✧ CHAPTER 5 – ใกล้ ✧
.
.
.
วันนี้เป็นวันเสาร์ผมเลยได้ถือโอกาสตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย อ่า...เก้าโมงเช้านี่ถือว่าสายรึเปล่า? ปกติผมตื่นไม่เคยเกินแปดโมงตลอดเลยนะ เพราะด้วยความที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดแถมยังอยู่แถบๆชานเมืองผมเลยชอบที่จะตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ซะมากกว่า มันเลยติดเป็นนิสัยมาจนถึงตอนนี้
มีหลังๆนี่แหละตื่นสายบ่อยเพราะต้องนอนดึกบางทีนอนเช้าเลยก็มี แรกๆผมก็ปรับตัวยังไม่ค่อยจะได้ แต่หลังๆมาเริ่มชินแล้วครับ
เมื่อคืนกว่าจะได้กลับหอก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มแล้ว เพราะหลังจากที่ออกมาจากคณะ เต๋อกับเนี๊ยบมันก็ลากผมไปกินร้านบะหมี่เจ้าประจำ
ก็ร้านที่ผมพาพี่ชาญไปกินนั่นแหละ
พอนึกถึงเขาผมก็อดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ ก็เมื่อวานนี้นอกจากเขาจะไม่คุยกับผมแล้วยังแสดงออกชัดเจนเลยด้วยซ้ำว่าตั้งใจจะหลบหน้ากันอ่ะ
แล้ววันนี้ผมก็ต้องไปช่วยงานที่ร้านกาแฟตามที่ตกลงกับเขาไว้ด้วย ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลย กลัวว่าจะทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ขนาดเวลาปกติพี่ชาญก็พูดน้อยอยู่แล้ว แล้วเมื่อวานนี้ก็ไม่รู้ไปกินรังผึ้งที่ไหนมาจู่ๆก็มามึนตึงใส่ผมเฉยเลย ปรับตัวตามไม่ทันแล้วนะ
แต่...แต่พี่เขาก็คงมีเรื่องให้คิดแหละ อยู่ปีสี่แล้วด้วยคงจะเครียดเรื่องโปรเจคมั้ง แถมเขายังพ่วงตำแหน่งประธานรุ่นอีก เห็นเมื่อวานบอกกำลังประชุมสโมสรนิสิต ฉะนั้นก็คงจะเครียดเรื่องงานในส่วนนี้ด้วย
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างเขาด้วย ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว ที่จริงเขาจะหงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่ก็เรื่องของเขาสิ ผมไม่เห็นจะต้องสนใจเลย
ใช่! ไม่สนใจแล้ว!
ไปอาบน้ำดีกว่าจะได้สดชื่น เลิกคิดๆๆ
เพราะวันนี้ต้องไปช่วยงานที่ร้านชุดที่ใส่เลยต้องดูสุภาพนิดนึง ผมเลือกใส่เป็นกางเกงขายาวสีดำจั๊มขึ้นเปิดโชว์ข้อเท้า ใส่คู่กับเสื้อยืดสีขาวโอเวอร์ไซส์แขนเสื้อยาวเลยข้อศอกมานิดหน่อย ส่วนรองเท้าก็เลือกเป็นรองเท้าผ้าใบคู่เก่งถึงมันจะมอๆไปนิดแต่ดูรวมๆแล้วก็โอเค ผมจัดการเอาชายเสื้อยัดเก็บเข้าไปในกางเกงให้เรียบร้อยก่อนจะยืนส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยอีกหน
อื้ม..ก็ใช้ได้
ถ่ายรูปไปให้แม่ดูดีกว่า
เพราะแม่ชอบให้ผมแต่งตัวแบบนี้มากก วันไหนแต่งตัวได้ถูกใจแม่จะอารมณ์ดีไปทั้งวัน เดี๋ยวก็จับผมถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ไม่หยุด เห็นบอกจะอัพลงเฟสอวดเพื่อนๆว่ามีลูกชายหล่อ ผมก็เลยตามใจแม่เพราะถ้าทำให้แม่มีความสุขผมก็โอเค
The R Family(5)Rukkn : /ส่งรูป
พอส่งรูปไปก็ขึ้นจำนวนอ่านอยู่แค่คนเดียว แต่ไม่ทันไรหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นขึ้นเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา
จะใครซะอีกแม่ผมเองแหละ
“ครับแม่”
[วันนี้แต่งตัวหล่อเชียว จะออกไปเที่ยวไหนครับ]
เสียงแม่ถามอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับมีเสียงกระทบกันของเครื่องครัวที่ดังแทรกเข้ามาในสายเป็นระยะ สงสัยน่าจะกำลังทำกับข้าว เพราะแอบได้ยินเสียงบ่นงึมงำของป๊าลอดเข้ามาด้วยว่าหิวแล้ว
“รักจะไปช่วยงานรุ่นพี่ที่คณะหน่อยครับ”
[หืม ช่วยงานอะไรลูก]
“เอ่อ...โปรเจคครับ ไปช่วยพี่เขาตัดโมเดล”
ผมเม้มปากลงอย่างตื่นเต้นนิดหน่อยที่ต้องโกหกออกไป
คือถ้าบอกความจริงไปว่าจะไปช่วยงานร้านกาแฟเดี๋ยวจะโดนถามยาว แล้วถ้าโดนจี้หนักๆเข้าผมอาจจะเผลอสารภาพความผิดออกไปก็ได้ เพราะทุกวันนี้ป๊ากับแม่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมไปก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้ เห้ออ
[ดีแล้วครับ ไปช่วยพี่เขาพี่รักจะได้เรียนรู้งานไว้ด้วย]
“แหะๆ ครับ”
ผมแนบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ แล้วก็สละมือมาจัดของจำเป็นใส่กระเป๋าสะพายของตัวเอง อย่างเช่นพวกกระเป๋าตังค์ แว่นสายตา ตลับและน้ำยาล้างคอนแทค น้ำตาเทียม แล้วก็ไม่ลืมลูกอมเคี้ยวหนึบที่ผมชอบด้วย รสผลไม้หลากหลายสี ผมชอบพกใส่กระเป๋าไว้ประจำกินจนติดไปแล้ว บางทีก็ต้องแอบแม่พกด้วยเพราะเดี๋ยวจะโดนดุเรื่องฟันผุ
[แล้วนี่พี่รักจะกลับบ้านอาทิตย์หน้าใช่ไหมครับ เห็นปะป๊าเขาบอกมา]
“ใช่ครับ รักจะกลับอาทิตย์หน้า แล้วนี่เฮียรบกลับบ้านบ้างไหมครับแม่”
[พี่รบก็พึ่งถึงบ้านเมื่อวานตอนเย็นๆนี้เอง พึ่งกลับมาจากโคราชไปตรวจงานให้ปะป๊ามา]
เฮียรบเป็นพี่ชายคนโตของบ้านอายุห่างจากผมห้าปีเฮียเรียนจบวิศวะโยธา จบมาได้สองสามปีแล้วก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหนไกล ก็มาทำงานกับป๊านนี่แหละครับ เฮียมีหน้าที่ช่วยคุมโรงงานบางทีก็รับคุมงานก่อสร้างด้วย เพราะป๊าก็อายุไม่น้อยแล้ว เลยเริ่มๆที่จะวางมือแล้วให้เฮียมารับช่วงต่อแทน
บ้านผมเป็นครอบครัวเสี้ยวจีนนิดๆเพราะมีแค่ป๊าเท่านั้นที่มีเชื้อจีน ส่วนแม่ก็เป็นคนไทยแท้ๆ บ้านเราทำธุรกิจเกี่ยวกับสดุก่อสร้างรวมไปถึงพวกเครื่องมือช่าง เพราะฉะนั้นเฮียกับผมเลยเลือกที่จะเรียนมาทางสายนี้ เพราะนอกจากจบไปจะทำอาชีพส่วนตัวได้แล้ว ยังได้เปรียบคนอื่นในด้านวัสดุก่อสร้างอีก อย่างกับกดสูตรโกงเกมเดอะซิมได้ยังไงยังงั้น
“งั้นเดี๋ยวรักโทรไปหาใหม่นะครับแม่ ต้องไปแล้ว รักแม่นะครับ”
[ค้าบบ แม่ก็รักพี่รัก อย่าลืมทานข้าวด้วยนะลูก]
“ครับผม”
พอวางสายจากแม่ไปจิตใจก็ห่อเหี่ยวลงอย่างชัดเจน ไม่รู้สิ มันแอบเหงาๆขึ้นมานิดหน่อย แต่สุดท้ายผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองเฮือกใหญ่ ก่อนจะล็อคกุญแจห้องตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ
ก๊อก ก๊อก
“…”
ไร้เสียงตอบรับ...สงสัยน่าจะยังไม่ตื่น
“เต๋อออ”
“...”
“เต๋อ ยืมรถหน่อยดิ”
รออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมาทางประตู พอเจ้าของห้องเปิดมันออกก็เผยให้เห็นสภาพที่ดูยังไงก็ถือว่ายังห่างไกลจากความเป็นคน ตาที่เล็กอยู่แล้วพอมันหยีลงเพราะความง่วงแบบนี้แทบจะเห็นเป็นเส้นขีดๆเลยทีเดียว
“จะไปไหน”
ถามออกมาแล้วก็เปิดปากหาวกว้างๆชนิดที่ไม่เหลือมาดว่าที่เดือนสาขาเลยสักนิด
เต๋อมันจัดได้ว่าเป็นคนที่ดูดีเลยแหละ หุ่นดี ตัวสูง หน้าตี๋ขาวใสแบบสมัยนิยม แต่ด้วยความที่ผมสนิทกับมันมาตั้งแต่มัธยมนี่แหละ ไอ้สภาพเปลือยท่อนบนเหลือติดตัวไว้แค่บ็อกเซอร์เปื่อยๆมันเลยเป็นภาพที่ชินตาไปแล้ว
“จะไปช่วยงานที่ร้านพี่ชาญ”
“หือ?”
คราวนี้ตามันลืมขึ้นนิดหน่อยด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงเล็กเหมือนเดิมนั่นแหละ
เหมือนเพื่อนละเมอมาคุยด้วยอ่ะ
“ร้านกาแฟหน้าคณะไง ร้านพี่กวางอ่ะ”
“ห้ะ?”
“ยืมรถหน่อยดิ”
“พอเลย เดี๋ยวกูไปส่งเอง รอแปป”
พอพูดจบไอ้ตี๋มันก็ใช้เวลาประมวลผลนิดหน่อย ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีมันก็เดินออกมาจากห้อง พร้อมกับเดินกอดคอผมระหว่างที่กำลังลงบันไดไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
ท่าทางที่ผิดปกติของเพื่อนสร้างความงุนงงให้ผมอยู่ไม่น้อย แต่พอนึกดูดีๆแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะเนี๊ยบเคยบอกว่าตอนนี้เต๋อมันแอบปลื้มพี่กวางอยู่
มิน่า ถึงกระตือรือร้นที่จะไปส่งผมนัก ถ้าเป็นเวลาปกตินะ ทั้งลากทั้งขุดมันก็ไม่ยอมลุกจากเตียงหรอก
ผมโดนเต๋อเดินกอดคอออกมาจนถึงโรงจอดรถหน้าหอ ในระหว่างที่กำลังจะขึ้นซ้อนท้ายมันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถช็อปเปอร์สีดำคันคุ้นตาจอดอยู่ตรงหน้าประตูหอโดยที่เจ้าของรถนั้นยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆกัน
พี่ชาญกำลังจะหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดบุหรี่ที่คาบไว้ที่ปาก
แต่จู่ๆเขาก็หันหน้ามามองทางพวกผมและแล้วหลังจากนั้นก็เก็บไฟแช็คลงไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ก่อนจะโยนมวนบุหรี่ที่คาบไว้ทิ้งลงถังขยะที่อยู่ใกล้ๆแทน
“รัก พี่เขามาทำไรวะ”
“เอ่อ...ไม่รู้เหมือนกัน”
ไอ้เต๋อหันมากระซิบกับผมราวกับกลัวว่าพี่เขาจะได้ยิน
พี่ชาญเดินหน้านิ่งๆเข้ามาหาพวกผม แล้วมือตัวเองที่เผลอไปกำชายเสื้อเต๋อไว้แน่นขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เพียงแค่เขามองมาก็พาลที่จะเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว ยอมรับเลยว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้มันยังทำให้ผมรู้สึกเคืองเขาอยู่ไม่น้อย
ไม่อยากจะมองหน้าเลยด้วยซ้ำ
ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรนะ
ผมจะไปมีสิทธิ์ทำตัวงี่เง่าแบบนั้นได้ยังไง
ไม่รู้สิ...
อาจจะเป็นแค่อารมณ์น้อยใจมั้ง
ที่อีกคนทำเหมือนว่าเราไม่มีตัวตนในสายตาเขา
ฮึ่ยย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด!
“พี่ชาญหวัดดีครับ มาหาเพื่อนเหรอพี่”
เสียงของเต๋อดูประหม่าจนรู้สึกได้ แต่ด้วยความอัธยาศัยดี มันเลยทำใจกล้าทักพี่เขาไป ส่วนผมก็ทำเมินไม่สนใจบทสนทนานั้นซะเลย ทำทีเป็นมองต้นกล้วยไม้ที่ป้าเจ้าของหอปลูกอย่างสนอกสนใจ ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยจะสนใจมันด้วยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยวันนี้สีของกล้วยไม้ก็ยังน่ามองกว่าหมีขี้หงุดหงิดซะอีก
เห็นแล้วเซ็ง!
“เปล่า”
“อ้าว แล้ว..”
“
มารับเพื่อนมึง”
เพราะมัวแต่สนใจกล้วยไม้เลยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าไอ้ตี๋มันหันมามองผมด้วยอาการช็อกสุดๆ นี่ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาหลายปีก็มีครั้งนี้แหละที่รู้สึกว่าจะเห็นตาดำของมันชัดที่สุดแล้ว
เล่นใหญ่มาก ก็แค่พี่เขามารับผมแค่นั้นเอง
แต่เดี๋ยวนะ...
เมื่อกี้พี่ชาญบอกว่าเขามารับผมงั้นเหรอ!?“อ..อ้อ เอ่อ...ไอ้รัก พี่เขามารับอ่ะ”
“คือ..”
ผมงงไปหมดแล้ว ทั้งๆที่เมื่อวานเขายังทำตัวเหมือนไม่รู้จักกันอยู่แท้ๆนะ แต่ไหงวันนี้ขับรถมารอรับอยู่หน้าหอเฉยเลย งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด
แต่รู้ตัวอีกทีผมก็โดนเต๋อลากลงมาจากรถแล้ว แถมมันยังดันตัวผมให้ไปยืนอยู่ข้างๆพี่ชาญอีก พร้อมกับฝากฝังไว้อย่างดิบดี โดยที่ไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้มีโอกาสพูดเลยแม้แต่น้อย
“งั้น...งั้นมึงจะกลับตอนไหนก็โทรมาบอกกูละกั--”
“ไม่ต้องหรอก”
“...”
“เดี๋ยวมาส่ง”
“อ่าครับๆ หวัดดีครับพี่”
เต๋อยังคงดูมึนงงอยู่ไม่น้อยก็ต้องเออออๆตามไปด้วย สุดท้ายก็ไม่ลืมส่งสายตามาบอกประมาณว่าเรื่องนี้ต้องมีการอธิบายกันยาวแน่ๆ
รู้สึกตัวอีกทีแผ่นหลังมันก็หายกลับเข้าไปในหอแล้ว พอเหลือกันแค่สองคนผมก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดและกดดันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คนข้างๆเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่ออกเดินนำไปที่รถ ส่วนผมที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องจำใจเดินตามเขาออกไป
พี่ชาญหยิบหมวกกันน็อคอีกใบที่แขวนไว้ตรงแฮนด์ด้านซ้ายขึ้นมาใส่ให้ผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมรอบนพอไซค์ แต่พอเห็นว่าผมมัวแต่ยืนนิ่งๆไม่ยอมขึ้นไปนั่งซะทีเขาก็ใช้สายตาดุๆหันมามองจนผมต้องรีบกระโดดขึ้นซ้อนหลังเขาอย่างไว
ตลอดทางที่อยู่บนรถจนกระทั่งตอนติดไฟแดงผมกับเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย แม้แต่ช่องว่างระหว่างกันผมก็เขยิบออกมาให้ห่างเขาที่สุดด้วย พี่ชาญหันมามองนิดหน่อยเห็นด้วยว่าคิ้วเขาขมวด แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรจนมาถึงร้านนี่แหละ
ฮู่วว อึดอัดชะมัด
“เอ้า น้องรักมาเช้าจัง”
“พี่กวางหวัดดีครับ”
เสียงพี่กวางร้องทักขึ้นมาทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในร้าน ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว แต่ร้านเปิดให้บริการตอนสิบโมงครึ่ง ผมเลยไปช่วยพี่กวางเช็ดโต๊ะและจัดของเตรียมเปิดร้าน
ส่วนคนที่ไปรับมาผมน่ะเหรอ
นู่น ไปนั่งเท่ห์สูบบุหรี่อยู่ข้างนอกนู่น หมั่นไส้ชะมัดเลย ทำไมต้องเท่ห์ตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้
“รักเดี๋ยวพี่วานเอากาแฟไปให้ชาญหน่อยนะ”พี่กวางสะกิดเรียกก่อนจะยื่นแก้วอเมริกาโน่เย็นมาให้ผม
“อ่า..ครับ”
ผมรับมาถืออย่างไม่อาจที่จะปฏิเสธได้
ก่อนจะต้องวางมือจากการเช็ดโต๊ะแล้วเดินออกไปหาหมีตัวโตที่นั่งพ่นควันทำหน้าเบื่อโลกอยู่ข้างนอก พอเขาเห็นว่าผมเดินออกมา พี่ชาญก็จัดการขยี้เจ้ามวนขาวๆลงไปบนที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้ผมเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไรทำนองนั้น
โอเค มันก็ไม่ขนาดนั้น เขาก็ทำหน้าเนือยๆเฉยๆตามปกติของเขานั่นแหละ แต่เพราะความพาลมันบังตา อะไรมันก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด เข้าใจไหมครับ
“คือ...พี่กวางให้เอากาแฟมาให้ครับ”
เสียงผมเกร็งจนตัวเองยังรู้สึกได้เลย พี่ชาญมองเลยเข้าไปข้างในร้านแล้วก็หันกลับมาพยักหน้ารับนิดหน่อย เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้ามารับกาแฟไปจากผม
พอยืนใกล้ๆกันแบบนี้มันทำให้ผมดูตัวหดลงไปเยอะเลยทั้งที่ผมก็สูงมาตรฐานชายไทยนะ ตั้งร้อยเจ็ดสิบสามแน่ะ แต่คนตรงหน้าผมเนี่ยกะจากสายตายังไงก็เกินร้อยเก้าสิบแน่ๆ เพราะหัวผมเลยไหล่เขามาแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แถมตัวเขายังหนาเป็นหมีอีก
“เลิกแล้วรออยู่นี่ เดี๋ยวออกมารับ”
จบประโยคนั้นมันก็สร้างความงุนงงให้ผมอยู่ไม่น้อย
อ้าว...พี่เขาไม่ได้จะมาช่วยงานที่ร้านหรอกเหรอวันนี้?
ก็เห็นเขาไปรับผมที่หอนี่นา นึกว่าจะมาที่ร้านอยู่แล้วซะอีก
“อ้าว แล้ว...แล้วพี่ชาญจะไม่อยู่ร้านเหรอครับ”
“ไม่ได้อยู่ จะกลับไปเขียนแบบต่อที่ห้อง” เขาพูดเนือยๆพร้อมกับดูดกาแฟตามเข้าไปอึกใหญ่
ผมพึ่งสังเกตเห็นรอยคล้ำที่ใต้ตาของเขาก็ตอนนี้เอง โอ้โห จากหมีกริซลี อัพเกรดเป็นแพนด้าซะแล้ว ไหนจะตอหนวดเขียวๆที่เริ่มขึ้นมาอีก หน้าแอบมันนิดนึงด้วยคงเพราะจ้องหน้าคอมนานเกินไป แถมตายังแดงก่ำคล้ายกับคนที่อดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมง
พอเห็นสภาพของพี่ชาญตอนนี้ แรงอารมณ์กรุ่นๆในใจและความน้อยใจบ้าบอของผมมันก็สลายหายไปหมดเลยไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง กลับกลายเป็นว่าตอนนี้รู้สึกสงสารพี่เขาขึ้นมาแทน
ปีสี่เนี่ยงานหนักเอาการเลยเพราะเมื่อคืนพี่ต้นก็ส่งรูปเซลฟ์ฟี่พร้อมกับซากขวดเอ็มร้อยที่วางเกลื่อนพื้นห้องเข้ามาในไลน์กลุ่มสายรหัสด้วย
“งั้น...งั้นเดี๋ยวรักให้เต๋อมารับก็ได้ พี่ชาญไม่ต้องลำบากหรอก”
ผมบอกเขาอย่างเกรงใจ เพราะผมเข้าใจว่าเขาคงยุ่งมาก ไม่จำเป็นต้องลำบากออกมารับส่งผมก็ได้ เสียเวลาทำงางนพี่เขาเปล่าๆ
“เดี๋ยวมารับเอง จะไปกวนเพื่อนทำไม”
เอ้า..ไม่กวนเพื่อน แต่ก็กวนพี่เขาอยู่ดีรึเปล่า?
คิดได้แค่ในใจครับไม่กล้าเถียงออกไป
กลัวเขาจับทุ่มลงพื้น
“ก็...ก็ได้ครับ”
“แล้วเมื่อวาน”
“ครับ?”
”กลับยังไง”
“อ๋อ กลับกับเต๋อครับ” นี่ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าเขาดูจะอารมณ์ดีขึ้นจากเมื่อกี้ลิบลับเลย
“อืม”
“เอ่อ...พี่ชาญ”
“ว่าไง”
“คือ”
“...”
สีหน้าที่ตั้งใจฟังผมพูดแบบสุดๆนี่คืออะไรเนี่ย จ้องกันไม่วางตาแบบนี้ทำเอาความตั้งใจของผมพังไม่เป็นท่าเอาซะเลย
“
สู้ๆนะครับ”
พูดออกไปแล้ววววววว ฮือออออ ผมไม่กล้ามองหน้าพี่เขาแล้ว ไม่อยากมองแล้วด้วยว่าพี่เขาจะมีสีหน้ายังไง แล้วตัวผมจะบิดไปไหนเนี่ยแค่นี้ทำไมต้องเขินด้วยไม่เข้าใจตัวเอง แค่ให้กำลังใจรุ่นพี่แค่นี้เอง
ไม่รู้แล้ว ตอนนี้รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนมากๆ
“ขอบใจ”
“...”
“
ตั้งใจทำงานนะ”
เสียงทุ้มนุ่มที่ครั้งนี้ฟังยังไงมันก็นุ่มมากๆมันดูอบอุ่นกว่าครั้งไหนๆเลยด้วย
และถึงแม้ว่าเขาจะพูดเสียงไม่ดังเท่าไหร่ แต่มันกลับชัดเจนมากในความรู้สึกของผม ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แนบลงมาบนศีรษะ ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นี้มันอบอุ่นเอามากๆ มันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะให้เขาเอามือออกไปเลย
พี่ชาญเดินออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเสียงเครื่องยนต์ของรถช็อปเปอร์ของเขาก็ขับออกไปแล้ว
แย่แล้ว...แย่แน่ๆ
แบบนี้ไม่ดีเลย
ใจเต้นแรงจนปวดไปหมดแล้ว พอได้เวลาร้านเปิดลูกค้าก็ทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนมากจะเป็นนิสิตหลายๆคณะที่มานั่งจับกลุ่มกันเพื่อติวหนังสือ บ้างก็จับกลุ่มกันนั่งทำงาน
ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่เดินเสิร์ฟแล้วก็เช็ดโต๊ะเก็บโต๊ะช่วยพี่จ๋าพนักงานหญิงอีกคนของร้านร้าน โห นี่ขนาดเดินได้ยังไม่ถึงวันก็แอบเมื่อยขาซะแล้ว แล้วนี่ที่ผ่านมาพี่ๆสองคนที่เป็นผู้หญิงต้องทำทุกอย่างขนาดนี้ไม่เมื่อยแย่เลยเหรอเนี่ย
พอถึงเวลาพักเที่ยงพวกเราสามคนเลยจับกลุ่มนั่งทานข้าวกันอยู่ตรงบริเวณหลังเคาน์เตอร์ เพราะช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีแล้ว เลยไม่ต้องเข้าไปนั่งกินที่หลังร้าน ระหว่างนั้นผมก็มีหน้าที่แค่นั่งฟังพี่จ๋ากับพี่กวางคุยกัน และยังได้แอบเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยๆมาด้วย
พี่กวางเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนพี่ชาญมักจะมาช่วยงานที่ร้านประจำ แต่ช่วงหลังๆก็มาไม่บ่อยแล้วเพราะงานเยอะไหนจะโปรเจคที่รุมเร้าจนแทบจะไม่มีเวลาหายใจที่ร้านเลยขาดกำลังเสริมที่สำคัญไปอีกหนึ่ง พี่กวางยังบอกอีกด้วยว่าฝีมือการชงเครื่องดื่มของพี่ชาญนี่เข้าขั้นที่ป็นบาริสต้าได้เลย
แล้วก็ยังได้รู้เพิ่มมาอีกด้วยว่าพี่ชาญมักจะกลับไปนอนที่บ้านเสมอในช่วงที่งานไม่เยอะ แต่มีอยู่ช่วงนึงที่ไม่ยอมกลับมานอนหอเลยเพราะได้หมาตัวใหม่มาเลี้ยง จนแม่ต้องยกเรื่องเปลืองค่าเช่าขึ้นมาเป็นข้ออ้างนี่แหละเขาถึงจะยอมกลับมา
ผมนั่งฟังพี่กวางเม้าน้องชายตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งที่พี่กวางพูดออกมามันก็ทำให้ผมรู้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่รักครอบครัวมากๆ จะมีผู้ชายในวัยนี้สักกี่คนที่สนิทกับแม่และพี่สาวแถมยังติดบ้านมากขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดและแสดงความรู้สึกไม่เก่งเท่าไหร่ แต่การกระทำทุกอย่างของเขานั่นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าเขานั้นใส่ใจคนรอบข้างมากแค่ไหน
“เออน้องรัก พี่มีอะไรจะถาม”
ระหว่างที่กำลังช่วยกันเก็บจานชามไปล้างจู่ๆพี่กวางก็หันหน้ามาถามผมด้วยสีหน้าที่สงสัยแบบสุดๆ
“ครับ?”
“เมื่อวานนี้ที่คณะมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
ผมซึ่งอาสาเป็นคนล้างจานเงยหน้าขึ้นมามองพี่กวางเป็นระยะ สีหน้าเธอดูเป็นกังวลเอามากๆ ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องเป็นห่วงน้องชายตัวเองนั่นแหละ
“รักก็ไม่รู้ครับ”
“เหรอ”
“ทำไมเหรอครับพี่กวาง”
“ก็เมื่อวาน ชาญมันกลับมาเอาของที่บ้าน ดูอารมณ์ไม่ดีเอามากๆเลยนะขนาดแม่กับพี่ถามก็ไม่ยอมตอบ ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา” พี่กวางยู่หน้าขึ้นมาอย่างเซ็งๆ
“สงสัยเครียดเรื่องโปรเจคล่ะมั้งครับพี่กวาง”
“เหรอ คงงั้นแหละมั้ง”
เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปรับออเดอร์ลูกค้าที่พึ่งเข้ามาใหม่ ส่วนผมก็แยกตัวออกไปเก็บโต๊ะบริเวณหน้าร้านที่ลูกค้าพึ่งจะลุกออกไป
พอตกบ่ายลูกค้าก็ไม่เยอะเท่าไหร่แล้ว พี่กวางเลยชวนผมเข้าไปทำขนมในครัวส่วนหน้าร้านก็ปล่อยให้พี่จ๋าดูแลไป เห็นบอกว่าวันนี้จะลองทำเค้กช็อคโกแลตหน้านิ่มเพราะเธอพึ่งได้ตัวดาร์คช็อคโกแลตมาใหม่ ผมก็เลยอาสาเป็นลูกมือช่วยอย่างขยันขันแข็ง นี่ไม่ได้เห็นแก่กินเลยนะเนี่ย จริงๆ เชื่อผมสิ
ครั้งนี้ผมไม่ค่อยจะมีส่วนร่วมเท่าไหร่นักเพราะขั้นตอนมันค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย ส่วนมากพี่กวางจะให้หยิบของช่วยซะมากกว่า
และตอนนี้เจ้าเค้กช็อคโกแลตเนื้อเนียนนุ่มก็ถูกจัดเรียงใส่กล่องฟอยล์ขนาดเล็กอย่างเป็นระเบียบ พี่กวางแบ่งส่วนหนึ่งไว้แช่ขายในวันพรุ่งนี้ส่วนอันที่เหลือก็แบ่งให้ผมกับพี่จ๋าไปกิน
แหะๆ ได้ขนมมากินฟรีอีกแล้ว
“น้องรักกลับเลยก็ได้นะ มีงานต้องทำรึเปล่า เดี๋ยวพี่กับจ๋าเคลียร์ร้านกันต่อเอง”
เธอหันมาบอกผมหลังจากที่ทำออเดอร์ให้ลูกค้าคิวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นกว่าๆแล้วลูกค้าจึงเริ่มบางตาลงไปมาก
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวรักอยู่ช่วยเก็บร้านก่อนดีกว่า”
“จะดีเหรอ?”
“ดีครับ มาเดี๋ยวรักช่วย”
ผมยิ้มยืนยันคำตอบกับพี่กวางอีกครั้งก่อนจะช่วยเธอทำความสะอาดเคาน์เตอร์กาแฟให้สะอาดพร้อมกับเก็บพวกแกลลอนนมและขวดไซรัปบางชนิดเข้าไปแช่ไว้ในตู้เย็นให้เรียบร้อย
กว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่มแล้ว พอดีกับที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถชอปเปอร์คันที่คุ้นเคยขับเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าร้าน พอมองออกไปก็เห็นพี่ชาญถอดหมวกกันน็อคห้อยไว้บนแฮนด์รถ ก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน
“อ้าว มาทำไรเนี่ย”
พี่กวางหันไปมองน้องชายตัวเองด้วยสีหน้าที่งุนงงอยู่ไม่น้อย ส่วนเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับทำเพียงแค่พยักหน้ามาทางผมครั้งนึงแทนคำตอบ
“มารับน้อง?”
“อืม”
“อ้ออ เห้ยย จ๋าๆ
มดมาจากไหนวะ” พี่กวางหันไปพูดกับพี่จ๋าพร้อมกับปัดแขนปัดขาตัวเองไปด้วย
มด? มีมดด้วยเหรอ?
เมื่อกี้ผมก็พึ่งทำความสะอาดไปเองนะไม่เห็นจะมีสักตัวเลย
เสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจากคนตัวสูงข้างๆผมดังขึ้นขัดจังหวะการกำจัดมดของพี่ทั้งสองคน พี่กวางหันมาทำหน้าตาทะเล้นที่ผมมองยังไงมันก็น่ารักมากๆใส่น้องชายตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปหยิบกล่องเค้กของผมที่ฝากไว้ในตู้แช่ขึ้นมาแล้วก็ยื่นมาให้
“อ่ะนี่ ของน้องรัก เดี๋ยวลืม”
“แหะๆ ขอบคุณครับ”
ผมรับถุงขนมมาถือไว้ก่อนจะเดินไปเอากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายไว้ข้างตัว พอเดินกลับมาก็เห็นพี่ชาญก้มลงมองถุงเค้กในมือพร้อมกับเลิกคิ้วมองผมนิดหน่อยแต่แล้วก็หันไปพูดกับพี่สาวตัวเองแทน
“ทำขนมให้น้องกินอีกแล้ว?”
“อื้ม พอดีกวางได้ดาร์กช็อคมาใหม่เลยกะจะลองทำเล่นๆดู แต่น้องรักชิมแล้วบอกอร่อยมาก เลยทำเผื่อขายด้วยเลย ใช่มั้ยน้องรักๆ”
“เอ่อ...ช...ใช่ครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยไปกับพี่กวางด้วยสติที่ไม่เต็มร้อยนัก
เมื่อกี้ถ้าหูไม่ได้เพี้ยนเหมือนจะได้ยินพี่ชาญเรียกแทนตัวผมว่าน้องด้วย....
โอเค มันอาจจะเป็นคำธรรมดาทั่วไปที่ได้ยินจนชิน แต่พอเขาเป็นคนพูดแล้วมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้...มันแบบว่า เขินๆอ่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ฮือออ
“
แก้มจะแตกแล้ว”
จู่ๆฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาบีบแก้มผมไว้จนปากยู่เข้าหากันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เห้ยยย เดี๋ยวดิ
ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าหูดับไปเรียบร้อย ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆที่ข้างหูแถมอุณภูมิที่ใบหน้ายังสูงขึ้นแบบฉับพลัน โดยที่ไม่มองกระจกก็รู้เลยว่ามันต้องแดงมากแน่ๆ
สติผมหลุดออกจากตัวกะทันหันไม่รู้จะทำตัวยังไงเพราะคิดคำพูดไม่ออก เลยทำได้เพียงแค่ช้อนตาขึ้นไปมองคนตัวสูงตรงหน้าแทน แต่นั่นเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดเอามากๆเพราะเขาก็ก้มลงมามองผมเหมือนกัน..
ทันใดนั้น
ทุกๆอย่างรอบตัวก็คล้ายกับโดนใครบางคนกดปุ่มหยุดช่วงเวลานี้เอาไว้เมื่อได้สบตากับคนตรงหน้า
และถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
แต่ผมรู้สึกได้ว่า...
แววตาดุๆที่ผมคุ้นเคย...ตอนนี้กลับดูสั่นไหวจนน่าตกใจ
คล้ายกับว่ากำลังพยายามปิดบังความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
ถึงผมจะไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่านี่มันคืออะไรกันแน่ แต่ผมรู้สึกว่ามันส่งผมที่ร้ายกาจต่อตัวผมเอามากๆเลยตึก ตัก..
จู่ๆรอบด้านก็เงียบสนิท
เสียงเพลงบรรเลงที่มักเปิดคลอไปกับบรรยากาศร้านก็ยังไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามาในความรู้สึกได้เลยสักนิดเดียว
..มันเงียบมากเสียจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเครื่องปรับอากาศ
และเสียงจังหวะการเต้นของเจ้าก้อนเนื้อที่อกซ้าย มันเกเรจนผมกลัวว่าคนตรงหน้านี้จะได้ยินเสียงของมัน...แต่รู้สึกตัวอีกทีคนตรงหน้าก็ปล่อยมือออกจากแก้มผมไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงไออุ่นเจือจางจากฝ่ามือข้างนั้นแทน
“ฮ...แฮ่ม”
เสียงกระแอมของพี่กวางเรียกสติที่หลุดลอยของผมให้กลับคืนมา และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ในร้านยังมีพี่กวางกับพี่จ๋าอยู่ใบหน้าผมก็ร้อนเห่อขึ้นมาอีกครั้ง ความอายมันแล่นโจมตีไปทั่วจนผมไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองรอบๆตัวเลย
“กลับกันเถอะ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะก่อนจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆที่โอบรอบข้อมือของผมเอาไว้
พี่ชาญพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปบอกกับพี่สาวตัวเองให้ขับรถกลับบ้านดีๆเหมือนอย่างเคย พร้อมกับออกแรงดึงให้ผมเดินตามติดเขาไปด้วย
ระหว่างที่กำลังก้าวเท้าเดินไปพร้อมกัน ผมก็ก้มลงมองดูข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้โดนมือของใครอีกคนกุมไว้อย่างแน่นหนา
ความรู้สึกสับสนและวุ่นวายที่เกิดขึ้นเวลาที่ผมอยู่ใกล้กับเขามันก่อกวนจนผมไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย
แต่พอเห็นแผ่นหลังกว้างๆของเขาที่กำลังเดินนำหน้าผมอยู่ความว้าวุ่นต่างๆมันกลับสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
แถมยังรู้สึกได้ว่าระยะห่างระหว่างผมกับพี่ชาญมันเริ่ม’ใกล้’กันเข้ามาทีละนิด โดยที่เราทั้งสองคนไม่ได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ก็ช่างเถอะ...
แบบนี้ก็...อุ่นดีเหมือนกัน _______
หวังว่านิยายเรื่องนี้จะสร้างรอยยิ้มให้คนอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ
ไม่ต้องการอะไรเลย เพียงแค่อยากให้ทุกคนยิ้มได้ แค่มุมปากก็ยังดี ฮ่าๆ
ใครเหงาๆก็มาฟังเพลงกันค่ะ จากชื่อตอนเลย แหะๆ <3
ใกล้ - scrubb ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจรวมไปถึงคำแนะนำต่างๆด้วยนะคะ อ่านแล้วมีความสุขม้ากมาก
ฝากแท็ค #แค่รักคุณ ด้วยนะคะ ลัฟยูวว