4
ผมก็นึกว่างานที่พี่พิศให้ทำมีแค่วันเดียวแต่เปล่าเลยหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจของผมมันเริ่มจะเป็นรูเพราะโดนยิงจากฝีปากพี่คีม
(แย่ ยิ่งทำงานยิ่งแย่ จบออกไปใครเขาจะจ้าง)
ช่วยผมด้วยครับ ปากเจ็บมากขนาดพูดกันผ่านทางโทรศัพท์ยังขนาดนี้ถ้าอยู่ต่อหน้ามีหวังลงไม้ลงมือด้วยแน่นอน
“พี่ท่านครับ ใจเย็นๆก่อนนะเดี๋ยวผมรีบหาไฟล์ให้” สาเหตุที่ทำให้ผมโดนคำร้ายกาจยิ่งกว่าพิษงูพ่นใส่คือพลาดเองทำไฟล์รูปหายมันก็สมควรโดนอะแต่อย่าด่าแรงขอร้องสำนึกไม่ทันจริงๆ
(อีก 10 นาทีถ้ากูไปถึงห้องมึงแล้วยังหาไม่เจอเตรียมตัวโดนพ่อมึงบ่นได้เลย)
ขู่เสร็จก็กดวางสายใส่ไปเลย
ไร้เยื่อใย ใจร้ายที่สุดในโลกล้านภาลัย คนซวยคือใครนายปาล์มนี่ไงจะใครละ
ถุยยย เอาพี่พิศมาขู่คิดว่าจะกลัวหรอ แล้วทำเป็นพูดว่าจะมาที่ห้องรู้จักหรือไง
ผมนั่งด่านั่งแช่งพี่คีมสลับพี่พิศกันไปคลิกหาไฟล์รูป เสิร์ชถามพี่กูว่าจะหาไฟล์งานที่หายไปได้ยังไง ก็มีหลายวิธีสิ่งอย่างให้เลือกศึกษาแล้วก็ลองคลิกๆตามเขาดู
“โป๊ะเช้ะ เจอแล้วโว้ยยยย”
กรี๊งงงงงงงงง
เสียงร้องแห่งความดีใจที่หางานเจอดังขึ้นพร้อมกับเสียงออดหน้าห้องผม
ใครวะ
เลยเดินไปดูตาแมว หูวว หล่อผมลากมาก ไม่ใช่ใครอะ พี่คีมไง
เชี่ย มาถูกได้ยังไง
ไม่เปิดดีเปล่าวะ
ก๊อกๆๆๆ
แหนะมีเคาะประตูด้วย
กรี๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อะจ้า มารัวๆเลย เปิดแล้วโว้ยยย
“สวัสดีครับ” หลังจากเปิดประตูก็ยิ้มกลบเกลื่อนความผิดจากหน้ามือเป็นอุ้งตีนเลย
สีหน้าเรียบเฉย แต่สายตานี่บ่งบอกว่าเหม็นเบื่อผมมาก
“ผมหางานเจอแล้ว”
ต้องรีบบอกก่อนจะได้ฟังเทศน์เพิ่มอีกหนึ่งกัณฑ์
“จะให้กูยืนตรงนี้อีกนานไหม” พี่แกจิ๊ปากขัดใจก่อนจะพูด
เอ้าา ขอโทษครับผมลืมๆ
“ครับๆ เชิญ” ยอมๆไปก่อนถ้าขัดใจผมอาจจะโดนมากกว่านี้
ผมเบี่ยงตัวหลบให้แขกที่ไม่ได้เชิญเข้าไปในห้องแต่แทนที่พี่คีมจะเดินไปนั่งโซฟา พี่แกเดินไปนั่งหน้าคอมผมซะอย่างนั้น
“กูนั่งนะ” เออยังดีที่มีมารยาทขอก่อนแต่โทษทีเถอะนั่งแล้วถึงบอกกัน
ครืดด ครืดด
เสียงสั่นจากโทรศัพท์ผมดังขึ้นก็เลยเดินไปดูว่าใครโทรมาก่อนจะมองพี่คีมที่นั่งคลิกอะไรไม่รู้ของแกอยู่แล้วกดรับสายก่อนจะเดินออกมาคุยที่ระเบียงห้อง
“ทำเขาท้องแล้วไง”
คนโทรมาเป็นไอ้ข้าว หลังจากที่ทำความเข้าใจกันแล้วไอ้ข้าวก็ยังติดแฟนเหมือนเดิมช่วงนี้ผมกับมันไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่แต่ก็ไม่รู้สึกแย่เท่าตอนที่ทะเลาะกัน
(ขอบคุณที่ทักทาย แต่กูไม่ต้องการคำกวนตีน) เสียงมันดูไม่อยู่ในอารมณ์ที่เล่นด้วยได้เลย
