาพราว เขาจูบซ้ำก่อนจะตอบ

“มี สองกล่อง”

“ใช้อะไรมากมาย พาขึ้นเตียงคืนละสองคนหรือไง” นิโคไลหัวเราะแล้วไล้มือสำรวจร่างกายอีกฝ่าย แผ่นอกกว้างหนั่นแน่นแผ่ไอร้อนอยู่ใต้เสื้อยืดสีดำพอดีตัว หน้าท้องซิกแพ็กเป็นลอนที่ได้สัมผัสช่างชวนให้กัด เขาดูดต้นคอซาช่าขณะกระซิบว่าจะไปต่อที่ไหน

“ฉันให้นายสอบผ่านตั้งแต่ไม่ชนฉันแล้วหักหลบได้สวยๆ แล้ว ถ้าจะเป็นคู่หูกันก็ไม่ควรฆ่ากันก่อนร่วมงานใช่ไหม”

ใช่แล้ว ที่นิโคไลเลี้ยวรถมาขวางเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งว่าซาช่าจะแก้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างไร

“แต่เท่านั้นนายได้แค่เป็นสมาชิกในทีม ฉันให้เป็นคู่หูจริงๆ ตอนนายดันฉันเข้าท้ายรถบรรทุก” นิโคไลออดอ้อน คลอเคลีย เหมือนแมวแสนสวยที่เจอเจ้าของ เป็นแมวร้อนรักอย่างที่ฮันเตอร์เคยว่าไว้ “นายกล้าดี ฉันชอบ ถ้าทำงานด้วยกันคงสนุกไม่เบา”

เพราะซาช่ากล้าทำร้ายนิโคไลจึงสอบผ่านหรือ คนแบบไหนกันต้องการคู่หูซึ่งเคยพาตนไปเฉียดนรก

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเลื่อนมือสำรวจไปทั่วร่างของนิโคไลไม่ต่างกัน เขาสอดมือผ่านชายเสื้อไปลูบบนเอวคอด โน้มไปจูบริมฝีปากแดงอีกครั้งพร้อมกับกระซิบบนปากตอบคำถามแรก

“บางทีเจอคนถูกใจก็คืนละหลายที”

เขาขยิบตา ตอนค่อยๆ ลากมือผ่านขอบกางเกงไปนวดบนสะโพกตึงกระชับ

ดูเหมือนคืนนี้นิโคไลก็ได้เจอคนถูกใจ เพราะเขายิ้มและหัวเราะกับคำพูดนั้น ดวงตาพราวด้วยความกระหายในเพศรส ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเย็นชาและดูถูกซาช่า แสดงว่าขับรถแข่งกันครั้งเดียว ซาช่าได้พิสูจน์แล้วว่าตนมีดีอย่างที่เคยพูดไว้

“ผลการแข่งโดยละเอียดฝ่ายเทคนิคจะส่งมาทีหลัง แต่ฉันรู้ว่านายจะผ่าน” สายตามองผู้ชายของนิโคไลอาจได้แต่คนเลวๆ (ซึ่งเขายกเว้นมาร์คไว้คนหนึ่ง) แต่สายตามองนักขับ โดยเฉพาะคนที่ขับเคี่ยวกันมาในสนามแข่ง เขาไม่เคยมองพลาด

“นิกกี้ ไม่ขึ้นไปข้างบนแล้วหรือ” ไพโรเดินลงมาถามด้วยท่าทางสบายๆ เขาเห็นนิโคไลลงจากรถแล้วโผไปจูบผู้ชายคนใหม่ตั้งแต่เมื่อสักครู่

“ไม่ล่ะ ฉันได้คู่หูใหม่แล้ว ที่เหลือให้คนอื่นจัดการไป” นิโคไลตอบหน้ายิ้มขณะกอดเอว ‘คู่หู’ คนที่ว่า

ไพโรมองซาช่า เขาเหยียดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นั่นทำให้ลูกทีมของนิโคไลบางคนผวา บางคนถลาเข้ามาดูเรื่องเด็ด ใครๆ ก็รู้ว่าคืนนี้นิโคไลควรไปต่อกับไพโร มาโดนบอกเลิกนัดกลางอากาศแบบนี้จะเป็นอย่างไร

ภาพไพโรชกต่อยกับชายสวมหน้ากากหน้าคลับไฟร์พิทยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ข้างนอกนี้พวกเขารวมถึงไพโรไม่ต้องสวมหน้ากาก ทว่าแม้ไม่มีเครื่องปิดบังใบหน้า ก็เดาความรู้สึกภายใต้สีหน้ายกยิ้มของนักปรุงน้ำหอมไม่ออก

‘คู่หูใหม่’ ทำเพียงยืนยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา ชายหนุ่มชาวรัสเซียนขยำเฟ้นก้นงอนๆ ของนิโคไลโดยไม่สนสายตาของคนมามุงดูเหตุการณ์แม้แต่นิดเดียว ก็เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ที่สำคัญผู้ชายที่ชื่อไพโรไม่ได้คุยกับเขาเสียหน่อย ทำไมเขาต้องสนด้วยละ

“เราจะไปกันหรือยังนิกกี้” ซาช่าโน้มไปกระซิบและงับแผ่วเบาบนใบหูนิ่มของร่างที่แนบชิดกันอยู่

นิโคไลมองไพโรด้วยสายตาเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ ทว่าเพียงแวบเดียวก็เงยหน้ามายกยิ้มให้ซาช่า “ไปสิ” เขายิ้มกว้างอย่างที่ปกติไม่ค่อยยิ้ม แต่คนที่ขับรถแข่งกันหรือทำงานด้วยกันจะทราบดี ว่านิกกี้เป็นอย่างนี้ทุกทีหลังจากแมตซ์มันๆ

“งั้นหรือ” ไพโรตอบยิ้มๆ ขณะเบี่ยงตัว “ถ้าอยากไปกับหมอนี่ก็ไปสิ”

ออกมาแล้ว ความคาดเดาไม่ได้ของไพโร ทั้งที่ตอนแรกเหมือนจะห้าม แต่อยู่ดีๆ กลับใจกว้าง ยกพาร์ทเนอร์ให้คนอื่นอย่างง่ายดาย

นิโคไลไม่ได้ตอบรับหรือแสดงความสนใจไพโรอีก เขาเพียงจูงมือซาช่าเดินผ่านชายในชุดสูทสีแดง

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ ไพโรก็รั้งแขนนิกกี้แบบอีกนิดเดียวจะเรียกว่ากระชาก

-----------------------------------------

A/N ความลมเพลมพัดนี้อันตรายต่อหัวใจนะคะไพโร!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 5-4 [20/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 20-03-2018 18:23:43
Case 5-4

โซเฟียที่มองเหตุการณ์จากด้านบนถึงกับสูดหายใจ หล่อนรำพึงในใจ

ไม่ใช่ความลมเพลมพัดของไพโรจะออกมาอีกแล้วนะ ถ้าใช่ก็ทำลายสถิติเดิมเลย ครั้งนี้เปลี่ยนใจไวมาก!

การดึงกึ่งกระชากแขนนิโคไลทำให้จังหวะก้าวของซาช่าชะงัก เขาถอนหายใจแต่หน้ายังยิ้ม ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองไพโร ขณะที่มือใหญ่ละจากมือของนักส่งของอันดับหนึ่งไปโอบเอวคอดแทน ท่าทางของชายหนุ่มชาวรัสเซียนประกาศชัดว่า คืนนี้นิโคไลเป็นของเขา

“ฉันลืมเอาของให้” ไพโรล้วงเข้าในเสื้อสูทแล้วส่งกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่ากล่องใส่ปากกาให้นิโคไล เขาก้มลงหอมแก้มคนตัวเล็กอย่างเป็นธรรมชาติ “อย่าสนุกเพลินจนลืมใช้ล่ะ แล้วทำแผลที่มือเสีย เลือดไหลใหญ่แล้ว”

ไพโรถอยออกพลางเอามือล้วงกระเป๋า คนมุงเหตุการณ์เสียดายเมื่อไม่มีเรื่องตื่นเต้นเป็นภาคต่อจากที่คลับ ทว่ามีไม่น้อยทำท่าทางกระตือรือร้น เพราะคืนนี้นิโคไลไม่ไปกับไพโร หนุ่มๆ สาวๆ หลายคนจึงรอขึ้นเตียงแทนตาเป็นมัน

“หมดธุระแล้วใช่ไหมครับ” ซาช่าถามไพโร

ไพโรผายมืออย่างใจกว้าง ราวกับนิโคไลเป็นสิ่งของที่เขาอยากยกให้ใครหรืออยากหวงไว้เมื่อไรก็ได้

ซาช่าผงกศีรษะเป็นเชิงสัพยอก เขาโอบเอวพานิโคไลออกมาจากตรงนั้น และไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก ชายหนุ่มชาวรัสเซียนพานักส่งของอันดับหนึ่งมาที่มอเตอร์ไซค์ดูคาติของตัวเอง เขาดึงมือบางในถุงมือขับรถที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือดสดๆ ขึ้นมาดู ก่อนจะถามออกมา

“อยากจะทำแผลก่อนไหม”

“จะไปทำที่ไหนล่ะ” นิโคไลโน้มคอซาช่ามาเคลียปาก “ทำแผลเป็นหรือ มียาฆ่าเชื้อหรือเปล่า” คำถามปกติแต่ดูยั่วเย้าอย่างไรชอบกล

ซาช่าขย้ำฟันเบาๆ บนกลีบปากนุ่ม ตอบบนริมฝีปากช่างยั่วเย้า “ก็แวะซื้อชุดทำความสะอาดแผลก่อน ค่อยหาห้องสะอาดๆ สักห้อง”

“หรือ”

“เห็นแบบนี้ผมใส่ยาเก่งนะ” ชายหนุ่มผมทองเกลี่ยนิ้วรอบแผลอย่างเบามือพร้อมกับขยิบตา

ซาช่าถือว่ารอยยิ้มแสนเซ็กซี่ของนิโคไลแทนการตอบตกลง เขาหยิบหมวกนิรภัยที่วางทิ้งไว้บนเบาะมอเตอร์ไซค์คันข้างๆ มาสวมให้นักส่งของ ก่อนจะสวมหมวกนิรภัยให้ตัวเอง

“ผมจะเป็นแท็กซี่ที่หล่อที่สุดที่คุณเคยเจอ”

“ปกติไม่เคยนั่งแท็กซี่ มีคนขับรถน่ะ” คำตอบสมเป็นลูกคนรวย นิโคไลขึ้นซ้อนท้ายซาช่า เขายืนบนที่วางเท้าด้านหลัง โอบใต้รักแร้อีกฝ่ายแล้วกระซิบ “นึกว่าเป็นประเภทชอบทำข้างนอก”

“ชอบ ‘ข้างใน’ มาตลอด” ซาช่าพูดแฝงนัย เขาสตาร์ทเครื่อง บิดแฮนด์ในเกียร์ฟรีจนเครื่องยนต์ครางกระหึ่มอย่างเซ็กซี่

เมื่อนิโคไลปิดหมวกกันน็อกและนั่งลง ชายหนุ่มก็ใช้เท้าซ้ายเข้าเกียร์ ก่อนดีดขาตั้งขึ้น มือขวาบิดคันเร่งดูคาติพุ่งทะยานพาทั้งสองร่างออกจากสนามแข่งอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนแวะร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ริมทางที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วลงไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลมาทำความสะอาดแผลให้นิโคไลตรงเก้าอี้หน้าร้านนั่นเอง มือของซาช่าเบาผิดกับลักษณะท่าทางโผงผางกวนอารมณ์ และเขาก็ดูตั้งใจกับการพันผ้าพันแผลใหม่ให้อีกฝ่ายมาก

“ใจดีไม่เห็นเหมือนตอนขับรถ” นิโคไลวิจารณ์คนที่เพิ่งทำเขาเกือบเสยท้ายรถบรรทุกมาหมาดๆ

ซาช่าหัวเราะกับคำวิจารณ์ “ถ้าตอนนั้นผมใจดี เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้สิ จริงไหม” เขากลัดชายผ้าพันแผลให้เรียบร้อยก่อนเก็บขยะไปทิ้งให้เป็นที่

“ปากหวาน” คนพูดมองหน้าหล่อๆ “เกือบเคลิ้มเลย”

“อะไรฉุดไว้ให้คุณแค่เกือบเคลิ้ม นิกกี้” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจ้องตาคู่สวย เขาเกลี่ยนิ้วบนโหนกแก้มนิโคไล

นั่นเป็นคำถามที่เหนือความคาดหมาย “อืม...” หนุ่มหน้าสวยมองซาช่าทั้งเนื้อทั้งตัว “คนที่อยู่ในนี้ มีใครควรน่าเคลิ้มตามหรือ นอกจากอยากตายไวๆ”

‘ในนี้’ หมายถึงในสมาคมใต้ดิน ถ้าเผลอไปหลงใหลใครเข้า บางทีอาจต้องแลกด้วยชีวิต

ซาช่าลากนิ้วโป้งลงมาเกลี่ยบนริมฝีปากแดงจัด เขาโน้มไปกระซิบข้างหูนิโคไล และเขาปากหวานอย่างที่อีกฝ่ายว่า

“คุณไง”

“อย่างอื่นจะหวานเหมือนปากไหม ซาช่า”

ดูจากประกายหวานหยดในดวงตาคมสวย เหมือนซาช่าจะต้องรีบเปิดห้องแล้ว

“เราจะไปพิสูจน์กัน” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนอุ้มนักส่งของคนสวยขึ้นเบาะหลัง เสียเวลากับการสวมหมวกนิรภัยกันไม่ถึงนาที ดูคาติคันงามก็พุ่งฝ่าความมืดไปสู่จุดหมายปลายทางซึ่งเป็นโรงแรมชั้นดีที่อยู่ใกล้ที่สุด

นิโคไลถอดหมวกกันน็อกใส่มือพนักงานต้อนรับแล้วเดินสะโพกสวยไปรอที่ลอบบี เมื่อซาช่าได้คีย์การ์ดห้องพักมาแล้ว ทั้งสองก็นัวเนียกันตั้งแต่ในลิฟท์ “มีเงินนี่” เขาพูดขณะซาช่ากดลิฟท์ไปชั้นที่พัก

“ก็มีบ้าง” ซาช่าตอบบนปากอิ่ม มือกุมใบหน้าสวยมาจูบอย่างเร่าร้อน เขาบอกต่อกลั้วเสียงหัวเราะแบบอารมณ์ดี

“ไว้ใช้กับเรื่องจำเป็น”

“ดีที่รู้ว่า ‘นี่’ จำเป็นสำหรับนาย” นิโคไลเลื่อนมือลงต่ำและคลึงความเป็นชายของซาช่า มือเล็กนอกจากจับพวงมาลัยเชี่ยวชาญ ยังจับอย่างอื่นได้เชี่ยวชาญด้วย

“มากด้วย” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนซุกซนอยู่บนสะโพกกลมกลึงของนิโคไลไม่ต่างกัน เขาจูบซ้ำ ดูดคลึงริมฝีปากแดงและลิ้นอุ่นไม่ยอมห่าง ซาช่าอุ้มนิโคไลขึ้นเมื่อลิฟต์เปิดออกในชั้นที่พัก

ทั้งสองออกจากลิฟท์โดยไม่สนใจสายตาคนที่เดินสวนกัน

“ต้องอุ้มด้วยหรือ” นิโคไลเลื่อนปากมาขบกัดต้นคออีกฝ่าย เขารู้สึกเร่าร้อนเมื่อได้กลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นกายของซาช่า ความตื่นเต้นยามขับรถแข่งกันหวนมา และมันอยากระบายออกบนเตียงใจจะขาด

ซาช่าไม่ตอบคำถามนั้นราวกับไม่อยากเสียเวลาพูดคุยอีกแม้แต่นิดเดียว เขาทาบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องพัก อุ้มนิโคไลเข้าไปแล้วใช้เท้าดันประตูปิด เขาทาบนิโคไลบนผนังข้างที่เสียบคีย์การ์ด ไฟสีส้มนวลสว่างพรึ่บพร้อมเครื่องปรับอากาศที่เริ่มทำงาน ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจ้องนักส่งของด้วยแววตาของเสือที่เห็นเหยื่อน่าสนใจ เหยื่อที่เป็นผู้ล่าเหมือนกัน ใบหน้าหล่อเหลาดันเข้าไปจูบปิดปากช่างพูด มือก็ปลดกระดุมเสื้อของร่างแสนสวยอย่างชำนาญ เขาโยนเสื้อของนิโคไลไปข้างหลัง มือหยาบลากผ่านหน้าท้องไปถึงกระดุมกางเกง

นิโคไลยิ้มท้า ความเป็นชายของเขาตื่นตัวไม่ต่างกับของอีกฝ่าย เขาปลดกระดุมกางเกงยีนของซาช่าไปพร้อมกันแม้สะดวกแค่มือเดียว “ทำเร็วๆ ดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาถอดก็ได้” นิโคไลบอกเสียงพร่า นิ้วเล่นกับไรขนสีทองบางๆ ที่เป็นแนวยาวจากใต้สะดือลงไปถึงสัดส่วนแข็งแกร่งด้านล่าง

ซาช่าทำเสียงชู่วพร้อมกับยิ้ม เขาจัดการปอกเปลือกนิโคไลจนหมดจด เหลือเพียงผ้าพันแผลที่มือ ร่างขาวโพลนดูสวยยั่วยวนใต้แสงไฟสีส้ม ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยกร่างเล็กกว่าติดผนังแล้วเบียดตัวเข้าไปแนบชิด ไรขนหน้าท้องสีทองเสียดสีอยู่ตรงต้นขาด้านในเนียนแน่น เขาชมนิโคไลเป็นภาษารัสเซียว่า ‘สวย’ ขณะที่มือใหญ่ฟอนเฟ้นอยู่บนสะโพกกลม ซาช่าไม่ได้รีบร้อนถึงความเป็นชายของเขาจะแข็งตึงและเรียกร้องการถูกโอบรัด

คำชมภาษาประเทศบ้านเกิดทำให้นิโคไลใจหวิว ถึงครอบครัวเขามาตั้งรกรากที่อิตาลี น้อยครั้งจะเดินทางกลับไปรัสเซีย แต่สมัยเด็กนิโคไลเคยอาศัยอยู่ที่รัสเซีย พ่อกับแม่ก็พูดภาษารัสเซียกับเขาและน้องชายในเวลาครอบครัว

ร่างกายที่บดเบียดกันอย่างเชื่องช้าและแนบชิดไปทุกสัดส่วนช่างให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนรักมากกว่าคู่นอนข้ามคืน “พูดอีก” นิโคไลกระซิบเป็นภาษารัสเซีย “อะไรก็ได้ ฉันอยากฟังนายพูด”

นิ้วร้อนจัดของซาช่าชำแรกผ่านร่องสะโพกไปแตะบนช่องทางเร้นลับ ปลายนิ้วชี้นวดคลึงและค่อยๆ แทรกเข้าไปภายในความอบอุ่นของนิโคไลเชื่องช้า เขาพูดข้างใบหูแดงจัดเป็นภาษารัสเซียแหบพร่า

“ครางสินิกกี้ ครางให้เซ็กซี่เหมือนเสียงเครื่องยนต์รถของคุณ” เขาเบียดนิ้วที่สองเข้าไปอย่างใจเย็น เตรียมพร้อมจนทางรักนั้นคลายตัวและยินยอมรับนิ้วที่สามแบบเต็มใจ

“ตอนขับรถเหมือนคนบ้าแท้ๆ...” นิโคไลหอบกระเส่าเมื่อนิ้วใหญ่คับแน่นอยู่ในตัวเขาถึงสามนิ้วด้วยกัน ซาช่าไม่เหมือนผู้ชายในโลกใต้ดินคนที่ผ่านๆ มา ซึ่งนั่นน่าแปลกใจ “นี่ ซาช่า เข้ามาเถอะ ผมอยากรู้ว่าคุณขับอย่างอื่นเก่งนอกจากรถไหม” เขาเร่งเร้า นิ้วที่ขยับเข้าออกทำให้สูดปากอย่างพอใจ

“ผมชอบให้คู่นอนประทับใจ” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจูบตรงขมับ เขาควานนิ้วลึกขึ้น ปลายนิ้วปัดป่ายไปทั่ว หาจุดอ่อนไหวในตัวของนิโคไล เขาหัวเราะต่ำๆ เมื่ออีกฝ่ายกระตุกเฮือก

“ตรงนี้หรือ” ภาษารัสเซียของซาช่าแหบพร่า เขาขยี้ซ้ำ ขยับมือเข้าออก เบียดเสียดอยู่ตรงนั้นแล้วก็มองใบหน้าสวยๆ ไปด้วยแบบพอใจ

นิโคไลกัดปากจนแดงก่ำและกลั้นเสียงไว้ ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์สะบัดไปมาขณะเท้าเปลือยกระตุกอยู่เหนือพื้น “ใส่-เข้า-มา-ได้-แล้ว” คนหน้าสวยคำราม

“ขอร้องผมสิ” เขาปฏิเสธและถูปลายนิ้วไปมาให้อีกฝ่ายเจียนคลั่ง

“ได้โปรด” นิโคไลขอเป็นภาษารัสเซียที่แสนไพเราะ และตามด้วยภาษาอังกฤษที่ทำให้คนคลั่งตายได้ “Fuck me please”

ถึงเป็นฝ่ายขอร้อง แววตาของนิโคไลก็ยังเป็นประกายอย่างคนเหนือกว่า เขาแสดงออกว่าชอบสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ และยินดีให้อีกฝ่ายมีความสุขไปพร้อมกัน

ซาช่ากำรวบต้นคอสวยเร็วเหมือนงูฉกเหยื่อ เขาจ้องตานิโคไล ดวงตาที่เคยแจ่มใสถูกฉาบด้วยความขุ่นมัว เขาถามนิโคไลด้วยสีหน้าต้องการเอาชนะอย่างเปิดเผย ขณะที่มือข้างล่างก็ยังกระตุ้นเร้าภายในตัว

“มีคนเคยบอกไหมว่าตาคุณพยศแค่ไหน” ซาช่ากำมือแน่นขึ้นพอให้หายใจติดขัด

“ขอร้องดีๆ นิโคไล แล้วเราจะไปที่เตียงและมีความสุขกันเท่าที่คุณต้องการ”

แบบนี้ค่อยเหมือนคนจากโลกใต้ดินหน่อย นิโคไลคิดขณะพยายามหายใจ เขาขยับปาก “นายต้องการอะไรหรือ...เด็กใหม่...ให้ฉันคลานสี่ขาแล้วเลียเท้านายไหม” ตามด้วยเสียงหัวเราะ “ถ้าใช่ก็ถอดรองเท้าแล้วไปนั่งรอสิ” แววตาสวยไม่ลดประกายแข็งกร้าว เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของซาช่า ยิ้มให้กับความมืดดำที่เพิ่งเผยตัวออกมา

ซาช่าอยากให้นิโคไลอ้อนวอน ทว่านิโคไลไม่ใช่เหยื่อและไม่มีวันยอมเป็น ไม่ว่าจะถูกกระทำแบบใดก็ตาม

ตอนที่เห็นสีหน้าของตัวเองผ่านแววตาของนิโคไล ซาช่าถึงกับชะงักไป เขาหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึก เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแววตากระด้างก็หายไป ชายหนุ่มชาวรัสเซียนกลับมาดูขี้เล่นเหมือนเดิม เขาคลายมือจากต้นคอขาว เปลี่ยนมาโอบรอบเอวคอด ขณะที่มือข้างล่างถอนออกจากตัวนิโคไลช้าๆ เพื่อมาปลดปล่อยความเป็นชายของตัวเองที่บวมเป่งคับกางเกงออกมา

ซาช่าตอบคำถามนิโคไลด้วยเสียงที่นุ่มขึ้น

“คำขอร้องดีๆ นิกกี้” เขาช้อนตามองคนสวยที่อยู่สูงกว่า มือใหญ่จับแก่นกายของตัวเองถูไถบนปากทางฉ่ำ

“ได้ไหม หืม”

“ฉันอยากนอนกับนาย” คราวนี้ไม่มีการออดอ้อนจากนิโคไล แต่เป็นการพูดอย่างตรงไปตรงมา เหมือนครั้งที่เขาพูดกับซาช่าตอนอีกฝ่ายเข้ามาแนะนำตัวในคลับไฟร์พิท “นายล่ะ อยากนอนกับฉันไหม”

---------------------------------------------

A/N อยากไม่อยากก็ตอบนิกกี้เขาไปนะคะ ซาช่า!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 5-5 [21/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 21-03-2018 18:36:37
Case 5-5

ซาช่ายิ้มแทนคำตอบ เขาอุ้มนักส่งของไปวางที่เตียง ซองถุงยางอนามัยถูกดึงออกมาจากกระเป๋าด้านหลังกางเกง เขาสวมเครื่องป้องกัน ก่อนจะทาบตัวเหนือร่างนิโคไล ความเป็นชายของเขาเรียกร้องการโอบรัดและได้รับการตอบสนองจากภายในของนิโคไล เขาคำรามว่าแน่น สบถไม่ได้ศัพท์ในคอตอนดันเข้าไปจนสุด

นิโคไลกระตุกเฮือก! ขาแบะออก เขามองหน้าซาช่าแล้วเห็นเป็นภาพซ้อนกันจนต้องกะพริบตาถี่ น้ำตาเอ่อและไหลจากหัวตาไปยังหางตา ผ่านไฝน้ำตาคู่สวย

“อือ…” นิโคไลปัดป่าย เขาเต็มแน่นและต้องการให้อีกฝ่ายขยับ ขณะเดียวกันก็นึกถึงของในกล่องที่ไพโรให้มา เขาไม่คิดว่าตนต้องใช้ ทว่าการถูกทาบทับโดยซาช่ากลับทำให้ ‘อาการ’ กำเริบ

เงาของซาช่าทาบอยู่เหนือร่างนิโคไลจนมิด เขาจับต้นขาที่แบะกว้าง เริ่มขยับตัวช้าแต่หนักแน่น เสียงเนื้อกระทบกันช้าๆ เร้าอารมณ์จนซาช่าคำรามในคอ เขาสังเกตเห็นน้ำตา และละมือหนึ่งไปเช็ดออกให้

“ทำต่อ...เถอะ...” นิโคไลพยายามหายใจตามให้ทัน แผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลง ยอดอกสีชมพูน่ารักแข็งเป็นไต ความเสียวปลาบที่แล่นวาบจากท้องน้อยไปทั่วต้นขาด้านในส่งให้ความเป็นชายของเขายิ่งชูชัน

มือข้างที่ไม่เจ็บขยุ้มผ้าปูที่นอนแล้วคลายออกสลับกัน ความหฤหรรษ์ทางเพศรสนำให้เขาขยับสะโพก

นิโคไลต้องการการสอดใส่นี้ เขาอยากเข้าสู่โลกของกามารมณ์และลืมเงามืดใดๆ ก็ตามที่ผุดวาบขึ้นมา

ซาช่าขยับตัวเร็วขึ้น สะโพกหนาดันใส่ความร้อนภายในนิโคไลพร้อมกับกำรูดส่วนอ่อนไหวที่ชูชันเสียดสีอยู่ตรงลอนกล้ามท้องไปด้วย ซาช่าตอกตัวรับการสอดรับ เขาย้ำบนจุดกระสัน มองสีหน้าของนิโคไลด้วยสายตากึ่งหลงใหล ชายหนุ่มเร่งจังหวะ ความเสียวซ่านแล่นไปทั่วทั้งร่าง

“ซาช่า ดี...ดีจัง!” นิโคไลชมเป็นภาษารัสเซีย สะโพกยังส่ายไม่หยุด ปากสบถรัวเร็วเมื่ออีกฝ่ายทำเขาใกล้ถึงฝั่ง นิโคไลหลับตาปี๋ ในเวลานี้ดำฤษณาเป็นใหญ่ ถ้อยคำกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนมากมายฟังคล้ายคำบอกรัก มือของนิโคไลเปลี่ยนมาจิกต้นแขนแกร่ง เหงื่อลื่นที่แขนไม่ทำให้รอยถูกข่วนของซาช่าเจ็บน้อยลง

สองร่างที่โหมประสานกันบนเตียงดูราวกับสัตว์ป่าที่ไร้เหตุและผล

นิโคไลเสียวเหมือนตกจากที่สูงเมื่อระเบิดอารมณ์ใคร่ เขาร้องเสียงดังและปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างพอใจ

นักแข่งสองคนถึงเส้นชัยเกือบพร้อมกัน แต่บนเตียงซาช่ายอมให้นิโคไลนำเข้าไปก่อน แรงบีบรัดแน่นทำให้ชายหนุ่มถึงปลายทางของอารมณ์ ของเหลวอุ่นร้อนทะลักท่วมปราการพลาสติก เขาจูบหน้าผากนิโคไลก่อนถอนตัวออกแล้วรูดถุงยางทิ้ง ซาช่าทิ้งตัวลงนอนข้างๆ หนุ่มหน้าสวย มือใหญ่ลูบเหงื่อบนใบหน้าตัวเองและเสยผม เขาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับลมหายใจของตัวเองให้คงที่ จากนั้นถึงลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระคราบเหงื่อจากเซ็กซ์

เมื่อกลับออกมา เขาเห็นนิโคไลนอนพังพาบอยู่บนเตียง หน้าวางบนหมอน สายตามองเพดานโดยไม่กระดุกกระดิก ร่างขาวสะอาดเหมือนกลายเป็นรูปปั้น เป็นงานประติมากรรมบนเตียงที่สงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งผ่านการมีเซ็กซ์ร้อนแรง

สงบนิ่งและว่างเปล่า...เสมือนไร้ลมหายใจ ชวนให้คิดว่าชายหนุ่มคนนี้เคยผ่านอะไรในชีวิตมาบ้าง จึงมีท่าทางไม่แยแสต่อโลกเช่นนี้

เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกมอง คนบนเตียงหันมายิ้มให้ “ถ้าจะกลับก็กลับได้เลย ฉันอยากอยู่ต่ออีกหน่อย” รอยยิ้มไม่ยี่หระกลับมาประดับใบหน้านิโคไลดังเดิม

ซาช่าพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ เขาเช็ดผมพลางควานหาบุหรี่ในกระเป๋าอกเสื้อ ชายหนุ่มเซ็กซี่ในผ้าขนหนูที่เกาะอย่างหมิ่นเหม่บนสะโพก และยิ่งเซ็กซี่เมื่อจุดไฟลนปลายบุหรี่ขณะออกไปสูบปล่อยอารมณ์ตรงระเบียง

เซ็กซ์กับนิโคไลดี แต่ไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น give and take...ให้และรับโดยเท่าเทียม มีความสุขทั้งคู่ คิดว่านะ ซาช่าเหลือบมองนิโคไลเล็กน้อย

คนบนเตียงลุกนั่งแล้ว ท่าทางขัดๆ เล็กน้อยเมื่อเขาเดินไปหยิบเสื้อของตัวเอง นิโคไลใส่กล่องของไพโรไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต เขานั่งบนพื้นโดยไม่สนใจสภาพเปลือยเปล่าพลางหยิบกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาเปิดอย่างเบามือ

ผิวแก้วของกระบอกฉีดยาสะท้อนบนแก้วตานิโคไล เข็มฉีดยาขนาดเท่าปากกาวางอยู่ในกล่อง ไพโรใจดีขนาดให้สายรัดเส้นเล็กมาด้วย

นิโคไลผูกสายรัดมัดต้นแขนด้วยมือข้างเดียวอย่างชำนาญ เขาหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมากัดเพื่อหักซีลตรงปลายเข็ม จากนั้นดีดแขนเพื่อหาเส้นเลือด เมื่อพบแล้วก็ฉีดยาให้ตัวเองอย่างไม่ลังเล

เขามองของเหลวสีใสในเข็มฉีดยาค่อยๆ ถูกผลักเข้าสู่ร่างกาย

แม้สงสัย แต่ซาช่าก็ปล่อยให้ ‘คู่หู’ ทำอะไรๆ ไปโดยไม่ขัด เขาหันกลับไปอัดควันเข้าปอดต่อ คืนนี้อากาศอบอ้าวไปสักหน่อย ไม่นานฝนคงตก พูดถึงฝนก็หวนคิดถึงนิวยอร์ก คิดถึงจังหวะคึกคักของเมือง และคิดถึงห้องอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่เช่าทิ้งไว้ หากเลือกเดินไปอีกทาง...หากเลือกที่จะไม่เข้าเป็นสมาชิกของโลกใต้ดิน เวลานี้จะเป็นอย่างไรกัน

อ้อ ก็คงไปแข่งรถแล้วนอนกอดใครสักคนเหมือนเดิม ซาช่าหัวเราะกับตัวเองในใจ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มันทำลายภวังค์ของทั้งคนในห้องและนอกห้อง นิโคไลมองที่มาของเสียงอย่างติดจะเหม่อลอย ซึ่งปรากฏว่าไม่ใช่โทรศัพท์มือถือของเขา แต่เป็นของคู่หูคนใหม่

“ว่ายังไง” ซาช่ารับโทรศัพท์โดยไม่มองหน้าจอ

“สัตว์เลี้ยงของฉันอยู่กับเธอ ให้เขามาพูดสาย” เสียงปลายสายเป็นภาษาอังกฤษแบบผู้ดีสำเนียงเยอรมัน น้ำเสียงเมตตาและทรงอำนาจ

“ชื่อ?”

“สัตว์เลี้ยง” ชายคนนั้นตอบง่ายๆ

“คุณชื่อสัตว์เลี้ยง?”

มีเสียงหัวเราะลึกๆ ในคอตอบกลับมา ฟังก็ทราบว่าเขาไม่ถือสาที่ซาช่าต่อปากต่อคำ เหมือนผู้ใหญ่ไม่ถือสาเด็กหนุ่ม

“ของฉันหรือเปล่า” นิโคไลได้ยินคำว่า ‘สัตว์เลี้ยง’ ก็ลุกมาหาซาช่าอย่างว่าง่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่เขาใช้ไปหรือเปล่า แต่ประกายตาที่เคยโชนแสงกร้าวกลับหม่นลง “ขอหน่อย” นิโคไลแบมือ

“ที่นี่ไม่มีสัตว์เลี้ยงนะครับ ลองต่อสายใหม่ ผมชื่อซาช่า...ซาช่า วลาซอฟ” โดยไม่รอคำตอบจากปลายสาย ซาช่ากดวาง เขายื่นบุหรี่ให้นิโคไล “ขอนี่หรือ” ...แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขอบุหรี่

นิโคไลก้มมองบุหรี่ เขาแลบลิ้นแตะที่ปลายเรืองสีส้มแดง เบียดลิ้นเข้าไปเหมือนจะชิมรส ทำให้เกิดเสียงชี่เบาๆ

“เอ้า พรุ่งนี้แสบแน่” ซาช่าส่ายหน้าแล้วดึงบุหรี่ไปดับ

นิโคไลแค่ยิ้ม “อีกรอบไหม” เขาพูดเสียงแปร่ง คงเจ็บลิ้นไปแล้ว

“เมายาหรือ” ซาช่าเลิกเปลือกตานิโคไลขึ้นเพื่อดูม่านตา

“แค่นี้ไม่เมาหรอก นายท่าน” คนพูดทำตัวอ่อนตามมือ ซ้ำยังเชิดหน้าบอก สองมือเขาเกาะตรงผ้าขนหนูที่พันขอบเอวอีกฝ่าย เหมือนรอปลดเมื่อได้รับอนุญาต

“คุณเมา” ซาช่าจุปาก “ผมไม่ชอบเอากับคนเมา” มือใหญ่และอุ่นจัดขยี้ผมนิโคไลจนยุ่ง

“เรื่องมากจัง” นิโคไลโคลงศีรษะ

“แล้วทำไมจะเรื่องมากไม่ได้ล่ะ” ซาช่าหัวเราะ ไม่ใส่ใจ

“เป็นคนประเภทเอาทุกอย่างที่เอาได้ บุคลิกนายดูเป็นแบบนั้น” นิโคไลหยุดครู่หนึ่ง “อ้อ เป็นพวกชิมครั้งเดียวก็พอใจหรือ”

“ก็ตัดสินกันไปจ้ะ” หนุ่มชาวรัสเซียนยิ้ม “อยากให้อยู่ด้วยไหม หรือมีอะไรในใจอยากเล่าหรือเปล่า ดูๆ แล้วคุณเหมือนจะเหงาๆ เหม่อๆ อยากหาคนคุย? หรือผมเข้าใจผิด”

“ตอนนี้เป็นหนุ่มใจดีหรือ” นิโคไลเริ่มสวมเสื้อผ้า

“เปล่า ผมใจดำ”

“นายเข้ามาโลกใต้ดินยังไง” เขาถามขณะสอดศีรษะและแขนเข้าเสื้อยืดตัวเล็ก

“เรื่องส่วนตัวน่ะ”

“ของฉัน ฉันไม่รู้จะพึ่งใคร เลยต้องพึ่งเขา คนที่โทรมาเมื่อกี้ เขาแนะนำฉันโดยแลกเปลี่ยนกับการได้เป็น ‘เจ้าของ’ ” นิโคไลดึงชายเสื้อที่ม้วนให้คลาย จากนั้นหยิบกางเกงชั้นในสุดเปรี้ยว “ถ้าจะเป็นคู่หูกัน ต่อไปนายอาจได้ยินเรื่องเขา” กางเกงในตัวเล็กดีดแนบสะโพก คนสวมหยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมา สอดเท้าลงไปและดึงขึ้น กางเกงหนังพอดีกับสะโพกกลมกลึงเช่นเคย

“กฎข้อที่หนึ่ง ถ้าเขาโทรมาฉันต้องรับสายและล้างตัวไว้รอเขา ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ”

นิโคไลต้องสะอาดอยู่เสมอเพื่อเจ้าของ หากสายนั้นเรียกหาเขาเวลาทำงาน เขาต้องเลือกระหว่างงานหรือเจ้าของ ซึ่งไม่ว่าเลือกทิ้งทางไหน ก็มีบทลงโทษตามมาทั้งสิ้น

“ต่อไป ถ้าอยากช่วยฉัน ให้ฉันรับสาย”

ครู่เดียวนิโคไลก็สวมแจ็กเก็ต เก็บเข็มฉีดยาใส่กล่องและเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อ เขาพร้อมสำหรับออกไปแล้ว

“เขาเป็นคนของโลกใต้ดิน...?” ซาช่าทวนว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือไม่

“นายดูฉลาดกว่านี้นะ เขาแนะนำฉันเข้าสมาคม เขาก็ต้องเป็นสมาชิกอยู่แล้ว”

“ผมยังพูดไม่จบ” ซาช่าเหลือบตาขึ้น “ผมจะพูดว่าเขาเป็นคนของโลกใต้ดินส่วนไหน ดูมีอิทธิพลจังเลยจ้ะ...คุณต้องหัดฟังคนอื่นบ้างน้า”

“ใช่ เขาเป็นคนของโลกใต้ดิน” นิโคไลหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดู มันไม่มีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับ แสดงว่า ‘เจ้าของ’ ตั้งใจโทรหาเขาผ่านโทรศัพท์มือถือของซาช่า “ส่วนไหนหรือ...สมาคมสุภาพบุรุษสำหรับผู้ก่อตั้งและสมาชิกคนสำคัญละมั้ง เป็นคนมีอำนาจที่ทั้งรวยมหาศาลและมีรสนิยม ‘เหนือกว่า’ คนปกติ”

“เป็นสาเหตุที่คุณหย่าหรือเปล่า” ซาช่าเกิดคันปากขึ้นมา ใครๆ ก็ทราบว่านิโคไลแต่งงานกับคนข้างนอก แม้กระทั่งเด็กใหม่อย่างเขา

“ไม่ ฉันหย่าเพราะฉันชอบนอกใจ” นิโคไลตอบตรงไปตรงมา

“ตรงดี” ซาช่าผิวปาก “โอเค ผมจะทดเรื่อง ‘เจ้าของ’ ไว้” เขาว่าพลางลุกขึ้นเพื่อแต่งตัวบ้าง “ผมยังไม่ได้กอดคุณในฐานะคู่หู เรามากอดกันสักหน่อยดีไหม”

นิโคไลย่อมปฏิเสธ เขาไม่ใช่ประเภทชอบกอดคนแปลกหน้า เขาอาจนอนกับซาช่าได้ เพราะนั่นไม่มากไปกว่าการช่วยกันระบายความต้องการ...ทว่าอ้อมกอดนั้นต่างไป…

นิโคไลเปิดปาก แต่บางสิ่งรั้งคำบอกปัดไว้...ไม่รู้ทำไม...เมื่อเขามองหน้าซาช่าอย่างตั้งใจ ในเวลาที่ไม่ได้แข่งขันกันในสนามแข่งรถหรือบนเตียง นิโคไลรู้สึกไม่อยากปฏิเสธคำขอนี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ฉัน…” เขาแสบลิ้นที่ได้แผล คำพูดติดอยู่บนนั้นอย่างลังเลใจ

ซาช่าสวมกางเกงและติดกระดุมเสื้อจากล่างขึ้นบน ก่อนอ้าแขนรอ กระดุมสองเม็ดบนที่ไม่ได้ติดทำให้เสื้อแบะกว้างจนเห็นกล้ามอกตึงแน่น เขายิ้ม

“น่านิกกี้”

“อืม…” นิโคไลตอบรับแบบไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เขาเดินไปหาซาช่า...และกอด ร่างเล็กช่างน่าถนอมเมื่อยอมโอนอ่อน ตัวนิโคไลยังหอมแม้เพิ่งผ่านกิจกรรมโชกเหงื่อ เส้นผมสีทองนุ่มลื่นระใต้คางซาช่า “ที่จริง ฉันไม่นอนกับคนในทีม”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนโอบแขนรอบร่างเล็กกว่าแน่น เขาตบหลังนิโคไลเบาๆ เสียงทุ้มกระซิบอยู่เหนือศีรษะของนักส่งของ

“ถ้าแบบนั้นก็เป็นเกียรติมาก”

“ที่ไม่นอนเพราะเวลาทำงานมันลำบากถ้ามีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หึงหวง” คนตาคมเงยมองฉับ คล้ายแมวดุที่ไม่ยอมเสียมาด “นายไม่ได้พิเศษ แค่ดูไม่น่าแยแสถ้าฉันจะนอนกับใครเท่านั้นเอง”

ไม่น่ารักเสียแล้ว ที่ดูว่าง่ายเมื่อกี้ซาช่าน่าจะคิดไปเอง

ซาช่าหัวเราะรับคำพูดของนิโคไลอย่างอารมณ์ดี เขาตบก้นงอนเบาๆ ก่อนจะคลายอ้อมกอด

“ก็ใช่ ผมเป็นคนใจกว้าง”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนมองใบหน้าสวย ดวงตาสีฟ้าคล้ายจะมีรอยเฉยชาขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วหายไป

“ให้ไปส่งไหม”

นิโคไลจ้องหน้าซาช่าอยู่แบบนั้น นานทีเดียว “ข้างล่างคงมีรถรออยู่แล้ว ยังอยากไปส่งหรือ” เขาถามยิ้มๆ มีความเป็นมิตรอยู่ในน้ำเสียงมากกว่าเคย

“ผมแล้วแต่คุณนะ”

นิโคไลเท้าเอว เขาเห็นแววตาเฉยชาเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่าย ไหนจะความรุนแรงที่เผยออกมาระหว่างมีอะไรกัน นั่นทำให้ในสมองของนิโคไลเหมือนมีเสียงหึ่งๆ น่ารำคาญ

เขายกยิ้มร้ายกาจ นึกอยากลอกหน้ากากของซาช่า ขุดเอาใบหน้าที่แท้จริงออกมา

“ถ้าอยากไปส่งก็ได้ เราเป็นคู่หูกันแล้วนี่”

ก่อนที่ซาช่าจะพยักหน้า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดึงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วก็เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ซาช่าไม่ได้กดรับ เขายิ้มให้นิโคไล และพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“น่าเสียดาย วันนี้ธุระเข้าเสียแล้ว ขอไปส่งที่รถก่อนแล้วกัน”

ซาช่าดึงแจ็กเก็ตหนังมาสวม เขาเดินนำนิโคไลออกจากห้อง และส่งอีกฝ่ายที่ประตูรถลีมูซีนสีดำซึ่งจอดรออยู่หน้าโรงแรม “พรุ่งนี้เจอกันที่ไหน”

“ที่ทำงาน จะมีคนติดต่อไปบอกรายละเอียดเอง” นิโคไลขึ้นไปนั่งบนรถ เขาแตะนิ้วที่ปากตัวเองแล้วนำมาแตะบนกลีบปากอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า

“แล้วเจอกัน คู่หู...”

-------------------------------------------

A/N ลงตอนนี้จบแล้ว เราอยากบอกนักอ่านว่า...อย่าเพิ่งปันใจให้ใครง่ายๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 6-1 [22/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 22-03-2018 22:15:17
Case 6-1

คืนนั้นหลังส่งนิโคไลขึ้นลีมูซีน ซาช่ายืนมองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าด้านหลังกางเกง หน้าจอขึ้นว่ามีมิสคอลจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ และข้อความสั้นกระชับ

‘Savoia Excelsior, ชั้น 4, คิดถึง’

ชายหนุ่มเหยียดรอยยิ้ม เขาเดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดอยู่ไม่ไกล สวมหมวกนิรภัยของตัวเองและโยนหมวกกันน็อกที่ขโมยจากสนามแข่งทิ้ง ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ และบิดคันเร่งทะยานออกจากโรงแรมที่เขาเปิดเพื่อนอนกับนิโคไล มุ่งหน้าไปยังสถานที่ตามข้อความที่ถูกส่งมาจากเบอร์ลึกลับเต็มความเร็ว

Savoia Excelsior เป็นโรงแรมหรูห้าดาวในย่านเศรษฐีของเมือง มันตั้งอยู่ริมหาดส่วนตัวที่กินอาณาบริเวณกว้าง ห้อมล้อมด้วยป่าขนาดย่อมและรั้วสูงแทงยอดขึ้นไปบนฟ้า ซาช่าขับรถผ่านรั้วซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา มอเตอร์ไซค์ซีซีสูงคำรามกระหึ่มไปตามถนนภายในพื้นที่ของโรงแรมซึ่งทอดตัวไปสู่อาคารเก่าขนาดสี่ชั้น ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดับเครื่องยนต์ในจุดจอดหน้าตึก ชายวัยกลางคนในชุดสูทที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเดินมาค้อมตัวทักทายแล้วตรวจอาวุธเขาตามหน้าที่ ก่อนจะกล่าวกับเขาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนอย่างสุภาพ

“นายท่านรอรับประทานมื้อดึกกับคุณ”

“ส่งไวน์แดงดีๆ ขึ้นไปสักขวดสิจอร์โจ ฉลองที่ผมได้งานใหม่”

“Si” จอร์โจผงกศีรษะก่อนเปิดทางให้ซาช่าเดินเข้าไปข้างใน

ซาช่าเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสี่แบบไม่รีบร้อน อาคารทั้งหลังเงียบสงัดไร้วี่แววของแขกคนอื่น นั่นหมายความว่า ‘นายท่าน’ ของจอร์โจ—คนที่เขามาพบเหมาโรงแรมไว้แล้วทั้งคืน ปกติ Savoia คับคั่งด้วยแขกจากทั่วทุกมุมโลก แม้ราคาที่พักต่อคืนจะสูงลิบก็ตาม ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเดินตรงไปที่ประตูบานหนึ่งซึ่งแง้มไว้นิดๆ อย่างมั่นใจ เขาสาวเท้าเข้าไปในห้องซึ่งมีเพียงไฟโคมสีส้มนวลเป็นแหล่งกำเนิดแสงอันสลัวรางท่ามกลางความมืด และงับประตูปิดแผ่วเบาไม่ให้รบกวนชายหนุ่มในชุดคลุมอาบน้ำซึ่งนั่งไขว่ห้างหลับตาอยู่บนโซฟาข้างเตียงสี่เสา

“เข้ามานี่สิ” เสียงทุ้มพร่าดังขึ้นทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ลืมตา

ซาช่าเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าชายคนนั้นและจับมือที่วางอยู่บนตักมาจูบ

“มารยาทดี”

           ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะจางๆ กับคำชม เขาไล้ริมฝีปากบนข้อนิ้วได้รูป “มีคนฝึกดี”

           ใบหน้างดงามราวรูปสลักเดวิดของมีเกลันเจโลเอียงลงหา และซาช่าตอบรับสัญญาณนั้นด้วยการยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตริมฝีปากที่กำลังเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม จูบของซาช่าเร่าร้อนขึ้นตามลำดับ มือที่ใหญ่และร้อนจัดประคองใบหน้าอีกฝ่ายและตักตวงเอาอย่างกระหาย ก่อนที่เขาจะได้กลืนปากที่ให้ฤทธิ์ราวกับยาเสพติดเข้าไปจริงๆ แรงผลักเพียงน้อยนิดแทนการปรามก็ทำให้ซาช่าหยุด

“ชู่ว หมาดี”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเอียงศีรษะตามฝ่ามือที่ลูบอยู่บนเส้นผม เขาตวัดอีกฝ่ายขึ้นจากเก้าอี้ คนในอ้อมแขนหัวเราะแผ่วจาง

“ถ้าเธอตะกละ เธอจะสำลัก”

ซาช่าเหยียดยิ้ม เขาวางร่างอีกฝ่ายลงบนฟูก ทาบร่างอยู่เหนือชายสูงวัยกว่าและกระซิบแหบห้าว

“คุณชอบให้ผมตะกละไม่ใช่หรือปาปา” ซาช่านวดมือบนสะโพกตึงแน่นอันเปล่าเปลือย “คุณให้อาหารไม่บ่อย หมามันก็ต้องตะกละอยู่แล้ว” ก่อนลากปลายนิ้วมานวดบนช่องทางที่ปิดสนิทและดันนิ้วเข้าไปช้าๆ

‘ปาปา’ หายใจเฮือก เลื่อนมือมาขยุ้มผมซาช่าและบอกว่า “เธออย่าใจร้อน เจลอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง”

คนอายุน้อยกว่าเหยียดมือสุดแขนไปควานหาขวดเจลหล่อลื่นขณะที่นิ้วซึ่งแทรกอยู่ภายในขยับขยายพื้นที่คับแคบนั้นไม่หยุด ซาช่าราดเจลลงบนช่องทางนั้น เขาดันนิ้วที่สองตามเข้าไปคล้ายจะอดทนไม่ไหว

“ถ้าฉันไม่ได้เลี้ยงเธอมา ฉันคงคิดว่าเธอรักฉันไปแล้ว”

“หรืออาจรัก” ซาช่ายอกย้อน ตอนนั้นเขาถอนนิ้วออก รูดซิปกางเกงและเตรียมจะฝังความเป็นชายที่ผงาดชันเข้าไปในตัวของปาปา แต่ถูกห้ามเอาไว้เสียงเฉียบ

“ใส่ถุงยางอนามัยซาช่า”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนคำรามต่ำ เขาดึงซองถุงยางอนามัยจากกระเป๋ากางเกงมาฉีกและสวม มือใหญ่กุมที่ต้นขาแน่นกระชับ ก่อนกดท่อนเนื้อเข้าไปในความร้อนจัดที่เต้นตุบ ปาปารัดเขาแน่น หลังจากนั้นก็ไม่มีการพูดคุยอะไรอีก เสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องพักหรูคือเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่น และเสียงคำรามต่ำของคนทั้งคู่ เซ็กซ์ดำเนินอยู่นาน ราวกับซาช่าไม่รู้จักอิ่ม

ซาช่ายอมหยุดเมื่อถุงยางอนามัยหมดไปหนึ่งกล่องและถูกศอกของคนที่เขากอดรัดจากทางด้านหลังยันไว้ ชายหนุ่มจูบใบหูนิ่มและหลังคอเจือกลิ่นซิการ์ กระซิบต่ำพร่าแล้วถอนตัวออกอ้อยอิ่ง ก่อนพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ คนที่ทรุดลงไปนอนคว่ำหน้าบนหมอน

“คุณทำให้ผมตะกละจริงๆ ด้วยปาปา”

อีกฝ่ายใช้เวลาไม่นานในการตามลมหายใจตัวเองให้ทัน ปาปาดันใบหน้ามาจูบเมื่อหายใจเป็นปกติแล้ว ขณะที่มือของซาช่าก็ลูบอยู่บนเอวสอบอย่างชอบใจ

“อิ่มไหม”

“พูดตามตรงว่าไม่” คำตอบของซาช่าทำให้คนสูงวัยกว่าหัวเราะและจูบอีกครั้ง มือใหญ่ลูบบนเส้นผมของชายหนุ่มชาวรัสเซียน กิริยาทุกอย่างคล้ายการกระทำของคู่รัก

“ไม่มีอย่างอื่นที่เธออยากได้มากกว่าเซ็กซ์หรือ”

“เปลี่ยนใจอยากให้ความรักผมบ้างแล้วหรือปาปา”

“ฉันสอนเธอไปกี่ครั้งแล้ว ความรักไร้สาระ”

“แต่คุณก็เป็นคนรักของอาผมไม่ใช่หรือ” ซาช่าไล้มือบนกรอบหน้าเรียบเนียน

“ไร้สาระสำหรับคนหนุ่ม...อย่างเธอ”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะและดึงปาปาลงมาจูบเนิบนาบ

“ผมต้องรอจนอายุเท่าไหร่ล่ะ มันถึงจะไม่ไร้สาระ”

“จนกว่าเธอจะเบื่อหน่ายในความตื่นเต้นของทุกๆ สิ่ง”

“อย่างนั้นผมคงไม่มีโอกาสมีความรักตลอดชีวิต”

“ดีแล้ว” พวกเขาจูบกัน และปาปากระซิบย้ำ “ดีแล้ว...แต่กับเด็กคนนั้น นิโคไล” เขาเว้นช่วง ปลายนิ้วไล้บนสันจมูกโด่งของคนหนุ่ม “ทำงานใกล้ชิดกันระวังตกหลุมรักเขาล่ะ”

“หึงหรือปาปา” ซาช่าถามอย่างยียวน

คนฟังหัวเราะเต็มเสียง “ไร้สาระ”

“ความหึงหวงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนวัยกลางคนอย่างคุณหรือ”

“ก็อาจจะ”

ซาช่าอ้าปากงับปลายนิ้วที่ลากไปมาบนกลีบปาก

“ผมชอบนิกกี้ แต่รู้ตัวว่าจะไม่รัก”

“ความรักก็แบบนั้นแหละซาช่า รู้ตัวอีกที เธออาจจะอยู่ก้นหลุมไปแล้วก็ได้” ปาปาแทนที่นิ้วด้วยปลายลิ้น

“อย่าให้มันเกิดขึ้น ยกเว้นว่าเธอจะดึงนิโคไลมาเข้ากับเราได้สำเร็จ”

“อย่าเลย มันยุ่งยาก” เขาตอบบนปากอย่างไม่ยี่หระ “ผมได้งานแล้ว”

“ตั้งใจทำงานล่ะ” พวกเขาจูบกันอีกครั้ง และอีกครั้ง

“ตามหากระต่ายให้เจอ มันชอบอยู่กันเป็นฝูง”

ซาช่าอ้อยอิ่งอยู่กับการสัมผัสปาปาครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เขาแวะมาจูบลา เมื่อเปิดประตูห้องพัก ชายหนุ่มชาวรัสเซียนพบจอร์โจยืนถือถาดสแตนเลสอยู่หน้าห้องพร้อมแก้วบรรจุไวน์แดงที่เขาขอไปเมื่อตอนมาถึง ซาช่ายิ้มและยกแก้วดื่มรวดเดียวจนหมด

“ขอบคุณจอร์โจ”

พ่อบ้านวัยกลางคนค้อมศีรษะและยื่นถาดให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้วางแก้วเปล่า

“A presto”

ซาช่าพยักหน้ากับคำกล่าวลา เขาเดินลงบันไดกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ ไม่นานหลังจากนั้นดูคาติสีแดงก็ส่งเสียงคำรามกระหึ่มและแล่นจากไปรวดเร็วไม่ต่างจากขามา

————————————————————

มาร์คพบซาร่าครั้งล่าสุดเมื่อประมาณสามปีก่อน หล่อนเป็นจิตแพทย์ และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาสมัยเป็นนักศึกษา หลังซาร่าย้ายไปเป็นอาจารย์พิเศษที่แคนาดา ทั้งคู่ก็ห่างกันไป โดยนานๆ ครั้งจะอีเมลหากันบ้างในวันพิเศษ

แต่เวลานี้—เวลาที่มาร์ครับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘แอนทอน’ จากคำบอกเล่าของฮันเตอร์และหลักฐานต่างๆ คำตอบที่มาร์คให้กับพี่ชาย ต่อคำถามว่า ‘จะเอาอย่างไรต่อ’ ในเมื่ออีกตัวตนของเขาเกี่ยวข้องกับการกักขังอัลฟีโอและการตายของอดีตสามีอัลฟีโอโดยตรงคือ

“ผมจะไปรักษาตัวก่อน แล้วค่อยมอบตัว”

เมื่อคิดได้ดังนั้น มาร์คนึกถึงอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนแรก เมื่อสางความคิดของตัวเองจนเป็นระเบียบดีแล้ว เขารีบส่งอีเมลถึงหล่อน ระบุว่ามีเคสโรคหลายบุคลิก (DID) ต้องการปรึกษา

‘สวัสดีมาร์ค

ฉันสบายดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอต้องการขอคำปรึกษา ฉันมีเอกสารทางการแพทย์อยู่จำนวนหนึ่ง และยินดีมากที่เธอจะแวะมาเยี่ยมเยือน ไม่ต้องบินมาถึงโตรอนโต้นะมาร์ค สุดสัปดาห์นี้ฉันอยู่วิลล่าที่หาดครีมา สะดวกมากที่จะพบเธอหลังบ่ายโมง’

ซาร่าตอบอีเมลกลับไม่นานหลังจากนั้น เป็นเรื่องประจวบเหมาะจนน่าประหลาดใจที่อาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเขาเคารพนับถือมาอิตาลีพอดี เหตุการณ์แบบนี้ราวกับเป็นสัญญาณว่าพระเจ้ายังไม่หันหลังให้เขา เขารีบตอบกลับอีเมลและนัดแนะวันเวลากับหล่อน

มาร์คไปหาซาร่าตามนัด เขาอยู่ในสภาพอิดโรย หมดเรี่ยวแรง กระบอกตาสองข้างโหลลึกเพราะบังคับตัวเองไม่ให้เผลอเข้าสู่ภาวะหลับลึก พอถึงประตูวิลลาของซาร่า เขารู้สึกปลอดภัย ความช่วยเหลือกำลังมาถึง และอีกไม่นานเขาจะล้มตัวลงนอนอย่างเป็นสุข

บานประตูไม้เปิดต้อนรับหลังมาร์คกดกริ่งไม่กี่อึดใจ

“เธอตรงต่อเวลามาก” เจ้าของบ้านทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขานัดหล่อนตอนบ่ายโมงตรง และบ่ายโมงตรงเขาก็มาปรากฎตัว

ซาร่าเป็นหญิงวัยห้าสิบเศษร่างสูงผอม หล่อนอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน เส้นผมสีเงินปล่อยสยายเคลียไหล่ บรรยากาศรอบตัวซาร่าสดชื่น แต่ใบหน้าเฉี่ยวเก๋ที่กำลังยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นขรึมเคร่งเมื่อเห็นสภาพของอดีตเด็กในที่ปรึกษา หล่อนดึงเขาเข้ามาในบ้าน ประคองร่างสูงใหญ่ไปนั่งบนโซฟาเบดในห้องรับแขก จัดแจงหาชาร้อนและคุ้กกี้มาเสิร์ฟ และเปิดปากถามอย่างห่วงใย

“เธอได้พักผ่อนบ้างไหมมาร์ค”

“ไม่ครับ” มาร์คตอบตามตรง เขานวดหัวตา เอ่ยขอบคุณสำหรับชาร้อนและของว่าง “คุณยังดูดีเหมือนเดิม” ชายหนุ่มยิ้มเซียว

ซาร่าถอนหายใจยาว

“และเธอดูไม่ดีเลยพ่อหนุ่ม” ดวงตาของซาร่ามีร่องรอยของความห่วงใยชัด หล่อนลุกไปหยิบแฟ้มเอกสารทางการแพทย์และงานวิจัยเกี่ยวกับโรคที่มาร์คระบุมาส่งให้

“ฉันไม่สันทัดเรื่องนี้นัก แต่พอรู้จักคนที่เชี่ยวชาญ” ซาร่าส่งกระดาษอีกแผ่นให้มาร์ค มันระบุที่อยู่และแผนที่ของสถานที่หนึ่ง

“ที่อยู่บ้านของศาสตราจารย์อาร์มานี เขาเป็นจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรค DID ที่สุดในอิตาลี ฉันโทรไปนัดให้แล้ว เขาสะดวกให้เธอพบ ถ้าต้องการไปพบวันนี้เขาก็ยินดี ฉันจะโทรไปแจ้งให้”

หล่อนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าเคร่งเครียดของมาร์คและถามออกมา

“เคสด่วนมากหรือ” ซาร่าเดาเอาจากความกะทันหันในการขอเข้าปรึกษาของมาร์ค ในอีเมลเขาแจ้งว่ายินดีบินไปพบที่โตรอนโต้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ เมื่อรวมกับสภาพอิดโรยของอีกฝ่าย หล่อนคิดว่าตัวเองคาดการณ์ไม่ผิด

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” มาร์คหัวเราะเบาๆ “ผมยังมีเวลาขอนัดดินเนอร์กับอาจารย์นะ” เขายังพอมีอารมณ์ขันเหลืออยู่

แต่พอสังเกตท่าทาง โดยเฉพาะมือซึ่งจับแผ่นกระดาษไว้แน่น นิ้วที่ลูบผิวกระดาษไปมา ก็เข้าใจได้ว่ามาร์คกำลังร้อนใจ

ฝ่ามืออบอุ่นของซาร่าวางบนบ่ากว้างที่งุ้มเข้าหากัน หล่อนตบบ่าเขาเบาๆ

“เสียดายที่ฉันมีนัดแล้วน่ะสิ” เสียงของซาร่ากลั้วหัวเราะ หล่อนทอดสายตามองเขา มีความอารีในแววตา

“ไว้คราวหน้าแล้วกันมาร์ค เธอไปทำธุระให้เรียบร้อยเถอะ ฉันจะโทรบอกศาสตราจารย์อาร์มานี ว่าเธอกำลังไป”

------------------------------------------

A/N มาร์คกลับมาแล้วค่ะ ส่วนซาช่านั้น...เราจะไม่พูดอะไรนะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 6-2 [23/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 23-03-2018 18:45:32
Case 6-2

ซาร่ามาส่งแขก หล่อนกอดลามาร์คที่ข้างประตูรถ และตบแผ่นหลังนั้นเบาๆ แทนการบอกลา

“ฉันจะอยู่อิตาลีอีกสองสัปดาห์ ถ้ามีอะไรก็ปรึกษาฉันได้เสมอ ที่นี่ยินดีต้อนรับเธอตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจรู้ไหม มาร์ค แอนโธนี”

มาร์คกอดอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของตน เขาเกือบร้องไห้เพราะอัดอั้นในหลายเรื่อง แต่สุดท้ายก็สูดหายใจลึก ตั้งสติ เขาต้องอดทนอีกนิด...แค่อีกนิด

หลังร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย มาร์คขับรถไปตามแผนที่ ถนนชานเมืองตรงสู่นอกเมืองอันสงบเงียบ เขาสำรวจตัวเองและพบความกลัวซุกซ่อนอยู่ในหลืบความคิด ศาสตราจารย์คนนี้จะเป็นอย่างไร เขาจะหายจริงหรือไม่ ถ้าไม่หายล่ะ

ถ้าไม่หายล่ะ…

มาร์คประคองสติได้ยากท่ามกลางความคิดวนซ้ำและความง่วงงุน จนในที่สุดก็มาถึงบ้านของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลายบุคลิก

บ้านของศาสตราจารย์อาร์มานีเป็นบ้านสองชั้นสีขาว ตั้งอยู่ในหมู่บ้านย่านชานเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านสองชั้นสีขาวอีกมากมาย แม่บ้านชาวอิตาเลียนที่กำลังจับกลุ่มคุยหันมองตามรถของมาร์คไม่วางตา หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีแขกแปลกหน้ามาเยี่ยมเยือนไม่บ่อยนัก พวกหล่อนจึงสนอกสนใจเป็นพิเศษ

มาร์คจอดรถริมถนนหน้าบ้านเลขที่ตามแผนที่ เขาลงจากรถด้วยสีหน้าอิดโรยกว่าเดิม และไม่ทันที่เขาจะกดกริ่ง ประตูสีขาวก็เปิดออก

ศาสตราจารย์อาร์มานีผิดจากที่มาร์คคิดไว้ประมาณหนึ่ง เขาไม่คาดคิดว่าจะพบชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่คล้ายนักกีฬา และมีแผลเป็นพาดจากคางมาถึงริมฝีปากล่าง

“มาร์ค แอนโธนี” เสียงทักทายนั้นนุ่มนวล

“ซาร่าโทรมาบอกผมว่าคุณกำลังมา หล่อนบอกด้วยว่าคุณเป็นชายหนุ่มที่มีสภาพเหมือนไม่ได้นอนมาหลายคืน”

“สวัสดีครับ” มาร์คทักทายเป็นภาษาอิตาเลียน เขาพูดภาษาอิตาเลียนชัดพอกับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาแม่ “ขอบคุณที่คุณตอบรับผม ขอบคุณมากๆ จากใจจริง”

ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนมาร์คต้องลอบกำหมัดจิกเล็บเพื่อปลุกให้สติกลับมา เขาต้องการบุหรี่และกาแฟ หรือไม่ก็ชาเข้มๆ อีกสักแก้ว พลางนึกวางแผนในใจว่าต้องหาโรงแรมใกล้ๆ พักเอาแรงสักคืนก่อนขับรถกลับ ไม่อย่างนั้นเขาหลับในแน่ๆ

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เชิญอีกฝ่ายเข้าบ้าน เขาบอกมาร์คให้ทำตัวตามสบาย

“บ้านไม่เรียบร้อยนัก ผมไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยม”

ภายในห้องรับแขกมีบรรยากาศอบอุ่น กลิ่นไอของชีวิตอวลอยู่ทุกที่ มันเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นบนตัวเจ้าของบ้าน

“คุณต้องการอะไรหรือเปล่า” อาร์มานีถามอย่างเป็นกันเอง

“ชา กาแฟสักแก้ว หรือการนอนสักงีบ”

มาร์คอยากตอบว่าทุกอย่าง “กาแฟดำสักแก้วก็ดีครับ ขอบคุณ” จากนั้นเขาก็แนะนำตัวอีกครั้งว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของซาร่า ตอนนี้เป็นจิตแพทย์ และต้องการคำปรึกษาให้เคสหินเคสหนึ่ง

“ผมไม่ถนัด DID นัก มันเฉพาะทางมาก”

อาร์มานีพยักหน้า เขารู้เรื่องคร่าวๆ จากซาร่าและยินดีช่วย หนุ่มใหญ่ผายมือชวนมาร์คไปนั่งที่สตูลในครัว

“ผมมีแต่กาแฟดริป ดริปไปคุยไปคุณคงไม่ถือ”

“ผมยินดีชมศิลปะ” มาร์คยิ้ม

พวกเขาย้ายที่ไปคุยในครัว เจ้าของบ้านหยิบถุงเมล็ดกาแฟมาเทใส่เครื่องบด เขาเริ่มต้นหมุนแกนบดพลางถาม

“คุณติดขัดอยู่ตรงไหน”

“ผมจะเล่าให้คุณฟังแต่แรก” แล้วมาร์คก็ค่อยๆ เล่า...เรื่องของตัวเขาเอง

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่อยู่ในอาการสงบตลอดการฟัง เขาทำกาแฟไปด้วยอย่างใจเย็น ไม่มีเสียงแทรกใดจากอาร์มานีตลอดการเล่าของมาร์คนอกจากเสียงเปิดน้ำ เสียงน้ำเดือด เสียงน้ำยามกระทบกับผงกาแฟบด เสียงน้ำหยดผ่านกระดาษกรองลงแก้วเซรามิค และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันเล็กน้อยยามอาร์มานีขยับตัว

หนุ่มใหญ่หมุนไปหยิบแก้วเซรามิกอีกใบ และหยิบชากล่องหนึ่งจากตู้เหนืออ่างล้างจานติดมือมาด้วย อาร์มานีรินน้ำร้อนในกาลงแก้วที่ว่าง เขาหย่อนถุงชาตามลงไป ไม่นานมันก็ส่งกลิ่นหอม แม้ไม่อาจกลบกลิ่นกาแฟ แต่มันจะลอยอวลใต้จมูก เมื่อเขาดันแก้วไปวางตรงหน้ามาร์ค

“แก้วนี้ของคุณ ชาคาร์โมมายล์ มันช่วยเรื่องการผ่อนคลายและการนอนหลับ”

เขามองสบตามาร์ค ยกแก้วกาแฟจิบด้วยท่าทางปกติ

“ผมกลัวการหลับ” มาร์คลูบหน้าตัวเอง “ตอนนี้เหมือนเป็นบ้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง” พอเอามือออกจากหน้า เขาจ้องมองแก้วชาคาร์โมมายล์ ชาให้กลิ่นหอมอ่อนจาง มันส่งอิทธิพลต่อเปลือกตาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาสัปหงกไปวูบหนึ่ง เปลือกตางับเปิดก่อนจะดีดเปิดด้วยอาการสะดุ้ง

“แต่ผมอยู่กับศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา…”

ศาสตราจารย์อาร์มานียิ้มอย่างอารี เขาบอกมาร์คเป็นภาษาอังกฤษ

“ห้องข้างๆ ครัวมีเตียงให้คุณใช้ ไปนอนเสียมาร์ค เราจะคุยกันต่อหลังคุณตื่น”

มาร์คตอบรับไมตรี เขาไม่ไหวจริงๆ คุยกันไปก็คงไม่ได้ความอะไร

ชายหนุ่มยกชาขึ้นดื่มจนหมดแก้ว เขาเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก่อนขอตัวไปพักผ่อน

มาร์ค แอนโธนีหลับอย่างรวดเร็ว เขาหลับลึกโดยไม่มี ‘ใคร’ ตื่นขึ้นแทนที่

————————————————————

หลังกลับจากการปรึกษาศาสตราจารย์อาร์มานี มาร์คได้โจทย์กลับมาคิดว่าเขาจะเอาอย่างไรต่อ ข้อเสนอจากอาร์มานีคือการรักษาที่ไม่ใช่การรักษาตามจริยธรรมทางการแพทย์—มันควรถูกเรียกว่าการทดลอง

ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญอธิบายกระบวนการต่างๆ ให้เขาฟังแล้ว ต่อมาเป็นเขาเองต้องตัดสินใจว่าจะรับข้อเสนอนั้นหรือไม่

หลังใช้เวลาหลายวันไปกับการนอนหลับไม่สนิท และพยายามสางความคิดตัวเอง มาร์คได้คำตอบว่าเขาจะลองเสี่ยง เขาโทรติดต่ออาร์มานี ได้รับคำยืนยันอย่างเมตตาว่ายินดีช่วยเหลือ การนัดพบครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า

นั่นหมายถึงการเริ่มต้นการรักษาที่ใช้เวลานาน

มาร์คยังจำสีหน้าสงบของศาสตราจารย์อาร์มานีตอนบอกเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จได้ดี

‘หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์คือความล้มเหลว เพราะคนไข้ของผมทุกคนถอดใจกลางคัน แต่หากคุณต้องการจะลอง ผมยินดีช่วย’

นอกจากเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะเป็นศูนย์ ระยะเวลาในการรักษายังเป็นสิ่งที่คาดไม่ได้ ศาสตราจารย์อาร์มานีแนะนำให้เขาจัดกระเป๋าเดินทางสำหรับหนึ่งเดือน พร้อมบอกติดตลกว่า นั่นเป็นระยะเวลานานที่สุดที่อีกฝ่ายเคยใช้ร่วมกับคนไข้

เมื่อวันนัดมาถึง มาร์คหิ้วกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านด้วยความรู้สึกว่างโหวง เขาโทรหาฮันเตอร์ว่ากำลังจะทำอะไร และพี่ชายเขาตอบรับอย่างสงบ

“ทำในสิ่งที่แกต้องทำ”

และเขาโทรหาอดีตภรรยาเป็นลำดับถัดไป

“นิกกี้ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของมาร์คเรียบสงบ เขาถอนหายใจยาว ระหว่างยกกระเป๋าเดินทางเก็บที่ท้ายรถ

“ผมอยากเจอคุณ”

ปลายสายไม่ตอบมาร์คทันที ต้องรอครู่หนึ่งจนเสียงรอบตัวอีกฝ่ายเบาลง คล้ายเขาปลีกตัวออกมาเพื่อคุย “ผมอยู่ที่สมาคม” สั้นๆ เพียงแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก “คุณหายไปเลยหลังจากฮันเตอร์ให้ผมออกจากห้องคนไข้ จำได้ไหมว่าวันนั้นแอนทอนออกมา”

“ผมไม่แน่ใจ” มาร์คตอบเสียงแผ่วพร้อมปิดกระโปรงท้าย เขาย้ำ ด้วยน้ำเสียงเกือบจะอ้อนวอน

“ผมอยากเจอคุณ”

นิโคไลจับความผิดปกติในน้ำเสียงของมาร์คได้ เขาจึงตอบเสียงอ่อนกว่าเดิม “ที่ไหนล่ะ”

“ที่บ้านผม ตอนนี้”

“ตกลง ผมจะไปถึงในอีกครึ่งชั่วโมง” ระยะทางระหว่างบ้านมาร์คกับสมาคมใต้ดิน ถ้าขับรถด้วยความเร็วปกติจะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง แปลว่านิโคไลจะรีบมา

ที่จริงเขาสามารถปฏิเสธมาร์คได้ แต่เพราะตั้งแต่วันนั้นมาร์คเงียบหายไปเลย แล้วจู่ๆ ก็ติดต่อมา

นิโคไลมีลางสังหรณ์ว่านี่คือ ‘การบอกลา’

ครึ่งชั่วโมงต่อมานิโคไลได้เห็นสภาพที่ไม่สู้ดีของมาร์ค เขายังวิตกกังวลยามต้องนอนหลับ ผิวใต้ตาช้ำจนคล้ำ กระบอกตาลึก ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังมีรอยยิ้มให้อดีตคนรัก รอยยิ้มอ่อนโยน...นุ่มนวล

“คิดถึง” มาร์คทักทายนิโคไลด้วยการสารภาพความรู้สึกออกไปตามตรง

“หน้าตาดูไม่ได้เลยมาร์ค” นิโคไลเท้าเอว เขาเห็นรถของมาร์คจอดอยู่หน้าบ้าน “จะไปไหนเหรอ”

“ผมจะไปรักษาตัว” ชายหนุ่มเม้มปาก “...แบบไม่มีกำหนด”

คนฟังนิ่งไปครู่ใหญ่ เขาหลุบตาลง “อ้อ” นิโคไลทำเสียงตอบรับในคอ “จะไม่กลับมาแล้วหรือ”

มาร์คส่ายหน้า “ผมแค่อยากเจอคุณก่อนไป” เขาหยุดอยู่ตรงนั้น

“คุณบอกว่าไม่มีกำหนด ไม่มีกำหนดก็คือไม่มีกำหนด มาร์ค”

“แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่เจอกันอีก...นิกกี้” มาร์คอ้าแขน “ขอผมกอดคุณหน่อยได้ไหม”

“ผมไม่รู้” เป็นครั้งแรกที่นิโคไลไม่ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที ทั้งที่คำตอบของเขามักชัดเจนเสมอมา “ผมคิดว่าดีแล้วที่คุณจะไปรักษาตัว และไปจากเรื่องทั้งหมดนี้ และเราก็ควรกอดลาแบบที่คนทั่วไปเขาทำกันใช่ไหม”

มาร์คไม่พูดอะไรอีก เขากอดอดีตภรรยา เอ่ยคำรักด้วยภาษากาย ริมฝีปากประทับจูบบนกลุ่มผมนุ่ม นิ้วเกลี่ยข้างแก้มไปจนใบหู ชายหนุ่มกระชับกอดแน่นขึ้นอีกนิด ใบหน้าซุกซบบนบ่า เขาจูบขมับอีกฝ่ายก่อนกระซิบว่า “ผมจะกลับมา”

สัมผัสของมาร์คทำให้คนตัวแข็งผ่อนคลาย นิโคไลยกแขนขึ้นเพื่อกอดตอบ จากท่าทางไม่แน่ใจในทีแรก เขาค่อยรัดวงแขนแน่นขึ้นและซุกตัวเข้าหามาร์ค “คุณมีสองทางเลือก คือจำให้ได้หรือลืมมันเสีย แต่คุณต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าลังเลไม่เลือกสักทาง เพราะคุณจะไปต่อไม่ได้”

มาร์คยิ้ม “ขอบคุณที่เป็นห่วง” เขากอบใบหน้านิโคไล “คราวนี้ผมขอจูบคุณได้ไหม”

“มากไปหรือเปล่า” คนพูดเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอน้อยๆ คล้ายเป็นการตอบรับ แม้ถ้อยคำที่ออกจากริมฝีปากสวยจะตรงข้ามกันก็ตาม

“มากไปหรือ” มาร์คจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากอิ่มของนิโคไล “ไม่หรอกครับ”

เมื่อใกล้ชิดกันขนาดขบเม้มริมฝีปาก มาร์คได้กลิ่นน้ำหอมร้อนแรงเหมือนไฟกลิ่นเดิม ทว่าครั้งนี้ความหอมของมันนุ่มนวลขึ้น คล้ายศิลปะที่ติดอยู่บนเรือนร่างเมื่อนิโคไลจูบตอบ

“คุณยังคบกับคนที่ให้…” มาร์คไซ้จมูกกับขนตาอีกฝ่าย “น้ำหอมคุณหรือ” เสียงเขาพร่า “ผมไม่ชอบใจนัก แต่ยอมรับว่ามันเหมาะกับคุณ”

“เขาชื่อไพโร คนที่แอนทอนมีเรื่องชกต่อยด้วยน่ะ...เป็นศิลปินนักปรุงน้ำหอม” นิโคไลจูบใต้คางมาร์ค เกลี่ยเนื้อปากนุ่มนิ่มกับเคราสากแล้วขบเม้มต้นคอแกร่ง “เวลาปรุงน้ำหอมไพโรไม่คิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรอก ไม่สิ...ผมไม่เคยเห็นเขาปรุงน้ำหอมให้ใครด้วยความรักมาก่อน เขาแค่ตกแต่งกลิ่นให้เหมาะกับ ‘นางแบบ’ กลิ่นที่ถูกเสกออกมา...มันมีพรสวรรค์ของเขาอยู่ในนั้น”

“ผมยอมรับว่าใช่ มันทำให้คุณเซ็กซี่ขึ้น” มาร์คคิดว่าตัวเองต้องผละจากนิโคไล ไม่อย่างนั้นจะไม่จบแค่กอดหรือจูบ และเขาจะอาลัยอาวรณ์มากขึ้น

หรือไม่เป็นไร...

“ไม่เป็นไร” นิโคไลบอก “ไม่เห็นเป็นไรนี่นา” เขายิ้มให้มาร์ค

“ผมแย่แล้ว” มาร์คยิ้มพลางระบายลมหายใจหนัก เขาดันสะโพกนิโคไลเข้ามาใกล้ รวบเอวกอดขณะโน้มไปไล้ปลายจมูกกับสันจมูก

“อือ” นิโคไลหลับตาแล้วครางบนปากอดีตสามี “ผมชอบทำให้คุณแย่...ในทางที่ดี”

“ในทางที่ดี…” มาร์คย้ำ เสียงเขาพร่ากว่าเดิม

แล้วทั้งคู่ก็ไปจบกันในบ้าน—บนเตียงขนาดใหญ่ มาร์คทำรักอย่างนุ่มนวลทว่าร้อนแรง เขาฝากรอยจูบไว้บนผิวของนิโคไลทุกตารางนิ้ว...ทุกซอกหลืบ ใช่ว่าประกาศความเป็นเจ้าของ แต่ประกาศความรักอีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่อ

นิโคไลหลับสนิทในตอนที่มาร์คต้องลุกจากเตียง เขาเพียงนอนหลับอยู่บนอกมาร์คเหมือนสมัยยังแต่งงานกัน ซึ่งมีบางครั้งที่นิโคไลกลับมาหลังจากหายไป ‘ปาร์ตี้’ นานหลายวัน และเนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำที่เจ้าตัวบอกว่า ‘สนุกกับปาร์ตี้เกินไปหน่อย’

ในเวลาแบบนั้น...นิโคไลจะหลับสนิทได้เมื่อมีมาร์คอยู่ข้างๆ

บางที นี่อาจเป็นการบอกลาในแบบของนิโคไล เพราะเขาไม่รู้ว่าอนาคตระหว่างตนกับมาร์คจะเป็นเช่นไร จึงอยากให้มันเป็นการจากลาที่ดี...ที่ไม่นึกเสียใจภายหลังว่าไม่ได้ทำให้ดีกว่านี้

...หรือไม่ก็เป็นแค่ความมักมากอย่างไร้หัวจิตหัวใจอีกครั้งหนึ่ง

-------------------------------------------------

A/N เห็นมีบางคอมเมนต์บอกว่า อ่านแล้วอึดอัด จริงๆ เราก็สังเกตมาสักพักแล้วค่ะว่าทุกเรื่องที่เราเขียน มันจะมีส่วนที่เกเร ไม่ตรงตามขนบนิยม ^^; แต่ขอให้ลองติดตามไปจนจบ เพราะนี่คือสไตล์การเขียนของเราค่ะ (ไม่ได้หมายถึงชอบเขียนเรื่องน่าอึดอัดนะคะ แงง ไม่ใช่ๆ! มันคือปัญหาต่างหาก เราเชื่อว่าปัญหาจะทำให้เรื่องราวสนุกสนานมีรสชาติยิ่งขึ้นค่ะ!)

ป.ล. แต่คอมเมนต์ส่วนที่ให้กำลังใจ บอกว่าชอบมาก เราก็รับไว้ด้วยความยินดี และขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 6-3 [24/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 24-03-2018 19:34:55
Case 6-3

ในห้องผู้ป่วย ชายหนุ่มร่างเล็กสวมหน้ากากสีขาวนั่งอยู่ข้างเตียงอัลฟีโอ เขามาที่นี่หลายครั้ง แต่ละครั้งไม่พูดอะไรมาก แค่ถามว่าอาการเป็นอย่างไรและนำหนังสือมาให้ครั้งละสามสี่เล่ม

อัลฟีโอพบว่าหนังสือเหล่านั้นเป็นแนวที่เขาชอบหรือตั้งใจจะหามาอ่าน เมื่อได้รับบ่อยเข้าจึงอดถามไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าเขาชอบอ่านหนังสือประเภทไหน

คนมาเยี่ยมเพียงตอบง่ายๆ ว่า ‘ดูจากโพสบนโซเชียลเน็ตเวิร์กของคุณ’

นั่นทำให้อัลฟีโอไม่สบายใจ

อัลฟีโอทราบจากชายชื่อเกเบรียลว่าเขาออกจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าจะตัดสินใจเลือกข้อเสนอหนึ่งในสองทาง ทางแรกคือเข้าร่วมสมาคม ‘บางอย่าง’ ที่อยู่นอกกฎหมายและจ่ายค่าตอบแทน อยู่เป็นคนของที่นี่ หรือสอง...จากไปโดยลืมเรื่องราวทั้งหมด

ทว่าเหตุใดเขาจึงถูกบังคับให้เลือก...เขาถูกจับขังไว้ในห้องใต้หลังคาและต่อมาคือที่นี่...มีสามีเก่าที่ชอบใช้ความรุนแรง ทั้งหมดเพราะเขาอ่อนแอหรือ…

อัลฟีโอรักสามีเก่าแม้อีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ร้อน ทว่าวันหนึ่งเขาถูกซ้อมจนเข้าโรงพยาบาล กระดูกซี่โครงหักและปอดช้ำ นำไปสู่การฟ้องหย่า เขาย้ายมาทำงานต่างเมืองเพื่อหนีเรื่องในอดีต แต่อดีตไม่ปล่อยเขา...และชีวิตยิ่งพังทลายกว่าเดิมเมื่อต้องพบการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา

“คุณต้องการอะไรหรือครับ” อัลฟีโอตัดสินใจถามคนสวมหน้ากาก

“ผมต้องการอะไรน่ะหรือ” ร่างในเสื้อโค้ตหนังสีดำโน้มตัวจากที่นั่งไขว่ห้างเข้ามาใกล้อัลฟีโอ “ผมอยากคุยกับคุณ ว่าคุณคิดจะทำยังไงต่อไป”

“คุณหมายถึง...” เพราะอีกฝ่ายรูปร่างพอๆ กับตน อัลฟีโอจึงไม่กลัว จะขนลุกก็แต่หน้ากากที่ปิดบังทั้งใบหน้าและดวงตา

“คุณรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ‘ทางเลือก’ ”

“ผม…” อาจารย์หนุ่มก้มหน้า กัดริมฝีปาก

คนแปลกหน้าที่มาเยี่ยมประสานมือบนเข่า

“ถ้าคุณไม่พร้อมพูด ฟังผมแทนไหม ไม่นานนี้ผมอ่านบทความที่น่าสนใจมา มันเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ถ่ายภาพของนักข่าวคนหนึ่ง เขาเข้าไปในประเทศที่มีสงครามแล้วถ่ายรูปผู้หญิงคนหนึ่งกับฆาตกรซึ่งฆ่าครอบครัวของหล่อนยืนข้างกัน ในภาพคนทั้งสองคนยิ้ม ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึก ‘ไม่อยากเชื่อ’ แต่ภาพอื่นๆ ก็มีการจับคู่ ‘เหยื่อ’ กับ ‘ฆาตกร’ แบบนี้เหมือนกัน”

เมื่อเห็นอัลฟีโอสนใจ เขาเล่าต่อ

“ผมอ่านบทสัมภาษณ์ว่าฆาตกรเป็นทหารกองกำลังคนละฝ่าย เขาถูกจำคุกเจ็ดปีก่อนได้รับการปล่อยตัวออกมา เนื้อหายังอธิบายว่าทำไมผู้หญิงในภาพถึงให้อภัยคนที่สังหารลูกชายกับสามีของเธอและยิ้มให้กล้องได้”

“ผมไม่เข้าใจ” อัลฟีโอบอกตามตรง เขาไม่เข้าใจเรื่องเล่า และเหตุผลที่อีกฝ่ายคุยเรื่องนี้

“เพราะชีวิตในประเทศนั้นแร้นแค้นและมีสงคราม คนที่ออกจากคุกไม่ได้อยากฆ่าใครแต่ต้องทำตามคำสั่ง เขาเข้าร่วมโปรเจ็กต์และช่วยผู้หญิงคนนั้นสร้างบ้าน ทำงานใช้แรง ตอนแรกหล่อนไม่แน่ใจ แต่ความช่วยเหลือที่หาได้เป็นที่ต้อนรับเสมอ”

อัลฟีโอขมวดคิ้ว “คุณอยากสื่อว่า...ผมควรรับความช่วยเหลือจาก ‘ที่นี่’ เหรอครับ”

“ความช่วยเหลือก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่ไม่ใช่หรือ คุณเป็นเหยื่อในเรื่องนี้จริง แต่ผมอยากบอกในฐานะที่รู้จักกับมาร์คว่าเขาเป็นคนป่วย”

“ป่วย?”

“ใช่ เขามีสองบุคลิก มาร์คคือจิตแพทย์ที่คุณพบในตอนแรก ส่วนคนที่กักตัวคุณเป็นอีกบุคลิกหนึ่งของเขา ตัวมาร์คเองไม่ได้อยากทำร้ายคุณหรือใครๆ และบางที...อีกบุคลิกของเขาก็ไม่ได้อยากทำร้ายคุณ”

“ผมไม่คิดแบบนั้น” อัลฟีโอปฏิเสธ เขาบีบมือตัวเองด้วยความกังวล “เรื่องทั้งหมดมันไม่สมเหตุสมผล...คุณ...หรือเขา...หรือที่นี่…”

คนสวมหน้ากากนิ่งไปครู่ ก่อนจะถอดหน้ากากออกอย่างเป็นธรรมชาติ อัลฟีโอมองใบหน้านั้นด้วยความอยากรู้ผสมความกังวล ทว่าต้องแปลกใจที่อีกฝ่ายหน้าตาดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังดูเป็นมิตร...แม้จะไม่ยิ้มก็ตาม

“ผมชื่อนิโคไล” ชายหนุ่มหน้าสวยแนะนำตัว “แบบนี้คุณคงสะดวกใจคุยกันมากกว่า”

“ก็อาจใช่ครับ” อัลฟีโอเม้มปาก นิโคไลหรือ...เขาเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน… “นิโคไล...คุณไม่เข้าใจ ชีวิตที่เหลืออยู่ของผม...ผมจะทำอะไรได้ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่ให้เลือกจากไปโดยลืมเรื่องราวทั้งหมด จะเป็นไปได้ยังไง” คนพูดน้ำตาไหล “แล้วเรื่องนี้...เราไม่ควร...เงียบไว้...แล้วทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น”

นิโคไลมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ และเริ่มรู้แล้วว่าทำไมฮันเตอร์ถึงอยากจับคู่อัลฟีโอกับมาร์ค เพราะอาจารย์ไฮสคูลคนนี้เป็นคนที่เหมาะกับ ‘กรอบ’ ของสังคม เขาอยู่ได้ ใส่เข้าไปในกรอบพอดี

“ผมตอบคุณได้บางเรื่อง เช่น...การลืม ผมเองก็เคยลืมเรื่องในอดีตเหมือนกัน”

อัลฟีโอเงยหน้ามองผู้พูด

“ผมเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อเจ็ดปีก่อน โดยเลือกลืมความทรงจำส่วนหนึ่ง...ถึงตอนนี้ก็ยังลืม” นิโคไลบอกตามจริง เขาไม่คุยเรื่องนี้กับใครมากนัก กระทั่งโรเมโอก็ไม่เคยบอก คนที่รู้มีเพียงไม่กี่คน เช่นเกเบรียล ไพโร และบุคลากรทางการแพทย์ของสมาคม

“คุณลืมเรื่องอะไร” อัลฟีโอเผลอถาม จากนั้นก็รู้สึกกระดาก “ขอโทษครับ คุณบอกว่าลืมไปแล้วนี่นะ”

“ไม่เป็นไร ผมก็เคยสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าลืมเรื่องอะไรไป ผมจะบอกความรู้สึกหลังตื่นมาก่อน หัวคุณจะโล่ง...เหมือนนอนหลับไปตื่นหนึ่ง แล้วตอนตื่นยังจำเรื่องในความฝันได้ จากนั้น คุณก็ลืม… แพทย์ประจำตัวบอกว่าผมรับการสะกดจิตร่วมกับการใช้ยาเพื่อทำให้ลืมเรื่องสะเทือนใจบางเรื่อง”

นิโคไลนึกถึงยาฉีดที่ตนต้องใช้เป็นประจำ

“ปีแรกๆ ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากเป็นอิสระและมีเป้าหมายที่ต้องทำ แต่ช่วงปีที่ผ่านมา บางครั้ง ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ลืมคืออะไร”

“ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนว่า การลืมความทรงจำจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นคนพิการ” อัลฟีโอบอก นานเท่าไรแล้วก็ไม่ทราบที่เขากล้าพูดคุยกับคนในนี้โดยสามารถบอกความคิดเห็นของตัวเอง

“น่าสนใจ” นิโคไลยิ้มน้อยๆ “บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนคนพิการที่อยู่ได้เพราะมียาช่วย”

“ทั้งๆ แบบนั้น ที่นี่ยังเสนอให้ผมลืม” อัลฟีโอค้าน

“ผลการลบความทรงจำและเรื่องหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ” นิโคไลอธิบาย “เราเป็นคนโตๆ กันแล้ว คุณก็รู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไร้ความเสี่ยง คุณเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย รถก็พุ่งมาชนได้เหมือนกัน”

พูดไปพูดมา...อัลฟีโอรู้สึกว่านิโคไลก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่บังคับเขาเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ “แล้วทำไมคุณถึงยอมเสี่ยง” อาจารย์หนุ่มถามเสียงแข็งขึ้น

นิโคไลหลับตา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนใจ ทำไมน่ะหรือ...คงต้องอธิบายกันยาว...ยาวมากๆ

“ผมทำเพื่อเอาชีวิตรอด”

“คุณลืมเรื่องในอดีตเพื่อเอาชีวิตรอดหรือ” อัลฟีโอรู้สึกแปลกกับเหตุผลนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเผชิญอยู่

“ใช่ อย่างน้อยตัวผมในอดีตก็คิดแบบนั้น ถ้าจะเล่า คงต้องเล่าตั้งแต่ที่ครอบครัวผมถูกฆ่าล้างบ้าน พ่อกับแม่ผมถูกเพื่อนที่ไว้ใจสั่งเก็บเพราะขัดผลประโยชน์ พวกท่านตายต่อหน้าต่อตาผม คนอื่นๆ ในบ้านก็ถูกฆ่าด้วย เหลือรอดแค่ผมกับน้องชาย”

อัลฟีโอรู้สึกตกใจ การฆาตกรรมหมู่...คนในครอบครัวถูกสังหารต่อหน้าต่อตา...เขานึกจินตนาการสิ่งที่อีกฝ่ายเผชิญมาไม่ออกเลย

“ผมเสียใจด้วยครับ...แต่คุณไม่ได้ลืมเรื่องครอบครัวถูกกระทำ...แบบนั้นหรือ...” เขาคิดว่านั่นคงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปอยากลืมเป็นอย่างแรก

นิโคไลส่ายหน้า “เรื่องที่ผมเลือกลืม ตอนแรกผมก็ไม่ได้ขุดคุ้ย กระทั่งสงสัยมากเข้า จึงขอหมอดูบันทึกการรักษา ดูเหมือนผมในอดีตจะส่งข้อความถึงตัวเองในอนาคต”

“ข้อความ?”

“เป็นเทปบันทึกภาพ ถ่ายไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน ในกรณีที่ผมตั้งคำถามกับสิ่งที่ลืม ผมขอดูสาเหตุได้”

————————————————

“ปล่อยมันไปเถอะ...ผมแค่...อยากลืม...เรื่องราว...ทั้งหมด”

นิโคไลนั่งอยู่หน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งฉายภาพเคลื่อนไหวจากในอดีต เด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้ในวิดีโอคือตัวเขาเมื่อเจ็ดปีก่อน รูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไรนัก ทว่าดูเด็กกว่า แววตาก็ยังดู...บริสุทธิ์

วิดีโอเป็นแบบถ่ายภาพตัวเอง ไม่มีบุคคลอื่น นิโคไลจำไม่ได้เลยว่าตนเคยถ่ายวิดีโอนี้...และเคยร้องไห้จนหน้าตาดูไม่ได้เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดา

สภาพเขาดูแย่มาก ร้องไห้ตาแดงก่ำและหวาดกลัว

“วันนั้นเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง เราอยู่ที่รัสเซีย ผมทะเลาะกับพ่อ แล้วแม่บอกให้ไปขอโทษ ผมไม่ชอบทะเลาะกับพ่อนานๆ แต่ก็ทิฐิเกินกว่าจะทำตามที่แม่บอก ผมไม่พูดกับพวกท่านจนถึงมื้อค่ำ...”

นิโคไลในวิดีโอเอามือปาดน้ำตาซึ่งไหลไม่หยุด เขาพูดไปสะอื้นไป เสียงแหบเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“ที่โต๊ะอาหาร ผมจำได้ว่ากำลังขอโทษพ่อ วันนั้นพ่อแต่งชุดลำลอง ส่วนแม่...แม่แต่งตัวสวยเสมอ ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มเหมาะกับผมสีทองของแม่มาก มีเสียงเอะอะจากด้านนอกแล้วบอดีการ์ดก็เข้ามา...เราถูกคนร้ายบุกเข้ามายิง ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมตัวแข็ง...รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าของพ่อกับแม่ก็เลอะเลือดเต็มไปหมด พ่อเอาตัวบังแม่...ท่านบอกให้ผมพาโรเมโอไปซ่อนระหว่างคนของเรายิงกลับ...ผม...ผม ทำตามที่พ่อบอก น้องมีเลือดไหลเต็มหน้าผาก...ผมต้องพาน้องไปซ่อน…แล้วกระสุนก็มาอีกชุด คราวนี้...พ่อกับแม่ไม่รอด”

ภาพหมุนไปที่กล่องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผิวกล่องเป็นแก้วใส ขอบและมุมทำจากโลหะ ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่...สิ่งที่ลอยอยู่ในนั้นคือใบหน้าของมนุษย์

“นี่คือใบหน้าของชายที่สั่งฆ่าครอบครัวเรา ผมมาที่สมาคมเพื่อหนีการตามล่าของเขา...ผม...ผม...”

นิโคไลในวิดีโอเริ่มพูดต่อไม่ถูก

“...ผมขอให้สมาคมหยุดเขา ให้เขาชดใช้สิ่งที่ทำกับพ่อแม่ผม!”

นิโคไลในปัจจุบันจำได้ว่าตอนนั้นชายคนที่ถูกกล่าวถึงทั้งบ้าระห่ำ มุทะลุ และยังเป็นหัวหน้าสมาพันธ์ใต้ดินรัสเซีย...ใครก็เอาเขาไม่อยู่ เป็นภัยต่อสมาคมใต้ดินอิตาลีเกินจะปล่อยไว้

ความตายของพ่อแม่เขาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

“สมาคมแก้แค้นให้แล้ว...”

นิโคไลในวิดีโอคู้ตัวร้องไห้ “ผมไม่...ไม่เคยคิดว่า จะเป็นแบบนี้มาก่อน...ไม่ใช่เรื่องฆ่าไอ้ฆาตกรนี่!” เขาชี้ใบหน้าในกล่อง “ผมหมายถึง...ผมไม่มีทางให้กลับแล้ว...ผมรัก ‘เขา’ รักมาก ถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่...เราไม่ได้บอกลากันด้วยซ้ำ...เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว...ตั้งแต่พ่อเขาสั่งฆ่าพ่อแม่ผม!”

มีเสียงร้องไห้อย่างทรมานใจ

นานกว่าเด็กหนุ่มในวิดีโอจะสงบลง...เขาลุกมาพูดกับกล้องด้วยสีหน้าของคนใจสลาย

“ผมตัดสินใจลืมเขา และช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันทั้งหมด...ตัวผมในอนาคต ถ้านายดูวิดีโอนี้นะ…” เด็กหนุ่มสูดจมูก “ขอให้รู้ว่าผมเลือกอยู่กับการใช้ยาเพื่อให้ลืมตลอดชีวิต...ดีกว่าจดจำมันไว้”

คนในวิดีโอเอื้อมมือมาทางกล้อง จากนั้นภาพในจอก็ดับมืด

การบันทึกภาพจบลงแต่เพียงเท่านี้

--------------------------------------------

A/N เปิดอดีตของนิโคไลในบทนี้ค่ะ ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 6-4 [25/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 25-03-2018 20:13:49
Case 6-4

“ตัวคุณก่อนลืมอดีตพูดอย่างนั้นหรือ” อัลฟีโอถามเมื่อนิโคไลเล่าเนื้อหาในวิดีโอจบ

คนหน้าสวยพยักหน้า “บอกตามตรง ตอนแรกผมไม่เข้าใจตัวเองในอดีตเท่าไรนัก มันเหมือนเรื่องราวของคนไม่รู้จักมากกว่าเป็นตัวผมเองจริงๆ ผมจำเรื่องที่ทำให้เขาร้องไห้ทุกข์ใจขนาดนั้นไม่ได้ แต่ผมอยากเคารพการตัดสินใจของเขา”

นิโคไลเม้มปาก ดวงตาคู่สวยหลุบลง

“ผมคงเคยมีอีกชีวิตหนึ่ง แต่ก็เลือกทิ้งมันไป ผมคิดว่าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อมีชีวิตรอดไม่เคยถูก” เขาโน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย “แต่ผมอยากมีชีวิตรอด ผมมีน้องชายคนหนึ่ง ผมรักเขา และอยากอยู่กับเขา”

นักส่งของเอ่ยอย่างจริงใจ เขาสบตากับอัลฟีโอ

“คุณตัดสินใจเถอะ บางครั้งชีวิตและเรื่องเลวร้ายทั้งหลายมันก็วิ่งเข้ามาหาเรา เราทำได้แค่เผชิญหน้ามันไปตามกำลังที่มี เวลานี้คุณยังเลือกได้ ผมอยากให้คุณเลือก”

“ผม...” อัลฟีโอกลั้นใจ เรื่องทั้งหมดมันมากเกินไปสำหรับเขา...มากเกินไปมาตั้งแต่แรก “ทำไมคุณถึงมาคุยเรื่องนี้กับผม”

นิโคไลลังเลเป็นครั้งแรก สิ่งที่เขากำลังจะบอกอัลฟีโอ...เป็นเรื่องที่ไม่เคยพูดกับใคร

“ผมคิดว่า...ชีวิตก็หนักหนาเกินไปสำหรับมาร์ค ถ้าคุณเป็นอะไรไป เขาคงเสียใจ...เขาเป็นคนแบบนั้น โทษตัวเองทุกเรื่อง”

คนที่ถูกจับขังเหมือนได้ยินเสียงหึ่งๆ ในหัว “ที่คุณบอกว่าเขาป่วย...คุณแน่ใจได้ยังไง”

“เพราะเขายืนยันว่าจำไม่ได้ ผมเชื่อใจเขา”

ก็แค่คนที่เข้าข้างกันเองไม่ใช่หรือ อัลฟีโอคิด

“มีอะไรที่คุณไม่บอกผมหรือเปล่า นิโคไล ทำไมคุณถึงเอาแต่แก้ตัวแทนเขา”

“มาร์คไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายคนอื่น นิสัยเขาออกจะซื่อตรงเกินไปด้วยซ้ำ ผมยืนยันได้...เพราะผมเคยอยู่กับเขา”

“คุณเคยอยู่กับเขา?”

“เราเคยแต่งงานกัน” นิโคไลก้มหน้าลงตอนพูด เขาไม่เคยพูดให้กำลังใจมาร์คแบบนี้เพราะไม่อยากให้ความหวังอีกฝ่าย หรือทำดีให้เหลือเยื่อใย

ถ้ามาร์ครักษาตัวจนหาย...ก็ควรไปให้พ้นจากสถานที่ในเงามืด

โลกใต้ดินไม่เหมาะกับเขา

“ผมไม่ได้จะเข้าข้างเขา ผมแค่บอกคุณตามตรง…” นิโคไลเงยหน้า ทว่าต้องเบิกตากว้างเมื่อมีวัตถุบางอย่างวูบเข้ามาในสายตา

มันเกิดขึ้นเร็ว รู้สึกตัวอีกที นักส่งของได้ยินเสียงแตกเพล้ง! ร่างกายร่วงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

เขาร้อนที่หน้าผาก ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บมาก...ของเหลวอุ่นไหลจากแผลแตก ของมีคมบางอย่างบาดผิวเขาจนแสบ

“ออกไป!” คนที่ทำให้นิโคไลลงไปนอนบนพื้นตะคอก “ออกไปๆๆ!”

อัลฟีโอตะโกนพร้อมกับร้องไห้ มือกำเศษแจกันที่ตนเพิ่งทุ่มใส่ศีรษะคนข้างๆ เศษกระเบื้องร่วงจากมือเขา มันเปื้อนเลือด

มีคนเปิดประตูเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ พวกเขาอุ้มนักส่งของซึ่งมีเลือดไหลอาบหน้าและมึนจนลุกไม่ขึ้นออกไป

ยังไม่มีคำตอบของการพูดคุยในครั้งนี้

————————————————

นิโคไล...คือชื่อที่เราได้ยินหลังถูกช่วยไว้

อัลฟีโอขดตัวตรงมุมเตียง เขาเพิ่งรู้ว่าเรื่องราวเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง นิโคไลมาพบเขาเพื่อแก้ตัวแทนอดีตสามี...เขาไม่เคยอยากทำร้ายใคร แต่พอไม่มีสติ เขาอยากให้นิโคไลออกไป อยากให้อีกฝ่ายหยุดพูด เลิกแก้ตัวแทนคนที่จับเขาไปขังไว้เสียที

รู้สึกตัวอีกที เขาคว้าแจกันทุ่มใส่ศีรษะนิโคไล และได้แต่นิ่งเมื่อคนเจ็บถูกพาออกไป

ไม่นานหลังจากนั้นฮันเตอร์ก็เดินเข้ามา เขามองสภาพอัลฟีโอ ถอนหายใจด้วยความรู้สึกกึ่งรำคาญ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย

“ตกลงว่าเธอตัดสินใจได้หรือยัง”

“คุณ…” อัลฟีโอมองอีกฝ่ายไม่ถนัดในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าใครพูดกับตนก็ยิ่งผวาเข้ามุมเตียง เขาจำได้แล้วว่าฮันเตอร์เป็นคนมาพบตนในห้องใต้หลังคา ตอนนั้นเขาดีใจ แต่ตอนนี้กลัวอีกฝ่ายจับใจ

ฮันเตอร์คงไม่ทำให้อัลฟีโอรู้สึกกลัวขนาดนี้...หากอีกฝ่ายไม่มาปรากฏตัว ‘ที่นี่’

คนพวกนี้...ไม่มีใครปกติสักคนเลยเหรอ

“...คุณจะฆ่าผมไหม” อัลฟีโอถาม เขาทำร้ายนิโคไล บางทีฮันเตอร์ที่เป็นอดีตพี่เขยอาจไม่พอใจ

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบของเธอคืออะไร” ฮันเตอร์ตอบตามตรงด้วยสีหน้าเฉยชา เขามาที่นี่เพื่อกดดันอัลฟีโอ เพื่อมาร์ค และนักค้าอวัยวะมีคำตอบที่ถูกต้องในใจแค่คำตอบเดียว

“ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขา” อัลฟีโอเอ่ยถึงนิโคไล

ฮันเตอร์ไม่แน่ใจว่าอัลฟีโอกล่าวถึงใคร แต่เขาแน่ใจว่าไม่ใช่มาร์ค น้องชายเขาขาดการติดต่อไปสองสัปดาห์แล้ว

“ฉันมาเรื่องมาร์ค” ดวงสีแดงจ้องอัลฟีโอด้วยประกายของนักล่า

“คุณไม่ได้มาเรื่องนิโคไลหรือ”

สีหน้าเรียบตึงของคนมาเยือนแทนคำตอบว่าไม่เกี่ยวกับนิโคไล

หลังผอมบางของอัลฟีโอถอยติดเหล็กกั้นเตียง เขารู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อสบตาน่ากลัวของฮันเตอร์ ชายหนุ่มร่างเล็กกุมอกเสื้อ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด สีหน้าเหยเกจากการพยายามสูดหายใจอย่างรวดเร็วทำให้เขาดูเหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ไร้ทางสู้

“นิโคไลบอกว่ามาร์ค...มีสองบุคลิก บอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ” อัลฟีโอคราง “อีกบุคลิกของเขาฆ่าคน แต่เขาไม่ได้ทำ พวกคุณอยากให้ผมทำยังไง ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่คนที่ตายไปแล้วล่ะ ผมควรใช้ชีวิตต่อไปโดยช่วยปิดบังตัวฆาตกรเพราะตัวผมเองอยากรอดเหรอ”

ใช่ อัลฟีโออยากรอด เขากลัว แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะมีชีวิตหลังจากนี้อย่างไร เขาจะลืมได้จริงหรือ ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม...ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป

“ใช่” ฮันเตอร์ตอบเรียบๆ  “ฉันไม่สนใจว่าสมาคมยื่นข้อเสนออะไรให้เธอบ้าง แต่สำหรับฉัน เธอมีทางเลือกแค่จะเป็นคนที่มีลมหายใจหรือเป็นอีกศพ”

เขามองอัลฟีโออย่างเฉยชาจนน่าขนลุก นักค้าอวัยวะไม่พอใจที่อีกฝ่ายเรียกน้องชายของเขาว่าฆาตกร ในความเห็นของฮันเตอร์ มาร์คไม่ใช่ และไม่เคยเป็นฆาตกร แอนทอนที่ฆ่าเพื่อปกป้องคนอ่อนแอกว่าก็ยังไม่ใช่

เขาต่างหากที่เป็น

“เธอต้องการเวลาอีกเท่าไหร่ในการตัดสินใจ”

“พวกคุณอยู่กับมันได้ยังไง” อัลฟีโอกำมือตัวเองให้หยุดสั่น แต่มันไม่หยุด “ผมไม่รู้ ผม…”

เขานึกอะไรไม่ออก แต่รู้ว่าควรคิดให้ออก

ควร-คิด-ให้-ออก-ถ้า-อยาก-มี-ลม-หาย-ใจ!

“ถ้าเขามีสองบุคลิกจริง...และไม่ได้ตั้งใจทำร้ายกันอย่างที่นิโคไลบอก ผม...ผม…”

จะ...เชื่อ...ได้...ไหม!

อัลฟีโอระเบิดร้องไห้โดยไม่มีเสียง ลำคอตีบตันจนพูดต่อไม่ออก เขาหน้ามืดและตัวสั่นหนัก ตัววัดชีพจรตรงต้นแขนส่งสัญญาณบอกพยาบาลที่อยู่ด้านนอกว่าความดันเลือดของคนไข้พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

ครู่เดียว ประตูเปิดออกพร้อมนางพยาบาลเดินเข้ามา

มีอาดูอาการคนไข้ที่ชักอยู่บนเตียง หล่อนกดตัวอัลฟีโอสุดแรงและเอาปากกาให้เขากัดเพื่อไม่ให้กัดลิ้นตัวเอง จากนั้นพูดเสียงเฉียบ

“ธุระของคุณจบแค่นี้แล้วฮันเตอร์ เข้ามาไม่กี่นาทีคุณก็เกือบฆ่าเขาโดยไม่ต้องแตะตัวเลยด้วยซ้ำ”

ฮันเตอร์มองอาการทุรนทุรายนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยตั้งแต่อัลฟีโอเริ่มชักจนกระทั่งมีอาเดินเข้ามาจัดการ เขายิ้มมุมปากให้หล่อน

“เมื่อเขาฟื้น ถามเขาให้ด้วยว่าจะอยู่หรือจะตาย”

นักค้าอวัยวะทิ้งข้อความไว้ก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาเริ่มรำคาญจนไม่อยากให้ทางเลือกแล้ว

แกอยู่ที่ไหน มาร์ค

----------------------------------------

A/N กิจกรรมรีวิวนิยายเล่ม 1-2 เพื่อรับหนังสือครบชุดเริ่มแล้วนะคะ ;) ขอเชิญมาร่วมสนุกกันค่ะ
สำหรับนักอ่านในเล้า อ่านกติกาได้ที่เพจ ILLREI ค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 7-1 [26/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 26-03-2018 20:42:48
Case 7-1

นิโคไลลืมตาบนเตียงคนไข้ห้องพิเศษในโรงพยาบาลของสมาคมใต้ดิน ความรู้สึกแรกคือปวดหนึบและตึงบริเวณศีรษะที่ถูกพันไว้

ผ้าพันแผลคงแน่นเกินไป

เขาระลึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนจึงมานอนอยู่ที่นี่

เขาถูกอัลฟีโอทุ่มแจกันใส่ศีรษะจนหมดสติไป

นิโคไลมองเพดานเงียบๆ ในใจไม่ได้นึกหวาดกลัวหรือไม่พอใจที่ถูกทำร้าย ออกจะประหลาดใจเสียมากกว่า

เราประมาทไป ปกตินิโคไลระวังตัวอยู่เสมอ เขาควรเห็นว่าอัลฟีโอจะทำอะไรและหลบได้...แต่เขาก็ไม่เห็น ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงเมื่อเขาบอกว่ามาร์คเป็นอดีตสามี

“เป็นไงบ้าง คู่หู” เสียงกวนอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ดังมาจากมุมห้อง ซาช่านั่งไขว่ห้างมองตรงมายังนิโคไล เขายิ้มและยักคิ้วให้ ก่อนเดินมาค้ำมือยันเตียง ชะโงกหน้ามองสภาพคนเจ็บ

“ยังไม่หมดสวย สบายๆ”

“ถ้าไม่สวยจะไม่รักหรือ เป็นพวกชอบคนอื่นที่หน้าตาหรือไง” นิโคไลยังมีแรงล้อเล่น แม้รู้จักกับซาช่าไม่นาน เขากลับปรับตัวเข้าหาอีกฝ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“เป็นคนชอบคนอื่นที่เซ็กซ์” ซาช่าพูดติดตลก

“งั้นหรือ ดีจัง ได้รู้ว่าฉันมีบางอย่างที่นายหลงใหล” นิโคไลสบตาคู่สวยของอีกฝ่าย แม้ประกายตาดูเป็นคนขี้เล่น แต่เขากลับรู้สึกว่ามีความร้ายลึกอยู่ข้างใน ส่วนคำว่า ‘หลงใหล’ เขาพูดออกไปโดยไม่คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นหรอก...ซาช่าไม่ได้หลงใหลเขา

ก็แค่หมาหยอกไก่

“สักรอบไหม” ซาช่าเลียริมฝีปาก “บนเตียงคนไข้ก็น่าลอง”

“ไม่ได้ฟาดนางพยาบาลระหว่างรอฉันตื่นไปรอบแล้วหรือ”

“รู้ไปหมด” ซาช่ายืดตัวมากอดอก ท่าทางสบายๆ ทีเล่นทีจริงทำให้เดาออกยากว่าเขากำลังพูดจริงหรือแค่เย้าอีกฝ่ายเล่น

“หรือบุรุษพยาบาล” นิโคไลหัวเราะ เขาขำจริงๆ

“ทั้งคู่”

“นายสบายดีก็ดี” นิโคไลเปรย แต่หมายความตามนั้น หลังตกลงเป็นคู่หู พวกเขาทำงานร่วมกันไปแล้วสองสามครั้ง ซึ่งงานก็ออกมาน่าพอใจ

ซาช่าพยักหน้า เงียบไปสักพักเขาก็เอ่ยเหมือนนึกอะไรออกแบบปัจจุบันทันด่วน

“อ้อ...เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” เรื่องนี้ติดใจหนุ่มชาวรัสเซียนมาสักพักแล้ว อันที่จริงตั้งแต่ได้เห็นนิโคไลครั้งแรก ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก พอนึกไม่ออกนานเข้าก็ปล่อยทิ้งไป เหมือนทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต

“สิ่งไหนรกหัว ไม่จำเป็นก็ปล่อยมันทิ้งไป” ซาช่าจำเสียงสอนสั่งของปู่ได้แม่น เขาได้เจอปู่แค่สองหรือสามครั้ง งานศพก็ไม่ได้ไป แต่กลับผูกพันอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะชื่นชมปู่มาโดยตลอด อยากโตเป็นผู้ชายน่าเกรงขามอย่างปู่...ไม่ใช่พ่อ ปู่แข็งแกร่ง ตลอดชีวิตปกครอง ‘สมาพันธ์ใต้ดินรัสเซีย’ อย่างภาคภูมิ

ใช่ สมาพันธ์ใต้ดินรัสเซีย

...ที่ปัจจุบันล่มสลายไปเจ็ดปีแล้ว

ซาช่าไม่เคยเอ่ยปากกับใครเรื่องที่เขามีสายเลือดของ ‘วลาดีมีร์ วลาดิมีโรวิช ซิมา’ ไหลเวียนอยู่ เพราะนั่นควรเป็นความลับ

อย่างน้อยก็ควรเป็นความลับจนกว่ารัสเซียจะฟื้นกำลังอีกครั้ง

ชายหนุ่มเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมใต้ดินอิตาลีด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งควรปิดเป็นความลับเช่นกัน

“เราเคยเจอกันมาก่อนไหม...” นิโคไลทวนคำถาม “ไม่คิดว่าเป็นการจีบกันช้าไป หลังจากนอนกันไปแล้วเหรอ” เขายิ้มร้ายกาจ ช่างเสียดสีเหมือนเคย

ทว่านิโคไลกลับประหวัดถึงเรื่องที่ตนเล่าให้อัลฟีโอฟัง...ว่าตัวเขาในอดีตเป็นอย่างไร

“นั่นเรียกว่าจีบหรือ” ซาช่ายิ้มเจ้าชู้ “ไม่เอาดีกว่ามั้ง กลัวแฟนคุณชกหน้าแตก”

“แฟน...หมายถึงใครล่ะ ฉันมีหรือ” มาร์คไม่อยู่แล้ว...จากไปโดยไม่ส่งข่าวกลับมา

“นักปรุงน้ำหอม”

“ไพโรเป็นคู่นอน เหมือนกับนาย” นิโคไลแก้ให้

“จริง?”

“เขาแค่ไม่ชอบที่ฉันติดอยู่กับอดีตสามี” นิโคไลคิดว่าซาช่าน่าจะรู้เรื่องมาร์คไม่มากก็น้อย “กับนาย เขาเคยหวงหรือ” คำตอบคือ ‘ไม่เคย’

“ทำไมล่ะ” ...มาจนได้ ซาช่าผู้ใส่ใจกับเรื่องรอบตัวและคนรอบข้าง (“จะด่าเ-ือกตรงๆ ก็ได้ ฉันโอเค” ถ้าซาช่าทราบคงตอบแบบนี้)

“เพราะฉันดูทุกข์ยากและน่าสังเวชจนเกินเยียวยาเมื่ออยู่กับคนปกติ” นิโคไลไม่เคยดูเป็นแบบนั้น อย่างน้อยก็ในสายตาสมาชิกสมาคมใต้ดินคนอื่นๆ คำพูดของเขาจึงขัดกับภาพลักษณ์ของตัวเอง

“นั่นเรียกว่าปกติหรือ” หนุ่มชาวรัสเซียนผิวปาก “ขู่หมาด้วยการจ้องเฉยๆ เนี่ยนะปกติ”

“มาร์คปกติ” นิโคไลย้ำ “โลกแค่ไม่เป็นใจให้เขา” เขาทราบว่ามาร์คเป็นคนอย่างไร และตัวเองตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายแบบไหน “ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ไปรักษาตัว...เป็นโชคดีของเขาที่เลือกจากไป”

นิโคไลคิดว่าตัวเองพูดเรื่องส่วนตัวกับซาช่ามากกว่าที่พูดกับคนอื่น ขนาดกับโรเมโอ เขายังไม่เล่ามากมายขนาดนี้ อาจเพราะซาช่าเป็นคนนอกที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ หากต้องพูดคุยกันเรื่องนี้

“นิกกี้!”

นึกถึงโรเมโอ โรเมโอก็เปิดประตูผาง! เข้ามาหา เด็กหนุ่มจ้องซาช่า (“คู่นอนใหม่ของนิกกี้” โรเมโอนิยามว่าอย่างนั้น) ขณะลดจังหวะก้าวของตัวเอง เหมือนแมวที่ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า

“ตื่นแล้วหรือ” เด็กหนุ่มปีนเตียงอีกด้านก่อนจะนอนกอดพี่ชายด้วยความหวงแหน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังหนุ่มชาวรัสเซียนอย่างไม่ลดละ

“เวลาครอบครัว” ซาช่ายิ้มกว้าง

“ว่าจะถามนานแล้ว” โรเมโอเชิดหน้า “ฉันเคยเจอนายที่ไหนหรือเปล่า”

ซาช่าเลิกคิ้ว “เออ นั่นสิ”

นิโคไลมองปฏิกิริยาระหว่างทั้งสองคน นึกแปลกใจเล็กน้อยที่โรเมโอไม่สนใจจับซาช่าเล่นสนุกบนเตียง หรือซาช่าไม่แสดงอาการอยากจีบน้องชายเขา

“เขาชื่อซาช่า เป็นคนรัสเซียน”

พอโรเมโอตอบว่า “แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนรัสเซียน”

นิโคไลต่อประโยค “อาจเคยเจอกันที่รัสเซียก็ได้ สมัยก่อนที่พ่อกับแม่พาเราไปที่โน่นไง” เขาสังเกตตัวเองว่าวันนั้นที่ซาช่าขอกอด เขาก็ใจอ่อนยอมกอดโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัดเหมือนกัน

...คล้ายอดีตบางอย่างที่ลืมเลือนไปแล้วสยายปีกของมันขึ้นมาจากก้นบึ้งความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้

“เราเคยไปรัสเซีย?” โรเมโอพยายามนึก “จำไม่เห็นได้ ตอนเค้าอายุเท่าไหร่อะ”

“แปดขวบ” นิโคไลเอาแขนโอบน้อง เขาอายุมากกว่าโรเมโอเจ็ดปี ตอนนี้เขาอายุยี่สิบห้า โรเมโออายุสิบแปด แปลว่านิโคไลเอ่ยถึงเรื่องเมื่อราวสิบปีมาแล้ว

ซาช่ามองนิโคไลกับโรเมโอ นึกถึงแมวสองตัวคลอเคลียกัน

“อ้า…” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง “นิกิ” เขาเรียกนิโคไลด้วยสำเนียงรัสเซียน “ไม่น่าใช่ นิกิน่ารักกว่านี้เท่าที่จำได้”

“อะไร” โรเมโอหรี่ตา “ไม่น่าใช่อะไร” เขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกพี่ชายอย่างสนิทสนมในแบบที่ตนไม่คุ้นเคย นั่นทำให้เขารู้สึกห่างเหินกับพี่ และนิกกี้มีคนอื่นที่ใกล้ชิดกว่า (ทว่ายกเว้นมาร์คไว้คน)

“ฉันนึกถึงแฟนคนหนึ่งตอนวัยรุ่น จะเรียกว่าแฟนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ทำไมถึงเรียกว่าแฟนไม่ได้ล่ะ” จู่ๆ นิโคไลก็สนใจเรื่องที่ซาช่าพูดขึ้นมา

“ก็...ไม่เคยตกลงกันว่าเป็นแฟนหรือเปล่า สนุกกันช่วงสั้นๆ อีกฝ่ายก็หายไป ขาดการติดต่อไปเลย”

“หรือ” นิโคไลหลับตา รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมากะทันหัน แผลแตกที่ศีรษะคงออกฤทธิ์ “...แค่สนุกกันช่วงสั้นๆ หรือ”

“อือฮึ” ซาช่ารับคำ “เป็นอะไรหรือเปล่า คู่หู”

“ไม่มีอะไร แค่เจ็บแผลน่ะ” นิโคไลถอนใจพลางลูบหลังโรเมโอ “ว่าแต่มีงานหรือ ถึงมานั่งเฝ้า” เขาถามซาช่า

“ม่าย” หนุ่มรัสเซียนลากเสียงยานคาง “แค่มาดู”

โรเมโอกระชับกอดพี่ชาย เขาได้กลิ่นแปลกๆ จากซาช่า เป็นกลิ่นที่ไม่ชอบมาพากล ไม่รู้ทำไมถึงไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายตั้งแต่ได้พบหน้า

“ถ้าห่วงเรื่องงาน ขอแจ้งว่านักส่งของทุกคนไร้ที่ติ เพอร์เฟ็กต์ แม้กระทั่ง ‘รับน้อง’ ยังทำได้เพอร์เฟ็กต์สุดๆ ฉันโดนแบนไม่ให้ทำอะไรเลย สบ๊ายสบายจ้ะ”

“ไม่พูดเรื่องงานตอนนี้!” โรเมโอแยกเขี้ยว

“รับน้อง? แค่แบนไม่ให้ทำงานหรือ น้อยจัง” นิโคไลปลอบโรเมโอชี่ๆ เหมือนปลอบแมวเด็กจอมดุ

“เนอะ” ซาช่าเห็นด้วย “สงสัยหัวหน้าไม่เคยอบรมเรื่องนี้”

นิโคไลยันตัวขึ้นนั่ง “ฉันไม่ใช่หัวหน้าเสียด้วยสิ” วันแรกที่ซาช่าได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ทำงานของ ‘นักส่งของ’ ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินแปด อาคารปฏิบัติงานส่วนในของสมาคม เขาได้รับการแนะนำแล้วว่านักส่งของทำงานขึ้นตรงกับหัวหน้ากลุ่มไนท์วอทช์ หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่ากลุ่ม ‘เทวทูต’ หัวหน้ากลุ่มไนท์วอทช์คือเจ้านายของเกเบรียล เขามีตำแหน่งสำคัญในสมาคมใต้ดินและมีงานล้นมือ กระทั่งนิโคไลก็ไม่ค่อยได้พบ งานส่วนมากล้วนสั่งผ่านเกเบรียล

“มีรายงานชื่นชมทักษะการต่อสู้ของนายว่าไม่แน่อนาคตอาจได้เป็นมากกว่านักส่งของ” นิโคไลลูบผมโรมไปด้วย

“ไม่ขนาดนั้น” คำพูดถ่อมตัวทว่าแววตาเป็นอีกอย่าง ซาช่ารู้ว่าตัวเองเก่ง แต่ใช่ว่าเขายอมรับความพ่ายแพ้ไม่เป็น

“รู้สึกเหมือนเป็นบันไดให้นายเหยียบขึ้นไปอย่างไรก็ไม่รู้สิ” นิโคไลยกมุมปาก

“คิดมากน่า” อีกครั้งที่แววตาพูดอีกอย่าง ซึ่งเขาไม่คิดจะปิดมันเสียด้วย “แต่ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นอย่างหนึ่ง”

“ปัญหาอะไรล่ะ” นิโคไลเกาคางโรเมโอที่เปลี่ยนมานอนตักเขา

“ประวัติฉันสะอาดเกินไป” ซาช่าฉีกยิ้ม

ไต่มาถึงระดับนี้ในเวลารวดเร็ว หนุ่มชาวรัสเซียนต้องโดนเทวทูตซักประวัติจนละเอียดยิบ แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเขาเกิดที่ประเทศรัสเซีย ย้ายมาอยู่สหรัฐอเมริกาตอนอายุสิบเจ็ด เรียนโฮมสคูลและเป็นนักแข่งมอเตอร์ครอสส์

-----------------------------------------------

A/N นิโคไลกับซาช่านี่เป็นคู่กัดกันเลยค่ะ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไหม ต้องรอลุ้นกันนะคะ

ป.ล. กิจกรรมแจกหนังสือที่เพจ ILLREI ยังมีเวลาถึงวันที่ 31 มี.ค. นี้นะคะ! มาร่วมสนุกกันเถอะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 7-2 [27/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 27-03-2018 18:32:31
Case 7-2

“ถ้านายปลอมอะไรมาแล้วเขาขุดหาไม่เจอ เขาอาจถามว่านายไปปลอมกับใครมาก็ได้นะ เกเบรียลจะได้จ้างมาทำงานปลอมแปลง” นิโคไลปิดหูโรเมโอเหมือนผู้ใหญ่เอามือปิดหูเด็กเวลามีเรื่องไม่ควรฟัง

“ประวัติจริงทั้งนั้น” ซาช่าทำตาใส “แค่พูดให้ดูมีอะไรเท่านั้น”

“คนเราก็ต้องอยากก้าวหน้า” นิโคไลพูดง่ายๆ

“ใช่ เลยอยากมีประวัติสกปรกๆ กับเขาบ้าง”

คนฟังถอนใจ “ฉันไม่สนใจว่านายมาเหยียบฉันขึ้นไปไหม เอาที่นายสบายใจเถอะ แต่ถ้าเป็นคู่หูกัน ฉันต้องฝากชีวิตไว้กับนาย และนายต้องฝากชีวิตไว้กับฉัน ถ้าเราฝากชีวิตกันไม่ได้ นายไปหางานอื่นทำน่าจะดีกว่า” ช่วงที่ผ่านมามีแต่งานซ้อมมือ ซาช่าไม่ทำอะไรพลาด ออกจะเก่งเกินไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดถึงความไว้ใจ เขาว่าต่างฝ่ายต่างยังไม่มีให้แก่กัน

นิโคไลยังอยากกระชากหน้ากากของซาช่าออกมา เพื่อเห็นแววตาเย็นชาอย่างในวันนั้น

“ฉันหลงรักความเสี่ยง” ดวงตาของซาช่าวาบขึ้น “ยิ่งเสี่ยงยิ่งสนุก สันดานแก้ยาก แต่ฉันไม่ตายง่ายๆ คนที่ฉันถูกใจก็เหมือนกัน”

นิ้วหยาบเชยคางคนที่นั่งอยู่บนเตียง

“ฉันถูกใจนาย นิกกี้”

นิโคไลมองซาช่าอย่างเฉยชา ซึ่งเหมือนเป็นสีหน้าปกติของเขาไปแล้ว “ฉันไม่ถือว่านั่นเป็นคำชมหรอกนะ”

“โธ่ อุตส่าห์เก๊ก” ซาช่าละนิ้ว ก่อนถือวิสาสะจูบแก้มอีกฝ่ายไวๆ นั่นทำให้โรเมโอแว้ดเสียงดัง บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่คลายลงอย่างรวดเร็ว

ซาช่าอาจพูดจริงหรืออาจพูดเล่น ไม่มีทางรู้ได้เลย

พูดถึงงาน งานก็มา โทรศัพท์มือถือของนิโคไลสั่นเบาๆ อยู่บนโต๊ะข้างเตียงคนไข้ ตอนรักษานิโคไล พยาบาลนำมันมาวางไว้กับของส่วนตัวชิ้นอื่นๆ เช่นกุญแจรถยนต์และกระเป๋าเงิน

โทรศัพท์มือถือของซาช่าก็สั่นพร้อมกัน ข้อความถูกส่งมาเพื่อแจ้งวันเวลาเข้าไปฟังรายละเอียดงาน

‘เข้ามาทันที’ ข้อความบนหน้าจอเรืองแสงเขียนสั้นกระชับ

“เรื่องด่วน” นิโคไลเอ่ยเมื่ออ่านข้อความจบ ปกติแม้เวลาทำงานไม่แน่นอน แต่เขาจะได้รับแจ้งก่อนล่วงหน้าว่ามีงานเข้ามา จากนั้นเกเบรียลหรือเขาจึงตัดสินใจว่านักส่งของคนไหนควรรับงานชิ้นนั้น แต่งานนี้เกเบรียลเรียกตัวเขากับซาช่าเข้าไปฟังรายละเอียดงานเลย

แสดงว่าต้องการใช้นักส่งของมือหนึ่งทำงาน

“ไหวหรือเปล่า คู่หู…” ซาช่ายักคิ้ว

โรเมโอยึดเสื้อพี่ชายแน่น “นิกกี้เพิ่งฟื้น อย่าไปนะ”

นิโคไลเอามือแตะผ้าพันแผลบนศีรษะ เขาเข้าใจความเป็นห่วงของโรมดี ทว่าหลังจากหลับตาครู่หนึ่ง ‘นักส่งของ’ ก็ลืมตาอย่างเด็ดเดี่ยวและเอ่ยแสดงความเป็นมืออาชีพ

“ถ้าเป็นงาน ยังไงก็ต้องไป”

———————————————————-

ท่าอากาศยานนานาชาติเม็กซิโกซิตีมีนักเดินทางพลุกพล่าน มองไปทางไหนจะเห็นนักท่องเที่ยวในชุดลำลองเข้ากับอากาศร้อน ไม่ก็คนที่แต่งตัวแบบนักธุรกิจซึ่งมีท่าทางเร่งรีบ ส่วนนิโคไลกับซาช่าถูกจัดอยู่ในกลุ่มดาราไปโดยปริยาย

ทันทีที่ออกจากเกตผู้โดยสารขาเข้า สายตาหลายคู่มองมาที่หนุ่มหน้าสวยและชายหนุ่มซึ่งเดินอยู่ข้างๆ ไม่ละไปไหนเพราะทั้งคู่ต่างโดดเด่นกันไปคนละแบบราวกับนักแสดงหรือนายแบบ นิโคไลที่แต่งตัวตามปกติซึ่งเป็นกางเกงหนังรัดรูปอวดเรียวขาและบั้นท้ายกลมกลึง กับเสื้อกล้ามบางๆ ที่สวมทับด้วยแจ็กเก็ตหนังอีกชั้น ดึงดูดสายตาด้วยเสน่ห์เย้ายวนเกินชาย ขณะที่ความสูงและใบหน้าหล่อร้ายของซาช่าทำให้เขามีบรรยากาศลึกลับน่าค้นหา แม้จะแต่งตัวเข้าสภาพอากาศสุดๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตลายสับปะรด กางเกงสามส่วนสีน้ำเงินเข้มและรองเท้าผ้าใบสีสดก็ตาม

“เขาให้เรามาเที่ยวหรือ แต่งตัวเด่นเชียว” นิโคไลหยิบแว่นกันแดดมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้าซึ่งสะดุดตาเกินไป ปกติเขาไม่ใส่ชุด ‘เรียบร้อย’ เช่นนี้เวลาเดินทางไปเที่ยวหรือระหว่างพักร้อน แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้มาเที่ยว จึงแต่งตัวกลมกลืนกับคนทั่วไปที่เดินทางเข้าประเทศ

ซาช่าหัวเราะรับการแขวะเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการแต่งตัวของเขาจากนิโคไล ชายหนุ่มชาวรัสเซียนย้อนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงนิวยอร์กด้วยสีหน้ายียวน

“ก็ฉันเป็นทัวริสต์ ก็ต้องแต่งตัวแบบทัวริสต์” แม้จะกำลังพูดกับนิโคไลแต่ดวงตาของซาช่าก็กวาดมองไปรอบๆ อย่างเคยนิสัย เขามักระมัดระวังตัวกว่าปกติเมื่อต้องเดินทางไปต่างถิ่น

เมื่อวานหลังถูกเรียกเข้าไปพบเทวทูตอย่างเร่งด่วน นักส่งของอันดับหนึ่งและคู่หูได้รับ ‘งานสำคัญ’ จากเกเบรียลให้ไปทำที่เม็กซิโก ซาช่าได้รับข้อมูลเพียงสิ่งที่ต้องทำโดยสรุปก่อนจะถูก ‘เชิญ’ ออกจากห้องทำงานของเทวทูตเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ฟังรายละเอียด จากนั้นก็ถูกส่งมาขึ้นเครื่องที่สนามบินพร้อมพาสปอร์ตปลอมและตั๋วเที่ยวที่เร็วที่สุดพร้อมนิโคไล

“บางทีหน้าตายิ้มๆ ของนายอาจมีประโยชน์ก็ได้” นิโคไลกอดอก ใจนึกถึงรายละเอียดงานส่วนที่เกเบรียลเรียกเขาไว้เพื่อบอกเพิ่มเติม “นายพูดภาษาสเปนได้ไหม นิวยอร์กบอย”

“นิดหน่อย” ซาช่าตอบเป็นภาษาที่คู่หูถามถึง เขาปรับลิ้นพูดปนระหว่างภาษาอังกฤษและสเปนทีเล่นทีจริงว่าเคยคบศาสตราจารย์ชาวเม็กซิกันคนหนึ่งสมัยอยู่นิวยอร์ก

“ชอบคนแก่กว่างั้นสิ” ในประวัติบอกว่าซาช่าอายุเท่ากับนิโคไลคือยี่สิบห้าปี ถ้าหมอนี่เคยคบกับศาสตราจารย์ที่ว่าจริง อีกฝ่ายน่าจะอายุมากกว่าเป็นสิบปี

“ไม่เชิง ฉันชอบคนเซ็กซี่” เขาเปลี่ยนกลับมาพูดภาษาอังกฤษล้วนพร้อมกับยิ้ม ตอนที่กวาดตามองช่วงเอวและสะโพกของนิโคไลด้วยสายตาเจ้าชู้

ต่อปากต่อคำกันได้ไม่เท่าไร ชายวัยกลางคนที่ท่าทางเหมือนชาวเม็กซิกันท้องถิ่นทั่วไปก็เดินเข้ามาหาทั้งคู่ เขาเริ่มต้นประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงเม็กซิกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างครับ”

ซาช่าเหลือบตามองนิโคไล เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ

“การเดินทางราบรื่น ที่นั่ง ‘35D’ และ ‘35E’ นั่งไม่นิ่ม”

“ที่นั่ง ‘35D’ และ ‘35E’ นั่งไม่นิ่ม แต่อาหารอร่อยใช่ไหมครับ”

“อาหารอร่อย แต่ไวน์แดงรสชาติไม่ดี พอพาผมไปดื่มอะไรได้ไหม”

ชายคนนั้นพยักหน้า กล่าวว่า “ผมจะพาพวกคุณไปดื่มเตกีลาร์” แล้วจึงค้อมศีรษะและเดินนำทั้งคู่ไปที่ลานจอดรถ

ซิตีคาร์รุ่นเก่าสีขาวเป็นยานพาหนะที่ถูกนำมารับซาช่าและนิโคไลจากสนามบินไปส่งที่โรงแรมซึ่งเป็นจุดหมายแรก บทสนทนาที่แท้จริงเริ่มต้นหลังชายที่แนะนำตัวว่าชื่อ ‘ฆวน’ ขับรถออกจากลานจอด

“แผนที่และจุดรับของอยู่ในเป้ใบเล็กข้างคุณ” ฆวนมองนิโคไลผ่านกระจกหลัง ขณะที่ซาช่าเหลือบมองตามด้วยวิธีเดียวกันเพราะเขานั่งอยู่ข้างคนขับ

“Gracias” นิโคไลเอ่ยขอบคุณและหยิบของออกมาตรวจดูอย่างใจเย็น ดวงตาคู่คมฉายแววสงบนิ่งแบบคนทำงานที่ดูพึ่งพาได้

ในกระเป๋าเป้ใบเล็กมีแผนที่กระดาษซึ่งทำเครื่องหมายรูปกากบาทตรงจุดรับของด้วยปากกาสีแดงรวมถึงโทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งอีกเครื่อง ซาช่ายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างตอนที่พูดขึ้นมาว่า

“ผมต้องการพิมพ์เขียวของเมือง และพวกแผนที่เก่ามากที่สุดเท่าที่คุณจะหาให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง”

“ตกลง”

นิโคไลเองก็กำลังจะขอสิ่งเดียวกัน นั่นทำให้เขานึกชมคู่หูหมาดๆ ขึ้นมาในใจ

“เรามีเวลาแค่คืนนี้เท่านั้น สิ่งที่พวกคุณต้องทำคือรับของที่จุดนัดพบ หลังจากนั้นพวกคุณมีเวลาไม่มากในการออกจากเขตของอเลฮานโดรโดยมีตำรวจทั้งเมืองไล่ตามก้นมาติดๆ และพวกคุณจะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนทันทีที่ของถึงมือผู้รับ เราจะติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ในกระเป๋า”

“ใครคือผู้รับ” ซาช่าชิงถามขึ้นมาก่อนนิโคไลจะได้ขยับปาก เขาหันไปมองฆวน ชายสูงวัยตอบกลับมาง่ายๆ ด้วยไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปิดบัง

“คารินา คาห์โล”

ซาช่าพยักหน้า เขาปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น เท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่างานนี้เป็นงานที่เขาได้รับคำสั่งให้มา ‘ส่งข้อความ’

“ว่าแต่ ได้ยินว่าเป็นนักส่งของมือหนึ่ง อะไรก็ส่งถึงมือผู้รับได้ ไม่ได้รับแจ้งมาหรือว่าผู้รับคือใคร” ฆวนถาม

“ผมได้รับแจ้ง แต่เขาไม่ เขาเป็นคนใหม่ที่ดูเหมือนเก่งเรื่องการสอดรู้” นิโคไลตอบเสียงเฉียบ เขามองด้านหลังซาช่าพลางใช้ความคิด ว่าตนไว้ใจคู่หูคนใหม่ได้มากแค่ไหน เพราะเขายังไม่อยากตายเป็นผีอยู่ที่เม็กซิโก

“ผมเพียงแค่ถามสิ่งที่ควรรู้” เสียงของซาช่าเรียบแม้สีหน้ายังมีรอยยิ้ม เขาหันไปทางฆวนแต่ดวงตาจ้องนิโคไลผ่านกระจกหลัง

นิโคไลจ้องตอบ ไม่หลบตา ในแววตามีรอยตำหนิ

“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ผมหวังว่าเจ้านายของผมจะพึ่งพาพวกคุณได้ พ่อหนุ่ม”

ฆวนมาส่งทั้งคู่ที่โรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งพร้อมบอกเลขห้อง และกล่าวว่าจะเอาแผนที่เก่ากับพิมพ์เขียวของเมืองมาให้ภายในครึ่งชั่วโมง

“ผมขอข้อมูลของอเลฮานโดร พวกความชอบ รสนิยม ลักษณะนิสัย กิจวัตร วิธีการทำงาน วิธีการปกครองลูกน้องของเขา ผมได้รับข้อมูลตามเอกสารแล้ว แต่ต้องการรายละเอียดเชิงลึกจากคนท้องถิ่น คุณพอช่วยได้ไหม” นิโคไลขอ

“นั่นก็จัดให้ได้” ชายวัยกลางคนรับปากก่อนขับรถจากไป

สิ่งแรกที่ซาช่าทำหลังเข้าห้องพักคือการทิ้งตัวลงบนเตียง แม้จะไม่ได้ดูออกชัดเหมือนนิโคไลว่าแพ้อากาศร้อน แต่อากาศที่ร้อนจัดของเม็กซิโกก็ทำให้เขารู้สึกเพลียไม่น้อย

“นอนสักงีบไหมคู่หู”

“ได้ นายนอนไป ฉันจะทำงาน” นิโคไลถอดเสื้อแจ็กเก็ตหนังพาดกับเก้าอี้ สภาพอากาศเหมือนพระอาทิตย์สาปทำให้ใบหน้าและริมฝีปากของเขาแดงกว่าปกติ หนุ่มหน้าสวยในชุดเสื้อกล้ามสีขาวตัวเดียวกับกางเกงยีนหยิบแล็ปท็อปออกจากกระเป๋าเป้ที่ติดมาจากอิตาลี เขาวางแผนที่ของฆวนข้างกัน แล้วเปิดภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงของฝ่ายเทคนิคเทียบกับแผนที่ฉบับนี้

นิโคไลศึกษาเส้นทางเงียบๆ เพราะต้องการสมาธิ ก่อนเดินทาง เขาพูดคุยกับโรเมโอเรื่องมาร์คไปรักษาตัวโรคหลายบุคลิกอย่างไม่มีกำหนดกลับแล้ว และติดต่อจิลให้ช่วยเป็นธุระเรื่องอัลฟีโอ—คอยดูว่าฮันเตอร์จะไม่ฆ่าปิดปากอัลฟีโอก่อนเขาหรือมาร์คกลับมา

------------------------------------

A/N ตอนออกแบบงานของนิโคไล เรากับคุณ Foulsoul คิดเยอะมากเลยค่ะ เป็นอะไรที่ท้าทายและเขียนยากมากๆ ขอให้อ่านกันให้สนุกนะคะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 7-3 [28/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 28-03-2018 20:58:47
Case 7-3

ระหว่างที่นิโคไลกำลังศึกษาเส้นทางในเมือง ซาช่าหลับจริงๆ เขากรนเบาๆ ด้วย ใบหน้าหล่อร้ายของชายหนุ่มชาวรัสเซียนดูผ่อนคลายและมีร่องรอยความอ่อนล้าให้เห็นเล็กน้อย

นิโคไลพักดื่มน้ำและพักสายตา ตอนที่สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขาเดินสะโพกสวยมายืนมองซาช่า นับจากวันแข่งรถ เขากับอีกฝ่ายก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางร่างกายอีก ทว่านิโคไลกลับรู้สึกโหยหาชายคนนี้อย่างประหลาด เขาเลื่อนเก้าอี้มาข้างเตียงและนั่งมองอีกฝ่ายเงียบๆ คิดไม่ตกว่าเพราะอะไรจึงรู้สึกชอบใบหน้ายามหลับของซาช่า จะสีหน้ายิ้มแย้ม สายตาเจ้าชู้ หรือคำพูดหวานหูชวนให้คิดไปไกลก็ไม่ทำให้เขาใจเต้นเท่าเวลานี้

...เวลาที่อีกฝ่ายนอนหลับ

นิโคไลรู้สึกเหมือนได้ความทรงจำที่หายไปกลับคืนมาเสี้ยวหนึ่ง

ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ซาช่าปรือตาขึ้นมาแทบจะทันทีเหมือนคนที่ไม่ได้หลับแต่รู้สึกตัวอยู่ตั้งแต่แรก ดวงตาสีฟ้าเบนไปมองใบหน้าสวยคมนิ่ง เขามองเข้าไปในดวงตาของนิโคไล ก่อนจะยิ้ม

“หลับอยู่ไม่ใช่หรือ นอนต่อก็ได้ ฉันไม่ยิงนายทิ้งระหว่างหลับหรอก” คนนั่งไขว่ห้างพูด ระหว่างปฏิบัติงาน เป็นปกติที่นักส่งของจะพกอาวุธไว้ป้องกันตัว แต่นิโคไลไม่มีปืนติดตัวในเวลานี้ สิ่งที่เขาพูดจึงเป็นแค่การหยอกหน้าตาย

ซาช่าหัวเราะเบาๆ ในคอ เขาขยับศีรษะเข้ามาใกล้นิโคไล ท่าทางเหมือนเสือตัวใหญ่แสนขี้เกียจ ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหงายมือแล้วกระดิกเรียกอีกฝ่าย สีหน้าท่าทางของซาช่าในตอนนี้ดูเซ็กซี่มีเสน่ห์จนน่าหมั่นไส้ไม่น้อย

“ฉันมีเจ้าของอยู่แล้ว” นิโคไลหลุบตามองมืออีกฝ่าย เขาคิดว่าตนชอบสีหน้าตอนหลับมากกว่าจริงๆ นั่นแหละ “ถ้าอยากได้สัตว์เลี้ยง ลองไปหาเอาในสมาคมสิ”

“ทำไมชอบมองฉันในแง่ร้ายนัก” ซาช่าบอกออกมาเสียงเบาและต่ำ

“จะให้ฉันมองนายในแง่ดี ว่านี่คือคู่หูที่ควรไว้ใจและฝากชีวิตไว้ได้หรือ” ดูเหมือนนิโคไลยังไม่ลืมเรื่องที่ซาช่าถามฆวนอย่างสอดรู้เกินหน้าที่

“พูดกันแบบนี้ดีกว่านิกกี้ ฉันไม่สนว่านายจะมองฉันในแง่ดีหรือร้าย แต่นายควรไว้ใจฉัน เพราะฉันเป็นคนเดียวที่นายไว้ใจได้ที่นี่”

“เคยได้ยินไหมว่าไว้ใจคนผิด รู้ตัวอีกทีก็ไปนอนในหลุมแล้ว” ดวงตาคู่สวยมีประกายกร้าว

ซาช่าถอนหายใจ เขาไม่ต่อปากต่อคำเพราะไม่อยากทำลายอารมณ์ดีๆ ...ไม่ใช่หลังตื่นนอน ชายหนุ่มผมทองเปลี่ยนประเด็นด้วยการยื่นมือไปแตะแก้มนิโคไล ก่อนจะถามถึงบาดแผลของคู่หู

“แผลเป็นยังไงบ้าง”

“ดีขึ้นแล้ว ถ้าถามเพราะกลัวฉันขับรถไม่ได้แล้วพานายไปซวย ตอนนี้ฉันสบายดี ขับรถได้แน่นอน” แผลแตกที่หน้าผากนิโคไลแทบไม่เหลือร่องรอยแล้วแม้ต้องเย็บแผล เขาไม่ทราบรายละเอียดการรักษา รู้เพียงว่าโรงพยาบาลของสมาคมใต้ดินมีวิทยาการทางการแพทย์ล้ำหน้าโลกภายนอก

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนถอนหายใจอีกรอบกับคำพูดเผ็ดร้อน “ฉันแค่คิดว่านายควรนอนพักผ่อนสักหน่อย แต่ถ้านายว่าแบบนั้นฉันก็ว่าตามกัน”

ซาช่ายันตัวลุกขึ้นนั่ง เขายกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ตอนนี้ผ่านไปสี่สิบนาทีแล้วนับตั้งแต่ฆวนมาส่งเขาทั้งคู่ที่โรงแรม อีกไม่นานของที่พวกเขาขอไว้คงมาส่ง ชายหนุ่มชาวรัสเซียนลุกเดินผ่านร่างของนิโคไลไปล้างหน้า เขาเดินกลับออกมาจากห้องน้ำและถามนักส่งของอันดับหนึ่งด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ฉันต้องการรู้รายละเอียดที่เกเบรียลไม่ให้ฟังเมื่อวาน”

“นายไม่มีสิทธิรู้” นิโคไลตอบแบบไม่ไว้หน้า “ถ้านายรู้ได้แค่ถามฉัน เขาจะให้นายออกไปก่อนทำไม ลองบอกเหตุผลดีๆ มาสักข้อสิ”

“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก” ซาช่ายักไหล่ “และมันทำให้ฉันไม่อยากขับรถ”

“นายคิดว่าถ้าขาดนายไป ฉันจะส่งของไม่ได้หรือ” นิโคไลยกมุมปาก เขาเหมือนกำลังทดสอบความอดทนของซาช่า

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยกมุมปากตามนิโคไลด้วยองศาเกือบเท่ากันเป๊ะ ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครถูกทดสอบความอดทนกันแน่

“มีความเป็นไปได้”

“ฉันไม่ชอบถูกขู่ ไม่พอใจก็ขึ้นเครื่องบินกลับอิตาลีไป ไปบอกเกเบรียลว่าไม่อยากทำงานเพราะได้ข้อมูลไม่พอ” นิโคไลกรีดรอยยิ้มอย่างไม่ยอมลง

หรือนี่คือความจองหองของนักส่งของอันดับหนึ่ง

ซาช่ากลั้นยิ้มตอนมองนิโคไลด้วยดวงตาใสซื่อ

“ในห้องนี้มีใครข่มขู่นายเหรอนิกกี้ ฉันจัดการมันให้ไหม”

นิโคไลตบหน้าซาช่าดังฉาด! จนอีกฝ่ายหน้าหัน เขาทำไปก่อนจะรู้สึกตัว และชักมือกลับมามองฝ่ามือตัวเองอย่างอึ้งๆ

การกระทำของเขาไปก่อนความคิด...ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

จะว่าเป็นเพราะความกวนอารมณ์หน้าตายของซาช่า ก็ไม่น่าทำให้เขาเสียการควบคุมตัวเองขนาดนี้ นิโคไลปวดหัวจี๊ดทั้งที่แผลบนหน้าผากสมานกันดีแล้ว เขาเดินไปหยิบกล่องเข็มฉีดยาที่ต้องใช้เป็นประจำจากกระเป๋าเป้ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูพร้อมล็อกไว้

หลังโดนตบ ความโกรธของซาช่าระอุเหมือนลาวาเดือด เขาลูบกรามฝั่งที่โดนฟาด เลียมุมปากที่แตกด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม  ระหว่างกำลังสงบสติตัวเอง ของที่ขอฆวนเอาไว้ก็ถูกส่งมาให้ด้วยรูมเซอร์วิส ซาช่าเบนความสนใจไปที่การกางพิมพ์เขียว แผนที่เก่า และแผนที่จากฆวนเทียบกัน เพราะจดจ่อสมาธิกับงาน ไม่นานอารมณ์ของซาช่าก็สงบได้อีกครั้ง

สิบนาทีต่อมา นิโคไลกลับออกมาในสภาพสงบขึ้น ใบหน้าและเส้นผมบางส่วนยังเปียกหมาดๆ เขาเก็บกล่องเข็มฉีดยาใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นหมุนหน้าจอแล็ปท็อปบนโต๊ะมาทางซาช่า

“อยากรู้รายละเอียดหรือ”

เขากรอกรหัสปลดล็อกเครื่อง ย่อแผนที่เมือง แล้วเรียกภาพจากแฟ้มข้อมูล หน้าจอแสดงภาพหญิงสาวหน้าตาสวยคมผู้โด่งดังในฐานะราชินียาเสพติด “คารินา คาห์โล ลูกสาวเจ้าพ่อมาเฟียชาวเม็กซิกัน หลังแต่งงานกับคนในแก๊งก็ขึ้นคุมแก๊งแทนพ่อ มีอำนาจอยู่หลายปี แต่พอคลอดลูกสาวก็อยากล้างมือ ซึ่งสามีไม่เป็นใจ ยืดเยื้อกันมาหลายปี กระทั่งทั้งคู่ทะเลาะกันจนเป็นเหตุให้ลูกสาววัยเจ็ดขวบบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ตัวลูกสาวเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลของสมาคมใต้ดิน”

นิโคไลสามารถเปิดเผยข้อมูลให้แก่คู่หูคนใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น หากมีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น

ซาช่ามีสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้รู้รายละเอียดที่คิดว่าตัวเองสมควรรู้บ้าง เขาก้มลงมองจอ ฟังการอธิบายของนิโคไลโดยไม่ขัด

“คารินาส่งลูกสาวมารักษาตัวที่อิตาลีและทำข้อตกลงให้ทางสมาคมหาครอบครัวใหม่ สร้างตัวตนใหม่ให้เด็ก แลกกับเงินจำนวนมหาศาล”

นิโคไลเรียกภาพขึ้นมาอีกภาพ เป็นภาพชายหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ ไว้หนวดเครา ผมสีดำใส่เจล หวีผมเรียบแปล้ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาท่าทางนักเลง ดูเป็นคนที่มาจากสังคมปากกัดตีนถีบ แต่ก็หล่อเหลาแบบเอาชนะใจลูกสาวเจ้าพ่อมาเฟียได้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตแบะคอ เห็นสร้อยไม้กางเขนเงินกับล็อกเกตทองรูปวงรีห้อยอยู่กลางอก

“นี่คืออเลฮานโดร อดีตสามีของคารินา เขาชิงสิทธิ์การเปิดบัญชีลับที่สวิตเซอร์แลนด์ของแก๊งไป การเปิดบัญชีลับต้องใช้ชิปในไม้กางเขนที่อเลฮานโดรสวมติดตัวตลอดเวลา คืนนี้ลูกน้องของคารินาจะเอามันมาให้เราที่จุดรับของ คิดไว้ก่อนเลยว่าอเลฮานโดรต้องรู้ตัวว่าของหาย เมืองนี้ทั้งเมืองเป็นเขตอิทธิพลของมัน คารินาบอกว่าอเลฮานโดรมีคนในเครื่องแบบทำงานให้ ถึงไม่มีใครกล้าทำงานส่งของไปเมืองทางใต้ซึ่งเป็นเขตของคารินา งานจึงตกมาที่เรา”

“ก็สมกับเป็นงานที่ต้องใช้นักส่งของอันดับหนึ่ง” ซาช่าพึมพำพร้อมจดจำใบหน้าของชายบนหน้าจอแล็ปท็อป เขาเคยได้ยินชื่อของอเลฮานโดรมาบ้าง อดีตสามีของนักค้ายาเสพติดหญิงที่มีอิทธิพลที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเป็นคนโหดเหี้ยม ข่าวลือมาว่านอกจากการทะเลาะกันรุนแรงจนทำให้ลูกสาวบาดเจ็บสาหัสแล้ว อเลฮานโดรยังวางแผนฆาตกรรมคารินาแต่ไม่สำเร็จ ทั้งคู่หย่าร้างกันเมื่อไม่นานมานี้ ความบาดหมางรุนแรงและผลประโยชน์ที่แบ่งไม่ลงตัวระหว่างอดีตสามีภรรยาทำให้เม็กซิโกแบ่งเป็นสองเขตอิทธิพล

“ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของอเลฮานโดร” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนกางแผนที่จากฆวนและเบนสายตาไปมองนิโคไล สีหน้าของซาช่าอยู่ในอาการเคร่งขรึมจริงจัง

“คิดว่าลูกน้องของคารินาจะส่งของให้เราสำเร็จไหม”

“ถ้าไม่สำเร็จ งานเราก็ล้มเหลวไปด้วยไม่ใช่หรือ” เส้นผมสีทองหยักศกเปียกแนบอยู่บนหน้าผากและข้างแก้ม ทำให้ใบหน้าของผู้พูดดูสวยเย้ายวนเป็นพิเศษ

“ทำไมถึงต้องเป็นคืนนี้เท่านั้น มีอีเว้นท์พิเศษอะไร”

“ปกติอเลฮานโดรระวังตัวมาก แต่คืนนี้มีงานปาร์ตี้วันเกิดของมัน มันเป็นคนหน้าใหญ่ ปาร์ตี้นี้เชิญคนนอกแก๊งมาด้วย รวมถึงจัดผู้หญิงหน้าใหม่ๆ มาสร้างความสนุกสนาน เพราะอเลฮานโดรชอบเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ลูกน้องของคารินาจะแฝงตัวในกลุ่มผู้หญิงเหล่านั้น หล่อนผมทอง มีเชื้อสายชาวต่างชาติ ตรงตามรสนิยมของอเลฮานโดร”

นิโคไลเรียกภาพนางนกต่อให้ซาช่าดูเพิ่มเติม หล่อนหน้าตาสวยจัด รูปร่างเล็ก ดูมีการศึกษาสูง เป็นผู้หญิงแบบที่ยามปกติคงไม่ชายตามองผู้ชายเลวๆ เพราะรู้ว่าตนเองหาได้ดีกว่านั้น

ซาช่าพยักหน้ากับข้อมูลที่เพิ่งรู้ แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงแจ้งว่าใครเป็นคนมา

“นี่ผมเอง ฆวน”

นิโคไลพับหน้าจอแล็ปท็อปแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง “เราได้รับของแล้ว” เขาบอก แปลกใจที่อีกฝ่ายมาหาถึงที่หลังส่งของมาเรียบร้อยแล้ว

นั่นทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดี

“ผมทราบว่าพวกคุณได้รับของแล้ว แต่ผมมาเพราะเพิ่งได้รับข่าวไม่สู้ดี” ฆวนถอดหมวก

และลางสังหรณ์ไม่ดีที่ทำให้นิโคไลปวดหัวจี๊ดอยู่ตลอดเวลาก็กลายเป็นความจริง

------------------------------------------

A/N ข่าวไม่สู้ดีของฆวนจะเป็นอะไรได้บ้างละคะนี่ ลองเดากันระหว่างรอตอนต่อไปเนอะ ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 7-4/8-1 [30/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 30-03-2018 22:23:50
Case 7-4

งานปาร์ตี้ฉลองวันเกิดเจ้าพ่อมาเฟียจัดขึ้นที่คฤหาสน์หรูชานเมือง คฤหาสน์ที่สร้างด้วยเงินผิดกฎหมายหลังนี้ราคาไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านดอลลาร์ แต่ก็เป็นแค่เศษเงินสำหรับอเลฮานโดร ในงานมีผู้อิทธิพลระดับประเทศ นายตำรวจระดับสูง นักธุรกิจ และคนในแวดวงสังคมไฮโซมากันเกลื่อน ระบบรักษาความปลอดภัยก็เยี่ยมยอดด้วยยามในชุดสูทพกปืนหราและสุนัขพิตบูลล์

นิโคไลกับซาช่าจอดรถในจุดที่คนของคารินาเตรียมไว้ให้ พวกเขาต้องมาถึงก่อนเวลานัดเดิมหนึ่งชั่วโมงอย่างไม่มีทางเลือก และแทนที่นิโคไลจะแต่งตัวรัดกุมอย่างชุดทำงานตามปกติ เขาสวมเสื้อผูกคอเว้าหลังสีแดงกับกางเกงหนังขาสั้นสีดำและรองเท้าส้นสูง ดูสวยยั่วยวนไปทั้งตัว

“นายมีถุงยางใช่ไหม ขอหน่อยสิ” แสงจากนอกรถเป็นเฉดสีส้มอยู่บนเสี้ยวหน้านิโคไลตอนเขาเอ่ยประโยคนั้นกับซาช่า

ซาช่าล้วงซองถุงยางอนามัยจากกระเป๋าหลังกางเกงสแล็คให้โดยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มชาวรัสเซียนอยู่ในชุดสากล ผมสีทองที่ถูกเซ็ตเสยขึ้นเปิดหน้าผากทำให้เขาดูมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ฆวนบอกทั้งสองว่านางนกต่อที่ตกลงกันไว้เกิดกลัวหัวหดและหนีไป อเลฮานโดรเป็นคนช่างเลือก การจะหาผู้หญิงรูปร่างหน้าตาแบบหล่อนมาทำงานนี้แทนไม่สามารถทำได้ในทันที ไหนจะเป็นงานเสี่ยงตายที่ผู้หญิงคนนั้นและครอบครัวต้องถูกผู้มีอิทธิพลตามล่า (แน่นอนว่า นางนกต่อคนเก่าตัดสินใจว่าอเลฮานโดรน่ากลัวกว่าคารินา)

นิโคไลกับซาช่าจึงต้องเปลี่ยนแผนการใหม่ พวกเขาแบ่งหน้าที่กัน โดยให้ซาช่าเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา ระหว่างนิโคไลทำหน้าที่นกต่อชิงของจากอเลฮานโดร

“ถึงจะผิดแผนไปหน่อย แต่อย่างน้อยอเลฮานโดรก็ชอบนอนกับผู้ชายด้วย และเราได้ตรวจสภาพรถก่อนมา...ที่เหลือไม่น่ามีปัญหาอะไร” นิโคไลพูดติดตลกขณะสอดถุงยางอนามัยลงในอกเสื้อ

ที่จริง ฝ่ายที่ไม่สามารถทำตามแผนการที่ตกลงกันไว้คือคารินา นิโคไลไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวหรือเสี่ยงตายเปิดเผยใบหน้าให้อเลฮานโดรจำได้และถูกหมายหัว เหตุที่เขายอมรับหน้าที่นกต่อชวนให้สงสัยว่างานนี้สำคัญถึงขนาดนั้นเลยหรือ หรือจะเป็นอย่างที่ใครๆ เคยพูดไว้ ว่านิโคไลเป็นพวกติดเซ็กซ์ ดังนั้นแค่ให้เขานอนกับผู้ชายอีกสักคนจะเป็นไรไป

แม้คู่นอนจะเป็นคนเลวที่มีข่าวรสนิยมทางเพศวิปริตมากก็ตาม

“ระวังตัว” ซาช่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

นิโคไลหันมองคู่หูคนใหม่ “ขอบคุณที่เป็นห่วง” ที่จริงเขาคิดคำพูดเผ็ดร้อนไว้มากมาย เช่น ‘เป็นห่วงฉันหรือแค่กลัวจะซวยไปด้วย’ หรือ ‘ไม่อยากให้งานใหญ่สำหรับเปิดตัวนายล่มหรือไง’ แต่นิโคไลเลือกพูดสั้นๆ เพราะเขาไม่อยู่ในอารมณ์ประชดประชันใคร

เขาไม่ได้อยากนอนกับอเลฮานโดร แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากลายเป็นวัตถุทางเพศ และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นแล้ว...จะคร่ำครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางทำไม

นิโคไลรู้ว่าเขามีสิทธิเลือกใช้ร่างกายของตนเองอย่างไร เขารู้ว่าถ้าไม่อยากทำ ก็ปฏิเสธได้ และยอมรับผลที่ตามมาจากการปฏิเสธ แต่เขาเลือกไม่ปฏิเสธเพราะมีเหตุผลส่วนตัวอยากให้งานนี้สำเร็จ ใช่เพราะกลัวบทลงโทษ

นิโคไลใส่ต่างหู หยิบผ้าพันคอขนสัตว์มาคล้องไหล่ ก่อนเปิดประตูลงไปยืน ผิวเนื้อต้นขาขาวนวลเนียนที่โผล่พ้นร่มผ้ากับสีหน้าซึ่งปรับเป็นหยาดเยิ้มทำให้เขาดูเหมือนโสเภณีชั้นสูง

ซาช่ามองแผ่นหลังขาวเนียนและบั้นท้ายกลมกลึงของนิโคไลจากในรถ เขาไล้ปลายนิ้วโป้งบนแหวนสีดำเรียบๆ ที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างขวา แตะมันสองครั้งติด แล้วเว้นช่วง ก่อนเคาะปลายนิ้วเป็นจังหวะยาว เว้น สั้น เว้น สั้นสั้นสั้น เว้น ยาว และไม่เคาะนิ้วอีก

รหัสที่เขาส่งไปแปลงเป็นข้อความได้ว่า ‘ทดสอบ’

จากนั้นก็ได้รับข้อความตอบกลับมาทางหูฟังเอียร์บัด

สิ่งที่ซาช่ากำลังทำคือทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ส่งข้อความขนาดเล็กที่ฆวนจัดหามาให้ การเคาะแหวนสองครั้งเป็นการเปิดการทำงาน แล้วส่งข้อความด้วยการใช้รหัสมอร์ส ตัวรับข้อความอยู่ในรูปแบบของต่างหูและหูฟังเอียร์บัด มันจะสั่นเบาๆ เพื่อแจ้งข้อความให้ผู้รับ ซึ่งเขาและนิโคไลมีทั้งตัวส่งและตัวรับคนละชิ้นสำหรับสื่อสารกันในภารกิจนี้ โดยอุปกรณ์ส่งข้อความจะปิดการทำงานเมื่อไม่มีการใช้งานในห้าวินาทีเพื่อป้องกันความสับสน

‘พบแล้ว’ ‘สระว่ายน้ำ’ นิโคไลส่งข้อความกลับมาเมื่อเข้าไปได้ห้านาที ถ้อยคำสั้นๆ รวมความหมายได้ว่า ‘พบเป้าหมายที่สระน้ำว่ายน้ำ’

ซาช่าหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง จุดจอดรถของเขามองเห็นบริเวณภายนอกคฤหาสน์ได้หลายส่วน ตรงสระว่ายน้ำที่พวกคนรวยกำลังปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยง นิโคไลโดดเด่นด้วยชุดแดง เขากำลังเดินอย่างมั่นใจเข้าไปหาอเลฮานโดรที่นอนเอกเขนกอยู่ริมสระ ห้อมล้อมด้วยสาวๆ ในชุดบิกินี และมีบอดีการ์ดอารักขาอยู่ทางด้านหลัง

นิโคไลนั่งลงบนตักอเลฮานโดรแล้วคล้องคออย่างออดอ้อน เขาศึกษาข้อมูลเป้าหมายมาแล้วว่ารสนิยมเป็นอย่างไร ชอบคู่นอนแบบไหน ซาช่าเห็นนิโคไลพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้อเลฮานโดรหัวเราะและโอบเอวคนบนตัก นิโคไลหยิบเหล้ามาดื่มจนของเหลวไหลลงมาตามคางและลำคอ จากนั้นก็จูบคางครึ้มหนวดของอีกฝ่ายแบบอ้อนๆ

อเลฮานโดรฉีกยิ้มกว้างและมองเขาตาเป็นมัน

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนกวาดกล้องช้าๆ เพื่อนับจำนวนการ์ด และคำนวณหาความเป็นไปได้ว่านิโคไลจะออกจากงานทางไหนได้บ้าง ก่อนจะลากกล้องกลับมาที่สองร่างซึ่งนั่งเบียดกันอยู่บนเก้าอี้ชายหาดริมสระ ซาช่าซูมกล้องส่องทางไกลไปจับที่สร้อยของอเลฮานโดร เขามองจนแน่ใจว่าใช่สิ่งที่นิโคไลต้องเอามา แล้วจึงละลดกล้องลงวางบนคอนโซลรถ ซาช่าดึงโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรออกเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ รอไม่นานก็มีคนรับสาย

“Hola” เขากรอกเสียงทักทายกลั้วเสียงหัวเราะ

“Buona sera” เสียงทุ้มพร่าตอบกลับมา

ซาช่าเลียริมฝีปากพร้อมกับเหยียดรอยยิ้ม ตอบข้อความกลับไปเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงนิวยอร์ก

“ผมกำลังรับแครอทไปส่งกระต่าย”

“หมาดี ทำงานให้สำเร็จแล้วฉันจะให้รางวัล” สายถูกตัดไปเพียงเท่านั้น ซาช่าเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าที่ เขานั่งรอการติดต่อกลับจากนิโคไลอย่างใจเย็น

ทางสระว่ายน้ำ มือของเจ้าพ่อมาเฟียชาวเม็กซิกันเริ่มไม่อยู่สุข มันจับโน่นขยำนี่ ขณะที่นิโคไลเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างขวยเขิน ทว่าเล่นหูเล่นตาในเวลาเดียวกัน เขาแสดงบทโสเภณีที่มีการศึกษาสูงและรู้จักวางตัว ตรงตามรสนิยมของอเลฮานโดร

ไม่นานทั้งคู่ก็ลุกขึ้น อเลฮานโดรโอบเอวคู่นอนคนใหม่ พาเข้าไปด้านใน…

——————————————————

หากจะให้อธิบายความรู้สึกของการลืมความทรงจำบางส่วน นิโคไลยอมรับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจตลอดเวลา เพราะเรื่องก็ผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้ว แต่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้สึกอะไร...ใช่ว่าความมืดในจิตใจจะไม่ติดตัวและตามหลอกหลอนเขา หากให้อธิบาย คงต้องเริ่มที่ความตายของพ่อแม่เขา และตัวเขากับน้องชายที่ได้เป็นพยานในการสังหารโหดครั้งนั้น…

พ่อแม่เขาถูกเพื่อนที่ไว้วางใจหักหลัง ส่วนเขา...เขาเป็นคนทรยศหรือเปล่านะที่เลือกแก้แค้น เลือกมีชีวิตต่อ และลืมความทรงจำที่เคยมอบความรักและคำสัญญาไว้กับใครคนหนึ่ง

นิโคไลใช้ความคิดขณะถูกกดให้คลานสี่ขาคว่ำหน้าบนพื้น เขากำมือแน่นและส่งเสียงไอเมื่อมือที่บีบคอคลายออกเล็กน้อย ด้านหลัง อเลฮานโดรด่าว่าเขาเป็นโสเภณีชั้นต่ำ หมูตัวเมียสกปรก ตามด้วยถ้อยคำสบถหยาบคายเท่าที่จะเร้าอารมณ์ของมันได้

นิโคไลกดใจตัวเองให้นิ่งและพยายามไม่ทำให้ตัวเองคอหัก เขาผ่านการฝึกรับมือความรุนแรงทางเพศมาระดับหนึ่ง ไม่ใช่การฝึกโดยตั้งใจ แต่เป็นการฝึกที่เกิดขึ้นระหว่างใช้ชีวิตในสมาคมใต้ดิน บางทีหลังจากนี้เขาอาจจะอาบน้ำ สูบบุหรี่สักกล่อง แล้วให้เวลาตัวเองกับการหวาดกลัว ร้องไห้ โทษว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปที่ไม่สามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ไม่มีใครจะเข้ามาช่วยเหลือหรือปกป้องคุ้มครองเขา ไม่มีใครที่เขาสามารถเชื่อใจหรือฝากชีวิตได้ ทุกคนอยู่ที่นี่ด้วยผลประโยชน์ นี่คืองาน ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาเรียกร้องความเห็นใจ

“อึก!” นิโคไลตาพร่าเมื่อถูกบีบคอแรงขึ้น

“ร้องออกมา ขอร้องฉัน ไม่งั้นแกตาย!” อเลฮานโดรบังคับคนที่อยู่ใต้ร่าง ตัวมันมีกลิ่นเหล้าคลุ้งเพราะดื่มไปมาก แต่ก็ยังแข็งแรงพอ กระทั่งยานอนหลับผสมเหล้าที่นิโคไลให้ดื่มก็ยังไม่ออกฤทธิ์เสียที “พูดออกมาว่าแกเป็นเศษขยะไม่มีหัวคิด เอาแต่จะจับผู้ชายรวยๆ เพราะแกชอบโดนเอา!”

นิโคไลน้ำตาเล็ด เขานึกอยากมองท้องฟ้ายามกลางคืน พักสายตาในกลุ่มดาวที่ทอประกายตัดกับความเวิ้งว้างสีดำ เขานึกถึงเรื่องราวดีๆ สมัยยังเป็นเด็ก แม้ภาพข้างหน้าคือพรมสกปรก

นิโคไลนึกถึงกลิ่นสายลมเย็นจัดในสวนที่บ้าน แม้ในจมูกจะมีแต่กลิ่นคาวเลือดตัวเองและกลิ่นเหม็นของอาเจียน

แย่จริง สติเขาจะไปเสียแล้ว

---------------------------------------------

A/N โอย ตอนนี้บอกว่าเลยว่าเขียนไปปวดใจไป ปวดใจรุนแรงมากๆ ค่ะ ฮืออออ นิโคไลลลลลล ;w;

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป กดอ่านตอนต่อไปกันเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 7-4/8-1 [30/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 30-03-2018 23:12:00
Case 8-1

ก้อนกรวดเล็กๆ ถูกโยนกระทบหน้าต่างก้อนแล้วก้อนเล่า เรียกให้คนในห้องเปิดหน้าต่างออกมาดู และเมื่อเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีเปิดหน้าต่างห้องบนชั้นสอง เขาก็เห็นเด็กหนุ่มอีกคนรออยู่ด้านล่าง

เด็กหนุ่มร่างเล็กที่มาเรียกสวมเสื้อสเวตเตอร์ตัวใหญ่กับผ้าพันคอไหมพรมเส้นหนา ใบหน้าเล็กแดงก่ำเพราะอากาศเย็นจัดยามกลางคืนของรัสเซีย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าดูมีความสุขและสว่างไสวอย่างที่ความหนาวเย็นไม่อาจเป็นอุปสรรค

“ซาช่า! ลงมาสิ ไปดูดาวกัน” เด็กหนุ่มผมทองชวน

“จ้า จ้า” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าซาช่ายื่นหน้าลงมายิ้มตอบ เขาปีนลงมาจากหน้าต่างชั้นสองอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็ลงมายืนอยู่ข้างคนที่ยืนรออยู่

“นายไม่ติดเคอร์ฟิวเหรอนิกิ หรือแอบออกมา” ซาช่ายิ้มกว้าง เขานาบฝ่ามือร้อนจัดบนแก้มแดงๆ ของอีกฝ่าย

“ติด แต่ไม่สนใจ” เด็กหนุ่มหน้าสวยยิ้มกว้าง เขาโผเข้ากอดคนที่ตัวสูงกว่า แววตาฉลาดคมคายที่ดูร้ายนิดๆ หยีปิดเพราะความร้อนจากมืออีกฝ่าย “ร้อนๆ มือร้อนจังเลย นายทำอะไรมา”

“ก็ทำอะไรอะไรมา” เจ้าของฝ่ามือยกยิ้มแล้วกระซิบข้างหูแบบซุกซน “นายอยากรู้ไหมล่ะว่าอะไรอะไรคืออะไร”

นิโคไลหรี่ตาแล้วบิดหน้าฮึดๆ ออกเหมือนลูกแมวที่ไม่พอใจ “มือสกปรก ไม่ให้จับแล้ว!”

เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าหัวเราะเต็มเสียง เขาเลื่อนมือลงมากอดนิโคไล “รู้เหรอว่าทำอะไรมา นิกิลามก” ซาช่าว่าแล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มฟอด

“ไม่ได้ลามกสักหน่อย ใครๆ ก็เคยทำนี่นา” เขาตอบอ้อมแอ้ม

“ไปดูดาวกัน นายจะได้รีบกลับ จะได้ไม่โดนบ่นนัก”

คนตัวเล็กพยักหน้า “อื้อ! ฉันอยากดูดาวกับนาย” หัวใจของเด็กหนุ่มพองโตด้วยความรู้สึกรัก ถึงพ่อแม่จะกีดกันไม่ให้เขาคบกับซาช่าซึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนสนิท เพราะซาช่าเป็นผู้ชาย อีกทั้งเป็นลูกนอกสมรส แต่เด็กหนุ่มอย่างนิโคไลไม่คิดเรื่องหยุมหยิมแบบผู้ใหญ่ เขาแค่ชอบซาช่ามาก มากๆๆ และอีกฝ่ายก็ชอบเขา

นั่นเพียงพอที่พวกเขาจะคบกันแล้ว...ใช่ไหม

อากาศกลางคืนเย็นจนแก้มชา แต่แค่นิโคไลได้ซุกข้างซาช่าก็มีความสุข เรื่อง ‘อะไร-อะไร’ ที่ซาช่าพูดถึง นิโคไลก็เปิดอินเทอร์เน็ตศึกษามา ตามวัยที่อยากรู้อยากลอง แม้เขาจะดูหยิ่ง สวย และร้ายจนหักอกเด็กผู้ชายมาหลายคน อีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี เวลาอยู่กับคนที่ชอบมากๆ เขาก็นึกอยากทำตัวน่ารักน่าทะนุถนอมให้อีกฝ่ายพอใจ

ทั้งสองเดินมาถึงเนินด้านหลังคฤหาสน์ของพ่อซาช่า นิโคไลนั่งลงและกอดแขนอีกฝ่าย วันนี้อากาศเย็นก็จริง แต่ท้องฟ้าโปร่งมาก มองเห็นดาวดวงเล็กๆ ทอประกายระยิบระยับเกลื่อนเต็มฟ้า ความกว้างใหญ่ของแผ่นฟ้าทอดยาวเสมือนไม่มีที่สิ้นสุด โอบกอดเด็กหนุ่มทั้งสองคนไว้

“สวยจัง” นิโคไลอดถอนใจไม่ได้ สายตาเหมือนถูกดึงดูดให้มองแต่ข้างบน “นายว่าอย่างนั้นไหม”

“อืม” ซาช่าพยักหน้าแต่เขาไม่ได้มองดาว ดวงตาของเด็กหนุ่มจับอยู่ที่คนข้างตัว “สวย”

นิโคไลรู้สึกตัวว่าถูกมอง จึงหันกลับมาทางซาช่า เมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่าย ใจเขาก็เต้นตึกตัก รู้สึกขัดเขินจนพูดไม่ถูกไปชั่วขณะ

“อะ เอ่อ นี่ คนในสเปกนาย เป็นยังไงเหรอ” คนถามช้อนตาอย่างลูกแมวเชื่อง “ฉันรู้ว่าฉันตามตื้อนายก่อน แต่ไม่ได้ตกลงคบเพราะ...เห็นใจกัน...หรอกใช่ไหม”

ซาช่างงไปกับคำว่าคบแต่ไม่ได้พูดอะไร “คนในสเปกหรือ ไม่รู้สิ…” เขาจ้องนิโคไล ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด “ก็คนสวย...มั้ง”

นิโคไลเป็นคนความรู้สึกไว เขาเห็นสีหน้างงงวยของอีกฝ่ายก็นึกเสียใจที่ถามออกไป แต่เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศกร่อย จึงฉีกยิ้มแล้วถามต่อ “งั้นฉันสวยพอเป็นคนที่นายชอบได้ไหม!”

“ก็ได้อยู่” เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆ เขายกมือแตะแก้มนิโคไล ใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนลมหายใจร้อนของซาช่ารดบนแก้มเนียน แล้วซาช่าก็จูบแผ่วเบา

จูบนั้นเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิตเด็กหนุ่มอย่างนิโคไล มันเต็มด้วยความรักและความฝันถึงอนาคตอันมีความสุขร่วมกับคนที่อยู่ข้างกัน นิโคไลไม่ใช่เด็กหนุ่มช่างฝัน ไม่ได้อ่อนต่อโลก พ่อกับแม่เลี้ยงเขาให้รู้จักและเข้าใจความเป็นจริงของโลก ทว่าเวลาที่อยู่กับซาช่า ความบริสุทธิ์และอารมณ์รักของวัยเยาว์แผ่พุ่งอำนาจของมันกลืนกินตัวเขา

รู้สึกตัวอีกทีก็ทำอะไรบ้าๆ โดยไม่ฟังคำทัดทานของพ่อแม่ไปหลายอย่างแล้ว

อย่างเช่น...เพื่อให้ได้มาเจอซาช่าวันนี้ เขาแอบขโมยข้อมูลเล็กๆ ในแล็ปท็อปของพ่อไปแลกกับ ‘คุณลุง’ ผู้เป็นพ่อของซาช่า

นิโคไลน้ำตาคลอนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายถอนจูบ “แหะๆ” เขาหัวเราะแล้วปาดน้ำตา “อยู่ๆ มาจูบ ใจเต้นจนจะระเบิดแล้ว อย่าทำให้ดีใจมากนักสิ”

ซาช่ายิ้มและเลื่อนมือที่ประคองแก้มนิ่มไปเกลี่ยน้ำตาให้อีกฝ่าย

“โอ๋ ไม่ร้องนะ” เขาปลอบนิโคไลด้วยการลูบศีรษะเบาๆ

“อื้อ ไม่ร้อง...นายกับคุณลุง...ไม่ค่อยสนิทกันใช่ไหม” นิโคไลถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“หมายถึงพ่อฉันเหรอ”

“ใช่” นิโคไลตอบเสียงเบา เขาสังเกตเรื่องนี้มาสักพักแล้ว กระทั่งเวลามีงานเลี้ยงของครอบครัวซิมา คุณลุงก็ไม่แนะนำซาช่ากับแขกเหรื่อมากเกินสามประโยค

“ไม่ได้เกลียด” ซาช่าส่ายหน้า “แต่ก็ไม่ได้รัก”

นิโคไลขมวดคิ้วกับคำตอบ ใบหน้าของซาช่าดูว่างเปล่าเมื่อพูดจบ ว่างเปล่าจนเขารู้สึกใจหาย

“ถ้ามีดาวตกก็ดีสิ เราจะได้อธิษฐานขอสิ่งที่นายอยากได้!” นิโคไลชวนคุยต่อ เขามองซาช่า “อย่าเพิ่งทำหน้าเบื่อ ฉันรู้ว่านายไม่สนใจเรื่องขอพรจากดวงดาวหรืออะไรทำนองนั้น” เด็กหนุ่มหน้าสวยกระแอม “ฉันก็เพิ่งมาสนใจเหมือนกัน แต่ฉันรู้ดีนะ ซาช่า…”

นิโคไลเม้มริมฝีปากบางสวย

“โลกไม่ได้ให้เราสมหวังเพียงเพราะเราอยากได้สิ่งนั้นมากๆๆ ฉันรู้ดี ฉันรู้ดีจริงๆ นะ ความชอบอยู่ฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ความรักหรอก ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออนาคตพวกเราจะเป็นยังไง แต่...แต่ ขอเวลาอยู่ด้วยอีกหน่อยได้ไหม...”

นิโคไลไม่ได้พูดต่อจนจบว่า ‘บางที...นายอาจชอบฉันขึ้นมาจริงๆ บ้างก็ได้’

เด็กหนุ่มตัวสูงพยักหน้าและยิ้มให้นิโคไลอย่างอ่อนโยน

“ได้สิ ฉันไม่ได้วางแผนจะไปไหนอยู่แล้ว” มือใหญ่เกลี่ยแก้มเย็นๆ ของนิโคไลแผ่วเบา

“นายก็เหมือนกันใช่ไหม”

“อื้อ!” นิโคไลจับมืออีกฝ่ายแนบแก้ม จับแน่นและกุมไว้เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นจากมือเล็กๆ ของตนให้แก่คนที่ชอบ...เขารู้สึกมีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เกิดมาและจำความได้

“ฉันจะไม่ไปไหน ถ้าพ่อแม่ให้กลับอิตาลีฉันก็จะบินมาหานาย!”

ตอนให้คำสัญญาใต้ท้องฟ้าเกลื่อนดาวกับเด็กหนุ่มที่เขาทั้งรักและหลงใหล นิโคไลไม่รู้เลยว่าในอนาคตอันใกล้...ตนจะรักษาสัญญานั้นไม่ได้

และเป็นฝ่ายเลือกจากไปโดยกลบฝังความทรงจำทั้งหมด

———————————————————————————-

‘ได้ของแล้ว’

นิโคไลติดต่อกลับมาหลังจากหายเข้าไปด้านในกับอเลฮานโดรร่วมชั่วโมง แม้จะช้ากว่าเวลาที่ตกลงกันไว้ แต่ก็ไม่ช้าเกินไป

ซาช่าสตาร์ทรถยนต์เครื่องแรง เขาส่งข้อความกลับระหว่างหมุนพวงมาลัยจากจุดที่จอดรออยู่

‘ประตูสาม’ เว้นช่วงอึดใจหนึ่งและส่งอีกข้อความ

‘สองนาที’

พวกเขาศึกษาเส้นทางเข้าออกของคฤหาสน์อเลฮานโดรไว้ตั้งแต่วางแผน และระบุพิกัดสำคัญต่างๆ ไว้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะตกลงสถานที่รับตัวนิโคไล

สองนาทีต่อมา ไม่ขาดไม่เกิน คนในชุดแดงก็มารอตรงจุดนัดพบ เขาเปิดประตูรถแล้วขึ้นนั่งข้างคนขับ ปล่อยให้ซาช่ารับผิดชอบเรื่องการขับรถขณะตัวเองนั่งซุกตัวในเบาะเงียบๆ ไม่มีการแสดงสิ่งของที่เป็นเป้าหมาย ไม่มีการพูดคุยรายงานภารกิจ ไม่มีการบอกสถานการณ์หลังเขาหนีออกมาเพื่อให้คู่หูรับมือถูก

นิโคไลนั่งเงียบเหมือนเป็นใบ้ เสื้อสีแดงที่สวมขาดวิ่น ใบหน้าก้มต่ำมีเลือดหยดบริเวณปาก ลำคอมีรอยถูกบีบ แผ่นหลังและต้นแขนเนียนเต็มด้วยรอยช้ำอย่างน่ากลัว

นี่ไม่ใช่การเอาตัวเข้าแลกธรรมดา แต่เป็นการเอาตัวเข้าไปรับความรุนแรงซึ่งลดค่าความเป็นมนุษย์

ทั้งหมดมันคุ้มกันหรือ

ซาช่าเหลือบตามองคู่หู เขาถอดสูทออกแล้วส่งให้นิโคไล ก่อนจะหรี่แอร์และดันทางลมไม่ให้เป่าเข้าตัวอีกฝ่ายตรงๆ

“ฉันไม่รู้ว่านายคิดยังไง แต่งานนี้สำคัญกับฉัน” นิโคไลรับน้ำใจของซาช่ามาคลุมร่างกาย

ซาช่าไม่ได้พูดอะไร เขาตั้งสมาธิกับการขับรถด้วยความเร็วเกือบหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ถนนด้านหลังของเขายังโล่ง ชายหนุ่มชาวรัสเซียนไม่แน่ใจว่านิโคไลจัดการกับอเลฮานโดรยังไง

“เคยเห็นศพเด็กไหม”

หลังเงียบไปครู่ใหญ่ คำถามของนักส่งของอันดับหนึ่งทำให้ซาช่าละสายตาจากถนน

เขาเหยียบคลัทช์ ตบเกียร์แล้วดึงเบรกมือ มือข้างขวาหมุนพวงมาลัยประคองรถผ่านโค้งโดยไม่ลดความเร็ว พลางตอบ

“เคย”

“ฉันไม่เคย แต่เคยเห็นอะไรคล้ายๆ กัน” นิโคไลนึกถึงภาพโชกเลือดของโรเมโอ เขาเป็นคนพาน้องไปซ่อนในตู้เก็บของห้องใต้ดิน และกอดร่างเล็กๆ ที่เลือดไหลจากศีรษะไม่หยุด เลือดของโรเมโอไหลมากจนเขากลัวว่าน้องจะตายเสียแล้ว และเขาเองก็คงตาย ถ้าไม่เพราะคนจากสมาคมใต้ดินอิตาลีมาช่วยไว้...แม้จะช่วยพ่อแม่ของเขาไม่ทันก็ตาม

“คลอเดีย ลูกสาวของคารินากับอเลฮานโดร...เด็กที่บาดเจ็บ ฉันเป็นคนพาเธอไปส่งที่สมาคม”

งานส่งของในวันที่โรเมโอกับฮันเตอร์พบตัวอัลฟีโอที่บ้านมาร์ค ก็คืองานรับตัวคลอเดียจากเม็กซิโกไปส่งที่อิตาลี

“ตอนนั้นฉันนึกว่าเด็กคนนั้นจะตายซะแล้ว ถึงสมาคมจะทำเรื่องผิดกฎหมายได้ทุกอย่าง แต่พวกเขามีกฎไม่ยุ่งกับเด็กและไม่ผิดสัญญากับคู่ค้า ฉันอยากให้งานนี้สำเร็จ...เพื่อคลอเดียจะได้มีชีวิตใหม่อย่างที่แม่ของเธอตกลงไว้กับสมาคม”

นี่เอง คือเหตุผลส่วนตัวของนิโคไลที่ทำให้เขาตัดสินใจเป็นนกต่อและยอมถูกอเลฮานโดรใช้ความรุนแรง เขาอาจไม่ได้รู้จักคลอเดียเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อเห็นเด็กหญิงบาดเจ็บสาหัส นอนนิ่งโดยด้วยใช้เครื่องช่วยหายใจในวันแรก เขาไพล่นึกถึงโรเมโอตอนยังเด็ก และช่วงเวลาที่ตนกอดร่างเกือบสิ้นลมหายใจของน้องชาย

นิโคไลรู้ว่าถ้าเขาไม่ทำให้เรื่องนี้จบอย่างถูกต้อง ด้วยการพาเด็กหญิงไปให้ไกลจากผู้ใหญ่ที่ใช้ความรุนแรงทั้งหลาย จิตใจเขาคงไม่สงบ

“งานนี้ต้องไม่พลาด ฉันไม่ให้ใครมาขัดขวางหรือทำมันล่ม”

“ถ้านายอยากให้มันราบรื่นขนาดนั้นก็รายงานสถานการณ์ก่อนหน้ามานิกกี้ และประเมินให้ด้วยว่าเรามีเวลาอีกกี่นาทีก่อนคนของอเลฮานโดรทั้งเมืองจะไล่ล่าเรา”

“อเลฮานโดรถูกฉันเอาที่เขี่ยบุหรี่ฟาดหน้าตอนมันเผลอแล้วจับมัดไว้ เราคงมีเวลาถึงเท่าที่ขับรถออกมานี่แหละ ส่วนสถานการณ์ที่เหลือก็เปิดวิทยุตำรวจฟังเอาสิ จะถามฉันทำไม” ภายในรถที่ฆวนให้มามีวิทยุสื่อสารแบบที่ตำรวจเม็กซิโกใช้ นิโคไลหมุนเปิดให้ “ไม่ใช่นายตะลึงสภาพฉันจนลืมไปแล้วหรอกนะ” คู่หูของซาช่ากลับมาปากดีเหมือนเดิม แม้แขนที่ยื่นออกมาจากเสื้อสูทจะถลอกปอกเปิกจนเลือดซิบ

-----------------------------------------

A/N ตอนที่แล้วปวดใจมาก ตอนนี้เริ่มมาหวานๆ ฮีลใจค่ะ ;w;

ตัวละครในอดีตกับตัวละครในปัจจุบันต่างกันมากเลยใช่ไหมคะ เราชอบช่วงอดีตนะคะ แม้มันเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่อนาคตก็สำคัญเช่นกันค่ะ กรุณาเอาใจช่วยให้นิกกี้ผ่านพ้นเรื่องเลวร้าย และมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิมนะคะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 8-2 [31/3/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 31-03-2018 20:45:44
Case 8-2

คำพูดภาษาสเปนรัวเร็วแจ้งให้ตั้งด่านสกัดรถยนต์และตามหาตัวผู้ต้องสงสัยดังพุ่งขึ้นมา ในวิทยุบอกรูปพรรณสัณฐานของนิโคไลอย่างชัดเจน ตามด้วยลักษณะรถยนต์ที่เขาใช้หนีออกมา

นิโคไลหยิบแล็ปท็อปและแผนที่เมืองทั้งหมดมาวางบนตัก เขาฟังรายงานตำรวจแล้วมาร์กจุดที่จะมีการตั้งด่านตรวจ จากนั้นบอกเส้นทางซาช่าอย่างสั้นกระชับโดยไม่มีพลาด

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนขับรถหลบหลีกสายตาตำรวจและลูกน้องของอเลฮานโดรตามการเลือกเส้นทางของนิโคไลด้วยความเชื่อใจ และเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น พวกเขาถึงต้องไปเปลี่ยนรถ ซาช่าลัดเลาะไปตามเส้นทางลัดต่างๆ ตึกที่ฆวนแจ้งว่ามีรถอีกคันจอดรออยู่ห่างออกไปจากพิกัดในตอนนี้เพียงหนึ่งไมล์ แต่เพราะมีด่านสกัดจึงต้องขับอ้อม ไม่ถึงห้านาที ซาช่าก็ขับรถพาทั้งคู่มาถึงจุดเปลี่ยนรถ

มันเป็นอาคารจอดรถของห้างสรรพสินค้า ตามคำบอกเล่าของฆวนรถอีกคันจะจอดอยู่ที่ชั้นเจ็ด บล็อกสามซี ชายหนุ่มชาวรัสเซียนขับรถไปจอดเทียบที่รถเอสยูวีคันดังกล่าว ก่อนส่งสัญญาณให้นิโคไลลงจากรถ

“ยานอนหลับผสมเหล้าของฆวนมันห่วย!” นิโคไลสบถระหว่างเปิดประตูรถ “น่าจะใช้เพื่อให้อเลฮานโดรมันมึนๆ มากกว่า ไม่น่าเชื่อใจพวกเม็กซิกันเลย ให้ตายสิ!” เขาใส่อารมณ์ แต่ก็พอเข้าใจว่านางนกต่อคนเดิมเป็นหมากใช้แล้วทิ้ง ถ้ายอมให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บตัวหน่อย ให้มีเสียงจากห้องของอเลฮานโดร บอดีการ์ดจะไม่สงสัยและทำให้แผนการราบรื่นกว่า

“พูดตามตรงว่าฉันไม่เชื่อใจฆวน” ซาช่ากล่าวขึ้น เขาเกร็งท่อนแขนฟาดบนกระจกข้างคนขับ และเอื้อมมือผ่านหน้าต่างที่แตกเข้าปลดล็อกรถ ซาช่าเปิดประตูที่นั่งตอนหลัง บนเบาะมีกระเป๋าวางอยู่สองใบ ใบแรกเป็นกระเป๋าที่มีเสื้อผ้าที่ฆวนเตรียมไว้ให้นิโคไลเปลี่ยน อีกใบเป็นกระเป๋าเป้แบ็กแพ็กที่ซาช่าเตรียมมาจากอิตาลี เขาดึงกระเป๋าตัวเองออกมาเปิด หยิบเสื้อผ้าชุดลำลองชุดเดิมที่ใส่ขาลงเครื่อง และหยิบชุดคลุมท้องไซซ์ที่นิโคไลใส่ได้ออกมาด้วย

“ไม่เอา” นิโคไลทำตาโต “ชุดน่าเกลียด!”

“นายอย่าเรื่องมากตอนนี้น่า” ซาช่าจุปาก และถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนต่อหน้าคู่หู เขายัดเสื้อเชิ้ตและสแล็คของตัวเองใส่มือนิโคไลพร้อมทำท่าม้วนๆ ให้ยัดเข้าไปตรงหน้าท้อง

“ฉันให้เวลานายสองนาที” ซาช่าบอกก่อนผละไปจากบริเวณนั้น

“อะไรของนายวะ!” นิโคไลอยากจะโยนชุดทั้งหมดลงจากชั้นเจ็ด แต่เขายังมีความเป็นมืออาชีพพอจึงแค่สลัดเสื้อผูกคอตัวเก่าและยอมสวมชุดที่อีกฝ่ายส่งให้แต่โดยดี

ไม้กางเขนของอเลฮานโดรอยู่ในกระเป๋ากางเกง ก่อนปลดมาเขาตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่าเป็นของจริง

“ไม่ใส่เสื้อยัดท้อง” นิโคไลต่อรองขณะเช็ดคราบเลือดจากหน้า “และถ้าจะปลอมเป็นผัวเมียกัน นายคงเป็นประเภทใช้ความรุนแรงในครอบครัว” เขาเสียดสี เพราะสภาพเขาตอนนี้เหมือนผู้หญิงที่โดนสามีขี้เหล้าซ้อมมาไม่มีผิด

ซาช่ากลับมาต่อปากต่อคำกับนิโคไลต่อพร้อมซิตีคาร์ที่จะดูกลมกลืนกับรถคันอื่นบนท้องถนน เขาได้ยินทุกคำที่นิโคไลพูด

“ฉันจะเริ่มใช้ความรุนแรงเพราะนายดื้อนี่ละนิกกี้” ซาช่าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงตัดบท “หยิบของแล้วขึ้นรถ”

นิโคไลไม่พูดอะไรอีก เขาทยอยโยนของใส่รถซิตีคาร์ “ขับแยกกัน ฉันจะขับรถที่ฆวนให้มา”

“นายอย่างี่เง่าตอนนี้ ขึ้นรถ” ซาช่าพูดเสียงเฉียบ สีหน้าเขาดุจัด

นิโคไลชูไม้กางเขนต่อหน้าซาช่า

“นายบอกว่าที่นี่ฉันเชื่อใจนายได้คนเดียวใช่ไหม แต่นายเปลี่ยนแผนโดยไม่บอกฉัน ไหนล่ะ ความเชื่อใจ ฉันควรเชื่อใจคู่หูที่ไม่บอกแผนการล่วงหน้าหรือ!”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนสูดลมหายใจลึก เขาพยายามใจเย็นในเวลาเร่งด่วน “ฉันแค่เตรียมของเผื่อไว้เพราะไม่ไว้ใจฆวน แล้วประกาศของตำรวจก็ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจ พวกนั้นรู้แม้กระทั่งป้ายทะเบียนรถเรานิกกี้ นายอาจจะไม่ได้สังเกต แต่ฉันดูอยู่ว่าไม่มีใครมองรถเรานานพอจะจำทะเบียนได้ ฉันเลยนึกแผนใหม่ ทุกอย่างมันกระชั้นจนไม่ได้อธิบาย”

นิโคไลเม้มปาก เขายอมรับว่าได้ยินเลขป้ายทะเบียนรถ แต่พลาดเรื่องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตำรวจควรรู้เลขทะเบียนไหม ซึ่งพลาดก็คือพลาด ไม่ว่าจากการที่ถูกอเลฮานโดรตบจนมึนหรือเพราะเขาตั้งสมาธิกับการเลือกเส้นทางก็ตาม

“ตกลง ฉันผิดเอง ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่” ตาวาวๆ และเสียงดุๆ ไม่เข้ากับคำพูดเลย “อย่างนั้นก็ยิ่งต้องขับรถแยกกัน ฉันจะขับรถเอสยูวี ถ้านายถูก รถคันนี้จะถูกตามล่า แล้วรถนาย...”

ระหว่างทั้งคู่กำลังเถียงกัน เสียงประสานงานของตำรวจผ่านวิทยุคลื่นสั้นดังแทรกขึ้นมา คราวนี้รถต้องสงสัยกลายเป็นสองคันคือคันที่ซาช่าขับออกจากคฤหาสน์ของอเลฮานโดรและเอสยูวีที่จอดนิ่งอยู่ที่บล็อกสามซี

เงียบกันไปอึดใจเดียว นิโคไลก็ทำหน้าโกรธเหมือนแมวโดนเหยียบหาง “ก็ได้!” เขาเอาเสื้อยัดตรงท้องตามที่ซาช่าต้องการแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับรถ “นายถูก นายชนะ”

ซาช่าหลุดขำออกมาในสถานการณ์ตึงเครียด เขามองนิโคไล และบอกด้วยสีหน้ามั่นใจ มันเป็นประโยคที่บ้าพอควร

“ฉันมีแผนพาเราทั้งคู่รอดไปสบายๆ” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดันเกียร์ไปที่ช่อง D

“เราจะผ่านด่านไปดื้อๆ”

นิโคไลมองชุดของตัวเองกับอีกฝ่ายก็พอเดาได้รางๆ

เขาไม่นึกชอบแผนของซาช่าเลยสักนิด!

รถทุกคันถูกโบกที่ด่านสกัดตามที่คาด ซาช่าชะลอความเร็ว จอดและลดกระจกลงเมื่อตำรวจนายหนึ่งให้สัญญาณ เขาโวยวายขึ้นเป็นภาษาสเปนปนอิตาเลียน

“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! พวกคุณจะโบกให้ผมหยุดทุกด่านไม่ได้นะ!”

ชายหนุ่มเอะอะเสียงดังจนนายตำรวจที่ดูอายุยังน้อยนิ่วหน้า ซาช่าบ่นปนด่าเมื่อถูกถามว่ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน

เขาตอบว่าแวะมารับพี่สาวที่ท้องได้ห้าเดือนจากบ้านพี่เขย ไอ้หน้าตัวเมียนั่นซ้อมพี่สาวเขาเป็นกระสอบทราย แดกดันตำรวจว่าแทนที่จะไปจับไอ้พี่เขยเฮงซวยดันมาตั้งด่านไร้สาระ เขาเล่าต่อว่าจะพาพี่สาวกลับบ้านที่อยู่ในย่านคนรวยเมืองทางใต้

ซาช่าพูดรัวเร็วเป็นภาษาสเปนไม่ติดขัดแล้วใส่ท่าทางและอารมณ์เต็มที่ ส่วนบทของนิโคไลหรือ นั่งเป็นหญิงสาวที่ถูกสามีซ้อมไปเงียบๆ เพียงอย่างเดียว

“ผมตอบคำถามคุณพอแล้ว เราไปได้หรือยังคุณตำรวจ!”

นิโคไลเกลียดบทบาทนี้มาก และพาลเกลียดคนข้างตัวไปด้วย ให้เขาไปขับรถของฆวนที่ถูกตำรวจทั้งเมืองไล่ล่ายังดีกว่า!

แต่ในความไม่พอใจ เขากลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าความหดหู่จากการถูกใช้เป็นเครื่องระบายทางเพศหายไป อาจเพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจให้มีเวลาคร่ำครวญด้วยส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าเพราะคู่หูคนใหม่ด้วยอีกส่วน

นิโคไลจึงยอมนั่งก้มหน้าเล่นละครไปกับซาช่า

ตำรวจผู้น้อยคนนั้นยอมปล่อยรถของซาช่าและนิโคไลหลังโดนแผดเสียงว่า ‘เฮงซวย!’ ติดกันเป็นครั้งที่สี่ ซิตีคาร์คันเล็กแล่นออกจากเขตอิทธิพลของอเลฮานโดรโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องออกแรงกันมากนัก

“แสดงละครเก่งนะ” นิโคไลบอกเมื่อออกมาได้แล้ว “ไม่ต้องยิ้ม ไม่ได้ชมนาย”

ซาช่าหัวเราะจางๆ กับท่าทางเหมือนแมวขู่ ซิตีคาร์แล่นไปตามถนนของเมืองทางใต้โดยสะดวก ไม่นานทั้งคู่ก็ถึงคฤหาสน์ของคารินา

“นายอยากทำแผลก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร” นิโคไลถอดชุดน่าเกลียดออกแทบทันทีที่ล้อรถถึงจุดหมาย เขาสวมเสื้อเชิ้ตตัวเก่าของซาช่าพร้อมติดกระดุมลวกๆ เสยผมให้พ้นใบหน้าโดยไม่เกรงว่าใครจะเห็นร่องรอยถูกทารุณกรรม “ฉันจะคิดค่าจ้างเพิ่มจากไอ้นี่” เขาชี้แผลแตกที่มุมปาก “และคารินาต้องมีคำตอบเรื่องคนที่หล่อนส่งมาด้วย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ฆวน!”

ซาช่ามองใบหน้าช้ำๆ ของนิโคไล เขาฉีกชุดคลุมท้องที่นักส่งของอันดับหนึ่งไม่ใส่แล้วเป็นชิ้นขนาดพอดี เปิดประตูรถแล้วราดน้ำจากขวดที่ใส่อยู่ตรงข้างประตู บิดหมาด ก่อนจะหันกลับมาหาอีกฝ่าย

“ไม่ทำแผลก็เช็ดเสียหน่อย” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนแตะคางเนียนแล้วเช็ดเลือดที่แผลตรงมุมปากให้เบามือ

นิโคไลนิ่งไปกับน้ำใจของอีกฝ่าย เขาเชิดหน้าเพื่อให้ซาช่าเช็ดโดยสะดวกพลางหลับตา

เมื่อใบหน้าสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว นิโคไลหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงอิตาลี รายงานผลภารกิจให้เกเบรียลฟัง “ยืนยันว่ากำลังจะส่งมอบของ” เขาถ่ายวิดีโอไลฟ์ภาพคฤหาสน์ของคารินาโดยติดภาพการ์ดชุดดำที่กำลังเดินมาทางรถซิตีคาร์ ตามด้วยไม้กางเขนซึ่งเป็นสิ่งของในข้อตกลง “ตามที่ผมแจ้งไปว่านกต่อของทางนี้เกิดปอดแหก ผมเลยต้องทำหน้าที่แทน เรายังถูกคนของคารินาหักหลัง งานนี้ถ้าไม่ได้คู่หูที่อยู่ข้างๆ ผมจะทำงานลำบาก” เขาให้เครดิตซาช่า

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ เขาไม่แน่ใจหรอกว่าคารินาจะตุกติกอะไรหรือไม่

“เราจะกลับตรงเวลา” นิโคไลกล่าวกับเกเบรียลก่อนวางสาย

นักส่งของทั้งสองลงจากรถแล้วเดินตามการ์ดเข้าไปในภายในคฤหาสน์ ระหว่างทางซาช่าโน้มไปกระซิบกับนิโคไล

“ฉันว่าอย่าเพิ่งโชว์ของก่อนได้พบคารินาไหม” ถึงประโยคจะฟังดูปอดแหกแต่น้ำเสียงของซาช่าฟังดูเย้าแหย่เสียมากกว่า

“ถ้าเขาจะปล้น เขาก็ยิงเราทิ้งตั้งแต่หน้าบ้านแล้ว” ก่อนเข้ามาในคฤหาสน์ ทั้งสองถูกตรวจสอบว่าพกอาวุธหรือไม่ไปรอบหนึ่งแล้ว พวกเขามีปืนที่ได้จากฆวนก่อนเริ่มงาน ซึ่งถูกยึดไปเป็นที่เรียบร้อย งานเสี่ยงอันตรายกระทั่งผู้ว่าจ้างยังเชื่อใจไม่ได้คือโลกที่นิโคไลต้องเผชิญอยู่เป็นประจำ “คลอเดียยังอยู่กับสมาคม ฉันคิดว่าคารินาคงอยากคุยเรื่องลูกสาวมากกว่า”

คำพูดนี้เหมือนคนมองโลกในแง่ดี แต่ไม่หรอก ไม่เลย มันคือหลักประกันความปลอดภัยต่างหาก เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของสมาคมใต้ดินที่กำชีวิตลูกสาวคารินาในกำมือ

ราชินียาเสพติดรอทั้งคู่อยู่แล้ว หล่อนสวมชุดเดรสสีมุกซึ่งตัดเย็บพอดีตัว อวดเนินอกใหญ่ เอวคอด สะโพกผาย นั่งไขว้ห่างอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก ริมฝีปากอิ่มเหยียดเป็นรอยยิ้มสวยร้าย

“ได้ข่าวมาว่าพวกคุณพบปัญหามากมายระหว่างทาง”

คารินาเชิญทั้งคู่ให้นั่งพักผ่อน ก่อนหันไปบอกสาวใช้ให้เตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาเมื่อเห็นสภาพของนิโคไล หล่อนพอเดาได้ว่าสาเหตุมาจากใคร

“สมาคมจะอยากรู้เรื่องคนที่คุณจัดไว้ให้ คุณพลาดถึงสองครั้ง ทั้งเรื่องนกต่อและชายชื่อฆวน” นิโคไลนั่งบนโซฟาตรงข้ามคารินา เขาเอ่ยเป็นการเป็นงานถึงการตลบหลังของฆวน

ไม่มีใครใคร่เห็นนิโคไลทำสีหน้าจริงจังแบบนี้บ่อยนัก มันดูหล่อเหลามากกว่าสวยงาม

ซาช่านั่งลงข้างนิโคไลโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าสวยจัดของราชินียาเสพติด เขายิ้มให้หล่อน ท่าทางดูเจ้าชู้อย่างชัดเจน

“ฆวนทำไปเพื่ออะไร ถ้าเขาเป็นคนของอเลฮานโดรแต่แรก ผมคงไม่รอดตั้งแต่เข้าไปเอาของแล้ว คุณมีคำตอบเรื่องนี้ไหม ตอนนี้ผมสงสัยว่าคุณอาจมีเส้นสายในกลุ่มตำรวจของอเลฮานโดร ถ้าตำรวจจับผมได้แล้วฆวนได้ของ เขาส่งของให้คุณ คุณก็ได้ทั้งของและไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ทางสมาคม เพราะนักส่งของทำงานพลาดเอง”

-------------------------------------------------

A/N เราชอบที่ซาช่าเอาชุดน่าเกลียดมาให้นิโคไลใส่นะคะ แม้นิโคไลเค้าจะไม่ชอบ แต่เราว่ามันช่วยทำให้อารมณ์เขาหายหดหู่ไปได้มากโขเลยค่ะ ;w; ลูกรักของชุ้นนนนนน

ป.ล. บทนี้นิโคไลมาดเข้มตอนท้ายด้วยนะ อิอิ เวลาทำงานเขาก็จริงจังน้า คนนี้ เป็นเด็กดีๆ

ป.ล. 2 ส่วนความเจ้าชู้ของซาช่า เราจะเมินๆ มันไปนะคะ ซาช่าก็เจ้าชู้ตลอดเวลาอยู่แล้วไง!!!
 
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 8-3 [01/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 01-04-2018 23:37:00
Case 8-3

“ข้อกล่าวหาของคุณรุนแรงมากนะ” ดวงตาคมสวยของคารินาปรายมามองนิโคไล หล่อนยังรักษารอยยิ้มและสีหน้าสงบไว้ได้ แม้น้ำเสียงจะเย็นชาก็ตาม

“ฉันไม่แน่ใจว่าฆวนทำอย่างนั้นทำไม มีหลายอย่างที่เป็นไปได้ เงิน ชีวิตครอบครัวของเขา หรืออาจเป็นอำนาจในฝั่งเหนือ” คารินาหัวเราะน้อยๆ แต่ฟังดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลก

“ผมจะรายงานสมาคมตามนั้น” นิโคไลพิจารณา

“ถ้าสมาคมต้องการสอบสวนเขาเพิ่มเติม ฉันจะส่งเขาไปให้หลังเราคุยกับเขาแล้ว” ราชินียาเสพติดมองนิโคไล เริ่มจากดวงตาคู่สวยเหนือไฝน้ำตา ลงไปถึงแผลแตกตรงมุมปาก ดวงตาของหล่อนมีร่องรอยของความเกลียดชังปรากฏชัด มันไม่ใช่ความเกลียดชังต่อนิโคไล แต่เป็นของคนที่ทำให้เกิดแผลนี้

“ถ้าคุณหาฆวนเจอ” นิโคไลหยิบล็อกเกตทองคำออกมา มันเป็นอันเดียวกับที่อเลฮานโดรสวมในภาพที่เขาเคยให้ซาช่าดู

นักส่งของเปิดฝาล็อกเกต ในนั้นมีภาพอเลฮานโดรอุ้มคลอเดียในวัยไม่เกินสองถึงสามขวบ หน้าตาของเจ้าพ่อมาเฟียชาวเม็กซิโกดูรักใคร่บุตรสาวและมีความสุขที่ได้อุ้มเธอ “โลกมันซับซ้อน แต่ผมคิดว่าคลอเดียรักพ่อของเธอมากทีเดียว จากที่มีโอกาสได้คุยกับเธอ ผมไม่ตั้งคำถามกับความรักที่คุณมีต่อลูกสาวเช่นกัน ฉะนั้น ผมเอ่ยด้วยความจริงใจ เราผู้ใหญ่ ทำงานนี้ให้สำเร็จ เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กคนนี้”

สีหน้าของคารินาผ่อนคลายและอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นรูปถ่ายของลูกสาว หล่อนฟังที่นิโคไลพูด และเอ่ยปากคล้ายจะย้ำความคิด

“โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อน และเจ็บปวดเกินกว่าที่จะให้คลอเดียรู้”

หล่อนเรียกบอดีการ์ดให้นำของแลกเปลี่ยนเข้ามา คาริน่าเปิดกระเป๋าหิ้ว ข้างในเป็นทองคำแท่งจำนวนเท่ากับราคาที่ต้องจ่าย

“ค่าตอบแทนของคุณจะส่งถึงสมาคม” นิโคไลพยักหน้าแล้วเก็บล็อกเกต เขาหยิบของที่ต้องส่งให้แก่คารินา “ผมเชื่อว่าคุณรอสิ่งนี้อยู่”

ไม้กางเขนสีเงินสะท้อนแสงภายในห้อง ผิวโลหะอาบไล้ด้วยแสงมอบความสงบและดูศักดิ์สิทธิ์ ทว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ย่อมรู้ว่าไม้กางเขนนี้เปื้อนเลือดมามากมายเท่าไร

ราชินียาเสพติดแลกเปลี่ยนทองคำแท่งและสร้อยไม้กางเขนกับนิโคไล หลังให้คนตรวจสอบว่าเป็นของจริง หล่อนสวมสร้อยไว้ที่ลำคอสีแทนเนียน ใบหน้างดงามมีร่องรอยเป็นมิตรมากขึ้น หล่อนไม่ได้กล่าวถึงเรื่องข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่างที่ตกลงกับทางสมาคมออกมา เมื่อรายชื่อนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ของอเมริกาและแคนาดาจะถูกส่งไปให้ทันทีที่คลอเดีย—ลูกสาวของตนได้ครอบครัวอุปถัมภ์

นี่คือรายละเอียดงานส่วนที่นิโคไลเลือกไม่บอกซาช่า

“ขอบคุณ” คารินายิ้มให้หนุ่มหน้าสวย สายตาของหล่อนมีแววซาบซึ้งไม่น้อยแม้สีหน้าจะดูเย็นชาเช่นเดิม ก่อนถามว่าเขาชื่อนิโคไลใช่หรือไม่ ชื่อเสียงนักส่งของอันดับหนึ่งของสมาคมใต้ดินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คู่ค้า

“ใช่ นั่นเป็นชื่อของผม นิโคไล” ไม่มีการแนะนำนามสกุล แม้ว่านามสกุลเขาจะเป็นที่รู้จักกันในโลกมืด แต่ก็เป็นตระกูลที่หมดอำนาจไปแล้ว

“ตอนนี้คุณไปอาบน้ำแล้วทำแผลเถอะนิโคไล ถือว่ารับน้ำใจจากฉัน” หล่อนแตะแผลถลอกบนข้อมือขาวเนียน “คนของฉันจะไปส่งพวกคุณขึ้นเครื่องบินทันทีที่ต้องการ”

นิโคไลเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าเจ้าบ้านหญิงจะมีน้ำใจขนาดนี้ และปกติเขาทำงานเสร็จก็กลับ ทว่าจากสายตาของคารินา เขาเห็นความจริงใจ “ตกลง ผมรับน้ำใจของคุณเรื่องที่พักและการทำแผล แต่ผมต้องการกลับอิตาลีภายในสองชั่วโมง คุณจัดการได้ไหม”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา” คารินาสั่งคนใช้ให้เตรียมห้องให้แขก หล่อนหันมาพยักหน้าให้นิโคไล “ฉันถือว่าคุณเป็นแขกของฉัน ทำตัวตามสบาย”

ซาช่านั่งเงียบฟังการโต้ตอบของนิโคไลและคารินาอยู่ครู่ใหญ่ เขาหลุบตามองสิ่งที่นิโคไลเอาตัวเข้าแลกมาจากอเลฮานโดรบนลำคอของนักค้ายาเสพติดหญิงผู้เคยมีอิทธิพลที่สุดในอเมริกาเหนือ ก่อนถูกอดีตสามีหักหลัง

เขาเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของคารินาอย่างใช้ความคิด ชายหนุ่มชาวรัสเซียนต้องการเวลาส่วนตัวกับเจ้าบ้านโดยไม่ให้นิโคไลผิดสังเกต

“ซาช่า ไม่ได้คิดจะฟันคู่ค้าหรอกใช่ไหม” นิโคไลกระซิบ

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยิ้มร้าย “ถ้าทำได้ ฉันก็ไม่ปฏิเสธนะนิกกี้”

“ฉันชักสงสัยแล้วว่ารอดด่านตรวจมาได้ นายจะได้กลับอิตาลีแบบครบสามสิบสองไหม” นิโคไลพ่นลมหายใจแล้วลุกไปหาสาวใช้ที่มานำทางเขา เมื่อเห็นซาช่าไม่ยอมลุกตามมาและเจ้าบ้านหญิงไม่ว่าอะไร เขาก็กลอกตา

“อย่าทำให้ฉันต้องรีบหาคู่หูคนใหม่”

นิโคไลไม่อยู่ในอารมณ์จะนึกถึงเซ็กซ์ และเกิดหงุดหงิดที่ซาช่าเอาแต่คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา

ยิ่งเมื่อคารินาไม่ว่า เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินออกไป

ซาช่ามองตามสะโพกนิโคไลจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากสายตา เขาเบือนหน้ากลับมามองคารินาแล้วยิ้ม รอยยิ้มของซาช่าในเวลานี้เปี่ยมเสน่ห์ และมันทำให้ชายหนุ่มชาวรัสเซียนดูเซ็กซี่เย้ายวนใจ

คารินาหัวเราะในคอกับสีหน้าหล่อร้ายของนักส่งของอีกคนที่นั่งเงียบมาตลอดการสนทนา หล่อนขยับขาที่ไขว่ห้าง รอยแยกของชุดเดรสเผยให้เห็นต้นขาแน่นกระชับ

“ฉันคิดว่าสองชั่วโมงน่าจะพอให้เราคุยกันใช่ไหม”

ซาช่าไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนนั้น เขาลุกขึ้นแล้วช้อนร่างของราชินียาเสพติดขึ้นอุ้ม ท่าทางเขาเหมือนพวกชายหนุ่มเลือดร้อน หล่อนหัวเราะและปรามบอดีการ์ดที่ชักปืนออกมา

คารินาลูบมือบนแผงอกแข็งแกร่งเมื่อซาช่ากระซิบข้างใบหู

“ผมมีเรื่องคุยกับคุณเยอะทีเดียว คารินา”

กว่าซาช่าจะตามมาสมทบ นิโคไลก็เตรียมตัวพร้อมกลับอิตาลีแล้ว ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม หัวยุ่งและมีรอยลิปสติกสีแดงเข้มติดทั่วริมฝีปาก แก้มและลำคอ เขายิ้มทักนิโคไล ก่อนจะรีบเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ

นิโคไลไม่พูดหรือทักอะไร เขาไม่อยู่ในอารมณ์จะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคู่หู หรือคนที่เคยนอนด้วยกันเพียงครั้งเดียว

เขาทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงไว้ ยกเว้นเรื่องคู่หูคนใหม่ไปนอนกับคู่ค้า

เขาแค่รายงานกับสมาคมไปตามตรง ไม่มีอะไรที่ต้องทำมากกว่านั้น...ใช่ไหม?

————————————————-

วันต่อมา อิตาลี

ในห้องพักส่วนตัวของนักส่งของอันดับหนึ่งแห่งสมาคมใต้ดิน มีเสียงร้องไห้สลับกับเสียงพูดฟังไม่ได้ศัพท์เป็นภาษารัสเซียแว่วมาจากด้านในห้องอาบน้ำ แต่ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ มันคือคำพูดปลอบใจตัวเองของคนที่กำลังร้องไห้ เสียงที่เปล่งออกมานั้นยากทำความเข้าใจ คล้ายคนที่กำลังระเบิดอารมณ์ไม่ได้ต้องการความเข้าใจจากใครอื่น เขาแค่บาดเจ็บและเจ็บปวด ปวดแผลในอกที่ระบมเพราะถูกทุบตีทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก และกลั่นความไม่พอใจต่อชะตาชีวิต...ต่อคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดเจียนตายออกมาเป็นเสียง

นานทีเดียวกว่าเสียงสะอื้นจะสงบ จากนั้นห้องอาบน้ำก็คลุ้งด้วยควันบุหรี่ คนสูบสูบเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้ และอยากให้ตัวเองถูกกลืนหายไปในกลุ่มควันสีเทา

หลังเครื่องบินถึงอิตาลี นิโคไลไม่กลับบ้านไปหาโรเมโอ แต่ตรงมาห้องพักส่วนตัว เวลาร้องไห้ เขาจะร้องคนเดียว เพราะไม่ต้องการความเห็นใจใดๆ จากใครคนอื่น เขาแค่อยากระบายความทุกข์ที่อยู่ในใจ มันเป็นสิ่งที่ต้องเอาออกเสียบ้างเพื่อให้หัวว่าง

ทุกครั้งที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก นิโคไลจะรู้สึกว่างเปล่า ครั้งนี้ก็เช่นกัน...ทว่ามันเป็นความว่างเปล่าที่ดี

คนในอ่างอาบน้ำเหลือบมองกระบอกเข็ดฉีดยาซึ่งยังมียาบรรจุอยู่เต็มและสายรัดแขน เขาเอาสายรัดรัดแขน หยิบเข็มฉีดยาแล้วหลับตา เอนศีรษะพิงขอบอ่าง น้ำอุ่นทำให้รู้สึกสบายจนคิดว่าหลับไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่เลว

มือที่ห้อยอยู่นอกอ่างของนิโคไลถือเข็มฉีดยาค้างไว้เช่นนั้น

...เหมือนเขาต้องการเวลา

สองชั่วโมงในห้องอาบน้ำผ่านไปโดยไม่น่าใส่ใจ กระทั่งนิโคไลได้ยินเสียงจากโทรศัพท์มือถือ จึงเอื้อมหยิบมันมาดูอย่างขี้เกียจ ชื่อที่แสดงบนหน้าจอพร้อมภาพหมาจิ้งจอกแดงขนฟูทำให้คนหน้าสวยยิ้มแล้วกดรับสาย

“จิล โทรมามีอะไรหรือ ไม่ใช่ฮันเตอร์ไม่เชื่อฟังนายขึ้นมาแล้วนะ” น้ำเสียงของนิโคไลผ่อนคลาย

“นิกกี้! ได้ข่าวว่านายกลับมาแล้วฉันเลยโทรหา ส่วนฮันเตอร์...รายนั้นหงุดหงิดที่มาร์คไม่ติดต่อมาบ้างเลย งานที่บริษัทของเล่นก็ไม่ไปทำ ทุกวันนี้ถ้าไม่ห้ามไว้ก็ไม่รู้จะออกไปทำเรื่องอันตรายอะไรบ้าง” จิลบอก อันตรายที่ว่านี้เขาหมายถึงอันตรายต่อคนอื่นเป็นส่วนมาก

“มาร์คไม่ติดต่อมาเลยหรือ” นิโคไลหลุบตา เขาเริ่มจำไม่ค่อยได้แล้วว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

“ไม่เลย เขาติดต่อนายบ้างไหม”

“ไม่” คำตอบสั้น ง่าย และชัดเจน

“เขาอาจจะ...เอ่อ...อยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ได้นะ!” จิลพยายามคิดในแง่ดี

นิโคไลได้ยินเสียงเห่าร่าเริงจากปลายสายตอบรับเสียงจิล คงเป็นอัลเฟรด—สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่จิลเลี้ยงเหมือนลูก “เมี้ยว” เขาร้องเสียงเบา แล้วเพิ่มระดับเสียง “เมี้ยวๆๆ” นิโคไลคุยกับอัลเฟรด

และเพราะจิลเปิดสปีกเกอร์อยู่ อัลเฟรดจึงเห่าตอบอย่างฉงน

หวา น่ารัก! น่ารักอะไรขนาดนี้ จิลที่ฟังอยู่ถึงกับใจเต้นกับความขี้เล่นของนิโคไล และอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาทันที

“เออ นิกกี้ เรื่องอัลฟีโอ ฉันไปเยี่ยมเขามาตอนนายไม่อยู่ เขาดูไม่ดีเลย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจเหยื่อ...เอ้ย! คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขาดีเท่าไร”

ถ้าเข้าใจ จิลจะอยู่กับฮันเตอร์ได้หรือ

“หรือฉันควรไปหาเขาอีกสักรอบ” นิโคไลเอ่ยอย่างจนใจเหมือนกัน เราไม่อาจรู้ตื้นลึกหนาบางของผู้อื่นได้ทั้งหมด เขาคิดแทนอัลฟีโอว่าควรทำอย่างไรไม่ได้ ความพยายามครั้งที่แล้วยังล้มเหลวไม่เป็นท่า ส่วนสมาคม...สมาคมเก็บอัลฟีโอไว้ตามความต้องการของฮันเตอร์ในทีแรก และต่อมาด้วยคำขอร้องของเขา ซึ่งเป็นการทำเพื่อมาร์คกับตัวอัลฟีโอเอง มาร์คคงเสียใจถ้าอัลฟีโอโดนฆ่าปิดปาก แต่สิ่งที่อัลฟีโอต้องการล่ะ...จะมีใครตอบสนองเขาได้ไหม

อัลฟีโอเป็นเหยื่อในเรื่องนี้ แต่ก็มาจากความตั้งใจปกป้องเขาของแอนทอน แล้วสถานการณ์แบบนี้ควรมีข้อสรุปอย่างไร

“...นิกกี้ นิกกี้ ฟังอยู่หรือเปล่า” จิลเรียกเมื่อนิโคไลเงียบไป

“อ๊ะ อืม ขอโทษที เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” นิโคไลหลุดจากห้วงความคิด

“ฉันบอกว่า ถึงฉันไม่เข้าใจอัลฟีโอ แต่ฉันรู้จักคนที่อาจเข้าใจเขาและช่วยเราได้นะ!”

“ใครหรือ” นิโคไลถามขณะมองเล็บตัวเองไปด้วย การได้คุยกับจิลทำให้เขาผ่อนคลายและกลับมาเป็นนิโคไลคนเดิม

จิลหัวเราะแล้วบอกอย่างกระตือรือร้น “เขาคือฟรานซิส กาลิฟิอานาคิส หรือคนที่พวกนายเรียกว่าสไควร์”

“เอ๋” คราวนี้นิโคไลทำเสียงประหลาดใจ แม้ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ฟรานซิส กาลิฟิอานาคิสเป็นคนที่เขาได้ยินชื่อเสียงและได้ฟังเรื่องราวมาพอสมควร นอกจากเป็นดีไซเนอร์คนโปรดแล้ว...ผู้ถูกกล่าวถึงยังเป็น ‘คนธรรมดา’ ที่มีตำแหน่งสูงในสมาคมใต้ดิน

------------------------------------------

A/N ตอนนี้เราเศร้าค่ะ จริงๆ นิโคไลเขียนยากกว่าจิลเยอะเลยค่ะ เพราะเขามีกรอบที่จำกัดตัวเองไว้หลายอย่าง จะว่าเขาเป็นคนปกติที่เข้ามาอยู่โลกใต้ดินด้วยความจำเป็นก็ไม่ผิดนัก แม้จะเจ้าชู้และชอบขับรถอันตราย อย่างอื่นนิโคไลปกติมาก จะว่าเขาเป็นคนปกติที่สุดในบรรดาตัวละครของเราในซีรีส์นี้ก็ว่าได้ค่ะ

(แน่นอนว่าเรามีตัวละครไม่ปกติเยอะกว่ามาก แง!)

ถ้าเป็นตัวละครที่น็อตในหัวหลุดไปตัวสองตัวแล้วมาเจอสถานการณ์แบบนิโคไล เขาจะรับมือได้อย่างไม่แคร์กว่านี้ค่ะ แต่พอเป็นนิโคไล เขาเลือกสละตัวเองหลายอย่าง และการเลือกทำสิ่งที่คิดว่าดี บางครั้งก็เป็นทางที่ลำบากกว่ามากๆ เลยค่ะ

ป.ล. จำฟรานซิสกันได้ไหมเอ่ย?
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 9-1 [02/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 03-04-2018 02:10:37
Case 9-1

สองวันต่อมา สมาคมใต้ดิน

สมาชิกที่ทำงานให้กับสมาคมจะได้ห้องพักของตัวเองกันคนละห้อง อย่างซาช่าที่ตอนแรกเป็นคู่หูของหมอก็ได้รับห้องพักแบบธรรมดาในอาคารใต้ดินเขตนอก ต่อมาเมื่อทำงานเป็นนักส่งของก็เลื่อนมาอยู่อาคารใต้ดินเขตใน

เขตที่พักอาศัยของคนทำงานและโรงพยาบาลเป็นสถานที่ไม่ต้องสวมหน้ากาก ไม่เหมือนเขตเพื่อความบันเทิงซึ่งมีแขกจากภายนอก หรือ ‘ย่านการค้าและงานศิลปะ’ ซึ่งใช้ติดต่องาน

นิโคไลกดกริ่งหน้าห้องพักของนักส่งของคนล่าสุด แม้ไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะมาหา แต่ได้มีการส่งข้อความจากทีมนักส่งของมาแล้วว่า วันนี้ให้ทุกคนทำตัวให้ว่างและอยู่ในเขตสมาคม

นิโคไลอยู่ในชุดแปลกตา ไม่ใช่แฟชั่นเปรี้ยวจัดของกาลิฟิอานาคิส และไม่ใช่ชุดทำงานรัดกุม แต่เป็นชุดลำลองสบายๆ เสื้อไหมพรมตัวโคร่งแบบปาดไหล่ กับกางเกงยีนขาสั้นอวดเรือนขาอ่อนและรองเท้าบูตสีแดงยาวเหนือเข่า “สวัสดี” เขาทักทายซาช่าด้วยสีหน้าเหมือนแมวหยิ่ง

ซาช่าเปิดประตูห้องพักออกมาแบบมีกางเกงนอนผ้าเนื้อบางตัวเดียว เขาเท้าแขนกับกรอบประตู พลางทักทายนิโคไลด้วยประโยคสุดกวนประสาท

“ตาบวม ไปทำอะไรมา”

นิโคไลขมวดคิ้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหน้าตาตัวเองเรียบร้อยดี แต่ก็ตอบไปอย่างกวนประสาทพอกัน “โดนผึ้งเม็กซิกันต่อย”

“ผึ้งตัวใหญ่” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะ เขาขยับจากประตู เปิดทางให้นิโคไล “มีธุระอะไร หรือนายแวะมารับฉัน”

นิโคไลมองเนื้อตัวซาช่า ตั้งแต่แผ่นอกกว้าง ต้นแขน ไล่ลงมายังหน้าท้องและแนวไรขนสีทองใต้สะดือ ซาช่าเป็นผู้ชายน่ากิน เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคารินาหรือหลายๆ คนถึงไม่ปฏิเสธหมอนี่

คนหน้าสวยชะโงกดูที่วางรองเท้า “ถ้ามีคนอยู่ ฉันไม่เข้าไปก็ได้”

“ไม่มีใครอยู่ เตียงเย็นเฉียบเลยล่ะ” ซาช่าไม่ได้ขยับตัวเมื่อนิโคไลยื่นหน้ามามองชั้นวางรองเท้าที่อยู่ด้านหลังเขา ใบหน้าของนิโคไลจึงเฉียดผิวของคู่หูไปนิดเดียว ใกล้จนได้กลิ่นเหงื่อเจือกลิ่นบุหรี่จางๆ

นิโคไลระบายลมหายใจ ปัดความคิดชั่วแล่นที่วาบขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นกายของอีกฝ่ายทิ้งไป ขณะที่ซาช่ายังไม่ได้อาบน้ำ เส้นผมของนิโคไลหอมด้วยกลิ่นแชมพู วันนี้เขาไม่ได้ใส่น้ำหอม

“งั้นฉันมีของที่ทำให้นายอุ่น” นิโคไลชูขวดคอนยัคสีน้ำเงินเข้มราคาเหยียบแสนยูโรตรงหน้าซาช่า “ฉันให้ ได้โบนัสมานิดหน่อย ขอบคุณเรื่องที่เม็กซิโก”

“โอ้” เขารับขวดเหล้ามาจากนิโคไล พลิกดูปีที่ผลิตแล้วก็ผิวปาก ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรั้งเอวคู่หูมาแนบชิด แล้วจูบแรงๆ บนหน้าผาก

“ของดีแบบนี้ดื่มคนเดียวไม่อร่อย เข้ามาข้างในเถอะน่านิกกี้”

นิโคไลยันอกซาช่าเหมือนแมวขืนตัว “กลัวเข้าไปแล้วไม่จบแค่ดื่มเหล้าน่ะสิ”

ซาช่าหัวเราะท่าทางเหมือนแมวไม่พอใจของนิโคไล เขายอมปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ

“ถ้านายอยากแค่ดื่มเหล้า เราก็จะดื่มเหล้า แต่ถ้านายอยากทำอย่างอื่น…” เขาเว้นช่วงด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบกวนๆ

“น่า ดื่มกันสักแก้ว”

“ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไปอาบน้ำแต่งตัวสิ มีที่อยากพาไป” นิโคไลกอดอก ยืนสะโพกสวยว่าเขาจะรออยู่ตรงนี้ ซาช่าจึงพยักหน้าแล้วผละไปจัดการตัวเอง

เมื่อซาช่าออกมา นิโคไลพาเขาขึ้นลิฟท์ไปบนดิน ผ่านสวนสไตล์อิตาลีไปตามทางเดินปูหินสีขาวเป็นช่องสลับกับพื้นหินกรวดกลมมน ทิวทัศน์ทางซ้ายคือต้นสนไซเปรสเขียวสดเป็นทิวยาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าและหาดทราย ส่วนทางขวาเป็นลานพรรณไม้และกำแพงหินติดรูปปั้นหัวสิงโตกำลังพ่นน้ำ

‘สิงโต’ คือสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและเกียรติยศของ ‘แกรนด์ฟาเธอร์’ ชายผู้ก่อตั้งสมาคมใต้ดินแห่งอิตาลี

หมู่ตึกฝั่งตะวันออกที่อยู่สุดทางเดินมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าตึกโอลิมปัส เพราะเป็นที่อยู่ของคนทำงานระดับสูง อย่างในกลุ่มนักส่งของก็มีเพียงนิโคไลที่ได้ห้องสวีทของที่นี่เป็นห้องพักส่วนตัว

“เพิ่งเคยเข้ามาหรือเปล่า” นิโคไลถามซาช่าระหว่างเดินผ่านการ์ดชุดขาว “หรือมีใครเคยชวนนายมาแล้ว”

“ไม่เคย” ซาช่ายักไหล่ “สักวันหนึ่งมาอยู่ตรงนี้ดีไหม”

“ถ้าชอบ ความสามารถอย่างนายคงทำได้” นิโคไลตอบตามที่คิด ไม่ได้ประชด ส่วนซาช่ายิ้มแล้วถามต่อ

“แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไม หรือชวนมาดื่มที่ห้องนายแทน”

“ก็ใช่” นิโคไลไม่ปฏิเสธ ซ้ำแววตายังเป็นประกาย “เอ้า ถึงแล้ว เปิดประตูสิ นำเข้าไปเลย” เขาหยุดหน้าประตูไม้บานหรูทาสีเขียวอ่อนของห้องพักบนชั้นสามตึกฝั่งหันหน้าเข้าทะเล

“เจ้าบ้านนำก่อนเลยดีกว่า”

“ไม่ นายก่อน” นิโคไลเท้าเอว “ต้องเป็นนาย”

“ไม่ เชิญก่อน” ซาช่าพยักพเยิด

นิโคไลจ้องอีกฝ่าย “ได้โปรด เข้าไปก่อน” เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ได้โปรด’

“เราจะยืนอยู่ตรงนี้กันทั้งวันก็ได้นะ”

“นายเป็นคนอ่านบรรยากาศไม่เป็นหรือแค่อยากกวนอารมณ์ฉัน”

“ฉันไม่ชอบเดินนำ ฉันเป็นฝ่ายซัพพอร์ต จำได้ไหม” ซาช่ายิ้มและเท้าเอวเลียนแบบท่านิโคไล

คนหน้าสวยทำหน้าเข่นเขี้ยว ก่อนจะคล้องแขนซาช่าแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม พวกเขาผ่านประตูเข้าไปพร้อมกัน

“เซอร์ไพรส์! เด็กใหม่!”

เศษกระดาษสีรุ้งแวววาวจากพลุดึงถูกยิงใส่หน้าคู่หูนักส่งของ นิโคไลหลับตาแบบเตรียมใจไว้แล้ว ขณะที่สายรุ้งและกระดาษสียังพุ่งมาไม่หยุด

“เซอร์ไพรส์ๆ! ทำได้ดีมากที่เม็กซิโก! วู้ววว ...อ้าวนิกกี้ ทำไมเข้ามารับน้องพร้อมเด็กใหม่ล่ะ” โซเฟีย หนึ่งในลูกทีมนักส่งของทัก ขณะที่ลูกทีมคนอื่นๆ หัวเราะลั่น

“เพราะหมอนี่ไม่ยอมเข้ามาคนเดียวน่ะสิ และฉันคอแห้งแล้วด้วย” นิโคไลตอบทั้งที่เศษกระดาษสียังติดเต็มเส้นผมและใบหน้า “เลิกยิงได้แล้ว เจ้าพวกนี้!” เขาตะโกนเมื่อมีคนมือดี ยิงพลุกระดาษใส่หน้าซ้ำเติมตอนกำลังพูด

พวกนายควรยิงใส่หน้าคนข้างๆ ฉันนี่ ไม่ใช่ฉัน!

ซาช่าที่เบี่ยงหน้าหลบพลุกระดาษทันกลั้นขำจนไหล่สั่นเมื่อคนอื่นๆ ในทีมหันไปโจมตีนิโคไลแทน ชายหนุ่มจับมือนิโคไลชูขึ้น แล้วค้อมตัวด้วยท่าทางราวกับนักแสดงที่เพิ่งแสดงจบ

นิโคไลสะบัดมือออกแล้วเดินไปเอาเศษกระดาษสีออกจากเส้นผมกับตามเนื้อตัว ระหว่างนั้น คนอื่นๆ เข้ามาห้อมล้อมซาช่า

“นายเจ๋งว่ะ เด็กใหม่” เดมิตริโอ ลูกทีมท่าทางร่าเริงตบหลังซาช่า “พวกเราได้ยินความเจ๋งของนายที่เม็กซิโกมาเยอะเชียว”

“เหล้าที่ถือมานั่นคอนยัคปีหนึ่งเก้าหรือเปล่า ว้าว ยอดไปเลย!” ใครคนหนึ่งพูด

“ก็แค่ช่วยนิโคไลจากพวกเม็กซิกันเจ้าเล่ห์ครั้งเดียว” โซเฟียปราม แต่สีหน้าดูเป็นมิตรมากขึ้น

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทีมนักส่งของอย่างเป็นทางการ” คริสตอฟ คู่หูของโซเฟียยื่นมือให้ซาช่า

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจับมือตอบแล้วกระชับหนักๆ

“ขอบใจ” เขาหันไปทักทายกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอันเป็นเอกลักษณ์

ลูกทีมนักส่งของเคยเย็นชากับซาช่าจริง แต่นั่นเพราะซาช่าเป็นคนใหม่ที่น่าสงสัยและทำตัวกวนประสาท ซาช่าไม่นับเป็นหนึ่งในพวกเขาจนกว่าจะพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งในที่นี้คือภารกิจที่เม็กซิโก การส่งของเป็นงานเสี่ยงตาย คุณไม่รู้ว่าเมื่อได้รับภารกิจแล้วจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า นักส่งของที่ยอมเสี่ยงชีวิตและช่วยเหลือประคับประคองเพื่อนร่วมทีมจึงนับเป็นหนึ่งในทีม

เป็นหนึ่งในครอบครัวของพวกเขา

หลังทักทายและคุยกันไปพักหนึ่งซาช่าก็เปิดขวดคอนยัครินแจกจ่ายให้คนในทีม บรรยากาศในห้องพักของนักส่งของอันดับหนึ่งครึกครื้นจนแทบเรียกว่าอึกทึก

“ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิเด็กใหม่ อยู่นิวยอร์กเป็นยังไง”

“ไม่ เล่าเรื่องแข่งมอเตอร์ครอสส์ดีกว่า”

ชายหนุ่มสองคนแย่งกันพูด พวกเขาคือคู่หูนักแข่งรถ เกรย์และลูคัส

ซาช่าเลยเล่าทั้งสองเรื่องให้ฟัง ท่าทางเขาตอนนั้นผ่อนคลาย นานเป็นสิบนาทีกว่าจะจบเรื่อง

นิโคไลถือแก้วเปล่ามาสองใบ ให้กับตนเองและคู่หู “ดื่มกันสักแก้ว”

“ขอบใจนิกกี้” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรับแก้วมาใบหนึ่ง เขารินเหล้าให้นิโคไลและตัวเอง แล้ววางขวดไว้บนโต๊ะข้างตัว ซาช่าชนแก้วกับคู่หูเบาๆ ดวงตาเขาคล้ายจะนุ่มนวลขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง

“ดีใจที่ได้ทำงานกับนาย”

นิโคไลมองตาซาช่าแล้วสีหน้าอ่อนลง บางส่วนในใจเขาอ่อนยวบ จึงเผลอยิ้มนุ่มนวล “อืม ขอบใจที่ดีใจนะ” เขาค่อยๆ ละเลียดเหล้ารสนุ่มเหมือนจะละลายลิ้น

ด้านข้าง ลูกทีมบางคนชวนกันเล่นน้ำทะเล ไม่บ่อยนักที่พวกเขาได้มาฉลองที่ห้องพักเขตระดับสูง ริมทะเลที่สวยที่สุดของเมืองฝั่งนี้

“ซาช่า เล่นน้ำไหม” ลอเรน สาวสวยประจำทีมและเป็นคู่หูของเดมิตริโอถาม หล่อนมีผมสีน้ำตาลหยักสวยรับกับริมฝีปากอวบอิ่ม

“อีกสักพัก” ซาช่าตอบลอเรน เขาจิบคอนยัคก่อนจะเสริม “ขอดื่มด่ำช่วงเวลาดีๆ กับนิกกี้ก่อน”

ลอเรนฟังแล้วหน้าแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอมองหัวหน้าทีมและคู่หูคนใหม่อย่างใช้ความคิด

“เธอล่ะ นิกกี้” โซเฟียถามบ้าง

“วันนี้ไม่เล่น ยังช้ำจากภารกิจล่าสุดน่ะ” นิโคไลตอบ เขาใส่เสื้อตัวหลวมก็เพราะเหตุนี้

-------------------------------------------

A/N หนักมาแล้วต้องผ่อนคลายกันบ้างเนอะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 9-2 [04/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 04-04-2018 21:17:29
Case 9-2


เหล้าพร่องไปครึ่งแก้ว ไม่รู้ทำไมคนถึงหายไปเล่นน้ำทะเลกันหมด ยกเว้นคริสตอฟที่ออกไปนั่งสูบบุหรี่ ทว่าคอยมองโซเฟีย

“นายบอกว่าอยากดื่มด่ำช่วงเวลาดีๆ กับฉันหรือ” นิโคไลถามเมื่ออยู่กันสองคน

“ใช่”

นิโคไลรู้สึกร้อนที่แก้ม อาจเพราะเหล้าดีกรีแรง และลมก็พัดเข้ามาน้อยไป “รู้ไหม ช่วงเวลาดีๆ ฉันทำอะไร”

“นั่งคุยกัน?” ซาช่าทำตาใส ก่อนจะหัวเราะพร้อมจิบเหล้าจากแก้วในมือหนึ่งคำ เขานึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริงสำหรับงานเลี้ยงในครั้งนี้ และนึกขอบคุณมิตรภาพซึ่งบรรดานักส่งของมอบให้อย่างกะทันหัน

ขอบคุณ...ขอบคุณ ถึงในอนาคตพวกนายจะเกลียดฉันก็ตาม

“คำตอบของนายน่ารักไม่สมกับเป็นคาสโนวาตัวพ่อเลยนะ” นิโคไลพาดพิงเรื่องที่เม็กซิโก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่กล้าขึ้นเตียงกับเจ้าแม่มาเฟียตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

“เอ้า ก็จริงๆ แล้วฉันน่ารัก” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยิ้มตาหยี

“ช่วงเวลาดีๆ ฉันทำแบบนี้” นิโคไลขยับเข้าไปใกล้ เขาเอนศีรษะพิงแขนซาช่าและยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดเข่า ท่าทางสงบเหมือนแมวตัวโตกำลังอ้อนมนุษย์

“โอ๋...เจ้าเหมียวอ้อนฉันหรือ” ซาช่าลูบศีรษะนิโคไล “โอ๋ โอ๋ นิ่งซะๆ”

“เวลาดีๆ” นิโคไลย้ำ “อย่าทำผมฉันเสียทรง”

“มีทรงด้วยหรือนี่” ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะถอนใจยาวและเบือนสายตามองทิวทัศน์

นิโคไลพิงซาช่าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เสียงต่างๆ เหมือนจะหยุดลง เหลือเพียงความสงบระหว่างคนทั้งสอง

“คืนนี้ค้างที่นี่ไหม ฉันอยากมีเพื่อนดูดาว” นิโคไลชวน

“ยินดี” ซาช่าตอบรับ สายตาทอดยาวออกไป เขานึกว่ามีช่วงเวลาไหนที่สงบบ้างในอดีต คำตอบคือช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแม่ อาหารเช้า อาหารเที่ยงและค่ำ เป็นช่วงเวลาที่ได้คุยกันในทุกเรื่อง แม่ชอบปรัชญา ส่วนเขาสนใจการแข่งมอเตอร์ไซค์ เขานึกขำเวลาแม่โยงปรัชญาเข้ากับมอเตอร์ไซค์จนได้ ขณะที่เขาทำเสียงอืม...อืม เหมือนเข้าใจแต่ความจริงคือเขาไม่เข้าใจอะไรเลย

ตลอดชีวิตของชายหนุ่ม เขามีคนที่ผูกพันด้วยไม่มาก นับแล้วก็ได้แค่สามสี่คน แม่ อา กับอาอีกคนหนึ่งที่อุปถัมภ์เขาเรื่องการแข่งมอเตอร์ไซค์ โฮมสคูล และเรื่องอื่นๆ ส่วนคนที่สี่...คนที่สี่

อาจเป็นคนที่ชื่อ ‘นิกิ’ ซึ่งเขาเพิ่งนึกได้ อีกฝ่ายเลือนรางในความทรงจำ แม้กระทั่งในความรู้สึก แต่นิกิยังปรากฏวูบวาบในความคิดเวลาที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ความสัมพันธ์อายุสั้น คนเราก็อย่างนี้ เข้ามาในชีวิตแล้วหายไป บ้างหายไปอย่างหมดจด บ้างหายไปแล้วกลับมาในรูปแบบคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน

“ขอบใจ” นิโคไลพึมพำ ลมเริ่มพัดเข้ามาใหม่ แสงแดดอุ่นและสายลมเย็นช่วยขยับเขยื้อนบรรยากาศให้กลับมามีชีวิตชีวา นิโคไลวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะด้านหน้า เพราะรู้สึกเคลิ้มกับบรรยากาศจนอยากหลับตา เขาไม่ชวนซาช่าคุยอะไรอีก เพียงแค่ฟังเสียงลมหายใจและหัวใจของอีกฝ่าย…

“ซาช่า” นิโคไลพึมพำ ทว่าไม่เหมือนการเรียกหาคนข้างๆ เขาแค่เอ่ยขึ้นนั้นเหมือนหลุดปากออกมา

“หืม” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนก้มมองนิโคไล “ว่ายังไง”

“อา...” นิโคไลกะพริบตา “ฉันพูดอะไรไปหรือ...พักนี้ฉันเลี่ยงหมอซะด้วยสิ” เขาซุกเบาะมนุษย์ด้านข้าง พบว่าแข็งแน่น ไม่น่าซุกเลยสักนิด แต่กลับอุ่นสบาย

“นายเหมือนเรียกฉัน ไม่ฉันก็หูแว่ว”

“ซาช่า” นิโคไลเรียกอีกครั้งและเอนหัวบนตักอีกฝ่าย “ซาช่า ซาช่า ซาช่า” เขาหลับตา ยิ้มเหมือนเด็ก

ซาช่าโคลงศีรษะ ไม่ใส่ใจ เขาจิบเหล้าชมวิวเงียบๆ ปล่อยให้นิโคไลพักผ่อน

และด้วยความแปลกใจของนักส่งของคนอื่นๆ พวกเขากลับมาเห็นนิโคไลนอนหลับสนิทบนตักซาช่า สีหน้าดูสงบสบายราวกับว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งได้นอนพักกลางวันหลังจากเหนื่อยมานาน

———————————————

นิโคไลรู้สึกตัวอีกทีตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เขาไม่ได้นอนดีๆ อย่างนี้มาหลายคืน และยิ่งนอนไม่หลับหลังกลับจากเม็กซิโก เขาไม่คาดว่าตัวเองจะเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้นเมื่อตอนกลางวัน

ขณะที่ซาช่านอนคว่ำ เปลือยอก เสียงลมหายใจดังและสม่ำเสมอทำให้ทราบว่าเขาหลับสนิทยิ่งกว่าเด็กทารก แพขนตาขยับไหวตามการกลอกกลิ้งของลูกตา ชายหนุ่มดำดิ่งในห้วงฝัน เขาฝันถึงสนามแข่ง ถึงปรัชญาและอาหารของแม่ ถึงการย้ายบ้านจากรัสเซียมาสหรัฐฯ ผสมปนเปไม่มีเส้นเรื่อง

นิโคไลแปลกใจที่ซาช่าพาเขามานอนในห้องนอน ซ้ำยังถือวิสาสะถอดเสื้อนอนบนเตียงคนอื่น แต่ใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายยังคงดึงดูดสายตาเขา ความทรงจำที่ขาดหายไปคล้ายได้รับการเติมเต็ม ไม่มีอาการปวดศีรษะยามเผลอนึกเรื่องในอดีตจนต้องใช้ยาฉีดเพื่อบรรเทา

เขาตัดสินใจไม่รบกวนซาช่าและนอนมองเฉยๆ แม้วูบหนึ่งจะนึกอยากจูบริมฝีปากน่าจูบนั้นก็ตาม

ซาช่านอนไปจนพระจันทร์ขึ้นสูงที่สุดบนฟ้า นาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือร้องบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มงัวเงีย ควานมือหาโทรศัพท์มือถือเพื่อปิดเสียงน่ารำคาญ แต่กลับควานพบเส้นผมนุ่ม

“ป—” เขาเกือบหลุดเสียงเรียกหาใครบางคน ทว่ายั้งได้ทัน ในอาการสะลึมสะลือยังมีสติเหลืออยู่ และสติกรีดร้องใส่เขาว่าไม่ใช่คนที่เขาคิด...ไม่มีทาง

“อือ…” นิโคไลคราง เขามองคนข้างๆ จนเผลอหลับไปอีกรอบ “เจ็บนะ”

“อืม” ซาช่ามุดหน้าจมหมอน มือยังไม่หยุดขยุ้มผมนิโคไลเล่น “นุ่ม...นุ่ม”

“หยุดนะ” นิโคไลตะปบมือใหญ่เหมือนแมวขี้โมโห “บอกให้หยุดไงล่ะ”

“หยุดจ้ะหยุด” ซาช่าหันมาหาอีกฝ่าย ยกมือขึ้นพร้อมยิ้มกวนอารมณ์

“ทำอะไรกับเสียงนั่นที” นิโคไลจัดทรงผม พลางมองเวลาจากนาฬิการูปพระจันทร์ตรงโต๊ะข้างเตียง

“เพราะดีออก ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนยันร่างขึ้น แต่แล้วก็ปล่อยตัวลงนอนตามเดิม “อา...ไม่อยากลุก” คราวนี้เอาขาก่ายนิโคไลและเขย่าตามจังหวะเสียงนาฬิกาปลุก

“รู้ไหมว่าตัวหนัก ทำตัวเป็นเด็กยักษ์” ผมนิโคไลกลับมายุ่งอีกรอบ ครั้งนี้เขาเลิกพยายามจัดมันและเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือของซาช่า จับหน้าจอส่องหน้า ‘เด็กยักษ์’ เป็นทำนองให้ปิดเสีย

ซาช่าปิดเสียงนาฬิกาปลุกในที่สุด ก่อนหันมาจั๊กจี้คนที่นอนข้างกาย ปลุกปล้ำแบบไม่กลัวถูกโกรธ

ไม่รู้ซาช่าทราบได้อย่างไรว่านิโคไลบ้าจี้ คนตัวเล็กหัวเราะพร้อมดิ้นไปมา แขนขาป่ายกันอย่างสับสน รู้ตัวอีกทั้งสองก็พัวพันอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หมอนกับผ้าห่มกระจัดกระจายไปคนละทาง “พอๆ ซาช่า พอ!” นิโคไลเอาแขนกันตัวเองเป็นพัลวัน

ซาชาหัวเราะ เขาหยุดพลางเสยผมที่เริ่มชื้นเหงื่อ “ชักจะหิว” ชายหนุ่มพลิกนอนหงาย “เราสั่งอะไรมากินไหม ตอนไปเม็กซิโกยังไม่ได้ลองชิมอะไรสักอย่าง สั่งอาหารเม็กซิกันมาเข้าท่าดี”

นิโคไลที่ไม่ได้หัวเราะเต็มเสียงมานานรู้สึกสดชื่นขึ้น “ไม่ได้กินผู้หญิงเม็กซิกันจนอิ่มแล้วเหรอ” เขากลับมาช่างประชดพลางพลิกตัวนอนคว่ำ เอื้อมหยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่เป็นสายภายใน “อยากกินอะไรล่ะ หรือต้องมีเมนู” คนที่นอนคว่ำถาม บั้นท้ายกลมกลึงและต้นขาเปลือยดูน่ารักน่าฟัด

“นาโช ฉันเคยกินอย่างเดียว อร่อยดี” ซาช่าพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางนิโคไล เขาวางมือบนสะโพกได้รูป

นิโคไลชะงักไปครู่ “นาโชหรือ ได้สิ” ...เป็นเพราะใครบางคนที่ไม่อยู่แล้วก็ชอบกินนาโชเหมือนกัน

“แต่มันไม่อิ่มน่ะสิ อยากได้อะไร ฟูลคอร์ส”

“เชื่อเขาเลย” ความหน้าด้านของซาช่าทำให้นิโคไลหลุดจากภวังค์ เขาตีจมูกหล่อๆ “คิดจะกินฟรีตลอด” เขาหัวเราะและกดสั่งอาหารให้ซาช่ากับเครื่องดื่มให้ตัวเอง เมื่อวางสายก็หันไปรั้งอีกฝ่ายมาคุยกัน “ฉันเกรงว่าวันนี้ฟูลคอร์สจะไม่มี”

“ไม่เข้าใจคำว่า ‘ฟูลคอร์ส’ จริงๆ หรือ” ซาช่าขยำสะโพกนิโคไล ฟูลคอร์สของชายหนุ่มไม่ใช่ฟูลคอร์สแบบที่นิโคไลเข้าใจแน่

ดวงตาคู่สวยเหนือไฝน้ำตาหลุบลง นิโคไลแตะปากกับปากของซาช่าอย่างแผ่วเบา “ฉันชวนนายมาดูดาวจริงๆ นะ” เขากดปุ่มข้างเตียง ครู่เดียวเพดานห้องก็เลื่อนออกครึ่งหนึ่ง เพดานกระจกใสกระจ่างคล้ายกรอบภาพท้องฟ้ายามกลางคืน ดวงจันทร์ฉายแสงจรัสท่ามกลางหมู่ดาว ชวนให้นึกว่าอวกาศอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“สวยไหม ดาวนี่ จะดูจากที่ไหนก็สวยเหมือนกันหมด” นิโคไลมองท้องฟ้าครู่หนึ่งก็หันมาจูบแก้มซาช่า “นายเป็นผู้ชายที่วิเศษ ฉันไม่ปฏิเสธว่าอยากนอนกับนายแม้กระทั่งตอนนี้ แต่ ซาช่า รู้ไหมถ้านอนกันฉันจะนึกถึงอะไร ฉันจะนึกถึงคำพูดของอเลฮานโดรกับมือของมันที่บีบคอฉัน สภาพของฉันที่คลานอยู่พื้นห้องเหม็นกลิ่นอาเจียนของตัวเองหลังถูกเตะที่ท้อง...ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเซ็กซ์เพื่อความสนุกสนานหรือการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ ถ้านายไม่โกรธที่ฉันปฏิเสธ ก็อยู่เป็นเพื่อนอีกหน่อยได้ไหม”

--------------------------------------

A/N หวานๆ นะคะ ตอนนี้ T_T
ป.ล. หลายท่านอาจยังไม่ทราบ ขณะนี้ หนังสือชุด Of Vivid Creatures เล่ม 1-2 มีวางขายแล้วนะคะ ออกกับสนพ. SENSE BOOK วางขายที่ บูธ O-08 ในงานสัปดาห์หนังสือ ถึงวันที่ 8 เมษายน 2561 นี้ และหลังจากนี้จะขายทางปณ. กับสนพ. ค่า
ส่วนที่ลงในเน็ต จะลงจนจบเรื่องโดยไม่ลบ แต่ไม่มีตอนพิเศษ ตอนพิเศษสงวนไว้สำหรับนักอ่านที่ซื้อฉบับรวมเล่มค่ะ (และมันดีงามมากๆ จ้า) หากท่านอ่านแล้วถูกใจ กรุณาซื้อหนังสือเล่มเพื่อสนับสนุนให้นักเขียนสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้นะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 9-3 [05/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 06-04-2018 03:10:56
Case 9-3

มือใหญ่ที่ร้อนจัดเลื่อนจากสะโพกของนิโคไล ซาช่านวดแผ่นหลังอีกฝ่ายแผ่วเบา มือข้างนั้นขึ้นมาถึงบ่า และแตะบนแก้มเนียน

“ไม่เลยนิโคไล ฉันไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียวที่นายปฏิเสธ” สีหน้าและเสียงของซาช่าอ่อนโยนขึ้น เขาเป็นคนแฟร์เซ็กซ์และใส่ใจคู่นอนเสมอ “เซ็กซ์สำหรับฉันคือการที่คนสองคนตกลงจะใช้เวลาและสัมผัสกันและกัน ฉันดีใจที่นายปฏิเสธเมื่อไม่อยากในตอนนี้” ปลายนิ้วของชายหนุ่มชาวรัสเซียนเกลี่ยผมขึ้นทัดใบหู

“แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากบอกนาย นิกกี้ อย่าเก็บคำพูดของอเลฮานโดรมาใส่ใจ สิ่งที่นายทำกับมัน ฉันเรียกว่าความรับผิดชอบและความเสียสละ ส่วนสิ่งที่มันทำกับนาย คือการทารุณกรรม”

นิโคไลยิ้ม “ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยบีบคอฉัน นายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ” เขาพูดถึงครั้งแรกที่ร่วมหลับนอนกัน

ซาช่ายักไหล่ เขาตอบตรงไปตรงมา “ยอมรับว่าบางครั้งฉันควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนัก”

“ทำไมล่ะ” เขาถามพลางเอานิ้วปัดผมจากหน้าผากซาช่า “ก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ ถึงจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้” คำพูดนี้เป็นการชวนคุยเพื่อผ่อนคลายมากกว่าหาเรื่อง

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหัวเราะพลางพลิกลงไปนอนหงายมองดาวข้างนิโคไล “ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นวัยรุ่นอยู่เลย”

“เบญจเพสแล้วต่างหาก” นิโคไลอิงศีรษะชนกับอีกฝ่าย “ยี่สิบห้าปีหรือ...สิบปีที่แล้ว...ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ที่นี่หรอก ยังไม่รู้จักที่นี่เลยด้วยซ้ำ”

“ฉันถามได้ไหม” ซาช่าเอียงหน้าไปมองนิโคไล “ทำไมถึงชอบพูดถึงอดีตนัก ฉันรู้สึกว่านายเจ็บปวดเมื่อนึกถึงอดีต แต่นายก็ชอบพูดถึงมัน”

“เพราะจำไม่ได้น่ะสิ” นิโคไลหลับตา “มีคนคนหนึ่งที่ฉันลืมไป ตอนแรกฉันไม่ใส่ใจนัก ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร แต่พอหลายปีเข้า ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ นายเรียกสิ่งที่อเลฮานโดรทำว่าทารุณกรรมใช่ไหม งั้น...ฉันบอกได้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่ และฉันต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต กับยาที่ต้องใช้เป็นประจำเพื่อให้ลืมคนคนนั้น” เขาลืมตาและหันไปทางซาช่า “ฉันเริ่มสงสัยตัวเองในอดีตแล้วว่ามันคุ้มกันไหมกับการอยู่โดยลืมคนที่พูดถึง มันไม่มีสาเหตุอื่นแล้วหรือนอกจากฉันอยากลืมเขาเพราะรักเขามาก มันฟังดูโรแมนติกสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ด แต่ตอนนี้ฉันสงสัยและติดอยู่ระหว่างกลาง ว่าควรจำได้หรือควรลืม”

“ตามที่ฉันเข้าใจคือ นายพูดถึงอดีตบ่อยๆ เพราะนายจำมันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันนายก็ไม่รู้ว่าควรลืมหรือจำมัน” ซาช่าเลิกคิ้ว “พูดตามตรงฉันไม่ค่อยเข้าใจที่นายพูด การจำได้หรือไม่ได้มีค่าเท่ากัน คือมันเป็นอดีตไปแล้ว”

“ฉันไม่แน่ใจซาช่า แค่เราบอกว่า ‘มันเป็นอดีตไปแล้ว’ มันจะไม่มีอิทธิพลกับเราได้จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราไม่มีอดีตให้จดจำ และไม่มีอนาคตที่อยากสร้างขึ้น ฉันคิดว่าควรจำให้ได้ และเผชิญหน้ากับมัน”

“เราถกกันคืนนี้คงไม่จบ เพราะเรายืนกันอยู่คนละฝั่งความคิด” ซาช่ายิ้มจางๆ “อดีตอาจส่งผลต่อฉันในทางใดทางหนึ่ง แต่ฉันไม่ให้มันมีอิทธิพลเหนือตัวฉันในปัจจุบันหรืออนาคตแน่”

“หรือไม่ก็เพราะนายไม่มีอดีตที่สำคัญจนสามารถส่งผลถึงปัจจุบัน...แต่ช่างเถอะ” นิโคไลไม่ต่อความ แม้คิดต่าง แต่เขาไม่ใช่คนหัวดื้อ การรับฟังมุมมองที่แตกต่างก็ดีกว่าจมอยู่กับความคิดเดิมๆ “ดีใจที่ได้คุยนะ เราควรเปลี่ยนอาชีพไปทำงานนั่งโต๊ะกันไหม พวกงานวิชาการหรืออะไรทำนองนั้น”

“ไม่ล่ะ ถึงนายในมาดศาสตราจารย์น่าจะดูเซ็กซี่ แต่ฉันเกลียดงานวิชาการ”

“ให้ตายเถอะซาช่า นายกล้าดียังไงถึงนึกภาพฉันในชุดเชยบรม” นิโคไลแทบกางเล็บ

ท่าทางฟึดฟัดทำให้ซาช่าหัวเราะเต็มเสียง เขามองนิโคไล ยกมือยีผมอีกฝ่ายจนยุ่ง

ยีผมอีกแล้ว จะยีอะไรนักหนา! นิโคไลข่วนมือซาช่า จากนั้นก็หลุบตา

“ฉันคิดว่า...เราควรลองจูบกันมั้ย ก่อนที่เราจะเริ่มบทสนทนาปรัชญาอีกเรื่องและทำให้มันกลายเป็นการถกเถียงทางจิตวิญญาณ” เขาชวนเพราะรู้สึกดีกับอีกฝ่ายหลังพูดคุยกัน

แทนคำตอบ ชายหนุ่มชาวรัสเซียนประคองใบหน้านิโคไลมาจูบ ริมฝีปากละเลียดบนกลีบปากนุ่ม ใต้ท้องฟ้าที่ดวงดาวระยับ คล้ายความรู้สึกดีๆ ระหว่างซาช่าและนิโคไลจะถักทอขึ้นอย่างเงียบงัน

พวกเขาจูบและจูบ เพียงแค่จูบนิโคไลก็รู้สึกเต็มอิ่ม เขาลูบเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างต้องการทำความรู้จัก ระหว่างกำลังหลับตาและเพลิดเพลินในรสจูบนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น

“รูมเซอร์วิส…” นิโคไลพึมพำ “ยังต้องกินอีกไหม”

“กิน...แต่ปล่อยให้เขารอสักหน่อยก็ได้” ซาช่ามองนิโคไล ยิ้ม...ก่อนประทับจูบอีกครั้ง

———————————————————————-

ไม่รู้เพราะอะไร ช่วงนี้โรงพยาบาลของสมาคมใต้ดินกลายเป็นสถานที่ที่มีคนสุขภาพแข็งแรงเดินเข้าออกบ่อย วันนี้คนสุขภาพแข็งแรงที่ว่าสวมชุดสูทสีแดง หอบช่อดอกไม้สีชมพูน่ารักและกล่องช็อกโกแลตผูกโบสีแดงมาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ป้ายด้านหน้าห้องเขียนว่า ‘Little Miss C. C.’

นางพยาบาลที่อยู่ในห้องหันมองเขาแล้วลอบยิ้มขวยเขิน เพราะชายที่เพิ่งเข้ามามีใบหน้าหล่อเหลาแบบชนชั้นสูงกับรอยยิ้มอบอุ่น หล่อนได้ยินว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนไฟและชอบใช้ความรุนแรง พักก่อนก็ชกต่อยจนได้รับบาดเจ็บแล้วมาอาละวาดในโรงพยาบาล ทว่าไม่เคยมีโอกาสได้พบตัวจริง จึงไม่คิดว่าใบหน้าใต้หน้ากากจะทำให้ใจเต้นแรงเหมือนกำลังมองปีศาจร้ายในคราบเทพบุตร

“สมอลเลดี้” ไพโรอ้าแขนให้เด็กหญิงผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งเล่นแท็ปเล็ตอยู่บนเตียงคนไข้ ข้างเตียงเธอมีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายคนนั้นสวมชุดสูทสีดำและแว่นตากรอบดำ ใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยตามวัยครึ้มด้วยเคราสีเดียวกับเส้นผมสีดอกเลาที่เสยขึ้น เขาคือ ‘รามิเอล’ เทวทูตผู้มีหน้าที่ดูแลเธอซึ่งเป็นบุตรสาวของคารินา คาห์โล—ราชินียาเสพติด

“คุณอา!” คลอเดียวางแท็ปเล็ตเมื่อเห็นว่าใครมาหา คุณอาชุดแดงคนนี้มาเยี่ยมเธอบ่อยๆ เพราะเป็นเพื่อนกับ ‘พี่นิกกี้’ พี่ชายที่พาเธอมารักษาตัวที่นี่

วันที่นิโคไลไปรับคลอเดีย เด็กหญิงไม่ได้สติเป็นส่วนมาก แต่ก็ร้องไห้หวาดกลัวทุกครั้งที่ตื่นมาเห็นผู้ใหญ่ มีเพียงนิโคไลซึ่งรูปร่างเล็กและดูใจดีที่เธอไม่ผวา นอกจากนี้นิโคไลยังคอยเฝ้าเธอเกือบตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน คลอเดียจึงไว้ใจนิโคไลที่สุดในบรรดาคนที่นี่ แต่นิโคไลมักต้องไปทำงานบ่อยๆ เขาจึงแนะนำให้เด็กหญิงรู้จักกับไพโร ผู้รับหน้าที่มาเยี่ยมแทนเขา

และด้วยความแปลกใจของคนอื่นๆ นอกจากนิโคไล ไพโรเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเวลาอยู่กับคลอเดีย เขาทำตัวเป็น ‘คุณอา’ ผู้แสนใจดีธรรมดาๆ คนหนึ่ง

สาเหตุที่ไพโรเข้ากับเด็กหญิงได้เพราะเขาเคยบอกนิโคไลว่า ถ้าวันหนึ่งเขามีลูกกับคนรัก เขาอยากมีลูกสาว จึงใจอ่อนกับเด็กผู้หญิงเป็นพิเศษ

ซึ่งนิโคไลไม่คิดว่าไพโรจะมีลูกจริงๆ หรอก...เพราะอีกฝ่ายไม่มีคนรัก และไม่เห็นเคยรักใคร

อย่างไรก็ตาม ไพโรพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าได้รับความไว้ใจจากคลอเดีย ดูจากที่เธอลงจากเตียงมาโผกอดเขาเวลานี้

“เบาๆ อาไม่ไปไหน” ไพโรหัวเราะ ใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา “หายดีแล้วหรือเรา หายไวอย่างนี้เก่งจังเลยครับ” เขาชม แต่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคลอเดียดีขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการทางการแพทย์ของสมาคมใต้ดิน และเด็กหญิงยังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักพัก

“ยังไม่หายค่ะ ยังอยากได้ของเยี่ยมอยู่” สาวน้อยเชื้อสายเม็กซิกันอ้อนพลางสนอกสนใจกล่องช็อกโกแลตอย่างออกหน้าออกตา

“แล้วกัน แล้วดอกไม้ของอาล่ะ สมอลเลดี้” ไพโรแสร้งทำเสียงน้อยใจ

“ดอกไม้ก็เอาค่ะ!” เธอบอก คว้าช่อดอกไม้มากอดรวมกับกล่องช็อกโกแลต “หอมจังเลยค่ะ คาร์เนชั่นมีกลิ่นด้วยเหรอคะ” คลอเดียสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ อันหวานสดชื่นเข้าเต็มปอด

“ปกติไม่มี แต่อาปรุงกลิ่นนี้ให้หนูโดยเฉพาะ ชื่อกลิ่น ‘Small Lady’ ชอบไหม” อย่างไรไพโรก็เป็นนักปรุงน้ำหอมของสมาคมใต้ดิน ถึงไม่มีเจตนาร้ายกับเด็กอายุเจ็ดขวบ แต่การที่เขาเอาคลอเดียเป็น ‘นางแบบ’ ก็อาจโดนนิโคไลเอ็ดทีหลัง

ทว่าการที่นักปรุงน้ำหอมระดับโลกปรุงน้ำหอมเพื่อเอาใจเด็กหญิงคนหนึ่งโดยหวังเพียงรอยยิ้มของเธอ...ฟังแล้วก็น่ารักดีไม่ใช่หรือ

“ชอบค่ะ!” คลอเดียยิ้มกว้าง แม้อยากเจอพ่อกับแม่ แต่เธอก็ทำตัวเป็นเด็กดีอดทนรอ การได้เล่นกับคุณอาเป็นความสุขอย่างหนึ่งระหว่างนั้น

---------------------------------------

A/N หลังจากนี้ เรื่องราวจะเข้มข้นขึ้นอีกครั้งแล้วค่ะ ;)

หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 9-4 [06/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 06-04-2018 19:32:59
Case 9-4

รามิเอลมองภาพนักปรุงน้ำหอมและเด็กหญิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาหลังกรอบแว่นตานิ่งไม่ยินดียินร้าย ตั้งแต่ได้หน้าที่ให้เฝ้าคลอเดีย เขาก็ทำตามหน้าที่ด้วยการเฝ้าอย่างเดียวจริงๆ ไม่มีการปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ครั้งแรกเด็กหญิงค่อนข้างเกรงรามิเอล แต่พอเวลาผ่านไป เธอก็คุ้นชินในรูปแบบที่คนเราจะคุ้นชินกับเฟอร์นิเจอร์ไร้ชีวิตในห้อง ซึ่งนั่นเป็นลักษณะอันเฉพาะตัวของรามิเอล คนในโลกใต้ดินต่างรู้จักเขาในชื่อ ‘เทวทูตใบ้’

เทวทูตคนนี้เข้าร่วมกับสมาคมเมื่อประมาณสิบห้าปีก่อนด้วยพฤติกรรมแสนเฉพาะตัว—เขาไม่พูด แรกเริ่มเขาเข้ามาในตำแหน่งการ์ดที่ผ่านการทดสอบทางกายภาพและสมองด้วยคะแนนดีมาก เขาเป็นการ์ดที่ไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยทำงานพลาด และไม่มีคำว่าไม่ได้ ตำแหน่งในสมาคมของเขาจึงขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ

มีคนเคยพูดว่ารามิเอลเป็นคนของรัสเซีย แต่แม้ถูกสอบสวน ทรมาน หรือถูกยิงและทิ้งให้ตาย เขาก็คลานกลับมาที่อิตาลีทุกครั้ง

เวลานี้ จู่ๆ แววตาของรามิเอลก็ไหวกระเพื่อมเมื่อบทสนทนาระหว่างหนูน้อยสายเลือดเม็กซิกันและนักปรุงน้ำหอมดำเนินไปถึงเรื่องของครอบครัว

“หนูคิดถึงพ่อกับแม่” คลอเดียว่า

ครอบครัว

ครู่เดียว...แววตาของเทวทูตใบ้กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง

ด้านนอกห้องพยาบาล ซาช่าและนิโคไลกำลังเดินต่อปากต่อคำกันมาบนทางเดินของโรงพยาบาล พวกเขาเพิ่งประชุมเสร็จ และนิโคไลมีธุระต่อที่นี่ ซาช่าก็ตามมา

นักส่งของคนอื่นคล้ายเห็นว่าทั้งสองสนิทกันมากขึ้น

“พี่นิกกี้!” ไพโรเพิ่งวางคลอเดียลงบนเตียงตอนที่นิโคไลเปิดประตูเข้ามา

นิโคไลยิ้มแล้วเข้าไปหอมแก้มเด็กหญิง ปล่อยให้ปากเล็กๆ ระดมหอมกลับ และเมื่อถูกทวงของฝาก เขาก็ล้วงล็อกเกตสีทองออกมา

“พ่อมีสร้อยแบบนี้” คลอเดียตาโต ดีใจมากที่ได้ล็อกเกตทองคำ “นี่เหมือนของพ่อเลย แต่พ่อมีภาพหนูข้างใน” ล็อกเกตที่คลอเดียเปิดค้างไว้ข้างในว่างเปล่า ไม่มีภาพใดๆ

นิโคไลยิ้มน้อยๆ ก่อนหอมกลุ่มผมหยักศกอันฟูนุ่ม จากตรงนี้เขายังมองเห็นรอยแผลที่เพิ่งสมานกันข้างศีรษะเด็กหญิง “เอาไว้...มีภาพที่อยากเก็บไว้ในนี้เมื่อไร ค่อยเอามาใส่นะ”

คลอเดียพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง แขกคนล่าสุดคือหนึ่งในทนายของสมาคม ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องครอบครัวอุปถัมภ์ให้แก่คลอเดีย เขามาพร้อมชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าหล่อราวรูปสลักเดวิดของมิเกลันเจโล สีหน้าของทนายหนุ่มดูฉงนเมื่อพบว่ามีคนอยู่เต็มห้อง ทั้งรามิเอล ไพโร นิโคไล และชายหนุ่มอีกคนที่เขาไม่รู้จักชื่อ

“ผมขอรบกวนเวลาหน่อยนะครับ พอดีคุณผู้ชายท่านนี้อยากพบคุณหนูคลอเดียเป็นการส่วนตัว” ระหว่างพูดประโยคนั้น สายตาของทนายหนุ่มมองไปที่รามิเอลซึ่งนั่งกอดอกอย่างเฉยชาอยู่ในท่าเดิมเป็นการขออนุญาต เทวทูตใบ้พยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผายมือไล่ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ

กระนั้นก็ไม่มีใครขยับ รามิเอลชินแล้วกับพฤติกรรมของคนในโลกใต้ดิน แต่อย่างไรเสีย การเชิญของเทวทูตต้องเป็นผล

ไพโรยักไหล่ ทำท่าจะออกไปตามที่ถูกเชิญ ทว่านิโคไลไม่ขยับตัว และเมื่อนิโคไลไม่ขยับตัว ไพโรก็ไม่ไป ส่วนซาช่าน่ะหรือ...

ไม่ออกไปเหมือนกันเพราะรอตามน้ำนิโคไล

“สวัสดีคลอเดีย” ชายที่มาพร้อมทนายของสมาคมทักทายเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของเธอ และหยิบตุ๊กตาหมาฮัสกี้นอนตัวยาวขึ้นมาจากถุงกระดาษ “ฉันเอาตุ๊กตาที่เธออยากได้มาให้”

“เย้!” เด็กหญิงรับตุ๊กตาก่อนโถมตัวจากเตียงใส่ร่างสูงใหญ่ที่อ้าแขนรับ เธอเรียกเขาว่าอเลสสิโอ และหลับตาพริ้มเมื่อเขาประทับริมฝีปากบนหน้าผาก

“เด็กน้อยของฉันเป็นยังไงบ้าง วันนี้มีคนมาเยี่ยมเธอเยอะ ยังอยากให้ฉันเล่านิทานให้ฟังหรือเปล่า” อเลสสิโออุ้มเด็กหญิงเข้าเอวแบบไม่กลัวสูทยับ ทั้งคู่เจอกันมาหลายครั้งแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายวัยกลางคนเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคม เขาติดต่อขอเป็นผู้อุปถัมภ์คลอเดียหลังข่าวประกาศออกไปในวงจำกัด การดำเนินการเป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบประวัติ เมื่อผ่านแล้วทนายจะนำผู้อุปถัมภ์มาเจอกับเด็กเพื่อดูว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิดของทนายและเทวทูตผู้ดูแล ซึ่งอเลสสิโอเข้ากับคลอเดียได้เป็นอย่างดี

“หนูอยากฟังนิทานของอเลสซี” คนโดนเรียกหัวเราะจนตาระยับเมื่อถูกเรียกสั้นๆ

“ได้สิ” ชายหนุ่มจูบขมับคลอเดียแผ่วเบา

นิโคไลมองทนายและผู้อุปถัมภ์ ดวงตาเขาหลุบลง อันที่จริงเขาเคยพยายามยื่นคำทัดทานผ่านเกเบรียลว่า ไม่อยากให้อเลสสิโออุปถัมภ์คลอเดีย แต่เหตุผลของเขาไม่สามารถใช้เป็น ‘ข้อคัดค้านอย่างเป็นทางการ’ เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์

นิโคไลมองไพโร อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากพูดว่า ‘ปล่อยมันไปเถอะน่า’ แล้วก็เปลี่ยนเป็นระอาเมื่อนิโคไลเอ่ยกับอเลสสิโอว่า “ไหนๆ ก็ได้มาเจอกันแล้ว ผมอยากคุยกับคุณโดยมีทนายกับเทวทูตเป็นพยานได้ไหม ‘ปาปา’ ”

“ได้สิ” อเลสสิโอยิ้ม “เดี๋ยวนี้เลยหรือ”

“สมอลเลดี้ ผู้ใหญ่เขาจะคุยความลับกัน เราออกไปเล่นข้างนอกกันดีกว่า” ไพโรยิ้มกว้างและยื่นมือให้หนูน้อย

ซึ่งนั่นทำให้ซาช่าอยากหัวเราะ โถ...พ่อคนดี รักเด็กน้อย แต่ให้หมาล่าเนื้อหน้าคลับกัดเมีย

“ไม่...ไม่เป็นไร ฉันออกไปคุยดีกว่า ที่นี่คลอเดียเป็นเจ้าบ้าน” อเลสสิโอวางมือบนศีรษะของเด็กหญิง

“ขอบคุณครับ” นิโคไลน้อมศีรษะ

“เดี๋ยวปาปากลับมาเล่านิทานให้หนูฟัง” อเลสสิโอเอ่ยกับคลอเดีย ก่อนผายมือให้นิโคไลนำไปก่อน

“เขาห้ามสูบบุหรี่ในโรงพยาบาล แต่ฉันต้องการสักตัว จะว่าอะไรหรือเปล่าถ้าเราทั้งหมดเดินไปที่เขาจัดไว้”

“เชิญ ผมรู้จักระเบียงทางเชื่อมเงียบๆ ที่สูบบุหรี่ได้” นิโคไลนำทาง

จากชั้นใต้ดินขึ้นมาด้านบน เมื่อถึงจุดหมาย เขายืนข้างอเลสสิโอ มองทิวทัศน์ท้องฟ้าสีครามในวันแดดแรงไปพร้อมกัน โดยมีรามิเอลและทนายของสมาคมยืนด้านหลัง

“ผมได้ยินมาว่าคุณเลี้ยง ‘สุนัข’ ” นิโคไลเปิดประเด็นเมื่ออีกฝ่ายหยิบบุหรี่ “น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ได้เป็นผู้อุปถัมภ์”

“มีอยู่สองตัว เกรทเดน” อเลสสิโอจุดไฟแช็กลนปลายบุหรี่ที่กลัดในริมฝีปาก ชายวัยกลางคนสูบควันลึกก่อนระบายควันเป็นสายยาว ควันย้อมสีของนัยน์ตาให้ดูอ่อนลงทว่าลึกลับขึ้นอย่างอัศจรรย์

“ ‘เจ้าของ’ ผมเขามีสิบสองตัว ไม่รวมผม คนเลี้ยงสุนัขเหมือนกัน ก็เคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง ผมจึงรู้ว่าคุณมีสุนัข” ‘สิบสอง’ เป็นเลขเฉพาะตัว มีชายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงสุนัขถึงสิบสองตัว และจะเป็นสิบสองตัวเสมอ นิโคไลเป็นสัตว์เลี้ยงก็จริง แต่ไม่ใช่ ‘สุนัข’ ของชายคนนั้น

“ไม่ ฉันไม่แน่ใจ” อเลสสิโอขมวดคิ้ว “เราจะคุยกันเรื่องนี้หรือ สุนัข?”

“คนอยู่ในสมาคมเหมือนกัน ไม่ต้องเกรงใจกันก็ได้ครับ” นิโคไลหันมายิ้ม “ผมก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน เพราะกับผู้ใหญ่อย่างคุณ ผมเล่นเล่ห์ตามไม่ทัน คุณเลี้ยงสุนัข หรือจะบอกว่า คุณเลี้ยง ‘เด็ก’ ให้โตมาเป็นสุนัข ผมรับรองว่าผมรู้จักขั้นตอนการเลี้ยงเด็กให้โตมาเป็นสุนัขดี ไม่ว่าจะด้วยความรัก ความไว้ใจ หรือใช้สิ่งที่ตรงข้ามกัน ผมจึงคัดค้านที่คุณรับดูแลคลอเดีย”

“ฉันเลี้ยงสุนัขที่เป็นสุนัขจริงๆ เกรทเดน อย่างที่เพิ่งบอกไป ส่วนการเลี้ยงคนแท้ๆ ให้เป็นสุนัข ฉันไม่นิยม” อเลสสิโอมองตานิโคไลตรงๆ เพื่อแสดงความจริงใจ

นิโคไลไม่หลบตา เขาจ้องกลับเหมือนอิคารัสผู้ไม่กลัวดวงอาทิตย์ “เจ้าของผมบอกอีกอย่าง และผมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดี ผมเชื่อเขามากกว่าคุณ สัตว์เลี้ยงเชื่อเจ้าของอย่างไม่มีข้อแม้อยู่แล้วครับ”

“เธอจะเค้นเรื่องที่ฉันบอกว่าไม่มี ไม่ใช่ ไปทำไมหรือ…”

ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากัน เทวทูตยืนฟังอย่างรูปสลัก และทนายเริ่มควานหาบุหรี่จากกระเป๋าอกเสื้อออกมาสูบบ้าง

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เค้นหาความจริง ผมแค่จะบอกคุณว่า ถึงผมห้ามคุณรับคลอเดียไปอุปถัมภ์ไม่ได้ แต่ผมทำอย่างอื่นได้”

“ที่รัก...ถ้าเธอสืบประวัติฉัน เธอจะพบว่าฉันเสียลูกสาวและภรรยาไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์” อเลสสิโอยิ้ม แต่ดวงตากระด้าง ภาพที่เขากอดศพลูกสาวในห้องชันสูตรยังติดตาเขาอยู่

“เธอชื่อจอร์เจีย อายุหกขวบ กำลังจะเจ็ดขวบในอีกสัปดาห์”

ชายวัยกลางคนสูบควันเฮือกใหญ่

“ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ แม้ผมนึกว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมดา’ สำหรับทุกคนในโลกใต้ดิน”

“ใช่...แต่ฉันห้ามความโศกเศร้าเสียใจไม่ได้หรอก” อเลสสิโอไม่พูดอะไรแม้นิโคไลกำลังเสียมารยาท อีกฝ่ายยังเด็ก สำหรับเขา...เด็กมีสิทธิ์ที่จะเกรี้ยวกราด เด็กมีสิทธิ์ที่จะซื่อตรง

นิโคไลย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังเสียมารยาท แต่เขาทำมันด้วยความตั้งใจ และค้นพบว่าชายคนนี้มีความสามารถในการควบคุมตัวเองดีทีเดียว

-------------------------------------------

A/N ในที่สุด ทั้งสองฝั่งก็มาปะทะกันแล้วค่ะ :) เอาใจช่วยนิโคไลด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 9-5 [07/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 07-04-2018 20:46:03
Case 9-5

“เธอเป็นห่วงคลอเดีย ฉันเข้าใจว่าทำไมถึงอยากคุยให้แน่ใจ แต่ก็แปลกที่เธอให้ความสำคัญกับคลอเดียเป็นพิเศษ ถ้าฉันถามกลับบ้างล่ะ ทำไมเธอถึงผูกพันกับคลอเดียนัก”

“ไม่ คุณไม่เข้าใจ ว่าผมทำอะไรได้บ้าง” นิโคไลฉีกยิ้ม เขาเลือกตอบคำถามบางส่วน ความรู้สึกปวดศีรษะจี๊ดเหมือนถูกเข็มเป็นพันเล่มแทงกลับมาอีกระลอก

อเลสสิโอถอนใจ “เธอจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของบทสนทนานี้ พูดตามตรงอย่าถือโกรธกัน”

“จุดประสงค์ของบทสนทนานี้คือ ผมเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อคลอเดียไปอยู่กับคุณ ชีวิตเธอไม่มีทางดีขึ้นกว่าตอนอยู่กับพ่อหรือแม่ของตน”

“เธอไม่น่ารักเอาเสียเลย ฉันรับคลอเดียเพราะฉันชอบสาวน้อยคนนี้จริงๆ”

“หรือไม่คุณก็รับเลี้ยงเด็กที่เบื้องหลังมีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าอยากรับเลี้ยงเด็กหญิงสักคนละก็ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่รับดูแลเด็กคนอื่นล่ะ”

อเลสสิโอไม่พูดอะไรอีก ป่วยการจะพูด เขาให้นิโคไลกล่าวหาได้ตามต้องการ นึกขำกับคำถามเสียอีก ทำไมน่ะหรือ...ไม่มีเหตุผลนอกจากความประจวบเหมาะ ไม่มีเหตุผลนอกจากเวลามองดวงตาใสๆ และแก้มกลมอิ่มทำให้หวนคิดถึงสาวน้อยคนหนึ่งที่จากไปก่อนวัยเหมาะสม หากจอร์เจียยังอยู่ ตอนนี้เธอจะมีอายุสิบเจ็ดปี อยู่ในวัยต่อต้าน อาจไม่รักพ่อ อาจหนีออกจากบ้าน ทำอะไรๆ ที่วัยรุ่นควรทำ อาจสูบกัญชา อาจมีแฟนหนุ่มคนแรก คนที่สองหรืออาจสาม ความคิดเหล่านี้ทำให้อเลสสิโอเหม่อลอยชั่วขณะ

นิโคไลปวดหัวจัด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกำมือ “ผมเสียมารยาทจริงๆ เอาล่ะ ทำให้มันสั้น ชื่อของผมคือนิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟ คุณไม่รู้จักสกุลเกราซิมอฟก็ไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อว่าเทวทูตและทนายรู้จัก เราโด่งดังมากทีเดียวเมื่อหลายปีก่อน”

“ฉันรู้จักเธอ ทำไมจะไม่...ฉันรู้จักภูมิหลังของใครหลายคน”

“ดีครับ เราถูกซิมาฆ่าล้างบ้านเมื่อหลายปีก่อน มีแค่ผมกับน้องชายรอดมาได้ ตอนนั้นน้องชายผมอายุแปดขวบ คุณรู้ไหมว่าผมทำยังไงกับคนเลวที่สั่งฆ่าเด็ก”

“พูดเถิด พูดแบบที่อยาก” อเลสสิโอผายมือ เขาดับบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนกับถาดทราย

“ศพมันไม่มีหน้า เพราะผมขอให้เขาเอากลับมา ผมอยากเห็นความตายของมัน” ในหัวนิโคไลเหมือนมีอะไรขาดผึง เขารู้สึกแย่และอยากอาเจียน “ผมจะจับตาดูคุณ และ ‘คนของคุณ’ เท่านี้แหละที่ผมอยากบอก”

อย่างที่อเลสสิโอบอก ทำไมนิโคไลถึงให้ความสำคัญกับคลอเดียเป็นพิเศษน่ะหรือ...เขาไม่ได้ตอบออกไปตามตรงว่า ‘แล้วการปล่อยเด็กไปอยู่กับคนที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ประโยชน์จากเด็ก เป็นสิ่งที่ควรมองข้ามหรือ’

อเลสสิโอน้อมศีรษะรับ เขามองไปยังทนายและเทวทูต ยิ้มให้คล้ายขออภัยที่มาเสียเวลา

“ถ้าเธอไม่ว่าอะไร จะได้เวลาเล่านิทานให้ลูกสาวฉันฟังแล้ว”

“เชิญ” นิโคไลไม่ไปส่ง

และพออยู่ตามลำพัง นิโคไลพบว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่

มาร์ค แอนโธนี

——————————————-

“ไม่เจอกันนาน” มาร์คยิ้มอ่อนโยนให้นิโคไลเช่นเคย

สิ่งที่เปลี่ยนไปคงเป็นแค่ดวงตา...ที่มีสีแดงซ้อนจางๆ

“คุณกลับมาตอนไหน” นิโคไลหาคำพูดไม่เจอไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนฝันไป

“ไม่นาน อาจเรียกได้ว่าเมื่อสักครู่” มาร์คตอบคำถามนิโคไลแล้วดึงอีกฝ่ายมากอด “คุณดู…” มาร์คหาคำพูด “ไม่ดี”

“ได้ยินแค่ไหน...เมื่อกี้” นิโคไลไม่แน่ใจว่าเขาดู ‘ไม่ดี’ ขนาดไหน มาร์คจึงถึงกับเอ่ยปาก เขายังรู้สึกตัวแข็งเป็นหิน แม้อ้อมกอดจะอบอุ่น

มาร์คส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ เขาลูบหลังปลอบโยนอดีตคนรัก พาโยกเบาๆ คล้ายพาขยับเต้นรำ

“จริงหรือ” นิโคไลถามเหม่อลอย อาการปวดหัวมาจากการนึกถึงอดีตที่ถูกฆ่าล้างครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“จริง” มาร์คกระซิบข้างขมับของนิโคไล “เราไปหาที่นั่งพักก่อนไหม”

“อืม...ขอผมส่งข้อความก่อน” นิโคไลหยิบมือถือมาพิมพ์ข้อความและส่งออกไปสองฉบับ ถึงไพโรและซาช่าว่าเขามีธุระ ไม่ต้องรอกลับไปหา

ทั้งสองนั่งตรงเก้าอี้มุมหนึ่งของลอบบีประชาสัมพันธ์

“คุณหาผมเจอได้ยังไง”

“ผมโทรถามจากจิล เขาคิดว่าคุณน่าจะอยู่ที่นี่ผมเลยลองมาดู” มาร์คเลื่อนมือไปกุมมือนิโคไล บีบกระชับแผ่วเบาเพื่อส่งผ่านความห่วงใยไปให้ เขามองสบดวงตาของอดีตคนรักก่อนถาม

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

นิโคไลนิ่งไปครู่ เขาไม่รู้จะตอบมาร์คอย่างไร จะบอกว่าหมู่นี้ปวดศีรษะเป็นพักๆ เขาก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไรและรู้ทางแก้ไขดีอยู่แล้ว

...เพียงแต่ไม่คิดแก้ไขเท่านั้นเอง

“ไม่ค่อยดี แต่ผมคิดว่ารับมือได้” นิโคไลเลือกตอบอย่างคนเข้มแข็งควรทำ เขาไม่คิดว่ามาร์คควรรับปัญหาเพิ่มอีก “คุณกลับมาเพราะพบทางแก้ปัญหาของคุณแล้วหรือ” เขาถามเพราะก่อนหายตัวไป มาร์คบอกจะไปรักษาโรคหลายบุคลิก

“ใช่ การรักษาจบสิ้นแล้ว” มาร์คยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม “และผมตัดสินใจกลับมาที่นี่ เพราะคุณ”

“เพราะผม?” นิโคไลคิดว่ามาร์คมีบางอย่างต่างจากเดิม “ทำไมคุณทำให้ผมนึกถึงตอนที่แอนทอนบอกผมว่า ‘ฉันจะตื่นขึ้นมาอีก’ นะ” เขาส่ายหน้า “ถ้าคุณโกรธผมบ้าง หรือแสดงออกว่าโกรธ ทุกอย่างน่าจะง่ายกว่านี้”

“มันจะง่ายกว่านี้ยังไงนิกกี้”

“เพราะ…” นิโคไลกำลังจะตอบ ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ เขาค่อยๆ ดึงมือออกจากมือมาร์ค “ปกติคุณไม่ถามกลับ แปลกจริง…”

“ผมสงสัยก็ถาม แปลกตรงไหนหรือ” มาร์คปล่อยให้นิโคไลดึงมือกลับ เขายังมองดวงตาคู่สวยนิ่ง “ผมอยากเข้าใจอะไรให้มากขึ้น”

“ปกติคุณไม่รุกผมด้วยคำถาม แต่คุณจะยอมถอยไปเงียบๆ” นิโคไลลุกยืน “แบบนี้แหละ ที่มันจะง่ายขึ้น คุณแสดงอารมณ์จริงๆ ของคุณนอกจากยิ้มและให้อภัย ถ้าคุณสามารถโทษผมและการกระทำที่ผ่านมาของผม ว่าผมเองที่ผิด และผมเองที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับคุณ ผมคิดว่าคุณจะก้าวต่อไปได้แล้ว มาร์ค”

“ไม่เลย จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่เคยโทษว่ามันเป็นความผิดของคุณ” มาร์คส่ายหน้าช้าๆ “ผมให้อภัยและยอมรับคุณเสมอเพียงแค่อยากรู้อะไรให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมเข้าใจคุณเพราะผมเป็นจิตแพทย์ ทั้งที่ความจริงแล้วผมละเลยสิ่งพื้นฐานคือการพูดคุย ถามคำถามหรือบอกสิ่งที่คิด”

สีหน้าของนิโคไลทะมึน “มันเป็นความผิดของผมที่เป็นคนของโลกใต้ดินแต่ยังไปแต่งงานกับคนปกติ”

“พูดต่อเถอะนิกกี้ อย่าเพิ่งตัดสินถูกหรือผิด ผมรอฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของคุณ”

“ผม...ส่งภาพพวกนั้นไปให้คุณเอง” นิโคไลรู้สึกอยากบุหรี่จนคอแห้ง “จำได้ไหม ภาพนอกใจของผมที่คุณได้รับ มันเป็นภาพจริง ผมส่งไปเพราะอยากหย่า คุณไม่รู้ว่าตัวเองแต่งงานกับคนแบบไหนด้วยซ้ำ และผมเบื่อจะแสดงเป็นคนปกติ ผมอุตส่าห์ทำให้มันจบแบบธรรมดาแล้วเชียว แต่คุณ...คุณเอาตัวเองเข้ามาในโลกนี้...จากไป...แล้วก็ยังกลับมาอีก”

มาร์ควางมือบนบ่าของนิโคไล เขามองตาอดีตคนรัก “แล้วอย่างไรต่อนิกกี้ มีอะไรที่ผมควรรู้อีก”

นิโคไลปัดมือมาร์คออก “ผมคิดว่าคุณควรไปให้พ้น มาร์ค และเลิกยุ่งกับผม!” ตอนตะโกนออกมา นิโคไลรู้สึกเหมือนพ่นเอาสติสุดท้ายของตัวเองออกไปด้วย เขาหอบหายใจแรงแล้วเอามือกดหน้าอกตัวเอง

เขาทำอะไรอยู่! อาการของเขาจู่ๆ ก็แย่ลง...ทั้งที่ปกติเขาจะระบายความโกรธเกรี้ยวในที่ที่ไม่มีใครเห็นแท้ๆ

มาร์คไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อเห็นนิโคไลอาการไม่ดี ชายหนุ่มหยิบถุงพลาสติกเล็กๆ ที่พกติดตัวเป็นนิสัยออกมาครอบบนจมูกและปากนิโคไล

“ไม่! ไปให้พ้นหน้าผม” นิโคไลสั่ง ปัดมือมาร์คเป็นพัลวัน

จิตแพทย์หนุ่มรวบตัวอดีตคนรักไว้ในอ้อมแขน การกระทำของมาร์คยังคงนุ่มนวล แต่มีความดุดันและบังคับเพื่อให้นิโคไลสงบ

“ชู่ว นิกกี้ นิ่งเสีย” เขากระซิบราวกับกำลังปลอบสัตว์เล็กๆ ที่บาดเจ็บ มาร์คกดปากถุงบนตำแหน่งที่จะช่วยให้อีกฝ่ายหายใจคล่องขึ้น

“หายใจช้าๆ”

นิโคไลยังพอมีสติทำตามที่บอก เขาทรมานและต้องการรู้สึกดีขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจตัวเองได้แล้ว มือที่เกร็งก็ค่อยๆ คลายออก น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย เขาแตะมือมาร์คให้ปล่อยตน

“ผมไม่อยาก...รู้สึก...แย่...กับตัวเอง...ไปมากกว่านี้ ได้โปรด...ให้ผม...อยู่...คนเดียว...เถอะ” นิโคไลพูดกระท่อนกระแท่น

“ผมก็ไม่อยากรู้สึกแย่กับการปล่อยคุณไปอีกแล้ว นิโคไล” เขาลูบปลอบบนแผ่นหลังที่ยังสั่น

“ให้ผมไปส่งคุณนะ ได้โปรด”

นิโคไลเห็นสีแดงในดวงตาของมาร์คเรืองขึ้น...เขาจับมืออีกฝ่ายอย่างจนปัญญาปฏิเสธ “อย่าบอกโรม...ไม่กลับบ้าน ผมมีห้องพัก...ในสมาคม”

“ตกลง” มาร์คพยักหน้า เขาวางมืออีกข้างบนเอวนิโคไล ดวงตาสีแดงจางลง เขายังคงอ่อนโยนกับอดีตภรรยาเสมอ

------------------------------------------------

A/N แบบว่าตอนมาร์คกลับมานี่แทบจะร้องไห้ค่ะ แบบว่า มาร์ค กลับมาแล้ว มาร์ค แงงงงง มาร์คคคค ซบบบบบบหน่อยค่ะ! /เนียน อิอิ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 10-1 [9/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 10-04-2018 00:42:06
Case 10-1

นี่คือเหตุการณ์ก่อนที่มาร์ค แอนโธนีจะกลับมาหานิโคไล

การเดินทางมาบ้านของศาสตราจารย์อาร์มานีครั้งที่สองใช้เวลาน้อยกว่าครั้งแรกเพราะมาร์คจดจำเส้นทางและบ้านหลังที่เป็นจุดหมายในกลุ่มบ้านเรือนสีขาวได้ขึ้นใจ

เช่นเดิม ประตูบ้านของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเปิดต้อนรับก่อนเขาจะได้กดกริ่งราวกับอีกฝ่ายรับรู้การมาเยือนของเขาด้วยอำนาจวิเศษ ศาสตราจารย์อาร์มานีอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เหมือนเคย ใบหน้าซึ่งยังมีเค้าหล่อคมคายระบายรอยยิ้มใจดีให้

“แวะดื่มชากันสักหน่อย” อีกฝ่ายพูดแล้วเดินนำเขาไปที่ครัว เหมือนครั้งแรกไม่มีผิด

อาร์มานีต้มน้ำ เขาหยิบซองชาจากกล่องที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ในครัว ไม่นานกาก็ส่งเสียงหวีด ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ราดน้ำร้อนอุ่นแก้ว จากนั้นวางซองชาและรินน้ำตาม

“ชานี่ผมเบลนเอง มีรสเบอร์รี่หน่อยๆ” เขาเลื่อนแก้วชาให้มาร์คอย่างมีน้ำใจ

“ขอบคุณครับ” จิตแพทย์หนุ่มยกแก้วชาเป่าแล้วจิบ รสหอมของเบอร์รี่อวลในปากและจมูก ชามีรสเฝื่อนประหลาดแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแย่

“เราต้องขับรถจากที่นี่ไปสามสี่ชั่วโมง” เสียงนุ่มเนิบของศาสตราจารย์อาร์มานีคล้ายดังจากที่ไกลๆ มาร์คพบว่าตัวเองกำลังจะวูบ แต่มือแข็งแรงข้างหนึ่งรับเขาไว้

“ผมจะขับรถให้ ไว้ใจผมแล้วหลับเสียมาร์ค”

แบบนี้ไม่แรงไปหน่อยหรือ...มาร์คขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบใจแต่ไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้ภายใต้สภาวะนี้ แม้แต่เปลือกตาของตัวเองก็ไม่อาจฝืน มันปิดเข้าหากันช้าๆ ภาพสุดท้ายก่อนหลับใหลคือภาพศาสตราจารย์วางมือบนดวงตาเขาด้วยความนุ่มนวล

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยุงร่างของชายที่สูงน้อยกว่าเขาเพียงคืบเดียวมาขึ้นรถ (ที่จริงแล้วเขาแบกกึ่งอุ้มมาร์ค) เขาคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นปรับเบาะให้มาร์คได้นอนเหยียดด้วยท่าสบายตัวที่สุด แล้วจึงปิดประตูรถ อาร์มานียิ้มให้เพื่อนบ้านหญิงที่มองผ่านหน้าต่างมาอย่างสอดรู้ ก่อนจะขับรถของมาร์คออกจากหน้าบ้านด้วยท่าทางปกติไร้พิรุธ

อาร์มานีบอกมาร์คตั้งแต่แรกว่าการรักษาจะไม่ทำที่บ้าน เพราะเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณและอาจผิดกฎหมาย มันจึงต้องการความเป็นส่วนตัว แต่เขาไม่ได้บอกว่าสถานที่ดำเนินการจะเป็นความลับจนต้องวางยานอนหลับ

ระหว่างขับรถห่างจากเมืองเรื่อยๆ อาร์มานีหันไปมองมาร์คเป็นระยะ เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะมาร์ค สางเส้นผมนุ่มเบามือ ดวงตาของอาร์มานีมีประกายอ่อนโยนยามมองใบหน้าหลับสนิทของมาร์ค แต่ความจริงแล้วความคิดของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า มันกระหวัดไปถึงชายหนุ่มอีกคนในอดีตอันห่างไกล ชายผู้นำเขาสู่ความสนใจเรื่องโรคหลายบุคลิกจนกลายเป็นความหมกมุ่น ชายคนเดียวกับที่มอบรอยแผลเป็นให้เขาบนปลายคาง

คุณเหมือนเขาเหลือเกิน มาร์ค

มาร์คตื่นมาในห้องอบอุ่น ชายหนุ่มสดชื่น ไม่มีอาการปวดศีรษะคอยรังควานเช่นเคย เขาเรียบเรียงความคิดหลังตื่นนอน จำได้ว่าถูกศาสตราจารย์วางยานอนหลับ หรืออาจเป็นยากล่อมประสาท (ถึงตรงนี้เขาหัวเราะ ดูเหมือนคนรอบตัวจะนิยมวางยาเขาเสียเหลือเกิน) อีกฝ่ายบอกว่าจะขับรถพาเขามาที่ไหนสักแห่ง ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียง เดินไปยังม่านสีเปลือกไม้ เมื่อรูดเปิดก็พบว่าตัวเองอยู่กลางป่า เวลานี้อาจเป็นช่วงสายหรือบ่าย แดดจัดถูกลดความร้อนแรงด้วยปราการใบไม้ที่สานกันค่อนข้างหนาทึบ นกส่งเสียงร้องก่อนโผจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง มันเป็นภาพที่คนเมืองอย่างเขาหลงลืมไปนานแล้ว

เมื่อเลื่อนสายตาไปจนสุด มาร์คพบศาสตราจารย์อาร์มานีนั่งจิบเครื่องดื่มร้อนอยู่ที่ชานเรือนด้วยสีหน้าสงบ ดวงตาของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เหม่อออกไปยังป่า

จิตแพทย์หนุ่มผละจากหน้าต่าง เขาเดินออกไปสมทบกับอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น ระหว่างทางผ่านบริเวณส่วนกลางของบ้านขนาดกะทัดรัดซึ่งจัดเป็นสัดเป็นส่วน ห้องนั่งเล่นอยู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ฝากไอแดดไว้ตามโซฟาเดี่ยวหนานุ่ม เก้าอี้โยก และชั้นวางหนังสือ ส่วนห้องครัวมีเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มอบอุ่น บนนั้นวางอุปกรณ์คั่วเมล็ดกาแฟด้วยมือและเครื่องชงเอสเปรสโซที่อาศัยแรงกดจากมือเช่นกัน กลิ่นหอมของกาแฟยังอวลอยู่ มันช่วยสร้างบรรยากาศของยามเช้า ถึงแม้จะสายมากแล้วก็ตาม

เปิดประตูบ้านออกไปด้านนอก อากาศสดชื่นเข้าปะทะจมูก มาร์คสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด เงยหน้ามองแสงแดดรำไรแล้วขยับยิ้ม เขาชมทิวทัศน์อยู่อึดใจก่อนเดินไปหาเจ้าบ้านที่ชานเรือน

“สดชื่นขึ้นไหมมาร์ค” ศาสตราจารย์อาร์มานีทักขึ้นโดยยังคงนั่งหันหลังให้

“สดชื่นขึ้นมากครับ” มาร์คอ้อมมาด้านหน้าอีกฝ่ายแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวเอง “ขอบคุณที่แบกผมเข้าบ้าน”

“ฉันต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำนี่” ดวงตาสีเข้มเบนไปมองคนที่นั่งลงใกล้ๆ อาร์มานีวางถ้วยกาแฟบนจานรอง แดดสายส่องผ่านยอดไม้ลงฉาบบนเสี้ยวหน้าฝั่งหนึ่งแต่เขาไม่ได้ขยับหนี

“รู้ไหมว่าเธอหลับไปนานเท่าไหร่”

“ไม่ทราบครับ” มาร์คตอบตามตรง

“เธอหลับข้ามวัน” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ตอบพร้อมหัวเราะ “ที่จริงเธอทำฉันกังวล ยามันควรทำให้เธอพักผ่อนสักสามสี่ชั่วโมง แต่ฉันปลุกอย่างไรเธอก็ไม่รู้สึกตัว” อาร์มานีนึกไปถึงตอนที่เขาปลุกมาร์คบนรถเมื่อเย็นวาน อีกฝ่ายหลับสนิทไร้การตอบสนอง จนต้องออกแรงแบกมานอนต่อที่เตียง

“แต่เธอได้พักผ่อนก็ดีแล้ว ตอนนี้สิบโมงแล้ว อยากดื่มอะไรไหม”

“ถ้าผมตอบรับคำชวน ผมจะหลับไปอีกรอบไหม” มาร์คพูดติดตลก “ขอโทษที่ผมต้องเสียมารยาท แต่การที่คุณวางยาผมเป็นอะไรที่...ทำใจยอมรับได้ยาก”

“ฉันเข้าใจและต้องขออภัยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า จากนี้เชื่อเถิดว่าเครื่องดื่มทุกแก้วจากฉันจะไม่ทำให้เธอหลับ” อาร์มานียิ้มกว้าง รอยยับบนใบหน้าไม่ได้ทำให้เขาดูหล่อเหลาน้อยลงแม้แต่น้อย “ยกเว้นตอนขากลับ”

มาร์คหัวเราะพลางโคลงศีรษะ “ผมเห็นเครื่องทำเอสเปรสโซด้วยมือ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมอยากลองชิมรสมือคุณสักแก้ว”

อาร์มานีพยักหน้าอย่างเจ้าบ้านที่ดี เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำมาร์คไปที่ครัวขนาดเล็ก เมล็ดกาแฟที่เพิ่งคั่วยังถูกผึ่งให้คลายความร้อนบนตะแกรงสเตนเลส

“เธอได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแยกบุคลิกบ้างไหม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ถามพร้อมหยิบเมล็ดกาแฟซึ่งเย็นแล้วบางส่วนใส่เครื่องบดมือ เขาหมุนแกนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ดวงตาสีเข้มจับอยู่บนใบหน้าของคนไข้ในความดูแล

“ผมวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของพี่ชาย การแยกบุคลิกน่าจะเกิดในช่วงเวลาที่ผมต้องการปกป้องใครสักคนอย่างรุนแรง” มาร์คเคลื่อนตัวไปนั่งบนสตูลบาร์

“แค่นั้นหรือ”

มาร์คพยักหน้า “ผมคิดว่ามีแค่นั้น” ชายหนุ่มเสริมให้ศาสตราจารย์อีกหน่อยว่า “และไม่จำกัดแค่คนในครอบครัว เพื่อน คนรัก ผมอีกคนปกป้องคนที่เพิ่งรู้จักด้วย” แล้วมาร์คก็เล่ากรณีของอัลฟีโอ ซึ่งถูกอดีตคนรักทำร้ายต่อหน้าเขา

“งั้นคำถามถัดไป” อาร์มานีหยุดมือแล้วดึงลิ้นชักเครื่องบดกาแฟออกมา มืออีกข้างหยิบถาดกลมแล้วเทผงกาแฟบดลงไปเท่าที่ต้องใช้

“แอนทอนออกมาได้ยังไง เธอพอจำช่วงเวลาก่อนจะถูกสลับตัวได้บ้างไหม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เขย่าถาดกลมแล้วเคาะกับโต๊ะเบาๆ เขาหยิบที่อัดผงกาแฟมากดให้ผิวหน้าของผงกาแฟเสมอกันในถาดขนาดเล็ก ก่อนสวมมันเข้ากับก้านกรองกาแฟ

“ฉันเคยเจอบางเคสที่ตัวตนอื่นต้องถูกเชิญถึงจะออกมา คล้ายร่างทรงหมอผี หลายเคสคนไข้ระบุว่าได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงของตัวเองในหัว ก่อนจะไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ แล้วของเธอล่ะเป็นแบบไหน”

ขณะถามอาร์มานีขยับไปหาเครื่องเอสเปรสโซซึ่งเสียบปลั๊กอยู่ก่อนแล้ว เขาเปิดไล่ไอน้ำลดความดัน กดสวิตช์ให้น้ำไหลผ่านท่อไล่คราบกาแฟที่อาจค้างอยู่ในเครื่อง ก่อนสวมก้านกรองบรรจุถาดกาแฟเข้ากับหัวล็อกแล้วดันให้แน่นพอประมาณ หลังขั้นตอนนั้นอาร์มานีเงยหน้าส่งยิ้มให้มาร์ค และเลื่อนจานครัวซองต์ไปให้ด้วยเมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปคล้ายกำลังใช้ความคิด

“ผม…” จิตแพทย์หนุ่มขยับริมฝีปากแล้วนิ่งไปอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดแน่นขณะที่สมองไล่หาความทรงจำซึ่งฝังอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างภาวะตื่นรู้และหลับฝัน

“ผมรู้สึกเหมือนถูกดึงแรงๆ” มาร์คจับอกตัวเอง “ถูกดึงตรงนี้...ตรงกลางอก ใจเต้นแรงเฉียบพลัน...น่าจะ ตึก! แล้วก็...วูบ”

“ใจเธอเต้นแรงเฉียบพลันก่อนหรือหลังรู้สึกเหมือนถูกดึง” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่หยิบแก้วเซรามิกวางบนแท่นที่กาแฟจะไหลลงมา

“...ก่อน”

“อืม...” เขามองสีหน้ามาร์คและถามต่อว่า “หัวใจคุณเต้นแรงอยู่นานไหม ก่อนจะถูกดึงและหมดสติ”

“สองถึงสามวินาที” มาร์คตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด เขามองหน้าอาร์มานี มือยังวางบนอกคล้ายความรู้สึกจากการถูกกระชากยังตกค้าง

อาร์มานีรับคำในคอ และใช้กำลังแขนดันน้ำให้ไหลผ่านเครื่องเอสเปรสโซ กาแฟถูกกรองลงแก้วเซรามิกช้าๆ

“เคยได้ยินเรื่องไซโคเจนิกแบล็กเอาต์ไหม มาร์ค”

“ครับ” จิตแพทย์หนุ่มมองท่อนแขนที่เกร็งจัดก่อนเลื่อนสายตาไปมองหน้าอีกฝ่าย “คุณคิดว่าการหมดสติของผมเข้าข่ายไซโคเจนิกแบล็กเอาต์หรือ”

“มีความเป็นไปได้” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้า เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำเมื่อได้กาแฟปริมาณที่ต้องการ “สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไข้หมดสติ เกิดไซโคเจนิกแบล็กเอาต์ เป็นเพราะการทำงานอย่างผิดปกติของสมอง ซึ่งเป็นผลจากความกังวลหรือความเครียด หรืออาการทางประสาทอื่นๆ”

อาร์มานีหยิบผ้ามือเช็ดมือ แล้วจึงยกแก้วเซรามิกใบเล็กวางตรงหน้ามาร์ค กลิ่นหอมเข้มลอยอวลจากเครื่องดื่มสีดำ

“ฉันยังไม่ได้สรุป...แต่คิดว่าเมื่อเธอเห็นคนรู้จักตกอยู่ในอันตราย สมองเธอไม่สามารถรับมือความกดดันระหว่างต้องตัดสินใจว่าจะสู้หรือหนีได้ มันดับตัวเอง แล้วเธอก็หลุดการควบคุม หรือที่เธอจำได้ว่าตัวเองสลบ”

“โอเค…” มาร์คกลืนน้ำลายขณะรับฟังการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญตรงหน้า เขาหลุบตามองแก้วเอสเพรสโซ สูดกลิ่นซึ่งช่วยปลุกสติให้แจ่มชัดขึ้น แล้วจึงเลื่อนสายตามองอาร์มานี “แต่มันไม่ได้อธิบายตอนที่ผมอีกคนตื่นเวลาที่ผมหลับ”

---------------------------------------

A/N อ่านเรื่องฝั่งมาร์คกันบ้างเนอะ ว่าหายไปไหนมา ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 10-2 [11/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 11-04-2018 22:26:53
Case 10-2

คำพูดของมาร์คทำให้ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้าช้าๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นั่นล่ะ สิ่งที่ทำให้เรื่องของเธอฟังดูซับซ้อน”

“แอนทอนรู้ได้ยังไงว่าต้องตื่น…” อาร์มานีพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า “มันคงง่ายกว่านี้ถ้าฉันจับเธอเข้าเครื่องเอ็มอาร์ไอเพื่อดูการทำงานของสมองเธอระหว่างแอนทอนกำลังจะตื่นและหลังเขาตื่น”

ความเงียบแผ่ปกคลุมการสนทนาเมื่ออาร์มานีและมาร์คต่างกำลังใช้ความคิด สุดท้ายเป็นฝ่ายเจ้าบ้านที่ทำลายกลุ่มก้อนความกังวลที่เริ่มก่อตัวในบรรยากาศ

“เอาเถอะ...อย่างที่ฉันบอกไปแต่แรก การรักษาของเราไม่ได้ยึดหลักการแพทย์และวิทยาศาสตร์เสียทีเดียว” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้าให้มาร์ค “ฉันจะลองหาวิธีทดสอบเธอดู”

เมื่อสบตากันอีกครั้ง มาร์คพยักหน้าตอบ เขายกกาแฟจิบเมื่ออาร์มานีกล่าวว่า

“แต่ตอนนี้จัดการมื้อสายของเธอเสียก่อนมันจะชืด”

————————————————

หลังจบมื้อสาย มาร์คถูกชวนออกไปเดินเล่น เมื่อได้ออกมายืนนอกชายคาจิตแพทย์หนุ่มจึงพบว่าเคบินของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่สร้างอยู่กลางป่าที่ค่อนข้างทึบ พวกเขาพูดคุยกันในเรื่องทั่วไประหว่างเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่อาร์มานีกล่าวว่าจะพาไปโผล่ที่ลำธาร

“เธอไม่อยู่ตรงนี้”

มาร์คเบือนสายตาจากพุ่มไม้ด้านข้างซึ่งขึ้นขนาบเส้นทางไปมองอาร์มานี เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่นำอยู่ด้านหน้า เมื่ออีกฝ่ายหยุดเดินโดยที่เขาไม่ทันสังเกต

“อา...” มาร์คถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“คิดอะไรอยู่หรือ” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เอ่ยอีกครั้งโดยไม่ขยับตัว

“ขอโทษครับ…” มาร์คยกมือนวดหัวตาและฝืนยิ้ม “ ผมสลัดเคสไม่ได้”

“เคสอะไร”

จิตแพทย์หนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาลูบหน้าก่อนกล่าวเสียงเบา “เคสตัวผมเองนี่ละ”

คำตอบของมาร์คทำให้อาร์มานีหัวเราะจางๆ บรรยากาศชวนอึดอัดคลายตัวกับเสียงต่ำทุ้มที่ดังอยู่ในคอของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ “เธอเรียกเรื่องตัวเองเป็นเคสไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นคนไข้”

“ขอโทษครับ”

“ทำไมถึงขอโทษล่ะ หืม” อาร์มานีเลิกคิ้ว ทั้งคู่เริ่มเดินต่อ ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่กวักมือเรียกมาร์คมาเดินข้างๆ เมื่อเส้นทางกว้างขึ้นพอให้เดินเคียงกันได้

“คำติดปากน่ะครับ” มาร์คหัวเราะจางๆ

“แปลว่าเธอขอโทษพร่ำเพรื่อ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มเย็นอย่างผู้ใหญ่ใจดีเหมือนเดิม

มาร์คหัวเราะเสียงดังขึ้น “แปลว่าผมเลี่ยงการปะทะด้วยการถอย พอเลี่ยงมากเข้าคำว่าขอโทษก็กลายเป็นคำติดปาก”

“เธอไม่คิดหรือว่าการขอโทษเป็นการปะทะอารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง เหมือนเธอโยนระเบิดใส่คู่สนทนาว่า ‘นี่ไงผมขอโทษแล้ว ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็เถอะ ทำไมคุณไม่ขอโทษบ้างล่ะ’ ” คนอายุมากกว่าถามกลับแบบชวนคุย อาร์มานีเหลือบตามองเพื่อนร่วมทาง เขาเดินนำมาร์คเลี้ยวขวาผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ป่าบริเวณนั้นโปร่งขึ้น หากเพ่งสายตาผ่านพุ่มไม้ไปจะเห็นลำธารสายหนึ่งทอดตัวอยูไม่ไกล

“คุณจับผมได้” มาร์คยิ้มมองหนุ่มใหญ่ที่เดินอยู่ด้านข้าง “เป็นคนแรกที่จับได้”

คนข้างๆ หัวเราะเต็มเสียง “ฉันรับมือกับคนประเภทนี้มามาก” อาร์มานีดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “พูดเรื่องการเลี่ยงการปะทะอารมณ์ จนอายุเท่านี้ฉันยังไม่เจอวิธีที่ได้ผลชะงัดเลย การขอโทษ การเงียบ หรือการเดินหนี...เป็นการปะทะในอีกรูปแบบทั้งนั้น บุหรี่ไหม”

คนอายุน้อยกว่าส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้ววิธีไหนเหมาะสมที่สุดในความเห็นของคุณครับ”

“ไม่ถือใช่ไหมถ้าฉันจะสูบ” อาร์มานีมองหน้าอีกฝ่าย เขากลักบุหรี่บนริมฝีปากและยกมือป้องที่ปลายมวนระหว่างจุดไฟ “แนะนำในฐานะคนแก่ทั่วไป ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็หายใจลึกๆ แล้วพูดความต้องการและความเห็นออกไปอย่างมีสติที่สุด”

หนุ่มใหญ่อัดควันเข้าปอดพลางยิ้ม

“แต่ถ้าเป็นคนที่ไปเคลียร์กันบนเตียงได้ ฉันว่าเซ็กซ์เป็นการคลี่คลายสถานการณ์ที่ดี”

“อา…” มาร์คอึ้งไปเล็กน้อย “ผมนึกถึงด็อกเตอร์มาร์แชล โรเซนเบิร์ก ‘การสานสัมพันธ์ด้วยสันติ’ ” เขาวกเข้าประเด็นการเลี่ยงการปะทะ “ผมว่าเขามีแนวคิดน่าสนใจ เราพูดความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน เปิดใจรับฟังความต้องการของอีกฝ่าย และมองหาวิธีการตอบสนองความต้องการที่ลงตัว คล้ายคลึงกับวิธีการประนีประนอม”

คนสูบบุหรี่มองหน้ามาร์ค ดวงตาระยับด้วยประกายขบขันกับความจริงจังของอีกฝ่าย

“ทำไมเธอถึงพยายามอธิบายมันอย่างเป็นการเป็นงานนัก”

จิตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วพลางเม้มปาก “เราไม่ควรกระโดดไปเรื่องเซ็กซ์แบบฉับพลันหรือเปล่าครับ”

อาร์มานีพ่นควันบุหรี่ไปทางอื่น เขาหันมายิ้มให้มาร์คพร้อมค้อมศีรษะนิดๆ “ขอโทษที ฉันนึกว่าเธอถึงวัยที่จะพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

อากัปกิริยาคล้ายจะล้อเลียนทำให้มาร์คถอนใจและพยักหน้า “โอเค เราพูดเรื่องเซ็กซ์กันก็ได้ครับ”

ท่าทียอมจำนานเรียกเสียงหัวเราะจากศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ เขาตบบ่าคนหนุ่ม “เอาเถอะมาร์ค เราจะไม่คุยกันเรื่องที่เธอกระอักกระอ่วน ฉันหยอกเธอไปอย่างนั้นเอง”

อาร์มานีสูบบุหรี่อีกคำ แล้วพาชายหนุ่มผู้หลงวนเวียนในเขาวงกตทางจิตใจเดินต่อ

“พูดเรื่องการเลี่ยงการปะทะ…” มาร์คยกประเด็นขึ้นอีกครั้ง ขณะมองผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลายบุคลิกดับบุหรี่ “มีความเป็นไปได้ว่าการที่ผมเป็นไซโคเจนิกแบล็กเอาต์เพราะสมองผมเกิดความขัดแย้งมากเกินไปหรือเปล่า…” เขาพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง “ในสถานการณ์ปกติ สมองส่วนควบคุมความคิดของผมเลือกที่จะเลี่ยงการปะทะ ในขณะเดียวกันจิตใต้สำนึกผมกลับสั่งการให้ปะทะ เพื่อจะจัดการทุกอย่างให้ลงตัว ผมถึงต้องสลับเอาตัวตนที่ก้าวร้าวกว่าออกมารับมือกับสถานการณ์นั้น”

“มาร์ค” อาร์มานีเรียกคนที่คล้ายหลุดเข้าไปในความคิดตัวเองเสียงนุ่ม มือใหญ่ที่ร้อนจัดวางบนต้นคอแกร่งและบีบคลายอาการเกร็งที่อีกฝ่ายแผ่วเบา “ตอนนี้เธอเป็นคนไข้ เธอต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเธอป่วย และหน้าที่ของเธอคือให้ความร่วมมือกับฉัน ตั้งสติอยู่กับฉัน ไม่ใช่จมในความคิดตัวเอง”

“โอเค…” มาร์คเป่าลมหายใจออกทางปาก “โอเคครับ”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ตบบ่ามาร์คเบาๆ อาร์มานีถามขึ้นขณะเคาะบุหรี่ตัวที่สองออกจากซอง

“เมื่อวานนี้ เธอทำอะไรบ้างก่อนมาพบฉัน”

“ผมไปหาแฟนเก่ามาครับ พูดคุยกันนิดหน่อย”

อาร์มานีอัดควันลึกเข้าปอด “แฟนเก่า?” สีหน้าเขาคล้ายจะสนใจ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องแรกที่มาร์คเล่า

“ครับ” มาร์คตอบรับ “อันที่จริง เขาเป็นอดีตภรรยา ผมจดทะเบียนกับเขาที่อเมริกา ผมมาจากที่นั่น”

“เขา?”

“ผู้ชาย...ถูกต้องครับ”

อาร์มานีพยักหน้า “เธอเกิดที่อเมริกา?”

“ครับ เกิดที่นั่น โตที่นั่น เพิ่งย้ายมาอิตาลีตามพี่ชาย”

“เธอพูดอิตาเลียนสำเนียงแบบเจ้าของภาษา” อีกฝ่ายชม แล้วหยุดเดินเมื่อทั้งคู่มาถึงธารน้ำเล็กๆ ไม่ไกลจากเคบิน

“ขอบคุณครับ” มาร์คยิ้มน้อยๆ “ตอนแรกผมลังเลที่จะย้ายตามฮันเตอร์...พี่ชายผม แต่ประจวบเหมาะที่อดีตภรรยาผมก็อยู่อิตาลี เลยตัดสินใจง่ายขึ้นครับ”

อาร์มานีสังเกตว่าสีหน้ามาร์คดูปั่นป่วนเล็กน้อยเมื่อพูดถึงอดีตภรรยา มีความอ่อนโยน ความเสียใจ และความรู้สึกที่หนุ่มใหญ่อธิบายไม่ถูกบนสีหน้า

“พบรักกันที่อเมริกาหรือ”

“ที่นี่แหละครับ”

“อา...เธอมาอยู่อิตาลีกับพี่ชายชั่วคราว เมื่อเจอภรรยาของเธอ—อดีตภรรยา เธอเลยตัดสินใจย้ายมาอยู่อิตาลีถาวร ฉันเข้าใจถูกไหม”

มาร์คพยักหน้า

“เขาชื่ออะไร”

“นิโคไลครับ”

“นิโคไลเป็นคนยังไง” อาร์มานีถามเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยธรรมดา

“ตรงไปตรงมา” มาร์คนึก “เขาค่อนข้างเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน บางครั้งพูดอย่างทำอีกอย่าง แต่โดยรวมน่ารักและใส่ใจครับ”

“พบกันได้อย่างไร”

“มันสำคัญต่อการรักษาไหมครับ”

“ฉันคิดว่าฉันควรทำความรู้จักนิโคไล เขาเป็นคนที่เธอไปหาในช่วงเวลาไม่ปกติ และเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องแรกที่เธอเปิดปากเล่าขยาย...โดยที่ฉันไม่ต้องถาม”

“โอเค” มาร์คมองพื้น และเริ่มเล่าเรื่องของนิโคไลให้อาร์มานีฟัง “ผมพบเขาที่หาดในครีมา มันเป็นรักแรกพบ ผมเข้าไปหาเขาก่อน ทำความรู้จักแบบเหลอหลา แต่เขาก็ให้โอกาสผม”

“ฟังดูเป็นความรักที่งดงาม” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เผยยิ้มจาง เขาจับสายตาที่ดวงตามาร์ค “แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอหย่ากัน”

“เขานอกใจผมหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ผมที่ขอหย่า...เขาขอหย่า” มาร์คถอนใจ

“อืม...เป็นเรื่องแปลกที่เธอยังไปพบอดีตภรรยาที่นอกใจเธอหลายครั้ง โดยเฉพาะก่อนเธอจะมารักษาอาการทางจิต”

“เขาคิดเหมือนคุณ...เขาว่าผมปฏิเสธความจริง” มาร์คส่ายหน้า “แต่ผมคิดว่าความจริงมีหลายรูปแบบ การที่ผมรับพฤติกรรมเขาได้ก็ไม่ควรถูกปัดว่าไม่ใช่ความจริง”

“เธอแน่ใจหรือว่าเขาคิดเหมือนฉัน” อาร์มานีย้อนนิ่มๆ เขาหย่อนก้นกรองบนพื้นดิน ขยี้ให้ดับด้วยปลายเท้า “แล้วฉันคิดอย่างไร”

“เขาคิดเหมือนคุณตรงที่มองว่าเป็นเรื่องแปลก”

คู่สนทนาพยักหน้า ไม่ได้โต้ตอบในประเด็นเดิม “คำถามถัดไป ทำไมเธอถึงไปพบนิโคไลเมื่อวานนี้”

“ผมไปเพื่อบอกลา...ผมยังรู้สึกผูกพันกับเขา...มาก ศาสตราจารย์”

อาร์มานีพยักหน้าอย่างเห็นใจ และถามต่อ “เขารู้เรื่องที่เธอเดินละเมอไหมมาร์ค”

“ผมไม่มีอาการตอนเราอยู่ด้วยกัน” คนพูดขมวดคิ้ว “แต่…”

ผู้ให้คำปรึกษาวางมือบนบ่าคนไข้ บีบเบาๆ และทำหน้าให้พูดต่อ

“ผมน่าจะมีอาการหลังจากหย่ากับเขา”

อาร์มานีขยับยิ้ม สีหน้าเขาแสดงความพอใจกับคำตอบ “ดูเหมือนเขาจะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่เรามองหา”

มาร์คขยับอย่างกระตือรือร้น “โอเค ผมจะลองเรียบเรียงเหตุการณ์จากปัจจุบันที่สุดไปอดีต...จากคำบอกเล่า ครั้งล่าสุดที่ผมอีกคนตื่นเพราะฮันเตอร์เล่าว่าเขาทำสิ่งที่เลวร้ายมาก ย้อนกลับไปอีก...ตอนนั้นผมรู้ว่าตัวเองเดินละเมอจึงตั้งกล้องสังเกตการณ์ และพบว่าผมอีกคนตื่นขึ้นยามกลางคืนเพื่อปิดกล้องสังเกตการณ์ทีละตัว ย้อนกลับไปอีก ผมอีกคนตื่นเพราะอัลฟีโอถูกทำร้าย ย้อนกลับไปอีก...ช่วงเวลาก่อนหน้าผมเพิ่งรับรู้อาการเดินละเมอของตัวเอง คืนนั้นจำได้ว่าผมหลับสนิท แต่ในวันต่อมากลับได้แผลข่วนตรงแขนซ้าย ร่องของรองเท้ากีฬาเปรอะดิน และ...มีขวานผ่าฟืนอยู่ท้ายรถ ผมไม่พกขวานไปไหนมาไหน”

มาร์คหลับตาแน่น บีบสันจมูกตัวเอง “ย้อนกลับไปอีก…”

-----------------------------------------

A/N คุณ FOULSOUL เขียนการรักษามาร์คไว้อย่างน่าสนใจ อ่านแล้วคิดยังไงบอกได้นะคะ ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 10-3 [12/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 12-04-2018 22:18:21
Case 10-3

มือของอาร์มานีที่ยังวางอยู่บนบ่ากว้างบีบเบาๆ อีกครั้ง “ช้าๆ มาร์ค ช้าๆ คุณต้องช้าลงหน่อย”

จิตแพทย์หนุ่มขบกราม เขาลืมตา หันมาจ้องศาสตราจารย์ “มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับผมกันแน่”

“สงบใจไว้มาร์ค” อาร์มานีปลอบด้วยเสียงชู่วเบาๆ “เรายังต้องช่วยกันหาอีกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รวมถึงวิธีแก้ไขเรื่องนี้ด้วย”

————————————————

ระหว่างมื้อค่ำ มาร์คลอบมองอาร์มานีครั้งแล้วครั้งเล่า

“มีอะไรหรือ” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ถาม

“ทำไมคุณถึงตอบรับเคสผมหรือ”

“ทำไมคุณถึงสงสัยเรื่องนั้นล่ะ” เขายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างผ่อนคลาย

“ผมแค่สงสัย เห็นว่าคุณเลิกรับเคสไปนานแล้ว”

อาร์มานีมองมาร์ค มองสายตาซื่อตรงของชายตรงหน้าและหวนนึกถึงใครอีกคนในอดีต การตอบตามจริงว่านึกถูกชะตาอีกฝ่ายคงเป็นคำตอบที่ชวนกระอักกระอ่วนไม่น้อย

“เคสของคุณน่าสนใจ...จิตแพทย์กับโรคหลายบุคลิก” ศาสตราจารย์ยิ้ม

“ครับ” การเว้นช่วงคิดของอาร์มานีทำให้มาร์คนึกเชื่อคำตอบนั้นแบบครึ่งๆ แต่เขาไม่ถามเรื่องนั้นต่อ “เราจะ...รักษากันต่อไหมครับคืนนี้”

“แน่นอนมาร์ค...เราจะพูดคุยกันต่อเรื่องของเธอ” คนตอบยิ้มจางกับความกระตือรือร้นในดวงตา

“ครับ ไม่มีปัญหา” มาร์ครับคำ

หลังเก็บล้างจานชาม พวกเขาแยกย้ายไปอาบน้ำแล้วมาเจอกันตามนัดที่ห้องนั่งเล่น ตอนมาร์คมาถึง เจ้าของบ้านกำลังเติมฟืนใส่เตาผิง เสียงไม้ปะทุเบาๆ กับกลิ่นเครื่องหอมอ่อนๆ ซึ่งกำจายทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“เธอใช้เครื่องทำน้ำร้อนแบบเตาแก๊สเป็นใช่ไหม” หนุ่มใหญ่ถามคล้ายเพิ่งนึกได้

“ทุลักทุเลหน่อย แต่พอได้ครับ” มาร์คเอามือลูบท้ายทอย ผมที่มักถูกเซ็ตให้เสยขึ้นเปิดหน้าผากตอนนี้เปียกชื้นและตกลงมาปรกหน้าผาก มันทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ลงเล็กน้อย

“ดี...ดี เอาละ ทำตัวตามสบายมาร์ค เราจะทำความรู้จักกันเพิ่มก่อนเข้านอนเสียหน่อย” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่หย่อนตัวบนโซฟาฝั่งซ้ายของเตาผิง เขาวางสมุดหนังเล่มหนึ่งบนตัก เปิดมันและจรดปลายปากกาบนหน้ากระดาษ

“เมื่อบ่าย...เธอเล่าถึงการตื่นของแอนทอน เธอสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับการเดินละเมอ และทุกอย่างเกิดขึ้นหลังเธอหย่ากับนิโคไล ฉันเข้าใจถูกไหม”

“ครับ”

“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะมาร์ค ก่อนจะได้พบนิโคไล หรือตอนเธอเป็นวัยรุ่น เธอมีอาการเดินละเมอบ้างไหม”

“อาจมีแต่ผมไม่ทราบ”

“แปลว่าเธอจำไม่ได้?”

มาร์คพยักหน้า

อาร์มานีร้องอืมในคอและจดบางสิ่งลงสมุด

“เธอกล่าวถึงครั้งล่าสุดที่แอนทอนตื่น ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเลวร้ายที่พี่ชายเธอทำ ฉันอยากให้เธอเล่ารายละเอียด มันเกิดขึ้นที่ไหน ใครอยู่ในเหตุการณ์นั้นกับเธอบ้าง”

มาร์คพยายามนึกย้อน เขาส่ายหน้า “ไม่...นั่นไม่ใช่ครั้งล่าสุด” แล้วนิ่งไปเพื่อเรียบเรียงความคิด เขาเม้มริมฝีปาก สุดท้ายกลับพยักหน้าและนวดขมับที่เต้นตุบไปด้วย

“ขอโทษครับศาสตราจารย์ ผมจำเวลาคลาดเคลื่อนเอง ครั้งล่าสุดที่แอนทอนตื่นเป็นตอนผมรู้เรื่องพี่ชายทำเรื่องเลวร้ายมากๆ จริง”

“ไม่เป็นไร อาการสับสนเรื่องเวลาเกิดขึ้นได้ หายใจช้าๆ แล้วตั้งสติอยู่กับฉัน...มาร์ค” อาร์มานีบอกอย่างอารี เขาจดอาการของมาร์คไปด้วยระหว่างพูด “หาท่านั่งสบายๆ ให้ตัวเองบนเก้าอี้มาร์ค สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงสองอย่าง ฟังและตอบสิ่งที่ฉันถาม อย่าปล่อยความคิดเตลิดไปมากกว่านั้น”

เขารอจนกระทั่งมาร์คขยับตัวหามุมสบายที่สุดบนโซฟา ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “เราจะช่วยกันลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับแอนทอน...ผมหมายถึง ลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้อง”

มาร์คพยักหน้า “ผมจะพยายาม”

“ลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้องคือ ครั้งล่าสุดที่เกิด ‘การแยกบุคลิก’ เป็นตอนที่เธอรู้ว่าฮันเตอร์ทำเรื่องเลวร้ายมากๆ ถูกไหม”

“ครับ...ใช่ มันเกิดขึ้นสี่ห้าวันก่อน ถ้าผมไม่เลอะเลือน”

อาร์มานีก้มจดข้อความของมาร์คลงสมุดที่กางอยู่บนตัก เขาถามคำถามถัดไป “มันเกิดขึ้นที่ไหน”

จิตแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ป่วยทางจิตเสียเองเม้มริมฝีปากอีกครั้ง “ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่ผมไม่รู้จัก”

“จำได้ไหมว่าทำไมคุณไปอยู่ที่นั่น”

“ไม่ครับ” มาร์คสั่นศีรษะ

“ใครอยู่ที่นั่นกับเธอ ก่อนเกิดการแบ่งแยกบุคลิก”

“ฮันเตอร์ จิล และนิโคไล”

อาร์มานีจดชื่อทั้งสามคนลงบนหน้ากระดาษ ด้านล่างคำถามว่า ‘อยู่กับใคร’ เขาวงกลมชื่อจิลพร้อมใส่เครื่องหมายคำถาม และวาดดาวที่ชื่อนิโคไล ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เลื่อนสายตาขึ้นมองมาร์ค “หมายความว่าทั้งสามคนอยู่ในเหตุการณ์ที่คุณแยกบุคลิก”

มาร์คพยักหน้าและตอบเสียงพร่า “ครับ”

“กลับมาที่ลำดับเหตุการณ์ การแยกบุคลิกครั้งก่อนหน้าจะรู้ว่าฮันเตอร์ทำเรื่องเลวร้าย เป็นตอนที่เธอพบตัวเองเดินละเมอปิดกล้องสังเกตการณ์ เธอเชื่อว่ามันคือการแยกบุคลิก ใช่ไหม?” อาร์มานีจ้องมาร์คพลางถามย้ำ “มีการแยกบุคลิกเกิดขึ้นระหว่างการปิดกล้องและเรื่องของฮันเตอร์หรือเปล่า”

คนฟังเม้มปากและหลับตา ความนึกคิดย้อนไปหาคำตอบในอดีดอันรางเลือน

“ผม...ผมแน่ใจว่ามี”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่พยักหน้า เขาปล่อยให้มาร์คใช้ความคิด ไม่นานสิ่งที่ต้องการก็หลุดผ่านริมฝีปากเม้มแน่นมาทีละส่วน

“ก่อนหน้าจะรู้เรื่องของฮันเตอร์ที่โรงพยาบาล ผมจำได้ว่าตื่นขึ้นในที่ที่ไม่คุ้นเคย และพี่ชายเอาหลักฐานว่าแอนทอน...” มาร์คลูบหน้า “...ว่าอีกบุคลิกของผมเกี่ยวข้องกับการกักขังอัลฟีโอ และการหายไปของอดีตสามีอัลฟีโอ”

“จากนั้นแอนทอนก็ตื่นขึ้นมาแทน เธอรู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล และสลบไปอีกครั้ง?” อาร์มานีเสริม

“ครับ” คนอายุน้อยกว่าพยักหน้า เขานวดกระบอกตาที่ปวดหนึบ ก่อนกล่าวต่อไปว่า “ย้อนกลับไปอีก...ก่อนหน้านั้น” มาร์คเค้นความทรงจำอย่างหนัก “วันที่พี่ชายผมพบอัลฟีโอในห้องใต้หลังคา เขาถามผมเรื่อง ‘ผู้พิทักษ์’ และ...แสดงความรุนแรงด้วยการดึงผมของผม ตอนนั้นใจผมเต้นแรง ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกดึง” เขาเอามือวางบนอก “...ตรงกลางอก”

ข้อความหนึ่งสะดุดความสนใจของอาร์มานี เขาจดมันและย้อนถาม “อะไรคือผู้พิทักษ์”

มาร์คลืมตา “นิทานสมัยเด็กน่ะครับ”

จากนั้นเขาก็เล่านิทานผู้พิทักษ์ให้ศาสตราจารย์ฟัง...นิทานที่ฮันเตอร์แต่งขึ้นเพื่อหลีกหนีความรุนแรงในครอบครัว

สีหน้าของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เคร่งขรึมขึ้น “ย้อนกลับไปอีก คือเธอเดินละเมอปิดกล้องสังเกตการณ์”

มาร์คพยายามนึกอีก และพยักหน้า “ครับ”

“ครั้งแรกสุดที่เธอนึกออกคือตื่นมาพบว่ามีแผลถูกข่วนที่แขน รองเท้ากีฬาเปรอะดิน ถูกไหม”

มาร์คพยักหน้า สีหน้าเขาอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังเธอหย่ากับนิโคไล” อาร์มานีย้ำอีกครั้ง

คนฟังสูดลมหายใจ ภายในเขารู้สึกต่อต้าน แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

“ฉันคิดว่านิโคไลเป็นตัวกระตุ้นการแบ่งแยกบุคลิก ความเจ็บปวดจากการหย่าร้างอาจเล่นงานสมองเธอให้บาดเจ็บแบบเดียวกับการถูกใช้ความรุนแรง”

ถึงตรงนี้มาร์คหัวเราะ อีกฝ่ายวิเคราะห์ตามที่เขาคาดการณ์ไว้

“ผมไม่คิดว่านิโคไลเป็นตัวกระตุ้น ผมเจ็บปวดจากการหย่าร้างแต่ผมรับมือได้”

“ฉันวิเคราะห์ตามข้อมูลที่ได้รับ และ...ฉันไม่ได้ถามความเห็นของเธอ ตอนนี้เธอเป็นคนไข้ของฉัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานที่กำลังช่วยกันดูแลเคส”

สีหน้าของศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่สงบราบเรียบ

“ถึงตรงนี้ฉันคิดว่าเธอยังผ่านขั้นแรกของ ‘ห้าขั้นในการเผชิญความเศร้าและความสูญเสีย’ ไม่ได้เลย ทั้งเรื่องนิโคไลและแอนทอน”

มาร์คหรี่ตาเล็กน้อย เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก “คุณกำลังทดสอบผมอยู่หรือครับ”

“ไม่...มาร์ค ฉันกำลังบอกความจริงให้เธอรู้ เธอป่วยจากความสูญเสีย และเธอเป็นเหยื่อจากความรุนแรงในครอบครัว”

“ใช่ ผมสูญเสีย ใช่ ผมเป็นเหยื่อ แต่ผมไม่คิดว่า…” มาร์คเริ่มเสียงแข็ง เขาโพล่งออกไปและตามอารมณ์ตัวเองทันในครึ่งทาง หากคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทฤษฎีของอาร์มานีเป็นไปได้อย่างมาก เขาป่วย เขามีสองบุคลิก ซึ่งอาจมีรากมาจากความรุนแรงในครอบครัว

อาร์มานีไม่ปล่อยให้สติของมาร์คกลับมาครบถ้วน เขาเห็นช่องให้รุกจากสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่ม

“นิโคไลขอเธอหย่าอย่างไรมาร์ค เขาขอเธอหย่าหลังพวกเธอมีเซ็กซ์กันหรือเปล่า พ่อของเธอ...เขารุนแรงกับเธอและฮันเตอร์อย่างไร กระทืบ? หรือข่มขืนด้วย”

“ผมทำต่อไม่ไหว” มาร์คยกมือเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพลางลุกขึ้น

“เธอเกลียดการหลุดการควบคุม” เสียงอาร์มานีคล้ายกลั้วหัวเราะ

“คุณจะว่าอย่างไรก็ตาม...” มาร์คจ้องอาร์มานี ดวงตามีสีแดงซ้อนจางๆ “ผมพอเท่านี้ครับ”

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่จ้องกลับ แววตาเขาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว “เธอปกป้องใครไม่ได้หรอกมาร์ค”

มาร์คชะงักเหมือนสิ่งที่อีกฝ่ายพูดกระทบใจเขาอย่างจัง

“แม้จะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องตัวเองเธอยังทำไม่ได้เลย เลี่ยงการปะทะกับขี้ขลาดมีเส้นกั้นบางๆ นะมาร์ค”

วินาทีนั้น หัวใจมาร์คเต้นแรงอย่างน่ากลัว เขารู้สึกถึงการกระชากที่กลางอก ก่อนสติจะดับวูบ

ศาสตราจารย์อาร์มานีลุกขึ้นเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าจ้องเขากลับมาด้วยดวงตาสีแดง

——————————————

มาร์ครู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมอาการปวดที่แล่นลามไปทั่วศีรษะ เขาฝืนลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือไฟเพดานสีออกส้มนวลตา สิ่งถัดมาคือใบหน้าคมคายราบเรียบของศาสตราจารย์อาร์มานี

“รู้สึกอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงถามไถ่ของหนุ่มใหญ่ยังคงเมตตา มันช่วยให้ความรู้สึกขุ่นเคืองจากการถูกบีบคั้นเจือจางลง

“ผมปวดศีรษะ” มาร์คหลับตา คิ้วขมวดแน่น เขาเป่าลมหายใจออกทางปาก รู้สึกเหนื่อย

อาร์มานีสังเกตอาการนั้น แล้วถามอย่างเมตตาเช่นเดิมว่า “อยากนอนคุยกับฉัน นั่งพิงหัวเตียงคุยกับฉัน หรือรอคุยกันพรุ่งนี้”

“ช่วยพยุงผมนั่งหน่อยครับ” มาร์คลูบหน้า “ไซโคเจนิกแบล็กเอาต์หรือ”

“ใช่…” อาร์มานีรับคำขณะพยุงมาร์คนั่งพิงหัวเตียง “ฉันได้พบแอนทอน พูดคุยกันหลายอย่าง”

“คุณจงใจกดดันผม?” มาร์คละมือจากใบหน้าครึ่งๆ สายตาจับจ้องที่อาร์มานี

“ใช่...มันมีช่องว่างเล็กๆ ต้องขยี้กันหน่อย แต่ฉันไม่อยากทำอย่างนี้ทุกครั้ง มาร์ค เธอต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับเขาเอง”

“...เขาเป็นยังไง” มาร์คประสานมือบนตัก

อาร์มานีกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนตอบว่า “เหมือนเธอ แต่แสดงอารมณ์น้อยกว่า กระด้างกว่า ฉันไม่ใคร่อยากแนะนำเขาให้เธอรู้จัก” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักพเยิดไปทางโต๊ะข้างเตียงของจิตแพทย์หนุ่ม “หยิบกล้องวิดีโอบนโต๊ะนั่นสิ คำตอบถูกบันทึกอยู่ในนั้น”

มาร์คหันไปทางโต๊ะข้างหัวเตียง กล้องขนาดกะทัดรัดวางนิ่งรอให้เขาหยิบไปควานหาความจริงซึ่งถูกบันทึกในรูปแบบวิดีโอ

---------------------------------------

A/N รอลุ้นตอนต่อไปกันค่ะ ว่ามาร์คจะได้พบอะไรในวิดีโอ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 10-4 [14/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 14-04-2018 05:16:00
Case 10-4

เขาสูดหายใจลึกเมื่อศาสตราจารย์อาร์มานีบอกให้เปิดคลิปล่าสุดซึ่งถูกบันทึกในคืนก่อน เขากดเล่นวิดีโอ พบตัวเองในนั้นถูกกล้องจับบริเวณใบหน้าถึงช่วงอก ดวงตาสีแดงไม่ได้มองจ้องมายังกล้องวิดีโอ คาดว่าคงกำลังจ้องมองใครที่นั่งเผชิญหน้าอยู่

ใครคนนั้นหนีไม่พ้นอาร์มานี

“สวัสดี แอนทอน” อาร์มานีในคลิปทักทายก่อน น้ำเสียงอ่อนโยนและสงบ ดังเช่นจิตแพทย์ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“สวัสดี” แอนทอนตอบรับคำทักทายด้วยภาษาอังกฤษ มาร์คสังเกตว่าแอนทอนมีสำเนียงแปลกแปร่ง คล้ายสำเนียงของชาวยุโรปตอนเหนือที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เขาค้นกรุความทรงจำ นึกรายละเอียดโลกของแอนทอนซึ่งพี่ชายเขาเคยเล่า ถ้าความทรงจำถูกต้อง เขาจำได้ว่าฮันเตอร์ใส่รายละเอียดภูมิหลังของแอนทอนหรือผู้พิทักษ์โดยอิงจาก ‘ไวกิ้ง’

ถึงตรงนี้ มาร์คพอเข้าใจ ว่าทำไมถึงมี ‘ขวาน’ อยู่ท้ายรถ ขวานเป็นอาวุธของนักรบชาวไวกิ้งนั่นเอง

“ฉันอาร์มานี เป็นผู้รักษามาร์ค เธอคือผู้พิทักษ์ของมาร์ค”

การสนทนาดำเนินต่อไป มาร์คซูมภาพเฉพาะส่วนดวงตาของแอนทอน มันกระด้าง เกือบเรียกว่าไม่มีหัวจิตหัวใจ

“ใช่”

“ทำไมเธอถึงออกมา”

“เขากำลังกลัว”

มาร์คขมวดคิ้ว...เขากลัว?

“มาร์คอยู่ที่ไหน”

มาร์คพอเดาคำตอบได้

“อีกโลก ที่ที่ผมจากมา”

จิตแพทย์หนุ่มดูวิดีโอด้วยความรู้สึกหลากหลาย สับสน ตระหนก ประหลาดใจ...ไปจนตื่นใจ ในฐานะจิตแพทย์ เขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นตื่นใจขึ้นระหว่างชมวิดีโอความยาวประมาณสี่ชั่วโมงของศาสตราจารย์อาร์มานี มาร์คกดเร่งในบางท่อน หยุดฟังเอาความแล้วกดเร่งอีก ประกายตาอย่างนักศึกษาที่กระตือรือร้นวาบขึ้น

“เธอมีความเห็นอย่างไร ต่อหลักฐานชิ้นแรกที่แสดงถึงการมีอยู่ของแอนทอน”

“ผม…” มาร์คพูดไม่ออก “ผมไม่มีความเห็น” เขาจำนนต่อหลักฐานซึ่งประจักษ์อยู่ตรงหน้า “ชื่อโลกที่แอนทอนอาศัยอยู่ เป็นชื่อถนนที่บ้านเกิดผมตั้งอยู่” มาร์คหลุบตาลง กระซิบเบาๆ “...วินด์ฮ็อก”

อาร์มานีเปลี่ยนคำถาม เขารับกล้องวิดีโอคืนจากมาร์ค “เธอรู้สึกอย่างไรในตอนนี้”

“สับสนไปพร้อมๆ กับกระจ่างครับ” สติของมาร์คยังค้างกับภาพในวิดีโอ โดยเฉพาะกับภาพดวงตาสีแดงเรืองของแอนทอน เขาคลับคล้ายว่า ในอดีต เวลาพ่อโกรธมากๆ ดวงตาจะกลายเป็นสีอ่อน บางครั้งออกน้ำตาลสว่างจ้า บางครั้งแดง

“และ…” มาร์คจ้องมือตัวเองบนตัก “กลัว”

“เธอกลัวอะไร” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่วางกล้องบนโต๊ะข้างเตียง เขาคิดอยากเอื้อมมือไปกุมมือมาร์ค แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งมองอีกฝ่าย

ฉันคิดถึงเธอ…อาร์มานีหวนนึกถึงใครบางคนในความทรงจำอันเลือนรางห่างไกล

“ผมต้องมอบตัว” มาร์คเม้มปาก “ผมกลัว”

“มาร์ค…” อาร์มานีวางมือบนบ่าซึ่งงุ้มเข้าหากัน “เธอกลัวความจริงเรื่องแอนทอน หรือกลัวที่จะมอบตัว”

“ทั้งสองอย่างครับ” มาร์คว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเรื่องที่แอนทอนทำยังไกลตัว ยังไม่ใช่เรื่องของผม แต่ถ้า…” เขาสูดลมหายใจลึก “แต่ถ้าการรักษาทำให้ผมจำเหตุการณ์เลวร้ายที่ ‘ตัวผมเอง’ ลงมือทำได้ ถ้ามันทำให้ผมกับแอนทอนเป็นคนเดียวกัน ผมจะไม่เหลือความเชื่อในความดีงามของตัวเองเลย”

อาร์มานีบีบบ่ามาร์ค เขามองความเจ็บร้าวในสีหน้า เสียงในหัวดังระงม

เธอเหมือนเขาเหลือเกิน

“ฉันไม่คิดว่าการรักษาจะเรียกความทรงจำเหล่านั้นกลับมาได้ และมาร์ค หากเธอมองในอีกแง่ การรวมกับแอนทอนหมายถึงการที่เธอควบคุมจิตใจของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ” เขาหลับตา สูดลมหายใจเมื่อคลื่นความคิดอันรุนแรงปั่นป่วนในอก

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ลืมตาอีกครั้ง กล่าวนุ่มนวล

“มีวิธีอีกมากกับการสำนึกผิดที่ไม่ใช่โยนตัวเองเข้าคุกมาร์ค คุณยังแก้ไขมันได้ด้วยหนทางอื่น”

มาร์คเงยหน้าสบตากับศาสตราจารย์อาร์มานี สายตาถามอีกฝ่ายว่า ‘ยังมีหนทางไหนอีกหรือ’

“โลกใต้ดิน”

คำพูดของอาร์มานีทำให้มาร์คนิ่งราวถูกสาป เขาจำได้ว่าตนไม่เคยพูดถึงเรื่องโลกใต้ดิน

“แอนทอนพูดถึงมันในช่วงที่เธอกดข้าม” อาร์มานียังพูดต่อด้วยสีหน้าสงบ แม้เนื้อความของเขาจะเกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินซึ่งควรเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับคนปกติก็ตาม “และฉันรู้จักคนหนึ่งที่ทำงานในโลกใต้ดิน” ดวงตาคมมองมาร์ค หนุ่มใหญ่ยกมือแตะแผลเป็นตรงปลายคาง “คนเดียวกับที่มอบแผลนี้ให้ฉัน”

อาร์มานีเล่าเรื่องส่วนตัวเป็นครั้งแรก เขาเล่าถึงเพื่อนสนิทซึ่งรู้จักตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ เมื่อพูดถึงเพื่อนคนดังกล่าว แววตาเขานุ่มนวลลง มาร์ครู้จักแววตาแบบนั้นดี มันเป็นแววตาแบบเดียวกับที่เขาใช้มองนิโคไล

ตามคำบอกเล่าสรุปได้ว่าเพื่อนสนิทของศาสตราจารย์อาร์มานีมีอาการของโรคหลายบุคลิก และพลั้งมือฆ่าพ่อเลี้ยงเพราะอีกตัวตนถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำเลวร้ายในอดีต หลังจากนั้นเขาหนีไปกบดานที่โลกใต้ดิน

“เขาติดต่อมาว่าได้งานในโรงพยาบาลของโลกใต้ดิน…” สีหน้าอาร์มานีสงบจนน่ากลัวขณะจบเรื่องเล่าด้วยประโยคที่ว่า “และไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย”

“คุณกำลังจะบอกผมว่า…?”

“มันมีทางเลือกอื่นสำหรับเธอ”

“ให้ผมหนีคดีไปอยู่โลกใต้ดินหรือครับ”

“เธอลองคิดดูนะมาร์ค ผลสรุปของคดีนี้อาจทำให้เธอลงเอยที่โรงพยาบาลจิตเวช” อาร์มานีว่า “ความสามารถของเธอ พลังของแอนทอนไม่ควรเสียเปล่า และฉันเชื่อว่าเธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่เธอไม่มีความทรงจำต่อมันเลยแม้แต่นิดเดียวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว นั่นต่างจากการติดคุกยังไง”

มาร์คนิ่งอึ้ง คำพูดของศาสตราจารย์อาร์มานีเป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่วางอยู่ในสำนึกคนปกติ

“ในวิดีโอ แอนทอนพูดถึงนิโคไล”

มาร์คเกร็งตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่ออดีตคนรัก

“เขาเล่าเรื่องที่อดีตภรรยาเธอเป็นสมาชิกของสมาคม เล่าเรื่องที่อดีตภรรยาเธอเกือบถูกขย้ำด้วยสุนัขล่าเนื้อ พวกมันถูกสั่งโดยสมาชิกคนสำคัญของสมาคม และถ้าเขาไม่ได้อยู่ในสมาคม ไม่ได้ตามหาอดีตภรรยาเธอในเวลานั้น...” อาร์มานียิ้ม “คิดดูสิมาร์ค ถ้าไม่มีเขา...ไม่มี ‘เธอ’ นิโคไลจะเป็นยังไง”

มาร์คใจเต้นดังตุบ! ขมับตึง ศีรษะปวดหนึบ ดวงตาสองข้างเกิดสีแดงซ้อนจางๆ

เขาเป็นห่วงนิโคไล...เขาเป็นห่วงนิโคไล

เขาต้องการอยู่ใกล้ๆ นิโคไล

มากเหลือเกิน

“เธอยังมีเวลาคิด” แม้จะพูดแบบนั้น แต่อาร์มานีพอคาดเดาคำตอบของจิตแพทย์หนุ่มได้

และแม้มาร์ค แอนโธนีจะสับสนในช่วงเวลานี้...แต่อีกไม่นาน เขาจะเลือกทางที่จิตใต้สำนึกเรียกร้อง

เขาได้ยินเสียงมันดังชัดเจน

เสียงที่เอาแต่จะพร่ำหานิโคไล

“อ้อ” เสียงของศาสตราจารย์อาร์มานีดึงมาร์คกลับมา “เขาบอกฉันว่า...เขากลับมาเพราะเธอต้องการให้เขาปกป้องนิโคไล เขาดูแลนิโคไลห่างๆ ทุกคืนเวลาเธอหลับ ไปดูแลถึงหน้าประตูบ้านนิโคไล...เฝ้ามองเหมือนยามรักษาการณ์”

เสียงในจิตใต้สำนึกของมาร์คยิ่งดังขึ้น

“เธอยังมีเวลาคิด มาร์ค…”

——————————————————-

เมื่อมาร์คยอมรับการมีอยู่ของแอนทอน กระบวนการต่อจากนั้นก็ง่ายขึ้น พวกเขาเข้าสู่การรักษาที่มีเป้าหมายเพื่อให้มาร์คไม่แยกบุคลิกอีก และหลังผ่านไปสามสัปดาห์ มาร์คก็ควบคุมจิตใต้สำนึกได้อย่างสมบูรณ์

แอนทอนจะไม่ตื่นขึ้นอีกตลอดกาล และมาร์ค แอนโธนีได้กลายเป็นชายผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีแดงเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่นในครอบครัว ทว่าสีแดงนั้นยังอ่อนจางและอ่อนโยนกว่าใคร

ส่วนหนึ่งของแอนทอน—อีกตัวตนหนึ่งของจิตแพทย์หนุ่มคงอยู่...เพื่อปกป้องบุคคลอันเป็นที่รัก

“ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่ของคุณ” อาร์มานียิ้มให้มาร์ค หลังจบงานซึ่งได้ผลสรุปเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่าย เขาให้มาร์คดื่มยานอนหลับเจือจางและขับรถมาส่งอีกฝ่ายที่บ้านสีขาวหลังเดิมกับที่เจอกันครั้งแรก

มาร์คพยักหน้า “ขอบคุณครับ สำหรับทุกอย่าง” เขายิ้มให้ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่

รอยยิ้มของมาร์คมีความลึกลับไม่น่าไว้ใจบางอย่าง แต่กลับขับให้จิตแพทย์หนุ่มยิ่งดูเซ็กซี่

พวกเขาจับมือกันและการร่ำลาก็จบลงเพียงเท่านั้น มาร์ค แอนโธนีขับรถมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง

สู่หนทางใหม่ที่เขาเลือกเดิน...โลกใต้ดิน

ขณะที่อาร์มานีขับรถยนต์ส่วนตัวมุ่งหน้ากลับไปที่เคบิน

...สู่หนทางที่เขาเลือกเดินมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

“เธอใช้เวลากับเขานานกว่าที่คิดนะอาร์มานี และเธอไม่ให้ฉันล่าเขา...ทำไม” ชายคนหนึ่งซึ่งมาร์คไม่เคยพบในเคบินหลังนี้ถาม

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่เข้าไปจูบชายวัยสี่สิบเศษที่สูบบุหรี่รอเขาอยู่ตรงระเบียงบ้าน เขาลูบใบหน้าไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่าย และนาบริมฝีปากบนหน้าผาก

“ไม่...เพราะเขาเป็นเด็กดี” อาร์มานีปัดริมฝีปากผ่านขนตาคนที่ยืนจ้องเขาตาดุ

“แต่เขามีดวงตาที่สวย” ชายคนนั้นเชิดหน้าขึ้นจูบอาร์มานีอย่างร้อนแรง “...สีแดง”

“ไม่ ที่รัก…” อาร์มานีกระซิบบนหน้าผากของอีกฝ่าย “เราจะไม่ล่ามาร์ค แอนโธนี”

ชายลึกลับหัวเราะ “ฉันเป็นบุชเชอร์จำได้ไหม บุชเชอร์ต้องล่า”

อาร์มานีพูดความจริงกับมาร์คครึ่งหนึ่ง ‘เพื่อน’ หรือ ‘คนรัก’ ของเขาทำงานในสมาคมใต้ดินจริง แต่ไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาล คนรักของเขาเป็นบุชเชอร์หรือนักค้าอวัยวะเหมือนฮันเตอร์ เป็นมือดี...ก่อนเขาจะพาคนรักหนีและหลบซ่อนในเคบิน

ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ทนเห็นคนรักบ้าคลั่งไม่ได้ กลิ่นเลือดเรียกให้บุคลิกที่เกรี้ยวกราดของคนรักออกมาครอบครองร่างกายและสติสัมปชัญญะ เมื่อกลับเป็นบุคลิกหลักหลังจากนั้น...คนรักของเขาร้องไห้และโทษตัวเอง ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย

เขาตัดสินใจรักษาอีกฝ่าย พามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับชำระจิตใจ ทำให้สดชื่นขึ้น ทว่า...ผลไม่เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์

บุคลิกหลักที่แสนอ่อนโยนกลายเป็นบุคลิกรอง และบุคลิกรองที่เกรี้ยวกราดรุนแรงกลายเป็นบุคลิกหลัก อาร์มานีจมอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองเป็นเวลายี่สิบปี ในบางคืนเขาต้องพยาบาลคนรักที่พยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า มองเศษซากที่แตกสลายของมนุษย์คนหนึ่ง

เป็นเวลายี่สิบปี

ฉันคิดถึงเธอ...อาร์มานีกอดคนรักตรงหน้า แต่กระหวัดนึกถึงใครอีกคนที่หลบซ่อนในจิตใต้สำนึก

ฉันคิดถึงเธอ

-------------------------------------------------

A/N นอกจากเรื่องของมาร์คกับแอนทอนแล้ว เรื่องของศจ. อาร์มานียังกินใจเราไม่แพ้กันค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 11-1 [15/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 15-04-2018 10:51:20
Case 11-1

คารินานั่งพิจารณาแหวนวงหนึ่งอยู่ภายในสวนของคฤหาสน์ หล่อนได้รับมันมาเมื่อหกวันก่อน วันเดียวกับที่มีความสัมพันธ์ทางกายอย่างเร่าร้อนกับหนึ่งในนักส่งของ—ซาช่า แดดบ่ายสะท้อนบนเรือนแหวนสีดำเงาวับ ภายในสลักชื่อสกุลของหล่อน ‘คาห์โล’ หัวแหวนสลักเป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยายชนิดหนึ่ง รูปร่างมันเป็นวัวเพศผู้ตัวใหญ่ มีขาอย่างกวาง หัวอย่างม้า และเขาแหลมขนาดมหึมาพุ่งตระหง่านจากกลางหน้าผาก

มันคืออินดริก

ราชินียาเสพติดกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในการเทียบผลเสียและประโยชน์ที่จะได้จากการตัดสินใจครั้งสำคัญ อินดริกเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวงในตำนานรัสเซีย ความหมายของมันแทนอำนาจอันมหาศาล ชัดเจนเหลือเกินว่า รัสเซียกำลังรวบรวมผู้สนับสนุน และอีกไม่นานนี้โลกใต้ดินคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

คารินาลูบริมฝีปากอิ่มเต็มของตัวเองไปมา หล่อนเป็นผู้หญิงฉลาด และรู้เสมอว่าควรเลือกอะไรเพื่อเพิ่มพูนอิทธิพลของตัวเอง ความผิดพลาดเดียวของหล่อนคงเป็นคราวที่ตัดสินใจร่วมชีวิตกับอเลฮานโดร

แต่การที่ผู้หญิงฉลาดและเฉียบขาดยังลังเลเป็นเพราะหล่อนต้องตัดสินใจเรื่องนี้ในสองฐานะ

ในฐานะผู้นำเม็กซิโกทางใต้ ความเสี่ยงต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกับรัสเซียยังมีมาก แม้การขยับขยายอำนาจและอิทธิพลอาจทำได้มากกว่าการเป็นคู่ค้ากับอิตาลี แต่ก็ไม่คุ้มเสี่ยง

ทว่าในฐานะแม่ ภาพถ่ายของคลอเดีย—ลูกสาวเพียงคนเดียวกำลังถูกอุ้มด้วยชายที่หล่อนไม่เห็นหน้า เห็นเพียงช่วงตัวสูงใหญ่และมือขวาซึ่งสวมแหวนประดับตราสัญลักษณ์เดียวกับวงที่หล่อนได้มาจากซาช่า คารินาก็ทราบได้ทันทีว่ารัสเซียเข้าถึงตัวลูกสาวของหล่อนแล้ว

คารินาหลับตาลงเพื่อควานหาการตัดสินใจสุดท้าย และเมื่อลืมตาขึ้น หล่อนยกภาพถ่ายของคลอเดียขึ้นจูบ ดวงตาคู่สวยมีประกายเฉียบขาด ราชินียาเสพติดหันไปตามเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาหา ชายตรงหน้าของหล่อนคือฆวน ท่าทางเขายังดูสบายดี นั่นหมายความว่าการวิเคราะห์ของนิโคไลถูกต้องแล้วว่าเม็กซิโกใต้วางแผนตลบหลังชิงของจากคนที่อิตาลีส่งมาทำงาน มือใหญ่สองข้างของชายวัยกลางคนวางบนไหล่เปลือยของหล่อน คารินาเงยหน้ามองฆวน

“พ่อ” หล่อนเรียกฆวนด้วยสถานะแท้จริง

“ช่วยหนูติดต่อรัสเซียว่า เม็กซิโกใต้และคู่ค้าทั้งหมดจะเข้าร่วมกับรัสเซีย”

————————————————

ไม่ถึงชั่วโมงหลังการตัดสินใจของคารินา อเลสสิโอมาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลของสมาคมใต้ดินโดยไม่มีทนาย ชายวัยกลางคนเข้าเยี่ยมคลอเดียเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อไพโร ผู้นั่งอยู่ข้างเตียงของเด็กหญิงอย่างใจดีและเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้เทวทูตใบ้ที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นปูนปั้นด้วย

“อเลสซี!” คลอเดียที่กำลังคุยกับนักปรุงน้ำหอมร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นอเลสสิโอ เด็กหญิงวางขนมที่กินอยู่ในมือและอ้าแขนรออ้อมกอดจากชายผู้มาใหม่

“คิดถึงหนูจริงๆ” อเลสสิโอเข้ามากอดและจูบแก้มใสอย่างรักใคร่ เขาหันไปทักทายไพโร

“ปกติคุณไม่ได้มาเวลานี้ไม่ใช่หรือ”

“ช่วงนี้นิโคไลอยากให้ผมมาอยู่กับคลอเดียแทนเขาน่ะครับ” ไพโรยิ้มสุภาพ แม้ไม่เห็นหน้านิโคไลมาสองวันหลังจากวันที่นักส่งของออกไปคุยกับอเลสสิโอ และโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย ไพโรก็ยังมาทำหน้าที่ ‘เยี่ยมแทน’ ตามปกติ

“เธอดูชอบเด็ก” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เปรยตามที่เห็น ทุกครั้งที่พบไพโรอยู่กับคลอเดีย เขาเห็นอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเด็กหญิงเสมอ

“ถ้ามีลูกสาว อยากให้พ่อผมทองแล้วเด็กผมแดงเหมือนผม” ไพโรเขี่ยแก้มคลอเดีย แต่คำพูดเขาแปลกนิดๆ อยากให้พ่อผมทองหรือ...เขาอยากให้ผู้ชายอีกคนคลอดลูกให้เขาหรืออย่างไรกัน ซ้ำพูดออกมาอย่างปกติจนคลอเดียไม่เอะใจว่ามันผิดปกติ

“ลูกสาวคุณอาจะมีพ่อสองคนหรือคะ แล้วแม่ไปไหนคะ”

“พ่ออีกคนก็ให้เป็นแม่ไปด้วยไงล่ะ” ไพโรยังคงตอบอย่างไร้ความรับผิดชอบต่อระบบความคิดของเด็ก

อเลสสิโอหัวเราะจางๆ กับความใสซื่อของคลอเดีย ระหว่างสนทนากัน ชายวัยกลางคนหยิบกล่องเครื่องดื่มเล็กๆ ที่คลอเดียบ่นว่าอยากดื่มมาสักพักจากกระเป๋าด้านในของสูท เขาส่งมันให้เด็กหญิงเชื้อสายเม็กซิกันซึ่งตาวาว หลายสัปดาห์ในโรงพยาบาลกับอาหารรสชาติจืดชืด คลอเดียคิดถึงเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้หวานจัดแบบนี้จะแย่ เธอรับกล่องเครื่องดื่มไปเจาะดูด สีหน้าแจ่มใสขึ้นมาอีกจนอเลสสิโออดลูบศีรษะไม่ได้

อืม...ไพโรมองอเลสสิโออย่างชั่งใจ “ผมเคยบอกไหมว่าคุณดูคล้ายๆ คนในรสนิยม” เขายิ้มและขยับตัว

“ไม่เคย” อเลสสิโอยิ้มให้อีกฝ่ายแบบผู้ใหญ่ใจดี เขาเคยชินกับการถูกจีบทั้งทีเล่นทีจริง

ไม่กี่อึดใจถัดมา คลอเดียอ้าปากหาวหวอดทั้งที่ไม่ใช่เวลานอน เด็กหญิงปล่อยกล่องเครื่องดื่มร่วงลงพื้น ร่างเล็กโงนเงนไปมา แต่ก่อนที่คลอเดียจะวูบหล่นลงจากเตียง อเลสสิโอยื่นมือไปรับศีรษะเล็กมาพิงบนแผ่นอกกว้าง เขาถอนหายใจ สีหน้าคล้ายรู้สึกผิดขึ้นมา

ไพโรจุปากอย่างรู้สึกยุ่งยาก เขาไม่ใช่คนโง่ ที่มาดูแลเด็กหญิงอยู่ทุกวันก็ไม่ได้มานั่งเฉยๆ เพียงแต่เรื่องที่นิโคไลสงสัยอเลสสิโอยังมีชิ้นส่วนจิกซอว์ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถต่อเป็นภาพรวมของเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาเฝ้าระวังอยู่ตรงนี้ได้

เขาเห็นแผ่นอกเด็กหญิงยังสะท้อนขึ้นลงอย่างแผ่วเบา ซึ่งแปลว่าไม่ได้ดื่มยาพิษแต่เป็นยาที่ทำให้หมดสติ และการที่อเลสสิโอวางยาเด็กหญิงต่อหน้าเขาก็หมายความว่า…

“คุณกำลังจะแสดงชิ้นส่วนซึ่งขาดหายไปที่ผมกับนิโคไลเฝ้ารอแล้วหรือ”

ชายผมแดงลุกยืนพลางคิดว่าถ้าเขาใช้ ‘น้ำหอม’ กับอเลสสิโอ คลอเดียก็อาจโดนลูกหลงไปด้วย และเอาจริงๆ เขาชอบดูเรื่องสนุก นิโคไลมีใจอยากปกป้องเด็กหญิงจริง แต่เขามาเพราะได้รับการขอร้องเท่านั้น

“ไอ้นิสัยผมมันก็ลมเพลมพัด…” ไพโรลากเสียงยานคางพลางมองรามิเอล “ให้เทวทูตตรงนี้จัดการคุณที่ละเมิดกฎของสมาคมดีไหมครับ แต่ถ้าเขาจัดการคุณ มันคงไม่ค่อยน่าตื่นเต้น คุณรู้ว่ามีเทวทูตเฝ้ายังกล้าเข้ามาวางยาเด็ก หรือคุณมีไพ่ตายอะไรที่จะใช้พาคลอเดียออกจากเขตสมาคม”

ไพโรเคลื่อนไหวว่องไว และเสี่ยงกับสัญชาตญาณของตน เขาทำมือคล้ายขว้างบางอย่างใส่เทวทูตใบ้ แต่ไม่มีอะไรถูกขว้างออกมา

ทว่าคนที่รู้จักนักปรุงน้ำหอมย่อมไม่ประมาท ไพโรไม่ใช่นักปรุงน้ำหอมธรรมดา แต่เขาเชี่ยวชาญด้านสารเคมีและยา ซึ่งทำให้เขาเป็นทรัพยากรบุคคลที่สมาคมใต้ดินจะไม่ปล่อยไป

รามิเอลลุกยืนเต็มความสูงตั้งแต่เห็นความผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กหญิงในความดูแล เทวทูตใบ้ยังยืนสงบนิ่งแม้ในวินาทีที่ไพโรทำท่าคล้ายขว้างบางสิ่งใส่ตน ในขณะเดียวกันอเลสสิโออุ้มเด็กหญิงเชื้อสายเม็กซิกันขึ้นซบบนบ่า เขาประคองร่างที่อ่อนยวบอย่างถนอม

ไพโรยื่นแขนมาทางอเลสสิโอ เขากำมือค้างไว้อย่างนั้น “ขอดูหน่อยสิ ชิ้นส่วนสุดท้าย” หากเขาใช้ของที่อยู่ในมือจริง ไม่เพียงอเลสสิโอ แต่คลอเดียจะโดนลูกหลง

รามิเอลชักปืนติดที่เก็บเสียงออกจากสูทได้รวดเร็ว มีเพียงเทวทูตและการ์ดที่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืนภายในสมาคม ร่างกายของเทวทูตใบ้แข็งแกร่งกว่าคนปกติ ทนต่อยาชาและพิษได้มากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังเริ่มมีอาการชาปลายนิ้วทั้งสิบ รามิเอลยิงปืนนัดแรกใส่แขนไพโรข้างที่ยื่นไปหาอเลสสิโอ อีกสองนัดยิงที่ขาทั้งสองข้างของนักปรุงน้ำหอม จังหวะการยิงของรามิเอลรวดเร็วกว่ามนุษย์แม้อยู่ในภาวะไม่ปกติ กระสุนนัดแรกทะลุผิวหนังของไพโรเฉียดอเลสสิโอไปฝังบนฟูกอย่างแม่นยำ

ไพโรกัดฟันกลั้นเสียงแม้เจ็บฉิบหาย กระสุนนัดหนึ่งโดนเส้นเลือดใหญ่ที่ขา มือเขาคลายออกพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะ “ให้ตาย โหดจริงๆ ไพ่ตายของคุณ แต่เขายิงพลาดนะ ควรยิงที่หัวสิ หรือเขาฉลาดก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ!!!”

ยาของไพโรที่ใช้กับรามิเอลคือยาชา แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ยาชาธรรมดาหรอก

ปัดความคิดอันไม่มีประโยชน์ออกไปก่อน ถ้าไพโรตาย รามิเอลก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาโดนอะไรอยู่แล้วนี่

ไพโรยกแขนข้างที่ยังดีปรบมือกับแขนข้างที่โดนยิง “บราโว...บราโว...คุณได้เทวทูตใบ้ไปเป็นพวก นี่วางแผนกันมากี่ปี ให้ตาย ขอดูเรื่องสนุกต่ออีกหน่อยสิ”

“เขารู้ว่าเธอจะรู้สึกอัปยศ ถ้าถูกศัตรูไว้ชีวิต” สีหน้าของอเลสสิโอยังคงอ่อนโยน เขาถอนหายใจและไม่ตอบคำถามด้วยรู้สึกว่าเสียเวลา

“ฉันไม่ใช่อัศวิน ฉันไม่มีเกียรติยศพรรค์นั้น” ไพโรมอง ‘คู่รัก’ ที่ทรยศโลกใต้ดิน ต้องเป็นคนรักกันแน่ๆ รามิเอลถึงได้ยิงเขาสามนัดรวดเพราะเป็นห่วงเมียมัน “ต้องขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ตั๋วที่นั่งแถวหน้าต่างหาก อันนี้ขอบคุณจริงๆ แต่คิดอีกที ตายก็ไม่เลวนะ...กำลังอยากรู้ว่าไอ้พี่บ้ามันจะหายบ้าหรือบ้าหนักกว่าเดิมถ้าไม่มีคนคอยคุ้มหัวมัน”

ช่างเป็นคนที่พูดมากจริงๆ เหมือนพวกขี้อวด แต่ไม่ ถ้าคุณมองเข้าไปในดวงตาสีแดงของไพโร มันคือตาของหมาบ้าจนตรอกที่สนุกสนานแม้กระทั่งกับความตายของตัวเอง

“ขอให้โชคดี คุณสุภาพบุรุษ” ไพโรรู้ว่าเขากำลังเสียเลือดปริมาณมาก ถึงจะเอามือข้างที่ไม่เจ็บกดแผลไว้ก็ได้แค่จุดเดียว...การหายใจก็ช้าลง...เขามองเด็กหญิงอีกแวบหนึ่ง แล้วคิดในใจว่า

ก็ยังลงมือกับเด็กและผู้หญิงไม่ได้จริงๆ

อเลสสิโอนับถือเกียรติของไพโรในใจเงียบๆ เขายกมือลูบแก้มของนักปรุงน้ำหอมและบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“รัสเซียต้อนรับเธอเสมอ”

อเลสสิโอค่อยๆ ผ่อนร่างที่หมดสติของไพโรบนพื้น เขาก้าวข้ามนักปรุงน้ำหอมที่นอนจมกองเลือดไปหารามิเอล รั้งเทวทูตใบ้ลงมาจูบ

“ดิมิตริ” อเลสสิโอเรียกแล้วจูบซ้ำ

“รถพร้อมแล้ว” เสียงต่ำแหบพร่ากระซิบชิดริมฝีปากของอเลสสิโอ เทวทูตผู้ทรยศสมาคมใต้ดินพูดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ราวกับเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่รัสเซีย

--------------------------------------

A/N ฝั่งรัสเซียเคลื่อนไหวรวดเร็วมากค่ะ ไพโรยับเยินทีเดียว ;w;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 11-2 [16/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 16-04-2018 07:31:47
Case 11-2

ในเวลาเดียวกับที่อเลสสิโอไปถึงโรงพยาบาล ซาช่ามาหานิโคไลที่ห้องพักส่วนตัวในตึกโอลิมปัส ความจริงแล้วเขาไม่มีความจำเป็น—และไม่ควรมาเจอนิโคไล มีความเสี่ยงสูงที่แผนการซึ่งเตรียมมาสิบกว่าปีจะล่มกับการกระทำนอกแผนในครั้งนี้ ถึงอย่างนั้นความรู้สึกบางอย่างและความผูกพันบางประการกลับผลักดันให้ชายหนุ่มชาวรัสเซียนทำตามใจตัวเอง

บานประตูไม้ทาสีเขียวอ่อนยังคงให้ความรู้สึกหรูหราเช่นเดิม คนที่อยู่ในนี้มีพร้อมทั้งเงินและอำนาจจากสมาคมใต้ดิน เป็นนักส่งของอันดับหนึ่งผู้เป็นที่รักใคร่ของทางสมาคม

ไม่มีการตอบรับจากภายในห้องเมื่อซาช่ากดกริ่ง ทว่าเขารู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ความเงียบนี้สงบ...และวังเวงจนหนาวเยือกเหมือนอยู่ในห้องดับจิต

“เฮ้ นิกกี้” ซาช่าเปลี่ยนเป็นเคาะกำปั้นบนประตูพร้อมกับส่งเสียงดัง “เปิดประตูหน่อยคู่หู ฉันรู้ว่านายอยู่ในนั้น”

ประตูเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ มีคนอยู่ข้างในจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครกดปุ่มปลดล็อกประตูให้ซาช่า ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องกลับไม่พบใคร ไม่ว่าจะเป็นในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ข้าวของเครื่องเรือนทุกอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน

“ซาช่าหรือ” เมื่อมาถึงห้องนอน ซาช่าได้ยินเสียงแหบโหยภาษารัสเซียมาจากด้านในห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ติดกัน “...มีอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเดินตามเสียงไปยังห้องอาบน้ำ เขาพูดไปพลาง “จำได้ว่าลืมคอนยัคราคาแพงหูฉี่ไว้ เลยแวะมาเอา”

“จะไปไหนหรือ ถึงต้องรีบมาเอาจนทุบประตูห้อง” นิโคไลยังพูดภาษารัสเซีย มันต่ำและเบา ฟังแทบไม่ออก แต่เนื่องด้วยในห้องเงียบมาก ซาช่าจึงได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ซาช่าบิดประตูห้องอาบน้ำและพบว่ามันไม่ได้ล็อก เขาเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไป

“ฉันมีนัดกินข้าวกับอาที่ไม่ได้เจอกันมานาน” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนตอบตามจริง “วันนี้คงไม่มีงานด่วนใช่ไหม”

นิโคไลนั่งเปลือยกายกอดเข่าอยู่ในอ่างอาบน้ำหินอ่อนสีขาวซึ่งตั้งกลางพื้นกระเบื้องลายหิน ขาอ่างอาบน้ำสีทองหรูหราดูเหมาะกับรสนิยมเจ้าของห้อง ทว่าสิ่งไม่เข้ากันคือกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าบรรจุเข็มฉีดยาจำนวนหลายกล่อง...กล่องเหล่านั้นวางเรียงกันเป็นระเบียบ ภายในเข็มฉีดยาแต่ละอันยังมีของเหลวบรรจุเต็ม

“ไม่มีหรอก แต่ถึงมีก็ไม่ไป” นิโคไลกอดเข่าคู้ตัว เขาไม่พูดภาษาอังกฤษสักคำ ซึ่งนั่นแปลกมาก เพราะปกตินิโคไลไม่พูดภาษารัสเซีย

“คิดถึงนายจัง ขอบคุณที่แวะมานะ”

ถึงพูดว่าคิดถึง แต่นิโคไลก็ไม่มองซาช่า

ซาช่ามองสภาพของคู่หูแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเดินเข้าไปใกล้ ตอบกลับเป็นภาษารัสเซีย “นั่งโป๊อยู่ในน้ำเดี๋ยวก็เป็นไข้”

“นี่…ไม่รู้สิ อาจไม่เป็นก็ได้ ฉันจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว” น้ำในอ่างของนิโคไลเย็นเฉียบ “หาคอนยัคไม่เจอหรือ...น่าจะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น”

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราว “มาเถอะ” เขายิ้มให้นิโคไล ดวงตาคล้ายอ่อนแสงลง

นิโคไลเงยมองซาช่า ดวงตาเขาดูกลมโตกว่าที่เคย อาจเพราะใบหน้าซูบตอบลง เขามอง...กะพริบตา แล้วก็ยิ้มและลุกตามอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ซาช่าห่มผ้าเช็ดตัวให้ และรอว่าอีกฝ่ายอยากทำอะไรต่อ

ซาช่าห่อและซับน้ำบนผิวนิโคไลด้วยผ้า แต่อุ่นตัวเย็นเฉียบของอีกฝ่ายด้วยอ้อมแขน ชายหนุ่มชาวรัสเซียนอุ้มนักส่งของอันดับหนึ่งออกจากห้องอาบน้ำ เขาพานิโคไลไปที่เตียง หาเสื้อผ้ามาสวมให้

“นายดูเหนื่อย ฉันจะเว้นเรื่องการกวนประสาทไว้ก่อน” ซาช่านาบมือบนแก้มเย็นๆ อุ่นให้ด้วยความร้อนจากร่างกาย

นิโคไลหลับตา “อืม นิดหน่อย เหนื่อย...แต่ไม่ถึงตาย”

ซาช่ามองสีหน้าของนิโคไล เขาขยับริมฝีปากแล้วก็นิ่ง มือใหญ่วางบนเส้นผมชื้นลูบแผ่วเบา ก่อนเอ่ยประโยคกึ่งกวนประสาท

“นายควรอยู่กับใครสักคนตอนนี้ สามีเก่าไหม ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว”

นิโคไลมีท่าทางคิดเล็กน้อยเมื่อซาช่าเอ่ยถึงมาร์ค “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน” นิโคไลไม่ได้พูดว่า ‘อยู่กับใคร’ แต่เป็น ‘อยู่ตรงไหน’ จากนั้นเขาปรับน้ำเสียงให้ฟังล่องลอยน้อยลง “ไม่ได้รีบไปหรือ”

“รีบ ฉันกำลังจะสาย” ถึงพูดแบบนั้น แต่ซาช่ายังไม่ขยับตัว เขาเลื่อนมือจากศีรษะลงมาเกลี่ยบนแก้มที่อุ่นขึ้นแล้ว

“นี่ สมมตินะ...สมมติเคยมีคนบอกว่าเขาจะไม่ไปจากนาย แต่วันหนึ่งเขาหายตัวไป เขาเป็นคนในอดีต ฉันจำได้ว่านายไม่สนใจอดีต แสดงว่า นายก็ไม่โกรธหรือเสียใจที่เขาผิดสัญญาใช่ไหม”

“ในตอนนั้นฉันอาจโกรธหรือเสียใจ แต่มันผ่านไปแล้ว” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนหลุบมองดวงตาคู่ของคนตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ฟุ้งขึ้นเหมือนบ่อตะกอนขุ่นนอนก้นที่ถูกหย่อนหินลงรบกวน ใบหน้ารางเลือน น้ำเสียง และคำพูดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งซุกอยู่ในความคิดปรากฏขึ้น แต่สุดท้ายซาช่าเลือกที่จะปัดมันทิ้ง อดีตผ่านพ้นไปนานแล้ว ชีวิตของเขาอยู่เพื่อปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น

นิโคไลร้องไห้หลังจากได้ยินคำตอบ เขาจับมือซาช่าแผ่วเบา “มันมี...การลบความทรงจำ...สองขั้นตอน มันซ่อน...ไว้สองชั้น” เขาสะอื้น “ชั้นแรก...พวกเขาจะบอกว่านายลืมอะไร...ให้นายยึดติดกับกับส่วนนั้น...แต่ชั้นที่สอง...คือความจริงที่ลึกลงไปอีก...เป็นกล่องแพนโดรา”

นิโคไลสูดจมูก

“...ช่างเถอะ...ทั้งสองอย่างเป็นเรื่องในอดีต นายคงไม่สนใจ”

ซาช่าพยักหน้า เขามองนาฬิกาก่อนจะบอก “ฉันต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มชาวรัสเซียนรวบตัวนิโคไลมากอด เขากอบใบหน้าสวยและประทับจูบ จูบของซาช่านุ่มนวลกว่าครั้งไหน

“ปล่อยมือจากอดีตบ้างนิกกี้ มันอาจทำให้นายรู้สึกดีขึ้น” เขากระซิบ ปัดริมฝีปากผ่านขนตาชื้นไปจูบบนหน้าผาก

นิโคไลอยากกอดตอบ แต่ตัวเขาแข็งไปหมด...รอยจูบของซาช่าทำให้ในหัวและหัวใจของเขาโหยหาสัมผัสนี้อีก...แต่คิดอีกทีก็ไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า...เพราะรอยจูบในความทรงจำของ ‘นิกิ’ นั้นผ่านมานานมากแล้ว

“ฉันรักนาย...ขอโทษ...ที่ผิดสัญญา แต่ยังดีที่ครั้งนี้...ได้บอกลา” นิโคไลยิ้มส่ง “ฉันจะปล่อยมือจากอดีตตามที่นายบอก”

วิธีการใช้คำพูดของนิโคไลไม่เหมือนตัวเขาตามปกติ

เขาจูบแก้มซาช่าอย่างอ่อนโยน ในจูบนั้นไม่มีตัณหา มันแค่...จริงใจ

ซาช่าจูบนิโคไลอีกครั้งก่อนผละจากห้องเมื่อถึงเวลา ชายหนุ่มชาวรัสเซียนจากไปแต่ไม่ได้เอาขวดคอนยัคไปด้วย เขาต้องไปพร้อมอเลสสิโอ คลอเดีย และรามิเอล มันเป็นการจากลาที่คงไม่มีโอกาสได้พบกันในโลกใต้ดินแห่งนี้อีก

...แม้ซาช่าออกไปนานแล้ว คนที่ถูกบอกลายังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ในที่สุดเขาก็ขยับปากพูดกับตัวเองคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า

“...บ๊ายบาย…รักแรก...และ...ซาช่า”

ทว่าด้านนอก ซาช่ายังไม่ผละไปทันที ดวงตาเขาแข็งกร้าว สีหน้าจริงจัง เขาจำนิกิได้ และจากบทสนทนาเมื่อสักครู่ก็ทำให้แน่ใจว่านิกิคือนิโคไล แต่เขาตัดสินใจแล้วที่จะไม่ยึดติดกับอดีต อีกอย่างคือการจำนิกิได้อยู่ในจังหวะที่ไม่เหมาะสม เขามีภารกิจที่ ‘ต้อง’ ทำให้สำเร็จ ความรู้สึกใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นไม่ควรถูกสานต่อ

ชายหนุ่มชาวรัสเซียนมองกระดาษโน้ตในมือที่เขาดึงจากสมุดบนโต๊ะวางโทรศัพท์ของนิโคไล ดึงปากกาจากอกเสื้อออกมาเขียนฝากข้อความสั้นๆ แล้วสอดเข้าตรงช่องใต้ประตู

‘อาจได้ดูดาวที่ฝั่งเหนือด้วยกัน

รอ’

——————————————

เกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อมีคนพบร่างไร้สติท่วมเลือดของไพโรที่โรงพยาบาลใต้ดิน ภายในห้องพักฟื้นของคลอเดีย คาห์โล โดยปราศจากร่องรอยของเด็กหญิงและเทวทูตรามิเอลผู้เป็นคนเฝ้า นางพยาบาลคนหนึ่งแจ้งว่าเห็นอเลสสิโอผู้ได้สิทธิ์เป็นผู้อุปถัมภ์คลอเดียแวะเข้ามาและออกจากโรงพยาบาลพร้อมอุ้มเด็กหญิงไปด้วย อเลสสิโอแจ้งว่าจะพาคลอเดียไปชมบรรยากาศข้างบน เมื่อเห็นว่ามีเทวทูตใบ้ดูแลอยู่ใกล้ชิดจึงไม่มีใครทัดทาน

มีพยานแจ้งว่าเห็นรถที่ซาช่า—คู่หูของนักส่งของอันดับหนึ่งขับมารับทั้งสามคน แต่ไม่มีการแจ้งว่าพวกเขาใช้เส้นทางไหนในการเดินทาง

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังการจากไปของรามิเอล อเลสสิโอ คลอเดีย และซาช่า หุ้นส่วนธุรกิจต่างๆ ของสมาคมกว่าครึ่งถอนหุ้นจนเกิดความวิตกกระสับกระส่ายกับหุ้นส่วนที่เหลือ แต่สมาคมใต้ดินแห่งอิตาลีก็ใช้เวลาไม่นานในการเข้าจัดการทุกอย่างให้ดำเนินต่อไปได้ ส่วนฝ่ายรัสเซียได้ประกาศอำนาจและอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้

ผลกระทบเกิดขึ้นในหมู่คนทำงานโลกมืด เมื่อมีการตรวจพบว่าสายลับของรัสเซียแอบแฝงอยู่ในสมาคมอีกหลายคนนอกจากรามิเอล หรือชื่อจริงคือดิมิตริ วลาดิมีโรวิช ซิมา ผู้เป็นน้องชายของอิลยา วลาดิมีโรวิช ซิมา—อดีตผู้นำสมาคมใต้ดินรัสเซีย

ยังมีซาช่า และคริสตอฟผู้เป็นหนึ่งในทีมนักส่งของ

นั่นทำไปสู่การสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ทีมนักส่งของซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญถูกสั่งสอบสวน โดยเฉพาะนิโคไลกับโซเฟียซึ่งใกล้ชิดกับสายลับเป็นพิเศษ

---------------------------------------------

A/N ตอนนี้คือ...น้ำตาไหล 30 ลิตร โฮรวๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 11-3 [17/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 17-04-2018 10:26:00
Case 11-3

หนึ่งเดือนต่อมา

นางพยาบาลมีอารออยู่แล้วตอนที่มาร์ค แอนโธนีในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเดินเข้ามา เธอผายมือให้นายแพทย์คนใหม่ของสมาคมใต้ดินนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้ด้านหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ พร้อมเอ่ยสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปให้เขาฟัง

“ขอบคุณที่มาในวันนี้ เนื่องจากนิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟระบุชื่อคุณเป็นแพทย์ประจำตัวเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าคุณตอบตกลงรับเขาเป็นคนไข้ คุณจะได้รับอนุญาตเข้าถึงประวัติการรักษาทั้งหมดของเขา แต่หากปฏิเสธ ก็ไม่มีความผิดอะไรตามมาเช่นกัน…”

นางพยาบาลหยุดพูดเมื่อมาร์คยกมือ เขาตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม

“ผมตกลงเป็นแพทย์ประจำตัวคุณเกราซิมอฟ”

“เข้าใจแล้วค่ะ แฟ้มเอกสารและบันทึกดิจิทัลของคนไข้ทั้งหมดอยู่ที่นี่ คุณสามารถศึกษาประวัติการรักษาของเขาได้ในห้องนี้ ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับของทางสมาคม หมอ คนไข้ และผู้สอบสวนภายใน ไม่อนุญาตให้นำออกจากห้องและเผยแพร่โดยมิได้รับความยินยอมจากสมาคม…”

มีอายังแจ้งสิทธิ์และกฎทั้งหมดที่มาร์คจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เสร็จแล้วก็ให้เขาลงชื่อในเอกสารอีกหลายฉบับ เมื่อขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น หล่อนก็ออกไปจากห้องโดยไม่ลืมกำชับว่ามาร์คสามารถเรียกใช้บุรุษพยาบาลที่อยู่ด้านนอกได้ตลอดเวลา

หน้าจอโปรเจคเตอร์ถูกเปิด มันเป็นสีขาวสว่างในตอนแรก ก่อนฉายภาพคนไข้ในชุดสีขาวของโรงพยาบาล วันที่ตรงมุมซ้ายบนของภาพระบุว่าเป็นเวลาหนึ่งวันหลังเกิด ‘เหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่’ ในสมาคมใต้ดิน คนที่อยู่ในภาพมีผมสีทองและผิวขาวซีด รูปร่างเล็ก ใบหน้ามีเสน่ห์เกินชาย และไฝน้ำตาสองข้างใต้ดวงตาคู่สวยที่ติดจะเหม่อลอย

“กรุณาบอกชื่อของคุณ” เสียงผู้หญิงเริ่มบทสนทนา มาร์คจำได้ว่าเป็นเสียงของมีอา

“นิโคไล เซอร์เกย์เยวิช เกราซิมอฟ” ชายหนุ่มหน้าสวยในภาพตอบ

“อายุ”

“ยี่สิบห้าปี”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมจึงถูกพาตัวมาที่นี่” เสียงมีอายังราบเรียบ

“ผมคงทำอะไรพลาด” นิโคไลตอบ เขาไม่สนใจมองกล้องตั้งแต่คำถามแรก

“เราจะแจ้งข้อกล่าวหาให้คุณฟัง”

ไม่มีการตอบรับ ทว่าหญิงสาวก็ยังพูดต่อ ใจความเกี่ยวข้องกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนักส่งของอันดับหนึ่ง เมื่อมีการพิสูจน์ว่าคู่หูของเขา หรือนักส่งของที่รู้จักในนาม ‘ซาช่า’ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดึงคารินา คาห์โล อดีตคู่ค้าคนสำคัญของสมาคมไปเข้ากับฝ่ายรัสเซีย

“คุณเป็นคนเลือกซาช่าเป็นคู่หู และทำภารกิจที่เม็กซิโกด้วยกัน คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการครั้งนี้หรือไม่”

“ไม่มี”

“คุณมีหลักฐานใดพิสูจน์”

ไม่มีคำตอบจากนิโคไล

“เราตรวจสอบพบว่า นักส่งของซาช่ามาหาคุณช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดเรื่องลักพาตัวคลอเดีย คาห์โล ทว่าเป็นซาช่าที่หายตัวไปพร้อมกับอดีตเทวทูตรามิเอล และอดีตคู่ค้าอเลสสิโอ แฟร์เรรา มีเพียงคุณที่ถูกทิ้งไว้ พวกคุณแตกคอกันหรือไม่”

“เขาแค่มาลา” ครั้งนี้นิโคไลตอบ

“คุณสนิทสนมกันถึงขั้นมีการร่ำลาหรือ”

นิโคไลเลือกที่จะเงียบ

“คำถามต่อไป ภายในห้องพักของคุณ เราพบยาฉีดชนิดพิเศษที่แพทย์ของสมาคมระบุให้คุณใช้เป็นประจำ ทว่าเข็มฉีดยาทั้งหมดรวมสามสิบสองอันไม่ถูกใช้งาน คุณหยุดยาเองโดยไม่บอกแพทย์มานานแค่ไหนแล้ว”

“หลังผมได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในโรงพยาบาล” นิโคไลเอ่ยถึงเรื่องเมื่อตอนอัลฟีโอทุ่มแจกันใส่หัวเขา

“กรุณาแจ้งเหตุผลในการหยุดยา”

“ผมเกิดสงสัยว่า...ผมควรลืมจริงหรือ”

“เหตุผลมีเพียงเท่านั้น?”

เมื่อนิโคไลไม่ตอบ มีอาจึงถามต่อ “เราทราบตัวตนที่แท้จริงของ ‘ซาช่า’ คุณล่ะ ทราบหรือไม่”

“อเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมา” นิโคไลเอ่ยชื่อนั้นโดยมีปฏิกิริยา...ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าระหว่างการถูกสอบสวน คิ้วของเขาขมวดเข้า แต่ปากยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม เป็นสีหน้าที่น่าอึดอัดและดูทรมาน

“คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมา”

“เขาเป็นลูกชายของอิลยา วลาดิมีโรวิช ซิมาที่สั่งสังหารครอบครัวผม”

“คุณรู้ไหมว่าคุณควรลืมชื่อและตัวตนของอเล็กซานเดอร์”

“รู้ นั่นเป็นเงื่อนไขในการสะกดจิต”

มีเสียงถอนใจของมีอา “คุณยืนยันว่าการสะกดจิตที่ใช้ร่วมกับยาคลายออกแล้วหรือ”

“ใช่”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“สองวันก่อนที่อเล็กซานเดอร์จะมาลา ผมไม่ได้จำทุกอย่างได้ทันที แต่ค่อยๆ จำได้ทีละเรื่อง”

“คุณกำลังสารภาพว่ารู้ตัวจริงของอเล็กซานเดอร์ อิลยาเยวิช ซิมาก่อนที่จะเกิดเหตุหรือ”

“ครับ”

“ถ้าคุณแจ้งตัวจริงของเขาแก่ทางสมาคมตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นได้ คุณตระหนักหรือไม่”

“ครับ”

“แต่คุณไม่ได้แจ้ง เพราะอะไร”

นิโคไลหลับตา

“หากคุณไม่แจ้งเหตุผล ข้อสรุปจะกลายเป็นคุณยอมรับผิดในข้อหาเอาใจออกหากสมาคม”

นิโคไลยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น

“คิดถึงน้องชายของคุณแล้วกรุณาตั้งใจตอบคำถาม” ประโยคนี้ไม่น่าอยู่ในรายการคำถาม มีอาคงคิดขึ้นมาเอง

การเอ่ยถึงโรเมโอทำให้นิโคไลมีปฏิกิริยาอีกครั้ง นานครู่ใหญ่...เขายอมเปิดปาก “ผมคิดไม่ออก ว่าตัวเองควรทำอะไรในเวลานั้น”

“คุณมีเวลาคิดตั้งสองวัน”

“ผมเปิดกล่องแพนโดรา” นิโคไลกดเสียงต่ำ

“กล่องแพนโดราหมายถึงความทรงจำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ ตัวตนของอเล็กซานเดอร์ เป็นความทรงจำที่คุณต้องการลืมจริงๆ ใช่หรือไม่”

“ใช่”

มีอาเงียบไปครู่หนึ่ง มีเสียงแทรกจากนายแพทย์ที่ร่วมฟังการสอบสวน จากนั้นหล่อนจึงกล่าวต่อ “กรุณาระบุรายละเอียดของความทรงจำนั้นเพื่อประโยชน์ของคุณ จิตแพทย์จะประเมินว่าคุณตกอยู่ในภาวะ ‘คิดไม่ออก ว่าตัวเองควรทำอะไรในเวลานั้น’ จริงหรือไม่”

นิโคไลหัวเราะ เขาก้มหน้าจนคอตก...แล้วก็เริ่มร้องไห้ “ผมเป็นคนขโมยข้อมูลจากแล็ปท็อปของพ่อไปให้อิลยาเอง เขาถึงรู้ว่าจะสั่งฆ่าพวกเราได้ที่ไหน ผมแลกข้อมูลกับการได้แอบพบซาช่า...ผมมันโง่...สมควรตาย...ไม่ใช่พ่อกับแม่ ไม่ใช่…”

มีเสียงแพทย์ปรึกษากันโดยที่นิโคไลยังไม่หยุดร้องไห้ ตามด้วยคำถามจากมีอา

“ตอนนี้คุณอายุเท่าไร นิโคไล”

“สิบเจ็ด” คนสะอื้นตอบกระท่อนกระแท่น

มีความเงียบหลังคำตอบ การปรึกษาของแพทย์กลายเป็นการถกเถียง กระทั่งนิโคไลสะอื้นจนไม่มีเสียง มีอาจึงตัดสินใจสรุป

“คุณกำลังอยู่ในภาวะสับสน เมื่อการสะกดจิตคลายออก คุณไม่รู้ว่าตัวเองคือนิโคไลที่อายุสิบเจ็ดปี หรือนิโคไลที่อายุยี่สิบห้าปี วันนี้เราจะหยุดการสอบปากคำไว้เพียงเท่านี้”

ภาพบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ดับลง

มาร์คนั่งมองเทปบันทึกคำให้การของนิโคไลด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ หลังดูเทปล่าสุดจบ เขาเรียกดูเทปอื่นๆ และอ่านประวัติการรักษาของนิโคไลด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง มาร์ครู้สึกเจ็บปวดที่เขาไม่เคยรู้เรื่องอาการของนิโคไลมาก่อน เขาเจ็บปวดที่ไม่สามารถเข้าไปปกป้องหรือโอบกอดอดีตภรรยาในเวลาที่นิโคไลเผชิญหน้าความทรมานได้ จิตแพทย์หนุ่มถอนหายใจยาวหลังอ่านเอกสารทั้งหมดจบ เขาติดต่อมีอาและแจ้งความประสงค์ในการเข้าพบนิโคไลโดยเร็วที่สุด

———————————————

ห้องที่นิโคไลพักรักษาตัวหรือ ‘ถูกกักบริเวณ’ อยู่ที่ชั้นสิบของโรงพยาบาลใต้ดิน เขาถูกห้ามเยี่ยม ซึ่งทำให้ก่อนหน้านี้ไม่มีญาติหรือเพื่อนพบหน้าได้ คนที่แสดงออกว่าไม่พอใจที่สุดคือโรเมโอ ทว่าจากการห้ามปรามของเพื่อนวัยเดียวกันในสมาคมใต้ดิน ที่ขู่ว่า ‘ถ้านายทำเรื่อง พี่ชายก็ยิ่งลำบากไม่ใช่เรอะ!’ ทำให้แม้ไม่พอใจ โรเมโอก็อดทนรอโดยไม่อาละวาด

วันนี้ คนใกล้ชิดคนแรกที่จะได้พบนิโคไลก็คือมาร์ค

มีอาเปิดประตูนำมาร์ค ในห้องพักคนไข้มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อนำมาเป็นอันดับแรก คนไข้ไม่ถูกล่าม แต่ก็มียามเฝ้าหน้าห้อง

นิโคไลสวมชุดคนไข้สีขาว นั่งหันหลังมองผนัง เขาไม่ขยับตัวแม้ได้ยินเสียงรองเท้าเดินเข้ามา

“คนไข้ปฏิเสธการใช้ยาคู่กับการสะกดจิตเพื่อกดความทรงจำอีกครั้ง คณะแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะเขาหยุดยาเองเป็นเวลานานพอสมควร ถึงกลับมาใช้ยาตัวเก่าก็อาจได้ผลน้อยลงหรือมีการต้านยา และเขายังมีคุณค่าเกินกว่าจะส่งไปเป็นหนูทดลองยา” มีอาอธิบาย รวมถึงกล่าวรายละเอียดอื่นๆ ที่แพทย์ประจำตัวควรรู้

มาร์คพยักหน้ารับข้อมูลจากมีอา เขากล่าวกับนางพยาบาลแต่ดวงตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของนิโคไล

“ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม ผมจะสอบถามไปทางคณะแพทย์ ขอบคุณมาก”

“คนไข้ไม่พูดนัก การพูดครั้งสุดท้ายคือตอนเลือกคุณเป็นแพทย์ประจำตัว ทางสมาคมอนุมัติคำขอของเขาเพราะยังต้องการนักส่งของอันดับหนึ่ง คนไข้ได้รับเวลา แต่เขาจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้” หล่อนกล่าวแล้วถอยไปยืนข้างประตู

“ผมขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหม...มีอา” นิโคไลเปิดปาก ซึ่งทำให้มีอาแปลกใจ หล่อนตอบรับและเดินออกไปอย่างสง่า

มาร์คเดินเข้าไปยืนข้างๆ นิโคไล เขาหลุบดวงตามองอดีตคนรักที่ดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมขอโทษที่ใช้เวลานานกว่าจะมาเจอคุณ”

--------------------------------------------

A/N แต่มาร์คก็มาแล้วนะคะ ;w;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 11-4 [18/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 18-04-2018 10:04:59
Case 11-4

“คุณไม่ผิดอะไรเสียหน่อย จะขอโทษทำไมมาร์ค” นิโคไลเกร็งตัวเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะตอบรับเรื่องแพทย์ประจำตัวไหม แต่นั่นเป็นทางเดียวที่เราจะได้คุยกัน ผมติดค้างเรื่องที่ควรบอกคุณอยู่...ถามมาเถอะ ผมจะตอบทุกอย่างที่คุณอยากรู้” ลิ้นนิโคไลพันกันเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดประโยคยาวๆ มาสักพักแล้ว

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนี้” มาร์คถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ว่างเปล่าและสงบ...ไม่อยากเจอหน้าใครเท่าไร”

มาร์คจดคำพูดของนิโคไลลงแฟ้มคนไข้ “คุณอยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า”

“ผมอยากให้คุณอยู่...คุยกันให้จบ”

“คุยอะไรดีละ คุณช่วยผมได้ไหม” มาร์คยิ้มจางๆ

“วันที่คุณกลับมา คุณบอกว่าอยากรู้เรื่องของผม...” นิโคไลเอ่ยช้าๆ “หรือเท่าที่แฟ้มประวัติคนไข้กับภาพบันทึกเทปของผมบอกคุณก็เพียงพอแล้ว”

“ผมอยากฟังเรื่องที่คุณอยากเล่ามากกว่า มีอะไรที่คุณคิดว่าอยากพูด อยากคุย หรือรู้สึก...ค้างคาใจกับผมหรือเปล่า” มาร์คถาม

“ผมแค่อยากตอบสิ่งที่คุณอยากรู้”

มาร์คมองนิโคไลอย่างพิจารณา “เราอาจพอก่อนดีไหมสำหรับวันนี้”

“ไม่ดี” นิโคไลหันมา ใบหน้าขาวซีดมีความไม่พอใจแฝงอยู่ “ผมอยากคุยให้จบ ถึงคราวหน้ามาทำแบบนี้อีกก็ไม่มีประโยชน์”

จิตแพทย์หนุ่มปิดแฟ้มคนไข้ เขาเคลื่อนตัวมานั่งข้างๆ อีกฝ่าย

“อืม” มาร์คยิ้มมุมปากน้อยๆ “อะไรทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่างเปล่า บอกผมได้ไหม”

นิโคไลเม้มปากกับรอยยิ้มของมาร์ค เขาไม่เคยสนใจงานของอดีตสามีอย่างจริงจัง แต่ไม่คิดว่าจิตแพทย์ควรมีรอยยิ้มแบบนี้...มันเป็นรอยยิ้มมุมปากธรรมดา ทว่าเขากลับรู้สึกขัดตา

ทำไมถึงยังยิ้มเหมือนให้อภัยทุกอย่างในโลกได้

“ผมอยู่คนเดียวเป็นเดือน ถ้าไม่ว่างเปล่าจะให้คิดถึงอะไร” การรักษาช่วงแรกบันทึกไว้ว่านิโคไลไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจริง

“โรเมโอล่ะ” มาร์คถาม “เขามาที่นี่ประจำ นั่งรอฟังอาการของคุณจากข้างนอก”

คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบนิโคไล ซึ่งนั่นรวมถึงโรเมโอด้วย เด็กหนุ่มโวยวายลั่นโรงพยาบาล ถูกการ์ดหามออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่ละความพยายามในการจะมาหาพี่ชาย โรเมโอเคยประกาศกับมาร์คว่า “ถ้าไม่ให้ไปหานิกกี้ เค้าก็จะนั่งรอตรงนี้!” พร้อมหอบข้าวของจำเป็นมาเฝ้าตรงที่นั่งรอคิวพบแพทย์ (การ์ดห้ามโรเมโอเฝ้าไข้แม้กระทั่งบริเวณหน้าห้อง)

“ไม่ดีกว่า…” นิโคไลปฏิเสธการพบน้องชายทันที ซึ่งแปลก นอกจากนี้เขายังจับแขนตัวเองและห่อไหล่ อันขัดกับท่าทางหงุดหงิดที่เพิ่งแสดงออก

บางที...นิโคไลอาจพยายามทำตัวเป็นปกติต่อหน้ามาร์ค

เหมือนที่เคยทำมาตลอด

“ไม่คิดถึงเขาหรือ” มาร์คส่งเสียงอืมในลำคอ “ผมถามได้หรือเปล่าว่าทำไม”

“เราคุยกันแค่เรื่องคุณได้ไหม” นิโคไลบอกปัด และเขารู้สึกแน่นหน้าอกกับความคิดปฏิเสธน้องชาย “ไม่มีสักเรื่องที่คุณอยากรู้จริงๆ หรือ” น้ำตาคลอในดวงตาคู่สวย

มาร์คจะส่งทิชชูให้นิโคไล แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขาลงมือทำสิ่งที่ไม่ควรทำในฐานะจิตแพทย์ นั่นคือเกลี่ยน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาบนผิวแก้มอีกฝ่าย “คุณเหมือนอยากเล่า แต่ไม่เล่า มีอะไรติดขัดหรือเปล่า...บอกผมที”

นิโคไลสะอื้น “ผมจะเปลี่ยนแพทย์ประจำตัว ผมคิดว่าพอแค่นี้ก็ได้”

เขายังไม่เป็นปกติจริงดังคาด

“ได้สิ” มาร์คเอ่ย “จริงๆ แล้วผมรักษาคุณไม่ได้ รู้หรือเปล่า...จิตแพทย์เกิดความผูกพันต่อคนไข้เมื่อไร นั่นเป็นสัญญาณให้ทรานสเฟอร์เคส”

“ผมก็ไม่ได้ต้องการจิตแพทย์ ผมต้องการ!...” นิโคไลแทบกัดลิ้นตัวเอง เขาสะอื้นเหมือนต่อสู้กับความอยากบอกความในใจและการกักเก็บมันไว้

“ในเมื่อคุณไม่อยากรักษากับผมแล้ว ให้ผมเป็นแค่มาร์คของคุณได้ไหม”

นิโคไลเงยหน้ามองมาร์ค น้ำตาเขาไหลอาบหน้าเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างไรอย่างนั้น

“ผมรู้...ผมรู้ คนเราอกหักก็จะเจ็บปวดแบบนี้ละ” มาร์ควิเคราะห์อาการของนิโคไลจากข้อมูลในแฟ้ม จากวิดีโอ และจากอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่ปรากฏระหว่างคุยกัน “แถมพ่อของเจ้าคนหักอกยัง...หักหลังครอบครัวคุณด้วย”

คำพูดของมาร์คกระทบใจคนฟังอย่างจัง

“กอดผมหน่อย” นิโคไลพยายามควบคุมให้ตัวเองหยุดสะอื้น “...ได้โปรด”

มาร์คดึงนิโคไลเข้ามากอดแน่น “ไม่เป็นไร คุณเจ็บปวดได้ ร้องไห้เถอะ...ร้องนะ ผมอยู่ตรงนี้” เขาให้อดีตคนรักซบหน้ากับบ่า พร้อมลูบศีรษะจนกว่าจะนิ่ง

“ผมไม่ได้รักเขาแล้ว” นิโคไลสูดจมูกและพูดเสียงสั่นจนเหมือนมาร์คกำลังปลอบเด็กเล็กๆ “เขาบอกให้ปล่อยมือจากอดีต ผมว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน” มือเล็กเกาะบ่ามาร์ค “แค่ความรักเล็กน้อยแบบนั้น มีอะไรให้ควรจำ” เล็บจิกบนเสื้อกาวน์ “...ผมจะมีหน้าไปพบโรเมโอได้ยังไง ผมทำให้พ่อแม่ของเราตาย”

“นิกกี้…” มาร์คจูบขมับคนตัวเล็กกว่า “คุณติดบ่วงความรักความทรงจำนั้นเกือบสิบปี ไม่ต้องเร่งตัวเอง” เขาจับไหล่นิโคไล ดึงออกให้สบตากัน “ส่วนอีกเรื่อง...คุณในตอนนั้นจะรู้หรือว่าเขาจะลงมือฆ่าพ่อแม่ของคุณ คุณไม่ใช่ฆาตกร คุณเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ และคุณกำลังลงโทษตัวเองให้ตายช้าๆ ในความผิดบาปที่คุณไม่ได้มีเจตนาเลย”

นิโคไลรับฟังโดยไม่ต่อต้าน “ผมคิดว่าตัวเองในอดีตโง่เง่า แต่ผมสลัดเด็กผู้ชายโง่ๆ คนนั้นไม่พ้น นั่นไม่ใช่คนแบบที่ผมในปัจจุบันเป็น ผมรู้ว่าเราต้องยอมรับความผิดพลาดในอดีต แต่...แต่...แค่คิดว่าจะเดินออกไปจากที่นี่แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกลับต้องการใครสักคน ผมไม่ควรต้องการใคร ผมต้องอยู่ให้ได้เหมือนที่เคยเป็น ผมแค่อยาก…”

นิโคไลกัดปากตัวเองแน่น เขาผ่อนลมหายใจที่ถี่กระชั้น” แล้วพูดเสียงต่ำ

“ผมอยากอาเจียนกับสิ่งที่ผมเป็นในตอนนี้”

“คุณมีผม” มาร์คลูบแก้มนิโคไล “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” เขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอีกครั้ง

“ผมหย่าคุณนะมาร์ค” นิโคไลมีแววพยศในดวงตา เขาดูไม่เหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดแต่กลับมาเป็นนิโคไลคนเดิม

“ผมจีบคุณใหม่ได้หรือเปล่า”

“ผมทำงานที่ไม่รู้ต้องไปนอนกับใคร เมื่อไหร่!” นิโคไลทุบ!

มาร์ครับกำปั้น “ผมรู้”

“ที่ผมบอกให้กอด ผมไม่ได้ให้กอด ผมให้คุณนอนกับผม!”

“ชู่ว…” มาร์คปลอบให้นิโคไลสงบ

“คุณเคยถามตอนหย่าว่าผมไม่รักคุณแล้วหรือ คำตอบนะมาร์ค ผมรักคุณ รักก่อนที่จะจำเรื่องในอดีตได้ นิโคไลที่เป็น ‘นักส่งของ’ รักคุณ แต่เราจะอยู่กันยังไง ในเมื่อผมอยู่ในโลกอันตราย ผมที่เป็นผู้ใหญ่ตัดสินใจได้มีสติกว่าตัวเองตอนอายุสิบเจ็ด ไม่มีอะไรดีกว่าการหย่าแล้วต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง!”

นิโคไลกำมือดันอกมาร์ค

“แล้วตอนนี้?” มาร์คไม่ยอมปล่อยกอด

นิโคไลสูดหายใจอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้ายิ้มทั้งน้ำตา “ผมบอกคุณไปรึยัง เสื้อกาวน์ที่ใส่อยู่นี่…ทำให้คุณน่ากินชะมัด”

เขาหัวเราะแบบ ‘ช่างเถอะชีวิต’

มาร์คจะว่าเขาหน้าด้าน ร่าน ไร้ยางอาย หรืออะไรก็ช่าง...เขาเบื่อจะเสแสร้งแกล้งทำสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น

“เอาไว้ผมจะให้คุณกินตอนออกจากโรงพยาบาล” มาร์คหัวเราะ “เรารอคุณอยู่ ผม โรเมโอ เจเรไมน์ ขนาดฮันเตอร์ยังเหงาปากไม่รู้จะต่อคำกับใคร”

“ผมอยากเป็นคนที่เสียใจก็ร้องไห้ โดยไม่ต้องไปหลบอยู่ในห้องอาบน้ำ” นิโคไลน้ำตาไหล “ผมอยากร้องไห้ได้อย่างเข้มแข็งจริงๆ เสียที”

“คุณทำได้แล้วนี่...เก่งมาก” มาร์คจูบหน้าผากและเปลือกตานิโคไล

“ผมจะปล่อยอดีตไป แต่ไม่ลืมมัน ผมอยากให้มันเป็นบทเรียน...ให้เรารู้จักตัวเอง...และเข้มแข็ง”

เขาประคองใบหน้ามาร์คมาจูบแนบแน่น เขาในวัยเด็กอาจรักซาช่า และเคยตะโกนบอกโลกว่ารักเด็กหนุ่มชาวรัสเซียนคนนั้น รวมถึงยอมรับว่าตนเริ่มมีใจให้ซาช่าที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง แต่ตัวเขาที่เป็นผู้ใหญ่ยังมีอีกความรักหนึ่ง...อันแตกต่างกับรักแรกโดยสิ้นเชิง ความรักนี้เงียบงัน ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจมาตลอด และถูกปัดทิ้งด้วยเหตุผลว่าเขากับอีกฝ่ายอยู่คนละโลก

“คุณต้องเล่าให้ผมฟังบ้างนะมาร์ค ว่าคุณหายไปทำอะไรมา...และคุณกับแอนทอน เป็นยังไง เราอยู่ในโลกเดียวกันแล้ว ครั้งนี้ ผมจะไม่ปฏิเสธคุณ ถ้าไปกันไม่ได้ ผมให้คุณปฏิเสธผม...”

มาร์คยิ้มอ่อนโยน เขาเกลี่ยริมฝีปากบนริมฝีปากนิโคไล และจูบนุ่มนวล

“ผมจะเล่าให้คุณฟัง ทุกๆ อย่าง แต่หลังจากเราได้เจอกันข้างนอกนะ” เขากอดนิโคไลแน่นขึ้น

“ผมจะเล่า...ระหว่างเราดื่มกาแฟด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน เดินทางด้วยกัน หรือระหว่างเราร่วมรักกัน” มาร์คยิ้มกว้าง

นิโคไลหน้าแดงกับประโยคสุดท้าย เขารู้สึกขัดเขินอย่างไม่มีเหตุผล จากปกติที่ทำท่าทางเชิดใส่ประโยคหวานเลี่ยนแบบนี้ กลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“อื้อ…” นิโคไลน้ำตาคลอ “ผมว่าเป็นความคิดที่ดีนะ...เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”

----------------------------------------------

A/N เป็นความคิดที่ดีจริงๆ /ร้องไห้ไปกับนิโคไลค่ะ ;w;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 12-1 [19/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 19-04-2018 20:47:21
Case 12-1

เมื่อมีคำรับรองจากแพทย์ว่านักส่งของอันดับหนึ่งอยู่ในภาวะที่สามารถพูดคุยได้แล้ว นิโคไลถูกเรียกไปพบหัวหน้าเทวทูตเป็นการส่วนตัว

ชายคนนี้มีชื่อว่าดอเรียน ในสมาคมใต้ดิน เขาเปิดเผยหน้าตามากกว่าสวมหน้ากาก แต่แม้ทุกคนจะเห็นรูปลักษณ์แท้จริง ก็ไม่ใช่ทุกคนจะทราบตำแหน่งหรือสถานะของดอเรียน เวลาถูกซักถาม เขาตอบคำถามไม่ตรงกันสักครั้ง “ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว” หรือวันต่อมาอาจเปลี่ยนกะทันหันก็ได้ จนหลายต่อหลายคนระอา เรียกเขาว่า ‘พินอคคิโอ’ ตามตัวละครเด็กชายผู้ชอบโกหกในวรรณกรรมเด็กคลาสสิกของคาร์โล คอลโลดิ

ไม่ใช่แค่ชอบพูดเรื่อยเปื่อยเรื่องตำแหน่งและสถานะ เขายังชอบเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองไปเรื่อยๆ ตามแต่อารมณ์และความสนใจ ณ ขณะนั้น อย่างเวลานี้เขาถูกใจ ‘ดอเรียน’ ซึ่งมาจากชื่อเต็มว่า ‘ดอเรียน เกรย์’ ตัวละครเอกในนวนิยายเชิงปรัชญาของออสการ์ ไวลด์ เขาชอบเรื่องราวของดอเรียน เกรย์—ชายหนุ่มผู้ไม่มีวันตาย แก่ชราหรือแม้กระทั่งเจ็บไข้ เนื่องเพราะวิญญาณเขาถูกฝังไว้ในภาพวาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพวาดภาพนั้นจะรับความเสื่อมเอาไว้เอง ดอเรียนจึงไม่มีความกลัวแบบมนุษย์เหลืออยู่ ทว่าอยู่ไปนานวัน ความสุขแบบมนุษย์ก็ไม่อาจเติมเต็มเขาได้เช่นกัน

‘ว่างเปล่า’ อาจเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด

ในตอนนี้ภาชนะว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยใครคนหนึ่ง เขาเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเป็นชื่ออื่น แต่สงวนไว้เฉพาะใครคนนั้นรวมไปถึงเพื่อนสนิท

สำหรับคนในสมาคมยังคงเรียกเขาว่าดอเรียน คนเก่าคนแก่ของที่นี่เห็นว่าเหมาะแล้ว เพราะแม้เวลาจะผ่านมาสิบหรือยี่สิบปี เทวทูตคนนี้...ไม่แก่ชราตามกาลเวลาเลย สิบปีหรือยี่สิบปีก่อนดูเป็นอย่างไร เวลานี้ก็ไม่แตกต่าง เขายังคงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ดวงตามีประกายแห่งพลังชีวิต

“สวัสดี นิโคไล ไม่เจอกันนาน” ดอเรียนเอ่ยทักทายนักส่งของ เสียงเขาทุ้มจัดทว่าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“สวัสดีครับดอเรียน ไม่เจอกันนานจริงๆ ขอบคุณที่เชิญมา ผมอยากกล่าวคำขอโทษที่ทำให้หลายคนลำบากอยู่พอดี” นิโคไลถอดชุดคนไข้มาสวมชุดตามปกติ เสื้อแจ็กเกตทับเสื้อยืดและกางเกงหนังขาสั้นกับรองเท้าบูตยาว ทว่าแม้ชุดเปรี้ยวจี๊ด ท่าทางคนสวมกลับนิ่งสงบ “ผมพร้อมชี้แจงแล้ว”

“เชิญ” ดอเรียนผายมือให้นิโคไลนั่งบนโซฟา

นิโคไลนั่งลงอย่างว่าง่ายและเป็นการเป็นงาน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมรับฟัง เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดในมุมของตัวเอง ตั้งแต่การรับซาช่าเป็นหนึ่งในทีมนักส่งของและให้เป็นคู่หู การมีความสัมพันธ์ทางกาย ภารกิจที่เม็กซิโก และเรื่องราวหลังจากนั้น

“ส่วนอเลสสิโอ ผมจับตาดูเขาเพราะความไม่วางใจส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญ ผมไม่คาดว่าเขาจะร่วมมือกับซาช่า รามิเอล หรือกระทั่งคริสตอฟ รากที่ชอนไชเข้ามาในสมาคมของพวกเขาลึกมากและหยั่งรากไว้นานทีเดียว”

การจับตาดูอเลสสิโอที่นิโคไลทำร่วมกับไพโรมีสาเหตุมาจากข้อมูลที่ได้รับจาก ‘เจ้าของ’ อันที่จริง แม้ช่วงนักส่งของรักษาตัวจะห้ามคนส่วนใหญ่เข้าเยี่ยม แต่เจ้าของก็ยังได้รับการยกเว้น มีการติดต่อจากเจ้าของนิโคไลผ่าน ‘สุนัขหมายเลขหนึ่ง’ หลังนิโคไลถูกกักตัวในโรงพยาบาลได้สองวัน สุนัขคนนั้นเป็นชายหนุ่มผมดำร่างสูงผู้หล่อเหลาและมีบรรยากาศรอบตัวอย่างเชื้อพระวงศ์ เขายืนมองนิโคไลครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกมา และแจ้งแก่สมาคมว่า

‘เขายังเป็นสัตว์เลี้ยงของเดอ โรเวเร อย่างไรก็ฝากดูแลด้วย’

“เอาเถอะ ฉันเองก็ตามรามิเอลไม่ทัน” ดอเรียนนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง ไขว่ห้าง เอนหลังสบายๆ “ฉันเรียกเธอมาคุยทั่วไป ไม่ได้จะเรียกมาตำหนิ อย่างไรเธอก็ทำงานเป็นนักส่งของ ไม่ใช่พวกไนท์วอทช์หรือพวกที่ตรวจสอบประวัติสมาชิก”

“แต่ความผิดพลาดที่ทำให้สูญเสียคู่ค้าสำคัญอย่างคารินา คาห์โล อย่างไรก็ต้องมีการแสดงความรับผิดชอบใช่ไหมครับ” นิโคไลไม่หวังว่าตัวเองจะผ่านเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย เพราะเขาเก็บงำตัวจริงของซาช่าไว้ถึงสองวัน

“ความผิดตกที่บรรดานักสอบประวัติ ถ้าเธออยากรู้” ดอเรียนประสานมือวางบนเข่า “ตกที่ไนท์วอทช์และเทวทูต เราหละหลวม” ตอนเหตุซา เขาเรียกประชุมหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบด้านโครงสร้างของสมาคมมาปรึกษาหารือถึงช่องโหว่ในการตอบรับสมาชิก ตรวจสอบสมาชิก ไปจนถึง ‘อำนาจ’ ของสมาชิก เพื่อให้การดูแลสมาชิกทุกคนรัดกุมขึ้น

“กรุณาบอกสิ่งที่ผมทำได้” นิโคไลน้อมศีรษะ ถึงสมาคมจะใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มขีดจำกัด หรือบางทีมากกว่าขีดจำกัด แต่ในใจลึกๆ นิโคไลรู้ว่าชีวิตใหม่ของเขาหลังครอบครัวถูกสังหารเริ่มต้นใหม่ที่นี่...เขายังมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับสมาคมอยู่

“ทำอย่างเคยนั่นละ นิโคไล” ดอเรียนเอ่ย มีความเมตตาเจือในน้ำเสียง

“รับทราบครับ ดอเรียน”

“ฝากความคิดถึงไปให้โรเมโอและมาร์ค แอนโธนี สมาชิกใหม่ของเราด้วย”

นิโคไลเสียววูบในใจ จากนั้นก็ฝืนยิ้ม เขาทราบว่าหัวหน้าเทวทูตสามารถอารีได้มากพอๆ กับเหี้ยมโหด และอีกฝ่ายไม่ต้องแตะตัวเขาด้วยซ้ำหากคิดลงโทษ

“ขอบคุณในความกรุณาครับ...ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัว”

——————————————————-

กลับจากพูดคุยกับดอเรียน มีคำสั่งให้ปล่อยตัวนิโคไลจากโรงพยาบาล ทว่ายังติดทัณฑ์บนต้องมารายงานตัวตามเวลาที่กำหนด

นิโคไลใช้เวลาตรวจร่างกายและพูดคุยกับแพทย์อยู่ราวสองชั่วโมงก็เป็นอิสระ

คนแรกที่เขาไปพบคือโรเมโอซึ่งปักหลักรออยู่ในโรงพยาบาล

“นิกกี้!” โรเมโอลุกพรวด! จากที่นั่ง ในมือยังถือผ้าพันคอซึ่งผืนใหญ่พอจะเป็นผ้าห่มได้ เขามานั่งรอพี่ชายทุกวันพร้อมกับมาร์ค ในหัวมีแต่จะคิดหาวิธีย่องไปหานิโคไล

ด้านจิตแพทย์หนุ่มหัวเราะ เขาลุกขึ้นตามอาการสะดุ้งของเด็กหนุ่มข้างตัว พลางส่งรอยยิ้มให้ ‘คนรัก’ ซึ่งกำลังเดินมาหาพวกเขาทั้งคู่

นิโคไลยิ้มให้มาร์คแล้วเท้าเอวเอียงคอมองน้องชาย เขาทำจมูกฟุดฟิดพร้อมสีหน้าฉงน “ทำไมกลิ่นน้ำหอมฟุ้งแบบนี้ มาร์คไม่บ่นเลยหรือ” พี่ชายยื่นหน้ามาดมเหมือนแมวตัวโต “อาบน้ำบ้างหรือเปล่านี่…”

“อะ...อาบ” โรมอ้อมแอ้ม เขาเปิดห้องโรงแรมของสมาคมไว้แต่ไม่เคยอยู่เพราะเป็นห่วงนิโคไล เด็กหนุ่มจะกลับไปนอนโรงแรมเฉพาะเวลาเหนื่อยถึงขีดสุดจนต่อกรกับมาร์คซึ่งเพียรอุ้มเขากลับโรงแรมไม่ไหว

คิ้วสวยของนิโคไลขมวดเข้าหากัน เขาปวดใจนิดๆ ที่ทำให้โรเมโอเป็นห่วงถึงขนาดลืมดูแลตัวเอง จึงดึงน้องชายมากอด “ยอมให้ครั้งเดียวนะ ถ้าคราวหน้าไม่อาบน้ำ...ไม่กอดแล้วด้วย”

นิโคไลกอดโรเมโอแน่นแล้วระบายลมหายใจออกมายาวๆ

“ไม่เป็นไร คราวนี้พี่ไม่สบายหนักหน่อย...แต่หายแล้วล่ะ สบายดีแล้วไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เขาปลอบคนตัวสั่นในอ้อมกอด

“เค้ากลัวนิกกี้ไม่กลับมาหาเค้า” โรเมโอสะอื้น น้ำตาไหลพรากเปรอะชุดนิโคไล เด็กหนุ่มปล่อยโฮอย่างไม่อายกลางโรงพยาบาล สองแขนรัดอีกฝ่ายแน่น

“อายุสิบแปดแล้วจริงหรือเปล่าเนี่ย”

“อายุเป็นตัวเลขไร้สาระ” โรเมโอสูดจมูก “เค้าเหงา”

“ถึงบอกให้มีแฟนไง” นิโคไลบีบจมูกน้องชาย เขาทำเหมือนทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เป็นเรื่องที่รับมือได้ง่ายๆ เพื่อให้โรมเลิกกังวล

“มีนิกกี้พอแล้ว!” โรเมโอประกาศ

“เอาละ...เอาละ เราไปฉลองกันดีไหม อยากกินอะไรกันบ้าง” มาร์คถามสองพี่น้อง

“ไม่เอาอาหารเม็กซิกันก็แล้วกัน” นิโคไลกอดและจูบมาร์คกลางทางเดินโรงพยาบาล เขาอ้อยอิ่งอยู่สักพักกว่าจะยอมปล่อยปากพลางไล้จมูกชนกับสันจมูกโด่ง “อืม...ดูคุณสิ เสียดายจัง วันนี้ไม่ใส่เสื้อกาวน์” เขายิ้มร้าย

“เอาไว้เราซื้อสักตัวไว้ที่บ้าน” มาร์คก้มลงไปกระซิบตอบ ดวงตาเจือสีแดงมีแววหยอกเย้า

“ไม่ก็นัดเจอกันที่โรงพยาบาล” นิโคไลมองมาร์คทั้งเนื้อทั้งตัว พบว่าสามีเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นคน ‘ลองคบกันใหม่’ ยังน่ากินเสมอต้นเสมอปลาย

ระหว่างทั้งสามคนกำลังเดินไปทางลอบบีประชาสัมพันธ์เพื่อออกจากโรงพยาบาล ก็สวนกับชายผมแดงในชุดสูทสีดำแบบสั่งตัดพอดีตัว ใบหน้าของชายคนนี้โดดเด่นและคุ้นตา ทว่าที่แปลกไปจากเดิมคือมันไม่มีรอยยิ้มกวนอารมณ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

โรเมโอกำลังจะทักว่า ‘ไพโร!?’ ด้วยความประหลาดใจที่อีกฝ่ายลุกเดินได้หลังมีข่าวว่าถูกยิงเลือดท่วม ทว่าชายในชุดสูทสีดำกลับเพียงปรายตามาทางนิโคไลแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร

“อะไรของเขา โดนยิงจนสมองเสื่อมหรือไง ไม่ทักทายกันเลย” โรเมโอเบ้ปาก

นิโคไลมองตามหลังชายหนุ่มผมแดงร่างสูงซึ่งมีท่วงท่าสง่างามอย่างผู้ดีแต่กำเนิด เขาเพิ่งทราบเรื่องไพโรถูกยิงอาการสาหัสก็วันนี้และแวะไปดูทันที ทว่าไม่ได้พบคนเจ็บเพราะมีคำขอร้องจากญาติว่าไม่ประสงค์ให้ ‘บุคคลภายนอก’ เข้าเยี่ยม

“นั่นไม่ใช่ไพโรหรอก” นิโคไลเปรย

ไม่ใช่เลย เขาแยกอีกฝ่ายออกจากไพโรได้ในทันที

——————————————————-

‘เพียโตร’ คือชื่อของพี่ชายฝาแฝดของชายหนุ่มผมแดงที่นอนอยู่บนเตียง ข้างเตียงของเขามีดอกไม้เยี่ยมไข้สีแดงซึ่งกลีบดอกสวยงามเรียงกันสมบูรณ์ราวกับไม่ใช่ของจริง ซ้ำดอกไม้นี้ยังมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติอันแตกต่างจากกลิ่นดอกไม้ในท้องตลาดทั่วไป เป็นกลิ่นหอมที่เหมือนมาจากในความฝันอันน่าหลงใหล กระทั่งนางพยาบาลที่เข้ามาดูแลคนป่วยยังเผลอเคลิ้มไป

“กลิ่นดอกไม้ของแกนี่...เหมือนของสุกจัดทุกทีเลยว่ะพี่” คนบนเตียงพูดจาเสียดสี “เอาของใกล้เน่ามาเยี่ยมกันแบบนี้ จะฆ่ากันด้วยกลิ่นหรือไง”

เพียโตรไม่ต่อปากต่อคำ เขาเดินมาข้างเตียง มือจับคางน้องชายจะพลิกดูแผล

“มันยิงที่แขนกับขา” ไพโรจ้องพี่ชายอย่างหาเรื่อง “ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะมาเยี่ยมได้ ให้ตาย เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่จริงหรือเปล่าวะ”

“ฉันมองหาแผลที่แกโดนตอกหน้า” เพียโตรพูดเสียงเรียบ ก่อนละมือจากน้องชาย

ไพโรแสยะเมื่อถูกกวนอารมณ์กลับ “ฉันก็ควรมองหาศพแกในเรือนกระจกสักวันไหม”

เพียโตรทำธุรกิจขายไม้ดอกไม้ประดับ รวมไปถึงไม้ผลบางประเภท นอกจากนี้เขายังมีงานอดิเรกคือเลี้ยงพันธุ์ไม้แปลกๆ จากทั่วโลก บางครั้งทดลองผสมจนได้พันธุ์ไม้ชนิดใหม่ก็นำมาประมูลในสมาคมใต้ดิน อย่างดอกไม้ที่นำมาเยี่ยมไพโรเขาก็ผสมพันธุ์ขึ้นเอง อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะนำมาประมูลหรือปล่อยออกสู่ตลาดทั่วไป

บาดแผลของไพโรใกล้หายดีแล้ว ที่จริงเขาเดาว่าเพียโตรน่าจะมาที่โรงพยาบาลหลายครั้งก่อนหน้านี้ เพราะเขากับมันมีเลือดกรุ๊ปพิเศษ ไม่สามารถใช้เลือดสำรองตามปกติ หากต้องให้เลือด เพียโตรน่าจะถูกเรียกมาทันทีตั้งแต่วันแรกที่เขาถูกยิงนั่นแหละ

“ฉันอยากฆ่าไอ้คนที่กล้ายิงแกจริงๆ” เพียโตรจ้องแผลที่แขนน้องชาย

--------------------------------------

A/N บทนี้ขออนุญาตปักธง ดอเรียน ไพโร เพียโตร ค่า! // นิกกี้อาการดีขึ้นแล้ว ดีใจ ;w;
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: Case 12-2 [20/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 20-04-2018 13:39:56
Case 12-2

ไพโรเลิกคิ้วสีแดงอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป วันนี้จู่ๆ เกิดรักน้องชายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาซึ้งจนอยากจูบปากแกเลยว่ะพี่”

“ถ้าปากแกไม่อวดดี ฉันก็อยากจูบ” เพียโตรดึงผ้าห่มของไพโรออกเพื่อดูแผลบริเวณขา

“จูบสิ กำลังเบื่อพอดี” ไพโรยันตัวขึ้น เรือนร่างกำยำเผยสัดส่วนน่าประทับใจแม้อยู่ในชุดคนไข้สีขาว

“ถ้าปากแกไม่อวดดี” เพียโตรย้ำ

“อ้อ แกชอบคนปากเงียบๆ หัวอ่อนนี่นะ” ไพโรจ้องพี่ชายด้วยดวงตาสีแดงเปี่ยมพลัง แต่เห็นอย่างนี้ วันแรกที่เพียโตรมาถึง ไพโรนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดยอาศัยเครื่องช่วยหายใจและรอเลือดจากพี่ชายฝาแฝดมาต่อชีวิต ในตอนนั้นเขาไม่ได้สติ ดวงตาปิด ร่างกายไม่ไหวติง ดูไม่ต่างอะไรจากศพ

“ฉันเบื่อ เพียโตร แกจะใช้อำนาจในฐานะญาติสนิทกับหน้าหล่อๆ เหมือนฉันล่อลวงหมอให้กักตัวฉันไว้อีกนานเท่าไร” ที่จริงไพโรดึงดันจะออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สัปดาห์แรกด้วยซ้ำ

“จนกว่าจะแน่ใจว่าแกไม่ไปตายที่ไหน” พี่ชายฝาแฝดตอบ แม้จะพูดจาเย็นชา แต่เพียโตรเป็นคนที่ร้อนใจที่สุดเมื่อทราบข่าวไพโรถูกยิง เขาจะเอาเรื่องสมาคมให้จงได้

“รับรองว่าไพโรไม่เป็นไร? ฉันจะมั่นใจอะไรกับพวกแกได้! ขนาดระดับเทวทูตยังทรยศ หมอจะไม่ฆ่าน้องชายฉันหรือไง ไม่เอาโว้ย เปลี่ยนโรงพยาบาล!” เขาตะโกนลั่นขณะที่ไพโรอยู่ในห้องผ่าตัด ตะโกนใส่หมอ พยาบาล ไปจนถึงการ์ดรักษาความปลอดภัย ก่อนจะยอมสงบเมื่อเกเบรียลเข้ามาไกล่เกลี่ย

“ถ้าอย่างนั้น…” กลับมาที่ปัจจุบัน ไพโรยกมุมปากพลางช่วยขยับเน็กไทให้พี่ชาย “ขอสาวๆ น่ารักมาปาร์ตี้หน่อยสิ บอกตามตรง ที่นี่โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ หรือถ้าแค่นี้ยังไม่ได้ ฉันจะพิจารณาเอาแกแทนดีไหม” เขาหัวเราะอย่างไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น

“แกถูกเอามากกว่า” เพียโตรกดเรียกพยาบาลเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของอาการน้องชาย เขาเบาใจขึ้นเมื่อเห็นว่าไพโรกลับมาปากดีได้

“ถ้าออกแล้วจะกลับไปพักที่บ้านหรือที่นี่”

“ที่บ้านนั้นน่ะหรือ” ไพโรกระตุกยิ้มแปลกๆ วูบหนึ่ง จากนั้นดึงหน้าเพียโตรมาจูบ มือเขาจับสันกรามแข็งแรงของพี่ชายขณะค่อยๆ ละเลียดปากกับปาก

ริมฝีปากของเพียโตรให้ความรู้สึกเย็นชาเหมือนกำลังจูบกับรูปปั้น ไพโรถอนปากแล้วตบแก้มเพียโตรเบาๆ เขาหัวเราะนิดๆ เหมือนจะเยาะ “ถ้าบ้านนั้นน่ากลับไปนะพี่...แต่ไม่ ฉันเบื่อกลิ่นเหม็นเน่าในเรือนกระจกของแกเต็มที”

นางพยาบาลที่เป็นพยานการจูบกันของชายหน้าเหมือนทั้งสองถึงกับใจเต้นระส่ำกับสายตาและน้ำเสียงอันตรายที่สมาชิกกลุ่มไฟระดับสูงมีให้แก่พี่ชายของเขา

“ตามสบาย” เพียโตรคล้ายไม่ยินดียินร้าย “แต่กลับไปบ้างก็ดี บ้านเงียบเหงาเกินไปพอขาดเสียงแก” เขาวางมือบนศีรษะน้องชาย ขยี้เบาๆ “พักซะ”

สีหน้าไพโรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขายอมเอนหลังและหลับตา “ฉันจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ เรื่องกลับบ้าน...จะคิดดูอีกที”

เพียโตรยิ้มมุมปาก “ขอบใจที่เก็บไปคิด” เขาอยากกอดและตบหลังอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เขาแสดงความรักความห่วงใยไม่เป็นนัก

“พอดีคิดขึ้นมาได้ว่า ไปคอยจับตาดูแกไม่ให้ทำเรื่องด้วยตัวเองก็ไม่เลว” ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดตอบ ในใจเขามีปีศาจร้ายที่ไม่ยอมจากไป และปีศาจตนนั้นนุ่งห่มเนื้อหนังที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขา

หรือไม่...ปีศาจอาจมีสองตนมาตั้งแต่แรก

เพราะพวกมันเป็นพี่น้องฝาแฝด

———————————————————

ในเวลาใกล้เคียงกัน มีคนมายืนรอนิโคไลตรงลอบบีประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล เขาผมทอง สวมชุดสูทคอตั้งแบบอินเดียสีขาวชายยาวถึงหน้าแข้ง ตัวเสื้อแขนกระบอกปักลายด้วยด้ายดำและแดงอย่างวิจิตรทว่าดูทันสมัย มีผ้าคลุมไหล่สีแดงพาดบ่าข้างซ้าย

นิโคไลเห็นแล้วนึกถึงคอลเลกชันใหม่ของดีไซเนอร์คนโปรด และยิ่งแน่ใจว่าตัวเองกำลังได้พบใครเมื่อเห็นหน้าของชายคนนี้ชัดๆ

“คุณนิโคไล เราอาจไม่เคยพบกันโดยตรง แต่...”

“คุณคือฟรานซิส กาลิฟิอานาคิส” นิโคไลเอ่ยทักทาย ‘สไควร์’ ซึ่งมีหน้าที่รับใช้แกรนด์ฟาเธอร์โดยตรง ชื่อเรียกในสมาคมของเขาก็มาจากความหมายว่า ‘ผู้ติดตามรับใช้อัศวิน’

ด้านโรเมโอซึ่งพักนี้เกาะติดพี่ชายตลอดเวลาถึงกับอ้าปากค้าง เขาหลงใหลชุดของกาลิฟิอานาคิส ไม่นึกเลยว่าจะได้พบดีไซเนอร์ที่ชื่นชอบในสมาคมใต้ดิน

“เขาเป็นสมาชิกเหรอนิกกี้” เด็กหนุ่มกระตุกแขนเสื้อพี่ชายพลางกระซิบ

“คนที่เดินไปมาอย่างอิสระที่นี่ มีไม่กี่คนหรอกที่ไม่เป็นสมาชิก” นิโคไลลูบหลังโรเมโอให้คลายความตื่นเต้น

โรเมโอพยักหน้าหงึกหงัก เขามองเลยไปทางด้านหลังของดีไซเนอร์คนโปรด เห็นชายหน้าตาหล่อเข้มยืนถมึงทึงอยู่ โรเมโอใจเต้นแรง อีกฝ่ายตรงสเป็กเขาทุกอย่าง ทั้งดูมีอายุ ภูมิฐาน ขรึม...ดวงตาคมกริบ แถมยังมีกลิ่นที่เขาชอบ

กลิ่นที่ให้ความรู้สึกอันตราย

“ดอเรียนบอกว่าวันนี้คุณออกจากโรงพยาบาล มีคนอยากพบคุณก่อน ผมจึงพาเขามา” ฟรานซิสยิ้มสุภาพ ใบหน้าเขาสวยน่ามองแต่ไม่คล้ายผู้หญิงอย่างนิโคไล รูปร่างก็สูงโปร่งแข็งแรง ให้ความรู้สึกว่างามอย่างผู้ชายแท้ๆ ราวกับรูปปั้น ‘วีนัส’ ในภาคบุรุษที่รวมความงามสะกดใจของทั้งสองเพศไว้ในร่างเดียว

มาร์คเดินมาสมทบในตอนนั้นเอง เขาถือชาร้อนมาให้นิโคไล และช็อกโกแลตเย็นสำหรับโรเมโอ ชายหนุ่มชะงักเมื่อเข้ามาใกล้ชายสองคนซึ่งพูดคุยกับนิโคไลอยู่ หนึ่งในนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่ปลอดภัย

อาจเป็นเพราะกลิ่น

“สวัสดีครับ” มาร์คทักทายชายผมทอง โดยลอบสังเกตชายผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยืนคุมด้านหลังไปด้วย

“คุณมาร์ค แอนโธนี” ฟรานซิสทักทายกลับอย่างมีมารยาท “หน้าตาคุณคล้ายพี่ชายมากทีเดียว”

มาร์คน้อมศีรษะรับและยิ้มให้ชายผมทอง เขาทดไว้ในใจว่าอีกฝ่ายรู้จักกับฮันเตอร์ผู้เป็นพี่ชาย

“คนที่อยากพบผมเป็นใครหรือครับ” นิโคไลมีลางสังหรณ์...เพราะเรื่องที่ทำให้เขาเกี่ยวข้องกับฟรานซิสก็มีอยู่เพียงเรื่องเดียว

“ที่จริง เขาอยากพบทั้งคุณและมาร์ค” ฟรานซิสพยักหน้าไปทางโซฟาตัวยาวด้านหลัง ในตอนแรกนิโคไลเห็นหมอในชุดเสื้อกาวน์คนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ แต่เมื่อเขาลุกขึ้นก็มีคนไข้ในชุดโรงพยาบาลลุกขึ้นพร้อมกัน

คนที่อยากพบทั้งนิโคไลและมาร์คกลับมาสวมแว่นตาอย่างที่เขาสวมเป็นประจำแล้ว รูปร่างยังเล็กจนจมหายไปในโซฟาจึงไม่เป็นที่สังเกตในทีแรก เขามองนิโคไลก่อน จากนั้นมองโรเมโอ ตามด้วยมาร์คเป็นคนสุดท้าย

อัลฟีโอเผลอถอนใจเฮือกเมื่อเห็นมาร์ค ทว่าหมอที่อยู่ข้างๆ ช่วยรับหลังของเขาไว้ ให้ทรงตัวได้ หมอคนนี้คืออดีตคู่หูของซาช่า และเป็นแพทย์เจ้าของไข้อัลฟีโอ

มาร์คประหลาดใจที่อัลฟีโอต้องการพบเขา ท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย

“ตอนคุณรักษาตัว ฟรานซิสพาผมไปเฝ้าดูอาการของคุณมาบ้าง” อัลฟีโอเลือกพูดกับนิโคไลก่อน “ก่อนหน้านี้คุณดูไม่ดี แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”

ไม่ดีในที่นี้คือ ‘ไม่ดีมาก’ และ ‘น่าสงสาร’ แต่อัลฟีโอเลือกละไว้

“ครับ” นิโคไลตอบรับ เขาไม่แน่ใจว่ามีใครมาหาเขาบ้างในช่วงแรกของการรักษา เขาอาจเคยเห็นอัลฟีโอหรือฟรานซิส หรือกระทั่งคนของ ‘เจ้าของ’ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ความทรงจำต่างๆ เลือนราง

“ระหว่างเฝ้าดูคุณ ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง คนที่ดูเข้มแข็งอย่างคุณ...จริงๆ แล้วก็มีเรื่องทุกข์ใจสาหัสซ่อนอยู่ข้างใน” อัลฟีโอใช้น้ำเสียงสงบ แบบที่เหมาะกับอาชีพของเขา “คุณเคยบอกว่าครั้งก่อนคุณลืมเรื่องในอดีตเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ตอนนั้นเราคุยกันไม่รู้เรื่องเท่าไรและผมทำร้ายคุณ ผมมาขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป และอยากถาม…”

อาจารย์ไฮสคูลลังเลนิดหน่อย แต่ฟรานซิสพยักหน้าให้กำลังใจเขา

อัลฟีโอจึงพูดต่อ “ได้ยินว่าตอนนี้คุณเลิกใช้ยาเพื่อให้ลืมแล้ว...เพราะอะไร”

นิโคไลหลับตา เขาค้นคำตอบในตัวเองสักพักแล้วจึงพูด “ผมยังอยากมีชีวิตรอด...แต่ด้วยวิธีที่ต่างออกไป ผมคิดว่าครั้งนี้...จำได้ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถูกคนในอดีตมาหลอกใช้” เขาพาดพิงถึงซาช่าแบบติดตลก

อัลฟีโอพยักหน้า จากนั้นจึงหันไปทางมาร์ค “คุณจำได้ไหมว่าวันนั้นที่คุณไปส่งผมเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลายคนเล่าให้ผมฟังว่าคุณจำไม่ได้ แต่ผมอยากฟังจากปากคุณเอง” เสียงเขาสั่นเล็กน้อย แต่พยายามทำใจกล้า

จิตแพทย์หนุ่มมองอัลฟีโอ เขาสบตาหลังกรอบแว่นเพื่อแสดงความจริงใจก่อนจะตอบ

“ด้วยความสัตย์จริงอัลฟีโอ ผมจำไม่ได้ว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง แต่ผมรับรู้แล้วว่าผมทำอะไรลงไป และผมเสียใจ”

นานทีเดียว อัลฟีโอจึงตอบ “คุณไม่เหมือนเขาเท่าไร…” เขาถอดแว่นมาปาดน้ำตา “ผมไม่รู้ว่าผมยังอยู่ที่นี่ได้ด้วยความกรุณาของใคร แต่การเก็บพยานไว้และเสนอจะมอบชีวิตใหม่ให้เขาแทนการฆ่าปิดปากก็… ไม่สิ ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก”

หมอประจำตัวช่วยปลอบใจอัลฟีโอด้วยการแตะไหล่

“แต่ในโลกนี้มีความไม่ยุติธรรมมาก...มากเกินไป” อัลฟีโอได้รับรู้เรื่องราวของนิโคไลผ่านฟรานซิส และนั่นเป็นบางอย่างที่มองข้ามไม่ได้...ไม่ได้จริงๆ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันมาทางมาร์ค “ขอบคุณที่พยายามช่วยผมจากสามีเก่า คืนนั้นถ้าคุณไม่ช่วยไว้ ผมอาจถูกเขาซ้อมจนตายจริงๆ ก็ได้ ผมไม่สามารถยอมรับความรุนแรงหรือการฆ่าคน แต่...อีกบุคลิกหนึ่งของคุณแค่อยากช่วย...ใช่ไหม”

มาร์คไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด เขาเหลือบมองนิโคไล และเบนสายตากลับมามองอัลฟีโอก่อนพยักหน้าหนักแน่น

“คุณตัดสินใจได้หรือยัง” นิโคไลถามอย่างอ่อนโยน

อัลฟีโอหลับตา เขาตอบอย่างคนที่แน่ใจในตัวเอง

“เราแต่ละคนมีวิธีเอาตัวรอดไม่เหมือนกัน...ผมอยากกลับไปหาครอบครัว ผมจะเลือกข้อเสนอให้ลืมเรื่องราวทั้งหมดแบบถาวร”

----------------------------------------------

A/N ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของบทที่ 12 เหลืออีก 1 ตอนเป็นบทสรุปของเล่มนะคะ และในฉบับรวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่เป็นเรื่องหลังจากนี้ หวานและอบอุ่น รวมถึงอันตรายต่อหัวใจนิดๆ ด้วย ;)
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 21-04-2018 13:25:54
The Garden of Sinners

ในสวนอันเป็นส่วนตัวของผู้บริหารสูงสุดแห่งสมาคมใต้ดินอิตาลี ดอเรียนยืนเอามือไพล่หลังอย่างสงบข้างโต๊ะซึ่งวางกระถางเคลือบไว้ใบหนึ่ง กระถางเคลือบใบนั้นเป็นภาชนะจัดสวนไม้แคระที่ถูกดัดกิ่งไว้อย่างประณีต

สายตาของดอเรียนจับจ้องไปตามมือซึ่งกำลังตัดแต่งใบของไม้แคระ เจ้าของมือที่ดูแลมันอย่างทะนุถนอมเป็นชายชราผมสีขาวเหมือนหิมะ เขาไว้หนวดเคราบนใบหน้าสง่าอย่างราชาของประเทศอันทรงอำนาจ แววตาอ่อนโยนยามชื่นชมต้นไม้ที่ลงแรงปลูกด้วยตนเอง

“เธอคงเหนื่อยหน่อยสินะ เรื่องในครั้งนี้” แกรนด์ฟาเธอร์หรืออาเธอร์ผู้ได้สมญา ‘คิงอาเธอร์’ เอ่ยกับดอเรียน “รัสเซียเองก็พยายามได้ดีมากทีเดียว หลังหมดยุคของวลาดีมีร์ ฉันเคยคิดว่าคงไม่มีใครมีความสามารถเท่ากับเขาอีกแล้ว”

“ครับ” ดอเรียนตอบรับ เขาไม่มีความเห็นอะไรในเรื่องนี้จึงทำเพียงมองมือที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้ต่อ

“สวนของเราสวยงาม” แกรนด์ฟาเธอร์เอ่ยต่อ สวนแห่งนี้เขาเป็นคนปลูก ดูแล และตกแต่งมาเองกับมือ คัดเลือกพรรณไม้จากที่ต่างๆ มาอยู่รวมกัน มีทั้งต้นที่โดดเด่นหายาก สูงใหญ่และแข็งแรงจนน่าประทับใจ กับต้นเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวด เติบโตไม่เต็มที่ แคระแกร็น ทว่าถูกใจเขา “แต่เวลาผ่านไป สวนก็ย่อมขยายใหญ่ มีพันธุ์ไม้ใหม่เข้ามา หรือพันธุ์ไม้เก่าเหี่ยวเฉาไปก็มี รวมถึงพวกวัชพืชที่เติบโตเอง” เขาใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งเล็มใบไม้ส่วนที่เกินออกมา “วัชพืชบางต้นมันก็สวยเสียเหลือเกิน จนนึกว่าเป็นต้นไม้ที่ควรถนอม อย่างรามิเอลนั่นไง ฉันเอ็นดูเขาที่เป็นลูกชายของวลาดีมีร์ ชี่...อย่าเอ็ดไป ฉันคิดว่าใช่เพราะเขาเหมือนพ่อน่ะ อย่าถือโกรธที่ฉันไม่ได้บอกเธอหรือใครๆ”

ดอเรียนน้อมศีรษะ แกรนด์ฟาเธอร์มีจุดประสงค์ลึกลับเกินหยั่งถึงอยู่เสมอ การที่สมาคมรับรามิเอลเข้ามาก็อาจนับรวมเป็นจุดประสงค์ชนิดเดียวกัน

“ข้อเสียของวัชพืชที่ปะปนเข้ามาคือ มันอาจทำให้ต้นไม้ที่เราดูแลอยู่ติดโรค การกำจัดมันให้สิ้นซากก็เป็นหนทางหนึ่ง...” แววตาของชายผู้ก่อตั้งอาณาจักรมืดได้ในชั่วอายุคนเดียวดูใส ทว่าลึกและหนักอยู่ภายใน “ที่จริงแล้ววัชพืชก็มีประโยชน์ มันแย่งน้ำและสารอาหารของต้นไม้ในสวน แต่ก็ทำให้พรรณไม้ที่สุขสบายจนขี้เกียจขยันเอาตัวรอดมากขึ้น หรือทำให้เกิดการผสมระหว่างสายพันธุ์ใหม่ ฟังจากเรื่องพ่อหนูนิโคไลที่เธอรายงานกับเรื่องหลานชายของวลาดีมีร์ ฉันคิดว่าทางนั้นคงอยากรีบเก็บอเล็กซานเดอร์กลับไป เพราะกลัวพันธุ์ไม้ของเขามาผสมกับของเรากระมัง”

ชายชราหัวเราะแผ่ว

“ฉันรอดูพันธุ์ไม้ใหม่ที่สวยงามเสมอ เพราะเรามองแต่ความรุ่งเรืองในอดีตไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสวนของเราคือสวนที่ตายแล้ว เรายอมรับความเสี่ยงในบางครั้งเพื่อทดลองปลูกต้นกล้าใหม่ วัชพืช เมื่อถึงเวลาก็เอาออกจากสวนเป็นเรื่องปกติ หลังจากนี้เราจะทำอย่างไรกับต้นไม้ที่ไปเติบโตในสวนใหม่ จะกำจัดทิ้งทั้งสวน หรือเฝ้าดูว่ามีต้นไม้อะไรน่าสนใจเหมือนที่ฉันเคยทำกับวลาดีมีร์ ให้เธอเป็นคนเลือก...”

แกรนด์ฟาเธอร์วางกรรไกรตัดแต่งกิ่ง เช็ดมือด้วยผ้าขนหนู แล้วหันมาตบบ่าดอเรียนอย่างเมตตา

“เพราะเธอคือผู้สืบทอดของฉัน”

“ครับ…” ดอเรียนขยับยิ้ม “พ่อ”

ไม่มีใครทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่แน่ใจได้เลยว่า...อิตาลีพร้อมต้อนรับรัสเซีย

อีกครั้งหนึ่ง

---------------------------------------

A/N สวัสดีค่ะ จากนักเขียนนะคะ Of Vivid Creatures เล่ม 2 ก็จบลงที่ตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาและคอยให้กำลังใจ หลายท่านส่งข้อความมาบอกว่าได้อุดหนุนฉบับรวมเล่มแล้ว ซึ่งฉบับรวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่ไม่ลงในอินเทอร์เน็ต เป็นเรื่องราวต่อจากบทนี้ ได้แก่

1. เรื่องของมาร์คกับนิโคไล 1 อาทิตย์หลังจากจบบทที่ 12

2. เรื่องของจิลกับฮันเตอร์

3. เรื่องของฟรานซิสกับอิกเนเชียส

4. เรื่องของซาช่าและตัวละครฝั่งรัสเซีย

5. เรื่องราวหลังจากนั้น 1 ปี นิโคไลไปทำงานส่งของให้กับรัสเซีย และได้พบซาช่าอีกครั้ง

6. เรื่องหลังนิโคไลกลับจากรัสเซีย

ทั้งหมดเป็นตอนพิเศษสั้นๆ แต่เติมเต็มอารมณ์ได้ดี เราอยากให้คุณได้อ่าน ขอบคุณล่วงหน้าที่ให้การสนับสนุนนักเขียนและเอ็นดูหนุ่มๆ ค่ะ!

แล้วพบกันใหม่ในเล่มถัดไป ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของ ไพโร เพียโตร และตัวละครใหม่ที่น่าเอาใจช่วยให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของสองคนนี้ รวมถึงมีตัวละครเก่าที่ท่านเคยผ่านตามาแล้ว พวกเขาจะออกมาสร้างสีสันอีกครั้งค่ะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 24-04-2018 23:55:54
จบแล้ว  :mc4:


มีข้อ suggest ให้นิดนึงนะคะ ตรงคำพูดของดอเรียน

“ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว”

fuoco (fire,flame) จะออกเสียงว่า 'ฟัวโค' ก็ได้ หรือ 'ฟูออโค' ที่เป็นการอ่านแบบเรียงเสียงก็ได้ ไม่ผิดค่ะ

แต่

fiore (flower) ถ้าเราเข้าใจว่าผู้เขียนจะหมายถึงดอกไม้นะคะ

คำนี้ต้องออกเสียงว่า 'ฟิออเร' ---> 'fi-o-re' อ่านเรียงตัวเลยค่ะ ไม่อ่านว่า ฟิยอเร นะคะ เสียง 'ย' จะมีในเสียง 'gl' เช่น 'figli' (ฟิลยิฺ) หรือ gn เช่น 'lasagna' (ลาซานญา) 'signor' (ซินญอรฺ) ค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ILLREI ที่ 25-04-2018 16:14:29
จบแล้ว  :mc4:


มีข้อ suggest ให้นิดนึงนะคะ ตรงคำพูดของดอเรียน

“ฉันสังกัดกลุ่มฟิยอเร” บางวันเขาบอกใครๆ แบบนี้ “ฉัน? ต้องสังกัดกลุ่มฟัวโคอยู่แล้ว”

fuoco (fire,flame) จะออกเสียงว่า 'ฟัวโค' ก็ได้ หรือ 'ฟูออโค' ที่เป็นการอ่านแบบเรียงเสียงก็ได้ ไม่ผิดค่ะ

แต่

fiore (flower) ถ้าเราเข้าใจว่าผู้เขียนจะหมายถึงดอกไม้นะคะ

คำนี้ต้องออกเสียงว่า 'ฟิออเร' ---> 'fi-o-re' อ่านเรียงตัวเลยค่ะ ไม่อ่านว่า ฟิยอเร นะคะ เสียง 'ย' จะมีในเสียง 'gl' เช่น 'figli' (ฟิลยิฺ) หรือ gn เช่น 'lasagna' (ลาซานญา) 'signor' (ซินญอรฺ) ค่ะ

โอ้ ขอบคุณมากค่ะ มีประโยชน์มากๆ เลย  :mew1:
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบด้วยนะคะ!
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-11-2018 15:01:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【Of Vivid Creatures 02】มาร์ค แอนโธนี & นิโคไล & ซาช่า: ตอนจบ [21/4/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:32:33
 :pig4: