เรื่องสั้น : >>> เสวนาในบาร์เบอร์ <<< [ - จบ - ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น : >>> เสวนาในบาร์เบอร์ <<< [ - จบ - ]  (อ่าน 9906 ครั้ง)

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************





เสวนาในบาร์เบอร์

เรื่องสั้น ความยาว  8 ตอน

หนึ่งใน เรื่องสั้น ชุด พันแรงงาน

เมื่อเส้นตรงของชีวิต ถูกทดสอบด้วย
สิงสา และ ราคะ

 by  Tofu Chan


เสวนาหนึ่ง :  รองทรง.. ของพงศกร
เสวนาสอง :  ใจรอนรอน ที่ปลายมีดโกน
เสวนาสาม :  ลมร้อนแผ่ว ปลิวพัด ผาดโผน
เสวนาสี่     :  รอยอ่อนโยน ทิ้งสัมผัส ยามหลับตา
เสวนาห้า   :   ขอลืม วันว้างใจ ที่ปลายฟ้า
เสวนาหก   :  คืนหรรษา ณ ห้วง ซินเดอเรลล่า
เสวนาเจ็ด  :  แสงปลายทาง กระจ่างตา
เสวนาแปด :  เพราะคำเสวนา ในบาร์เบอร์


==========================================================


เรื่องสั้นอื่น

หมอนวดชาย


==========================================================


นิยายเรื่องยาว


LOVE OF 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก


==========================================================



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2018 02:18:16 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาแรก : รองทรง ของ พงศกร




“เชิญสระผมแล้วมารอที่หน้าห้องนะคะ” ชายร่างอวบที่พูด “คะ” เมื่อสักครู่ หันมาบอก

“ด้านในเลยเนอะครับ” ผมเอ่ยถามตอนลุกขึ้นยืน หลังจากนั่งรอคิวมาพักใหญ่

“ค่ะ เดี๋ยวจะมีพนักงานตามไปสระให้นะคะ” ชายคนเดิมใต้หน้ากากอนามัยหันมาถามต่อ  “แล้วนี่จะตัดกับอิฉัน หรือตัดกับพนักงานคะ  ตัดกับอิฉัน 180 ตัดกับ พนักงาน 120”  เชี่ยยย มีอัพราคา

แต่ดูแล้ว ชายอวบคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของร้าน เนื่องจากคอยสั่งพนักงานในร้านให้ทำนั่นนี่ตลอดเวลา แถมเดินตรวจผลงานช่างตัดผมคนอื่นที่กำลังตัดลูกค้าอีกด้วย

พี่แกคงจะเต็งหนึ่งในตองอูอยู่ไม่น้อย เพราะทีท่าที่กำลังเฉือนผมลูกค้าตรงหน้านั้นดูไม่ธรรมดา ตอนเขาหันมาคุยกับผม รู้สึกเสียวแทนเขาตรงปลายนิ้ว เพราะมือหนึ่งก็ซอยกรรไกรอย่างชำนาญ ขณะที่อีกมือ ก็คีบเส้นผมของชายตรงหน้า  ถ้าผิดจังหวะเพียงนิดเดียว หัวคนตรงนั้นคงเต็มไปด้วยเลือด

“เอาใครก็ได้ครับที่ไม่ต้องรอนาน พอดีผมตัด รองทรงง่าย ๆ ครับ” คือ กูไม่อยากเสีย 180 โอเคป๊ะ

“ระดับร้านอาจารย์เพชร ไม่มีทรงง่ายนะคะ ทุกคนเทรนมาขั้นเทพ แต่เดี๋ยวจัดให้ค่ะ พอดีถ้ารออิฉัน น่าจะอีกชั่วโมงกว่า”

“ได้ครับ ผมไปสระผมรอนะครับ” ผมลากสังขารอันเมื่อยล้าของตัวเอง เดินตามพนักงานผู้หญิงที่นำไปยังเตียงสระผมซึ่งอยู่หลังประตูอลูมิเนียมอีกที

ตอนแรกก็อยากลองตัดผมกับคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์อยู่หรอกนะครับ เพราะผมเองก็เป็นอาจารย์  ค่าของความเป็นอาจารย์ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะ   แต่พอหันกลับมามองในโถงร้านอันแน่นเต็มไปด้วยลูกค้า ไม่รวมกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งรออยู่หน้าร้านอีกสี่คน คิดแล้วก็ไว้คราวหน้าดีกว่า   แค่รองทรง เอาช่างธรรมดาก็ได้

เพชรบาร์เบอร์ ขนาด 2 คูหา มีเก้าอี้สำหรับนั่งตัดผม 8 ตัว
ฝั่งซ้าย 4 ตัว ฝั่งขวา อีก 4 ตัว ซึ่งบัดนี้ ถูกใช้บริการเต็มทุกตัว
ภายในตกแต่งร้านด้วยเฉดสีขาวดำ เป็นโมเดิร์นสไตล์ มีแขวนรูปขาวดำบานใหญ่ ของมาริลิน มอนโรว์ ไว้ตรงเหนือกระจกเงาริมกำแพงฝั่งซ้าย   
กลางร้านมีโซฟาเตี้ยสีส้มกำมะหยี่แบบไม่มีพนักพิงตั้งไว้ มีคนนั่งอยู่ห้าคน
อีกฝั่งหนึ่งมีกระจกเงาบานยาวจากหน้าประตูไปจรดประตูเข้าห้องสระผม เหนือกระจกเงา มีรูปขาวดำ ของ มาดอนน่า และ เจสัน โดโนแวน ใส่กรอบสีม่วงแขวนลอยอยู่




“นี่ถ้าต้องทนฟังลูกค้าคนเมื่อกี้บ่นเรื่องถนนลูกรังเข้าบ้านอีก หนูคงตายค่ะพี่อ๋า” พนักงานผู้หญิงที่เดินนำมายังเตียงสระผมสีดำซึ่งเรียงกันอยู่สองตัว มีชายคนหนึ่งนอนอยู่แล้ว โดยมี อ๋า พนักงานสาวสูงอายุกำลังสระให้อยู่  ส่วนพนักงานสาว เธอเอามือ ตบที่เตียงสองที เป็นการเรียกให้ผมเดินเข้าไปนอน  แหม่.. เหมือนในหนังเอวี ที่ยึดแผ่นจากนักเรียนมาเชียว

“เออ จะอะไรกันนักหนาเนอะอีน้อย  คือ ถ้า อบต.มันทำได้ มันคงราดยางให้แล้วล่ะ ทำแต่ละที ก็ได้ใต้โต๊ะ ได้ค่าคอมจากผู้รับเหมา เขาจะไม่กระตือรือร้น จะทำเชียวเหรอ แต่ถ้าซอยมันไม่มีบ้านเลย มันก็ทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวโดนร้องเรียนตายเลย”

“เขยิบขึ้นมาอีกนิดค่ะ พี่ตัวสูงจัง” น้อย เอ่ยแนะนำให้ผมกระเถิบศีรษะขึ้นไปทางอ่างสระผม โดยมีเธอยืนคร่อมที่อีกฝั่งของอ่าง แล้วเอาน้ำฝักบัว อุ่นพอประมาณ เปิดรดที่หัวผม  “แล้วแกก็บ่นซะทำเอาหนูหูชาเลยพี่อ๋า”

“นั่นสิ  นี่ป้าไม่ได้นินทาลูกค้านะพี่ แต่เมื่อกี้มันเกินไป ไม่น่าใส่อารมณ์ขนาดนั้น” ป้าอ๋าเอื้อมหน้าไปคุยกับชายที่นอนให้เธอสระผมอยู่บนเตียง

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมชอบฟัง พอดี ผมก็ทำงาน อบต. ผมก็อยากจะฟังไปด้วย” ชายที่นอนนิ่งข้างผมตอบ

“หูย ต้นตอเลยนี่ ดีนะไม่ตีกัน ขอบคุณที่ไม่แสดงตัวค่ะ” พนักงานหญิงที่เรียกตัวเองว่า น้อย ขยี้ศีรษะของผมด้วยความเบา พร้อมโรยยาสระผมลงมาอีกเป็นรอบที่สอง

“ไม่หรอก เราก็ต้องฟังเสียงคนร้องเรียนด้วย แต่อย่างที่ป้า โทษนะครับ ชื่ออ๋า เนอะครับ.. โอเค  อย่างที่ป้าอ๋า พูดน่ะถูกแล้ว ถ้าบ้านมีแค่หลังเดียวในซอย ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ เราก็จะไม่แปรงบไปทำ  คืองบทีละเป็นแสน ต้องคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์  แต่ถ้าเงินหรืองบเหลือ อันนี้ทำให้ได้”

“แต่ที่เขาพูด มันก็มีส่วนถูกนะพี่ คือบางถนนมีแต่บ้านนักการเมืองหลังเดียวแต่ก็ได้ถนนไป” น้อยแสดงความเห็นบ้าง 

“อันนี้ ผมก็พูดไม่ได้น่ะครับ ผมก็แค่ข้าราชการตำแหน่งเล็ก  บ้านเมืองเราเป็นยังไง ก็รู้กันอยู่”

“มันก็เลยทำให้เขาบ่นได้อ่ะเนอะ เฮ้อ.. แต่ป้าก็เข้าใจ เรามันผู้น้อย จะไปทำอะไรได้เนอะ” ป้าอ๋า เอาผ้าขนหนูพันที่หัวของ อบต.คนข้างผมแล้วพาเดินออกไปยังห้องตัดผม  ก่อนจะพาลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาแทน

“หูย ดีนะไม่ทะเลาะกันคาเตียงน่ะป้า”  อ้าวน้อย  มึงอีกแล้ว ขี้เม้าท์ชิบหาย “ผิวหน้าพี่ดีจังเนอคะ”  เออค่อยมีข้อดีขึ้นมาแล้วมึง

“ก็นั่นสิ  พวก อบต.มันจะพูดยังไงก็ได้  กินงบกันอย่างกับอะไรดี” อ้าว อีป้า อีลิ้นสองแฉก

“ทำตีซื่อไม่รู้นั่นนี่ ตอนแบ่งใต้โต๊ะกันนี่สงสัยอยู่อย่าง ว่าจะเกี่ยงกันแบบตอนรับผิดไหมเนอะ” น้อยพล่าม

“เรามันคนจน ไม่ใช่เรื่องของเราว่ะอีน้อย เห้อ เกิดมาจนก็ต้องทำใจ”   นี่ขนาดไม่ใช่เรื่องของมึงนะอีป้า

“ป๊ะ ไปที่ห้องตัดกันค่ะ” น้อยเอาผ้าพันหัวผม แล้วให้ลุกไปยังทางออก





ผมหลุดจากวงสนทนามา รู้สึกได้ถึงความโล่งหู แล้วก็มานั่งที่เก้าอี้เบอร์ 2 เพื่อรอช่างตัดผม โดยมีน้อย บรรจงเช็ดหัวผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนูผืนสีชาวสะอาดตา

“เอาทรงไหนดีครับพี่” พนักงานตัดผมร่างสูงโย่งในชุดเสื้อยืดสีเทา กางเกงยีนส์ กับหน้ากากอนามัยปิดปาก คือ เดาว่าบริเวณหัวคนเป็นสถานที่ซึ่งอุดมไปด้วยเชื้อโรค

“ขอเป็นรองทรงสั้นเลยครับ”

“ห๋า เอาจริงดิ” ช่างตัดผมทำหน้าตกใจ พร้อมดึงหน้ากากอนามัยลงมา เผยให้เห็นใบหน้าชัด

“ครับ”  เชี่ยยยยย  ปุถุชน หรือ ดารา

“พี่แน่ใจเหรอ”

“ทำไมเหรอครับ”  คือ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจคำถาม เลยลองถามกลับไปดู

“คือ หน้าอย่างพี่เนี่ย ให้ด้านข้างยาวมาปริ่มหูจะดูน่ารักมากเลยนะครับ”

“สามสิบแล้ว ไม่เรียกน่ารักนะ”  สัส กูเขิน

“ห๋า สามสิบแล้วเหรอ ผมนึกว่าเพิ่งจบมหาลัย หน้าใสเว่อร์”  มึง คนมองทั้งร้านแล้ว

“คือพรุ่งนี้ผมต้องพรีเซนต์งานที่โรงเรียน  ผมอยากให้ออกมาดูเรียบร้อยน่ะครับ รบกวนดูให้ที”

“งั้นเอาเป็นรองทรงต่ำ หวีรอง แต่ไม่ไถดีไหมครับ”  นี่คือภาษาเอลฟ์ใช่ไหม ฉันฟังไม่รู้เลยเลยพ่อพรายรูปงาม

“ก็.. ก็ได้ครับ”  แล้วผมก็นั่งตัวแข็งให้เขาเริ่มปฏิบัติการไถหัวให้ดูน่ารัก ต่อไป เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่ค่อยมีใครชมว่าน่ารัก  หล่อน่ะมีบ้าง แต่น่ารักนี่ ผู้ชายเขาชมกันอย่างนี้เหรอวะ 




ห้านาทีแรกของผม หมดไปกับการสำรวจคุณลักษณะของช่างตัดผมคนนี้ คือ อายุยังน้อย ทำไมมาทำงานแบบนี้นะ
เอาเข้าจริงไปเป็นพีซีในห้าง หรือไปเป็นพนักงานขายรับรองจะรุ่ง ขี้คร้านสาวจะรุมซื้อกันตรึม ต่อให้ขายครีมโกนหนวดก็เหอะ  พูดจาก็ดี
หน้าตาหรือ ไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เปิดหน้ากากอนามัยออกมา  สาวน้อยอายุประมาณมอต้นที่นั่งรอพ่อตัดผม จากที่เอนตัวอยู่บนโซฟาสีส้มกลางร้าน ต้องลุกตัวขึ้นมาทันทีที่ช่างตัดผมตัวดีเผยหนังหน้า  เธอทำทีเล่นโทรศัพท์แต่ก็ไม่ละสายตาจากช่างผมโต๊ะเบอร์ 2 นี่เลย ผมแอบเห็นเธอกดชัตเตอร์ถ่ายรูปช่างตัดผมคนนี้ไปด้วย

“ผมเป็นพี่ ผมจะไว้หน้าม้าเลยนะ”

“คือ ดูอายุด้วยนะครับ” ชมกูสิ ชมกูอีก กูอยากได้ยิน  นี่ถ่อมตัวรอแล้วนะเว้ย

“แหม พี่ อายุก็ส่วนอายุ แต่ตาพี่มันแป๋วกลมโตชัดขนาดนี้  ไม่ใช่ทุกคนจะไว้หน้าม้าแล้วดูดีหรอกนะครับ พี่จะทำให้หลายคนอิจฉาเลยล่ะ”

“ด้วยอาชีพคงไม่เหมาะครับ แม่บอกว่า ไว้หน้าม้าแล้วตาเหล่”

“บ้านอยู่ไหนครับ ผมจะไปอธิบายกับแม่พี่เอง”  เฮ้ย ลามปามแม่กู

“แถวสะพานภักดิ์”

“อ้าว ก็ใกล้ๆนี่เองสิ ไปไหม ผมบอกกับแม่พี่ให้ คือ ทฤษฎีว่าด้วยผมหน้าม้าของ จอร์จ บุช จูเนียร์ กล่าวไว้ว่า ถ้าไว้ยาวเหนือคิ้ว ไม่มีผลต่อการมองเห็นครับ”  เออ.. เอากับมันสิ รู้จักบุช ด้วยแฮะ

“จอร์จ เดียว กับจอร์จ ที่ทิ้งระเบิดอิรัก อ่ะนะ”

“ใช่ บุชคนลูกนั่นแหล่ะ  พี่ลองดู ม้า อรนภา ไว้มาสามสิบปี ตายังใสแจ๋ว”

“เอิ่ม ไว้โอกาสหน้านะครับ”

“พี่เป็นอาจารย์เหรอครับ สอนอะไร ที่ไหน อย สส นน”

“ครับ สอนที่ โรงเรียนมัธยมศรีวิกลธร ใกล้ศาลากลางน่ะ  แต่ว่า อย สส นน นี่มันอะไรหว่า” 

“โหว พวกเจนวาย นี่ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลย  อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ครับ”  ช่างตัดผมยังคงบรรจงเล็มปลายผมที่ติ่งหูผม
 
“ฮ่าๆๆ  ผมคงตกยุคไปแล้วจริงๆ”

“กันหน้าไหมครับ”

“ปกติเขากันกันไหมครับ”  คือ ปกติกูตัดแต่ ฮงบาร์เบอร์หน้าปากซอย แต่เพราะมันปิดหรอก กูถึงได้ถ่อมายันใต้ห้าง 

“เป็นผมจะไม่แนะนำให้กัน  ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะครับ แต่หน้าพี่เนียนเกิน  กันแล้วขนมันจะขึ้นเป็นตอ  ถ้าผู้ชายทั่วไปก็ชอบครับ มันโล่งดี”  แล้วกูไม่ใช่ผู้ชายตรง สัส

“ลงมือเลย..  กันหน้าเลย”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 00:34:29 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาสอง  : ใจรอนรอน ที่ปลายมีดโกน


“ปีนี้พระโคจะกินอะไรคุณเพลิน”  เสียงแว่วจากลูกค้าโต๊ะตัดผมเบอร์ 3  สันนิษฐานว่า คุยกับลูกค้าโต๊ะเบอร์ 4 ที่อยู่ถัดไป
“เหล้าแน่นอน ถ้าเป็นผม  ทำนายได้ว่า สุราหาร สาโทหาร จะเฟื่องฟู ประเทศจะครื้นเครง” ก็มีเสียงหัวเราะตามมา

ผมถูกปรับเก้าอี้ให้นอนหงาย นอนรอช่างตัดผมมา “กันหน้า” ให้ ด้วยความที่ไม่เคยลอง แถมยังมีคำพูดแกมท้าท้าย ว่าผู้ชายทั่วไปเขาก็ทำกัน  แล้วไอ้ที่นั่งหัวโด่อยู่ มันไม่ใช่ผู้ชายตรงไหนวะ


จริงอยู่ มีคนชอบแซวเรื่องหน้าผมหวาน ผิวผมขาวถ้าเทียบกับอาจารย์คนอื่นที่โรงเรียน  เอาเข้าจริง ตั้งแต่สมัยเรียนผมก็ขาวกว่าคนอื่นอยู่แล้ว แต่เขาไม่วัดความเป็นชายที่ความขาวกันป๊ะ อย่างนี้คนเกาหลีไม่ได้เป็นแต๋วกันไปหมดแล้วหรือไง เกาหลีไม่มีเกย์ จำไม่ได้เหรอ เหล่าติ่งเขาก็ประสานเสียงพูดกันแบบนั้น

แต่ไอ้ที่ผมไม่เคยกันหน้าเนี่ย ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย แค่กลัวใบมีดโกนที่มันจะมาปาดหน้าปาดตาต่างหาก
ถ้าเป็นบาร์เบอร์แถวบ้าน ก็จะแค่ตัดๆ ให้เสร็จกันไป  แต่พอเป็นกึ่งซาลอนอย่างร้านนี้ เห็นว่าราคาดังกล่าวมันควรรวมค่ากันหน้าไปแล้ว  อีกทั้งยังโดนมองว่า ไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป ก็เลยต้องลองซะหน่อย ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ

เอิ่มมมม  มันค้ำคอจริงๆ ใบมีดเนี่ย  ปลายคมของมันสะท้อนกับแสงไฟเหลืองวาววับ มาฉวัดเฉวียงที่ปลายคาง

“เอาจริงเหรอพี่ เสียดายผิวหน้า” แหน่ะ กูแผ่หลารอขนาดนี้แล้ว

“เอาเลยน้อง ไม่เห็นจะเป็นไร ก็คนทั่วไปเขาก็ทำกันนี่นา”  เร็วๆ กูเสียว

“ครับๆๆ”  ช่างตัดผม ถอดผ้ากันเปื้อนซึ่งเต็มไปด้วยเศษผมออกไปแขวนไว้ที่ข้างเคาท์เตอร์  เผยให้เห็นเสื้อยืดสีเทาแนบลำตัว  มีละอองน้ำอันคาดว่าเป็นเหงื่อซึมปรากฏบนผิวผ้าเล็กน้อย  ร้านออกจะเย็น  ขี้ร้อนหรือนาย
เขาคว้าหนังยางไปมัดผมที่ยาวประบ่า รวบไว้ข้างหลังแล้วมัดไว้  เท่ชิบหาย โหนกแก้มกรามเหลี่ยมเท่ๆ นี่ได้มาจากข้าวเหนียวร้านไหน

“ไม่มีใครคอยตัดผมให้ใช่ม๊ะ”  ผมเอ่ยบทสนทนาบ้าง เพราะเห็นโต๊ะอื่นเขาคุยกับช่างตัดผมของตัวเองอย่างเป็นกันเอง ผมกลัวจะโดนมองว่า หยิ่ง

“ผมไม่ไว้ใจใครครับพี่”  ผมเลยไว้ยาวไปก่อน ถ้ามันรำคาญก็ค่อยตัดเอง   “พี่ เอ้ย.. อาจารย์ ชื่ออะไรครับ”

“ชื่อ กาย ครับ  นี่ตัดเองได้ด้วย โหว ทำยังไง”

“ส่วนผมชื่อปอนด์ ครับ  มันก็เป็นเทคนิคส่วนตัวครับจารย์  รบกวนเขยิบขึ้นมาหน่อย คนอะไรสูงจัง” มึงไม่ดูตัวมึงเลย กูว่ากูสูงแล้ว ยังน่าจะได้แค่พ้นไหล่มึงมาหน่อยเดียว