“มีอะไร”
(ว่างไหม)
ได้ยินแบบนั้นเลยหันไปมองพี่คีมที่ทำหน้าเครียดอยู่ ถ้าจะไม่น่าว่างพี่แกอาจจะยิงยาว
“ไม่อะ”
(ทำไม) ผมขมวดคิ้วกับน้ำเสียงของไอ้ข้าวที่ถาม มันดูเหมือนคนโดนขัดอารมณ์
“ทำงาน พี่คีมมาเช็คงานที่ห้องและคงต้องแก้กันยาว”
(ทำไมต้องมาทำที่ห้องมึง กูไม่ชอบหน้ามัน)
น่ะ ว่าแล้วไอ้ข้าวต้องไม่ชอบพี่คีม
“เออไม่ต้องรู้หรอก สรุปมีเรื่องอะไร” ขี้เกียจเล่ามันยาว
(กูไม่สำคัญแล้วสินะ)
โว้ยยย บ่าวอก ขอด่าเป็นภาษาเหนือ
จะมาน้อยใจอะไรวะมึงต่างหากที่ห่างกูไปแต่แรกคนน่าน้อยใจคือกูนี่
“สรุปยังไง” อารมณ์เริ่มฉุนละ
(เดี๋ยวกูไปหาที่ห้องแค่นี้แหละ)
ติ๊ด
เออ เอาสิวันนี้มีคนวางสายใส่ไปแล้วสองคน ผมพูดไม่เข้าหูพวกเขาตรงไหนกัน
พอคุยกับไอ้ข้าวเสร็จก็เดินเอาโทรศัพท์ไปโยนทิ้งไว้บนเตียงนอนในห้องเพราะรู้สึกว่าเวลาทำงานกับพี่คีมไม่ควรสนใจอย่างอื่น เดี๋ยวเจอสายตาอาฆาตส่งมาขนาดคุยโทรศัพท์เมื่อกี้พี่แกหันมามองผมแค่ครั้งเดียวยังให้ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบเลย
“เป็นไงบ้างพี่” ผมเดินไปยกเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวมาวางข้างๆพี่คีมนั่งลงแล้วถาม
พี่แกหันมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจหน้าคอมต่อ
พี่ครับทำงานด้วยกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วยังจะมาเฉยชาใส่กันกันอีกหรอ
ถ้าเกิดว่าผมฆ่าพี่คีมแล้วสับให้ละเอียดแบบหมูสับเอาไปทิ้งลงชักโครกกดให้มันลงท่อไปจะมีใครรู้ไหมวะ เลิกได้ไหมไอ้นิสัยทำหน้ารำคาญใส่กันเนี่ย
เห้อออออออออออออ
“กำลังเลือกรูปอยู่แต่ดูผ่านๆไม่มีที่ต้องแก้ ถ่ายใช้ได้แต่เดี๋ยวจะเลือกรูปไว้ให้มึงเก็บรายละเอียดของรูป มะรืนต้องส่งให้แต่ละสโมสรแล้ว”
หืม เหมือนจะรู้ว่าผมคิดไม่ดีด้วย พูดโคตรดีแถมยังชมกันแบบอ้อมๆอีกต่างหาก
“อ่า โอเคครับ” ผมตอบแค่นั้นแล้วก็นั่งเงียบๆดูพี่คีมเลือกรูปและให้คำแนะนำในการเก็บรายละเอียดของแต่ละรูป ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบสมุดกับดินสอบนโต๊ะคอมมาจดตามคำแนะนำของพี่ท่าน พี่คีมแม่งทำงานละเอียดมากจุดที่พลาดเล็กน้อยก็ยังหาเจอ
“มองหน้าทำไม”
นั่น มองก็ไม่ได้
พรึ่บ
จู่ๆพี่คีมก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วโน้มหน้าตัวเองเข้ามาใกล้หน้าผม
เดี๋ยวๆ พี่เป็นอะไรเมารังสีจากคอมหรอ เอาหน้ามาใกล้ทำไม
“พะ พี่คีม” จะไม่เรียกชื่อพี่แกเสียงสะดุดเลยถ้าเกิดว่าไม่โน้มหน้าลงมาใกล้เรื่อยๆ
“ชอบกูหรอ”
ห๊า เหวอเลยครับเจอคำถามนี้ มองหน้าก็หาว่าชอบงั้นหรอ หลงตัวเองไปเปล่าครับ
ผมได้สติก่อนแล้วผลักพี่คีมให้ออกห่างก่อนจะลุกขึ้นยืน
“บ้าแล้วพี่ มองหน้าก็ไม่ได้”
“มองซะตาเยิ้ม”
ผมเนี่ยนะมองพี่ตาเยิ้ม “มองด้วยความชื่นชมต่างหาก” เออ ก็เห็นว่าเก่งเลยชมในใจแล้วมันไปออกที่ตาไง
“หึ” พี่คีมยิ้มมุมปาก “มันจะจริงอย่างที่มึงพูดหรือเปล่ากูไม่รู้ แต่กูสนใจมึงวะ”
เห้ยยย อย่ามาพูดแบบนี้ “ผมเริ่มกลัวพี่แล้วนะ” กลัวจริงๆนะ
“ฮ่าๆ หน้าแม่งเอ๋อสัส เหมือนแมวซินโดรมเลย”
“ปัญญาอ่อนแล้วพี่”
“มึงนั่นแหละปัญญาอ่อน เอ้า ทำตามที่กูบอกมึงไปนั่นแหละจะกลับแล้ว ทำเสร็จก็ส่งมาให้กูดูก่อนค่อยส่งให้สโมเขาอีกที”
พี่คีมบอกแล้วหันไปหยิบกุญแจรถของตัวเองที่วางอยู่หน้าคอมแล้วเดินผ่านผมไป แบบคนไร้ตัวตน
ดู้ แกล้งกันเสร็จก็เปลี่ยนเรื่องหลังจากนั้นก็เดินจากไป
ตามแต่สบายเลยครับพี่
“ปาล์ม อย่าลืมนัดของเรานะ” เสียงไอ้พี่คีมดังขึ้นมาอีกครั้ง
มันเป็นเสียงที่นุ่มและน่าฟัง ผมแปลกใจทำไมถึงพูดซะไพเราะหูเลยหันไปมองพี่คีมที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป
เห็นพี่คีมหันหน้ามามองผมยิ้มมุมปากให้แต่สายตาที่ส่งมามันมีความเจ้าเล่ห์อยู่แถมยังมีคนยืนอยู่ที่หน้าประตู ผมเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครเลยเดินไปหาพี่คีมใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นไอ้ข้าวยืนทำหน้านิ่งแววตาไม่พอใจจ้องพี่คีมอยู่
“ได้ยินที่พี่พูดไหม” โห แทนตัวเองว่าพี่ตอแหลมากครับ
“ครับๆ ผมไม่ลืม”
“ไปละ พายอร่อยมาก” ห๊ะ พายอะไรวะพี่ได้กินตอนไหนเมารังสีจากคอมจริงๆใช่ไหมเนี่ย
ไม่พูดเปล่าพี่คีมเอามือมาขยี้หัวผมก่อนจะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยให้ไอ้ข้าวแล้วเดินเฉียดไหล่มันออกไป
อ๋อ รู้แล้วพี่คีมไม่ได้เมารังสีจากคอมแต่ตั้งใจกวนตีนไอ้ข้าว
แต่เดี๋ยวนะเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียวถึงกับไม่ถูกชะตากันขนาดนี้เลยหรอ
ปึง
พี่คีมเดินออกไปแล้วไอ้ข้าวก้าวเท้าเข้ามาในห้องผมแทนแล้วปิดประตูห้องดังด้วยความใส่อารมณ์
นั่นประตูห้องกูอย่ามารุนแรงถ้าพังขึ้นมามึงจ่ายนะเว้ย
ไอ้ข้าวไม่พูดอะไรและไม่ขยับตัวไปไหนยืนอยู่หน้าประตูที่พึ่งปิดลงแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง
ผมจ้องหน้ามันกลับแล้วส่ายหัวก่อนจะเดินกลับมานั่งหน้าคอมเพื่อทำงานต่อ
งานเร่งแบบนี้ผมไม่มีเวลามาเล่นสงครามประสาทกับเพื่อนปัญญาอ่อนแบบมันหรอกนะ
“มีนัดกับมันหรอ” ไอ้ข้าวเดินตามผมมาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่
“ใช่” ตอบไปแค่นั้น น้ำเสียงมันดูหงุดหงิดจริงๆนะเลยไม่อยากจะพูดอะไรมาก
“สนิทกับมันมากไหม” ไม่พูดเปล่าไอ้ข่าวมันเอามือมาค้ำโต๊ะคอมจากข้างหลังผมหรือง่ายคือมันเหมือนกอดผมจากข้างหลัง
เห้ย ไม่ใช่ละทำแบบนี้
“ข้าวมึงขยับออกไปเลย” ปล่อยมือจากเม้าท์ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหน้ามัน
เออ ว่ามาจะคุยอะไรก็ว่ามาอย่ามาทำแบบนี้มันเสียวสันหลัง
“เพราะกูไม่ใช่ไอ้นั่นใช่ไหมมึงถึงทำท่ารังเกียจ”
มันไปดูละครเรื่องไหนมาวะ
“ถ้าเกิดว่าจะมากวนตีนเชิญกลับไปห้องมึงเลยครับ ผมจะทำงาน” เชิญด้วยความสุภาพ
ทำไมช่วงนี้ความรู้สึกระหว่างผมกับไอ้ข้าวถึงได้อึดอัดวะทั้งๆที่เข้าใจกันแล้วแท้ๆ
“กูขอโทษ” ไอ้ข้าวถอยออกห่างแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาแกะยกขึ้นดื่มประหนึ่งว่านี่เป็นห้องตัวเอง
ครับห้องผมนี่มันสาธารณะจริงๆ
“เฮ้อ มีอะไรจะคุยกับกูก็ว่ามา” ผมถอนหายใจก่อนจะหันไปกดเซฟงานที่ทำค้างไว้ปิดหน้าจอคอมแล้วเดินมานั่งโซฟาหน้าโทรทัศน์
“ทะเลาะกับหญิงอีกแล้ว”
มันพูดแล้วเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม
“เรื่องอะไรอีกละ” เบื่อจังครับ เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้วหรอผมว่าตัวเองควรจะลงไปซื้ออาหารหมามาให้มันกินจริงๆอย่างที่เคยบอกไว้ครั้งที่แล้วนะ
“เข้าใจผิดคิดว่ากูมีกิ๊ก อธิบายก็แล้วให้เช็คโทรศัพท์ด้วยก็ไม่เชื่อทะเลาะใหญ่โตมากกูเบื่อ หญิงแม่งงี่เง่า”
“ต้องรอให้ใจเย็นแล้วมึงค่อยไปคุยสิ”
“กูว่าจะเลิก”
“เห้ย เดี๋ยวๆคนนี้มึงคุยมาเกือบเดือนแล้วนะจะเลิกเลยหรอ”
“กูว่ามันไม่ใช่วะ”
“...”
“กูว่ากูคิดถึงใครอีกคนเวลาอยู่กับหญิง” มันหลบสายตาผมตอนที่พูดประโยคนั่นออกมา
“เหี้ยมากครับ แล้วจะเอายังไงต่อ”
“ไม่รู้ อาจจะเลิก”
“เลิกก็เลิกดีกว่าให้น้องเขาเจ็บ” ใจจริงก็อยากให้มันคิดเยอะๆกว่านี้อะ เรื่องแค่นี้เองมันต้องค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่ไม่ชอบแล้วจะเลิก แต่อีกใจก็สงสารน้องหญิงถ้าเกิดว่าน้องรู้ว่าในใจมันคิดถึงใครอีกคนคงเจ็บกว่าโดนจับได้ว่ามันแอบมีกิ๊ก
“อืม”
“แล้วคนที่มึงคิดถึงตอนอยู่กับหญิง เป็นใครวะ” นี่ใคร่รู้อย่างแรงเป็นไปได้ที่ไอ้ข้าวจะคิดถึงคนอื่นทั้งๆที่คบกับอีกคนอยู่
“…ปาล์ม”
“…”
“กูขาดมึงไม่ได้...”
ไอ้ข้าวเงียบไปแล้วเม้มปาก
“กูชอบมึง”
คำพูดของมันทำเอาผมจ้องหน้ามันค้าง
ตลกแล้วครับเพื่อน ผมไม่เล่นด้วยนะแบบนี้
TBC.
มาแล้ววววว
ไอ้ข้าวกับพี่คีมมันนัดกันเล่นอะไร
กับความรู้สึกของนายปาล์มคะ
ถถถถถ น่าสงสาร