“Nine temples but one love: Another Side”
Author: magic-ca
Part 2 “ไปวัดไหนต่อดีอ่ะคุณ” เลย์ถามความเห็นผม ชักจะเชื่อแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นเซียนวัด แค่นึกอยากไปก็ไป
“ไปวัดพระแก้วมั้ยล่ะ” เมื่อเลย์ถาม ผมก็เลยเลือกชื่อวัดแบบง่ายๆซะเลย วัดในพระบรมหาราชวังซึ่งติดอันดับต้นๆของสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ผมสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมคนนำเที่ยวของผมมองข้ามไป
“ไม่อ่ะ ไม่ชอบ คนเยอะเกิน” เลย์ปฏิเสธทำให้ผมงงนิดหน่อย นั่นแปลว่าเขาไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่อยากไป
“งั้นไปฝั่งธนเลยละกัน วัดระฆังก่อนก็ได้ แล้วค่อยไล่ไปวัดอรุณฯ กับวัดกัลยาฯ รู้สึกว่าจะอยู่ใกล้ๆกันหมด” นอกจากวัดพระแก้ว ผมก็นึกชื่อวัดแถวๆนี้ไม่ค่อยออกแล้ว ผมจะคุ้นกับชื่อวัดแถวๆฝั่งธนมากกว่าเพราะพ่อผมทำงานอยู่ทางนั้น แต่ก่อนสมัยเรียนมัธยมก็มาหาบ่อย ขึ้นเรือท่าพระจันทร์ข้ามฟากมาลงศิริราชวังหลัง หาของกินแล้วค่อยกลับพร้อมกัน
“ทำไมคุณไม่ชอบวัดพระแก้ว ผมว่าน่าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเพียบเลย” สุดท้ายผมก็ถามไปด้วยควรามสงสัย จะโดนหาว่ายุ่งเกินไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่เลย์ก้ไม่ได้ว่าอะไร เขาเริ่มเล่าเรื่องสมัยตัวเองยังเป็นเด็กให้ผมฟังแบบไม่คิดอะไร
“เรียกว่าฝังใจมากกว่า ตอนสัก 10 ขวบ ผมมาเที่ยวกับที่บ้าน พ่ออุ้มน้อง ส่วนผมที่โตหน่อยแล้วก็ต้องเดินเอง แต่ พอดีวันนั้นคนมันเยอะมาก ผมเดินไม่ทันพ่อกับแม่ ก็เลยหลงกัน พอขวัญเสียเริ่มร้องไห้ก็มีคนมาไล่ ก็ยิ่งตกใจ วิ่งไปไม่รู้ทิศรู้ทาง กระเป๋าก็ไม่มีเบอร์ผู้ปกครองเพราะปกติแล้วผมจะตามพ่อกับแม่ตลอด ไม่ค่อยแวะเล่นแล้วหายตัวเหมือนเด็กคนอื่น จนสุดท้ายมีคนพาไปส่งสถานีตำรวจ แต่ผมสติแตกไปแล้วเลยพูดไม่รู้เรื่อง จนต้องครบ 24 ชั่วโมง พ่อกับแม่ถึงมาแจ้งความว่าหายตัวไปถึงได้ประสานกัน สรุปผมอยู่คนละ สน. เขตวัดพระแก้วแล้วด้วย ตอนแรกถึงหากันไม่เจอ ตั้งแต่นั้นผมเลยไม่ชอบที่นั่นเท่าไหร่ รวมไปถึงที่ๆคนเยอะอื่นๆด้วย”
“เด็กน้อย” เมื่อฟังจบผมก็อดที่จะหัวเราะในคอเบาๆไม่ได้ สงสารก็สงสาร แต่นึกภาพเด็กผู้ชายตัวเล็กๆร้องไห้วิ่งไปมาจนข้ามเขต สน. ก็อดขำไม่ได้จริงๆ
“ตอนนั้นผมก็เด็กจริงๆมั้ยล่ะ 10 ขวบเองนะคุณ ผมไม่ใช่คนกรุงเทพด้วย พอหลงก็เลยกลัวอ่ะสิ ก่อนมาก็โดนขู่ด้วยว่าถ้าหลงจะมีคนจับไปตัดขาเป็นขอทานอ่ะ” เลย์พองแก้มใส่ผม ท่าทางนั้นทำให้ผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่
หลังจากนั้นเราก็คุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการย้ายที่อยู่ ตลกตรงที่เลย์เป็นคนต่างจังหวัด แต่เข้ามาทำงานกรุงเทพ แต่ผมที่เป็นคนกรุงเทพ กลับย้ายออกไปทำงานต่างจังหวัด
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงวัดระฆัง ผมค่อนข้างผิดหวังที่เมื่อเข้ามาในเขตวัดระฆังแล้วไม่เห็นระฆังเรียงรายตั้งแต่ทางเข้าอย่างที่เคยคิดไว้
เราเดินไปยังหอระฆังที่มีระฆังแขวนไว้ 5 ใบ ซึ่งมาพร้อมกับชื่อวัดระฆัง ไหว้พระ ถ่ายรูปกันเรียบร้อย ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเราก็กลับออกมา ไปเอารถตรงอาคารจอด แล้วพร้อมมุ่งหน้าสู่วัดต่อไป
เมื่อออกจากซอยวัดระฆัง วิ่งไปนิดเดียวก็จะเริ่มเห็นเขตของวัดอรุณ ผมบอกให้เลย์ขับรถไปจอดที่วัดกัลยาณ์เลยเพราะดูจากจำนวนรถแล้วคิดว่าคงไม่มีที่จอดที่วัดอรุณแน่ๆ
เอาเข้าจริงผมก็ตลกตัวเองนะ 3 วัดที่เรียงกันอยู่นี้ ผมเคยมาวัดอรุณแล้ว วัดกัลยาณ์ก็เคยเข้าไปอยู่ครั้ง 2 ครั้ง แต่กลับเลยวัดระฆังไม่เคยเข้าไปเสียอย่างนั้น
หลังจากจ่ายเงินค่าจอด และจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินมาไหว้พระในพระอุโบสถ ผมเห็นเลย์ขยี้ปลายจมูกกับหรี่ตาลงนิดหน่อยเมื่อเดินผ่านจุดที่มีการจุดธูปเทียน คิดว่าคงจะแพ้แล้วก้ไม่ชอบกลิ่น เลยพอจะเดาได้ว่าทำไมที่ผ่านๆมาถึงไม่ได้จุดธูปเทียนกันเลยสักวัด
ภายในพระอุโบสถมีเสียงเซียมซีดังก้องผิดกับวัดอื่นๆ ผมไม่เคยเสี่ยงเซียมซีเลยสักครั้ง เสี่ยงไม่เป็น และจริงๆก็ไม่เคยคิดอยากจะลอง แต่ดูเลย์เขย่ากระบอกด้วยตาเป็นประกายสนุกสนานขนาดนั้นผมก็ชักอยากจะลองดูบ้างสักครั้งพอให้เป็นประสบการณ์
ผมรั้งเลย์ที่กำลังจะลุกไปหยิบคำทำนายเอาไว้ เขาสอนผมว่าหลังเสี่ยงเซียมซีได้ตัวเลขคำทำนายออกมาแล้ว ยังต้องสอบถามผลกับองค์พระด้วยเซ้งปวย หรือแท่งไม้สีแดงๆรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีด้านนึงนูน ซึ่งเขาบอกว่าถ้าหลังเสี่ยงเซียมซีเสร็จโยนเซ้งปวยแล้วออกคว่ำหงายก็แปลว่าใช้ได้
ผมลงมือเขย่ากระบอกครั้งแรก พยายามเขย่าเป็นจังหวะช้าๆ แต่ดูเหมือนจะไม่มีไม้อันไหนยอมร่วงออกมาสักที พอเริ่มจับจังหวะได้เลยเขย่าแรงขึ้นเพื่อให้ไม้ร่วงออกมา อันแรกเป็นเบอร์ 15 แต่พอสอบถามผลปรากฏว่าเซ้งปวยคว่ำหน้าลงทั้งคู่ ผมเลยลองอีกครั้ง พอรู้จังหวะก็ไม่ยาก เขย่าครู่เดียวเบอร์ 9 ก็หล่นออกมา แต่สอบถามผลได้แบบเดิม ผมก็เริ่มไหม่อีกครั้ง คราวนี้ไม้เบอร์ 30 หล่นออกมาจากกระบอก พอสอบถามผลทีนี้ออกเป็นหงายทั้งคู่
ผมเริ่มจะหงุดหงิด และนึกอยากจะเสี่ยงใหม่จนกว่าจะได้ ไม่เข้าใจว่าเพราอะไร แต่รู้สึกราวกับว่าถ้าผมเสี่ยงทายไม่ได้จะรู้สึกพ่ายแพ้ แพ้ต่อกระบอกเซียมซี และแท่งไม้ 2 อันนี่แหละ ในขณะที่ผผมกำลังรู้สึกแบบนี้ เลย์ก็ดึงมือผมเอาไว้ แล้วบอกให้พอ
“พอเถอะ เสี่ยง 3 ครั้งยังไม่ได้เนี่ย บางทีสวรรค์คงอยากบอกให้ลองเลือกด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งคำพูดของใครก็ได้นะ” เลย์บอกกับผม ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้
ไม่รู้ว่าเขาแค่จะพูดปลอบผมไปอย่างนั้น หรือเข้ามานั่งอยู่ในใจถึงได้รู้ว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ผมก็นึกขอบคุณที่เขาพูดแบบนั้น เพราะมันทำให้ผมมองเห็นตัวเอง หลายๆอย่างในชีวิตที่ผมเลือก รวมถึงที่เลือกอยากกลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพก็เป็นเพราะคนรอบข้าง น้อยครั้งที่ผมจะใช้ตัวเองเป็นเหตุผลตัดสินใจอะไรสักอย่าง มันคงถึงเวลาแล้วจริงๆที่ผมจะต้องเลือกความต้องการของตัวเองบ้าง
ผมนึกขำเลย์ขึ้นมาหน่อยๆ เห็นหน้าใสๆ ตาใสๆ ตัวเล็กๆแบบนี้ ก็เป็นพี่ชายจริงๆสินะ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่ารูปลักษณ์ที่เห็นจากภายนอก จากน้ำเสียงที่พูด จากคำพูดที่ใช้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนกล้าตัดสินใจ และเด็ดขาดมากๆคนหนึ่ง
ผมยื่นมือออกไปช่วยดึงเลย์ให้ลุกขึ้น เขาเดินนำไปที่ตู้ที่ติดอยู่ริมผนังระหว่าประตู 2 บานของพระอุโบสถ หยอดเงินปัจจัยลงในกล่อง ก่อนจะหยิบเอาใบคำทำนายเบอร์ 30 ของตัวเองออกมาอ่าน
สายตาของเลย์จับจ้องจดจ่ออยู่ที่ใบคำทำนาย สมาธิทั้งหมดพุ่งไปที่คำทำนายที่เหมือนเป็นคำกลอน ผมแอบอ่านอยู่ข้างหลัง เหมือนจะมีใจความท่อนหนึ่งเกี่ยวกับการเดินทาง และความรัก
“การเดินทางจะทำให้เจอความรักงั้นเหรอ นี่ถ้าเมื่อกี๊ตอนสุดท้าย ถ้าผมได้ผลจากไม้เสี่ยงทายเป็นใช่เนี่ย ไม่แปลว่าเราคู่กันเหรอ” เพราะเลย์มีสมาธิกับกระดาษตรงหน้ามาก ผมเลยแกล้งยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆหู ซึ่งก็ทำให้เขาตกใจ ผงะถอยหลังแล้วเอามือทาบอก ผมขำกับท่าทางแบบนั้น นั่นก็ทำให้เขาขำออกมาเหมือนกัน บรรยากาศก็เลยดูเหมือนจะเบาลง
เลย์พับเอากระดาษคำทำนายสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเราจึงออกจากพระอุโบสถ เดินไปทางท่าเรือจึงเห็นคนมากมายยืนล้อมโต๊ะอะไรสักอย่างอยู่ ป้ายไวนิลข้างๆที่เห็นแวบๆเป็นชื่อโครงการ “Water Festival 2017” เสียงโทรโข่งประกาศอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะคนเยอะเลยฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
ผมมองไปที่เลย์ เขาเหมือนอยากรู้ว่าคนมุงอะไรกัน แต่ก็เหมือนกลัวๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับไปที่รถ ในขณะที่ตัวผมรู้ตัวอีกทีก็จูงมือเขาฝ่าฝูงชนเข้าไปถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ตรงนั้นแล้ว
เจ้าหน้าที่อธิบายว่าโครงการนี้เป็นโครงการเรือนำเที่ยว 4 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่ถ้าสะสมตราประทับครบทั้ง 4 วัด ก็จะนำมาแลกของที่ระลึกเป็นน้ำมนต์ขวดเล็กๆได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยื่นแผ่นพับที่เป็นรายละเอียดตารางการเดินเรือกับแผ่นสะสมตราประทับในแผ่นเดียวกันมาให้
เมื่อรับมาแล้วผมก็จูงมือเลย์มาต่อแถวรอขึ้นเรือ ตรงแถวที่รอเรือคนไม่ได้เยอะเหมือนกับตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์แล้ว เลย์ก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา เลยถามว่าเรามาต่อแถวรอเรืออะไร ผมเลยให้เขาอ่านแผ่นพับในมือดู เนื่องจากเราไหว้กันมา 7 วัดแล้ว ผมเลยตั้งใจว่าจะแวะแค่ 3 ท่าคือ ท่ายอดพิมานที่มี Community Mall เพื่อกินข้าวเที่ยงก่อน ตามด้วยท่าเตียนวัดโพธิ์ ปิดท้ายด้วยท่าน้ำวัดอรุณ แล้วก็วนกลับมาที่วัดกัลยาณ์แห่งนี้
เมื่อถามความเห็นเลย์ เขาก็บอกว่าเอาตามนั้น เมื่อลงเรือมาเราจึงนั่งยาว ไม่แวะลงที่ท่าวัดประยูร แต่เลยมาลงที่ท่ายอดพิมาน
พอลงจากเรือแล้ว เลย์ดูงงๆ คิดว่าเขาคงยังไม่เคยมาที่นี่ ผมเองก้ไม่เคยมา แต่ตอนที่นั่งเรือผมลองค้นกูเกิลดู เห็นว่าที่นี่มีสาขาของร้านที่ผมไปกินกับครอบครัวบ่อยๆตั้งอยู่บนชั้น 2 ผมเลยตั้งใจไปกินที่นั่น
เมื่อเข้าไปในร้านที่ลุกค้าแทบไม่มีเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนบ่าย 2 โมงแล้ว บริกรจึงนำเมนูอาหารมาให้เลือก เลย์เปิดพลิกไปมาเหมือนตัดสินใจไม่ถูก ส่วนผมก็แทบไม่ต้องเปิดดูเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะกินอะไร ผมถามคนตรงหน้าว่าจะกินอะไร เขาตัดสินใจไม่ถูกเลยบอกว่าจะกินเหมือนผม
ระหว่างกินข้าวเลย์ไม่ได้ชวนผมคุย เขาดูตั้งอกตั้งใจกิน ผมเองก็ไม่ได้ชวนเขาคุยเช่นกัน ปกติผมจะชอบกินข้าวเงียบๆ ถ้าไม่มีใครชวนคุยผมก็จะไม่ได้คุยก่อน
ผมกินของผมไปเรื่อยๆ สลับกับมองคนที่อยู่ตรงข้ามกิน สำหรับผม เลย์เป็นคนมีสเน่ห์ เขาเป็นคนที่ทำอะไรก็น่ามองไปหมด ดูนุ่มๆนวลๆ
ผมตกใจกับความคิดเหล่านี้นิดหน่อย ที่ผ่านมานอกจากแพรผมก็ไม่ได้มองใครอีก นั่นทำให้ผมคิดว่าผมชอบมองผู้หญิง แต่ในตอนนี้ ผมควรเริ่มเปิดใจกับตัวเอง ยอมรับตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของเพศอีกต่อไป ไม่ว่ามันอาจจะเพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้ หรือเป็นมาแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ตามแต่
หลังจากของคาวก็มาต่อที่ของหวาน ผมยังไม่เคยกินเผือกหิมะของที่นี่ แต่คิดว่าน่าจะโอเคเลยสั่งมาชิม สำหรับผมคิดว่ามันก็อร่อยดี แต่คนที่ดูตื่นตาตื่นใจคือเลย์ เขารีบกิน แล้วก็บ่นว่าร้อนลวกปาก ท่าทางเหมือนเด็กของเขาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา
หลังของหวานก็เป็นเวลาจ่ายเงิน เลย์ตั้งใจจะจ่ายค่าอาหารจานกลางที่เป็นผัดผักบุ้ง กับเผือกหิมะให้ แต่ผมก็รั้งไว้เพราะนั่นผมตั้งใจสั่งมาให้เขาชิม และเราก็กินด้วยกัน สุดท้ายก็มาจบลงที่การหารครึ่งซึ่งแฟร์ๆกับทุกๆฝ่าย ผมก็ขำตัวเองเหมือนกันที่อยู่มาวันหนึ่งจะต้องมาแย่งกันจ่ายเงินกับคนอื่น ปกติกินกับเพื่อนก็ต่างคนต่างจ่าย กินกับแพรผมเป็นคนจ่ายอยู่แล้วเพราะเป็นผู้ชาย และแพรก็กินนิดเดียวจนผมกลัวจะไม่อิ่มทุกที
จากนั้นเราจึงไปรอเรือที่ท่าโดยไม่เดินไปปากคลองตลาดด้านหลัง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีอะไรนอกจากดอกไม้เต็มไปหมด เรามาไม่ทันเรือรอบที่เพิ่งออกไป จึงต้องรออยู่ 15 นาทีกว่าเรือจะมาอีกลำ
ที่ต่อไปที่เราแวะคือวัดโพธิ์ เมื่อเห็นปริมาณคนตรงท่าเตียนแล้วผมเลยเลือกที่จะจูงมือเลย์เอาไว้ ตั้งใจให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้ฝ่าฝูงชนเยอะขนาดนี้คนเดียว จะได้ไม่ยืนเหม่อและหายไป เราเดินจับมือกันจนเข้ามาสู่เขตวัดโพธิ์ จากตรงนี้จะผ่านวิหารที่มีพระนอนองค์ใหญ่อยู่ ด้านในมีคนไม่มากผิดจากจำนวนคนที่ท่าเรือ
หลังกราบพระ เราก็มองไปรอบๆพระอุโบสถ และเลือกที่จะเอาธนบัตรหยอดกล่องปัจจัย แล้วเดินหยอดตามบาตรเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมผนังรอบตัววิหาร เสียงเหรียญกระทบกันดังเป็นจังหวะตลอด เลย์เดินนำหน้าผมอยู่ผมเลยไม่เห็นหน้าเขา แต่หลังจากหยอดเหรียญเสร็จเขาก็ดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่เรือเทียบท่า
หลังออกจากพระวิหาร เมื่อเดินเข้าไปในวัดลึกอีกหน่อยเราก็เจอกับรูปปั้นฤาษีดัดตน ผมเดินเข้าไปจัดท่าทางอยู่ข้างๆรูปปั้นตนหนึ่ง แล้วจัดท่าทางให้เหมือน เลย์ทำสีหน้าแปลกๆ ทำตาโตเหมือนตกใจ แต่ก็หัวเราะจนมือสั่น ในที่สุดเขาก็ถ่ายรุปออกมาได้
ผมแลกเฟสบุ๊คกับเลย์หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ ที่จริงกะจะขอช่องทางติดต่อเพื่อจะขอรูปหลังจากที่ครบ 9 วัด แต่ผมกลัวลืม เลยรีบขอเอาไว้ก่อน ผมเปิดหน้าแอพเพื่อให้เลย์ค้นหาชื่อตัวเองแล้วแอดไป เขารับแอดทันทีหลังจากส่งโทรศัพท์คืนให้ผม
เนื่องจากเราไม่มีใครอยากเข้าไปนวด เมื่อถ่ายรูป แลกเฟสบุ๊คกันเสร็จแล้วจึงออกจากวัดไปที่ท่าเตียนเลย เรารอเรืออยู่ 2 รอบกว่าจะได้ขึ้นเพราะคิวยาวมาก
เรือแล่นข้ามฟากมาเทียบท่าที่วัดสุดท้ายของวันนี้ คือ วัดอรุณ เมื่อเลย์สังเกตเห็นว่าพระปรางค์ปิดบูรณะก็ทำหน้าเสียดายขึ้นมา เขาถ่ายรูปพระปราค์ที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบเอาไว้ โดยบอกว่าเป็นที่ระลึก จากนั้นเราจึงเดินเลยส่วนของพระปรางค์ที่อยู่ริมน้ำเข้าไปไหว้พระประธาน
หลังไหว้พระเสร็จ เราก็มาที่ท่าน้ำเพื่อลงเรือกลับไปยังวัดกัลยาณ์ที่จอดรถเอาไว้ คราวนี้ไม่ต้องรอเรือเลยเพราะเรือเข้าเทียบท่าพอดี ตอนนี้บ่าย 4 โมงกว่าๆเราก็กลับมาถึงที่ลานจอดรถวัดกัลยาณ์แล้ว
“คุณจะให้ผมไปส่งตรงไหน/จะไปไหนกันต่อมั้ย” พอคิดว่าจะต้องกลับบ้านที่ไม่มีใครอยู่ตอนนี้ผมก็รู้สึกโหวงๆในใจ คิดแค่ว่าจะไปที่ไหนสักที่ต่อเลยเอ่ยปากถามเลย์ไปแบบนั้น
เลย์เสนอว่าเราจะไปเอเชียทีคกันต่อ เขาจะขับรถไปเพราะขี้เกียจนั่งเรือวนกลับมาเอารถแล้ว ผมตกลงและขึ้นไปนั่งข้างบนรถของเขาต่อ คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง ระยะทาง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึง
ระหว่างทางเดินจากที่จอรถ เราเดินทะลุโกดังร้านค้าโซนต่างๆ ระหว่างที่เดินเรา ไม่สิ ควรจะบอกว่าผมคนเดียวได้ของกินเล่นมาเต็มไม้เต็มมือ ส่วนของเลย์เป็นอิตาเลียน โซดาแก้วใหญ่แก้วเดียว เมื่อเดินมาจนถึงริมน้ำเลย์ก็หยิบกล้องออกมา แล้วไล่ผมไปยืนติดริมระเบียงเพราะเขาจะถ่ายรูป ผมจะยื่นถุงของกินให้เขาถือจะได้ถ่ายรูปสวยๆ แต่เขาบอกว่าไม่ต้องเพราะอยากจะถ่ายแบบที่ดูเป็นธรรมชาติ แถมยังบอกว่าให้กินไปชมวิวไปก็ได้เดี๋ยวตามถ่ายเอง
พอแสงหมดเลย์ก็เก็บกล้อง และบอกว่าจะไปต่อแถวขึ้นชิงช้าสวรรค์ เราซื้อตั๋ว 2 ใบ ตอนที่ยืนรอเสียงซาวนด์เช็กจากเวทีการแสดงข้างๆก็ดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ ตอนนี้ชิงช้าสวรค์เพิ่งเปิด รอไม่นานเราก็ได้เข้าไปนั่งในตัวชิงช้า
ชิงช้าสวรรค์หมุนไปเอื่อยๆ ผมมองไปที่วิวด้านนอก แสงไฟจากตึก และถนนเริ่มติดขึ้นมาเพราะพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แสงไฟสะท้อนกับผิวน้ำเป็นประกาย ผมนึกตกใจตัวเองเหมือนกันที่วันนี้ผมไม่ได้รู้สึกจิตตกปล่อยเวลาให้หมดไปวันๆเหมือนก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกดีที่ได้ออกมาเที่ยว
แน่นอนว่าความเศร้า และรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้เวลากับแพรให้มากกว่านี้ ก็ยังฝังอยู่ในใจของผม มันอาจจะกลายเป็นความรู้สึกผิดชั่วชีวิต หรือสักวันหนึ่งจะจางหายไปเหลือเพียงบทเรียนสำหรับการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนผมก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย
แต่แล้วผมก็ผละจากวิวในมุมสูงมาที่คนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ไม่ก็ด้านข้างเสมอตลอดทั้งวันนี้ ผมไม่รู้ว่ามันจะผิดไหม ไม่รู้ว่ามันจะเร็วไปไหมถ้าผมจะเปิดใจ และลองเริ่มต้นพูดคุย กับคนที่ทำให้ผมสบายใจ คนที่รู้สึกผิดที่พูดอะไรออกมาแล้วผมเผลอทำหน้าเศร้า ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ผมแปลความหมายว่าเขากำลังใส่ใจผม
ผมแกล้งเลย์โดยการเอามือไปบังหน้าเลนส์ไม่ให้เขาถ่ายรูป แกล้งหยอกเขาว่าให้ดูวิวบ้าง เขาทำตามที่ผมบอก และผมก็ใช้เวลาที่เขากำลังดื่มด่ำกับวิวภายนอกในการแอบถ่ายรูปเขา แล้วตัดสินใจพูดประโยคหนึ่งออกไป ด้วยเจตนาอยากจะสานต่อ
“นี่คุณ ถ้าสมมติว่านานๆทีผม จะทักไปบ้าง คุยกันบ้าง หรือออกมาหาของกินอร่อยๆ คุณจะโอเคใช่มั้ย” ผมถามเขาออกไปแล้ว จากนี้เราอจจะไม่ได้คุยกันในฐานะคนรู้จักกัน แต่เป็นในฐานะของคนที่กำลังศึกษากันก่อนตัดสินใจคบกันเป็นแฟน หรือสถานะอื่นๆต่อไป
ซึ่งผมก็คิดว่าเลย์เข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในประโยคนี้ เพราะแม้ไฟจะสลัว สีหน้าจะนิ่งขนาดไหน แต่แก้มของเขาก็ซับสีแดงอ่อนๆ กับการหลบตาแบบนั้นผมคิดว่าเขาคงจะเขินอยู่แน่ๆที่อยู่ดีๆก็โดนขอจีบ
“ครั้งหน้าพาผมไปร้านเผือกหิมะตรงศาลเจ้าพ่อเสือด้วยแล้วกัน อย่าให้นานจนลืมล่ะ” เลย์ตอบผมตอนที่ชิงช้าสวรรค์หมุนครบรอบพอดี เขารีบเดินออกไป และมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าเราตั้งใจจะมากินข้าวกันที่นี่
...ซึ่งนั่นผมจะขอนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของผมก็แล้วกัน...
End of the day, but the story is never ending.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Talk - เนื้อเรื่องทั้งหมดจบลงแล้วค่ะ อย่างในประโยคสุดท้ายเลยค่ะ จบวันนี้ใช่ว่าเรื่องราวจะจบ แต่เป็นส่วนที่เราต้องไปจินตนาการเติมเต็มกันต่อว่าเรื่องราวจะเป็นไปแบบไหน ในอนาคตพวกเขาก็อาจจะทะเลาะกันบ้าน หวานกันบ้าง หรือมีเรื่องให้ต้องตัดฉากเข้าโคมไฟก็เป็นเรื่องที่เราอาจจะไม่ได้เห็น ซึ่งเราเชื่ออย่างนึงว่าพวกเขาคงไม่ปล่อยมือจากกันง่ายๆหรอกค่ะ
ซึ่งเราเองก็มีข่าวดี (หรือเปล่า?) มาบอกทุกคนค่ะ เนื่องจากเราเขียนๆ อยู่กับเรื่องนี้มาสักพัก เราก็รู้สึกผูกพัน และอยากมีรูปเล่มกับเขาบ้างแม้จะเป็นเพียงเล่มเล็กๆก็ตามค่ะ เราจึงจะสอบถามทุกคนว่า มีใครอยากได้รวมเล่มเรื่องนี้กับเรามั้ยคะ ถ้าสนใจแม้เพียงนิดหน่อย เราก็ขอเชิญให้ทุกคนทำแบบสอบถามเกี่ยวกับรูปเล่มที่ลิ้งก์นี้ค่ะ
https://drive.google.com/open?id=1z-Zu2ltmMsKvqXFuwu0R74ts98V8vXgKCYS9wRJjREw รูปเล่มนั้นจะเป็นขนาด A6 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับไลท์โนเวลเพื่อให้สามารถเข้าเล่มได้สวยงามค่ะ และจะมีตอนพิเศษสั้นๆเพิ่ม 1 ตอนชื่อ Conflict กับ มุกตลกหลังม่านชื่อ After that... ค่ะ
สปอย Conflict “ขอโทษที เลย์ลืมลงไว้ เลย์ไม่ว่าง จะเก็บห้อง” อันนี้ผมก็ผิดเองส่วนหนึ่งที่ลืมใส่ไว้ในปฏิธินในมือถือ ผมให้เมฆาเชื่อมต่อกับปฏิธินของผมไว้ ผมจะใส่กำหนดการชีวิตตัวเองอย่างละเอียดไว้ในนั้น จะได้รู้ว่าตอนไหนผมจะทำอะไร ถ้าไม่มีเขียนอะไรแปลว่าว่าง ไปไหนก็ได้
“แค่เก็บห้องเองเลย์ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ไปกับผมหน่อยนะครับเลย์ นะครับ” เขาทำเสียงอ้อนใส่ผม ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติผมคงใจอ่อน แต่วันจันทร์ผมมีงานต่างจังหวัดอีก คงจะเลื่อนการเคลียร์ห้องนี้ไม่ได้แล้ว
“ไม่ได้ แค่นี้นะ” ผมเหวี่ยงใส่เขา ก่อนจะตัดสายทันที ก่อนวางสายผมได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมตัดสินใจว่าจะไม่สนใจอีก และทำงานของตัวเองต่อไป
สปอย After that...
เซ้งปวยเมฆา – (กำลังเข้ากูเกิ้ล) //เซ้งปวย คือ//
เมฆา – (กดไลน์ ถ่ายรูปหน้าจอ) สรุปตอนเสี่ยงเซียมซี ถ้าผมเลือกรับคำทำนายนั้นก็ได้สิ
เลย์ – เหรอๆ งั้นรับมั้ย
เมฆา – รับก็รับ
เลย์ – งั้นเมฆารับความรักของเลย์ไปแล้วนะ <3
เมฆา – ... //เขินอยู่ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก//
ปล. หลังจากนี้เดี๋ยวเราก็จะทยอยเข้ามาแก้คำผิดต่างๆนานา รวมทั้งการจัดหน้า และปิดท้ายด้วยเชิงอรรถที่ว่าด้วยข้อมูลของวัดต่างๆเผื่อใครอยากไปเที่ยวตามรอยนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกยอดเข้าชม และความคิดเห็นที่ผลักดันให้เรามาไกลได้ถึงขนาดนี้ค่ะ
ด้วยรัก
magic-ca