ผ้าขนหนูอุ่นที่เอาออกมาจากซึ้งนึ่ง ถูกนำมาเช็ดลงบนหน้าผม มือของปอนด์เบามาก เขาบรรจงใช้ผ้าสีขาว สี่เหลี่ยมจัตุรัสเช็ดตามใต้ไรผม หน้าผาก แตะที่ปลายจมูกผมเบาๆ เช็ดให้ข้างแก้ม ไล่ขึ้นไปอีกทีรอบดวงตา จนผมต้องหลับตาพริ้มเพราะกลัวปลายผ้าจะโดนลูกตา  แล้วก็เลื่อนมือใหญ่ๆ ของเขา มาเช็ดยังปลายคาง 

ผ้าที่ความอุ่นเริ่มหายไป มีความหยาบ แต่ว่าฟูเหมือนผ้าเช็ดตัว  ปอนด์เช็ดตรงคอ แล้วเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมออกหนึ่งเม็ด  เขาเอาผ้านั้นเช็ดตามซอกคอ แล้วล้วงผ่านคอเสื้อเชิ้ตไปที่ไหปลาร้า มันสุดได้แค่นั้นเพราะความแคบของคอเสื้อบังคับ   

ปอนด์คลี่ผ้า แล้ววางลงบนหน้าอกของผม  เขาลากเก้าอี้กลมไม่มีพนักพิงมานั่งชิดอยู่ตรงหัวไหล่ขวาของผม หันหน้า โน้มลงมา เอาแป้งฝุ่นที่อยู่ในตลับ มีแปรงกลมขนฟูที่ชุ่มด้วยผงแป้ง มาลูบไล้ตบลงบนปลายคาง ซอกแก้ม กราม แล้วก็ไล่ที่ข้างหน้าผาก  มันหนาเหมือนจะแต่งหน้าให้ศพ  ปอนด์ มึงไม่ได้เรียกกับ จิ๊ก เนาวรัตน์ มาใช่ไหม

“ผมจบ สารพัดช่างเชียวนะ หากอาจารย์กาย สงสัย”  รู้ใจกูอีก

“เรียกพี่ก็ได้ ไม่ต้องเรียกอาจารย์  เขิน  ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอาจารย์ได้นานไหม”

“ทำไมล่ะพี่ เป็นอาจารย์เท่ดีออก  จะนักการเมือง นายก รวย จน หรือ มาเฟีย  เจอครู เจออาจารย์ ก็ต้องยกมือไหว้”

“อืม ก็จริง  แต่มันก็วุ่นวาย”

“ทุกอาชีพแหล่ะพี่  หันไปทางซ้ายหน่อยครับ”

“ก็คงอย่างนั้น”

“ทุกอาชีพจริงๆครับ  ผมอยู่นี่ ตัดมาไม่รู้กี่ร้อยหัว บ่นกันทุกคน  จะอาชีพไหน มันก็มีปัญหาเหมือนกันหมดแหล่ะ”

“นั่นสินะ”

“พี่ต้องดูดีตอนยืนอยู่หน้าเครื่องฉายโอเวอร์เฮด ผมเดานะ ออกจะหล่อ  นักเรียนกรี้ดแน่”

“โรงเรียนชายล้วนว่ะ  แต่ก็ขอบใจ”

“จะชายหรือจะหญิง เจอหน้าแบบนี้ก็กรี้ดแน่ ยิ่งเดี๋ยวผมทรงใหม่ที่ตัดให้นะ รับรอง ติดท็อปไฟว์ เดี๋ยวจะต้องมี แฮชแท็ก อาจารย์หล่อ บอกต่อด้วย แน่”

“ขนาดนั้นเลย ฮ่าๆๆๆ”  จริงๆ มึงแค่ปากหวานกูรู้  หน้ามึงนี่ ข่มกูอยู่หมัด ไอ้ตอแหล

บทสนทนาคู่เราเงียบไป เมื่อปอนด์บรรจง รูดปลายมีดโกนที่ปลายคาง ปากของผมต้องหยุดพูดโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องให้ปอนด์บอก  ต้องเลือกเอาว่า จะมนุษยสัมพันธ์ดี หรือจะมีรอยแผลที่ข้างแก้ม 

ปอนด์เอาปลายมีดมาเช็ดกับผ้าขนหนูที่วางพาดไว้ตรงหน้าอกของผม  เขาตวัดมีดโกน ซ้าย ขวา จนใบมีดเกลี้ยง แล้ว เอาแปรงกลมอันเดิม เติมแป้งฝุ่นจนเต็ม ก่อนจะตบที่ข้างแก้มผม ไล่จากจมูก ขึ้นไปที่รอบคิ้ว และหน้าผากอีกรอบ  กูบอกแล้วว่า สำนักเดียวกับ จิ๊ก เนาวรัตน์




“นี่พรรคไหนจะได้นะงวดนี้” ช่างตัดผมที่อยู่คนละฝั่งกับปอนด์ เสียงแว่วข้ามมาจากอีกกำแพง เขาคงสนทนาอยู่กับลูกค้า ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็น อบต.คนที่สระผมก่อนหน้าผม

“ก็คงจะพรรคพลังสยาม คะแนนเขาดี แผนเศรษฐกิจเขาเยี่ยม”

“แต่คะแนน ต่างจังหวัดบางภาคน่าจะไม่ดีนะครับ ต้องพรรคสุวรรณภูมิ ที่เขาว่าทุนหนา ซื้อได้หมดเกือบทุกภาค คนต่างจังหวัด ถ้าเงินไม่มา ก็กาไม่เป็นหรอกครับ”

“แล้วถ้าได้เงิน แต่ไม่กาก็น่าจะมีนะ” เสียง อบต. แสดงความเห็น

“หูย ไม่หรอกพี่ เขากลัวบาปกัน รับเงินมาแล้ว ก็ต้องไปกา”

“เออเนอะ บางทีก็น่าแปลกใจ”





ผมลืมตามอง เห็นปอนด์ก้มลมมาจากฝั่งแก้มขวาของผม ในท่ากลับหัวกลับหาง  ผมเห็นแค่จมูกที่โด่งคม ตาเรียวใหญ่ ตรงร่องสองชั้นเหนือตา นี่ฟ้องเลยว่า ไม่มีเชื้อชาติเจ๊กปนแบบกู  แล้วเคราเท่ๆนั่น พ่อมึงให้มาเหรอ  ผิวมึงเนียนกว่ากู อย่ามั่ว แค่คล้ำกว่า  แต่รอยคล้ำทำไมมันไม่เสมอกันหว่า ดูตรงซอกคอลงไปสิ มันก็ขาวนี่ หรือว่าเพิ่งไปเล่นกีฬากลางแดด  ไม่ก็รับจ๊อบตัดอ้อยที่อุทัยธานีหรือเปล่า หรือว่าเดินขายปูนึ่งตามหาดพัทยาใต้   

แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปยืนที่ปลายขาของผม หันหน้ากลับมา คร่อมโน้มตัวมา หน้าเราห่างกันแค่ฟุตเดียว
นี่มันท่าพิเรนทร์อะไรวะ เขาเอาศอกค้ำตรงพนักพิงเก้าอี้ตัดผม จนตัวผมเองแข็งนิ่ง ไม่กลับขยับ กลัวว่าถ้าเผลอไปโดนตัวเขา แล้วปอนด์จะพลาดทำเอาหน้าผมเป็นแผล พรุ่งนี้เช้าผมพรีเซนต์งานด้วย ไม่อยากให้รอยแผลยาวเป็นจุดเด่น ขโมยซีนงานที่ต้องการนำเสนอ 

ปลายมีดมันคมกริบ กวาดทีเดียวขนบนใบหน้าของผมก็รู้สึกได้ว่ามันหลุดออกไปจนหน้าโล่ง 
มีความเสียวซ่านระหว่างที่ปอนด์กรีดใบแสนคมลงมา โดยเฉพาะตรงข้างจมูก
ทำไมความคมของปลายมีดมันช่างน่ากลัวจังวะ

สาบานได้ว่าถ้าหลุดออกไป จะไม่มีทางทำอีก  ยิ่งตอนช่างตัดผมตัวดี ย้ายตัวมาอยู่ด้านซ้าย แล้วบรรจงตวัดมีดบริเวณหน้าผาก  รู้สึกได้ว่า ปลายมีดที่ขูดผิวผมคล้ายกับหญ้าที่โดนตัด  ไม่สนุกแบบที่นึกเลย เย็นตรงผิวหน้าด้วย  มันชาไปหมดแล้ว คมมีดมันปาดเอาทุกสิ่งอย่างออกไปจนหมดใบหน้า หวังว่า จมูกกูยังอยู่นะ ตอนดูกระจก



“ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” เสียงตุ๊ดยักษ์คนนั้น ผู้เป็นเจ้าของร้าน เพชรบาร์เบอร์ ตะโกนด้วยน้ำเสียงแกมสดใสกว่าพนักงานร้านสะดวกซื้อ   ลูกค้าร้านนี้เยอะกว่าที่ผมคิด ทั้งที่ปาเข้าไปจะสามทุ่มอยู่แล้ว แถมมีแต่วัยคนทำงานเดินเข้ามากันตลอด จนพนักงานโต๊ะริมสุด ต้องหันไปพลิกป้ายพลาสติกจาก open เป็น Closed เพื่อให้ลูกค้าที่มาใหม่ได้เห็น


“ไปล้างผมกันครับ” ปอนด์ปรับเก้าอี้ขึ้น จนผมเห็นตัวเองในกระจก  ผมมันเริ่มแห้งกรอบจนฟู มองไม่เป็นทรงเพราะนอนทับที่พนักหัวหมอนของเก้าอี้  แต่ใบหน้านี่ขาวกระจ่างเชียว แม้มีรอยแป้งปะอยู่ เห็นพลานุภาพของการ กันหน้า หรือยัง นายพงศกร  ผมนึกในใจ

“ทางนี้เลยค่ะ” น้อยรับผมไปยังห้อง แต่ก็ต้องหยุด เพราะปอนด์เรียกไว้

“เดี๋ยวล้างผมให้อาจารย์เองนะน้อย ไปพักเหอะ”

“แต่ค่าหัวหนูได้เต็มนะพี่ปอนด์”

“จ้าคนสวย พี่จะลงโลชั่นให้หน้าอาจารย์ด้วย เพิ่งเคยกันหน้าครั้งแรก เดี๋ยวเขาแสบ”  แล้วปอนด์ก็ผายมือให้ผมเดินขึ้นไปนอนบนเตียงสระผมตัวเดิม เขาเปิดน้ำฝักบัว แล้วเอามืออัง สันนิษฐานว่าน่าจะแตะดูความอุ่นจนพอใจ ก็เริ่มเอามารดที่หนังศีรษะของผม


“เย็นไปเหรอครับ” ปอนด์ถามเมื่อเห็นผมมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อละอองน้ำโดนหัว

“เปล่าครับ กำลังสบาย”

“เห็นสะดุ้ง”

“ตกใจ นึกว่าจะลงยาสระผมก่อนไง”

“ผมชอบล้างเศษผมก่อน ให้เกลี้ยงที่สุดเลย แล้วค่อยสระให้ลูกค้า”

“สระบ่อยเหรอครับ มือเบาดีเหมือนกันนะครับเนี่ย”

“ชมขนาดนี้ เขินนะจารย์  จริงๆ แทบไม่ได้สระเลย ตัดอย่างเดียว เด็กเขามีค่าสระหัวของเขา”

“รู้สึกเป็นเกียรตินะครับ”

“ผมชอบเป็นครั้งแรกของใคร มันทำให้รู้สึกว่า เป็นผู้พิชิต”

“หืม”

“ก็อาจารย์กาย ไม่เคยโดนกันหน้า”

“ก็ใช่”

“อาจารย์โดนผมเปิดซิงแล้วนะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 00:54:35 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มีความอ้อย..สองแง่สามง่าม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาสาม : ลมร้อนแผ่ว ปลิวพัด ..ผาดโผน


นิ้วมือของปอนด์ เกลี่ยฟองจากเนื้อโฟมกลิ่นหอมอ่อนออกไปจากใบหน้าผม เขาฉีดน้ำอุ่นจากฝักบัวทิ้งไว้ที่เส้นผม แต่เอามือไล้ที่แก้ม กวักน้ำมาล้างคราบฟอง มือของเขาหยาบแต่สัมผัสได้ถึงความถนอมอยู่ในที  แล้วก็เปิดวอลลุ่มน้ำให้แรงขึ้นเพื่อสระล้างเศษผมออกไป

ตอนนี้ ใบหน้าที่พอถูกผ้าขนหนูผืนใหม่ ซับจนผิวแห้งหมาด มันเริ่มมีความเย็นและแสบเล็กน้อย น่าจะผลจากใบมีดโกนแสนคมนั่น มันเป็นครั้งแรกของผม และแน่นอนว่า ผมผ่านมันไปได้  เจ็บที่ผิวเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดี เหมือนมันก้าวข้ามไปอีกขั้น
ครั้งแรกของคนเรามันช่างมาได้หลายรูปแบบ ผมดีใจที่ให้ปอนด์ได้เป็นช่างคนแรกของผม เขากันหน้าผมอย่างประณีต ทนุถนอม ราวกับรู้ว่าผมคงประหม่าที่จะลิ้มลอง  แล้วเขาก็ทำให้ครั้งแรกของผมประทับใจ

เขาเอามือที่ว่าหยาบกร้านนั้น ห่อศีรษะผมด้วยผ้าสะอาดผืนใหม่ ร้านนี้ใช้ผ้ากันเปลืองทรัพยากรแฮะ เปิดน้ำทิ้งไว้ด้วย เดี๋ยวลอยกระทง ต้องขอขมาพระแม่คงคาให้หนักกันนะ ผมนึกในใจ

ปอนด์เริ่มเอาโลชั่นมาชโลมไล้ตามใบหน้าผม แล้วนวดเบาๆด้วยนิ้วแสนยาวของเขา เขาเกลี่ยมันทั่ว แล้วเริ่มนวดมันอย่างช้า พลางนวดที่หนังศีรษะและขมับของผมอย่างชำนาญ มันก็เพลินด้วยอารมณ์จนกระทั่งเสียงป้าอ๋าคนเดิมแผดออกมา

“นี่พรุ่งนี้ป้าว่า จะไปลองขอหวยที่วัดท่าพะเนียดดูบ้าง เห็นว่าให้เลขแม่นมาก” หล่อนบอกกับลูกค้าหนุ่มที่กำลังสระผม น่าจะเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของวันนี้

“เป็นพระให้หวยได้เหรอครับป้า”  อ้าว เบรกป้าทำไมวะ เดี๋ยวมันจับมึงกดน้ำในอ่าง กูจะหัวเราะให้ดู

“พระนี่แหล่ะศักดิ์สิทธิ์ หูยคุณคะ ในเขาลือกันว่า หกงวดติดเลยนะคะเนี่ย”

“หวังว่า หนที่เจ็ดมันท่านจะยังแม่นนะป้า”

“ไม่เอา ไม่พูด จะถูกจะดีอยู่ที่ปากเรา ถ้าเราคิดร้าย เราก็จะไม่ได้ เราต้องคิดดี คิดในสิ่งที่ถูกที่ควร”

“ก็เลยคิดไปขอหวยนี่นะ”  อ้าว ไอ้ปอนด์.. มึงปากพาหาเรื่องอีกคน

“หยุดไปเลย ไอ้ปอนด์ มึงนี่ตัวขัดลาภ  เดี๋ยวถ้ากูถูกขึ้นมา มึงอย่ามาอ้อนให้กูพาไปเลี้ยงเชียวนะ”

“โถ ป้า ผมก็ล้อเล่น ถ้าป้าถูกผมก็ดีใจ ยังไงพาผมไปกินเลี้ยงสุกี้ด้วยคนนะ  นะป้าอ๋าคนสวย”



ผมถูกช่างตัดผมตัวดี พาเดินมายังที่นั่ง แต่ไม่ใช่ตำแหน่งเดิมแล้ว  เพราะที่นั่งหมายเลข 2 มีตะกร้าและผ้าที่ใช้แล้ว วางอยู่บนที่นั่ง  ปอนด์ชี้ให้ผมมานั่งตรงเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง เป็นที่นั่งหมายเลข 6

“แสบหน้าไหมครับอาจารย์” ปอนด์ที่ยืนด้านหลังผม บรรจงยีผมของผมด้วยผ้าเช็ดหัวที่มีความชุ่มหมาดจากน้ำหลังสระ

“ก็เย็นเชียวล่ะ แปลกๆดี เหมือนนั่งมอเตอร์ไซค์ไปศาลากลางแล้วไม่ใส่หมวกกันน็อค ลมตีหน้าชา แบบนั้นเลย แต่เย็นกว่า”

“อาจารย์ก็ช่างเปรียบนะครับ ฮ่าๆ”  ปอนด์โยนผ้าขนหนูข้ามไปใส่ในตะกร้าอย่างแม่นยำราวกับ จอร์แดนชู้ตลูกลงห่วง

“ไม่ต้องใส่เจลนะ คือ ไม่ได้ไปไหนแล้ว กลับบ้านเลย”

“จะดีเหรอ แล้วจะเห็นไหมว่า หล่อขึ้นแค่ไหนด้วยฝีมือของผม”

“เอาหน่า ไว้พรุ่งนี้เช้า จะลองเซ็ทดู”

“ทำเป็นเหรอครับ”

“อ้าวๆๆๆ   ใส่เจลก็ได้ เดี๋ยวจะดูไปด้วย”

“ทรงผมแบบอาจารย์ ต้องใส่มูสนะครับ เพิ่มวอลลุ่มให้ผมดูฟู ดูแพงเหมือนหน้าอาจารย์เลย”

“ผมเนี่ยนะดูแพง แล้วก็ เรียกพี่เถิด เรียกอาจารย์ข้างนอกโรงเรียนมันเขิน”

“หน้าแบบพี่กายนี่แหล่ะ หล่อ แพง ดูดี มีชาติตระกูล”

“แต่จริงๆ แล้วบ่อจี๊  ไม่มีตัง ฮ่าๆๆ”

“พูดไป  ปกติผมดูคนไม่ผิดนะครับ” ปอนด์บีบ มูสก้อนโตลงบนฝ่ามือ ก่อนจะนำมาชโลมที่หัวของผม

“ไม่เลย บ้านพี่ไม่มีชาติตระกูลอะไร พ่อแม่ก็ข้าราชการ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรครับ”

“ว้า ไม่น่าเชื่อว่าผมจะเดาผิด”

“เอาน่า คนเรามีครั้งแรกเสมอ”

“กรรม”

“นี่โดนผม เปิดซิง บ้างแล้วสินะ”


ประตูฝั่งหนึ่งของร้านถูกลากปิด เหลืออีกฝั่งที่เปิดประตูอลูมิเนียมไว้  พนักงานหญิงทยอยกวาดเศษผมใส่ที่โกย แล้วนำไปรวมในถุงขยะ  พนักงานชายทยอยเช็ดล้างปัตตาเลี่ยน พันเก็บสายไฟ และก็ยกกองผ้าไปรวมกันที่หลังร้าน

ปอนถือไดร์เป่าผม มาบรรจงไล่พ่นตามแนวเส้นผม เขาคงเปิดไปที่เบอร์ 1 เพราะมันแผ่วเบามาก ฝ่ามือข้างที่โปะมูสลงมาที่เส้นผมเมื่อสักครู่ ค่อยลูบที่ขอบรอยไถ 
เขาเพิ่มระดับความแรงของไดร์ขึ้นสองจังหวะ ในขณะที่หันปากเครื่องเป่าไปที่ด้านหลังท้ายทอย  มีแรงตีลมเกิดขึ้นตรงเหนือคอของผม เขาใช้หวีแปรงม้วนทำอะไรสักอย่างด้านหลัง จนผมมีความรู้สึกว่ามันฟูฟ่อง  แล้วเขาก็หรี่ระดับของไดร์ลงหนึ่งจังหวะ   

ผมมองเขาผ่านกระจกเงา เห็นสีข้างที่กำลังโค้งตัวลงมาจัดการกับทรงผม  รูปร่างเขาสูงใหญ่ ไหล่เขาเป็นมัดกล้ามชัดเจนอยู่ไม่น้อย  เสื้อสีเทาที่มันอ่อนกิ่วเข้ากับช่วงเอวของเขา เผยให้เห็นความมีทรวงทรง คงต้องผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักพอดู  เด็กสมัยนี้มันไม่เล่นเกม ไม่อ่านการ์ตูนกันแล้วหรือไง 

แล้วกระจกเงาก็ถูกบังด้วยรอนท้องของปอนด์ ผู้ก้าวคร่อมขาผมอยู่ เขาจับหน้าผมเงยเชิดขึ้น แล้วเอาไดร์จ่อที่บริเวณใต้หน้าผาก ก่อนจะเบาระดับไดร์ลงมาที่ตำแหน่งเบาสุด  แล้วเขาก็ปิดไดร์

หน้าที่เงยของผม เห็นดวงหน้าเขาอย่างแจ่มชัด  ปอนด์ก้มลงมาจนหน้าเราใกล้กันมาก
ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของเขาที่ใกล้หน้าผาก มันใกล้เคียงกับลมร้อนของไดร์ระดับที่ 1 อยู่ไม่น้อย
ตาเขามองมาที่หน้าผากของผม บรรจงใช้นิ้วเกลี่ยจัดทรง ผมมองเห็นสันจมูกของเขาในมุมนี้  มันช่างดูแกร่งสมกับโครงหน้าคมของเขาเหลือเกิน ริมฝีปากนี่ก็นะ ทำไมมันดูดอิ่มเอิบจนอยากเอื้อมมือไปจับ  ลำคอของเขามีเส้นเอ็นปูดขึ้นจากการเกร็ง 
ผมแอบเห็นใฝเม็ดเล็กสามจุด เรียงกันคล้ายสามเหลี่ยมตรงซอกคอเหนือขอบเสื้อยืดสีเทานั่น  เขาเหลือบหน้าลงมา ตามาจ้องที่ผม ลมหายใจที่ร้อนขึ้นราวกับไดร์ระดับที่ 2 พ่นอย่างอ่อนเบามาโดนปลายจมูกของผม ผมแทบหยุดหายใจ...

ปอนด์จับหน้าผมก้มลง จับที่ขมับซ้ายขวา ปรับแต่งทรงผมเป็นครั้งสุดท้าย แล้วยืดตัวขึ้น ก้าวข้ามขาผมออกไป ผมเห็นตัวเองในกระจกได้ชัดเจน หน้าของผมผ่องกระจ่าง จากการกันหน้า ผมที่ดูเหมาะเจาะกับทรงหน้าอย่างไม่หน้าเชื่อ มีการปัดผมลงมาประหน้าผากเล็กน้อย คล้ายจะอายุลดลงสามปีได้ จนมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของผมผ่านกระจกเงานี้

“หล่อล่ะสิ”

“อืม ดูเด็กลงเชียวครับ  ขอบคุณครับปอนด์”

“อย่าลืมนะ พยายามเช็ดผมให้หมาดแห้งก่อนหวี ผมของพี่กายเส้นเล็กมาก”

“คือ ปกติแสกอีกด้านนึง แสกด้านซ้าย”

“อ้าวเหรอ แต่รากผมพี่วิ่งจากด้านขวามา ผมเลยแสกตามนี้”

“เหรอ ผมเองน่ะดูไม่เป็นหรอกครับ แต่ขวัญ น่าจะอยู่ฝั่งซ้าย” ผมเอานิ้ว ชี้ไปที่ฝั่งซ้ายของกระหม่อม ที่เพื่อนมักชี้ให้ดูว่า มีสองขวัญ  บางคนบอกว่า “สองขวัญขยันหาเมีย” สงสัยโบราณจะผิดในสุภาษิตนี้

“น่าจะขวัญที่สองนี่แหล่ะครับ มันเลยทำให้ผมของพี่วิ่งมาทางนี้  อย่าไปฝืนมัน เดี๋ยวหัวล้านนะ”

“จริงดิ  งั้นเอาตามนี้แหล่ะ จะพยายามปัดแบบนี้”

แล้วปอนด์ก็ แกะผ้ากันเปื้อนของผมออก เป็นการส่งสัญญาณว่าเสร็จแล้ว  ผมเรียกเจ๊เพชรเพื่อชำระเงิน ระหว่างที่รอเงินทอนเพราะผมมีแต่แบงค์พัน เหลือผมกับปอนด์แค่สองคนในร้าน  ในขณะที่คนอื่นทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว



“แล้วนอนที่นี่เหรอครับ”  ผมเอ่ยถาม

“อุ้ย ไม่ได้ นอนที่นี่ ก็เสร็จเจ๊เพชรสิครับ ผมนอนบ้าน อยู่ไม่ไกลหรอกครับ ไปทางโรงพยาบาล”

“นินทาอะไรชั้นยะ” ชายตุ้ยนุ้ยเจ้าของร้านเดินเอาเงินทอนที่หามาได้จากหลังร้านมาเตรียมส่งให้ “ยืมแกร้อยนึง ไม่พอทอน เดี๋ยวคืนให้”

“เอ่อ ผมตั้งใจจะทิปให้น้องเขา ร้อยนึงอยู่แล้ว งั้นฝากทางพี่ให้เลยแล้วกันนะครับ”  ผมสรุปความตั้งใจให้ฟัง  ก็แหงแหล่ะ เนรมิตให้ผมหล่อใสขนาดนี้

“ขอบคุณนะครับพี่” ปอนด์ยกมือไหว้ผม ก่อนผมจะเอ่ยลาและเดินออกจากร้าน



ผมขึ้นมาบนรถเก๋งญี่ปุ่นคันเก่าของพ่อ ที่ให้มาใช้ สตาร์ทรถ ลมของเครื่องปรับอากาศที่เปิดเบอร์ 3 ทิ้งไว้พุ่งใส่ใบหน้าจนเย็นวาบ ปลายผมบริเวณด้านหน้าพลิ้วไหวเล็กน้อย ผมเลยมองตัวเองผ่านกระจกส่องหลัง ใช้นิ้วมือจัดทรงให้เรียบร้อย ก่อนจะออกรถแล่นไป  ตาผมมองผ่านกระจกส่องหลัง เห็นที่หน้าร้านตัดผมซึ่งเพิ่งใช้บริการไป  มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งมานั่งที่หน้าร้าน ปอนด์เดินออกมาและนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวนั้นด้วยกัน  ผมเหลือบตาลงมามองทางข้างหน้า และไม่ได้กลับไปมองที่กระจกส่องหลังอีกเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:06:01 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาสี่ : สัมผัสอ่อนโยน ทิ้งไว้ยามหลับตา

แสบชิบหาย อะไรวะเนี่ย !!
ผมนอนคับยุบยิบมาสองวันแล้ว  เมื่อวันก่อนตอนตื่นไปพรีเซนต์งานชมรมให้ ท่านผู้อำนวยการฟัง
ทุกคนในที่ประชุมคงสังเกตได้ถึงความแดงเรื่อตามลำคอ ไม่แน่ใจว่า ผมแพ้ใบมีดโกน หรือเป็นอาการจากการโดนกันหน้าครั้งแรกของชีวิต แต่เหมือนขนที่เริ่มขึ้นใหม่เป็นตอแข็ง ก็สร้างปัญหาให้ผมไม่น้อย

ตอนล้างหน้าเสร็จ มีความแสบ แถมยังคัน ตอนนอนหลับไป ผมยังเผลอเอามือไปเกาจนตกใจที่ส่องกระจกยามเช้า
ท้ายที่สุดต้องตัดเล็บ และตะไบให้เกลี้ยงมนไม่มีเหลี่ยมคม เพราะอาจจะเผลอมาเกาหน้าตัวเองได้
ผมหาโลชั่นมาทาให้หน้าไม่แห้ง เพราะถ้ามันมีลมมาตีหน้า หรือผิวหน้าแห้งตึงเมื่อไหร่ ความเจ็บที่ปลายผิวจะเข้ามาเยือนทันที  โอ๊ย..  เจ็บอ่ะ



“จารย์ ไปโดนใครดูดคอมาฮะ”  ไอ้เก็ท ศิษย์ตัวดี เจอหน้าก็แซวเลย

“เดี๋ยวมึงจะโดน แล้วนี่ไปชมรมมาหรือเปล่า  เก็บหนังสือเข้าชั้นหรือยัง”

“ผมเพิ่งเลิกเรียนเนี่ยแหล่ะครับอาจารย์พงศกร  ขอผมพักแป๊บ จะไปซื้อหมูปิ้ง”

“หน้าที่ นี่ไม่รู้จัก ไม่สำนึก เดี๋ยวเหอะ  เวรเธอไม่ใช่เหรอ”

“เรียกเธอ ค่อยน่ารักสมกับหน้าของอาจารย์หน่อย คือ เดี๋ยวผมไปทำหรอกหน่า ไม่ต้องกังวล ว่าแต่ เดี๋ยวชมรมก็ถูกยุบแล้ว จริงๆ ไม่ต้องจัดก็ได้ ยังไงก็ต้องโดนยึดห้องอยู่ดีแหล่ะอาจารย์”

“ไม่โดนเว้ย ปากหมา ไปเลยไป  ซื้อมาฝากครูด้วย 5 ไม้ เอานี่ ตัง”  แล้วผมก็ทำท่าจะเตะลูกศิษย์ที่วิ่งโกยแน่บไป




หน้าห้องพักผู้อำนวยการ ท่านเรียกผมมาพบ เพื่อสรุปผลที่ผมพรีเซนต์ไปเมื่อวันก่อน

“อาจารย์พงศกร ผมว่าผมน่าจะต้องแจ้งข่าวร้าย”

“ไม่มีทางเลยเหรอครับ สงสารเด็กเถิดครับ”

“แต่ชมรมไอที เขาต้องขยายห้อง แถมด้วยงบที่มี อาจารย์ทุกคนต้องโหวตให้ชมรมอื่นอยู่แล้ว  ชมรมวิจารณ์หนังสือ มันไม่ทันสมัยแล้ว ทุกคนไม่อ่านหนังสือกันแล้วนะอาจารย์พงศกร  ยุคสมัยนี้ มันเป็นยุคเทคโนโลยี  แถมข้าวของก็แพง โรงเรียนมีงบจำกัด ไม่สามารถที่จะจุนเจือความต้องการได้ทุกชมรมหรอก”

“ถ้าต่อเติมด้านหลังหน้าห้องนักการภารโรงล่ะครับ เราย้ายไปตรงนั้นก็ได้  งบประมาณ เราแทบไม่เคยเรียกหา เพราะว่า มันไม่มีต้นทุนอะไร นานทีไปออกบูธ หรือ เวิร์คช็อปร่วมกับโรงเรียนอื่น ก็ใช้งบส่วนตัว และ ผู้ปกครองนักเรียนทั้งนั้น”

“ที่น่ะ หาให้ได้ แต่ก่อสร้างเนี่ย ก็ต้องไปเพิ่งพาวิศวกรให้เซ็นอนุมัติ เขตเราเป็นเขตเทศบาลด้วย มันก็ยุ่งยาก แถมค่าแรง ค่าของ เบ็ดเสร็จ กี่แสนจะเอาอยู่ล่ะ เรียบง่ายที่สุด ก็ต้องมี สองแสนนะ สร้างห้องขนาด 25 ตารางเมตรเนี่ย ตกแต่งอีก ไหนจะเดินไฟ ร้อยท่อ ห้องน้ำห้องท่า”

ผมถึงกับก้มหน้าหมดความหวังลงตรงนั้นเลยทีเดียว ตรงหน้าห้องครูใหญ่  ลมยังคงตีปะทะให้ได้เจ็บผิวเล่น  ผมหลับตาตัวสั่นเมื่อคิดว่า ห้องหนังสือที่สานต่อกันมาจากท่านอาจารย์หลายต่อหลายท่าน จะต้องโดนยุบไป




ตกเย็น ผมไปว่ายน้ำออกกำลังกายที่สระว่ายน้ำเทศบาล ทันทีที่ลงน้ำ ความแสบบนใบหน้าก็ถาถม เสียงโอดโอยผ่านสายน้ำที่กระเพื่อมคงไม่ทำให้ใครได้ยิน ทำไมมันเจ็บถึงเพียงนี้ 
ผมว่ายน้ำด้วยสโตกที่ช้าแต่หนักหน่วง ความเย็นของสายน้ำไม่ทำให้ผมละหัวใจไปจากเรื่องในหัวได้

ผมสงสารคณาจารย์ที่ถอดหัวใจเพื่อชมรม แม้เป้าประสงค์จะไม่สามารถดำรงได้ในยุคปัจจุบัน
แต่เสน่ห์ของหนังสือ การวิพากษ์ การพูดคุย มันควรจะคงอยู่ ถ้าเทียบกับชมรมไร้สาระบางชมรมในความคิดผม
แล้วน้ำตาผมก็ไหลพรากในลู่ว่ายนั้น เมื่อมาย้อนคิดว่า เพราะความคิดเหยียดชมรมอื่นแบบนี้แหล่ะ
ที่มันกำลังทำลายชมรมเรา เพราะต่างคน ต่างไม่เห็นความสำคัญ หรือนัยยะที่ซ่อนอยู่ของคนที่แตกต่างนั่นเอง



ค่ำแล้ว ในตลาดโต้รุ่ง ที่อุดมไปด้วยแผงของกิน ร้านอาหารแผงลอย รถเข็นขายอาหาร
แม้อากาศจะอบอ้าวตามฤดูกาล แต่ก็มีลมเย็นเอื่อยพัดมาเป็นระยะ เนื่องจากตลาดอยู่ใกล้แม่น้ำ 
สายลมตีหน้าผมจนแห้ง ความเจ็บแสบที่ยอดผิวหน้ากลับมาอีกครั้ง 
จนผมต้องเอามืออุ่นมาแตะคลำ เผื่อจะทำให้หายคันได้



ที่รถตู้ขนาดเล็กสีเหลืองซึ่งดัดแปลงให้เป็นรถขายนมสด ขนมปังปิ้ง และน้ำผลไม้ปั่น 
วัยรุ่นนั่งอยู่เต็มโต๊ะ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด 
ผมเดินมาสั่งนมร้อน และ ขนมปังสังขยา เพื่อกลับไปกินที่บ้าน 
ผู้คนที่นั่งตามโต๊ะ สังเกตดูก็รู้สึกคุ้นหน้ากัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนของผมทั้งนั้น
ผมยังแอบเห็นไอ้เจ้าเก็ทนั่งอยู่กับเพื่อนๆที่โต๊ะริมฟุตบาท  เด็กๆ ยกมือไหว้ผมเป็นระยะที่ผมเดินผ่าน 

ระหว่างยืนรอที่หน้ารถตู้สีเหลือง หน้าที่เริ่มแสบมากขึ้นหลังว่ายน้ำ บัดนี้มันต้องการความชุ่มชื้นแล้วสินะ 
ผมอยากจะรีบกลับบ้านไปจัดการจัง  ลมแม่น้ำพัดมาอีกระลอก ผมต้องหลับตาเพื่อเลี่ยงความแรงของลมที่เข้าตา 
แต่เมื่อผมลืมตามาอีกที  ใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า..


“อ้าว ปอนด์”

“พี่กาย ทำไมเป็นแบบนี้”  ปอนด์คงเห็นรอยตามคอและแก้มของผมแล้ว  “พี่ไปเกามันใช่ไหม”

“ก็ไม่เคยนี่หว่า แสบไปหมดเลย” ผมทำปากเบะ เหมือนจะร้องไห้ เป็นการแหย่เจ้าตัวต้นเหตุเผื่อจะรู้สึกผิด

“ผมบอกแล้ว กันหน้า มันไม่เหมาะกับพี่ ผู้ชายทั่วไปเขาทำกัน พี่จะกันไปเพื่อ”

“ก็อยากทำเหมือนคนอื่นเขาบ้างอ่ะ”  น้ำเสียงผมหงอยเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งไปเที่ยวต่างจังหวัด

“แล้วก็บอกว่าให้ใส่มูส ดูสิ เสียทรงหมด”  ปอนด์เอามือเอื้อมมาจัดทรงผมของผมให้เข้าที่ ตรงหน้าร้านนมนั้น ร้านที่เต็มไปด้วยนักเรียนของผม  แต่วินาทีนี้ ผมไม่ได้มีความรู้สึกอายอะไร ผมยืนให้เขาจัดแต่งจนกว่าจะพอใจ ลมเวียนพัดมาอีกระลอก ผมไม่ได้หลับตาเพื่อหนีสายลมนั้น  แม้ความแสบจะยังคงเกาะกินตามผิวหน้าก็ตามที




ในร้านสะดวกซื้อ สาวน้อยใหญ่ต่างหันมามองคนที่เดินคู่กับผม เขาตัวสูง หน้าตาหล่อเหลา แน่นอนว่าใครก็ต้องเหลียวตาม แต่ดูเจ้าตัวคงไม่รู้ ยังคงเดินไปที่ตู้แช่ด้วยท่าทียียวน  เขาหยิบผ้าเย็นออกมาหนึ่งผืน เดินไปชำระเงิน แล้วพาผมออกมายืนหน้าร้าน ที่มีคนสัญจรอยู่เยอะไม่น้อย

ปอนด์ ฉีกถุงพลาสติกขาวขุ่นที่ห่อผ้าขนหนูเย็นผืนเล็กไว้ แล้วทิ้งลงไปที่ถังขยะหน้าร้านสะดวกซื้อ 
เขาดึงมือผมให้มาใกล้จนชิด แล้วค่อยๆ วางผ้าเย็นโปะลงที่ข้างแก้ม  ความเย็นผมผ่านวาบไปที่ผิว
เขายกผ้าขึ้น แล้วย้ายไปวางที่หน้าผาก  เขาใช้มือกดทับผ้าลงอีกครั้ง จนความเย็นนั้นสัมผัสกับผิวหน้าผาก  แล้วยกออกมาโปะที่แก้ม สลับไปจนทั่วไปหน้า

“ดีขึ้นไหมครับ”

“อืม แทบไม่แสบเลย”

“แต่เดี๋ยวก็จะแสบอีก พี่ต้องรีบกลับบ้านไปทาโลชั่นนะ”

“ครับ”

“เข็ดไหม”

“เข็ดสิ”

“จะทำอีกไหม”

“ไม่ทำแล้วมั๊ง”

“ทำไมมีมั๊งล่ะ”

“ก็ไม่แน่ใจ ถ้าชินแล้วอาจจะทำอีก ถ้าช่างตัดผมเขาถาม”

“ช่างตัดผมไหน”

“ก็ช่างทั่วไป”

“จะไม่มาตัดกับผมแล้วเหรอ”

“หมายถึง เผื่อร้านปิดแล้วไปที่อื่นไง”

“คือพี่จะไม่รอผม”

“รอได้ แต่จะไปรู้ได้ไงว่า อยู่วันไหน หรือไม่อยู่”

“โทรมาสิ เอาเบอร์มา แอดไลน์ผมไป”  ปอนด์คว้าโทรศัพท์มือถือในมือผมไปแอดไลน์ บันทึกเบอร์จนเสร็จสรรพ
นี่คือต้องตั้งรหัสล็อคหน้าจอกับเขาบ้างแล้วสินะ

ปอนด์ ช่างผมสุดหล่อ  ดูชื่อไลน์ของมันสิ

“อันนี้นะครับ” เขาโชว์มันให้ดูอีกครั้ง

“อืม แล้วผมจะแจ้งไปก่อน”

“จำไว้นะ พี่จะตัดผมกับใคร ก็ตัดไป แต่ถ้าจะกันหน้า พี่ต้องมากับผมเท่านั้น”



บนรถยนต์คันเก่าคู่ทุกข์คู่ยาก ผมมองไปที่กระจกส่องหลัง เอื้อมมือไปเปิดไฟเก๋งสีเหลือง มองตัวเองผ่านเงาสะท้อนกระจก ผมที่เคยแสกข้างหนึ่งมาตลอดชีวิต บัดนี้มันถูกพลิกให้เป๋ไปอีกฝั่ง 
เมื่อเช้าผมพยายามปัดกลับมาเป็นฝั่งเดิม แต่ผมที่ถูกตัดทรงใหม่ มันทำให้ทิศทางเส้นผมฝืนกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
พอลมพัดที ทรงที่จัดไว้มันก็ละเลงยุ่งเหยิง แล้วมันก็คงไม่รู้ว่า ท้ายที่สุด มันควรอยู่แสกฝั่งไหนดี

ผมจึงเอามือลูบผมที่ถูกใครบางคนจัดให้ใหม่จบเรียบแป้ ก่อนจะบิดกุญแจ สตาร์ทรถ แล้วก็แล่นออกไปในคืนที่ลมพัดแรงและอ้างว้างสุดใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:17:08 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ชะนีน้อยวันนั้นเป็นใครรร มันค้างคา

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาห้า : ขอลืมวัน ว้างใจ ที่ปลายฟ้า



“จารย์กาย ผมเห็นนะเมื่อคืนอ่ะ”

“เห็นอะไร พูดดีๆ ไอ้เตี้ย”

“จารย์ทำไมพูดกับนักเรียนไม่เพราะเลยครับ”

“ไอ้เตี้ย”

“โห่วววว  ยังไม่ยี่สิบ ยังสูงได้อีก”

“กูเห็นพ่อมึงแล้ว มึงก็ได้แค่นี้แหล่ะ ไอ้เก็ท”

“จารย์ทำไมร้าย นี่ศิษย์นะ”

“มึงจะพูดอะไร ว่ามา”

“แหม ก็อยากจะถามว่า นมร้อนเมื่อคืนน่ะ หวานไหม”

“ห๋า”

“ก็นมร้อน กับแฟนจารย์   อะไรหวานกว่า”

“แฟนเฟินอะไร มึงมั่วแล้ว ไม่มี๊”

“เสียงสูงเป็นยีราฟเลย ก็แหม จัดเผ้าจัดผมกันซะ สาวกรี้ดอิจฉากันไปทั่วตลาดโต้รุ่ง”

“มึงก็เว่อร์”

“ผมสาบานได้ว่า ผมเห็นแม้ค้าปังปิ้งเกือบเฉือนนิ้วตัวเองตอนมองซีนรักสะท้านตลาดสดของอาจารย์”

“ตลาดสดมันขายพวกหมูเห็ดเป็ดไก่เว้ย”

“ตลาดนัดก็ได้”

“ตลาดนัดมันขายเสื้อผ้า ของกินที่ไม่ใช่ตามสั่ง”

“เอาเป็นซีนรักสะท้านตลาด ละกัน อย่ามาเปลี่ยนประเด็นนะจารย์”

“กูเตะศิษย์นี่กูผิดไหม”

“ลองถามครูใหญ่  เดินมานู่นแล้ว” เด็กเปรตทำเอาผมสะดุ้ง รีบหันไป  เมื่อพบว่าเป็นกลลวง หันกลับมา มันก็วิ่งเผ่นเห็นแต่ตูดแห้งๆ ไปไกลแล้ว




ในเวิ้งห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางหนังสือใช้กั้นเป็นฉากระหว่างห้องชมรมวิจารณ์วรรณกรรม กับ ห้องชมรมเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งไม่ควรจะมาอยู่ด้วยกันแต่แรก  เมื่อห้องหนึ่งเต็มไปด้วยความหมุนไปในแรงโลก กับชมรมของผมที่มันเหมือนจะหยุดนิ่งเคลื่อนตัวได้ช้า  ..แค่สมาชิกชมรมแต่ละทีม ก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ได้บอกว่า ใครดีกว่าใคร  แค่มันไม่เหมือนกัน การได้มาอยู่ห้องเดียวกัน ก็เหมือนผู้อำนวยการท่านประชด 
เรามักส่งเสียงดังกันเมื่อเถียงถกกันถึงตัวละครในนิยายอย่างออกรส 
ในขณะที่อีกชมรมเขาอยู่กับตัวเลข และคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจในพื้นที่ของแต่ละคน ไม่ก้าวก่ายกัน 

แต่ชมรมเทคโนโลยีการสื่อสาร เขามีการก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด มีนักเรียนมาสมัครสมาชิกล้นหลาม 
ของตกแต่งห้องเริ่มเปลี่ยนไปในช่วงสองสามปีหลัง  จนเราเห็นใจ ต้องเขยิบชั้นหนักสือที่กั้นห้องกันไว้ ดันมาทางเรามากขึ้น เพื่อให้อีกชมรมมีพื้นที่ห้องเหลือมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดมันก็คงไม่เพียงพอ
ยิ่งเด็กในชมรมไปชนะเลิศการแข่งขันในระดับจังหวัด ก็ยิ่งเชิดหน้าชูตาท่านผู้อำนวยการมาก  อย่าว่าแต่ ผอ.เลย ผมเองก็ยังอดที่จะภูมิใจในตัวเด็กชมรมเขา และดีใจแทนอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเสียไม่ได้

ผมจึงเข้าใจดี ถ้าเขาจะมีสิทธิในอีกฟากห้องที่เหลือ  เพราะเขาสมควรได้
แต่เรา สมควรจะมีที่ยืนเหมือนกัน..  กลิ่นสาปของหนังสือ มันจะเลือนไปแล้วจริงหรือ



“อ่ะ ผมซื้อหมูปิ้งมาฝาก มันอาจไม่หวานเหมือนนมร้อนนะจารย์”

“กำลังอารมณ์ไม่ดี อย่าเพิ่งมากวนตีนครูได้ไหมครับศิษย์ ถือว่าคุณครูขอวิงวอน”

“โถ อาจารย์ อย่าไปซีเรียสสิครับ มีเกิด ก็มีดับ  ผมรู้ว่าอาจาย์เครียดเรื่องชมรม แต่เราฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้หรอก ในสตาร์วอร์ส ก็บอกไว้ ท้ายที่สุด อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ก็ฝืนโลกที่หมุดไปไม่ได้หรอกครับ”

“เด็กรุ่นนี้เขาไม่อ่านหนังสือกันแล้วจริงๆใช่ไหม”

“เขาอ่านหนังสือครับ แต่หนังสือมันไม่ได้อยู่ในรูปเล่มเพียงอย่างเดียว  มันอยู่ในมือถือ ในทีวี ในของที่สนุกขึ้น เราไม่จำเป็นต้องอ่านอะไรที่มันน่าเบื่อนี่ครับ เด็กๆ คิดกันแบบนี้ละมั๊งจารย์”

“แล้วเก็ทอ่านอะไรไหม มาเข้าชมรมกับครู เก็ทได้อะไรไหม”

“ได้สิครู ผมมันพวกชอบหยิบจับหนังสือ  แต่ผมก็ชอบอีเล็คทรอนิคส์ด้วย  เรามันไม่จำเป็นต้องเลือกนี่นา”

“แต่หนังสือมันคือชีวิตครู”

“ครูคิดไปเอง  ว่าชีวิตครูมีแต่หนังสือครับ..”




ที่ร้านตัดผมซึ่งคุ้นตาเมื่อวันก่อน ผมยืนข้างหน้าร้านอีกครั้งในค่ำวันนี้ 
ก็เจ้าเก็ทมันทักว่า ตรงท้ายทอยของผม ถูกบัตตาเลี่ยนถากเป็นขั้น ผมเลยเอามือไปลูบดู เออจริงด้วย
แต่ทำไมส่องกระจกไม่เห็น ตอนสระผมก็ใจลอย ไม่ทันรู้สึกได้  พอเก็ทมันทัก ผมก็เอานิ้วไปลูบดู 

..จริงด้วยแฮะ  เหมือนตรงโคนผมจะมีตอเล็กๆ เป็นหลุมอยู่  เลยคิดว่า จะกลับไปให้เจ้าช่างตัดผมตัวดีมันแก้งานสักหน่อย  เสียเงินไป ทิปให้อีกต่างหาก แต่ทำไมตัดผมแบบนี้วะ




“เฮ้ย พี่กาย ลมบ้าหมูพัดมาเหรอ”

“มาให้ดู ว่าตัดผมไปน่ะ ตัดไม่เสร็จ ยังมีโคนผมเหลือนิดหน่อย ตรงเหนือท้ายทอยขวา”

“ต๊ายยยยยยยยยยย คุณน้อง นี่ไม่รู้อะไรเลยเหรอ” เจ้าของร้านร่างตุ้ยนุ้ยเดินมาสมทบ

“...... หมายถึง”  ผมก็งงนี่หว่า

“เนี่ย เป็นลายเซ็นเจ้าปอนด์ มันไม่ได้สลักให้ทุกคนหรอกนะ  นี่เด็กวัยรุ่นขอให้มันทำ มันยังไม่ทำให้ง่ายๆ เลย”

ผมมองไปทางเจ้าของกิมมิคโครตกวนส้นตีนที่จารึกไว้แถวใต้ รองทรงเตี้ย บนหัวผมนี่  เขาภายใต้หน้ากากอนามัยที่กำลังตัดผมให้ลูกค้าท่านอื่นอยู่ แต่ยังคงมองผมด้วยสายตายียวน

“คือ ผมไม่รู้นี่ครับ แต่ผมว่า มันไม่เหมาะกับอาชีพผม เดี๋ยวคณะกรรมการโรงเรียนจะตำหนิเอาได้”

“ต๊ายยยยยยยยยย โรงเรียนวัดก็ไม่ใช่ค่ะครู นี่ นักเรียนโรงเรียนครูนี่แหล่ะตัวดี มาตัดกันทีไรต้องขอลายเซ็นไอ้ปอนด์ทุกที”

“เอาเหอะๆๆพี่เพชร เดี๋ยวผมแก้ให้  อาจารย์กาย นั่งรอเดี๋ยว นี่จะปิดร้านกันแล้ว เดี๋ยวผมเสร็จรายนี้ผมแก้ให้นะครับ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงพี่ นั่งอ่านคู่สร้างคู่สมรอไปก่อน”  แล้วปอนด์ก็หันไปตัดผมคนตรงหน้าต่อ 

ผมจึงเดินมานั่งที่โซฟากลางเพื่อรอคิว  มือนึงก็เอื้อมไปลูบที่ท้ายทอยตัวเองแบบนึกไปถึงคนที่อุตส่าห์บรรจงสลักไว้ให้ ว่าเขาจะเสียใจไหมนะ แต่ก็อีกนะ งานเรามันไม่เหมาะนี่หว่า  แล้วผมก็เอื้อมไปหยิบ ขายหัวเราะเล่มเยินมาอ่าน  ใครหยิบไปอ่านตอนขี้หรือเปล่าวะ สภาพโครตเน่าเลย



“ชมพู่ อารยาจะได้ไปเดิน คานส์ ปีนี้หรือเปล่าเนอะฮะ” ทอมหน้าตี๋ นั่งตาแป๋วตรงโต๊ะเบอร์ 5 ถามช่างตัดผมของตนเอง ซึ่งก็คือ ชายร่างเตี้ยป้อม ที่ต้องเขย่งตอนจะซอยเพื่อตะกายให้ถึงตำแหน่งกระหม่อมของน้องทอมผู้ก๋ากั่น 

“ด้วยอายุ ก็อาจจะเตรียมปลดระวางแล้วล่ะคะ เจ๊ว่า  ไหนจะต้องเลี้ยงลูกแฝดอีก หูยยย คอยดูเหอะ ยิ่งโตจะยิ่งดื้อ”  ช่างตัดผมยังคงเขย่งก้าวกระโดดเฉือนผมแตกปลายบนยอดขวัญบนหัวน้องทอม

“น่าจะเป็นคิวมารีญา หรือ ปอย ตรีชฎา ได้แล้วมั๊งฮะ”  ทอมแสดงความเห็นบ้าง

“แหม มันก็ต้องดูที่สปอนเซอร์ด้วยแหล่ะนะ  พวกนี้ยังสาว ยังเด็กเกิน  คนจะไปคานส์ ชั่วโมงบินทางสังคมต้องสูงด้วย แล้วก็มี แอ็ดติจูดทางแฟชั่นดี  ถ้าเพียงแต่เสียดายเงินทองกับเรื่องแฟชั่น  ฮัลโหลวววว  เสียใจด้วย คุณไม่เหมาะกับคานส์”

“มันซับซ้อนจังเนอะฮะ”  ทอมฮะจังคงแจ๊ว  ทำเอาผมรู้สึกผิดที่พูดคุยกับช่างผมของตัวเองน้อยไปในครั้งก่อน  บาร์เบอร์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  นี่ถ้าเทียบกับร้านตัดผมหน้าปากซอยผม ที่นั่นคงดูคล้ายดงซอมบี้ไปเลย

“แล้วถ้าแบบดาราวัยรุ่นนี่หมดสิทธิเลยเนอะฮะ”

“ไปคานส์ได้ แต่คุณต้องเป็นสะใภ้ธุรกิจใหญ่ๆ เช่นห้างเซ็นทรัล หรือไม่ก็เมียน้อยอิตาเลียนไทย ไปเลย”

“คือต้องมีโปรไฟล์”

“ใช่ค่ะ ไปพรมแดง ต้องมีโปรไฟล์ มิเช่นนั้นเขาจะถ่ายรูปเราไปทำไม  นักข่าวที่ไหนจะตีรูปของเรา แบรนด์อะไรส่งไป คุณต้องมีบทบรรยายของคุณเองเกินเจ็ดบรรทัดให้คนไทยงงเล่น  ไม่อย่างนั้น นักข่าวนอกจะไม่หยิบจับ  ดูชมพู่ ไปปีแรกๆ แทบไม่มีใครสนใจ  ต้องสร้างชื่อ ต้องมีทีมที่แกร่ง  แฮชแท็ก #ทีมเรามันดีย์ อะไรแบบนี้เลย”

“พี่นี่เก่งจัง”

“หูยย เรื่องชาวบ้าน มันงานพี่นะคะ  ยิ่งเมืองคานส์เนี่ย แค่หลับตาก็เดาได้เลยว่า ชมพู่จะใส่ชุดอะไร  จับตาปีต่อๆ  เราส่ง ใหม่ ดาวิกา ไปชิมลางแล้ว  อาจมี น้ำตาล ชลิตา ท็อป 6 มิสยูนิเวิร์สตามไปติดๆ เพราะมีโปรไฟล์ เรื่องกระเป๋า 17 ใบ หอบไปประกวด  มันแสดงถึง แอ๊ดติจูดที่ดีทางแฟชั่น”

“โหววว ผมนี่ ต้องศึกษาอีกเยอะเลยพี่”   เจ๊ล่ำบึ้กแม่งเก่งจริง ขนาดทอม ยังเรียกพี่





คนเริ่มทยอยออกจากร้านตัดผม พนักงานช่วยกันทยอยเก็บของ ผมแอบได้ยินมาว่า เขาจะไปดูคอนเสิร์ตวงเคลียร์ ที่มาเปิดการแสดงในผับแห่งหนึ่ง  ก็เลยปิดร้านกันเร็วเพราะพี่เพชรเจ้าของร้านจะพาลูกน้องไปฉลองกัน เนื่องจากเห็นทุกคนเหน็ดเหนื่อยในงาน มีเพียง ช่างตัดผมหญิงสองคน ที่ต้องกลับไปเลี้ยงลูก และดูแลครอบครัว   

“จารย์เชิญเลยครับ  ไม่ต้องสระผมหรอกเนอะ ผมไถออก และเก็บแนวให้ก็เสร็จแล้วครับ”

“ขอโทษนะครับ ที่เรื่องมาก ผมไม่รู้มาก่อนว่า ช่างผมของผมจะฮอตอย่างกับศิลปิน”

“พี่กายก็พูดไป  ผมก็แค่ลองใส่ชื่อในงานเล่นๆ เด็กวัยรุ่นดันชอบ  ผมก็อุตส่าห์ใส่ให้อาจารย์ เผื่อใครทักจะได้นึกถึงผมบ้าง ที่ไหนได้ เฮ้อ  เสียใจ”

“ขอโทษคร้าบบบ    ด้วยงาน มันไม่ได้จริงๆ  ไว้ช่วงปิดเทอม จะมาขอให้ทำให้นะ”

“สัญญาแล้วนะ”

“สัญญาครับ”





ผมลุกขึ้นจากโต๊ะตัดผม หลังจากที่ปอนด์สะบัดเศษผมให้เรียบร้อยแล้ว เขายังไม่วายเดินมาจัดทรงผมของผมให้เข้าที่เข้าทาง  อีกทั้งยังตำหนิที่ผมพยายามจะหวีแสกกลับไปทางเดิม แต่ไม่สำเร็จ มันจึงทิ้งร่องรอยฟูฟ่องจนทำให้เขาเห็นจนจับพิรุธได้ 

“ดื้อเหมือนกันนะเราเนี่ย”

“ก็แสกอีกฝั่งมาตั้งแต่จำความได้ มันไม่ชินน่ะ”

“ฝืนความเป็นตัวเองมาตั้งแต่เกิดเลยเหรอ”

“มันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่”

“แต่มันดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ถ้าไม่ไปฝืนสิ่งที่ควรจะเป็น”  แล้วปอนด์ที่ยืนเผชิญหน้า ก็เอื้อมมือมาเขี่ยเส้นผมก้อนขยักเล็กที่ตวัดมาทับรอยแสก ให้โยกกลับฝั่ง ผมไม่กล้าสบสายตาเขา เหมือนเขาจะดุ อยู่ไม่น้อยนะวันนี้ กินอะไรเข้าไป ไอ้บ้า



“อาจารย์ไปด้วยกันไหมคะ วันนี้ ฉันพาลูกน้องไปเลี้ยง”  พี่เพชรเจ้าของร้านที่เดินออกมาถามผม  คงถามเป็นพิธีไปอย่างนั้น ใครจะมายอมเสียเงินให้คนที่เพิ่งจะเห็นหน้าเป็นครั้งที่สอง

“ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมไม่ดื่มเหล้า”

“หูยยยย ไม่ดื่มเหล้าก็สนุกได้ ดูอย่างเจ้าปอนด์สิ  กินเป็นที่ไหนเหล้า  เจอเจ๊มอมเข้าไปนี่คอพับคออ่อน เกือบโดนลักหลับไปตั้งหลายหน”  เอาเลยเจ๊ เผาอีก เผาอีก   ดูมันสิ ทำหน้าแดงเขิน หลบหน้าหนีความอับอาย  ไอ้คออ่อน  อย่าเมิง อย่าทำเนียนไปกวาดพื้น  มาให้กูล้อซะดีๆ

“ครับ ขอบคุณพี่เพชรมากครับ ไว้โอกาสหน้านะครับ” แล้วผมก็เอื้อมมือไปหยิบธนบัตรใบละร้อย ยื่นให้เป็นค่าแก้ผม

“อุ้ย  ไม่รับค่ะ งานแก้ ก็คือแก้  ต้องขออภัยด้วย ที่เจ้าปอนด์มันทำลายเซ็นมันโดยไม่บอกกล่าว”

“อ่อ.. ไม่เป็นไรครับ  ผมล่ะน่าอาย ไม่รู้เลย นี่ถ้าไม่ติดสอน ติดพรีเซ็นต์งาน คงเก็บไว้ น่าจะเท่ดี”

“เท่สิคะ รองทรงเตี้ย ตวัดมือบัตตาเลี่ยน ไม่ใช้หวีรอง มันเป็นงานโชว์ค่ะ ปกติต่ำกว่าสามร้อยบาท อิฉันคงไม่มานั่งทำให้หรอกนะคะ เด็กอิฉันมันคงอยากใส่ลายเซ็นลงไปบนงานชิ้นเอกอีกหนึ่งชิ้นน่ะค่ะ อาจารย์อย่าไปถือสา”  หูยยย พูดซะกูลอยได้ ทำไมไม่บอกกันดีๆ ว่าทรงผมทรงนี้มันพิเศษ  จ่ายร้อยยี่สิบ ได้แบบเอบวก 

“เฮ้ย มึงเขินทำไม กวาดใหญ่เลยอ้าว พื้นสะอาดแล้ว เลิกกวาดได้แล้ว ไอ้ปอนด์” พี่เพชรแซวไอ้ช่างตัวแสบ




ผมเอ่ยลาทั้งคู่ และเตรียมจะเดินมาขึ้นรถเพื่อขับกลับบ้าน  อยู่ดีๆ ก็มีคนวิ่งตามมา สะกิดหลัง  ผมค่อยๆ หันไปช้า ๆ เพราะรู้แน่ว่าใครวิ่งมาเรียก  แหม คนเราต้องมีชั้นเชิงกันหน่อยเว้ย   

“ครับปอนด์ ว่าไง”

“พี่กายจะไปไหนต่อ”

“ไม่ได้ไปไหน”  จะชวนไปไหนก็รีบๆ สิ 

“ผมนึกว่าพี่จะไปกินนมร้อน” 

“ก็ไปไง” เชี่ยยย ตอแหลได้โล่นะกูเนี่ย

“อ้าว ไหนบอกไม่ได้ไปไหน”

“ก็นมร้อนเขาไม่เรียกว่าไปไหน มันทางผ่าน ก็แวะซื้อทุกวันป๊ะ” สตรอเบอรี่เรียกกูว่าลุงที

“ไปนั่งกินด้วยได้ป๊ะ หรือซื้อกลับบ้าน”

“นั่งกินสิ ไปสิ ไปด้วยกัน”



หน้ารถปังปิ้งคันเดิม อากาศที่ไม่อบอ้าวเหมือนกันก่อน ลมพัดเย็นกว่า ผู้คนดูบางตา
แต่ก็มีแสงไฟจากร้านค้าเหลืองอร่ามไปทั้งแนวตลาด   

“ฮั่นแน่”  ไอ้เก็ท ไอ้เด็กเวร โผล่มาแต่ละที ช่วงพีคนะเมิง

“ดึกดื่นทำไมยังไม่กลับบ้านกลับช่อง”

“ก็จะวนมาดูอาจารย์ว่าดีขึ้นไหม ชมรมจะโดนยุบ ใครไปรู้ว่ายังมีกะใจมาออกเดท”

“มึงอยากโดน มส. สักตัวไปประดับสมุดพกไหม”

“ม่ายยยยย  เดี๋ยวเตี่ยเตะผม  ไปดีกว่า  พอดีพาสาวมาซื้อนมปั่น”

“ใส่ถุงยางนะเมิง สงสารสาว”

“จารย์แม่งกามว่ะ  รักใสๆ หัวใจดวงนี้ มีแต่เกี่ยวก้อย เดินตลาด ไปห้องสมุด ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์”

“อย่าให้กูได้สำลักปังปิ้งไอ้เก็ท”

“ไปดีกว่า เบื่อพวกปากแข็ง   สวัสดีครับจารย์    สวัสดีครับพี่สุดหล่อ” 

“สวัสดีครับ ขับรถดีๆล่ะน้อง”  ปอนด์รับไหว้  ก่อนที่เก็ทจะเดินไปรับเด็กสาวหน้าตาใสซื่อ ที่ยืนรอนมปั่นใส่แก้วซึ่งมีอีกสองสามคิวให้รอ   

“อาจารย์นี่ดุเหมือนกันนะเนี่ย”

“เฉพาะกับมันนี่แหล่ะ กวนตีนได้ทุกวี่วัน”

“แสดงว่า นักเรียนรักอาจารย์กายของผมเหมือนกันนะเนี่ย สนิทกันได้ขนาดนี้ อยู่โรงเรียนต้องเป็นที่รักแน่เลยครับ”

“เป็นศิษย์ในชมรมผมด้วยแหล่ะ” ผมเอามือหยิบหลอดเขี่ยนมปั่นในแก้วพลาสติกสีชมพูจนก้อนเกล็ดน้ำแข็งเป็นรูโบ๋  ก็มันเขินนี่หว่า เวลาโดนชมเนี่ย

“แล้วทำไมชมรมจะโดนยุบหล่ะครับ”

“เรื่องมันยาว.. เฮ้อ.. มีเวลาฟังแค่ไหนล่ะ”

“ทั้งคืนครับ.. ก็อย่างที่น้องเก็ทบอก นี่มันคือการเดท  ก็อยู่ได้ถึงเที่ยงคืนเลยครับ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:35:40 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาหก : คืนหรรษา ณ ห้วง ซินเดอเรลล่า

ขนมปังปิ้งจานโตถูกวางตรงหน้า มีคราบเกรียมจากรอยตะแกรงประทับลงบนเนื้อขนมปังสีขาว
นมข้นถูกราดบาง มีน้ำตาลโรย พร้อมส้อมพลาสติกสีชมพู กับ สีฟ้าอย่างละอันปักบนชิ้นขนมปังที่ถูกหั่นไว้ให้เล็กพร้อมรับประทาน

“ชอบกินหวานไหมครับพี่กาย”  ปอนด์ยกถ้วยแก้วที่ใส่นมข้นอยู่เต็มซึ่งเสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังจานโตขึ้นมาชู

“เอาที่ปอนด์ชอบเลย”

“ผมอยากเห็นหน้าพี่กายกินแบบอร่อยเหาะไปเลย”

“งั้นก็ของพี่ เทเพิ่มนิดหน่อยพอ  แต่ฝั่งปอนด์ก็เทตามใจเลย”

“เฮ้ย ทำไมมีแบ่งฝั่งล่ะ”

“อ้าว”

“กินด้วยกันนั่นแหล่ะ มาด้วยกัน ก็กินด้วยกันสิครับ”

“ก็ได้ เทเยอะ กลัวขนมปังมันแฉะ เดี๋ยวจะไม่อร่อย”

“เขาถึงมากินเป็นคู่ไง ช่วยกันกิน มันเป็นของว่างของคนมีคู่กิน เจ้าขนมปังปิ้งเนี่ย”

“กรรม นี่ถ้าตัวเปล่าเล่าเปลือย จะนั่งกินไม่ได้เลยเนอะ”

“ได้ แต่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินคนเดียว เข้าใจไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”





เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์บีบไล่รถซาเล้งของแม่ค้า ที่เคลื่อนตัวได้ช้าขวางถนน
เด็กน้อยลูกเต้าพ่อค้าแม่ขายในตลาดโต้รุ่ง ต่างวิ่งเล่นไล่จับกัน
ผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง ใส่ชุดพนักงานคลินิกเสริมความงามสีเทา เดินเข้ามาในตลาดผ่านสายตาชายทุกคนที่จับจ้อง
เธอเดินลัดแผงขนมไทยที่ยื่นเกินทางเท้าออกมาอย่างไม่ได้แยแส ถ้าขอบถาดจะเฉียดชายเสื้อสูทของเธอไป
แล้วเธอก็ตรงเข้ามา..  มาที่โต๊ะของผมกับปอนด์

“ทำไมโทรหาแล้วไม่รับล่ะ”  ทีท่าโมโหยังดูสวยเป็นบ้าเลย

“อ้าว ฟาง เลิกงานเร็วเหรอวันนี้”

“ก็ไม่ได้เร็วพอที่จะไปรอเก้อหน้าบาร์เบอร์หรอกนะ  ปิดร้านกันก็ไม่บอก”

“เขาไปดูคอนเสิร์ตกัน”

“นักร้องคนไหนมาคะ”

“วงเคลียร์”

“อ้าว แล้วทำไมปอนด์ไม่ไป”

“ก็ยังไม่อยากไปอ่ะ”

“วงเคลียร์เนี่ยนะ  เห็นชอบขนาดนั้น”

“อืม..  แล้วนี้ กำลังจะไปไหนเหรอฟาง”

“ก็ว่าจะมาหาสลัด หรือ ยำ กลับไปทาน เห็นแต่ไกล ว่าปอนด์นี่นา ก็อุตส่าห์เดินมาหา ไม่เรียกให้นั่งด้วยสักคำ”

“เชิญคุณฟางนั่งทานด้วยกันสิครับ”  ผมรีบเสนอ ก่อนบทสนทนามันจะลื่นไหลไปกว่านี้

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า สงสัยวันนี้ ปอนด์เขาไม่ได้อยากจะให้ฟางมาร่วมวงเสวนาด้วย ขอบคุณนะคะ เอ่อ.. คุณ..”

“กายครับ  ผมชื่อกาย”

“อ่อ พี่นี่เองเหรอ..  ที่ชื่อกาย”





ผมขับรถกลับมาจอดที่หน้าร้าน เพชรบาร์เบอร์อีกครั้ง หลังจากที่ปอนด์ต้องกลับมาเอาสายชาร์จโทรศัพท์ที่ลืมเอาไว้  หน้าร้านเปิดไฟสลัว ในร้านมีเพียงเจ้าของร้าน อยู่กับเด็กวัยมัธยมอีกหนึ่งคน  มาตัดผมอะไรกันดึกป่านนี้นะ ผมนึกในใจ..

“อ้าว ไม่ไปดูคอนเสิร์ตเหรอพี่เพชร” ปอนด์ที่เดินนำหน้ามาก่อน เอ่ยถาม โดยมีผมเดินตามมาในร้าน

“พอดี น้องเขาโทรมา มีเรื่องปรึกษา พี่เลยให้ทุกคนล่วงหน้ากันไปก่อน นี่เดี๋ยวจะต้องตามไปจ่ายเงินให้พวกมันกันนั่นแหล่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่พาน้องคนนี้ไปด้วยล่ะ เฮ้ย หล่อดีนี่หว่า มอ อะไรแล้ว”

“มอห้าครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ผมกับปอนด์ต้องยกมือรับไหว้  ดูแล้วคุ้นหน้าอยู่นะ น่าจะเป็นนักเรียนโรงเรียนของผมนี่แหล่ะ

“เด็กอายุน้อยลงเรื่อยเลยนะเจ๊”  ปอนด์หันไปหลิ่วตาแซวผู้เป็นเจ้าของร้าน

“เฮ้ย น้องมาปรึกษาเฉยๆ  เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว  พอดีเขามีปัญหาอยู่ พวกแกอย่ามาใส่ความเจ๊”

“ฮั่นแหน่ะ”

“เอางี้ เจ๊ขึ้นไปอาบน้ำเดี๋ยว  แกนั่งเป็นเพื่อนน้องแป๊บนึง   เอ่อ.. น้องวิทย์ วานไปซื้อบุหรี่ที่เซเว่นให้เจ๊ที  อ่ะ นี่เงิน แล้วจะกินอะไรก็ซื้อมาเลยนะ” 

“ครับ”  เด็กหนุ่มรับเงินแล้วเดินออกนอกร้านไปทางร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ถัดไปแค่ไม่ถึงยี่สิบเมตร

“แก อย่าเพิ่งไปไหนกัน ฉันกลัวฮีจะเป็นโรคหอบ”  เจ๊รีบหันมาสั่งลูกน้องที่นั่งที่โซฟา แต่ความสูง หัวปอนด์ก็เกือบจะสูงเท่าเจ๊เพชรอยู่แล้ว  นี่ขนาดมันนั่งนะ

“น้องเขาเป็นหอบเหรอครับ ให้ผมพาไปโรงพยาบาลไหม”  ผมรีบขันอาสา  ความเป็นครูในสายเลือดนี่ เห็นเด็กนักเรียนเดือดร้อนเป็นไม่ได้

“พี่กาย เจ๊เขาหมายถึง กลับเด็กหอบเงินหอบทีวีเอาไปขายกินน่ะสิ”

“อ่อ...”   ผมนี่หน้าแตกยับเยิน อ่อนต่อโลกยิ่งนัก ไอ้พงศกรเอ๋ย

“งั้นเจ๊ขั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ อาจารย์ทำตัวตามสบายนะคะ  แล้วนี่ แกไม่ไปกับเจ๊แน่นะ”

“เดี๋ยวอาจจะตามไปครับ ทิ้งรถไว้ที่ตลาดโต้รุ่งเนี่ย แวะมาเอาที่ชาร์จโทรศัพท์ ต้องติดรถพี่กายกลับตลาดอีกเนี่ย”

“นี่ก็ไม่รู้จะเอาเจ้าวิทย์ไปทิ้งไว้ไหน  ทิ้งไว้ที่ร้านก็กลัว ยังไม่รู้จักมักจี่ จะไว้ใจได้ไหม  จะให้ไปที่อื่น เดี๋ยวก็ไม่กลับมา เสียดายแย่ หล่อขนาดนี้”

“ฮั่นแหน่ะ ไหนบอกมาปรึกษาปัญหาชีวิต”

“ก็แหม..  ไปดีกว่า ตามสบายนะคะอาจารย์”  แล้วเจ๊เพชรก็เดินขั้นชั้นบนของตึกไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า






“อ้าวพี่เพชรไปไหนแล้วล่ะครับ”  เด็กมอห้า หน้ามน ทำหน้าเหวอ เมื่อเดินกลับมาที่ร้านแล้วมีแค่ผมกับปอนด์

“ไปอาบน้ำ เดี๋ยวก็ลงมา”  ปอนด์ที่มองวิทย์อย่างพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า หันไปตอบ

“แล้วนี่ ระหว่างรอเจ๊เพชร จะไปอยู่ไหนล่ะวิทย์” ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“น่าจะอยู่ที่ร้านนี่แหล่ะครับ ถ้าพี่เขาไม่ไว้ใจผม ก็ให้ล็อคประตูจากข้างหน้าก็ได้ ผมอยู่ได้ นี่ซื้อของกินมาตุนไว้แล้วครับอาจารย์” 

“นั่นไง ว่าแล้ว ว่าเคยเห็นหน้า  อยู่โรงเรียนเดียวกับครูใช่ไหม”

“ครับ ผมเจออาจารย์บ่อยๆ”

“แล้วนี่คิดยังไง..  เอ่อ..”

“ผมต้องกินต้องใช้ครับอาจารย์”

“แต่ครูว่า..”

“มันไม่ใช่ครั้งแรกครับ  ไม่ต้องไปนึกโกรธพี่เพชรนะครับ ถึงไม่ใช่กับพี่เพชร ผมก็ไปหาตังกับคนอื่นอยู่ดี”

“มันขัดสนมากเลยเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ แล้วหันไปมองปอนด์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ แต่ไม่ละสายตา

“ก็ไม่ถึงกับมากขนาดนั้น แต่สำหรับผม มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย”

“เสียสิ ลูกศิษย์อย่าคิดอย่างนั้น”

“มันก็ดีกว่าชักว่าวล่ะครับ”

“อย่าพูดกับอาจารย์แบบนี้” ปอนด์สอดเสียงดุเข้ามาแทรก

“ผมขอโทษ ผมไม่ได้เจตนา”

“ครูเข้าใจเธอนะ”

“ไม่ครับ อาจารย์ไม่เข้าใจ”

“.....”

“แต่ผมชอบนะครับ ที่อาจารย์ทำให้ชมรม ผมว่ามันเจ๋ง  แต่ได้ข่าวว่าจะถูกยุบแล้ว”

“อืม ครูกำลังดิ้นรน”

“ผมก็เหมือนกัน”

“ดิ้นรนเพื่อชมรมครูเหรอ”

“เปล่า ผมกำลังดิ้นรนให้ตัวเอง”






เสียงฝนพรำลงมาเบา  ไม่หนักจนต้องหนี แต่ถ้าไม่หลบก็เปียกอยู่บ้าง

“แล้วนี่แกจะไปเอารถ ผ่าฝนมายังไงเนี่ย”  เจ๊เพชรที่ลงมาจากชั้นสองอย่างสวยพริ้ง กำลังยืนแต่งหน้าอยู่ที่หน้าร้าน

“เดี๋ยวว่าจะเอารถฝากไว้ที่ ป้อมตำรวจ แล้วตามเจ๊ไปดีม๊ะ”

“ก็ดีนะ ไปด้วยกันไหมคะอาจารย์”

“ไม่ดีกว่าครับ พี่เพชรจะกลับกันประมาณกี่โมงครับ”

“ผับเลิกก็ตีหนึ่ง กว่าจะออกมากันก็เกือบตีสอง กินข้าวต้มกันอีก เอาเป็นว่าตีสามน่ะค่ะ”
โหย ตีสามเลยเหรอ ถ้าล็อคประตูร้าน แล้วไฟไหม้ เด็กคนนี้ตายคาร้านแน่

“งั้น เดี๋ยววิทย์อยู่กับผมก่อนก็ได้ แล้วตีสามผมวนมาส่ง”

“เฮ้ย ไม่ได้”  ปอนด์เสียงดุ เบรกคำพูดผมในทันที

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกศิษย์ผม ผมดูเองได้”

“เอิ่ม.. อาจารย์กายคะ  เพชรไม่ได้จะทำอะไรเด็กนะคะ  เด็กมาหาเพชรเอง”

“พี่เพชรอย่าได้กังวล  ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรครับ แค่เป็นห่วงวิทย์ และอยากจะพูดคุยนิดหน่อย แต่วิทย์เขายืนกรานแล้วว่า อยากจะกลับมาอยู่กับพี่เพชร เดี๋ยวตีสามผมมาส่งนะครับ”

“เอ่อ..”  เจ๊เพชรหันไปมองหน้าปอนด์ ที่ขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน

“ป๊ะ วิทย์ เดี๋ยวครูมาส่ง”  แล้ววิทย์ก็เดินตามผมออกมา   โดยมีปอนด์ เดินไล่หลังมา

“ผมไปด้วย”

“ปอนด์ไปดูคอนเสิร์ตเถิดครับ  มันเป็นวงที่ชอบไม่ใช่เหรอ”

“แต่..”

“ผมอยากพูดคุยกับวิทย์เขาหน่อย”

“...”

“สัญญาว่าจะกลับมาส่งตอนตีสามนะครับ”

“ก็ได้ครับ”  ก่อนปอนด์จะชี้หน้าไปที่เด็กมอห้า ด้วยทีท่านักเลงช่างกลพร้อมบู๊แหลก  “ถ้ามึงทำอะไรพี่กายนะ กูเอามึงตาย”

“โหวพี่ ผมรู้น่า ของใครเป็นของใคร กฎลูกผู้ชาย ใครก็รู้”








ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ ใกล้แม่น้ำ มีตลิ่งที่เทปูนเป็นสันเขื่อนไว้ตลอดแนว 
ผมกับวิทย์นั่งอยู่ มีเบียร์สองกระป๋องที่เด็กมอห้าซื้อมาเพื่อดื่มฆ่าเวลา

“ทำแบบนี้บ่อยเหรอ”

“ก็ไม่บ่อยนะครับ แค่ถ้าวันไหน จะต้องพาสาวเที่ยว คืนก่อนหน้านั้นค่อยทำ”

“ห๋า”

“โหว อาจารย์ไม่รู้ ผู้หญิงสมัยนี้ กินแต่ของแพงๆ”

“คือ พาผู้หญิงไปเลี้ยง”

“อ้าว หมดสมัยแชร์กันแล้วอาจารย์  ผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่ควักกระเป๋าเงินมาหรอก เขาควักแต่มือถือมาถ่ายรูปตอนเราจ่ายเงิน แล้วโพสต์บอกว่า ผู้ชายพามาเลี้ยง”

“แล้วทำไมต้องทำขนาดนี้”

“ก็สัญญาไปแล้ว ว่าจะพาเขาไปเลี้ยง”

“แล้วถ้าคืนนี้ไม่ได้งานล่ะ”

“หน้าอย่างผม ถ้าออก ได้งานตลอด”  เออ มั่นหน้าเข้าไว้ มึงหล่อ อันนี้กูเข้าใจ แต่เด็กสมัยนี้ ทำเอาผมปวดหัว

“แล้วพ่อแม่ไม่ว่าเหรอ”

“คงจะว่า ถ้าเขาใส่ใจพอนะครับ”

“เขาคงทำงานหนัก จนไม่มีเวลาให้เธอน่ะ”

“ใช่ครับ พ่อยุ่งมาก ไหนจะบ้านผม บ้านเมียน้อย  ส่วนแม่ก็ยุ่ง วงไพ่ขาชอบขาด  แม่นี่ไปเติมเต็ม”

“ครูไม่รู้จะพูดยังไงดี”

“แค่มานั่งเป็นเพื่อนผม ก็ซึ้งแล้วอาจารย์”

“ครูอยากจะช่วยเธอได้มากกว่านี้  ครูหาทุนเรียนให้ไหม จะได้ไม่ต้องทำงานแบบนี้”

“ผมก็ไม่ถึงกับไม่มีตังเรียนหรอกครับอาจารย์  เพื่อนบางคนจนกว่าผมอีก ผมคงไม่กล้ารับหรอก ทุนมีไว้ให้เด็กรักดี”

“เธอก็รักดีได้นะวิทย์”

“อาจารย์ ผมซึ้งนะ แต่ผมเลือกแล้ว”

“ทำมานานยัง”

“ก็พักนึงแล้ว ลูกค้าติดผมจะตาย”

“ทำไงถึงติดล่ะ” ผมลองเปลี่ยนแนวทางการสนทนา เผื่อจะเข้าถึงวิทย์ได้มากขึ้น

“ก็ถ้าดูแล้วมีตังเยอะหน่อย หรือ ดูเหงาๆ ครั้งแรกอย่าไปเอาตังเขา”

“แล้วจะเอาที่ไหนใช้”

“ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานสิอาจารย์  เขาจะคิดว่า ที่เราไม่เอาตังเขา เพราะเรามีใจ พอครั้งที่สอง สาม คราวนี้นะ รับทรัพย์อย่างเดียว เรียกหาแต่เรา ขอยีนส์ลี ได้ ลีวายส์  ขอนาฬิกาทราย ได้จีช็อค”


“แล้วเธอทำใจได้เหรอ มีอะไรกับคนที่ไม่ชอบ”

“ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น  แต่ถ้าได้คนที่ดูดีหน่อย มันก็ง่าย  อย่างถ้าเป็นอาจารย์นี่ ผมให้ฟรีเลย”

“นี่ก็เป็นกลเม็ดสินะ”

“บางทีอาจารย์ ก็มองผมแง่ร้ายเกินไป”






เรือหางยาวแล่นผ่านเวิ้งน้ำเบื้องหน้า  มีไฟสีเหลืองส่องนำทาง
เสียงแพที่ล่องมาแต่ไกล เริ่มหรี่เพลงเบาลง เพราะช่วงนี้ เทศบาลเข้มงวดกับเสียงรบกวนตอนดึก
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ทุกอย่างคล้ายกำลังจะจบ
ผิดกลับท้องถนน ที่กลับมาคึกคัก ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ของวัยรุ่น ราวกับสรรพสิ่งกำลังจะเริ่มต้น

“ครูให้เงินเธอไหม คืนนี้เธอได้ไม่ต้องทำงาน”

“ไม่ครับอาจารย์ ผมรับความปรารถนาดีของอาจารย์ไว้ แต่ว่า ให้ผมได้สานต่อความรับผิดชอบของผมเถิดนะครับ”

“สะเทือนใจจัง”

“อาจารย์เป็นคนดีนะครับ  ถ้ามีอะไรเรื่องชมรมให้ผมช่วยได้ ผมยินดีนะครับ”

“ไม่น่าจะมีชมรมแล้วล่ะครูว่า”

“บางครั้ง อาจารย์ก็คิดว่า โลกนี้มันไม่ยุติธรรมกับอาจารย์ใช่ไหมล่ะครับ”

“มันเกิดกับวิทย์บ่อยใช่ไหม”

“ก็อยู่ที่มุมมองของเราครับอาจารย์  ถ้าเราคิดบวก  สิ่งรอบข้างที่เกิด มันก็มีเหตุผลของมัน”

“เธอดูโต กว่าที่ครูเห็น”

“ต้องดูผมให้ใกล้ ให้ลึก”  วิทย์ยื่นหน้ามาใกล้ผม  เฮ้ย อย่ามาทำอะไรอย่างนี้

“ทำอะไรเนี่ย”

“ผมจูบอาจารย์ได้ไหม”

“เฮ้ย”

“ก็อาจารย์น่ารัก”

“ไม่ได้ ครูเป็นครูเธอ”

“แต่ไม่ได้สอนผม แค่อยู่โรงเรียนเดียวกัน”  วิทย์ยังคงโน้มหน้ามาใกล้กว่าเดิม จนลมหายใจอุ่นปนกลิ่นเบียร์รดใส่ผิวหน้าผม กลับกลายเป็นผมที่ลมหายใจเหมือนจะติดขัดแทน

“มึงไปได้แล้ว”  พระเอกขี่ม้าขาว เอ้ยไม่ใช่สิ  ขี่คาวาซากิสีเขียว มาช่วยแล้ว เขาเอื้อมมือดึงคอวิทย์ออกห่างจากหน้าผมอย่างสุภาพ แต่สาบานได้ว่า คอวิทย์เป็นรอยจ้ำแน่

“โหว พี่ กำลังได้ฟีลเลย” วิทย์หัวเราะ เมื่อโยว้ตัวกลับเข้าที่  ก่อนจะคว้าเบียร์ที่เหลือติดก้นกระป๋องมาเข้าปาก

“มึงไปได้แล้ว เจ๊เพชรกลับถึงร้านแล้ว  นี่ก็อีกคน มานั่งให้ยุงกัดทำไมเนี่ย”  ปอนด์หันมาดุผม

“ก็ไม่อยากให้ลูกศิษย์อยู่คนเดียว”  ผมตอบเสียงอ่อน

“อาจารย์กำลังโน้มน้าวให้ผมทิ้งลูกค้าอยู่เนี่ยพี่” อ้าว ไอ้เด็กนรก ไอ้ขี้ฟ้อง

“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”  ผมย้ำหนักแน่น

“ไม่ครับ มันเป็นเส้นทางของผม  แต่ผมขอบคุณอาจารย์นะครับ ผมไปดีกว่า ไม่ต้องไปส่ง เดินไปนิดเดียว”  วิทย์ยกมือไหว้ เก็บกระป๋อง กับเปลือกซองถั่วที่ซื้อมากิน ใส่ถุงพลาสติกเพื่อเตรียมไปทิ้ง  ให้มันได้อย่างนี้สิ เด็กโรงเรียนศรีวิกลธร 




เสียงนาฬิกาจากหอสูง กระพือให้ดังพอรับรู้ ว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน 
แม้ยังเยาว์นักสำหรับคนกลางคืน และขาเที่ยว
แต่สำหรับผม มันก็ดึกมากแล้ว

“ทำไม กลับกันเร็ว ไหนพี่เพชรบอกว่า ตีสาม”

“อยากอยู่กับ ศิษย์ นานๆ ว่างั้น”

“อย่าพาลสิครับ”

“ขอโทษครับ ก็คนมันห่วง”

“ผมจัดการกับลูกศิษย์ได้น่า”

“ไอ้วิทย์ ท่าทางชั่วโมงบินมันสูงใช่เล่น”

“เด็กคนนี้ มีทางของเขา”

“อาจารย์ก็คงโน้มน้าวเขาจนถึงที่สุดแล้ว”

“เปล่าเลย ไม่ใช่  ผมแค่อยู่เป็นเพื่อนเขา ให้เขารู้ว่า  เขามีเพื่อน”

“อยากย้อนกลับเวลาไปเรียนบ้างจัง อยากเจอครูน่ารักแบบนี้”  จับคางกูเชิดขึ้นทำไมเนี่ย  โน้มตัวเข้ามาทำไม  หน้ามึงจะชนกูอยู่แล้ว

“ป๊ะ กลับกันเถิด”  ผมลุกหนี  เอามือมาปัดแสกผมที่พองเพราะแรงลมให้เข้าที่เข้าทาง  เพื่อจะเตรียมกลับบ้าน

“เปลี่ยนกลับไปแสกซ้ายอีกแล้ว มานี่”  ปอนด์ดึงผมมาแนบใกล้ เอามือจัดผมของผมให้กลับมาแสกด้านขวา จัดมันให้เข้าที่  เรายืนแนบกันอยู่อย่างนี้เกือบนาที  จนเขาเสร็จกับภารกิจ จัดรองทรง ของพงศกร  ผมเหลือบไปเห็นสายตาคู่รักหลายคู่ที่มานั่งจู๋จี๋กันที่ริมตลิ่งแม่น้ำล้วนหันมองมา  ผมรีบเดินนำปอนด์ไปที่รถอย่างอายๆ

“ผมกลับด้วย นี่เพื่อนมาส่งเนี่ย”

“กลับดึกอย่างนี้แฟนไม่ว่าเหรอ” 

“แหน่ะ  หลอกถามว่ามีแฟนยังใช่ไหม”  เชี่ยยยยยยย  ช่างตัดผมหรือ ไอน์สไตน์

“ไม่ต้องบอกก็รู้  คนเมื่อเย็นไม่ใช่แฟนเหรอ น้องฟางน่ะ”

“อ๊ะ มีหึง”

“ไปดีกว่า จะกลับก็ตามมา ไม่กลับก็เดินตามไอ้วิทย์ไปนู่น  ไปนอนร้านเจ๊เพชรเลยไป ชิ้วๆ”

“ถ้าผมนอนบ้าง จะมาตื้อ มากล่อม เหมือนที่ทำกับวิทย์ไหมหนอ”

“ไม่ใช่ลูกศิษย์ จะทำอะไร ก็ทำไปเหอะ”

“โหว  เซ็งอ่ะ”

“ไปกลับได้แล้ว เที่ยงคืนแล้ว..”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:54:52 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
โว้ว..ววววว ปอนด์นี่ยังไง ชอบพี่กายแล้วใช่ไหม..เค้าได้กลิ่น 555 :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาเจ็ด : แสงปลายทาง กระจ่างจ้า



ผมเล่าปัญหาของชมรมให้กับปอนด์ฟังผ่านแอ๊พพลิเคชั่นไลน์
เขาดูจะอดทนผมพอสมควร ทั้งที่ผมก็บ่นไปเรื่อย
ถ้าโทรศัพท์มือถือมันพูดได้ มันคงครวญครางด้วยความเหนื่อยล้า
เขาให้ผมอดทนแล้วนึกให้ดี ว่ามีอะไรที่เป็นทางออก

                                                                                       
Line

                                                                           
  ปอนด์ ช่างตัดผมสุดหล่อ
                                                                           



เดี๋ยวก็ผ่านไปได้หน่า นอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ


                           
เบื่อแล้วเหรอ  อืมไปนอนเหอะ ฝันดีครับ


เฮ้ย.. ม่ายช่ายยยยยยย  ขี้น้อยจัยจุง


                           
เปล่า เห็นไปเที่ยวผับมา คงเหนื่อย


ก็ไม่ได้เต้น ไม่ได้เมานี่ กังวลจะตาย


                                                              
เรื่อง ????


ก็กลัว ไอ้วิทย์มันจะจู่โจมพี่กาย


                                                    
เด็กตัวเท่าลูกหมา


มันไม่ธรรมดาหรอก  แถมแมร่ง หล่อด้วย เด็กเชี่ยยย


                                                 
อ้าว ไปด่าน้องเขาทำไม  ปอนด์หล่อกว่าอีก



จริงป๊ะ

                               
ไม่ไปถามน้องฟางดูล่ะ


มั่วแร๊ะ เพื่อนกัน อยู่แก๊งแต่งรถด้วยกัน


                                                
อืม


เชื่อหน่อยเหอะ


                          
ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ฟางสวยจะตาย ใครก็คงอยากจีบล่ะมั๊ง


อย่าบอกนะว่าพี่กายชอบฟาง


                                       
แค่ชมว่าเขาสวยดี คนมองทั้งตลาด ไม่เห็นเหรอ


ไม่ทันดูครับ เป็นคนที่เวลาสนใจอะไร สนใจเป็นอย่างๆ


                                                       
ห่วงขนมปังปิ้งว่างั้น


ทำมาไขสือ


                                                   
เดี๋ยวจะนอนแล้วแหล่ะ


พี่กาย
            
                                          
ครับ


ผมนึกคำพูดลูกค้ารายนึง พูดถึงเรื่อง เฟซบุ้ค ซื้อ อินสตาแกรม เมื่อห้าปีก่อน
                     

                                        
แล้ว ?


ตอนนั้นมีแต่คนคิดว่า คงเป็นคู่แข่งกันเพราะเป็นสื่อโซเชียลเหมือนกัน


                                          
นั่นสิ


แต่ตอนนี้ มันพิสูจน์แล้วว่า มันเอื้อกัน เพิ่มประโยชน์ให้ทั้งคู่นะ


                                 
ก็จริงเลย


ชมรมของพี่กาย  มีพันธมิตรไหม


                        
คือ จะให้ชมรมหนังสือ เป็นแบบเฟซบุ้คเหรอ


เปล่า..  ชมรมหนังสือมันเล็กไปแล้ว สำหรับชมรมพี่คือ ไอจี


                                  
พี่ก็ต้องหา เฟซบุ้คให้เจอ


ต้นทุนเดียวกัน แต่ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย


                                         
ใช่เลย โพสต์รูปครั้งเดียว  แชร์ได้ทั้งสองสื่อ


แม้คนละกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ไปปรับเอาได้ พันธมิตรกัน หมดยุคคู่แข่งแล้ว


                                     
ขอบคุณครับ..  ฝันดีนะ ปอนด์






เช้าตรู่ของวันใหม่ มีอะไรมากมายในหัวให้ต้องสะสาง  ผมพยุงร่างที่ห่างจากการออกกำลังกายไปนาน เดินบนเฉลียงของตึกใหญ่ที่สุดของโรงเรียน  เป็นอาคารรูปตัวแอลสี่ชั้น 
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม ซึ่งแบ่งเป็นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เวิ้งหนึ่ง แล้วก็ห้องรวบรวมสื่อการสอนที่รอซ่อมบำรุง และตกเบิกใช้ อีกเวิ้งหนึ่ง 
ตรงกันข้าม เป็นห้องที่กั้นด้วยกระจกใสกับกรอบอลูมิเนียมดำ กินพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้มีคนในนั้นไม่มากนัก แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำจนผิวกระจกเกาะไอเย็นในจุดที่แรงลมจากเครื่องปรับอากาศพุ่งใส่ มันคงเย็นสบายน่าดู 
ผมเห็นได้จากนักเรียนทั้งหลายที่ฟุบหน้าสลบอยู่กับโต๊ะที่เรียงราย  บ้างก็นอนอยู่ตามมุมเสา แต่ก็ยังมีบางคนที่จับหนังสืออ่านอย่างตั้งใจ...   ห้องสมุดคุณาการโรงเรียนศรีวิกลธร

“อ้าว น้องกาย ไปไหนมา”

“ผมมาหาพี่อ๊อดนี่แหล่ะครับ”

“เหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า มานั่งข้างในสิ ผมกำลังจะให้บรรณารักษ์น้อย แข่งกันเรียงหนังสือ  อีกสักพักได้ไหม”

“ได้ๆๆ  ถ้าไม่รบกวน ขอผมนั่งดูด้วยนะพี่อ๊อด”

“เอาสิแหม ห้องสมุดยิ่งร้างลาผู้คนอยู่ มาๆๆ  นักเรียนพร้อมกันแล้ว นี่กำลังชิงตำแหน่ง บรรณารักษ์น้อยประจำห้องสมุดของปีนี้กัน”

“ฟังดูน่าสนุก พี่ตามสบายเลยครับ ผมนั่งดูห่างๆ”





พื้นห้องสมุดปูพรมสีน้ำเงินใหญ่โต  มีชั้นเหล็กใหม่เอี่ยมเรียงรายซึ่งมาแทนชั้นไม้ที่ทรุมโทรม
มันช่างต่างกับที่ผมชินตา เอ..ผมไม่ได้ขึ้นมาห้องสมุดนี้นานเท่าไหร่นะ  ก็น่าจะตั้งแต่ คนเลิกอ่านหนังสือกันแล้วนั่นแหล่ะ 

เห็นจำนวนคนเข้าห้องสมุด ก็นึกสงสาร  แต่ห้องสมุดก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นกับโรงเรียน มันคือหน้าตา และไม่มีใครกล้าล้มห้องสมุด   งบค่าใช้จ่ายของห้องสมุด เต็มที่ก็อาจจะลดลาลงบ้าง งดซื้อหนังสือใหม่เข้าห้องบ้าง แต่อย่างน้อย เขาก็อยู่ของเขาได้ 

ไม่มีโรงเรียนไหนปราศจากห้องสมุด  แม้กระทั่งการศึกษานอกโรงเรียน  ห้องสมุดไม่เคยล้มหายตายไป 
 แต่มันคือ ลิปสติกบนใบหน้าผู้หญิง มันคือสิ่งจำเป็นของหน้าตาสถานศึกษา


ผมนั่งดู เด็กน้อยแข่งกันจัดหนังสือเข้าชั้นตามโจทย์  เด็กดูสนุกสนานผิดกับบุคลิกแสนเรียบร้อยของพวกเขา 
กลุ่มเด็กพวกนี้ดูจะคล้ายคลึงกับเด็กในชมรมผมเป็นที่สุดแล้ว
เขามักนั่งหน้าห้องเรียน.. 
มักยกมือถามอาจารย์เป็นคนแรก.. 
มักถูกเลือกให้ถือสมุดเช็คชื่อ.. 
บ้างก็คอยถือกองชีทเดินตามอาจารย์  ถูกแกล้งบ้าง มีทั้งเรียนดี และก็รองบ๊วย 
แต่พวกเขาเหมือนกับเด็กในชมรมผมอยู่อย่างหนึ่ง  ก็คือ..  เขารักหนังสือ



ข้อความในไลน์ของปอนด์ยังเวียนอยู่ในหัวของผม  แน่นอนว่า ห้องสมุดเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ 
มันคงไม่ง่าย กับการจะมาขอร้องห้องที่เราไม่เคยมาสร้างคุณความดีให้แก่เขา 
กลับแต่จะเคยเหยียดว่าพวกเขาล้าหลัง เชย ท่วมด้วยระเบียบวินัย

พวกเราสิ ฉลาด มานั่งวิพากษ์เล่มหนังสือกันอย่างสนุก ปล่อยให้พวกเขาขลุกกับตำราวิชาการ แล้วก็มองว่า พวกเขาไม่ใช่พวกเรา  คนละกลุ่มกัน  พวกเรามันเฉกเฉพาะกว่า มีสีสันกว่า ทันสมัยกว่า  แล้วท้ายที่สุด เราก็คลานมาขอร้องเขา


“น้องกายว่า เวิ้งตรงนั้นพอไหมล่ะ  เพราะฝั่งวัสดุเทป กับ ซีดีรอม แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว  เวิ้งหลุบตรงนั้น ประมาณ  สี่คูณแปดเมตร ก็กว้างเอาเรื่องนะ  แต่น้องกายต้องหางบมากั้นกรอบกระจกเอา คร่อมแอร์ขนาดหนึ่งตันตัวนั้นพอดี”

“พอซะยิ่งกว่าพอครับพี่อ๊อด”

“อาจจะมีกฎที่ออกร่วมกันบ้าง เช่นเรื่องของเสียง  เพราะชมรมน้องคงจะใช้เสียงตอนเถียง ตอนวิจารณ์กัน แต่ถ้ากั้นกระจกกับกรอบอลูมิเนียมจนสุดข้างบนนั้น คงจะเก็บเสียงได้ดี”

“เด็กผมปกติจะมีเวรเฝ้าหนังสือ ช่วงที่นอกเวลาเรียน เพราะชมรมไอที เขาคนเยอะมากครับ”

“ที่นี่มันมีเจ้าหน้าที่อยู่นะ เราก็ค่อยมาดูเด็กของเรากันเอง แต่วงจรปิดก็มี เจ้าหน้าที่อยู่ตรงทางออก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่หนังสืออ้างอิง ไม่ค่อยโดนขโมยหรอก กฎระเบียบโรงเรียนเรา ท่านผู้อำนวยการท่านก็ลงโทษหนักเอาเรื่องอยู่”

“นี่ถ้าพี่โอเค ผมก็จะรีบไปแจ้งเบื้องต้นกับท่าน แล้วรีบทำหนังสือมาขอกับพี่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกที”

“อืม ของผมมันก็กว้างขวาง เหลือกินเหลือใช้  หนังสือก็พร่องลงทุกที แต่ก็ไม่ยักมีนักเรียนมาแตะเท่าไหร่นัก  มันไม่ใช่ยุคของเราแล้วอาจารย์พงศกร..  เรากำลังถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย”

“ผมจะพยายามทำให้มันกลับมามีสีสันอีกครั้งครับ จะทำเท่าที่ทำได้”

“เป็นกำลังใจให้นะ เรามันคนรักหนังสือเหมือนกัน สู้ล่ะ อย่าเพิ่งท้อ”





ผมเบิ่งรถเก๋งเก่าแต่เก๋าในความรู้สึกมาจอดยังหน้าร้านของพี่เพชร  หวังจะเข้ามาขอบคุณใครคนหนึ่ง ที่จุดประกายแนวคิด แถมยังเป็นต้นตอของการคลี่คลายปัญหาทั้งหมด  ผมแทบน้ำตาไหลตอนท่านผู้อำนวยการเห็นดีด้วย แถมชมว่า เป็นวิธีที่ลงตัว เล่นเอาใบหน้าใครคนนี้ลอยขึ้นมาเลย 


“อ้าวอาจารย์กาย นั่งก่อนๆๆ”  พี่เพชรก็มีความเป็นกันเองแฝงอยู่ในที มิน่า เด็กวัยรุ่นถึงติดกันเกรียว

“พอดีผมแวะมาหาปอนด์ คงไม่กวนเวลาทำงานครับ กะแวะมาคุยแป๊บเดียว”

“อูยยยยย อยู่นานๆก็ได้ค่ะอาจารย์ ทำตัวตามสบาย นี่มันไปซื้อสเปรย์ฉีดสีผมที่ตลาด เดี๋ยวก็มาค่ะ”

“อ้าวเหรอครับ พอดีเห็นรถเครื่องของเขาจอดอยู่ ผมยังนึกว่าเขาอยู่ร้าน”

“อ๋อ พอดีน้องฟางมารับน่ะคะ เดี๋ยวก็มา”

รอยยิ้มของผมหุบลงในทันที เปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่ผลิตรอยยิ้มแบบเจื่อนเกลื่อนอยู่ข้างกระพุ้งแก้ม  ผมเลยขอตัวเพื่อที่จะขอบคุณเขาทางข้อความแทน  ถือโอกาสลาพี่เพชรเตรียมกับบ้าน

“รอหน่อยเหอะค่ะอาจารย์ น้องปอนด์เขาอยากเจออาจารย์แน่เลยค่ะ นี่ก็พร่ำถึงอาจารย์ไม่หยุด”

“ผมน่ะเหรอ”

“ใช่น่ะสิคะ นี่ถ้าเห็นอาจารย์เปลี่ยนข้างแสกอีก รับรองโดนดุ”

เออใช่  วันนี้ผมรีบออกจากบ้าน ก็กลับไปแสกที่ข้างซ้ายตามเดิม  แม้ตอนนี้มันฟูพอง ไม่เรียบแปล้เหมือนเจ้าปอนด์ตัดให้ในตอนแรก  แต่มันก็อุ่นใจกว่าแสกข้างขวาที่ไม่คุ้นเคยอยู่ดี  เมื่อพี่เพชรอุตส่าห์รั้งผมไว้ ผมก็นั่งรอเขาอีกสักพักแล้วกัน




“นี่คืนนี้จะไปเวียนเทียนที่วัดไหนล่ะครับเสี่ย” ช่างตัดผมตรงโต๊ะหมายเลข 7 เอ่ยถามลูกค้าสูงอายุ ที่นั่งตัวตรงอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ  ผมของเขาสีเทาเสมอกันทั้งศีรษะ ดูภูมิฐานและท่าทางใจดีไม่น้อย

“ก็ไปที่วัดเหนือนี่แหล่ะใกล้ดี”

“ปกติเห็นเสี่ยชอบไปวัดไกลๆ พวกวัดป่า”

“อืม เมื่อก่อนเราก็นึกไปว่า วัดป่า วัดไกลๆ จะปฏิบัติดี เฮ้อ.. มันก็เหมือนย้ายพระวัดบ้านไปอยู่ในที่ไกลหูไกลตาแทน”

“แต่พระดีๆ ก็ยังมีเยอะนะครับเสี่ย” ช่างตัดผมตัวผอมบาง เดินไปยืนข้างๆ เพื่อกันขอบผมทรงบ็อบของลูกค้า

“พระดีๆ ก็มี  แต่ตอนนี้ผมล่ะไม่เห็นเลย.. เคยนับถือใคร  เคยเข้าหาใคร ท้ายที่สุด ก็ไม่เป็นดั่งใจหวัง  ต้องตัดที่ตัวเรานี่แหล่ะ  ไปยึดติดในตัวพระสงฆ์มากเกินไป  เอาคุณพระพุทธเข้าไว้จะดีกว่า”

“ผมเห็นพระนี่ เดี๋ยวนี้มีทีวีในห้อง มีโทรศัพท์มือถือ เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่รู้อยู่ในที่ลับ ดูอะไรกันมั่งเนอะครับ”

“อย่าให้ผมได้พูดเลย  ลูกชายเอามาเปิดให้ดู  ในแอ๊พโทรศัพท์ เขาเรียกอะไรนะ ที่มันเป็นสีฟ้าๆ รูป นกน่ะ โอ้โหว ลมแทบจับ ไม่อยากจะดูต่อเลย”

“เลยทำให้วงการพระสงฆ์เสียไปด้วยเลยเนอะครับ เสียชื่อชาวพุทธหมด”

“มันก็มีทุกศาสนาแหล่ะนะ มาร เนี่ย  แต่ถ้าเรายึดที่แก่นของธรรมะได้  จะศาสนาไหน ศาสนบริษัท ก็สำคัญรองลงมา  แค่ช่วยกับพยุงให้ศาสนานั้นอยู่ต่อไป”

“พระรวยกว่าผมอีกนะตอนนี้  กฐินที นี่แย่งกันไปอยู่วัดที่แบ่งกองกันเหลือใช้”

“ผมล่ะ เอาไปให้โรงพยาบาล ไปให้มูลนิธิก็เยอะ  ปัญหามันก็เยอะพอกันนั่นแหล่ะ  จะทำบุญทำกุศล ก็ต้องมีสติ”

“เฮ้อ..  เป็นช่างตัดผมไม่รวยเสียที สงสัยผมต้องไปบวชดีกว่าครับ”




รถฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ขับมาเทียบที่ริมฟุตบาทหน้าร้าน  ปอนด์เปิดประตูฝั่งซ้ายลงมา พร้อมถุงพลาสติกที่มีของอัดอยู่เต็ม ก่อนจะโบกมือลาคนขับสาวสวยผ่านประตูฝั่งซ้าย ซึ่งถูกลดกระจกลงจนสุด เผยให้เห็นรอยยิ้มแสนหวานของฟาง

“อ้าว พี่กาย ทำไมเลิกสอนเร็วจัง”

“ก็กะว่า จะแวะมาขอบคุณ”

“ขอบคุณผมเนี่ยนะ”

“อืม”

ปอนด์ยังคงทำหน้างวยงง ก่อนจะเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาคาด กับหน้ากากอนามัยเตรียมจะสวม

“ปอนด์ ไปพักสักแป๊บนึงก็ได้ พาอาจารย์ไปลองเค้กมะพร้าวร้านเจ๊นกเล็กสิ อร่อยมากเลยค่ะอาจารย์”

“ขอบคุณครับเจ๊  รักเจ๊นะ”  ปอนด์เดินไปหยิกแก้มก้นของพี่เพชร จนพี่เพชรเขิน ต้องเอาหวีแปรงอันใหญ่มาฟาดไปที่ไหล่ดัง “พลั๊ว”  ปอนด์ร้องโอดโอย ก่อนจะเดินนำผมออกมาจากร้าน



ร้านกาแฟเบเกอรี่แสนน่ารัก มีต้นไม้โดยรอบจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ริมถนนใหญ่  แถมอยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้ออีกต่างหาก

“น่ารักไหมพี่กาย”

“อืม ร้านน่ารักมากเลย”

“ผมหมายถึงตัวผม”

“.....”

“ชมกันหน่อยดิ”

“ชมเรื่อง..?”

“เรื่องอะไรก็ได้ ที่พี่อุตส่าห์หอบสังขารมาหาผมเนี่ย”  ปอนด์เอื้อมไปหยิบ ม็อคค่าเย็นที่บริกรเดินมาเสิร์ฟ ส่งมาทางผม วางบนที่รองแก้วซึ่งทำจากยางตัดเป็นสี่เหลี่ยมสีดำ พิมพ์ลาย “นกเล็กเบเกอรี่” อักษรสีชมพู   ส่วนของปอนด์ก็คว้าชาเขียวปั่นไปไว้บนที่รองแก้วของตัวเอง

“ก็กะจะมาขอบคุณ”

“ปัญหาจบแล้วเหรอ”

“น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เหลือแค่ ล่ารายชื่อเด็กให้ครบ ห้าสิบคน กับ หาทุนกั้นห้องกระจก น่าจะแค่ สี่หมื่นกว่า เพราะกระจกมันใหญ่ แต่ว่า ห้องก็ค่อยๆ แต่งกันไป เดี๋ยวหาวิธีหาทุนเอา  แต่เอาเป็นว่า ไม่น่าจะโดนยุบแล้ว”

“ดีจัง”

“ก็เลยมาขอบคุณ  เพราะคำที่พูด เลยคิดได้”

“อยากรู้จังกว่า พี่กายแก้ปัญหายังไง”

“ไว้จะพาไปดู ให้เห็นกับตาเลย”

“โหว เป็นเกียรติ”

“นี่ถ้าตั้งชื่อห้องได้ จะตั้งว่าปอนด์เลย ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ”

“ไม่ต้องขนาดนั้น แค่ เสวนา เฮมิงเวย์ ให้เยอะ”

“ห๋า”

“อ้าว หน้าอย่างผม ก็อ่านหนังสือเป็นนะครับ”

“รู้จักเฮมิงเวย์ด้วย”

“คนโปรดของผม เจ้าของผลงาน  แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“หน้าผมดูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่กาย  ผมไม่ได้อ่านฉบับภาษาอังกฤษสักหน่อย เดอะซัน ออโซ ไรซ์ อะไรกันนั่นน่ะ”

“หูยย ทึ่งเลย”

“ผมก็ไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น แต่น่าเสียดาย ถ้าเด็กรุ่นใหม่จะไม่ได้พูดถึงมัน”

“ได้ๆๆๆ  วันไหนจัดสัมมนา The Sun Also Rises จะขอให้ไปเป็นแขกรับเชิญเลยนะ”

“ตังผมเหลือไม่เยอะเดือนนี้ แต่งรถหมด ผมช่วยบริจาคสักพันนึงนะ”

“เฮ้ย จะดีเหรอ เก็บไว้เหอะ  เดี๋ยวจะรวมตัวประชุมกัน มีวิธีหาเงิน คงทัน สิ้นเดือนนี้”

“ผมอยากช่วย อยากมีส่วนร่วม เคยแต่อ่านหนังสือ แต่ไอ้เสวนาหนังสือนี่ มันคงน่าสนุก”

“ไปนะไว้ว่างแล้วแวะไป”

“ได้ครับ”

“ขอเลี้ยงมื้อนี้นะ กินอะไรสั่งๆๆ”

“เพิ่งทานมา”

“อ่อ ลืมไป”  ผมหยุดชะงักไปเพราะนึกขึ้นได้ว่า เขาเพิ่งกลับมากับฟาง  คงแวะทานอะไรกันมาแล้ว

“ไม่งอนสิ”

“เฮ้ยเปล่า งั้นไว้หาโอกาสเลี้ยงใหม่นะครับ”

“ได้สิครับ”

“งั้นเดี๋ยวเตรียมไปทำงานเหอะ  ผมจะแวะไปว่ายน้ำ แล้วก็กลับเลย”

“ไม่งอนนะ”

“สาบานเลย”

“สาบานกับอะไรดีนะ”

“สาบานต่อหน้าห้องชมรมหนังสือในอนาคตเลย”



ผมเรียกเช็คบิล แล้วรีบตักเค้กมะพร้าวคำสุดท้ายเข้าปาก  ไม่ถึงกับอร่อยอะไรขนาดนั้น แต่เชื่อว่า เป็นอุบายพี่เพชร ที่อยากให้ผมได้มีเวลาคุยกับปอนด์ 
พี่เพชรก็ดูน่ารักดีนะครับ เข้าอกเข้าใจ  แม้ผมจะไม่ชอบสิ่งที่เขาทำยามค่ำคืน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิอะไรไปละเมิดชีวิตส่วนตัวของเขา  แค่คิดว่า อยากให้เขาขยับอายุแขกที่มาเยี่ยมยามค่ำคืนเพิ่มอีกสักหน่อย สักที่นิติภาวะได้บรรลุแล้ว

ผมกับเขาเดินกลับมายังทางเข้าร้าน ก่อนจะโบกมือผ่านกระจกประตูบานเลื่อนซึ่งปิดอยู่เป็นการล่ำลาพี่เพชร เจ้าของร้านหันมาผงกหัวล่ำลากลับ แล้วปอนด์ก็เดินมาส่งผมขึ้นรถแทน  ผมเลยรีบขึ้นรถเพื่อไม่ให้เขาเสียเวลาทำงานไปมากว่านี้

ผมลดกระจกด้านซ้ายลง เหมือนที่ฟางทำ  ล่ำลาเขาแล้วบอกว่าจะโทรหา
ปอนด์เอื้อมตัวสูงโย่งที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท โผล่ตัวเข้ามาผ่านหน้าต่างรถ ซึ่งกระจกถูกเลื่อนลงจนสุด
เขาพูดใส่หูข้างซ้ายของผมด้วยเสียงแผ่ว แต่ได้ยินชัดเจนไปถึงขั้วหัวใจ

“ผมกับฟางเป็นแค่เพื่อนกันนะครับ”

“ครับ”

“สาบานเลย”

“สาบานกับอะไรดีนะ”

“สาบานกับอะไรที่มันศักดิ์สิทธิ์..  สาบานกับเฮมิงเวย์”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2018 15:52:13 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ชอบจัง
ปอนด์นี่ขี้หวงนะ ชนาดไม่ได้เป็นอะไรกัน  :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบจัง
ปอนด์นี่ขี้หวงนะ ชนาดไม่ได้เป็นอะไรกัน  :o8:

นี่ว่าอาจารย์ก็ขี้งอนไม่น้อย ขนาดเพิ่งเจอ
55   :z3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ชอบมากค่ะ  ปกติไม่ค่อยเข้าห้องเรื่องสั้นเลยเพิ่งเจอเรื่องนี้ 

สนุกค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ   :3123:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ชอบจังเลยค่ะ  อ่านเพลินมากๆ  สนุกมากเลยค่ะ
พูดกันตามตรงนะเราใจหายมากกับประเด็นเรื่องสื่อสิ่งพิมพ์(หนังสือ)กำลังจะสูญหายไป  เข้าใจว่าต้นทุนการผลิตมันสูง  ก็เลยต้องปรับราคา  แต่มันก็กระทบกับคนอ่านที่กำลังซื้อน้อยลงมาก. เลยทำให้ต้องปรับไปอยู่ในโลกออนไลน์กันเสียส่วนใหญ่ แล้วก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งหนังสือจะไม่หายไป
ขอโทษด้วยที่เวิ่นเว้อ  มาว่ากันเรื่องของอาจารย์กายกับช่างตัดผมสุดหล่อนายปอนด์บ้างดีกว่า ตอนแรกเป็นอะไรที่อ่านไปขำไปแถบจะทุกย่อหน้าเลยทีเดียวค่ะมันเรียลมากๆคุณคนเขียน เขียนสนุกจริงๆเราชอบ บทพูดโต้ตอบของตัวละครนะมันได้อารมณ์ดี
หวังว่าจะฟีลกู๊ดจนจบนะคะ  อยากให้แฮปปี้เอ็นดิ้งค่ะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2018 10:12:53 โดย Naamtaan22 »

ออฟไลน์ DekPed

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เลิฟอยู่หลายวลีมาก  แต่น้องวิทย์นี่น่าสนใจมาก กับปอนด์ ความหล่อคงสูสี

ออฟไลน์ keem

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เสวนาแปด :   ก็เพราะคำเสวนา.. ในบาร์เบอร์

ลานปูนข้างสนามหญ้า ใต้ชายคาอาคารอเนกประสงค์  โต๊ะพับตัวใหญ่ถูกกางไว้ใต้เต็นท์  มีนักเรียนและอาจารย์เดินกันให้ขวักไขว่ เพราะเป็นทางจากโรงอาหารไปสู่สนามกีฬา 
บนโต๊ะปูด้วยผ้าสีน้ำเงิน มีป้ายตั้งว่า ชมรมวรรณกรรมรับสมัครสมาชิก
หน้าโต๊ะ มีเก็ท เป็นหัวเรือใหญ่ ถือโทรโข่งตะโกนเรียนนักเรียนรุ่นน้องที่เดินผ่านไปมา

โดยมีเป้าหมายให้ได้สมาชิกครบ 50 รายชื่อตามที่ท่านผู้อำนวยการร้องขอ ตอนนี้รวมกับสมาชิกเก่า และที่ไปคาดคั้นมาแล้วตั้งแต่พักเที่ยง ได้ไปทั้งหมด 18 คน  ยังขาด 32 คน   
ทั้งนี้ ไม่ใช่จะให้ใครมาสมัครก็ได้ สมาชิกยังต้องมีกิจกรรมและมีนักเรียนมาลงชื่อเข้าร่วมกิจกรรมตลอดปีไม่น้อยกว่า 30% ในแต่ละครั้ง 
แค่เปิดรับสมาชิกระหว่างกาล ก็เป็นการเอาเปรียบชมรมอื่นอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาท่านใดคัดค้าน เพราะล้วนต่างเห็นใจชมรมที่พยายามยื้อตัวเองให้อยู่รอดจากทรัพยากรของโรงเรียนที่มีจำกัด



“เตรียมขึ้นเรียนตอนบ่ายกันได้แล้ว เดี๋ยวเลิกเรียนค่อยมาลุ้นอีกทีนะเก็ท”

“เดี๋ยวผมโดดเรียนเอาก็ได้ เผื่อมีพวกโดนเรียนมาสมัคร”

“สมาชิกแบบนั้น ครูก็ไม่เอาหรอก”

“โหวจารย์ วิกฤตแล้วยังจะหยิ่งอีกนะ”

“โดนยุบก็ยังดีกว่า โดนเอาชมรมเป็นที่ลี้ภัยเด็กโดดเรียนแหล่ะวะ ไปเลย ขึ้นไปเรียน”

“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบลงมาครับ”  เก็ทรีบส่งสัญญาณให้สมาชิกชมรมที่เหลือขึ้นไปเรียนที่ห้องของตัวเอง




พงศกรหอบเอกสารการสอน รวมถึงหนังสือเฉพาะกาลที่ล่าลายชื่อสนับสนุนจากอาจารย์ในแต่ละชมรมซึ่งล้วนยินยอมให้ทางชมรมวรรณกรรม หาสมาชิกระหว่างภาคเรียนเพิ่ม เพื่อนำไปอ้างอิงกับหนังสือที่ต้องส่งให้ท่านผู้อำนวยการ

เขาอยากจะปาดเหงื่อที่ซึมหน้าผาก แต่ก็ไม่มีมือว่าง เพราะสองแขน สองมือของเขาเต็มไปตัวภาระที่แบกไว้จนหนักอึ้ง  ระหว่างทางกลับจากห้องผู้อำนวยการ เขาเดินผ่านห้องชมรมดนตรีไทย ที่ก็เงียบเหงาไม่แพ้กัน  มีเสียงขลุ่ยลอยมาจากในห้องซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้  เดาในใจว่าเป็นอาจารย์อภิชาต  ขลุ่ยที่บรรเลงเพลง เย้ยยุทธจักร ได้โหยหวนไพเราะเหลือเกิน จนต้องหยุดยืนฟัง  โดยเขาตั้งใจว่า จะโผล่หน้าเข้าไปแซวอาจารย์อภิชาตเล็กน้อย เพราะก็เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยเหลือเซ็นเห็นด้วยกับชมรมเขา  แต่ปรากฏว่า กลับกลายเป็นนักเรียนหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิกับพื้นอยู่ข้างระนาดเอก

“อ้าว วิทย์ ทำไมไม่ขึ้นเรียน”

“โฮมรูม ครับอาจารย์”

“เออ ห้องศิลป์ โฮมรูมบ่ายนี่หว่า  แล้วนี่อาจาย์อภิชาตไปไหน”

“พารุ่นน้องที่เข้าใหม่ไปตัดชุดไทย เวลาไปประกวดครับ”

“ทำไมเป่าขลุ่ยได้เพราะขนาดนี้”

“อาจารย์ฟังดนตรีเป็นด้วยเหรอครับ”

“ฟังไม่เป็น แต่มันไพเราะเหลือเกิน” พงศกรเอามือจับที่หน้าอกซ้าย ให้เขาเห็นว่า มันจับใจคนฟังเหลือเกิน

“ขลุ่ยเนี่ย ผมถนัดน้อยสุดแล้วนะอาจารย์”

“เฮ้ย จริงดิ”

“ทึ่ง ใช่ม๊า”

“ที่สุดเลยอ่ะ”





ใต้อาคารอเนกประสงค์ โต๊ะตัวเดิม เพิ่มเติมคือนักเรียนหน้าตาง่วงสุดขีดสามคนยืนเรียงกันที่โต๊ะ แต่ไม่มีใครเมิน 
นักเรียนที่เลิกเรียนเตรียมทยอยไปเตะฟุตบอล บาสเกตบอล บ้างก็เข้าชมรมไปถ่ายรูป เล่นเกม เล่นคอมพิวเตอร์ตามแต่ถนัด  ดูแล้วหนังสือคงเป็นอะไรที่ตกยุคไปแล้วจริงๆ   

“พี่เก็ท ชมรมเราจะรอดจริงเหรอเนี่ย  ได้เพิ่มมาอีกแค่ 8 คน รวมเป็น 26 ขาดอีกตั้งครึ่ง”

“เดี๋ยวอย่างไร อาจขอ ผอ. ว่าพรุ่งนี้อีกสักวัน”

“จะอีกกี่วัน มันก็ไม่ได้มากไปกว่านี้หรอกพี่ รู้ไหม เพื่อนผมมันพูดกันยังไงตอนชวนมันมา”

“ว่า”

“ไม่มาสมัครหรอก โดนล้อตายเลย อยู่ชมรมหนังสือเนี่ย”

“ทำไมไม่ต่อยปากแมร่งเลย”

“ตามต่อยทุกคนไม่ไหวน่ะสิ ก็ทั้งห้องแหล่ะ

“เฮ้อ กูล่ะท้อ”

“จะรีบท้อไปไหนวะ ไอ้เก็ท” ชายผู้มาใหม่ ยืนตัวสูงโย่งอยู่ด้านหลัง ทักทายนักเรียนหัวโจกของชมรม

“เฮ้ย  พี่ปอนด์”





ทางเดินข้างสนามกีฬา  บนอัฒจันทร์ที่มีคนนั่งเพียงบางตา  ครูพงศกร กำลังนั่งสนทนาอยู่กับนักเรียนของตน

“ครูไปถามเรื่องทุนมาให้ มีรายการหนึ่ง แต่จบแล้วต้องมาเป็นอาสาสมัครช่วยองค์กรด้วย เอาไหม”

“อาจารย์ไม่น่าลำบาก”

“ครูห่วงเธอนะ ไปทำงานแบบนั้นถ้าพลาดขึ้นมา มันอันตรายมาก”

“ผมป้องกันตัวเองครับ ถุงยางนี่ไม่เคยขาด แต่เซเว่นนี่มีแต่ไซส์เล็ก คับโครตๆ ” เด็กหนุ่มหลิ่วตากะให้ผู้เป็นอาจารย์เขินต่อบทสนทนาที่เขาปั้นขึ้น

“ไม่ใช่แค่แบบนั้น  คนมันมีหลายประเภท จิตใจร้อยพ่อพันแม่  มีทั้งพวกขี้เหงา พวกรสนิยมแปลก ซาดิสม์ แถมบางทีก็จะแบล็คเมล์เธอเอาได้นะวิทย์  ยิ่งหน้าตาแบบนี้”

“หน้าตาแบบไหน”

“....”

“หล่อใช่ม๊ะครับ”

“เฮ้ย มันใช่เวลาไหม..  คนที่ชอบแบบนี้ บางคนเขาก็แอบรสนิยมของตัวเองไม่ให้ใครรู้ ยิ่งพอมาเจอวิทย์ เอาเป็นว่า ก็หน้าตาไปวัดไปวาได้”

“หล่อก็พูดมาเหอะครับ”

“เออ.หล่อ หลัอสัสเลยมึงน่ะ   แล้วพอเขาอยากยึดติด หรือถูกใจเรา เขาอาจจะทำทุกวิถีทางที่ทำให้เราอยู่แค่กับเขา รวมไปถึงวิธีที่ไม่ถูกไม่ควร”

“ที่ผ่านมาก็มีครับ เผลอไม่ได้ โดนแอบถ่ายรูป ถ่ายคลิป  พอขอลบก็โมโห”

“เห็นไหมล่ะ”

“แต่ที่เจอดีๆก็มี อย่างพี่เพชรนี่ใจดี ไม่ได้หื่นอย่างเดียว”

“อันนี้ครูก็เข้าใจ แต่มันจะโชคดีไปตลอดไม่ได้หรอก”

“ผมก็อยากเลิกอยู่ แค่กำลังหาแรงบันดาลใจ”

“ครูเป็นกำลังใจให้”





แม้จะเย็นแล้วจนตะวันเริ่มโดนยอดตึกบดบังวิถีแสงแล้ว แต่บริเวณเต็นท์ของชมรมวรรณกรรม ยังมีนักเรียนรอคิวต่อแถวเพื่อสมัครอีกมากมาย ถึงขั้นมาเตะฟุตบอลรอกันข้างสนาม บ้างก็นั่งกดเกมรอคิว

“เฮ้ย พี่เก็ท เจ๋งว่ะ เราน่าจะรอดแล้ว”

“นี่นับในแถวก็ครบแล้ว เฉียดฉิวเลยว่ะ  นี่อาจารย์กายไปไหนวะ ไม่มาดูความสำเร็จกู”

“นั่งอยู่ที่ข้างสนามบอลตรงหน้าศาลพระพรหมนู่น นั่งอยู่กับไอ้หน้าหล่อห้องหกน่ะ”

“ไอ้วิทย์น่ะเหรอ”

“พี่ก็ว่ามันหล่อเหรอ”

“กูหล่อกว่า”

“ไม่เอาน่า พี่ก็หล่อนะพี่เก็ท แต่นั่นมันไอ้พี่วิทย์เลยนะ”

“กูก็ไม่แพ้มันหรอก กูมีสาวมาติดเยอะกว่ามันด้วยซ้ำ”

“แหม พี่เก็ท พี่ก็น่ารักอยู่ แต่ไอ้พี่วิทย์นี่มันตำนานของชั้นปีเราเลยนะ”

“ไม่ กู้ไม่แพ้มันเว้ย”





พงศกรเดินมาคู่กับเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ที่สัญญาว่า จะมาช่วยเป็นอีกหนึ่งเสียง ลงชื่อในชมรม 
แต่เมื่อเดินมาถึงก็พบกว่า ชื่อของวิทย์อาจไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว เพราะมีเด็กนักเรียนนั่งรอลงชื่อเหลืออีกร่วมสิบกว่าคน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเก็ท” พงศกรไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น

“เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะอาจารย์  ไปเร็ว ไปขอบคุณพวกเขากัน”




ใต้เต็นท์  มีเก้าอี้ สามตัวมาเรียงกัน  มีพี่เพชรกำลังตัดซอยผมให้นักเรียนที่อยู่เก้าอี้ริมสุด  บัตตาเลี่ยนถูกเสียบลงบนปลั๊กสามตาสีม่วง ที่ช่างตัดผมเตรียมมาเองจากบ้าน ลากสายยาว สองต่อเพื่อไปเสียบกับเต้ารับไฟ ที่กำแพงตึกเรียน  มีลูกน้องพี่เพชรเป็นผู้ชายคนตัวล่ำเตี้ย แต่แต่งหน้าขนตางอนยาวกว่าใคร กำลังตัดผมนักเรียนอีกคน  แล้วก็มีชายหนุ่มหล่อตัวสูงโย่ง ยืนริมนอกสุด กำลังตัดผมให้นักเรียนอีกคน  มีนักเรียนต่อแถว รอกันยาว ทุกคนล้วนเดินไปลงชื่อสมัครสมาชิกชมรมวรรณกรรมไว้  จนบัดนี้ รายชื่อสมาชิกล้นไปจนถึง 62 คน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“อย่างนี้ ผมก็ไม่ต้องแล้วสิครับอาจารย์”  วิทย์หันไปมองอาจารย์พงศกรผู้ยังคงทึ่งอยู่กับสิ่งที่เห็น

“อันนี้แล้วแต่เธอเลย แต่อยากให้เธอมาเข้าชมรมด้วยกันนะ อยากให้รู้จักกับ เก็ทด้วย ศิษย์ก้นกุฏิครูเอง”

“ผมรู้จักเขา เก็ทน่ะ เขาดังจะตาย”

“เหรอ เอานะ ลงชื่อหน่อย อยู่กับครูนะ”

“ได้ครับ”  แล้ววิทย์ ก็เดินไปลงชื่อเป็นคนที่ 63 ปิดยอดรับสมาชิกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ชมรมเคยเปิดมา





ค่ำแล้ว ยามเดินมาไล่ให้ช่างตัดผมทั้งสามเตรียมเก็บของกลับได้  ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นคำสั่งของผู้อำนวยการที่แอบยืนดูจากห้องพักชั้นสองอยู่พักใหญ่  แต่ท่านรู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่เห็น จึงปล่อยให้ชมรมเดินทางไปยังเป้าหมายด้วยตัวเอง ไปถึงฝั่งฝันจนสำเร็จ แล้วก็สั่งให้ยามไปบอกให้กลับบ้านกันได้แล้ว เอาเข้าจริง แม้ชมรมจะล่ารายชื่อได้ไม่ถึง 50 คน  ก็คงไม่ใจร้ายปล่อยให้ชมรมถูกยุบไปตามที่ขู่ไว้  แต่อยากเห็นแรงกระตุ้นและความอยากจะอยู่รอด ให้เป็นไฟลุกโชนในใจของคนในชมรม ที่ท่านผู้อำนวยการมองว่าช่างเป็นชมรมที่เอื่อยเฉื่อยเหลือเกิน




“ขอบคุณมากครับพี่เพชร ขอบคุณมากครับพี่ต้อม  ขอบคุณปอนด์มาก” 

“นี่ถ้าไม่ใช่งานของอาจารย์กาย เพชรไม่มาให้เสียรายได้หรอกนะคะ ไว้พาเพชรไปเลี้ยงข้าวเลย”

“เต็มที่เลยครับ  เดี๋ยวพาไปทั้งร้านเลย”

“หูย เปลี่ยนเป็นขอนักเรียนหล่อๆสักคนก็ได้นะคะ” ช่างตัดผมร่างบึ้กที่ส่งสายตาแพรวพราวไปยังนักเรียนชาย เอ่ยขอกำลังใจจากอาจารย์พงศกร

“อีต้อม”  เพชรเอ่ยกำราบลูกน้อง  “นี่มันโรงเรียน อีห่า”  ก่อนจะหันหน้ามายิ้มแก้เก้อกับพงศกร  “มันพูดเล่นน่ะค่ะอาจารย์กาย อีนี้มันปากดีไปอย่างนั้นแหล่ะค่ะ  ตัวจริง หูยยย เข้าวัดเข้าว่า”

“ก็เพราะเณรแถวบ้านหล่ออย่างกับ ณเดชน์เลยพี่กาย”  ปอนด์เดินมาเสริม

“ไอ้ปอนด์ อย่ามาใส่ร้าย เดี๋ยวกูจับบ๊วบ”  ต้อมรีบแก้ตัวพัลวัน

“ฮ่าๆๆ  เอาเถิดครับ อย่างไรก็ขอบคุณมากเลย นี่ได้รายชื่อจนครบ เป็นปลื้มมาก ไว้ขอผมพาไปเลี้ยงตอบแทนนะครับ แต่วันนี้พวกพี่คงเหนื่อยกันมาก เดี๋ยวคงอยากกลับไปพักผ่อนกันแล้ว ผมจะนักเรียนมาช่วยยกของขึ้นรถนะครับ”





ที่หน้าประตูทางออกโรงเรียน  ปอนด์ผู้ขอแยกตัวจากรถของเพชรที่ล่วงหน้าออกไปก่อน นั่งติดรถของอาจารย์กายกลับด้วยกัน

“เหนื่อยจัง จะมีใครนวดให้มั่งไหมนะ”

“น้องฟางไง”

“เอาอีกแล้ว”

“ขอโทษ  อุตส่าห์มาช่วยขนาดนี้”

“แล้วนี่ชมรมน่าจะรอดแล้วเนอะครับ”

“อืม ขอบคุณมาก นี่กำลังจะเร่งหาเงินมาให้ช่าง เพราะนัดวันประกอบฉากกั้นห้องแล้ว แต่คิดว่าน่าจะทัน”

“อ้าว ตั้งเกือบครึ่งแสน อาจารย์หาตังจากไหนล่ะ” 

“ก็ว่าจะออกส่วนตัวไปก่อน แล้วไว้ค่อยว่ากัน ทุกคนช่วยกันขนาดนี้ จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่    อ้าว นั่นวิทย์นี่”




เลยประตูโรงเรียนไปทางรั้วสีขาว ที่ทอดยาวไปจรดทางเข้าสถานราชการของจังหวัด  นักเรียนหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่พงศกรมองผ่านกระจกรถก็พอจะดูออกว่าเป็นวิทย์  เดินไปกับชายสูงอายุหัวล้านตัวอ้วนใหญ่ ชายแก่โอบไหล่ของเด็กหนุ่มมาแนบชิด หน้าตายิ้มแย้มมีความสุข  ก่อนจะเดินขึ้นรถ เมอร์ซิเดส เบนซ์ เอสแอลเค สีดำ ติดฟิล์มมืดดำสนิท แล้วให้วิทย์เดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง   พงศกรรีบจอดรถเทียบข้าง ทิ้งปอนด์ไว้บนรถที่ยังสตาร์ทไว้  แล้วรีบไปคว้าแขนของวิทย์ซึ่งกำลังจะเดินขึ้นรถเบนซ์ไป

“วิทย์ ไม่เอา อย่าไป”

“ผมกำลังช่วยอาจารย์อยู่นะ”

“ห๋า”

“อาจารย์จะได้ไม่ต้องเอาสร้อยทองกับพระของพ่ออาจารย์ไปจำนำ”

“อันนั้นมันเรื่องของครู ครูเต็มใจ”

“ผมก็เต็มใจ” วิทย์ดึงข้อมือตัวเองกลับ แต่แผงไว้ด้วยความสุภาพ  เขาส่งยิ้มให้พงศกร ก่อนจะมุดตัวลงในรถเบนซ์คันงาม 
รถแล่นออกไป ปล่อยให้ครูหนุ่มยืนดูศิษย์ลาลับตาไปแบบที่ทัดทานไม่ได้  เกียรติยศของความเป็นครูถูกทดสอบด้วยมโนสำนึกที่ย้ำตัวเองว่า เป็นคนไม่ได้เรื่องถึงเพียงไหน

“เขาเลือกแล้วครับพี่กาย”

“แต่นี่เขาจะไปเอาเงินมาให้พี่  ไม่น่าเลย  ไม่น่าจะทำให้ลูกศิษย์ต้องเดือดร้อนขนาดนี้”

“มันอาจไม่ได้แย่อย่างนั้นก็ได้ครับพี่  วันนี้มีความสำเร็จครึ่งหนึ่ง ที่พี่ต้องร่วมยินดี กับศิษย์คนอื่นที่เขาทุ่มเทใจให้ เช่นเจ้าเก็ท ที่อุตส่าห์ทำทุกวิถีทางให้ชมรมอยู่รอด  พี่กายควรให้ความสำคัญกับพวกเขาด้วย”

“อืม จริงเลย  พี่ขอโทษ  ขอบคุณนะ ที่มาคอยเตือนสติ”





บาร์เบอร์ที่เนืองแน่นไปด้วยลูกค้า ในค่ำของวันหนึ่ง  อาจารย์พงศกรที่บัดนี้ ผมเริ่มยาวปรกถึงขอบใบหูบน ตัดสินใจมาตัดผมอีกหนึ่งรอบ  และแน่นอนว่า เขารอคิวที่ช่างตัดผมคนโปรดที่โต๊ะเบอร์ 2 

“ได้ยินเขาลือกันเรื่องโรงงานตุ๊กตาที่จะรื้อมาเป็นหอพักนักเรียนไหม”  เสียงจากลูกค้าชายหนุ่มตัวผอม ถามช่างตัดผมของตนเอง เปิดบทสนทนาขึ้น

“อืม ได้ข่าวเหมือนกัน โรงงานนั้น เขาลือว่า เป็นตึกที่เคยร้าง เพราะมีคนตายอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอครับ” ช่างตัดผมชายแท้ หนึ่งเดียวของร้าน เสวนากลับ

“เขาก็แก้ข่าวนะว่าเป็นแค่ข่าวลือ  แต่ชาวบ้านในระแวกนี่ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอยู่ทุกคืนวันแรมเลย”

“จริงดิพี่ โอ้โห ขนผมนี่ลุกซู่เลย”

“นี่ไม่รวมถึง ตอนดึกๆ เวลาพวกมอเตอร์ไซค์ขี่ผ่าน แล้วมองไปบนตึก เห็นผู้หญิงชุดขาวผมยาว มายืนที่ระเบียงประจำ”

“ผีเหรอพี่”

“ก็ไม่รู้สิ  ไม่มีใครกล้ามองไปเลย เห็นแต่โบกมือไหวๆ เหมือนเรียกให้ไปอยู่ด้วย”

“โหยยย ขนลุก”

“ยังไม่พอนะ บางคนบอกว่า ผีผู้หญิงน่าจะอุ้มเด็กอยู่ด้วย”

“เฮ้ยยยย น่ากลัวมาก”

“ว่ากันว่า เป็นวิญญาณของสาวโรงงานที่ผิดหวัง ถูกแฟนทิ้ง เลยจะทำแท้งตัวเองแต่ตายท้องกลมซะก่อน”

“น่ากลัวมากเลยพี่ โหยยยย  น่าจะไปออกรายการเรียกหมอริวมาดู”





ปอนด์นำผ้าคลุมตัวของลูกค้าที่เพิ่งลุกออกไปมาสะบัด พร้อมเอาไดร์มาเปล่าเศษผมที่เบาะ  ก่อนจะหันมายิ้มเรียกพงศกรให้ไปนั่ง  เขาบรรจงวางผ้าคลุมตัวสีดำ สกรีนยี่ห้อผลิตภัณฑ์ดูและเส้นผม ซึ่งได้มาจากเซลส์บริษัทสินค้า ทาบวางครอบตัวของกาย ที่เพิ่งเลิกสอนแล้วมาทั้งชุดสีกากี


“จะกลับไปแสกฝั่งซ้ายไหม เดี๋ยวผมจัดให้ สงสารอ่ะ แต่ขอบคุณนะ อุตส่าห์ฝืนแสกขวามาได้ตั้งเป็นเดือนๆ”

“อืม..  เอาขวานั่นแหล่ะ แสกเหมือนคราวที่แล้วเลย”

“แน่ใจนะ ว่าจะเอาแบบคราวที่แล้ว  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ”

“ครับ จากนี้จะตัดทรงนี้ไปตลอดเลย”

“สัญญานะ”

“สัญญาครับ..  เอ่อ..  แต่ไม่กันหน้าแล้วนะรอบนี้  มันเจ็บ”



ที่ห้องสมุดโรงเรียน มีเวิ้งของชมรมวรรณกรรมที่กั้นห้องไว้เสร็จแล้วด้วยกระจกประตูอลูมิเนียมดำ พร้อมกระจกใสบานใหญ่  มีการติดฟิล์มกรองแสงบังสายตา ซึ่งฟิล์มกรองแสงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ปกครองของเด็กในชมรม   
พงศกรนั่งอยู่กับชายสูงอายุคนหนึ่ง   คนเดียวกับที่พาวิทย์ขึ้นรถไป
เขาหยิบเช็ค ห้าหมื่นบาทส่งให้อาจารย์ตรงหน้า

“ขอบพระคุณมากนะครับ ที่ช่วยเหลือ  แล้วก็ต้องขออภัยอย่างสูง ผมดันเข้าใจไปเป็นอื่น”

“ไม่เป็นไรครับอาจารย์  ผมเสียอีก ต้องขอบคุณ ที่ทำให้วิทย์ ยอมกลับมาอยู่บ้าน”

“ผมเป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงนะครับ  ต้องขอโทษถ้าไปยุ่มย่ามกับเขามากเกินไป”

“ผมรู้เรื่องทุกอย่างในช่วงที่เขาไม่ได้อยู่บ้าน  ผมก็จนปัญญา  เอาเป็นว่า ผมคงต้องชดใช้กรรมที่เพิกเฉยเขาไว้คนเดียวมาช้านาน  ผมอยากชดเชยนะ แต่ลูกไม่ให้โอกาส   ไม่ว่าอาจารย์จะใช้วิธีไหนมา ผมต้องขอบคุณมาก  และดีใจที่เขาจะเข้าชมรมมาอ่านหนังสือหนังหา จะเอาอะไรเพิ่มก็บอกนะครับ ผมยินดีช่วยเหลือ”

“ครับ ท่านผู้ว่า”






ใต้อาคารอเนกประสงค์ ตรงอัฐจันทร์เดิมของวันวาน  เด็กนักเรียนรุ่นเดียวกันสองคนนั่งอยู่ในเวลาเรียน นั่นก็แปลว่า พวกเขาไม่เข้าเรียนตามเวลานั่นเอง

“กลับไปอยู่บ้านเป็นไงบ้างวะ”  เก็ทเอ่ยถาม

“ก็ดี ถ้าเมียใหม่พ่อไม่มายุ่งกับเรา  ก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่  ก็มีไปกินข้าวกับพ่อบ้าง”  วิทย์มองไปยังสนามฟุตบอลตรงหน้า มีแค่นักการภารโรง กำลังเปิดวาล์วรดน้ำสนามหญ้าให้ชุ่ม

“เขาไม่พูดเรื่องที่นายทำงานใช่ไหม”

“เก็ทรู้เรื่องเราแค่ไหน”

“ก็รู้หมดแหล่ะ”

“ขอบคุณที่ไม่เอาไปพูดต่อ”

“คนเรามันคงมีเหตุผลของตนเองแหล่ะ”

“อยากรู้ไหมว่าทำไม”

“อยากเล่าก็เล่ามาดิ  จะทนฟัง เห็นแก่ที่อนุเคราะห์ชมรมเราให้อยู่รอด”

“โหว  มีงี้ด้วย นึกว่าจะเห็นแก่ที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็ก”

“นานจนจำไม่ได้แล้วโว้ย”

“ก็มารื้อฟื้นความหลังดิ”

“คนเรามันเปลี่ยนไปแล้ว บางทีเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้แล้ว คนเปลี่ยน นิสัยมันก็เปลี่ยน”

“เราอยากคุ้นเคยกับนายนะเก็ท ตั้งแต่พอโตแล้วห่างกัน เราก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆ”

“แล้วนายไม่มีเพื่อนเลยเหรอวิทย์”

“ไม่ชอบมี เรื่องที่มันคุยกัน รู้สึกเหมือนคนละโลก”

“แล้วตั้งแต่เข้าชมรม มาตามติดเราทำไมล่ะวะ”

“ก็อยู่กับเก็ทสนุกดี  เหมือนตอนเด็กที่เล่นด้วยกันเลย”

“พ่อสบายดีเนอะ ย้ายกลับมาประจำที่นี่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอ”  เก็ทเบี่ยงประเด็น หลบสาตาของฝั่งตรงข้ามที่จับจ้อง

“อืม แล้วเตี่ยเก็ทล่ะ สบายดีไหม ไว้จะเข้าไปสวัสดีนะ”

“เอาสิ ไปเหอะ เดี๋ยวอาจารย์ปกครองมาเห็น”

“ไปเดินห้างกันไหม วันนี้ไม่อยากเรียนเลย”

“ก็ได้นะ รั้วหลังแล้วกันเนอะ ปีนง่ายดี  ไม่อยากเรียนแล้วอยากทำไรวะ”

“อยากรู้จักเพื่อนเก่า ในมุมใหม่น่ะ...  ขยับก้นแห้งๆ ลุกมาได้แล้ว”

“เขาเรียกตูดปอดเว้ย”

“ไม่ได้ว่า ก็น่ารักดีออก”

“หันไปทางอื่นเลย..  แล้วไม่ต้องจับ ไอ้นี่”






เช้าวันที่สดใสของวันศุกร์หนึ่ง  พงศกรนั่งอยู่หน้ากระจกเงาใบใหญ่ในห้องของตัวเอง
เขาบรรจง หยิบแปรงมาหวีตรงรอยแสก เพื่อย้ำให้เส้นผมเรียบตรง เผยให้เห็นรอยผ่าตรงฝั่งขวาชัดเจนขึ้น 
เขาลงมูสไว้ตั้งแต่ผมเริ่มแห้งหมาดตามคำแนะนำของใครคนหนึ่ง 
พงศกรมองใบหน้าตัวเองผ่านกระจก  เขาหันหน้าซ้ายขวา เพื่อเช็คความเรียบร้อย แล้วเตรียมออกจากบ้านไป


ระหว่างทาง เขาทบทวนความทรงจำบนรถ ว่ามีอะไรมาเปลี่ยนแปลงตัวเขามากแค่ไหน 
ก่อนจะไล่ชื่อของตัวละครในหนังสือที่จะเสวนากันวันนี้ 
เป็นเรื่องของหญิงเจ้าชู้คนหนึ่ง  ที่มีแต่ชายมารุมล้อม
แม้เธอจะสร้างความเจ็บปวดให้คนรอบข้างแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังคงหลงใหลในตัวของเธอ 
หัวข้อเสวนาหนังสือในวันนี้ จึงอุดมไปด้วยคำวิพากษ์ต่อจิตใจของอิสตรี 
แน่นอนว่า นักเรียนโรงเรียนชายล้วนคงอยากรู้ เขานึกในใจ 
พลางหยิบเสื้อโปโลสีขาวไซส์แอล ที่ซื้อมาใหม่ ห่อของขวัญไว้อย่างสวยงาม
เพื่อเป็นของขวัญแขกรับเชิญที่จะร่วมเสวนา วรรณกรรม แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง
อาจารย์พงศกรอดตื่นเต้นไม่ไหว ที่จะได้ฟังความคิดเห็นของชายคนหนึ่งต่องานเขียนที่เขาปลื้ม 

นี่ยังไม่รวมที่จะรอดู เก็ท ศิษย์รัก ผู้ที่ฝากฝังให้ลองเป็นผู้กล่าวเปิดเสวนา และดำเนินการประชุมหนังสือทั้งหมด 
เก็ทเองก็คงตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย 
พงศกรนึกขอบคุณ เก็ทเป็นอย่างมาก ที่เป็นเจ้าของไอเดีย ชวนปอนด์และพี่เพชรมาตัดผมเด็ก แม้คล้ายจะเป็นสินบนให้ชมรมอยู่รอดก็ตามที

เอาเข้าจริง เก็ท ก็เพิ่งจะรู้ว่า พี่สาวคนเดียวของเขา กองฟาง  ซึ่งกำลังจะแต่งงาน เป็นเพื่อนสนิทกับปอนด์ 
เก็ทก็ได้รู้จักปอนด์ก็วันที่ กองฟางชวนปอนด์ไปช่วยแจกการ์ด  เก็ทจำปอนด์ได้ในทันที เพราะเขาเห็นปอนด์กับอาจารย์กายที่ตลาดโต้รุ่งเมื่อเดือนก่อน

แล้วก็จะมีวิทย์ ที่มานั่งทำหน้าหล่ออยู่ในห้องของชมรม เป็นหน้าเป็นตาให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ถ่ายรูปขณะทำกิจกรรมไปลงในเพจของโรงเรียน จะมีวิทย์อยู่ในทุกเฟรมตามคำสั่งของท่านผู้อำนวยการ   เล่นเอาสาวน้อยใหญ่โรงเรียนใกล้เคียงอยากจะมาร่วมเข้าเสวนาหนังสือกับชมรมวรรณกรรมเสียเหลือเกิน 
อาจารย์พงศกรอาจจะจัดให้ชมรมของ โรงเรียนหญิงและโรงเรียนชาย มาแลกเปลี่ยนความเห็นทางวรรณกรรมเร็ววัน เพราะการแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างหญิงและชาวดูจะเป็นประโยชน์ แถมเป็นสีสันให้โรงเรียนด้วย
แน่นอนว่า ผู้อำนวยการคงเห็นดีเห็นงามแน่นอน  แต่สาวน้อยทั้งหลายจะบุกมาถึงเจ้าวิทย์ไหมนะ เพราะตอนนี้เจ้าตัวเขาก็มัวแต่เกาะติดเจ้าเก็ทอยู่แจเลย 
อย่างกับปาท่องโก๋ที่ทอดน้ำมันซ้ำไปมาซะจนเนื้อแป้งฟูฟ่อง จนติดกันเป็นเกลียวอยู่อย่างนั้น


พงศกรเช็คตัวเองอีกครั้งผ่านกระจกส่องหลังของรถเก๋งคันเดิม  แต่คนในกระจกเป็นคนใหม่ไปแล้ว
เขาเอามือลูบผมให้เรียบตรง โดยเฉพาะตรงรอยแสกข้างขวา เขาเอามือวางไว้บนนั้นตอนรถติดไฟแดง เหมือนจะซับเอาความอุ่นให้ติดมือกลับมาด้วย 

มีมิตรภาพและความงดงามของวันเวลาช่วงสั้น เข้ามากระทบใจคนจืดชืดแบบเขาให้แกว่งไป 
ไม่ได้ดีกว่าเดิม หรือไม่ได้แย่กว่าเดิม..  แค่ไม่ใช่คนเดิม   

ไฟเขียวแล้ว พงศกรเอามือไปเปลี่ยนเกียร์ให้เดินหน้า  เดินไปตามทางที่มันควรจะเป็น 
อย่างน้อย ก็ในความคิดของคนขับ  โดยมีปลายทางอยู่ที่ใครบางคนที่คงยิ้มตาหยีรออยู่ที่ห้องชมรมแล้ว

“พูดในที่สาธารณะ ผมตื่นเต้นนะพี่ นั่งอยู่กับผม  อย่าไปไหนนะ”   ปอนด์ย้ำเป็นครั้งที่ร้อยก่อนวางสายเมื่อเช้า

พงศกร อมยิ้มอีกครั้ง และอดใจรอไม่ไหวแล้ว   ก่อนจะออกรถแล่นต่อไปในวันที่ไม่เหมือนเดิม..



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2018 12:58:05 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอาอี๊ก..กกกก แล้ววิทย์กะเก็ทนี่อะไร ยังไง  :hao3:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
อยากอ่านต่อ :m3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด