ตอนที่ 8 : พี่
-ผ้าใบ-
ตื่นหรือยัง ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง ถ้าไม่คิดว่ากว่าจะหาเงินมาซื้อได้ยากลำบาก ราคาไม่ใช่บาทสองบาท จึงยอมวางลงอย่างเบามือ ผมพยายามข่มตาให้หลับ การได้รับข้อความงี่เง่าในเวลาแปดนาฬิกาของวันที่ไม่มีเรียนนั้น ถือว่าเป็นกระทำที่โหดร้ายที่สุด
เด็กหัวร้อนกินข้าวกัน ผมนับหนึ่งถึงสิบไปพร้อมกับการกดปิดการแจ้งเตือนข้อความ ในขณะที่ผมจิ้มนิ้วลงบนรูปด้วยความสะใจ ข้อความที่สามก็ตามมา เห็นพอดีหรอกนะถึงจำใจอ่าน
เร็ว หิวแล้ว เอาเถอะตามสบาย มีเวลาว่างมากอยากทำอะไรก็ทำ ผมไม่สนเสียอย่าง ก่อกวนได้ก่อกวนไป ผมนอนต่ออย่างเป็นสุข ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้นในเวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาที
ผมหยิบโทรศัพท์มากดปิด ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนกดเข้าไปดู ข้อความเข้ามาอีกสี่ข้อความ ในเวลาที่แตกต่างกัน
รออยู่ร้านนี้ ข้อความมาพร้อมกับการแชร์โลเกชัน
อร่อยนะ
มาเร็วๆ
หิวเป็นบ้า ผมดูเวลาของข้อความสุดท้าย เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงสิบห้านาที คนรวยไม่มีอะไรจะเล่นหรือไงวะ ถึงเล่นกับความรู้สึกของคน พนันเลยว่านายคีรีนั่นไม่ได้รออยู่จริง อาจกำลังนั่งขำเพราะคิดว่าผมไปตามที่ส่งข้อความมาก็ได้
สิบนาฬิกา ผมคิดว่าผมงี่เง่าหรือไม่ก็ยังเมาขี้ตา หรือไม่ก็บ้าไปแล้ว เพราะดันขี่เวสป้าคู่ใจลัดเลาะซอยเล็กซอยน้อยมาโผล่หน้าร้านจนได้ ผมไม่ได้เป็นห่วงว่าจะหิวตายหรือเปล่าแต่อยากรู้ว่ายังรออยู่จริงไหม สุดท้ายก็ต้องขับมาดูให้เห็นกับตา
รถเก๋งสีดำสนิทยี่ห้อหรูจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน ยังอยู่จริงๆ เหรอวะ ผมสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็จอดรถเดินลงไปดู ผมแตะมือลงบนกระโปรงหน้า เครื่องยนต์เย็นแล้วแปลว่าไม่ได้เพิ่งมา เอายังไงดีวะกู
“มาแล้วเหรอ” รอยยิ้มกว้างมาจากคนที่นั่งอยู่มุมสุดของร้าน
“นึกว่าจะโดนทิ้ง” เดี๋ยวนะไอ้ประโยคที่พูดทำไมเหมือนผมผิดวะ ไม่เคยบอกสักคำว่าจะมา พิมพ์เองเออเองทั้งนั้น
“หิว”
“หิวบ้าอะไรวะ นั่งอยู่ในร้านอาหาร” ผมกระเทกตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าหงุดหงิดนิดๆ
“ยังไมได้กิน ดื่มแค่กาแฟ” บนโต๊ะมีกาแฟแก้วใหญ่อยู่สองแก้ว ไม่มีอาหารวางอยู่
“ช่วยไมได้ดันไม่สั่งเอง”
“ก็บอกแล้วว่าจะรอ กินอะไรดี”
“ไม่ได้มากิน มาเพราะอยากคุยให้รู้เรื่อง” ไหนๆ ผมก็มาแล้ว คิดว่าควรคุยกันให้เข้าใจไปเลย จะได้ไม่ต้องตามตอแยกันอีก
“คุยสิแต่ต้องกินก่อน พี่หิว”
“พี่พ่องสิ” ผมสบถเบาๆ แต่มีคนได้ยิน
“พ่อเราหรือพ่อพี่” น้ำเสียงปนขำทำให้ผมรู้สึกคันไม้คันมือ ยิ่งดวงตายิ้มๆ ที่มองมา มันบอกว่าผมเป็นเด็กหัวร้อนแบบที่ชอบเรียกจริงๆ
“เอาน่า พี่อุตส่าห์นั่งรอ เสียเวลากินเป็นเพื่อนไม่กี่นาทีจะเป็นอะไร”
“จะกินก็สั่งมา” ผมพูดห้วนๆ
ผมนั่งรอจนอาหารมาเสิร์ฟโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในเมื่อบอกผมว่ากินก่อนค่อยคุย ผมก็จะคุยต่อเมื่อกินเสร็จเท่านั้น
ความพยายามกวนประสาทของผมดูเหมือนไม่มีความหมาย ร่างสูงยังคงอารมณ์ดี นั่งมองผมยิ้มๆ สีหน้ารู้ทัน โดยไม่ทักไม่ถามหรือชวนคุย
“อร่อย” อาหารถูกตักลงวางบนจานผม ท้องไส้เริ่มประท้วงเมื่อผมไม่ยอมแตะ เช้านี้ผมยังไม่ได้กินอะไร อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงมาที่นี่เลย แต่จะกินก็เสียฟอร์มเกินไป
“ไม่หิวเหรอ” ผมลอบกลืนน้ำลาย ใช้สายตามองไปทางอื่น
“อิ่มแล้วใช่ไหม จะคุยได้หรือยัง”
“ได้ อยากคุยอะไรก็ว่ามา” ช้อนส้อมถูกรวบเข้าด้วยกันเพื่อบอกว่าพร้อมที่จะคุยกับผมแล้ว
“เล่นอะไรอยู่”
“ใคร”
“นายนั่นแหละ”
“พี่เหรอ” น้ำเสียงและสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เราไม่ใช่คนรู้จัก เป็นคนไม่ชอบหน้ากันด้วยซ้ำ อย่าใช้เสียงอย่างนี้มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูก
“อืม”
“ไม่ได้เล่น แค่อยากกินข้าวด้วย เหมือนเพื่อนชวนเพื่อน พี่ชวนน้อง”
“ไม่ชอบหน้าผมไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เคย”
“หึ”
“เรื่องจริง เพราะตอนที่ไม่ชอบยังไม่เคยเห็นหน้า” ผมเกือบลืมไปแล้ว่าระหว่างผมกับหมอนี่น่าจะเรียกว่าไม่ชอบรถมากกว่าไม่ชอบหน้า หรือถ้าให้ถูกคือผมไม่ชอบนิสัยจอดรถของหมอนี่ และหมอนี่ก็คงไม่ชอบกระดาษกาวสองหน้าของผม
“ผ้าใบ” เสียงที่เรียกผมอ่อนลง “ถ้าพี่ขอโทษจะหายไหม ขอโทษที่จอดรถขวางทางเรา เลยเอามอเตอร์ไซด์กลับบ้านไม่ได้ เดินไปขึ้นรถไกลใช่ไหม รอนานหรือเปล่า ขอโทษที่ทำให้ลำบาก” ผมกัดริมฝีปาก ไม่อยากให้อีกฝ่ายใช้เสียงอ่อนโยนแบบนี้ มันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก
“ช่างเถอะ”
“หายโกรธพี่แล้วใช่ไหม”
“....”
“ตกลงหิวหรือเปล่า”
ครากกก ผมยกมือแตะท้องตัวเอง เวรเอ๊ยจะมาทรยศอะไรกันตอนนี้วะ จะปฏิเสธออกไปหลักฐานมันก็ฟ้องอยู่
“ขอเมนูด้วยครับ” น้ำเสียงคนพูดพยายามสะกดกลั้นความขำ ดวงตาเต้นระยิบระยับ หน้าของผมขึ้นสีแดงเรื่อ อนาถตัวเอง แม่งเอ๊ย รู้งี้จอดเซเว่นซื้อขนมปังกินก่อนก็ดี
“สั่งตามสบายนะ ถือว่าพี่เลี้ยง เป็นค่า...” รอยยิ้มชวนหัวของคนพูด ทำให้ผมระแวงขึ้นมา
“ค่าอะไร”
“ค่ารถกลับบ้านจริงๆ ของเรา เหรียญนั่นนอกจากเอามาแปะกระจกรถ ถอนคืนพี่แล้วคงไม่ได้เอาไปใช้ใช่ไหม”
“ใครจะใช้วะ” ผมดันเผลอหัวเราะขำออกมา เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ชีวิตนี้ผมก็ไม่เคยทำตัวงี่เง่าขนาดนี้มาก่อน เต็มทีก็ชกกันให้รู้เรื่องไปข้าง มาคิดตอนนี้งี่เง่าชะมัด
“หึๆ” ดูเหมือนคนที่นั่งอยู่ก็คงคิดเหมือนผมเพราะเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเหมือนเจ้าตัวขำตัวเองมากกว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมกินอันนี้” ผมชี้ให้พนักงานที่เดินเข้ามารอรับออเดอร์ดู “กับกาแฟแก้วหนึ่ง”
“ค่ะ” ผมหันกลับมามองหน้าเจ้ามือเมื่อพนักงานหญิงเดินไปแล้ว “พอดีค่ารถกลับบ้าน หายกัน”
“ตกลง”
ผมสบายใจขึ้นมาก ไม่ใช่เพราะไม่ต้องทะเลาะกับใครอีก แต่เพราะไม่ต้องบอกตัวเองว่าผมไม่ชอบหน้าหมอนี่ ทั้งที่ความจริงผมอาจหายโกรธไปนานแล้ว แค่หาทางลงไม่ได้แค่นั้นเอง โชคดีที่คีรียอมขอโทษออกมาก่อน สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจก็คือ ผมคิดว่าคนตรงหน้าจะอีโก้สูงกว่านี้เสียอีก
“ไปมหาลัยใช่ไหม” “อืม” คนถามมองรถผมเหมือนใช้ความคิด
“ไปด้วยสิ”
“หะ!”
“ไปด้วย”
“รถก็มีจะไปทำไม”
“เดี๋ยวจอดไว้นี้ให้คนมาเอา”
“ต่างคนต่างไป จบนะ”
“เอาน่า ขับรถคนเดียวมันเหงา หรือเราจะทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วไปคันเดียวกับพี่” เพิ่งชมไปไม่ทันขาดปาก นิสัยลูกคนรวยกลับมาอีกแล้วเหรอวะ ได้! ถ้าอยากนั่งนักเดี๋ยวผ้าใบจัดให้
“อยากไปก็ขึ้นมา” ผมหยิบหมวกกันน็อคที่แขวนอยู่กับแฮนด์รถส่งให้ ร่างสูงรับไปสวมก่อนก้าวขึ้นนั่งซ้อนหลังผม
“ถอยไปหน่อย” ผมทำเสียงหงุดหงิด เมื่อคนนั่งเบียดเข้ามาชิด
“เดี๋ยวตก”
“มันจะตกได้ไงวะ”
“พูดกับพี่แบบนี้เหรอ” เสียงเคาะหมวกกันน็อคดังกลางหัว ใครให้เป็นพี่วะแค่คนรู้จักเว้ย พูดดีด้วยหน่อยชักเอาใหญ่
“ถอย”
ยังดีที่คนซ้อนท้ายยอมแพ้ ขยับตัวออกห่างอีกนิด ผมจุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก เดี๋ยวคอยดู รับรองไม่มีขอซ้อนอีกเป็นครั้งที่สอง เสียดายอย่างเดียวน่าจะยืมรถพี่อาจมา ไม่งั้นนะ หึๆ หลังกระแทกแน่
ผมออกตัวรถให้แรงที่สุดเท่าที่เวสป้าลูกรักของผมจะทำได้ แต่มันไม่มีทางได้ดั่งใจอยู่แล้ว ผมจึงเลือกที่จะเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด แล้วขี่ฉวัดเฉวียนเป็นงูเลื้อย ดีที่ถนนในซอยค่อนข้างโล่ง ไม่อย่างนั้นคงทำไม่ได้
“เหี้ย!” ผมสะดุ้งโหยงจนทำรถเป๋จริงๆ เมื่อมือหนาจับเข้าที่เอว ดีที่มีสติพอจะประคองรถให้กลับมาตั้งตรงได้
“ทำอะไรว!ะ”
“เราขี่รถน่ากลัว”
“น่ากลัวก็ลง เรียกแท็กซี่ไป” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลม
“ไม่เป็นไร แบบนี้ดีขึ้นแล้วแล้ว” มือที่จับอยู่โอบมาข้างหน้าจนแผ่นอกชิดหลังของผม ความร้อนแผ่ผ่านเสื้อเข้ามา ผมรีบขยับมาข้างหน้าอีกนิด แต่คนข้างหลังก็ยังขยับตามมา พร้อมมือที่กอดเอวผมกระชับมากขึ้น
คนอยากแกล้งจึงต้องยอมแพ้ ผมรีบชะลอความเร็วรถลง ขับแทบจะเป็นเส้นตรง ไม่แซงซ้ายแซงขวา เรียกว่าทั้งนิ่งและนิ่ม
“ขี่ดีๆ ก็ได้นี่เรา” เสียงพูดปนหัวเราะ ไม่มีร่องรอยของความกลัวอยู่สักนิด ออกจะไปทางขำผมมากกว่า ผมต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งถึงจะนึกได้ว่าคนที่นั่งข้างหลังไม่ได้กลัวสักนิด แต่ต้องการแกล้งผมคืนเท่านั้น
มือที่กอดเอวถูกยกขึ้นมาตบบ่า มันตบลงมาสองสามครั้งก่อนเจ้าของมือจะเอาออก เสียงหัวเราะลอยลมมาเบาๆ ไหนใครอยากสงบศึกฟระไอ้บ้าเอ๊ย
ผมไม่ได้ลืมหรอกว่าผมเริ่มก่อนถึงได้แค่ด่าอยู่ในใจนี่ไง ล้างแค้นสิบปียังไม่สาย แต่ผมว่าคืนนี้เลยน่าจะดี
“คืนนี้ไปร้านไหม” ผมพูดฝ่าเสียงลม
“ชวนเหรอ”
“อืม”
“ไปสิ”
“ดี”
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin