[เรื่องเกือบสั้น] Nine Temples but One Love (3 ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเกือบสั้น] Nine Temples but One Love (3 ตอนจบ)  (อ่าน 3146 ครั้ง)

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ที่มาที่ไป: เรื่องนี้เกิดจากความมโนขั้นสุดตอนไปไหว้พระ 9 วัดช่วงสงกรานต์ ในวันที่ 15 เมษายน 2560 แต่เพิ่งจะเขียนจบ ดังนั้น เนื้อเรื่องจึงอ้างอิงจากอีเวนต์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นค่ะ เรื่องนี้จริงๆตั้งใจให้เป็นเรื่องสั้น ไม่เกิน 10 หน้า A4 แต่มโนไปมาดันเกินไปแตะที่ประมาณ 15 หน้าซะอย่างนั้น เลยหั่นออกเป็นทั้งหมด 3 ส่วนค่ะ ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะได้ใช้เวลาในการตรวจทาน(ซึ่งอาจจะยังมีคำผิดเพราะเขียนคนเดียวแก้คนเดียว ตาลายมากๆเลยค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ลงในเล้า (มือใหม่มากๆ) ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ  :o8:

“Nine Temples but One Love”
Author: magic-ca
Part 1


               วันที่ 15 เมษายน ผมตื่นแต่เช้า ทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รีบร้อนนัก สวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาว ทับด้วยเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตสีน้ำเงินบางๆเพื่อกันแดด ผมไม่ชอบทาครีม แต่พอออกแดดจัดๆแล้วชอบแสบผิว จึงต้องทนร้อนกันนิดหน่อย ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนเข้ารูปสีดำ สะพายกล้องแบบมิเรอร์เลสคู่ใจซึ่งเสียบชาร์จแบตเตอรี่ไว้เมื่อคืน กล้องตัวนี้ผมมักใช้ในตอนที่ไม่ได้จริงจังมากนัก ตรวจดูจนแน่ใจว่าแบตเตอรี่สำรอง และการ์ดความจำที่เตรียมไว้เผื่อเต็มยังอยู่ในกระเป๋า ผมจัดการมัดรวบเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ผมไม่ใคร่จะตัดเลยปล่อยให้ยาวเท่ากันทั้งหมดไว้เป็นหางม้า อันที่จริงมันก็ทำให้ผมถูกทักว่าเหมือนผู้หญิง แต่ผมก็คิดว่าต่อให้ผมตัดมันเป็นทรงสกินเฮดก็คงจะมีคนทักว่าเป็นทอม จนสุดท้ายก็ปล่อยไปตามแต่ความสะดวกผสมด้วยความขี้เกียจ รอให้ความยาวถึงแล้วค่อยไปตัดบริจาคเสียทีเดียว

               เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยผมก็หยิบกุญแจรถเต่าสีเหลือง ขับมันออกจากห้องเช่าย่านชานเมือง เข้าสู่พระนคร วันสุดท้ายของช่วงสงกรานต์แบบนี้ไม่มีคนเล่นน้ำกันแล้ว ถนนในเมืองก็โล่งเพราะหลายๆคนก็มักจะใช้เวลาหยุดยาวแบบนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง แต่ฟรีแลนส์แบบผมก็จะกลับกัน วันธรรมดาผมออกต่างจังหวัด วันหยุดก็อยู่ในกรุงเทพ

               วัดแรกที่ผมจะไปวันนี้คือวัดเบญจมบพิตรฯ ที่จริงผมก็เคยมาวัดนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นมาสายไปหน่อย พอมาถึงวัดแล้วคนก็เยอะมาก โดยส่วนมากเป็นทัวร์ต่างชาติ ประกอบกับบริเวณวัด ส่วนพระอุโบสถหินอ่อนไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่ ทำเอาผมเลือกมุมถ่ายรูปไม่ถูก กว่าจะได้รูปก็เรียกไปว่าแทบจะเมาฝูงชน วันนี้เลยมาแต่เช้าเพื่อเลี่ยงคน

               เพราะตัวเองแพ้ควันธูป ถึงจะไม่ได้ถึงกับเจอไม่ได้ แต่ถ้าจุดเองจะจามฟุดฟิด หลังจากเก็บภาพด้านหน้าได้แล้วผมเลยเลี่ยงตรงที่ผู้คนจุดธูปและเดินเข้าไปภายในพระอุโบสถหินอ่อน ผมเก็บภาพภายในสัก 2-3 รูปถึงได้เดินออกมา และเดินเข้าไปยังลานด้านในซึ่งล้อมรอบด้วยระเบียงคดที่เรียงรายไปด้วยพระพุทธรูป การถ่ายรูปจากด้านในลานนี้ หลายคนจะไม่ชอบ แต่ผมชอบที่จะเลือกมุมย้อนแสงที่จะทำให้เห็นลำแสงสีทองตกลงมา และนั่นทำให้ดูเหมือนสถานที่ที่ผมถ่ายนั้นอยู่อีกโลกหนึ่ง

               ในตอนที่ผมกำลังเก็บภาพในมุมที่ต้องการ และกำลังจะปรับกล้องเพื่อให้ได้ภาพที่ต่างจากเดิมก็มีบุคคลแปลกปลอมเข้ามาในกรอบ เขาอยู่ในชุดมาตรฐานเสื้อยืดสีดำเรียบ ไม่มีลาย กับกางเกงยีนสีซีด ผมเดินเข้าไปหาเขา ตั้งใจจะไปขอให้เขาหลบเพราะผมจะถ่ายรูปที่ต้องการให้เสร็จก่อนที่คนจะเยอะ ผมพยายามจะเรียกเขาที่ยืนนิ่งๆมองช่อฟ้าของวัดอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องหยิบกล้องขึ้นมา

               อาจจะเป็นเพราะดวงตาโศกที่มีรอยคล้ำเล็กน้อย เส้นผมสั้นสีดำ ที่แม้มันจะสั้น แต่ก็ดูออกว่ามันคงไม่ได้ญาติดีกับหวีในเช้านี้ แม้ผมจะเข้าไปใกล้จนถ่ายรูปเขาได้โดยไม่ต้องซูมเขาก็ยังคงเหม่อมองช่อฟ้าต่อไปแบบไม่รู้ตัว

               “นี่คุณ...คุณครับ เฮ้...คุณ” ผมเรียกเขาถึง 3 รอบ เสียงก็ไม่ใช่ว่าเบา แต่เขากลับดูเหมือนไม่ค่อย รู้สึกตัว แต่พอเขาหันกลับมา ผมก็อดไม่ได้ ถ่ายรูปเขาไปอีกรูป ก่อนที่จะได้ขออนุญาต

               “ผมขอถ่ายรูปคุณนะครับ” ผมยกกล้องออกจากหน้าตัวเองเพื่อให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้ดูเหมือนคนน่าสงสัย (มั้ง?) ก่อนจะเปิดรูปที่ถ่ายยื่นให้เขาดู

               “ตามใจคุณเถอะ” เสียงแหบห้าวตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ เขาแค่มองรูปที่ผมถ่ายด้วยหางตา ก่อนจะกลับไปเหม่อมองช่อฟ้า... ไม่ใช่สิ พอมาเห็นใกล้ๆแล้ว ผมคิดว่าเขาคงไม่ได้มองช่อฟ้า ไม่ได้มองดูท้องฟ้า ไม่ได้ดูก้อนเมฆ แต่เหมือนมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ที่ที่ตนไม่น่าจะไปถึง


(ต่อด้านล่าง)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2018 00:06:49 โดย magic-ca »

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
                    ผมเดินเปลี่ยนมุมถ่าย จนกระทั่งเริ่มมีทัวร์มาลง เสียงคนทั้งไทยทั้งเทศเริ่มกล้ำกรายความสงบในอาณาบริเวณ ผมถึงได้เริ่มเก็บกล้องใส่กระเป๋า ผมตั้งใจจะกลับห้องแล้ว เพราะวัดในเขตเมือง ต่อให้เป็นหน้าเทศกาลที่คนออกนอกกรุงไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมดแล้ว พอเริ่มสายคนก็ยังเยอะเพราะทัวร์ลงอยู่ดี

               ผมมองไปรอบๆอีกครั้ง ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่ชายคนเดิม ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ซึ่งไม่รู้ว่าฟ้าดินอะไรดลใจให้ผมเดินเข้าไปทักเขาอีกครั้ง

               “ถ้าคุณไม่มีโปรแกรมอะไร สนใจไปไหว้พระ 9 วัดกับผมมั้ยครับ” ผมเอ่ยถามชายคนนั้น ซึ่งมันทำให้ผมได้เห็นสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาที่หรี่ปรือเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

               “นึกยังไงชวนคนแปลกหน้า ไม่กลัวผมขโมยของคุณ หรือไม่คิดว่าผมจะกลัวคุณบ้างหรือไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

               “ไม่รู้สิ แค่เห็นหน้าคุณดูหมองๆ ช่วงนี้อาจจะเจออะไรหนักๆ เลยจะชวนไปทำบุญ เพราะผมเองก็ว่าง ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน”

               “พาไปทำบุญล้างซวยว่างั้น” เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วยิ้มตรงมุมปากเหมือนกำลังเยาะเย้ยอะไรสักอย่าง “งั้นผมไปด้วยแล้วกัน ถ้าโดนคุณรูดทรัพย์ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป”

               “งั้นก็เชิญที่รถครับ” ผมเดินนำเขาไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าวัด เมื่อเขาเห็นรถเต่ารุ่นเก่าสีเหลืองสดของผมก็ทำตาโต

               “ยังขับได้อยู่เหรอ” เขาพูดล้อๆ แต่จากมือที่ลูบไปบนประตูรถผมก็คิดว่าเขาคงชอบเจ้าเต่าเหลืองรุ่นคลาสสิกของผมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

               “เสียมารยาท” ผมหันไปค้อนเขาเพื่อเป็นการรับมุก ก่อนจะถามเขาเมื่อเราทั้งคู่เข้ามานั่งในรถและคาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว “คุณมีวัดที่อยากไปมั้ย”

               “ที่ชวนผมมานี่คือยังไม่มีแพลน” เขาเลิกคิ้วกวนๆ ผมรู้สึกเหมือนชักจะคิดผิดที่ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยๆ

               “แพลนของผมคือเอารูปกลับไปแต่ง แล้วก็นอนยาวๆ แต่ผมชักจะเบื่อๆเลยไม่อยากทำตามแพลนแล้ว” ผมตอบเขา พลางเปิดกูเกิ้ล แมพ เพื่อหาวัดใกล้ๆ

               “งั้นไปภูเขาทองแล้วกันนะ” ผมบอกกับคนข้างตัวก่อนจะออกรถ ระยะทางจากวัดเบญฯ ไปยังภูเขาทองคือ 2 กิโลเมตร ตามที่แผนที่บอก

               ตลอดทางจนถึงวัดมีรถบ้างประปราย แต่ไม่ได้ติดเหมือนอย่างวันธรรมดา บนรถเงียบสนิท เมื่อผมไม่ชวนคุย คนข้างๆก็ดูเหมือนจะจมดิ่งลงไปในห้วงความคิดของตัวเอง

               “ผมชื่อเลย์นะ คุณชื่ออะไร” ผมเริ่มเปิดประเด็นอีกครั้งด้วยการถามชื่อ

               “ผมชื่อเมฆา” เขาตอบโดยไม่หันมามองผม

               “นี่ชื่อเล่นเหรอ” ผมถึงกับขมวดคิ้ว เพราะสงสัยว่าที่แนะนำมาเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริง

               “นี่ชื่อเล่นแล้ว ชื่อจริงผมชื่อเมฆาพยัคฆ์”

               “ชื่อเพราะมาก นิยายมาก”

               “แม่ผมชอบอ่านนิยาย เลยตั้งชื่อแนวๆนี้ให้ลูกๆ” เขาตอบรับ แล้วถามผมกลับเหมือนตั้งใจจะกวนกัน “แล้วชื่อคุณนี่ หมายถึงขนมห่อ”

               “อือ เลย์นั่นแหละ น้องสาวผมชื่อเทสโต” เมื่อฟังคำตอบของผม เขาก็นิ่งไปพักนึง คงไม่คิดว่าที่แซ็วมาเล่นๆนั่นจะเป็นเรื่องจริง

               “ไม่ได้ล้อเล่น แม่ผมชอบกินเทสโต้ ไอ้ห่อสีชมพูที่เปรี้ยวๆน่ะ ส่วนพ่อผมชอบกินเลย์รสกะเพราะกรอบ ตอนมีผมพ่อกับแม่เป่ายิงฉุบกัน พ่อชนะผมเลยชื่อเลย์ พอมีน้องอีกคนเลยให้ชื่อเทสโตแทน” พอเล่าจบก็เดินทางมาถึงวัดสระเกศฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาทองพอดี ขับวนรอบภูเขาทองอยู่ 2 รอบก็ได้ที่จอดพอดี

               “ชื่อคุณดูตั้งง่าย แต่ฟังดูอบอุ่นดีนะ ของชอบของพ่อกับแม่ เป็นลูกที่พ่อกับแม่รัก” เขาส่งยิ้มบางๆมาให้ผม ดูท่าทางไอ้ที่มาชื่อที่อายแสนอายของผมจะช่วยเยียวยาจิตใจคนข้างๆขึ้นมาได้บ้าง

               “ชื่อคุณกว่าจะได้มาก็คงละเมียดละไมอยู่หรอกน่า เอาเป็นว่าคุณไปยืนเป็นแบบให้ผมถ่ายหน่อย ตรงแถวระฆังตรงนั้นน่ะ” เมื่อเห็นมุมน่าถ่าย ผมก็สวมวิญาณช่างภาพ จัดท่าให้คนข้างๆทันที

               “เฮ้อ...สรุปที่ชวนมานี่กะใช้ผมเป็นแบบฟรีว่างั้น” เขาทำเป็นถอนหายใจ แต่ก็เดินไปยังจุดที่บอกแต่โดยดี ท่าทางการยืนของเขาดูคล้ายกับคนที่คุ้นเคยกับอะไรแบบนี้พอสมควร แต่ก็ไม่แปลกนักหรอก ด้วยบุคลิกที่ดูเหมือนจะนิ่งๆ ใบหน้าคมสัน กับดวงตาที่แม้ตอนนี้จะคล้ำหมองไปสักหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสเน่ห์ดึงดูด

               เราเดินไปถ่ายรูปไปจนถึงยอดของภูเขาทอง กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเรียบร้อยจึงเดินลงมา ตอนนี้เป็นเวลาประมาณแปดโมงครึ่ง แดดหน้าร้อนเดือมเมษายนกำลังจ้าได้ที่ ต้องขอบคุณที่ทางวัดติดที่พ่นไอน้ำไว้เป็นระยะเลยทำให้ไม่ร้อนมากเท่าไหร่

               “ไปไหนต่ออ่ะ” คนที่นั่งข้างคนขับถามขึ้น ท่าทางเหมือนกระตือรือร้นขึ้นมาจากเมื่อเช้าเล็กน้อย

               “วัดสุทัศน์มั้ยล่ะ ไหนๆก็มาวัดสระเกศฯ แล้ว”

               “วัดสระเกศฯ ? แล้วทำไมต้องคู่กับวัดสุทัศน์ฯ” เขาทำท่าเหมือนจะงง ก็ไม่แปลกหรอก หลายๆคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูเขาทองเป็นส่วนหนึ่งของวัดสระเกศฯ

               “ใช่ ก็นี่ไง วัดสระเกศฯ ถึงตรงนี้จะเรียกว่าภูเขาทอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดสระเกศฯ ไม่ได้ชื่อว่าวัดภูเขาทองสักหน่อย” เมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว คนถามก็พยักหน้าหลายครั้งเพื่อบอว่าเข้าใจแล้ว

               “ที่เขาว่ากันว่า ‘แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์’ ไง” แต่พอฟังคำตอบประโยคถัดมาลูกทัวร์ของผมก็สะดุ้งสุดตัว

               “เฮ้ย สรุปพามาทำบุญล้างซวย หรือมาซวยเพิ่ม” ท่าทางตื่นๆของเขาทำให้ผมขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้

               “ไม่ล้างหรือซวยเพิ่มทั้งนั้นแหละ มันแค่เป็นตำนานที่เกิดอยู่แถวๆนี้ แล้วคนเขาเอาพูดให้คล้องจองกันเฉยๆ อย่างที่นี่มันใกล้ประตูผีใช่มั้ย ช่วง ร.2 คนตายเยอะๆเพราะห่าลง เขาก็เลยเอาศพมาทิ้งที่นี่ให้แร้งช่วยกำจัดศพ ส่วนตำนานวัดสุทัศน์นั่นน่าจะเกิดจากคนจินตนาการเงาเสาชิงช้าเป็นเงาเปรตตัวสูงนั่นแหละ” พอได้รับคำอธิบายทั้งหมดแล้วลูกทัวร์ของผมก็หายเกร็ง ผมนึกขำเพราะเห็นหน้าเข้มๆอย่างนั้นก็มีมุมที่กลัวสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย

               “ก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆแหละ” เหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังคิดว่าเขากลัว เลยพึมพำเบาๆคล้ายจะเถียง

               ระยะทางจากวัดสระเกศไปถึงวัดสุทัศน์ฯนั้นสั้นแค่ 1 กิโล ในรถเลยมีแต่เสียง GPS ที่นำทางเราไปยังวัด ที่นี่เราจอดรถกันตรงเลียบทางเท้าหน้าวัด ไม่ได้เข้าไปจอดด้านใน

               เมื่อเดินเข้าไปในวัดแล้วก็เหมือนตกลงอยู่อีกโลกหนึ่ง ตัวอาคารต่างๆภายในวัดสวยจนผมต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายตั้งแต่เดินเข้าไป สมาธิของผมจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพวิวจนลืมไปว่าวันนี้พาคนมาด้วย ไม่ได้มาคนเดียวอย่างที่ผ่านๆมา และนั่นก็ทำให้เขาตั้งค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ผมซะแล้ว

               “เออ ชวนคนเขามาด้วย แล้วตัวเองก็ลืมเขาเนอะ” เขาทำแก้มพองลมใส่ผม ผมเลยให้เขาไปทำตัวเป็นนายแบบที่ดี หลังจากถ่ายภาพวิวจนพอใจ ทั้งบริเวณพระอุโบสถ และวิหารคด ก่อนจะเปลี่ยนสถานที่ผมก็พาเขาเข้าไปในตัววิหารหลวงเพื่อกราบพระเป็นที่สุดท้าย รวมทั้งดูจิตรกรรมฝาผนังที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ

               “ว่าแต่คุณพาผมมาตระเวนไหว้พระแบบนี้ ไม่ให้ข้อมูลบ้างเหรอ” เขาหันมาถมผมตอนที่เราไหว้พระขอพรกันเสร็จแล้ว

               “ผมก็คนทั่วๆไปนี่แหละคุณ ไม่ได้มีความรู้เรื่องวัดเป็นพิเศษหรอก ที่มานี่ก็แค่คุ้นๆชื่อแล้วค้นในแผนที่ทั้งนั้นอ่ะ” ผมตอบเขาไปตามตรง

               “ไม่ตรงปกนี่นา เห็นชวนมาไหว้พระ นึกว่าจะรู้เรื่องวัดเยอะๆซะอีก” เขาพูดล้อๆ

               “ไม่ล่ะคุณ เอาจริงๆผมชอบถ่ายคนมากกว่าวิว ที่ตั้งใจไปถ่ายจริงๆมีแค่วัดเบญฯนั่นแหละ ครั้งก่อนที่ไปนะ อยู่ดีๆก็ อยากตามรอยหนังสือเรียนภาษาไทย เพราะในงานหนังสือรอบนั้นจัดธีมหนังสือเรียนเก่าพอดี คือนานๆทีผมจะมีอารมณ์ถ่ายรูปวิวนะ แต่ไปสายไงเลยถ่ายไปทางไหนก็เจอคน ก็เลยต้องไปแก้แค้นอ่ะ” ผมเล่าให้เขาฟัง เผลอใส่อารมณ์ไปเต็มที่ ก่อนจะถามเขากลับ “แล้วคุณอ่ะ ไปยืนเล่นเอ็มวีอะไรที่วัดเบญฯ”

               “นั่นเป็นที่แรกที่ผมมาเดทกับแฟน ไม่สิ...ตอนนี้ต้องเป็นแฟนเก่าแล้ว” เขาเล่าแบบไม่มองหน้าผม แต่มองขึ้นไปบนช่อฟ้าของวิหารอีกแล้ว “ตอนนั้นลงวิชาเลือกเกี่ยวกับกรุงเทพ แล้วก็ต้องเลือกที่ทำรายงาน แพร..เอ่อ...หมายถึงแฟนเก่าผม เขาเลือกวัดเบญ พูดเหมือนคุณนี่แหละ ว่าอยากมาตามรอยหนังสือเรียน แล้วก็มาเก็บข้อมูล ซึ่งสุดท้ายก็ได้แต่รูป ข้อมูลก็หาในเน็ตเอาอยู่ดี”

               “คุณคงรักคุณแพรมากเลยนะ” ผมถามพลางกดชัตเตอร์อีกครั้งเพราะแสงตกลงมาได้มุมพอดี

               “ผมว่าผมรักแพรไม่พอมากกว่า ผมรักแพรไม่พอที่จะทำทุกอย่างให้ดีตั้งแต่ตอนที่ยังคบกัน แล้วก็ได้แต่มาเสียใจทีหลัง”

               “แต่สำหรับผมนะ ไม่มีใครที่รักใครไม่พอหรอก ขึ้นชื่อว่าความรัก ผมว่ามันเหมือนเลขฐาน 2 นะ มีแต่ 1 กับ 0 รักก็คือ 1 ไม่รักก็คือ 0 ไม่มีระดับหรอก ที่รักกันต่อไม่ได้ก็อาจจะเหมือนเวลาที่ผมทำงานในแม็ค แล้วลืมเซฟเป็นไฟล์สำหรับวินโดว์ ส่งไปให้ บก. เปิดด้วยเครื่องวินโดว์แล้วเปิดไม่ได้ เครื่องรับมันอ่านไม่ได้ ไม่เข้าใจเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่ามันจะน้อย ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ชินการจัดหน้าแบบนี้เลยค่ะ ใครมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดหน้าบอกได้เลยนะคะ  :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2018 00:04:55 โดย magic-ca »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ธีมเรื่องน่าสนใจ..ไหว้พระเก้าวัด รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Nine temples but one love”
Author: magic-ca
Part 2


               “ตกลงนี่ปลอบหรือบ่นเรื่องงาน” เขาก้มหน้าลงมามองผมบ้างแล้ว แต่จะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้กำลังหัวเราะเหมือน สมน้ำหน้าผมอยู่

               “เออ ยอมรับก็ได้ บ่นงานนั่นแหละ เผลอทุกที แล้วก็โดนบ่นทุกทีด้วย จะให้ทำไงอ่ะ ไม่มีตังค์ซื้อคอมอีกเครื่องแล้ว ก็ ต้องทำในแม็คหมดอ่ะ ทั้งงานภาพ งานเขียน” ผมตอบเขาในขณะที่เดินออกจากตัววัดไปที่รถ

               “คุณเป็นนักเขียนเหรอ? แล้วก็เป็นช่างภาพด้วย?”

               “ใช่ ผมทำ 2 อย่าง แต่ก็ชอบงานเขียนมากกว่านิดนึง”

               “ทำไม?”

               “เพราะมันสื่อความคิดถึงคนได้ง่ายกว่ามั้ง มีส่วนที่ตรงไปตรงมา ในขณะที่รูปถ่ายมันอาศัยการตีความเยอะ บางทีคนมองก็เข้าใจไปคนละอย่างกับที่เราจะสื่อ” ผมนึกยังไงไม่รู้ถึงได้เล่าให้เขาฟัง ปกติผมไม่ค่อยได้มีโอกาสคุยเรื่องงานกับคนอื่นมากนัก พอมีคนถามก็เลยอยากเล่าขึ้นมาเสียเฉยๆ “แล้วคุณล่ะ ทำงานอะไร”

               “ผมเป็นวิศวกรโรงงาน อยู่ฝ่ายผลิต คอยควบคุมระบบอยู่ใน control room” เขาตอบหลังจากที่พาตัวเองขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว

               “มันคือห้องแบบ ควบคุมเครื่องจักร อะไรแบบนี้ป่ะ” ผมถามเขากลับพลางเปิดแผนที่ให้นำทางไปยังวัดต่อไป

               “ก็ประมาณนั้นแหละ บางทีก็ต้องคอยมาแก้ปัญหาในไลน์ เพราะระบบมันก็ไม่ได้เสถียรตลอดเวลาอย่างที่ควรจะเป็น ตามทฤษฎี บางทีพอครบรอบก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่าจะเปลี่ยน จะออกแบบระบบยังไงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” เขาขยายความเพิ่ม “แล้วนี่เราจะไปวัดไหนกันต่อ”

               “วัดบวรฯ ไปดูตำหนักของพระสังฆราชองค์ก่อน” ผมตอบพร้อมกับออกรถ จากตรงนี้ไป ขับผ่านเสาชิงช้า และ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเลี้ยวซ้ายตรงถนนพระสุเมรุก็จะถึงจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปเกือบๆ 2 กิโลเมตร

               เมื่อถึงที่ก็ต้องวนหาที่จอดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีคนออกพอดี ผมดีใจไม่น้อยที่ตัวเองขับรถคันเล็ก ถ้าเป็นกระบะคงหาที่ จอดยากกว่านี้ อย่างช่องที่จอดอยู่นี่ก็แคบพอสมควร พอเอารถเข้าไปจอได้เราก็แทบจะต้องเปิดหลังคาออกจากรถ

               มาถึงที่นี่ผมก็ยังคงทำตามธรรมเนียม คือเข้าไปไหว้พระประธานในอุโบสถ ก่อนจะเดินถ่ายรูปรอบๆ ที่ตระเวนไหว้พระ ในวันนี้ เอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้ขออะไรสักเท่าไหร่ แค่ขอให้ บก. ไม่โหดร้าย เดธไลน์เลื่อนขึ้น ผมคิดว่านั่นก็ดีในระดับหนึ่งแล้ว

               ผมยอมรับว่าครั้งนี้เป็นหนึ่งในการเที่ยววัดที่สบายใจมากครั้งหนึ่งของผม ในขณะที่ถ้ามากับครอบครัว ผมก็มักจะถูกกดดันให้ขอพรให้ได้เข้าทำงานในบริษัทผลิตสื่อใหญ่ๆ ให้เลิกทำงานฟรีแลนซ์ แล้วได้งานที่มั่นคงกว่า อีกทางหนึ่ง ถ้ามากับเพื่อนก็คงไม่วายโดนถามว่าเมื่อไหร่มึงจะมีแฟนสักที คนอื่นเขาเริ่มมีกันหมดแล้ว บางคนก็แต่งงานมีลูก มีเรื่องให้กังวลไปคนละแบบจนเริ่มรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก

               ...ยอมรับว่าบางทีก็เหงา...

                เมื่อถ่ายรูปไปคิดอะไรไปเพลินๆเรียบร้อยผมก็พาเขาเดินไปออกไปจากวัด ผ่านตรงบางลำพู ก่อนจะแวะร้านน้ำพริกที่แม่ชอบ กะว่าหลังสงกรานต์ที่รถไม่ติดแล้วจะหิ้วเข้าไปฝาก เอาไว้ให้แม่ทำกับข้าว

               “เห็นขับรถตลอด ไม่คิดว่าคราวนี้จะพาเดิน แถมยังแวะร้านน้ำพริกอีก” เขาพูดเหมือนไม่ชอบ แต่ก็เลือกซื้อของในร้านดูสนุกสนานดี

               “ก็ตรงนี้มันไม่มีที่จอดรถมั้ยล่ะ แถมอีกนิดเดียวก็เป็นวัดชนะสงครามแล้ว ไปไหว้ที่นั่น เผื่อชีวิตนี้จะได้ชนะอะไรกับเขาบ้าง”

               “อย่างชนะใจใครสักคน อย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนจะพูดลอยๆ แต่ดันส่งสายตาที่ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองมันก็จะมีประกายประหลาดที่ทำให้ผมต้องเดินเลี่ยงไปต่อแถวจ่ายเงิน แต่ก็แน่ล่ะ เขาต้องตามมาอยู่แล้ว

               “เออ ก็แล้วแต่จะขอนั่นแหละ” ผมรับเงินทอนจากพนักงานก่อนจะเดินออกมายืนนอกร้าน สูดหายใจเอากลิ่นควันเข้าปอดไปสองเฮือกเขาที่อยู่คิวถัดจากผมก็เดินออกมา

               นอกจากที่ร้านน้ำพริกแล้วผมก็ไม่มีธุระที่อื่นอีก จึงเดินมุ่งหน้าไปวัดชนะสงครามโดยไม่แวะที่ไหนอีก สำหรับวัดนี้ผมตั้งใจมาไหว้พระจริงๆ ไม่ได้คิดจะมาถ่ายรูปอะไรเท่าไหร่เพราะตัวอาคารไม่ได้มีการผสมผสานจนสวยแปลกตาอะไรนัก ต่าง  จากวัดอื่นๆที่ไปตอนเช้า เพราะที่นี่แม้จะสวย แต่ก็เป็นความงามในรูปแบบวัดที่เป็นทรงไทยๆ

               “ถ้าจำไม่ผิด เขาว่าที่นี่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด” คนข้างๆตัวผมเล่าขึ้นมา 

               “หืม เคยมาด้วยเหรอ” ในตาของเขามีประกายคล้ายนึกถึงวันวานที่สนุกสนาน ผมเลยอดถามไม่ได้ 

               “อือ มาปลุกเสกดินสอตอนจะแอดมิชชัน คิดถึงตอนนั้นก็ตลกดี ลูกผีลูกคนมาก เข้าได้ด้วยคะแนนอันดับเกือบท้ายๆ  เลย” เขาเล่าขำๆ “แต่เห็นแบบนี้ผมก็จบเกียรตินิยมนะครับ”

               “ตรงข้ามกับผมเลยแฮะ ผมนี่เข้าไปด้วยคะแนนค่อนไปทางสูง แต่ตอนจบนี่กลางๆมาก พ้น 2.5 มาได้นี่ก็แทบกราบ  ตัวเองแล้ว” ผมเองพอเขาเล่าก็นึกถึงความหลังเหมือนกัน อันที่จริงเกรดผมมันก็ไม่ได้แย่หรอก ส่วนมากก็ได้ B มี C ปนมาบ้างในวิชาเลขพื้นฐาน แต่ที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นสถิติ เพราะได้ F มารอบนึง เลยทำให้เกรดออกมาไม่สมกับคะแนนที่สอบเข้าได้

               หลังจากไหว้พระขอพรเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินกลับวัดบวรฯ ผ่านทางบางลำพูเหมือนเดิม แต่เนื่องจากอากาศร้อนมากผมเลยงอแงขอแวะร้านไอศครีมแถวนั้นก่อน เมื่อใช้สิทธิ์แลกซื้อของโทรศัพท์แล้ว เรา 2 คนก็ได้ไอติมออกมากันคนละโคน ของผมเป็นรสแอปเปิ้ลแครนเบอร์รีเปรี้ยวนำหวานตาม ส่วนของเขาเป็นรสช็อกโกแลตที่อัดแน่นไปด้วยถั่วชนิดต่างๆ

               “ว่าแต่เมื่อกี๊คุณขอพรอะไรไป” ผมถามเขาด้วยความเผลออยากรู้อยากเห็น จริงๆก็เสียมารยาทมากเพราะเพิ่งจะรู้จักกันวันแรก

               “ผมขอให้เรื่องขอย้ายแผนก กลับมาประจำสำนักงานใหญ่กรุงเทพได้รับการอนุมัติเร็วๆ” เขาตอบเสียเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ติดใจ หรือขุ่นเคืองในเรื่องที่ผมเสียมารยาท

               “บอกด้วยแฮะ ไม่กลัวที่เขาบอกว่าถ้าบอกที่ขอให้คนอื่นรู้แล้วจะไม่ได้ผลเหรอ” เมื่อได้ทีผมก็ยิ่งเผลอกวนเขาหนักเข้าไปอีก

               “รู้ก็ยังจะถาม กวนตีนเหมือนกันนะคุณน่ะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอก จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีผลกับผมแล้วแหละ ยังไงก็เลิกกับแพรไปแล้ว” เขากลับมาทำเสียงเศร้าอีกแล้ว

               “ผมขอโทษ” ผมได้แต่ขอโทษเขาก่อนที่เรา 2 คนจะกินไอติมแล้วเดินไปที่รถอย่างเงียบๆ บรรยากาศคล้ายจะกลับมาอึดอัดอีกครั้งทำให้ผมอยากจะตบปากตัวเองหลายๆที

               แต่สุดท้าย พอมาถึงรถ ผมก็เป็นฝ่ายที่ต้องเริ่มพูดก่อนอยู่ดีว่าเขาอยากไปไหน เพราะผมก็ชักจะคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ

               “ไปวัดพระแก้วมั้ยล่ะ” เขาเสนอขึ้นมา แต่เป็นชื่อวัดที่ผมไม่ค่อยชอบไปเท่าไหร่

               “ไม่อ่ะ ไม่ชอบ คนเยอะเกิน” ผมปฏิเสธ ส่วนเขาก็มองเผมเหมือนกับว่า แล้วจะถามทำไม แต่เขาก็ยอมเปลี่ยนชื่อวัดมาให้ผมใหม่อีกรอบ

               “งั้นไปฝั่งธนเลยละกัน วัดระฆังก่อนก็ได้ แล้วค่อยไล่ไปวัดอรุณฯ กับวัดกัลยาฯ รู้สึกว่าจะอยู่ใกล้ๆกันหมด” เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วผมเลยเริ่มกดแผนที่ แล้วขับตามไป

               “ทำไมคุณไม่ชอบวัดพระแก้ว ผมว่าน่าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเพียบเลย” เขาถามในขณะที่เรากำลังข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า

               “เรียกว่าฝังใจมากกว่า ตอนสัก 10 ขวบ ผมมาเที่ยวกับที่บ้าน พ่ออุ้มน้อง ส่วนผมที่โตหน่อยแล้วก็ต้องเดินเอง แต่ พอดีวันนั้นคนมันเยอะมาก ผมเดินไม่ทันพ่อกับแม่ ก็เลยหลงกัน พอขวัญเสียเริ่มร้องไห้ก็มีคนมาไล่ ก็ยิ่งตกใจ วิ่งไปไม่รู้ทิศรู้ทาง กระเป๋าก็ไม่มีเบอร์ผู้ปกครองเพราะปกติแล้วผมจะตามพ่อกับแม่ตลอด ไม่ค่อยแวะเล่นแล้วหายตัวเหมือนเด็กคนอื่น จน สุดท้ายมีคนพาไปส่งสถานีตำรวจ แต่ผมสติแตกไปแล้วเลยพูดไม่รู้เรื่อง จนต้องครบ 24 ชั่วโมง พ่อกับแม่ถึงมาแจ้งความว่าหายตัวไปถึงได้ประสานกัน สรุปผมอยู่คนละ สน. เขตวัดพระแก้วแล้วด้วย ตอนแรกถึงหากันไม่เจอ ตั้งแต่นั้นผมเลยไม่ชอบที่นั่น เท่าไหร่ รวมไปถึงที่ๆคนเยอะอื่นๆด้วย”

               “เด็กน้อย” เขาหัวเราะหึๆในคอ ทำให้บรรยากาศกลับมาผ่อนคลายอีกรอบ แม้ว่าผมจะทำแก้มป่องเพื่อแสดงความไม่ พอใจที่ถูกล้อก็ตาม

               “ตอนนั้นผมก็เด็กจริงๆมั้ยล่ะ 10 ขวบเองนะคุณ ผมไม่ใช่คนกรุงเทพด้วย พอหลงก็เลยกลัวอ่ะสิ ก่อนมาก็โดนขู่ด้วยว่าถ้าหลงจะมีคนจับไปตัดขาเป็นขอทานอ่ะ” ผมค้อนเขา ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “แล้วคุณเป็นคนกรุงเทพป่ะ หรือต่างจังหวัด”

               “ผมเป็นคนกรุงเทพนะ” คำตอบของเขาทำให้ผมประหลาดใจ กับตัวผมที่แทบจะเรียกว่าหนีออกจากบ้านมาเช่าห้อง อยู่กรุงเทพ เลยสงสัยว่าทำไมบางคนถึงยอมออกจากกรุงเทพเพื่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด

               “แล้วทำไมไปทำงานต่างจังหวัดอ่ะ”

               “ผมชอบลงไปหน้างานนะ อยากลงไปคุมแพลนท์ ซึ่งงานพวกนั้นก็อยู่ต่างจังหวัดหมดแหละ อีกอย่างที่บ้านผมพี่สาว ผมก็อยู่กรุงเทพ ก็เลยไม่ค่อยต้องเป็นห่วงเท่าไหร่”

               “ฟังดูผมเป็นลูกอกตัญญูไปเลยอ่ะ ผมออกมาอยู่กรุงเทพ ส่วนน้องก็เข้ากรุงเทพมาเรียน ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน” ผมเล่าในขณะที่ตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัด

               “แต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกันน่ะคุณ คำว่ากตัญญูก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ข้างๆตลอดเวลาที่ไหนล่ะ” เขาพูดเหมือนจะปลอบใจผมเสียอย่างนั้น

               เราวนหาที่จอดในตึกกันอยู่สัก จนกระทั่งมีคนออกพอดี จึงได้จอดแทนที่ ลงจากที่จอดรถ เดินฝั่งตรงข้ามกัน เยื้องไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะถึงเขตวัดจริงๆ

               “ไม่เห็นมีระฆังเยอะๆเลย ทำไมชื่อวัดระฆังวะ” ผมหันไปมองคนข้างๆที่เหมือนจะเจอกับเรื่องผิดคาดเมื่อเดินเข้ามาถึงข้างในแล้วไม่ได้เจอระฆังเรียงกันเยอะอย่างที่จินตนาการไว้

               “เดิมก็ไม่ได้ชื่อวัดระฆังมั้ยคุณ แค่เขาขุดเจอระฆังที่นี่ตอนที่ ร.1 ท่านบูรณะวัด เนื่องจากเสียงเพราะเอาระฆังนั้นไปไว้ที่วัดพระแก้ว แล้วท่านก็พระราชทานระฆังคืนให้ที่นี่แทนอีก 5 ลูก พร้อมชื่อใหม่เป็นวัดระฆังโฆสิตารามต่างหาก”

               “แล้วทำไมทีแบบนี้ดันรู้ ไหนว่าไม่ได้มีความรู้มากกว่าในแผนที่ไง” เขาขมวดคิ้วใส่เมื่อเห็นผมหัวเราะ

               “อันนี้ผมเคยโชว์โง่มาก่อนไง” ผมตอบเขาก่อนจะเดินนำเข้าไปในวัด ไปทางหอระฆังที่มีระฆังทั้ง 5 ใบแขวนอยู่ ถ่ายรูปพอเป็นพิธีแล้วจึงเดินไปพระอุโบสถเพื่อไหว้พระประธาน

               ไหว้พระเสร็จก็เหมือนเดิม กลับมาที่รถ แล้วก็ขับออกไปวัดต่อไป ผมคิดว่าจะไปวัดอรุณต่อ เพราะดูจากแผนที่แล้ว วัดอรุณจะอยู่ถัดไปอีกไม่ไกล

               “เลยไปวัดกัลยาณ์ดีกว่า สภาพแบบนี้ไม่มีที่จอดหรอก” คนข้างๆผมบอกเมื่อเห็นว่าผมเริ่มชะลอรถตรงแถวๆหน้าทางเข้าวัดอรุณที่มีปริมาณรถค่อนข้างหนาแน่น

               ดังนั้นผมจึงขับเลยไปอีกหน่อยก็เจอกับทางเข้าวัดกัลยาณ์ จ่ายเงินตรงทางเข้าก็ได้บัตรจอดรถแบบกระดาษบางๆมาใบนึง เลี้ยวไปตามการโบกของคนโบกก็ไปโผล่ตรงลานจอดรถกว้างๆริมแม่น้ำ

               เมื่อถอยเข้าซองเรียบร้อยผมกับเขาก็เดินเข้าไปตรงพระอุโบสถ ที่วัดนี้นอกจากจะเป็นแบบกึ่งไทยกึ่งจีนแล้ว  ตัวหนังสือตามป้ายหินก็มีภาษาจีนอยู่ด้วย

               ภายในพระอุโบสถที่นี่ ต่างจากที่อื่นตรงเสียง ที่ผ่านๆมาเราจะไม่ได้ยินเสียงดังแซ่กๆเป็นจังหวะแบบนี้ แต่ที่นี่มีเซียมซี ให้เสี่ยง ก็เลยมีเสียงที่ว่า และเสียงนั่นก็ดึงดูดให้ผมไปหยิบกระบอกสีแดงที่มีไม้เสี่ยงทางสีแดงสั้นบ้างยาวบ้างขึ้นมาหลังจากที่คนข้างๆวางลงแล้ว รวมทั้งเซ้งปวย หรือก็คือแท่งไม้คู่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูสีแดงที่ด้านหนึ่งนูนซึ่งวางอยู่ใกล้ๆกัน

               ผมเขย่ากระบอกเป็นจังหวะ ไม่นานก็มีไม้เบอร์ 30 หล่นออกมาจากกระบอก ผมยกเซ้งปวยขึ้นมา สอบถามผลกับองค์พระว่าเซียมซีที่ทายออกมาถูกต้องหรือไม่ ก่อนจะโยนไม้ลงพื้น ผลปรากฏว่าอันหนึ่งคว่ำอันหนึ่งหงาย ก็เป็นอันว่าคำทำนายนี้ถูกต้องแล้ว

               เสร็จแล้วผมก็ตั้งท่าจะลุก แต่คนข้างๆที่ผมไม่แน่ใจว่ามองด้วยสายตาสนใจมาตั้งแต่เมื่อไหรดึงแขนเสื้อผมไว้ ผมเลยต้องนั่งลงอีกครั้ง

               “ขอผมลองบ้าง สอนหน่อย” เขามอง แล้วก็ทำเสียงอ้อนๆ

               “ก็ตั้งจิตขอคำทำนายจากกระบอกเซียมซี ค่อยๆเขย่าจนกว่าจะมีไม้หล่นออกมา แล้วก็เอาเซ้งปวยขึ้นมา ถามว่าคำทำนายนี้เป็นยังไง คว่ำอันหงายอันก็แปลว่าใช้ได้” ผมอธิบายคร่าวๆก่อนส่งอุปกรณ์ให้เขาลอง จริงๆมันมีรายละเอียดมากว่านี้ แต่ปกติผมก็ทำประมาณนี้แหละ

               ผมมองดูเขาที่ค่อยๆเขย่ากระบอกแบบบรรจงมากๆ เขย่าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเพิ่มแรงขึ้นเมื่อจับจังหวะได้ และเข้าใจว่าถ้าเขย่าเบาเกินชาตินี้ก็เขย่าไม่เสร็จ จนในที่สุดไม้แรกก็ออกมา เป็นเบอร์ 15 แต่เมื่อทำนายด้วยเซ้งปวยมาปรากฏว่าคว่ำทั้งคู่

               ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมแพ้ ยังคงเสี่ยงทายต่อไป คราวนี้ออกเลข 9 แต่เมื่อถามผล ก็กลายเป็นว่าเซ้งปวยยังคงคว่ำทั้งคู่ เขาลองอีกครั้ง คราวนี้ได้ไม้เบอร์ 30 เหมือนผมเลย แต่เซ้งปวยกลับทำนายออกมาเป็นหงายทั้งคู่อีก เขาขมวดคิ้ว เหมือนว่าจะเริ่มหัวร้อน ก่อนที่จะลงมือเขย่ากระบอกอีกครั้ง ผมก็รั้งเขาไว้ เพราะเคยได้ยินมาว่า ไม่ควรทายเกิน 3 ครั้งใน 1 วัน

               “หยุดทำไมอ่ะคุณ ยังไม่ได้เลย” เขาเหวี่ยงใส่ผมเล็กน้อย จากตรงนี้ผมก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมานิดๆว่าเจ้าตัวเป็นคนที่ดูจะเกลียดความพ่ายแพ้อยู่ไม่น้อย

               “พอเถอะ เสี่ยง 3 ครั้งยังไม่ได้เนี่ย บางทีสวรรค์คงอยากบอกให้ลองเลือกด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งคำพูดของใครก็ได้นะ” ผมบอกเขาไปแบบนั้น ซึ่งก็ทำให้เขาชะงัก และยอมวางอุปกรณ์ในที่สุด

               “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ไปเอาคำทำนายของคุณเถอะ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือมาช่วยฉุดผม

               เราพากันเดินไปที่ตู้ใส่คำทำนายที่อยู่ติดผนังกึ่งกลางระหว่างประตูเข้าออก 2 ทาง ผมหยอดธนบัตร 20 บาทลงในกล่อง ก่อนจะหยิบใบคำทำนายหมายเลข 30 ขึ้นมาอ่าน

               “การเดินทางจะทำให้เจอความรักงั้นเหรอ นี่ถ้าเมื่อกี๊ตอนสุดท้าย ถ้าผมได้ผลจากไม้เสี่ยงทายเป็นใช่เนี่ย ไม่แปลว่าเราคู่กันเหรอ” เขายื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาจากทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดข้างหูทำให้ผมตกใจจนสะดุ้ง

               “เล่นบ้าอะไรเนี่ยคุณ” ผมเอามือทาบอก ก่อนจะหันไปเอ็ดเขาเบาๆ ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนที่หันไปสบตากันช่วงเสี้ยววินาที ใจที่สั่นมันไม่ได้มาจากความตกใจอย่างเดียว ดวงตาคมๆของเขาที่จ้องมองมาอย่างตั้งใจมันดึงดูดไม่น้อย

               เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ น้ำเสียงที่ดูสบายใจขึ้นมาทำให้ผมอมยิ้มไปด้วยกับบรรยากาศสบายๆ ที่ลดความเกร็งลงไปเยอะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Talk - มาต่อพาร์ท 2 แล้วค่า ขอบคุณสำหรับทุกยอด view และคอมเม้นต์นะคะ ตอนนี้ลองเว้นระยะบรรทัดระหว่างย่อหน้าค่ะ น่าจะอ่านง่ายขึ้นค่ะ และหลังจากนี้ ถ้าพบเจอสาขา 2 ในอีกเว็บไม่ต้องตกใจนะคะ คนเขียนลงเองค่ะ  :กอด1: :กอด1:


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อ่านง่ายขึ้นจริงๆด้วย.. :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
แง้ๆๆ ชอบอะไรแบบนี้ ไม่รู้จักกันแต่ได้เที่ยวด้วยกันแถมมีความเสี่ยงเซียมซีความหมายงี้อีก  :hao7:
แต่ในชีวิตจริงนี่ถ้าอยู่ดีๆมีคนแปลกหน้ามาชวนก็คงจะกลัวอะนะ 55555555555555555  :mew3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

รอลุ้นพาร์ทสาม

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องเกือบสั้น] Nine Temple but One Love
«ตอบ #7 เมื่อ04-02-2018 23:08:11 »

Nine temples but one love”
Author: magic-ca
Part 3


             ผมเดินนำไปทางลานจอดรถ เพิ่งจะสังเกตว่าแถวๆท่าเรีอมีคนมาตั้งโต๊ะโปรโมทโครงการอะไรบางอย่างอยู่ เสียงคนดังเซ็งแซ่ รวมกับเสียโทรโข่ง ผมก็อยากรู้ว่าเขามีอะไรกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากเดินเข้าไปในฝูงชน ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองกลัวฝูงชน เพราะตลอดเวลาแทบจะไม่ได้ทำอะไรที่ต้องพาตัวเข้าไปแทรกกับฝูงชนใหญ่ๆ กระทั่งไปเที่ยวกลางคืน นานๆทีก็ไปกับกลุ่มเพื่อนตัวเอง ไม่ได้ฝ่าคนเข้าไปเต้นอะไร

             ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ และกำลังจะหันหนีแล้วเดินไปที่รถ แต่มืออุ่นๆของคนที่มาด้วยกันก็คว้าเข้าที่ข้อมือ พาจูงฝ่ากลุ่มคนเข้าไปจนถึงโต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่

             “ต่อแถวรอเรือที่ท่าเลยนะคะ อีกครู่เดียวเรือก็มาแล้วค่ะ” เจ้าหน้าที่ส่งแผ่นพับมาให้ ผมรับเอาไว้แบบงงๆเพราะเมื่อครู่ยังไม่ทันได้ฟังว่าเขาคุยอะไรกับเจ้าหน้าที่

             เขายังคงจูงมือผมเอาไว้ พาเดินมาจนถึงแถวแล้วจึงได้ปล่อยมือผม แต่ก็เป็นผมเองนั่นแหละที่คว้ามือเขาเอาไว้อีกรอบ

             “นี่เรารอเรืออะไรกัน” ผมถามเขา แต่ก็ได้คำตอบเป็นแผ่นพับที่เขาชูขึ้นมา

             “Water Festival 2017” คือชื่อที่ปรากฏอยู่บนแผ่นพับ ในแผ่นพับบอกข้อมูลโดยสังเขปของ 4 วัดที่อยู่ในเส้นทางเดินเรือ แผนที่ รวมถึงเส้นทางเดินเรือของเรือสายต่างๆในโครงการ

             “เดี๋ยวแวะท่ายอดพิมานกินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วกันเนอะ จะบ่าย 2 แล้ว” เขาบอกกับผมซึ่งผมก็ว่าตามกันเพราะพอหายตกใจฝูงชนแล้วก็เริ่มหิวขึ้นมา

             รอครู่เดียวเรือก็เข้ามาเทียบท่า ที่ด้านข้างเรือมีสัญลักษณ์ติดไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นเรือของโครงการ ตรงท่าเรือวุ่นวายนิดหน่อย แต่คนก็เดินออกกันมาเป็นระเบียบดี มีคนคอยไล่ ไม่ให้ยืนค้างกันบนโป๊ะ เลยทำให้คนจำนวนมากไหลเข้าออกกันได้ดีพอสมควร

             เมื่อลงเรือได้แล้ว ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เรือก็เข้าเทียบท่าที่ท่ายอดพิมาน จริงๆข้างหลังตรงนี้เป็นปากคลองตลาด แต่เหมือนว่าตรงท่าเรือจะสร้างเป็น Community Mall ขึ้นมา

             พอขึ้นมาจากเรือแล้ว เขาคงเห็นผมดูงงๆ ก็พาเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ของมอลล์ แล้วมาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารทะเลแนวจีนๆร้านหนึ่ง พนักงานของร้านพาเข้าไปนั่งที่โต๊ะก่อนจะเอาเมนูมาให้พวกผมคนละเล่ม เขาเปิดดูแค่ผ่านๆก่อนจะสั่งอย่างรวดเร็ว

             “คุณจะเอาอะไร” เขาถามผมที่ยังคงพลิกเมนูอย่างงุนงง ราคาอาหารแต่ละอย่างค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกินไปเมื่อเทียบกับตำแหน่งที่ตั้งร้าน

             “ผมไม่เคยกินที่นี่ เอาแบบที่คุณกินแล้วกัน” ผมสั่งแบบสิ้นคิด

             “งั้นหมี่ผัดผักกระเฉดเพิ่มป็น 2 จานนะครับ” เขาหันไปบอกกับพนักงาน หลังจากนั้นพนักงานก็ทวนรายการอาหาร เป็นหมี่ผัดผักกระเฉดกุ้งจานเล็ก 2 จาน ผัดผักบุ้งฝอย และของหวานเป็นเผือกหิมะ ก่อนจะเดินไปทางครัว เหลือผมกับเขานั่งกัน 2 คน โต๊ะอื่นๆก็ไม่ค่อยมีคนนั่งเพราะเลยช่วงเที่ยงมาแล้ว

             “คุณดูคล่อง มากินบ่อยเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป

             “ก็ไม่บ่อยมาก ส่วนใหญ่ก็เวลาครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่เป็นสาขาแถวๆบ้านนะ” เขาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบ “จะว่าไปก็แปลก ทั้งที่บ้านผมชอบกินร้านนี้กัน ผมเองก็ชอบ แต่ตอนคบกับแพรไม่เคยพาไปกินเลยแฮะ”

             “เหรอ แต่ผมไม่เคยกินเลย เคยได้ยินชื่อเหมือนกัน แต่ไม่กล้ากิน กลัวแพง แต่ดูจากราคาเมื่อกี๊แล้ว ถ้านานๆทีนึกครึ้มอยากกินก็พอรับได้นะ” ผมจดชื่อร้านไว้ในใจ เผื่อวันไหนพ่อกับแม่เข้ามากรุงเทพจะพามากินบ้าง

             รอไม่นานอาหารที่สั่งก็ทยอยมาวางบนโต๊ะ เส้นหมี่ผัดหอมกลิ่นมันกุ้งมาแต่ไกล รสชาติออกไปทางเค็ม มีเผ็ดหน่อยๆ ให้รสกลมกล่อม ส่วนผัดผักบุ้งฝอยก็รสชาติแบบผัดผักบุ้งทั่วไป แค่ตัวผักบุ้งใช้ผักบุ้งไทยแทนผักบุ้งจีน ฉีกก้านเป็นเส้นฝอยๆทำให้กินง่าย และไม่เหนียว

             เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะต่างคนก็ต่างหิว และจัดการกับอาหารที่อยู่ในจานตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อของคาวใกล้หมด ของหวานที่เป็นเผือกหิมะก็มาวางพอดี

             เผือกชิ้นหนาทอดเคลือบน้ำตาลจนขาวเหมือนหิมะ โรยต้นหอมสีเขียวๆพอให้มีสีสัน เนื้อเผือกร่วนหอมเปลือกนอกพองหน่อยๆ ร้อนจนแทบลวกปาก ตัวน้ำตาลด้านนอกมีรสเค็มปะแล่มๆไม่เลี่ยนจนเกินไป

             “อันนี้โคตรอร่อยอ่ะคุณ โอยยย ปากพองหมดแล้วอ่ะ ร้อนมาก” ผมชอบเจ้าเผือกหิมะนี่มากเลย แต่ตอนแรกรีบร้อนไป เผือกร้อนเลยลวกปาก จนต้องรีบกินน้ำตาม แล้วเป่าปากรัวๆ เป็นความสุขบนความทรมานโดยแท้

             “ก็รีบกินไม่เป่าก่อน” เขาหัวเราะ “ไว้คราวหลังไปกินตรงศาลเจ้าพ่อเสือสิ อันนั้นต้นตำรับเลยนะ อร่อยเหมือนกัน”

             “อืมๆ เดี๋ยวจดลิสต์ไว้อีกอย่าง” ผมพยักหน้าก่อนจะรีบจำว่าร้านอยู่ตรงไหน

             เมื่อจัดการกับของหวานแล้วเราก็เรียกคิดเงิน ตอนแรกเขาจะจ่ายค่าผัดผักบุ้งกับเผือกหิมะให้ แต่ผมเองก็กินไปไม่น้อยก็เลยจะเป็นคนจ่าย เถียงกันอยู่พักนึงจนสุดท้ายแล้วกมาจบตรงที่หารครึ่งกัน

             จัดการอาหารเที่ยงเราก็เดินมารอเรือตรงท่าน้ำ เป้าหมายต่อไปคือท่าเตียน วัดโพธิ์ เพราะเป็นที่ที่เรือของโครงการจะเทียบท่าเป็นที่ถัดไป คราวนี้เรือเพิ่งออกไปแต่พวกเรามาไม่ทัน ทำให้ต้องรอกันอยู่ประมาณ 15 นาทีกว่าเรือลำต่อไปจะมา

             ตรงท่าเตียนก็คนเยอะเอาเรื่อง ทั้งไทย ทั้งต่างชาติมารอเรือข้ามฟากกันหนาแน่ ระหว่างทางเดินจากท่าเตียนไปวัดโพธิ์เขาไม่ปล่อยมือผมเลย อันที่จริงก็ตั้งแต่ฟังเรื่องที่ผมเป็นเด็กหลงอยู่วัดพระแก้วด้วยซ้ำ ทำเหมือนผมจะกลายเป็นเด็กหลงถ้าปล่อยให้เดินเอง ผมชักจะชอบความเอาใจใส่ของเขานะ แต่ไม่รู้ว่าเอาใจใส่คนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้หรือเปล่า ถึงทำให้ต้องเลิกกับแฟนเก่า

             ...แล้วผมจะไปคิดเรื่องนั้นทำไมกันนะ...

             ผมได้แต่โทษอาชีพนักเขียนของตัวเองที่ทำให้อยากรู้ และคาดเดาเรื่องชาวบ้านไปหมด ทำเหมือนจะเก็บข้อมูลไปเขียนอะไรสักอย่าง ทั้งที่จริงความรู้สึกมันไม่ได้เป็นแค่ความสงสัยธรรมดา มันผสมความน้อยใจอะไรก็ไม่รู้เข้าไปด้วยทั้งที่ไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย ทั้งที่รู้จักกันแค่ไม่ครบวันดีด้วยซ้ำ

             “ร้อนเหรอ เงียบเชียว ซื้อน้ำกินก่อนมั้ย” เขาถามเมื่อเห็นผมเริ่มขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

             “เปล่าหรอก” ผมตอบเขาไปสั้นๆ แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

             เราเดินกันมาไม่ไกลก็เจอกับทางเข้าวัดโพธิ์ เมื่อเข้าไปในเขตวัดก็จะเจอกับวิหารพระพุทธไสยาสน์ก่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจังหวะหรืออะไร ตอนนี้ที่วิหารคนไม่เยอะมากกำลังน่าเดินเข้าไป ตรงริมกำแพงมีบาตรใส่เหรียญซึ่งบรรดาคนที่เข้ามาไหว้พระในวิหารหลังจากไหว้พระเสร็จก็จะเดินรอบตัววิหารพร้อมกับใส่เหรียญลงในบาตรไปด้วย

             เสียงเหรียญกระทบกันในบาตรทำให้เรามองหน้ากัน โดยไม่ต้องพูดอะไรเราก็เดินไปหยอดธนบัตร 20 บาทลงในกล่องรับปัจจัย และหยิบขันสีเงินที่บรรจุเหรียญสตางค์หลายเหรียญขึ้นมา

             แน่นอนว่าเราก็เดินหยอดเหรียญที่อยู่ในมือกันไปเรื่อยๆ สำหรับผม สิ่งหนึ่งที่ถ้าทำได้แล้วผมจะดีใจมากคือการหยอดเหรียญในปริมาณใกล้ๆกันในทุกๆบาตร แล้วเหรียญหมดในบาตรสุดท้ายพอดี คราวนี้เหมือนจังหวะจะดี เพราะผมทำได้ โดยหยอดลงไปประมาณบาตรละ 2 - 3 เหรียญ

             “ก่อนเข้ามายังขมวดคิ้ว ไหงเดินออกมายิ้มแป้นได้ล่ะคุณเนี่ย เดาใจยากชะมัด” เขาหันมาทำหน้างงใส่ผม แต่ผมคงไม่บอกเขาหรอกว่าตอนหยอดเหรียญแอบเล่นเป็นเด็กแบบเงียบๆอยู่

             เราพากันเดินเข้าไปในอีกส่วนของวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ รวมถึงมีรูปปั้นฤๅษีดัดตนอยู่ เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆฤๅษีตนหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหยุดผมที่ทำท่าจะเดินตามไป

             “ถ่ายรูปให้ผมหน่อย จะเลียนแบบรูปปั้น” เขาบอกกับผม เมื่อผมหยิบกล้องขึ้นมา เขาก็จัดแจงท่าทางของตัวเองให้เหมือนกับในรูปปั้นที่สุด ต้องนั่งลงไปกับพื้นก็นั่งแบบไม่กลัวเปื้อนสักนิด แถมยังเก๊กหน้าแปลกๆเหมือนรูปปั้นด้วย อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ที่เห็นเขาตัวอ่อนจนทำท่าตามได้ แต่ความตลกมีมากกว่า เลยขำจนมือสั่นแทบกดชัตเตอร์ไม่ได้

             “ขำอะไรนักหนาเนี่ยคุณ แค่เลียนแบบท่าเฉยๆเอง ว่าแต่ใช้กล้องคุณถ่ายแล้วผมจะเอารูปยังไงล่ะเนี่ย” เขาค้อนใส่ผมวงโตก่อนจะ เกาท้ายทอยแบบคิดไม่ออก

             “ถ้าส่งทางเฟสคุณจะว่าอะไรมั้ยล่ะ ยังไงผมก็จะขอเอารูปคุณลงเพจอยู่แล้ว ถ้าคุณให้เอาลง ผมก็ต้องขอเฟสคุณเพื่อจะแท็กไปอยู่แล้ว” ผมหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อหยุดขำ ก่อนจะบอกเขา

             “งั้นก็ทางเฟสบุ๊คละกัน คุณเฟสอะไรล่ะ เดี๋ยวผมแอดไป” เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าเพิ่มเพื่อน ก่อนจะส่งให้ผม

             Lay Sakulraksa ผมพิมพ์หาชื่อตัวเองก่อนจะกดแอด น่าแปลกใจไม่น้อยที่เขามีเพื่อนร่วนกันกับผมหลายคนพอสมควร ผมส่งมือถือคืนให้เขา ก่อนจะหยิบมือถือตัวเองมากดรับแอดคนที่ชื่อว่า Meka Payak ผมเห็นชื่อเฟสเขาแล้วก็รู้สึกว่าคนชื่อยาวนี่ก็ดี แยกชื่อออกเป็น 2 ท่อนก็ไม่โดนรีพอร์ท

             “แล้วนี่คุณจะเข้าไปนวดมั้ย” ผมถามเขาที่กำลังเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

             “ไม่อ่ะ แล้วคุณล่ะ ผมรอได้นะ”

             “ไม่นวดเหมือนกัน ไปวัดอรุณต่ออีกที่ก็ครบ 9 วัดแล้ว ไปเก็บให้ครบก่อนค่ำเถอะ เกือบบ่าย 4 แล้ว” ผมดูนาฬิกาแล้วก็ตัดสินใจไม่อยู่ต่อ

             เราเดินไปต่อคิวรอเรือที่ท่าเตียนเหมือนเดิม คิวยาวมาจนถึงวินมอเตอร์ไซค์หน้าทางเข้าวัด ทำให้ต้องรอเรือ 2 รอบถึงจะได้ไป

             ตอนขึ้นท่าที่วัดอรุณฯ ผมสะดุดเล็กน้อย แต่เขาก็ช่วยดึงไม่ให้ขาเข้าไปติดระหว่างตัวเรือกับโป๊ะ เขายังคงเดินจับมือผมไว้ตอนที่ต้องผ่านตรงที่คนเยอะ

             ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้พระปรางค์ปิดบูรณะ นั่งร้านและผ้าใบปิดคลุมตัวพระปรางค์จนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นทำให้รู้สึกผิดหวังไม่น้อย เพราะพระปรางค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ และเครื่องเบญจรงค์ถือเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้เลยก็ว่าได้

             “เสียดายแฮะ พระปรางค์ปิด” ผมพึมพำขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นสภาพดังกล่าว

             “ไม่เป็นไรหรอกคุณ ไปไหว้พระประธานกันเถอะ ส่วนพระปรางค์เอาไว้เขาเปิดแล้วค่อยมาแก้แค้นทีหลังก็ได้น่า
 
             เมื่อเขาบอกอย่างนั้นผมก็ว่าตามกัน ถ่ายรูปพระปรางค์ที่ถูกปิดบูรณะเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย และเดินไปที่พระอุโบสถ เข้าไปกราบพระขอพรเรียบร้อยก็ออกมารอเรือที่ท่าเรือ คราวนี้ไม่ต้องรอเพราะเรือเข้ามาเทียบท่าพอดี

             จนสุดท้ายเรือก็กลับมาเทียบท่าที่วัดกัลยาฯในเวลาประมาณเกือบๆจะบ่าย 4 โมง ผมกับเขาเดินมาที่รถด้วยกัน โดยไม่มีสัญญาณ ผมกับเขาก็ถามขึ้นมาพร้อมกัน

             “คุณจะให้ผมไปส่งตรงไหน/จะไปไหนกันต่อมั้ย” ในขณะที่เขาถามผมว่าจะให้ไปส่งที่ไหน แต่เขาถามเหมือนอยากจะไปกับผมต่อเสียอย่างนั้น เมื่อมองลงไปที่แผ่นพับในมือ ผมก็เลยถามเขาไปอีก

             “งั้นไปเอเชียทีคมั้ยล่ะ”

             “เอาสิ ไปเดินเล่น แล้วก็กินข้าวเย็นกัน” เขาตอบรับคำชวน “แล้วเราจะไปกันยังไง ไปเรือเหมือนเดิมมั้ย”

             “ไม่ล่ะ เอารถไปดีกว่า ในใบปลิวบอกเรือรอบเย็นไม่กลับมาจอดที่นี่แล้ว”

             แล้วจากนั้นผมก็เปิดแผนที่ กดนำทางไปยังเอเชียทีคที่ผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ยังไม่มีข่าวว่าจะสร้างชิงช้าสวรรค์เลยด้วยซ้ำ ที่จริงผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่นั่นเท่าไหร่ เพราะในตัวโกดังค่อนข้างร้อนอบอ้าวทั้งที่อยู่ติดริมแม่น้ำแท้ๆ แต่ที่จะไปคราวนี้เพราะอยากไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ล้วนๆ

             “นึกยังไงจะไปกับผมต่อเนี่ย” ผมถามเขาในขณะที่มือนึงก็เปิดเพลงในรถเพื่อสร้างบรรยากาศสบายๆเพราะพอออกมาได้สักพักรถก็ชักจะติดขึ้นมา

             “ก็ไม่ยังไง เพิ่งบ่าย 4 เอง ไหนๆได้กลับมาเที่ยวกรุงเทพทั้งทีก็เอาให้คุ้มหน่อย” อันที่จริงผมก็เข้าใจเหตุผลเขานะ เพราะตอนที่ถามเขาว่าจะให้ไปส่งที่ไหนก็ใจหายเหมือนกัน

             ระยะทางจากวัดกัลยาณ์ ไปจนถึงเอเชียทีคอยู่ที่ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หมาย ถือว่ารถติดน้อยกว่าที่คาดไว้พอสมควร เมื่อมาถึงที่จอดรถไม่ได้หายากมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่ามาถึงเร็ว

             เมื่อลงจากรถเราก็เดินตัดผ่านโกดังต่างๆเพื่อไปยังฝั่งริมน้ำก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ระหว่างทางไม่วายได้ของกินมาหลายอย่าง ในนั้นเป็นขงผมแค่อย่างเดียวคืออิตเลี่ยนโซดาหวานๆซ่าๆให้คลายเหนื่อยจากการขับรถวนไปมา ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นทอด หมึกย่างหอมๆ หรือกระทั่งเคบับ

             “จะไม่กินอะไรก่อนจริงๆเหรอ ขับรถมาทั้งวัน แถมยังต้องฝ่าคนอีก” เขาถามพร้อมกับยื่นไม้เสียบลูกชิ้นทอดมาให้ลูกนึง

             “ไม่ล่ะ ขอกินน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวไปกินข้าวทีเดียวเลยดีกว่า” ผมยกน้ำหวานขึ้นดูดอึกใหญ่ เวลาเหนื่อยๆจะมีอะไรดีเท่ากับน้ำหวานได้อีก

              พอดูดน้ำจนเป็นที่พอใจ ผมก็ไล่เขาไปยืนริมน้ำพร้อมกับถุงของกินทั้งหมด เพราะตั้งใจจะถ่ายแบบธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งท่าอะไรมาก บางรูปผมก็ให้เขากินลุกชิ้นบ้าง หมึกย่างบ้าง ถ่ายจนพระอาทิตย์ตก ไม่มีแสงแล้วจึงผละจากริมน้ำไปทางชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆกับลานจอดรถ ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยให้ค่ำกว่านี้คนจะเริ่มเยอะ

             เมื่อซื้อบัตรขึ้นชิงช้าสวรรค์แล้วเราก็มายืนต่อแถวรอ คนเริ่มหนาตาขึ้นทุกที เวทีที่อยู่ใกล้ๆกันก็เริ่มทดสอบเสียงเตรียมการแสดงที่จะเริ่มในอีกไม่ถึง 1 ชั่วโมงข้างหน้า รออยู่พักใหญ่เราก็ได้เข้าไปนั่งในชิงช้าสมใจ

             ชิงช้าสวรรค์หมุนอย่างช้าๆ แสงไฟค่อยๆทยอยติดเพราะเริ่มมืดแล้ว บรรยากาศกรุงเทพจากมุมมองที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย คนที่มาด้วยกันกับผมก็ดูจะชอบบรรยากาศนี้เหมือนกัน สายตาจ้องมองออกไปข้างนอกเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ แต่ก็แฝงความเศร้านิดๆจนต้องถ่ายเก็บไว้หลายรูป

             “ถ่ายรูปอยู่ได้ ดูวิวให้คุ้มเงินที่เสียไปหน่อยเถอะ” เขาแกล้งเอามือมาบังกล้องให้ผมหยุดถ่ายรูป ผมก็หยุดถ่ายแล้วเก็บกล้องใส่กระเป๋า

             “เสร็จแล้วแหละ” ผมแอบเถียงเขาเบาๆ แล้วหันไปดูวิวเช่นกัน บรรยากาศเงียบๆทำให้ต่างคนต่างก็เริ่มจะเขินขึ้นมาหน่อยๆ

             “นี่คุณ ถ้าสมมติว่านานๆทีผม จะทักไปบ้าง คุยกันบ้าง หรือออกมาหาของกินอร่อยๆ คุณจะโอเคใช่มั้ย” เขาถามผมตอนที่ชิงช้าสวรรค์ใกล้จะครบรอบเต็มที

             “ครั้งหน้าพาผมไปร้านเผือกหิมะตรงศาลเจ้าพ่อเสือด้วยแล้วกัน อย่าให้นานจนลืมล่ะ” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบเขาในตอนที่ชิงช้าสวรรค์ลงมาจนถึงข้างล่าง และประตูเปิดพอดี

             ผมวิ่งฝ่าฝูงชนไปที่รถ ลืมไปหมดแล้วว่ากำลังเริ่มหิว ผมรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าชอบหรือยัง แต่ผมก็ดีใจนะที่เขายอมเปิดใจ ให้ผมได้ก้าวเข้าไปหาเขา มากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง

Fin

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Talk - จบลงแล้วในส่วนของเลย์ค่ะ สำหรับท้ายตอนนี้ ทุกคนอาจจะผิดหวังนิดหน่อย เพราะนี่มันยังไม่ได้เป็นแฟนกัน หรือกระทั่งความรักเลยค่ะ แต่ในส่วนของคนเขียน เราเชื่อว่าคงไม่มีใครตกหลุมรักคนที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกได้ภายในวันเดียวหรอกค่ะ ทุกอย่างต้องอาศัยระยะเวลา และนี่ก็เป็นเรื่องราวของจุดเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะนำพาไปสู่ความรักอันสวยงาม และมั่นคงในอนาคตต่อไปนะคะ

ในส่วนของหลังจากนี้ ไม่รู้จะมีใครดีใจกับข่าวนี้มั้ย แต่คงแจ้งไว้ก่อนเพราะเริ่มเขียนไปแล้ว คือ Nine Temples but One Love: Another Side ค่ะ ซึ่งเนื้อเรื่องในส่วนนี้ก็จะเป็นแบบเดียวกันกับเรื่องหลักทั้งหมดค่ะ เพียงแต่ในส่วนของการบรรยายจะเป็นมุมของเมฆา ฉะนั้นแล้วมันก็จะสั้นกว่าเพราะตัดบางส่วนออกไม่ให้ซ้ำซ้อนจนเกินไปค่ะ ยังเขียนไม่เสร็จ แต่จากที่ดูแล้วน่าจะมีประมาณ 2 ส่วน ส่วนละประมาณ 5 - 6 หน้าค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามทั้งผู้ที่เข้ามาอ่านแต่ไม่ได้คอมเม้น และคอมเม้นที่มอบกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1: :กอด1:

ป.ล. หลังจบเรื่องส่วน Another Side อาจจะเอาลิงก์ข้อมูลของวัดต่างๆ และเขียนเชิงอรรถเกี่ยวกับข้อมูลปลีกย่อยภายในเรื่องนะคะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รออ่านพาร์ทพี่เมฆ..ขอบคุณครัช  :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจ รออ่านต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รออ่านของเมฆาต่อนะคะ :L1:

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“Nine temples but one love: Another Side”
Author: magic-ca
Part 1


             เช้าวันนี้ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีหินถ่วงอยู่ในใจ ความหนักหน่วงทำให้ผมขยับตัวลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างยากลำบาก อาบน้ำ แต่งตัวอย่างง่ายๆด้วยเสื้อยืดสีดำที่ใส่มาตั้งแต่ตอนสมัยเรียน สมัยที่ยังเป็นพี่ว้าก คอเสื้อเริ่มจะย้วยหน่อยๆแต่นั่นไม่สำคัญเท่าไหร่ กางเกงก็เป็นกางเกงยีนฟอกสีฟ้าซีดที่ใส่ประจำเวลาจะออกไปไหนแบบไม่เป็นทางการ

             ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยผมก็ออกจากห้องนอนที่ตั้งอยู่ชั้น 2 ของบ้าน เพราะไม่ได้บอกใครไว้ก่อนว่าจะกลับบ้าน ทุกคนเลยออกไปเที่ยวกันหมดแล้ว จริงๆก็เป็นที่ตัวผมเอง ที่พลาดเพราะเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้

             “เราเลิกกันเถอะ เมฆไม่ได้อยู่กรุงเทพ ส่วนเราก็จะไปอังกฤษ มันห่างกันเกินไปจนเราไม่รู้สึกอะไรแล้วอ่ะ”

             แพรพูดกับผมแบบนั้น ทั้งที่ผมตั้งใจจะชวนแพรไปกินข้าว เที่ยวให้ทั่วกรุงเทพอย่างที่ช่วงวันอื่นๆทำไม่ได้เพราะรถติด แต่มันก็กลายเป็นแค่แผนที่กลายเป็นจริงไม่ได้ เพราะใครอีกคนไม่อยู่ และผมก็ไม่ได้รั้งเธอเอาไว้

             ผมหยิบแค่กระเป๋าเงิน กุญแจบ้าน และโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะค่อยๆเดินออกจากบ้าน บ้านของผมเป็นบ้านจัดสรรที่อยู่แทบจะกลางเมือง เป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นที่อยู่มามากกว่า 20 ปี มันเคยไกลเมือง แต่รถไฟฟ้าก็เข้ามาทำให้กลายเป็นเมืองที่มีราคาที่ดินสูงลิบลิ่ว

             เดินไปไม่นานก็เจอกับถนนใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ถนนโล่งกว่าที่เคย ผมเลือกที่จะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า เมื่อผมมาถึงสถานี รถไฟขบวนแรกก็เข้าเทียบชานชาลา ผมนั่งไปลงสถานีหมอชิต ก่อนจะต่อรถเมล์สาย 5 ที่รออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง

             ผมลงรถที่วัดเบญจมบพิตร ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจว่าอะไรที่สั่งให้ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้มาอีกเลย นับจากครั้งแรกที่มากับแพร

             ผมเดินเข้าไปในวัดที่ยังไม่มีคนอย่างช้าๆ เลยผ่านแม่ค้าขายดอกไม้ธูปเทียน เดินเข้าไปในพระอุโบสถ กราบพระเรียบร้อยจึงเดินไปด้านหลังที่มีระเบียงล้อมรอบลานกว้าง  ผมมองย้อนแสงแดดขึ้นไปด้านบน คิดถึงตอนที่มายืนแหงนหน้าถ่ายรูปช่อฟ้าของอุโบสถที่เป็นหินอ่อนจากอิตาลี ถ่ายเอาไปอ้างอิงใส่รายงาน แต่รูปที่ถ่ายไปเป็นร้อยๆก็ใช้ได้อยู่แค่ไม่ถึง 10 รูป

             “นี่คุณ...คุณครับ เฮ้...คุณ” เสียงของใครคนหนึ่งเรียกผม จากท่าทางเขาคงแทบจะตะโกนใส่ผมอยู่แล้ว แต่คงตะโกนไม่ได้เพราะเกรงใจความสงบของวัด
 
             เขาเรียกผมก่อนจะเอารูปที่เขาถ่ายให้ผมดู เป็นรูปผมที่ยืนแหงนหน้ามองพระอุโบสถ แต่สายตาก็เหมือนไม่ได้อยู่ ณ ปัจจุบัน แสงสีทองของดวงอาทิตย์ส่องลงมาทำให้ภาพดูกึ่งจริงกึ่งฝัน เขาเอาให้ดูเพื่อที่จะบอกว่าขอถ่ายรูป แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตั้งแต่สมัยเรียนก็มีคนถ่ายมาเยอะแล้ว ทั้งขอให้ไปถ่ายเป็นอัลบั้ม ขอถ่ายรูปคู่ หรือกระทั่งแอบถ่ายไปเฉยๆ เห็นอีกทีรูปก็อยู่บนโซเชียลเน็ตเวิร์กไปแล้ว

             ผมยืนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจอะไรอีก ในความคิดเต็มไปด้วยภาพความทรงจำเก่าๆ มันไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราว ออกมาเป็นภาพๆคล้ายรูปถ่ายเสียมากกว่า

             “ถ้าคุณไม่มีโปรแกรมอะไร สนใจไปไหว้พระ 9 วัดกับผมมั้ยครับ” เขาคนเดิม คนเดียวกับที่ถ่ายรูปผมอยู่เมื่อครู่เอ่ยชวน และนั่นทำให้ผมแปลกใจ คนดีๆที่ไหนจะชวนคนแปลกหน้าไปเที่ยว

             “นึกยังไงชวนคนแปลกหน้า ไม่กลัวผมขโมยของคุณ หรือไม่คิดว่าผมจะกลัวคุณบ้างหรือไง” ผมถามเขา ตั้งใจจะกวนประสาทไปอย่างนั้น แต่ผมชักสนุก ที่เห็นตาโตๆคู่นั้นเริ่มสั่นเหมือนเพิ่งคิดออกว่ามันประหลาดมากที่ชวนคนแปลกหน้าไปเที่ยว

             “ไม่รู้สิ แค่เห็นหน้าคุณดูหมองๆ ช่วงนี้อาจจะเจออะไรหนักๆ เลยจะชวนไปทำบุญ เพราะผมเองก็ว่าง ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน” เขาอธิบายเร็วๆจนลิ้นแทบจะพันกัน มือก็เกาท้ายทอยที่มีหางม้าสีน้ำตาลไหม้แกว่งอยู่แก้เขิน

             “พาไปทำบุญล้างซวยว่างั้น งั้นผมไปด้วยแล้วกัน ถ้าโดนคุณรูดทรัพย์ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป” ผมตกลงไปกับเขา เพราะว่าง หรืออะไรสักอย่างดลใจก็ไม่รู้

             เขาพาผมไปที่รถเต่าคลาสสิกสีเหลืองสดใสของเขา ผมค่อนข้างชอบรถรุ่นนี้ทีเดียว แต่ปกติผมไม่ใช้รถยนต์เพราะที่หอพักหาที่จอดยาก จึงใช้แค่บิ๊กไบค์เพื่อเดินทางไปทำงาน ส่วนที่กรุงเทพก็ใช้รถสาธารณะเอา

             ดูเหมือนเขาคงจะเหงามั้ง ถึงได้ชวนคนแปลกหน้าไปเที่ยวทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีแพลนจะเที่ยว แถมยังให้เหตุผลว่าเบื่อแพลนเดิมที่ตั้งเอาไว้

             “ผมชื่อเลย์นะ คุณชื่ออะไร” เขาถามขึ้นมาเมื่อรถเริ่มจะเงียบเกินไป

             “ผมชื่อเมฆา” ส่วนผมก็นึกยังไงไม่รู้บอกชื่อเล่นจริงๆของตัวเองไป ปกติผมจะบอกคนอื่นว่าชื่อเมฆ เพราะถ้าบอกชื่อเมฆา ก็มักจะถูกย่อเป็น เม อยู่บ่อยๆ ตอนเด็กๆผมรู้สึกว่ามันฟังดูเหมือนชื่อผู้หญิง เพราะในห้องก็มีเพื่อนผู้หญิงชื่อเมอยู่แล้วตั้ง 2 คน ผมเลยเปลี่ยนตัวเองเป็นเมฆมานับตั้งแต่วันนั้น

             “นี่ชื่อเล่นเหรอ” เลย์ขมวดคิ้วใส่ผมเมื่อไม่แน่ใจว่าที่ผมบอกไปนั่นคือชื่อจริงหรือชื่อเล่น

             “นี่ชื่อเล่นแล้ว ชื่อจริงผมชื่อเมฆาพยัคฆ์” ผมย้ำกับเลย์อีกครั้ง

             “ชื่อเพราะมาก นิยายมาก” เลย์ทำตาโตเมื่อรู้ชื่อจริงของผม คิดอย่ในใจว่าคงเป็นประเภทเดียวกับแม่ผมแน่ๆที่อินกับชื่อสวยๆเพราะๆ อย่างพี่สาวผมเองก็ชื่อศศินภา ชื่อผมก็ถูกตั้งให้คล้องจองกัน โดยคิดถึงความหมายที่เหมาะกับเด็กผู้ชาย

             “แม่ผมชอบอ่านนิยาย เลยตั้งชื่อแนวๆนี้ให้ลูกๆ” ผมเล่าให้เลย์ฟังเมื่อเห็นเขาทำหน้าอยากรู้อยากเห็น แล้วยังแซ็วเขาซ้ำ “แล้วชื่อคุณนี่ หมายถึงขนมห่อ”

             “อือ เลย์นั่นแหละ น้องสาวผมชื่อเทสโต” ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกยังคิดว่าชื่อเลย์ที่หมายถึงเอนหลัง พักผ่อน ซึ่งพอผมทำหน้าอึ้งๆ เขาก็ขยายความต่อ “ไม่ได้ล้อเล่น แม่ผมชอบกินเทสโต้ ไอ้ห่อสีชมพูที่เปรี้ยวๆน่ะ ส่วนพ่อผมชอบกินเลย์รสกะเพรากรอบ ตอนมีผมพ่อกับแม่เป่ายิงฉุบกัน พ่อชนะผมเลยชื่อเลย์ พอมีน้องอีกคนเลยให้ชื่อเทสโตแทน”

             “ชื่อคุณดูตั้งง่าย แต่ฟังดูอบอุ่นดีนะ ของชอบของพ่อกับแม่ เป็นลูกที่พ่อกับแม่รัก” ผมยิ้มบางๆให้เลย์ ฟังจากที่เล่าผมคิดว่าครอบครัวเขาต้องเป็นครอบครัวที่มีสีสัน คนละแบบกับครอบครัวผมที่ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ

             พอเลย์เล่าจบเราก็มาถึงภูเขาทองพอดี ขับวนอยู่ 2 รอบจึงจะได้ที่จอด โชคดีไม่น้อยที่อยู่ไม่ห่างจากทางขึ้นมากนักจึงไม่ต้องเสียเวลาเดินไกล

             เลย์ให้ผมเป็นนายแบบจำเป็นระหว่างทางที่เดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่บนภูเขาทอง ต้องยอมรับว่าเขาเลือกมุมถ่ายได้ดีทีเดียว แม้จะไม่ได้ใช้กล้องตัวใหญ่ แต่ภาพที่ได้มาก็ดูดี และถ้าผมมองไม่ผิด ผมว่ามันมีเอกลักษณ์บางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้น

             หลังจากไหว้พระ และถ่ายรูปเสร็จเราก็ลงมาจากภูเขาทอง ที่ผมก็เพิ่งรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัดสระเกศฯ ซึ่งที่ต่อไปที่เราจะไปกันคือวัดสุทัศน์ฯ ผมตกใจนิดหน่อยที่ได้ยินวลีที่ว่า แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์  แต่เมื่อฟังเหตุผมก็เข้าใจได้ และคลายกังวลลง

             ...เห็นเรียนวิทย์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติสักหน่อยนี่ครับ...

             เมื่อมาถึงวัดสุทัศน์เลย์ก็เริ่มหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรอบๆบริเวณ ถ่ายวิวบ้าง ถ่ายครอบครัวที่มากันพ่อ แม่ ลูกบ้าง และนั่นทำให้ผมแอบสังเกตเขาอยู่เงียบๆ

             เลย์เป็นคนสวย ใช้คำนี้คงไม่ผิดนัก รูปร่างของเขาไม่ได้สูงใหญ่ แต่ไม่ได้ถึงกับตัวเล็กแบบเด็กสาว โครงหน้าเรียวที่มีแก้มหน่อยๆ ผิวใสๆรวมกับตาโตๆ จมูกเชิดรั้นนิดๆ ริมฝีปากค่อนข้างบาง รวมกับเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยาวจนเกือบถึงกลางหลังทำให้เจ้าตัวดูเป็นคนสวยแบบที่มองเป็นชายก็ได้ หรือเป็นหญิงก็ไม่ขัดตา แบบที่พี่สาวผมชอบเรียกว่า สวยแบบยูนิเซ็กซ์
 
             “เออ ชวนคนเขามาด้วย แล้วตัวเองก็ลืมเขาเนอะ” ผมแกล้งตัดพ้อเลย์เล็กน้อย แสร้งอมลมเข้าไปในแก้ม ซึ่งเป็นหน้าที่ไม่ว่าเพื่อนคนไหนก็บอกว่าน่าถีบมากกว่าน่ารัก

             เมื่อเห็นอย่างนั้นเลย์ก็ส่ายหน้าเบาๆ ทำท่าเหมือนเหนื่อยใจ แต่อมยิ้มไว้จนแก้มแทบแตก ก่อนจะจัดท่าให้ผมไปยืนตรงจุดนั้นจุดนี้เพื่อถ่ายรูป จากนั้นก็เข้าไปกราบพระ ก่อนจะกลับออกจากวัด

             เลย์เล่าเกี่ยวกับเหตุผลที่เขาไปวัดเบญฯ โดยที่ไม่ได้ทำแพลนจะไปที่อื่นต่อเมื่อผมถามแกล้งถามเขาว่าทำไมคนชวนเที่ยววัดอย่างเขากลับไม่ให้ข้อมูลเรื่องวัดเลย แล้วผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาบอก เพราะเหตุผลนั่นชวนให้คิดถึงแพร คิดถึงตอนที่ไปเก็บข้อมูลด้วยกัน นับว่าเดตแรกกว่าได้

             “แต่สำหรับผมนะ ไม่มีใครที่รักใครไม่พอหรอก ขึ้นชื่อว่าความรัก ผมว่ามันเหมือนเลขฐาน 2 นะ มีแต่ 1 กับ 0 รักก็คือ 1 ไม่รักก็คือ 0 ไม่มีระดับหรอก ที่รักกันต่อไม่ได้ก็อาจจะเหมือนเวลาที่ผมทำงานในแม็ค แล้วลืมเซฟเป็นไฟล์สำหรับวินโดว์ ส่งไปให้ บก. เปิดด้วยเครื่องวินโดว์แล้วเปิดไม่ได้ เครื่องรับมันอ่านไม่ได้ ไม่เข้าใจเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่ามันจะน้อย ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี” เลย์พูดปลอบ คิดว่าผมคงทำหน้าเศร้าให้เขาเห็น เขาเลยบอกอย่างนั้น แต่ถึงจะบอกว่าพูดเพื่อปลอบ แต่แววตาของเขาก็แสดงออกมาว่าเขาเชื่ออย่างที่พูดมาจริงๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมสบายใจ และรู้สึกดีขึ้นมา

             วัดต่อไปทีเขาพาผมมาคือวัดบวรฯ วนรถอยู่ในลานจอดเล็กสัก 3 รอบ ถึงได้มีคนจะเอารถออกพอดี เราจอดแทนตรงนั้น ก่อนจะลงมาไหว้พระ ที่วัดนี้เขาไม่ได้จัดท่าอะไรให้ผมมาก เพียงแค่เดินตามแล้วเก็บภาพไปเรื่อยๆ

             ผมชอบการผสมผสานของวัดนี้มากทีเดียว ตัวอาคารบางส่วนเป็นวัดอย่างไทย แต่บางอาคารก็เป็นแบบตะวันตก ทั้งที่ตั้งอยู่บนความแตกต่างเหล่านี้ แต่กลับมองดูกลมกลืนสวยงาม

             เมื่อไหว้พระถ่ายรูปเรียบร้อย เลย์ก็พาผมเดินออกมาจากเขตวัดไปทางบางลำพู ตึกแถวเก่าแก่ให้บรรยากาศสบายๆราวกับได้ย้อนยุคกลับไปในสมัยก่อน ระหว่างทางเลย์พาผมมาแวะที่ร้านขายน้ำพริกเจ้าเก่าแก่ ในร้านเต็มไปด้วยผู้คนและกลิ่นเครื่องเทศจากน้ำพริกชนิดต่างๆในอ่างกระเบื้อง

            เลย์เลือกซื้อน้ำพริกไปหลายอย่าง เขาสั่งแบบแทบไม่ต้องคิด ดูท่าทางว่าจะเคยมาซื้อบ่อยๆ ส่วนผมเน้นเป็นพวกน้ำพริกแห้งๆ อย่างน้ำพริกนรก น้ำพริกปลาย่าง เอาไว้คลุกกับข้าวกิน มีซื้อน้ำพริกแกงส้มเอาไว้ไปฝากที่บ้าน อันที่จริงผมก็อยากซื้อน้ำพริกเขียวหวาน แต่ที่บ้านผมไม่มีใครกินแกงกะทิเลยสักคน พ่อบอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนแม่กับพี่ก็บอกว่ากินแล้วอ้วน

             “เห็นขับรถตลอด ไม่คิดว่าคราวนี้จะพาเดิน แถมยังแวะร้านน้ำพริกอีก” ผมแหย่เลย์เล่นๆ

             “ก็ตรงนี้มันไม่มีที่จอดรถมั้ยล่ะ แถมอีกนิดเดียวก็เป็นวัดชนะสงครามแล้ว ไปไหว้ที่นั่น เผื่อชีวิตนี้จะได้ชนะอะไรกับเขาบ้าง” แต่ก็โดนค้อนกลับมานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสนุกกับการแหย่เขาเหลือเกินในวันนี้

             “อย่างชนะใจใครสักคน อย่างนั้นเหรอ” ผมแกล้งหยอดเลย์อีกครั้ง ส่งสายตาไปให้แบบกึ่งจริงกึ่งเล่น

             “เออ ก็แล้วแต่จะขอนั่นแหละ” เลย์เหมือนจะเขินเพราะเมื่อรับเงินทอนแล้วก็รีบเดินออกมานอกร้าน ผมจ่ายเงินเป็นคิวต่อไป ก่อนจะเดินตามออกไป

             วัดชนะสงครามทำให้ผมนึกถึงสมัยก่อน เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กมัธยมฯ อยู่ในช่วงที่เครียดมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ซึ่งก็คือช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมอ่านหนังสือจนแทบไม่กระดิกตัวไปทำอย่างอื่นเลยเพราะกลัวจะสอบไม่ติด จนที่บ้านต้องลากผมออกกมาจากบ้าน แล้วพาผมมาที่วัดนี้

            “ถ้าจำไม่ผิด เขาว่าที่นี่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด” ผมพูดขึ้นมาแบบลอยๆ ในใจยังนึกตลกตัวเองเมื่อ 6 ปีก่อนอยู่
 
             “หืม เคยมาด้วยเหรอ” เลย์หันมาถามผม เขาคงตกใจ แต่ไม่รู้ว่าตกใจเรื่องอะไรมากกว่ากันระหว่างเรื่องที่ผมรู้เรื่องวัดนี้ หรือเรื่องที่ผมเป็นคนเปิดบทสนทนา
 
             “อือ มาปลุกเสกดินสอตอนจะแอดมิชชัน คิดถึงตอนนั้นก็ตลกดี ลูกผีลูกคนมาก เข้าได้ด้วยคะแนนอันดับเกือบท้ายๆเลย แต่เห็นแบบนี้ผมก็จบเกียรตินิยมนะครับ” แต่ในเมื่อถามมา ผมก็พร้อมจะเล่ารำลึกความหลังให้ฟัง

             “ตรงข้ามกับผมเลยแฮะ ผมนี่เข้าไปด้วยคะแนนค่อนไปทางสูง แต่ตอนจบนี่กลางๆมาก พ้น 2.5 มาได้นี่ก็แทบกราบตัวเองแล้ว” เลย์เองก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง เรื่องที่เขาเล่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเพื่อนผมหลายคนที่เป็นตัวท็อปของห้อง พอเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้วก็กลายเป็นคนกลางๆของชั้นปี ไม่ว่าจะจากสาเหตุว่าไม่ได้ชอบที่เรียนแต่ที่บ้านไม่ให้ซิ่ว หรือแบ่งเวลาให้กิจกรรมด้วย พอไม่ได้เรียนอย่างเดียวเลยทำให้ผลการเรียนตกลงก็มี

             วัดนี้เหมือนเราเข้าไปไหว้พระอย่างเดียว เลย์ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เยอะเหมือนกับวัดอื่น เพียงแต่ถ่ายรูปตอนที่ผมกำลังเดินเข้าไปในพระอุโบสถเอาไว้

             หลังออกจากวัดเลย์ก็ขอให้ผมแวะร้านไอศกรีมชื่อดังก่อนเพราะเขาร้อนมาก ผมยอมเพราะคิดว่าเขาคงจะร้อนมากจริงๆ แก้มขาวๆเจือสีแดงขึ้นมา เหงื่อไหลเป็นทางจากขมับลงมาถึงคอซึ่งเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมันออกตลอดเวลา ผมยาวๆก็ชื้นเหงื่อจนเกาะกันเป็นก้อน

            เราใช้สิทธิ์ส่วนลดของโทรศัพท์ก็ได้ไอศกรีมออกมากันคนละโคน ของเลย์เป็นรสผลไม้ที่ท่าทางจะเปรี้ยวเข็ดฟัน ส่วนผมไม่ชอบของเปรี้ยวๆก็เลยเป็นรสช็อกโกแล็ตใส่ถั่ว

             “ว่าแต่เมื่อกี๊คุณขอพรอะไรไป” เลย์ถามผม แต่ท่าทางเหมือนจะเผลอถามออกมา เพราะพอถามจบเจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด

             “ผมขอให้เรื่องขอย้ายแผนก กลับมาประจำสำนักงานใหญ่กรุงเทพได้รับการอนุมัติเร็วๆ” ส่วนผมที่ไม่ได้คิดมากเรื่องแบบนี้ก็ตอบเลย์ไปง่ายๆ

            “บอกด้วยแฮะ ไม่กลัวที่เขาบอกว่าถ้าบอกที่ขอให้คนอื่นรู้แล้วจะไม่ได้ผลเหรอ” พอผมตอบง่ายๆ เจ้าตัวคนถามก็เหมือนจะได้ใจ ทำเป็นกวนแก้เก้อ

             “รู้ก็ยังจะถาม กวนตีนเหมือนกันนะคุณน่ะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอก จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีผลกับผมแล้วแหละ ยังไงก็เลิกกับแพรไปแล้ว”
 
             “ผมขอโทษ” เลย์ขอโทษผม คิดว่าผมคงจะทำเสียงหมาหงอยใส่เขาไป

             ผมเงียบไป ส่วนเลย์ก็เงียบไปเหมือนกัน ระหว่างทางเดินทำให้ผมได้อยู่กับตัวเอง นั่นทำให้ผมได้คิดทบทวนดู ผมรู้สึกว่าการที่ได้คุยกับเลย์ทำให้ผมสบายใจ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก ก็แค่รู้สึกเหงาเมื่อได้ปล่อยมือใครคนหนึ่งที่จับมือเดินทางกันมาร่วม 5 ปี

             แต่ตะกอนฟุ้งๆนี้ก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าตกลงแล้วผมรักแพรจริงหรือเปล่า ทำไมเหมือนจะทำใจได้ง่ายๆ ทั้งที่เพิ่งจะปล่อยมือกันไปแค่เดือนเดียว ผมไม่เคยคิดทบทวนเรื่องนี้จริงจังเลยสักครั้ง ยอมรับว่าแค่เรื่องขอย้ายแผนกกลับมากรุงเทพ กับการ Shut Down ประจำปีช่วงสงกรานต์ก็ทำเอาผมหัวปั่นจนไม่เป็นอันคิดเรื่องอื่น

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Talk: คุณเมฆามาแล้วค่าาาาาาาาาา พอเขียนมาถึงจุดนี้แล้วรู้สึกว่าความเร็วในการเขียนเยอะกว่าตอนเริ่มเรื่องเยอะมากเลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะเรามีไกด์ไลน์มาจากเนื้อเรื่องหลักส่วนของคุณเลย์ เลยค่อนข้างเร็วกว่าที่คิด ในส่วนของบทบรรยาย อย่างที่แจ้งไว้ว่าจะเป็นในมุมมองของคุณเมฆา อันที่จริงเราก็อยากรู้ feedback จากทุกคนอยู่เหมือนกันค่ะว่าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนละคนเล่าหรือเปล่า หรือรู้สึกเหมือนคนเล่าเป็นคนเดิม จริงๆสำหรับเราคิดว่ามันค่อนข้างท้าทายเลยค่ะ ในการที่เขียนสำนวนของตัวเอง (ก็เขียนอยู่คนเดียวนี่เนอะ) แต่ต้องทำให้คนอ่านสัมผัสได้ว่า เนี่ยยยย มันเป็นมุมมองของตัวละครอีกคน ไม่ใช่คนเดียวกับในเนื้อเรื่อง 3 part ที่ผ่านมา

สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รอ..อออ ตอนที่เค้าจะหวานกัน  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เราคิดว่าสำนวนก็คล้ายๆเลย์เล่านะ แต่จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดเท่า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นผช. แมนๆของเมฆาในความคิด และการกระทำรวมถึงตอนชมนุ้งเลย์ ง้อวววววว เขินอะ  :hao7:

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“Nine temples but one love: Another Side”
Author: magic-ca
Part 2


             “ไปวัดไหนต่อดีอ่ะคุณ” เลย์ถามความเห็นผม ชักจะเชื่อแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นเซียนวัด แค่นึกอยากไปก็ไป

             “ไปวัดพระแก้วมั้ยล่ะ” เมื่อเลย์ถาม ผมก็เลยเลือกชื่อวัดแบบง่ายๆซะเลย วัดในพระบรมหาราชวังซึ่งติดอันดับต้นๆของสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ผมสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมคนนำเที่ยวของผมมองข้ามไป

             “ไม่อ่ะ ไม่ชอบ คนเยอะเกิน” เลย์ปฏิเสธทำให้ผมงงนิดหน่อย นั่นแปลว่าเขาไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่อยากไป

             “งั้นไปฝั่งธนเลยละกัน วัดระฆังก่อนก็ได้ แล้วค่อยไล่ไปวัดอรุณฯ กับวัดกัลยาฯ รู้สึกว่าจะอยู่ใกล้ๆกันหมด” นอกจากวัดพระแก้ว ผมก็นึกชื่อวัดแถวๆนี้ไม่ค่อยออกแล้ว ผมจะคุ้นกับชื่อวัดแถวๆฝั่งธนมากกว่าเพราะพ่อผมทำงานอยู่ทางนั้น แต่ก่อนสมัยเรียนมัธยมก็มาหาบ่อย ขึ้นเรือท่าพระจันทร์ข้ามฟากมาลงศิริราชวังหลัง หาของกินแล้วค่อยกลับพร้อมกัน

             “ทำไมคุณไม่ชอบวัดพระแก้ว ผมว่าน่าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเพียบเลย” สุดท้ายผมก็ถามไปด้วยควรามสงสัย จะโดนหาว่ายุ่งเกินไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่เลย์ก้ไม่ได้ว่าอะไร เขาเริ่มเล่าเรื่องสมัยตัวเองยังเป็นเด็กให้ผมฟังแบบไม่คิดอะไร

             “เรียกว่าฝังใจมากกว่า ตอนสัก 10 ขวบ ผมมาเที่ยวกับที่บ้าน พ่ออุ้มน้อง ส่วนผมที่โตหน่อยแล้วก็ต้องเดินเอง แต่ พอดีวันนั้นคนมันเยอะมาก ผมเดินไม่ทันพ่อกับแม่ ก็เลยหลงกัน พอขวัญเสียเริ่มร้องไห้ก็มีคนมาไล่ ก็ยิ่งตกใจ วิ่งไปไม่รู้ทิศรู้ทาง กระเป๋าก็ไม่มีเบอร์ผู้ปกครองเพราะปกติแล้วผมจะตามพ่อกับแม่ตลอด ไม่ค่อยแวะเล่นแล้วหายตัวเหมือนเด็กคนอื่น จนสุดท้ายมีคนพาไปส่งสถานีตำรวจ แต่ผมสติแตกไปแล้วเลยพูดไม่รู้เรื่อง จนต้องครบ 24 ชั่วโมง พ่อกับแม่ถึงมาแจ้งความว่าหายตัวไปถึงได้ประสานกัน สรุปผมอยู่คนละ สน. เขตวัดพระแก้วแล้วด้วย ตอนแรกถึงหากันไม่เจอ ตั้งแต่นั้นผมเลยไม่ชอบที่นั่นเท่าไหร่ รวมไปถึงที่ๆคนเยอะอื่นๆด้วย”

             “เด็กน้อย” เมื่อฟังจบผมก็อดที่จะหัวเราะในคอเบาๆไม่ได้ สงสารก็สงสาร แต่นึกภาพเด็กผู้ชายตัวเล็กๆร้องไห้วิ่งไปมาจนข้ามเขต สน. ก็อดขำไม่ได้จริงๆ

             “ตอนนั้นผมก็เด็กจริงๆมั้ยล่ะ 10 ขวบเองนะคุณ ผมไม่ใช่คนกรุงเทพด้วย พอหลงก็เลยกลัวอ่ะสิ ก่อนมาก็โดนขู่ด้วยว่าถ้าหลงจะมีคนจับไปตัดขาเป็นขอทานอ่ะ” เลย์พองแก้มใส่ผม ท่าทางนั้นทำให้ผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่

             หลังจากนั้นเราก็คุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการย้ายที่อยู่ ตลกตรงที่เลย์เป็นคนต่างจังหวัด แต่เข้ามาทำงานกรุงเทพ แต่ผมที่เป็นคนกรุงเทพ กลับย้ายออกไปทำงานต่างจังหวัด

             ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงวัดระฆัง ผมค่อนข้างผิดหวังที่เมื่อเข้ามาในเขตวัดระฆังแล้วไม่เห็นระฆังเรียงรายตั้งแต่ทางเข้าอย่างที่เคยคิดไว้

             เราเดินไปยังหอระฆังที่มีระฆังแขวนไว้ 5 ใบ ซึ่งมาพร้อมกับชื่อวัดระฆัง ไหว้พระ ถ่ายรูปกันเรียบร้อย ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเราก็กลับออกมา ไปเอารถตรงอาคารจอด แล้วพร้อมมุ่งหน้าสู่วัดต่อไป

             เมื่อออกจากซอยวัดระฆัง วิ่งไปนิดเดียวก็จะเริ่มเห็นเขตของวัดอรุณ ผมบอกให้เลย์ขับรถไปจอดที่วัดกัลยาณ์เลยเพราะดูจากจำนวนรถแล้วคิดว่าคงไม่มีที่จอดที่วัดอรุณแน่ๆ

             เอาเข้าจริงผมก็ตลกตัวเองนะ 3 วัดที่เรียงกันอยู่นี้ ผมเคยมาวัดอรุณแล้ว วัดกัลยาณ์ก็เคยเข้าไปอยู่ครั้ง 2 ครั้ง แต่กลับเลยวัดระฆังไม่เคยเข้าไปเสียอย่างนั้น

             หลังจากจ่ายเงินค่าจอด และจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินมาไหว้พระในพระอุโบสถ ผมเห็นเลย์ขยี้ปลายจมูกกับหรี่ตาลงนิดหน่อยเมื่อเดินผ่านจุดที่มีการจุดธูปเทียน คิดว่าคงจะแพ้แล้วก้ไม่ชอบกลิ่น เลยพอจะเดาได้ว่าทำไมที่ผ่านๆมาถึงไม่ได้จุดธูปเทียนกันเลยสักวัด

             ภายในพระอุโบสถมีเสียงเซียมซีดังก้องผิดกับวัดอื่นๆ ผมไม่เคยเสี่ยงเซียมซีเลยสักครั้ง เสี่ยงไม่เป็น และจริงๆก็ไม่เคยคิดอยากจะลอง แต่ดูเลย์เขย่ากระบอกด้วยตาเป็นประกายสนุกสนานขนาดนั้นผมก็ชักอยากจะลองดูบ้างสักครั้งพอให้เป็นประสบการณ์

             ผมรั้งเลย์ที่กำลังจะลุกไปหยิบคำทำนายเอาไว้ เขาสอนผมว่าหลังเสี่ยงเซียมซีได้ตัวเลขคำทำนายออกมาแล้ว ยังต้องสอบถามผลกับองค์พระด้วยเซ้งปวย หรือแท่งไม้สีแดงๆรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีด้านนึงนูน ซึ่งเขาบอกว่าถ้าหลังเสี่ยงเซียมซีเสร็จโยนเซ้งปวยแล้วออกคว่ำหงายก็แปลว่าใช้ได้

             ผมลงมือเขย่ากระบอกครั้งแรก พยายามเขย่าเป็นจังหวะช้าๆ แต่ดูเหมือนจะไม่มีไม้อันไหนยอมร่วงออกมาสักที พอเริ่มจับจังหวะได้เลยเขย่าแรงขึ้นเพื่อให้ไม้ร่วงออกมา อันแรกเป็นเบอร์ 15 แต่พอสอบถามผลปรากฏว่าเซ้งปวยคว่ำหน้าลงทั้งคู่ ผมเลยลองอีกครั้ง พอรู้จังหวะก็ไม่ยาก เขย่าครู่เดียวเบอร์ 9 ก็หล่นออกมา แต่สอบถามผลได้แบบเดิม ผมก็เริ่มไหม่อีกครั้ง คราวนี้ไม้เบอร์ 30 หล่นออกมาจากกระบอก พอสอบถามผลทีนี้ออกเป็นหงายทั้งคู่

             ผมเริ่มจะหงุดหงิด และนึกอยากจะเสี่ยงใหม่จนกว่าจะได้ ไม่เข้าใจว่าเพราอะไร แต่รู้สึกราวกับว่าถ้าผมเสี่ยงทายไม่ได้จะรู้สึกพ่ายแพ้ แพ้ต่อกระบอกเซียมซี และแท่งไม้ 2 อันนี่แหละ ในขณะที่ผผมกำลังรู้สึกแบบนี้ เลย์ก็ดึงมือผมเอาไว้ แล้วบอกให้พอ

            “พอเถอะ เสี่ยง 3 ครั้งยังไม่ได้เนี่ย บางทีสวรรค์คงอยากบอกให้ลองเลือกด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งคำพูดของใครก็ได้นะ” เลย์บอกกับผม ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

             ไม่รู้ว่าเขาแค่จะพูดปลอบผมไปอย่างนั้น หรือเข้ามานั่งอยู่ในใจถึงได้รู้ว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ผมก็นึกขอบคุณที่เขาพูดแบบนั้น เพราะมันทำให้ผมมองเห็นตัวเอง หลายๆอย่างในชีวิตที่ผมเลือก รวมถึงที่เลือกอยากกลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพก็เป็นเพราะคนรอบข้าง น้อยครั้งที่ผมจะใช้ตัวเองเป็นเหตุผลตัดสินใจอะไรสักอย่าง มันคงถึงเวลาแล้วจริงๆที่ผมจะต้องเลือกความต้องการของตัวเองบ้าง

             ผมนึกขำเลย์ขึ้นมาหน่อยๆ เห็นหน้าใสๆ ตาใสๆ ตัวเล็กๆแบบนี้ ก็เป็นพี่ชายจริงๆสินะ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่ารูปลักษณ์ที่เห็นจากภายนอก จากน้ำเสียงที่พูด จากคำพูดที่ใช้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนกล้าตัดสินใจ และเด็ดขาดมากๆคนหนึ่ง
 
             ผมยื่นมือออกไปช่วยดึงเลย์ให้ลุกขึ้น เขาเดินนำไปที่ตู้ที่ติดอยู่ริมผนังระหว่าประตู 2 บานของพระอุโบสถ หยอดเงินปัจจัยลงในกล่อง ก่อนจะหยิบเอาใบคำทำนายเบอร์ 30 ของตัวเองออกมาอ่าน

             สายตาของเลย์จับจ้องจดจ่ออยู่ที่ใบคำทำนาย สมาธิทั้งหมดพุ่งไปที่คำทำนายที่เหมือนเป็นคำกลอน ผมแอบอ่านอยู่ข้างหลัง เหมือนจะมีใจความท่อนหนึ่งเกี่ยวกับการเดินทาง และความรัก

             “การเดินทางจะทำให้เจอความรักงั้นเหรอ นี่ถ้าเมื่อกี๊ตอนสุดท้าย ถ้าผมได้ผลจากไม้เสี่ยงทายเป็นใช่เนี่ย ไม่แปลว่าเราคู่กันเหรอ” เพราะเลย์มีสมาธิกับกระดาษตรงหน้ามาก ผมเลยแกล้งยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆหู ซึ่งก็ทำให้เขาตกใจ ผงะถอยหลังแล้วเอามือทาบอก ผมขำกับท่าทางแบบนั้น นั่นก็ทำให้เขาขำออกมาเหมือนกัน บรรยากาศก็เลยดูเหมือนจะเบาลง

             เลย์พับเอากระดาษคำทำนายสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเราจึงออกจากพระอุโบสถ เดินไปทางท่าเรือจึงเห็นคนมากมายยืนล้อมโต๊ะอะไรสักอย่างอยู่ ป้ายไวนิลข้างๆที่เห็นแวบๆเป็นชื่อโครงการ “Water Festival 2017” เสียงโทรโข่งประกาศอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะคนเยอะเลยฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

             ผมมองไปที่เลย์ เขาเหมือนอยากรู้ว่าคนมุงอะไรกัน แต่ก็เหมือนกลัวๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับไปที่รถ ในขณะที่ตัวผมรู้ตัวอีกทีก็จูงมือเขาฝ่าฝูงชนเข้าไปถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ตรงนั้นแล้ว

             เจ้าหน้าที่อธิบายว่าโครงการนี้เป็นโครงการเรือนำเที่ยว 4 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่ถ้าสะสมตราประทับครบทั้ง 4 วัด ก็จะนำมาแลกของที่ระลึกเป็นน้ำมนต์ขวดเล็กๆได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยื่นแผ่นพับที่เป็นรายละเอียดตารางการเดินเรือกับแผ่นสะสมตราประทับในแผ่นเดียวกันมาให้

             เมื่อรับมาแล้วผมก็จูงมือเลย์มาต่อแถวรอขึ้นเรือ ตรงแถวที่รอเรือคนไม่ได้เยอะเหมือนกับตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์แล้ว เลย์ก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา เลยถามว่าเรามาต่อแถวรอเรืออะไร ผมเลยให้เขาอ่านแผ่นพับในมือดู เนื่องจากเราไหว้กันมา 7 วัดแล้ว ผมเลยตั้งใจว่าจะแวะแค่ 3 ท่าคือ ท่ายอดพิมานที่มี Community Mall เพื่อกินข้าวเที่ยงก่อน ตามด้วยท่าเตียนวัดโพธิ์ ปิดท้ายด้วยท่าน้ำวัดอรุณ แล้วก็วนกลับมาที่วัดกัลยาณ์แห่งนี้

             เมื่อถามความเห็นเลย์ เขาก็บอกว่าเอาตามนั้น เมื่อลงเรือมาเราจึงนั่งยาว ไม่แวะลงที่ท่าวัดประยูร แต่เลยมาลงที่ท่ายอดพิมาน

             พอลงจากเรือแล้ว เลย์ดูงงๆ คิดว่าเขาคงยังไม่เคยมาที่นี่ ผมเองก้ไม่เคยมา แต่ตอนที่นั่งเรือผมลองค้นกูเกิลดู เห็นว่าที่นี่มีสาขาของร้านที่ผมไปกินกับครอบครัวบ่อยๆตั้งอยู่บนชั้น 2 ผมเลยตั้งใจไปกินที่นั่น

             เมื่อเข้าไปในร้านที่ลุกค้าแทบไม่มีเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนบ่าย 2 โมงแล้ว บริกรจึงนำเมนูอาหารมาให้เลือก เลย์เปิดพลิกไปมาเหมือนตัดสินใจไม่ถูก ส่วนผมก็แทบไม่ต้องเปิดดูเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะกินอะไร ผมถามคนตรงหน้าว่าจะกินอะไร เขาตัดสินใจไม่ถูกเลยบอกว่าจะกินเหมือนผม

             ระหว่างกินข้าวเลย์ไม่ได้ชวนผมคุย เขาดูตั้งอกตั้งใจกิน ผมเองก็ไม่ได้ชวนเขาคุยเช่นกัน ปกติผมจะชอบกินข้าวเงียบๆ ถ้าไม่มีใครชวนคุยผมก็จะไม่ได้คุยก่อน
 
             ผมกินของผมไปเรื่อยๆ สลับกับมองคนที่อยู่ตรงข้ามกิน สำหรับผม เลย์เป็นคนมีสเน่ห์ เขาเป็นคนที่ทำอะไรก็น่ามองไปหมด ดูนุ่มๆนวลๆ
 
             ผมตกใจกับความคิดเหล่านี้นิดหน่อย ที่ผ่านมานอกจากแพรผมก็ไม่ได้มองใครอีก นั่นทำให้ผมคิดว่าผมชอบมองผู้หญิง แต่ในตอนนี้ ผมควรเริ่มเปิดใจกับตัวเอง ยอมรับตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของเพศอีกต่อไป ไม่ว่ามันอาจจะเพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้ หรือเป็นมาแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ตามแต่

             หลังจากของคาวก็มาต่อที่ของหวาน ผมยังไม่เคยกินเผือกหิมะของที่นี่ แต่คิดว่าน่าจะโอเคเลยสั่งมาชิม สำหรับผมคิดว่ามันก็อร่อยดี แต่คนที่ดูตื่นตาตื่นใจคือเลย์ เขารีบกิน แล้วก็บ่นว่าร้อนลวกปาก ท่าทางเหมือนเด็กของเขาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา

             หลังของหวานก็เป็นเวลาจ่ายเงิน เลย์ตั้งใจจะจ่ายค่าอาหารจานกลางที่เป็นผัดผักบุ้ง กับเผือกหิมะให้ แต่ผมก็รั้งไว้เพราะนั่นผมตั้งใจสั่งมาให้เขาชิม และเราก็กินด้วยกัน สุดท้ายก็มาจบลงที่การหารครึ่งซึ่งแฟร์ๆกับทุกๆฝ่าย ผมก็ขำตัวเองเหมือนกันที่อยู่มาวันหนึ่งจะต้องมาแย่งกันจ่ายเงินกับคนอื่น ปกติกินกับเพื่อนก็ต่างคนต่างจ่าย กินกับแพรผมเป็นคนจ่ายอยู่แล้วเพราะเป็นผู้ชาย และแพรก็กินนิดเดียวจนผมกลัวจะไม่อิ่มทุกที

             จากนั้นเราจึงไปรอเรือที่ท่าโดยไม่เดินไปปากคลองตลาดด้านหลัง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีอะไรนอกจากดอกไม้เต็มไปหมด เรามาไม่ทันเรือรอบที่เพิ่งออกไป จึงต้องรออยู่ 15 นาทีกว่าเรือจะมาอีกลำ

             ที่ต่อไปที่เราแวะคือวัดโพธิ์ เมื่อเห็นปริมาณคนตรงท่าเตียนแล้วผมเลยเลือกที่จะจูงมือเลย์เอาไว้ ตั้งใจให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้ฝ่าฝูงชนเยอะขนาดนี้คนเดียว จะได้ไม่ยืนเหม่อและหายไป เราเดินจับมือกันจนเข้ามาสู่เขตวัดโพธิ์ จากตรงนี้จะผ่านวิหารที่มีพระนอนองค์ใหญ่อยู่ ด้านในมีคนไม่มากผิดจากจำนวนคนที่ท่าเรือ

             หลังกราบพระ เราก็มองไปรอบๆพระอุโบสถ และเลือกที่จะเอาธนบัตรหยอดกล่องปัจจัย แล้วเดินหยอดตามบาตรเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมผนังรอบตัววิหาร เสียงเหรียญกระทบกันดังเป็นจังหวะตลอด เลย์เดินนำหน้าผมอยู่ผมเลยไม่เห็นหน้าเขา แต่หลังจากหยอดเหรียญเสร็จเขาก็ดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่เรือเทียบท่า

             หลังออกจากพระวิหาร เมื่อเดินเข้าไปในวัดลึกอีกหน่อยเราก็เจอกับรูปปั้นฤาษีดัดตน ผมเดินเข้าไปจัดท่าทางอยู่ข้างๆรูปปั้นตนหนึ่ง แล้วจัดท่าทางให้เหมือน เลย์ทำสีหน้าแปลกๆ ทำตาโตเหมือนตกใจ แต่ก็หัวเราะจนมือสั่น ในที่สุดเขาก็ถ่ายรุปออกมาได้

             ผมแลกเฟสบุ๊คกับเลย์หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ ที่จริงกะจะขอช่องทางติดต่อเพื่อจะขอรูปหลังจากที่ครบ 9 วัด แต่ผมกลัวลืม เลยรีบขอเอาไว้ก่อน ผมเปิดหน้าแอพเพื่อให้เลย์ค้นหาชื่อตัวเองแล้วแอดไป เขารับแอดทันทีหลังจากส่งโทรศัพท์คืนให้ผม

             เนื่องจากเราไม่มีใครอยากเข้าไปนวด เมื่อถ่ายรูป แลกเฟสบุ๊คกันเสร็จแล้วจึงออกจากวัดไปที่ท่าเตียนเลย เรารอเรืออยู่ 2 รอบกว่าจะได้ขึ้นเพราะคิวยาวมาก

             เรือแล่นข้ามฟากมาเทียบท่าที่วัดสุดท้ายของวันนี้ คือ วัดอรุณ เมื่อเลย์สังเกตเห็นว่าพระปรางค์ปิดบูรณะก็ทำหน้าเสียดายขึ้นมา เขาถ่ายรูปพระปราค์ที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบเอาไว้ โดยบอกว่าเป็นที่ระลึก จากนั้นเราจึงเดินเลยส่วนของพระปรางค์ที่อยู่ริมน้ำเข้าไปไหว้พระประธาน

             หลังไหว้พระเสร็จ เราก็มาที่ท่าน้ำเพื่อลงเรือกลับไปยังวัดกัลยาณ์ที่จอดรถเอาไว้ คราวนี้ไม่ต้องรอเรือเลยเพราะเรือเข้าเทียบท่าพอดี ตอนนี้บ่าย 4 โมงกว่าๆเราก็กลับมาถึงที่ลานจอดรถวัดกัลยาณ์แล้ว

             “คุณจะให้ผมไปส่งตรงไหน/จะไปไหนกันต่อมั้ย” พอคิดว่าจะต้องกลับบ้านที่ไม่มีใครอยู่ตอนนี้ผมก็รู้สึกโหวงๆในใจ คิดแค่ว่าจะไปที่ไหนสักที่ต่อเลยเอ่ยปากถามเลย์ไปแบบนั้น

             เลย์เสนอว่าเราจะไปเอเชียทีคกันต่อ เขาจะขับรถไปเพราะขี้เกียจนั่งเรือวนกลับมาเอารถแล้ว ผมตกลงและขึ้นไปนั่งข้างบนรถของเขาต่อ คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง ระยะทาง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึง

             ระหว่างทางเดินจากที่จอรถ เราเดินทะลุโกดังร้านค้าโซนต่างๆ ระหว่างที่เดินเรา ไม่สิ ควรจะบอกว่าผมคนเดียวได้ของกินเล่นมาเต็มไม้เต็มมือ ส่วนของเลย์เป็นอิตาเลียน โซดาแก้วใหญ่แก้วเดียว เมื่อเดินมาจนถึงริมน้ำเลย์ก็หยิบกล้องออกมา แล้วไล่ผมไปยืนติดริมระเบียงเพราะเขาจะถ่ายรูป ผมจะยื่นถุงของกินให้เขาถือจะได้ถ่ายรูปสวยๆ แต่เขาบอกว่าไม่ต้องเพราะอยากจะถ่ายแบบที่ดูเป็นธรรมชาติ แถมยังบอกว่าให้กินไปชมวิวไปก็ได้เดี๋ยวตามถ่ายเอง

             พอแสงหมดเลย์ก็เก็บกล้อง และบอกว่าจะไปต่อแถวขึ้นชิงช้าสวรรค์ เราซื้อตั๋ว 2 ใบ ตอนที่ยืนรอเสียงซาวนด์เช็กจากเวทีการแสดงข้างๆก็ดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ ตอนนี้ชิงช้าสวรค์เพิ่งเปิด รอไม่นานเราก็ได้เข้าไปนั่งในตัวชิงช้า

             ชิงช้าสวรรค์หมุนไปเอื่อยๆ ผมมองไปที่วิวด้านนอก แสงไฟจากตึก และถนนเริ่มติดขึ้นมาเพราะพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แสงไฟสะท้อนกับผิวน้ำเป็นประกาย ผมนึกตกใจตัวเองเหมือนกันที่วันนี้ผมไม่ได้รู้สึกจิตตกปล่อยเวลาให้หมดไปวันๆเหมือนก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกดีที่ได้ออกมาเที่ยว

             แน่นอนว่าความเศร้า และรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้เวลากับแพรให้มากกว่านี้ ก็ยังฝังอยู่ในใจของผม มันอาจจะกลายเป็นความรู้สึกผิดชั่วชีวิต หรือสักวันหนึ่งจะจางหายไปเหลือเพียงบทเรียนสำหรับการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนผมก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย

             แต่แล้วผมก็ผละจากวิวในมุมสูงมาที่คนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ไม่ก็ด้านข้างเสมอตลอดทั้งวันนี้ ผมไม่รู้ว่ามันจะผิดไหม ไม่รู้ว่ามันจะเร็วไปไหมถ้าผมจะเปิดใจ และลองเริ่มต้นพูดคุย กับคนที่ทำให้ผมสบายใจ คนที่รู้สึกผิดที่พูดอะไรออกมาแล้วผมเผลอทำหน้าเศร้า ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ผมแปลความหมายว่าเขากำลังใส่ใจผม

             ผมแกล้งเลย์โดยการเอามือไปบังหน้าเลนส์ไม่ให้เขาถ่ายรูป แกล้งหยอกเขาว่าให้ดูวิวบ้าง เขาทำตามที่ผมบอก และผมก็ใช้เวลาที่เขากำลังดื่มด่ำกับวิวภายนอกในการแอบถ่ายรูปเขา แล้วตัดสินใจพูดประโยคหนึ่งออกไป ด้วยเจตนาอยากจะสานต่อ

             “นี่คุณ ถ้าสมมติว่านานๆทีผม จะทักไปบ้าง คุยกันบ้าง หรือออกมาหาของกินอร่อยๆ คุณจะโอเคใช่มั้ย” ผมถามเขาออกไปแล้ว จากนี้เราอจจะไม่ได้คุยกันในฐานะคนรู้จักกัน แต่เป็นในฐานะของคนที่กำลังศึกษากันก่อนตัดสินใจคบกันเป็นแฟน หรือสถานะอื่นๆต่อไป

             ซึ่งผมก็คิดว่าเลย์เข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในประโยคนี้ เพราะแม้ไฟจะสลัว สีหน้าจะนิ่งขนาดไหน แต่แก้มของเขาก็ซับสีแดงอ่อนๆ กับการหลบตาแบบนั้นผมคิดว่าเขาคงจะเขินอยู่แน่ๆที่อยู่ดีๆก็โดนขอจีบ

             “ครั้งหน้าพาผมไปร้านเผือกหิมะตรงศาลเจ้าพ่อเสือด้วยแล้วกัน อย่าให้นานจนลืมล่ะ” เลย์ตอบผมตอนที่ชิงช้าสวรรค์หมุนครบรอบพอดี เขารีบเดินออกไป และมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าเราตั้งใจจะมากินข้าวกันที่นี่

             ...ซึ่งนั่นผมจะขอนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของผมก็แล้วกัน...

End of the day, but the story is never ending.


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Talk - เนื้อเรื่องทั้งหมดจบลงแล้วค่ะ อย่างในประโยคสุดท้ายเลยค่ะ จบวันนี้ใช่ว่าเรื่องราวจะจบ แต่เป็นส่วนที่เราต้องไปจินตนาการเติมเต็มกันต่อว่าเรื่องราวจะเป็นไปแบบไหน ในอนาคตพวกเขาก็อาจจะทะเลาะกันบ้าน หวานกันบ้าง หรือมีเรื่องให้ต้องตัดฉากเข้าโคมไฟก็เป็นเรื่องที่เราอาจจะไม่ได้เห็น ซึ่งเราเชื่ออย่างนึงว่าพวกเขาคงไม่ปล่อยมือจากกันง่ายๆหรอกค่ะ

ซึ่งเราเองก็มีข่าวดี (หรือเปล่า?) มาบอกทุกคนค่ะ เนื่องจากเราเขียนๆ อยู่กับเรื่องนี้มาสักพัก เราก็รู้สึกผูกพัน และอยากมีรูปเล่มกับเขาบ้างแม้จะเป็นเพียงเล่มเล็กๆก็ตามค่ะ เราจึงจะสอบถามทุกคนว่า มีใครอยากได้รวมเล่มเรื่องนี้กับเรามั้ยคะ ถ้าสนใจแม้เพียงนิดหน่อย เราก็ขอเชิญให้ทุกคนทำแบบสอบถามเกี่ยวกับรูปเล่มที่ลิ้งก์นี้ค่ะ
https://drive.google.com/open?id=1z-Zu2ltmMsKvqXFuwu0R74ts98V8vXgKCYS9wRJjREw

รูปเล่มนั้นจะเป็นขนาด A6 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับไลท์โนเวลเพื่อให้สามารถเข้าเล่มได้สวยงามค่ะ และจะมีตอนพิเศษสั้นๆเพิ่ม 1 ตอนชื่อ Conflict กับ มุกตลกหลังม่านชื่อ After that... ค่ะ

สปอย Conflict
               “ขอโทษที เลย์ลืมลงไว้ เลย์ไม่ว่าง จะเก็บห้อง” อันนี้ผมก็ผิดเองส่วนหนึ่งที่ลืมใส่ไว้ในปฏิธินในมือถือ ผมให้เมฆาเชื่อมต่อกับปฏิธินของผมไว้ ผมจะใส่กำหนดการชีวิตตัวเองอย่างละเอียดไว้ในนั้น จะได้รู้ว่าตอนไหนผมจะทำอะไร ถ้าไม่มีเขียนอะไรแปลว่าว่าง ไปไหนก็ได้

               “แค่เก็บห้องเองเลย์ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ไปกับผมหน่อยนะครับเลย์ นะครับ” เขาทำเสียงอ้อนใส่ผม ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติผมคงใจอ่อน แต่วันจันทร์ผมมีงานต่างจังหวัดอีก คงจะเลื่อนการเคลียร์ห้องนี้ไม่ได้แล้ว

               “ไม่ได้ แค่นี้นะ” ผมเหวี่ยงใส่เขา ก่อนจะตัดสายทันที ก่อนวางสายผมได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมตัดสินใจว่าจะไม่สนใจอีก และทำงานของตัวเองต่อไป

สปอย After that...

เซ้งปวย

เมฆา – (กำลังเข้ากูเกิ้ล) //เซ้งปวย คือ//
เมฆา – (กดไลน์ ถ่ายรูปหน้าจอ) สรุปตอนเสี่ยงเซียมซี ถ้าผมเลือกรับคำทำนายนั้นก็ได้สิ
เลย์ – เหรอๆ งั้นรับมั้ย
เมฆา – รับก็รับ
เลย์ – งั้นเมฆารับความรักของเลย์ไปแล้วนะ <3
เมฆา – ... //เขินอยู่ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก//

ปล. หลังจากนี้เดี๋ยวเราก็จะทยอยเข้ามาแก้คำผิดต่างๆนานา รวมทั้งการจัดหน้า และปิดท้ายด้วยเชิงอรรถที่ว่าด้วยข้อมูลของวัดต่างๆเผื่อใครอยากไปเที่ยวตามรอยนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกยอดเข้าชม และความคิดเห็นที่ผลักดันให้เรามาไกลได้ถึงขนาดนี้ค่ะ

ด้วยรัก
magic-ca :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2018 09:26:20 โดย magic-ca »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตอนพิเศษน่าติดตามมากๆ  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เชิงอรรถ
«ตอบ #17 เมื่อ17-02-2018 09:41:08 »

เชิงอรรถ

1.   วัดเบญจมบพิตร ชื่อเต็มคือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1] ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยใด จุดเด่นอยู่ที่พระอุโบสถที่ใช้หินอ่อนจากอิตาลี ซึ่งส่วนนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 [2] ปรากฏในเรื่อง “ความสนุกในวัดเบญจมบพิตร”

2.   วัดสระเกศ เป็นพระอาราหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร [1] สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดสระแก” จุดเด่นสำคัญอยู่ที่พระบรมบรรพตซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 3 ในลักษณะของพระปรางค์ย่อมุมไม้สิบสอง (พระปรางค์ที่ตรงมุม 4 ด้านมีหยักเป็น 3 มุม [3]) แต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนแบบเป็นลักษณะภูเขา โดยด้านบนเป็นเจดีย์ทรงลังกา [4]

3.   วัดสุทัศน์ ชื่อเต็มคือ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร [1] อีกทั้งยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เดิมชื่อ วัดมหาสุทธาวาส โดยเริ่มสร้างจากพระวิหาร เพื่อใช้ประดิษฐานพระศรีสักายะมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย [5, 6]

4.   วัดบวร ชื่อเต็มคือวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร [1] สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยรวมกับวัดรังสีสุทธาวาสในสมัยรัชกาลที่ 6 ภายในวัดเป็นที่ตั้งของพระตำหนักคอยท่า ปราโมช ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหารได้รับการกำหนดเป็นวัดประจำรัชกาลที 6 และรัชกาลที่ 9 [5, 7, 8]

5.   วัดชนะสงคราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร [1] สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดกลางนา ในสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเมื่อได้ชัยชนะจากการรบในสงคราม วัดนี้จึงได้รับพระราชทานนามใหม่ว่าวัดชนะสงคราม [9]

6.   วัดระฆัง ชื่อเต็มคือวัดระฆังโฆษิตาราม เป็นพระอารามหลาวชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ โดยในครั้งนั้นพบระฆังลูกหนึ่งเสียงกังวาน ไพเราะมาก จึงโปรดให้นำไปไว้ที่วัดพระแก้ว แล้วพระราชทานระฆังคืนมาให้ 5 ลูก พร้อมนามใหม่ของวัดว่าวัดระฆังโฆสิตาราม [10]

7.   วัดกัลยาณมิตร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร [1] สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (เจ้าสัวโต) ต้นตระกูลกัลยาณมิตร ได้มอบบ้าน และซื้อที่ดินบริเวณรอบข้างซึ่งเป็นพี่พักพระสงฆ์จีน หมู่บ้านกุฎีจีน และศาลเจ้าเกียนอันเก๋ง เพื่อสร้างเป็นวัด [11]

8.   วัดโพธิ์ หรือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร [1] สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งภายในวัดโพธิ์มีสถาปัตยกรรม และองค์ความรู้มากมาย เช่น วิหารพระพุทธไสยาสน์ เขาฤาษีดัดตน จารึกวัดโพธิ์ และโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) เป็นต้น [12-14] นอกจากนนี้ยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 อีกด้วย [5]

9.   วัดอรุณ หรือ วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร [1] และวัดประจำรัชกาลที่ 2 สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้สถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง จึงพระราชทานนามใหม่เป็นวัดแจ้ง เพราะได้เสด็จมาถึงวัดนี้ในเวลาเช้า เมื่อถึงรัชกาลที่ 3 จึงได้เริ่มสร้างพระปรางค์ขึ้น และหลังการปฏิสังขรณ์ในรัชกาลที่ 4 จึงได้พระราชทานนามว่าวัดอรุณราชวรารามดังปัจจุบัน [15]

รายการอ้างอิง

1.   ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศกระทรวงธรรมการ แผนกกรมสังฆการี เรื่อง จัดระเบียบพระอารามหลวง.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/A/284.PDF (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
2.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=26&Itemid=21 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
3.   สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. ย่อมุมไม้สิบสอง.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%91-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
4.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดสระเกศ.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=37&Itemid=34 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
5.   เอิงเอย. วัดประจำรัชกาล ที่ ๑-๙ ชวนคนไทย ทำบุญไหว้พระ.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://travel.trueid.net/detail/81777 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
6.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=19&Itemid=19 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
7.   วัดบวรนิเวศวิหาร. คณะเหลืองรังษี.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.watbowon.com/all/section/yell_sec.htm (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
8.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดบวรนิเวศวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=4&Itemid=2 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
9.   ธรรมมะไทย. วัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watchanasongkhram.php (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
10.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=15&Itemid=17 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
11.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดกัลยาณมิตร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=41&Itemid=38 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
12.   วัดโพธิ์. สถาปัตย์และสิ่งสำคัญ.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.watpho.com/historical.php (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
13.   วัดโพธิ์. โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.watpho.com/thai_traditional_medical_school.php (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
14.   สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://lib.thapra.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=7&Itemid=9 (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).
15.   ธรรมมะไทย. วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร.  วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watarun.php (วันที่ค้น 10 กุมภาพันธ์ 2561).

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Special talk - เพราะความผิดพลาดในลิงก์แบบสอบถาม วันนี้เลยเอาเชิงอรรถมาฝากค่ะ ข้อมูลของวัดต่างๆจะอยู่ในนี้ค่ะ เผื่อใครได้ไปเที่ยวตามนี้ก็จะได้อินมากขึ้นค่ะ ในส่วนนี้เราสรุปคร่าวๆถึงประวัติสำคัญๆ ถ้าตามลิงก์ในอ้างอิงก็จะเห็นว่ามีข้อมูลอย่างละเอียดอยู่ค่ะ ตามเข้าไปอ่านได้เลยค่ะ สุดท้ายนี้ อัพลิงก์แบบสอบถามอีกรอบค่ะ

https://drive.google.com/open?id=1z-Zu2ltmMsKvqXFuwu0R74ts98V8vXgKCYS9wRJjREw

ด้วยรัก
magic-ca

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ละมุนมาก อยากให้เป็นเรื่องยาวจัง ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ magic-ca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
          อันที่จริงเราควรจะมาแจ้งผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องรูปเล่มกับทุกคนนานแล้วค่ะ แต่พอเราเริ่มงานประจำ ก็เหมือนชีวิตเราจะยุ่งๆหน่อย ทั้งเรียนรู้งาน ปรับตัวในที่ทำงาน เรื่องอุปกรณ์ต่างๆที่ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง หัวหมุนสุดๆ พอถึงบ้านก็หมดแรง ทำอะไรไม่เป็นเลยค่ะ

          เรื่องที่จะแจ้งในวันนี้ก็คือเราคงไม่ได้ทำเล่มแล้วค่ะ เพราะจากโพลที่เอาไปแปะไว้ในเว็บที่เราโพสนิยายทั้ง 2 ที่ เราพบว่ามีคนสนใจรูปเล่มไม่ถึงเป้าขั้นต่ำค่ะ เราจึงไม่สามารถจัดพิมพ์ได้ แต่เราก็คิดว่าอาจจะยังมีคนรออ่านตอนพิเศษของเราอยู่ เราเลยกำลังพิจารณาว่าจะเอาลงเว็บที่มีระบบเหรียญ เช่น เด็กดี หรือธัญวลัย แล้วติดเหรียญเอาไว้เผื่อสำหรับคนที่สนใจค่ะ แต่ทั้งนี้มันอาจจะเป็นในอนาคตอีกสัก 1-2 เดือน เพื่อให้เราสามารถจัดการชีวิตเราให้เข้าที่เข้าทางก่อนค่ะ

          ขออภัยในความล่าช้า และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ด้วยรัก :กอด1:
magic-ca

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เหมือนได้ไปไหว้พระกับพวกเขาเลย ละมุนมาก ค่อยๆทำความรู้จักกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด