ค่าของความรัก ตอนที่ 6 หัวใจที่วางไว้บนมือ Up 02/03/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ค่าของความรัก ตอนที่ 6 หัวใจที่วางไว้บนมือ Up 02/03/2018  (อ่าน 3936 ครั้ง)

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




==============================================================





บทนำ

คนเรา "มีมากเกินไป" เพื่ออะไร
และ "มีน้อยจนขาด" เพราะอะไร

...

พระเจ้าอาจสร้างความไม่สมบูรณ์แบบนี้ เพื่อเป็น Perfect Math

ตามหาใครสักคน ที่ความรักของเราจะมีค่า

และตามหาใครสักคน ที่มีความรักมากพอจะมอบให้
..
.
โดยไม่เรียกร้องตอบแทน.



หลายๆ คนบอกว่าชีวิตของ "ภูบดี" นั้นสมบูรณ์แบบเกินไป
หน้าตาหล่อชนิดที่ว่าใครเห็นก็คงต้องเหลียวหลัง
ครอบครัวอบอุ่น บิดามีตำแหน่งให้นับหน้าถือตา
มารดามีทรัพย์สินจินดามหาศาล
น้องสาวก็แสนดี เป็นหัวใจของคนทั้งบ้าน

แต่ความสมบูรณ์แบบนั้น
...
บางครั้งก็น่ารำคาญ
เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่อสิ่งใด
ชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรน เดือดร้อน ไม่มีความทุกข์
ไม่มีความรัก



                                                                                              แต่ "นิลเนตร" ไม่ใช่
                                                                                              หนุ่มน้อยผู้มีดวงตาดำขลับ ใบหน้างดงามมีความแข็งแกร่งฉายชัด
                                                                                              แต่กลับต้องร้องไห้จนตัวโยนในอ้อมแขน
                                                                                              คนที่เพิ่งเปลี่ยนจากความแปลกหน้ามาเป็นรู้จัก เพียงชั่วคืนเดียว
                                                                                              ....
                                                                                              นิลเนตรรักชีวิตของตัวเอง แม้จะเป็นชีวิตที่มั่นใจว่าไม่มีใครรัก
                                                                                              และรักมากพอ ที่จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้เจ็บเพราะความรัก
                                                                                              เป็นครั้งที่ 2


e.g.

      "น้อยดูแลตัวเองได้ ป๋าไม่จำเป็นต้องมายุ่ง"
หนุ่มใหญ่กดศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมดำขลับของเจ้าของแววตาน่าเอ็นดูนั่นแนบชิดกับบ่า
ภูบดีคิดว่าเขาตัวใหญ่แล้ว แต่เจอร่างกำยำเหมือนยักษ์ของชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาถึงกับไปไม่ถูก
แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สติของเขาขาดผึงก็คงเป็นทันทีที่ชายคนนั้นบรรจงจูบลงไปบนกระหม่อมบาง
ขณะที่นิลเนตรยังคงร้องไห้น้ำตานองหน้า
      "ปล่อยน้อยเดี๋ยวนี้"
แววตาดุดัน ยิ่งกว่าจงอางแผ่แม่เบี้ยเพ่งพุ่งไปที่ภูบดีให้ล่าถอย แต่เขาใจเย็นมานานแล้ว
เขาอาจปล่อยให้น้อยขั้วกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าได้ แต่จะให้ใครมาครอบครองเป็นเจ้าของน้อย
เขาไม่ยอมเด็ดขาด!
      "....."
 เขาเหวี่ยงน้ำหนักหมัดเต็มแรงไปที่ดวงตาหรี่เรียวแต่ดุดัน แทนที่เจ้านั่นจะปัดป้อง กลับยกมือป้องกันไปที่ตัวน้อย
ราวกับจะไม่ยอมให้แม้แต่ลมแผ่วเบาจากการเหวี่ยงหมัดกระทบหน้าเจ้าตัว
   "มึง!"
ดวงตาคู่เดิม ดุเข้มยิ่งขึ้น ชายฉกรรจ์ในชุดดำด้านหลังกรูมาจับตัวเขาไว้ ภูบดีคงหมดทางสู้ ถ้าไม่เป็นเพราะเสียงครางจากน้อยเรียกสติ
  "ช่ะ ช่วยด้วย"
ภูบดีไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ สะบัดหนีแล้ววิ่งพุ่งตรงไปที่น้อยทันที
น้อยดูเหมือนไม่มีสติ ข้อมือเล็กขยับเสื้อไปมา
"...น่ะ น้อยร้อน.."






-------------------------------------


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2018 19:15:00 โดย bangpahn »

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 1 Up 21/1/2018
«ตอบ #1 เมื่อ21-01-2018 19:38:03 »

ตอนที่ 1




ถ้าถามว่าผมอิจฉาใครที่สุดในโลก
คนนั้นก็อาจจะเป็น "ภาขวัญ"
สาวน้อยคนเดียวในกลุ่มชายฉกรรจ์หลังห้อง ที่เข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มนี้ได้ เพราะ "ไอ้เพชร" แฟนหนุ่มยี่ห้อเดือนมหา'ลัยของเธอ
หรืออันที่จริงแล้ว เธอก็อาจจำเป็นจะต้องเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มนี้ เพราะกลัวว่าทั้งแก๊งค์จะไม่มีใครเรียนจบสักคน
...
ผมไม่ได้อิจฉาที่เธอเป็นแฟนไอ้เพชรหรอกนะ พูดไปแล้วก็จะขนลุกเปล่าๆ เพราะผมไม่ได้มีรสนิยมทางนั้นสักหน่อย
แต่ที่ผมอิจฉา
ผมอิจฉาใบหน้าน่ารักนั่น.
ที่มันเติมแต้มด้วยรอยยิ้มสดใสเสมอ
เธอไม่ใช่คนสวยโดดเด่น
ความน่ารักก็ไม่ได้ติดอันดับของคณะ
ดวงตากลมโตประกายก็ถูกหม่นแสงแล้วด้วยแว่นตาเตอะหนา
 แต่ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้รอยยิ้มของเธอลดความสดใสนั่นไปได้
มันสดใส ซะจนคนที่มืดมนอย่างผมเหมือนจะสว่างไปด้วย
สดใส...ซะจนผมอยากเข้าไปใกล้กว่านี้
,,, แต่ก็กลัว กลัวว่าความเจิดจ้านั่นจะทำลายตัวผมเสียเอง
...
ปกติแล้ว
ผู้ชายเขาอิจฉาผู้หญิงกันหรือเปล่านะ?
ผมถามตัวเองแล้ว แต่ไม่ได้คำตอบ
เลยทำได้แค่มองรอยยิ้มเธอ แล้วลอบยิ้มอยู่ห่างๆ
บ่อยครั้งที่ผมคิดว่า ทำยังไงผมถึงจะได้ครอบครองรอยยิ้มนั่นนะ
จริงๆ แล้ว คนที่ผมอิจฉาอาจเป็น ไอ้เพชรมากกว่า
แต่ไม่ล่ะ
ไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน
ให้ผมอิจฉาภาขวัญอย่างนี้ต่อไปก็ดีแล้ว


"น้อยคิดว่ายังไง"
"หืม.."
"เหม่อลอยอีกแล้วเหรอ"
ภาขวัญเอียงคอ คิ้วขมวดกันด้วยความไม่พอใจที่ติดอยู่ทั้งปลายเสียง และสีหน้า ปากบางเล็กบึนขึ้นอย่างเอาแต่ใจ
แล้วคนอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากบีบจมูกเธอด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วดันออกให้ห่างจากระยะประชิดไปนิด
"อ้าวๆ สวีทกันอีกแล้วนะคู่นี้"
เสียงหมาเห่าหอนมาแต่ไกล
ไอ้เบท เพื่อนอีกคนในกลุ่มหอบหิ้วถุงขนมมาพร้อมกันกับไอ้เต๋า เพื่อนในกลุ่มชายฉกรรจ์ของผมเอง
"มึงยังไม่ชินอีกหรือวะ"
"กุไม่ใช่ไอ้เพชรนี่หว่า จะได้เห็นแฟนมันสวีทกับเพื่อนแล้วไม่รู้สึกอะไร"
ผมได้แต่หัวเราะหึ ในลำคอ ไอเพชรน่ะเหรอ เพราะมันรู้ไงว่าผมเป็นยังไง มันถึงได้วางใจว่าผมจะไม่มีทางเกินเลยกับภา
"พวกมึงจะคิดยังไง ยังไงพวกมึงก็ไม่ใช่แฟนภาอยู่ดี"
"โอ๊ย"
ไอ้เบทแกล้งทรุดลงไปแทบพื้น ทันทีที่วางขนมลงบนโต๊ะได้
"พูดแล้วกูก็เจ็บหัวใจ ภาครับ เปลี่ยนใจมาเลือกเบทยังทันนะ จุ๊บจุ๊บ"
มันส่งมินิฮาร์ทให้ภา
แต่ไอ้เต๋าแกล้งรับมาแล้วกระทืบลงพื้น
คราวนั้นแหละ ที่ภาขวัญหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ดวงตากลมโตของเธอเล็กรีลงไปเกินครึ่ง
"น่ารัก"
ผมคิดในใจ
แต่อย่างที่ไอ้เพชรรู้
คนอย่างผมไม่คิดจะเป็นมือที่สามของใคร
หรือแม้แต่จะรักใคร ผมยังทำไม่เป็นเลย

"แล้วเมื่อก๊ีคุยถึงไหนกันแล้ว"
"เออ ใช่"
เหมือนไอ้เต๋าจะทำให้ภาจำอะไรได้ขึ้นมา
"คุยไม่ถึงไหนอ่ะ น้อยเอาแต่เหม่อ"
"เหม่อไปถึงน้องไหมอ๊ะเป่าวะ ดาวถาปัตย์ห้าวแต่แซ่บ"
ผมส่ายหัว ไอ้พวกนี้ก็จินตนาการไปเรื่อย เพราะผมไม่เคยเล่า  แต่ก็ไม่ปฏิเสธให้พวกมันต้องซักไซร้ต่อ
"พูดอะไรเกรงใจกันด้วย ภาก็อยู่ตรงนี้"
สาวน้อยหนึ่งเดียวเสียงแข็ง และเป็นสัญญาณที่ดีให้ทุกคนเริ่มต้นคุยงานกันเสียที

......

ผมและเพื่อนๆ เรียนอยู่ชั้นปี 2 กันแล้ว ในมหาวิทยาลัยชื่อดังกลางใจเมืองแห่งนี้
พวกเราเลือกเรียนการตลาดด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร ยกเว้นภาขวัญ ที่มีธุรกิจที่บ้านและเธอตั้งเป้าไว้ว่าจะกลับไปสานต่อ
เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบางานของพี่ชาย
...
ผมเล่าไปหรือยังนะว่าภาขวัญมีพี่ชาย แต่จริงๆ ก็ไม่สำคัญหรอก เพราะนอกจากเรื่องเล่าแล้ว ผมก็ไม่เคยเจอชายหนุ่มคนนั้น เพราะภาขวัญเองก็เพิ่งเข้ามาในกลุ่มของผมได้ไม่นาน  แต่ห้ามนับที่ผมและเธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ล่ะ
ท็อปปิคนี้คงต้องเล่าแล้วล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องราวของเจ้าของรอยยิ้มที่ผมอิจฉาอยู่นี่

ตอนเด็กๆ ภาขวัญถูกคุณป้าขอไปเลี้ยงเป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าที่อยู่ต่างจังหวัด  ในขณะที่ครอบครัวของเธอต้องทำงานอยู่ต่างประเทศ
ตัวผมเองอยู่ที่บ้านสวนหลังเดิมมาตั้งแต่จำความได้ จนได้มีเธอมาเป็นเพื่อนเล่น และเราก็เรียนด้วยกันจากวันนั้นจนวันนี้ ต่างตรงที่ภาย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวจริงๆ แล้ว หลังจากคุณปู่คุณย่าเสีย
ส่วนผม,
ผมยังอยู่ที่เดิม แม้ว่าจะไม่เหลือใครแล้วก็ตาม
...
ที่จริงแล้ว ผมกับภาขวัญควรจะชอบกันเสีย หรืออย่างน้อยก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปซะเลย
แต่ผมบอกแล้ว ผมแพ้แสงสว่างเจิดจ้าในตัวเธอ
และระยะห่างที่เรามีต่อกันทำให้ผมปกป้องตัวเองได้อย่างดี
จะมีก็แต่ความเอ็นดูจากหัวใจเท่านั้นแหละ ที่เป็นเยื่อใยระหว่างผมกับเธอ ให้มีสายใยของความใกล้ชิดที่เจือจาง ไม่ล่วงล้ำ แต่ก็ไม่มีวันขาดสะบั้น
...
..
.
"ตกลงเอาหัวข้อนี้นะ"
"อืม"
ผมตอบรับ ได้ยินลางๆ ว่าเพื่อนๆ ถกเถียงประเด็นการจัดงานสัมนาที่จะต้องไปนำเสนอต่ออาจารย์ เพื่อจองหัวข้อ และดูเหมือนว่าใครเร็วคนนั้นก็ได้ ได้หัวข้อง่ายๆ ได้สัปดาห์ที่จะนำเสนอตามที่ต้องการ
"คนที่มาเป็นวิทยากร เอาอาของไอ้เพชรเลยมั้ย"
ไอ้เบทถามถึงอาของเจ้าเพชรที่ทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ และเป็นนักวิเคราะห์เศรษฐกิจมือฉมัง
"ก็ดีนะ เดี๋ยวรอเพชรมาแล้วถามอีกที"
ผมยกนาฬิกาข้อมือดู หกโมงแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่เพชรจะใกล้กลับมาเลย
"วันนี้พ่อแม่เราชวนเพชรไปทานข้าวที่บ้านน่ะ เพชรเลยจะออกมาเร็วหน่อย น้อย เบท เต๋า ไปด้วยกันนะ"
"ไม่ล่ะ"
ผมตอบปฏิเสธแบบทันควัน
"โหย คิดก่อนสิวะเมิง นานๆ พ่อแม่ภาจะกลับมาซักที ไม่ไปไหว้เขาหน่อยเหรอวะ"
"กูไม่ใช่ลูกเขยเค้า"
"ข้าวฟรีนะเมิง"
ไอ้เบทย้ำ
"เออ เห้ย ไปเป็นเพื่อนกุหน่อยดิวะ"
เสียงแข็งแรง พร้อมน้ำหนักมือที่ลงเต็มไหล่ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าใครมาถึงแล้ว
"คบหาสมาคมกับเพื่อนบ้าง ทองไม่ลอกจากตัวเมิงหรอก"
ไอ้เพชรย้ำ พร้อมฝ่ามือที่ตบไหล่ผมแรงๆ จนรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดหน่อย
"เมิงอย่ารุนแรง ดูตัวไอ้น้อยมันด้วย"
ผมไม่ได้ตัวเล็กจนน่ากังวลอย่างที่ไอ้เต๋ามันว่าหรอก แต่เป็นเพราะในกลุ่มมีแต่ชายร่างใหญ่ หุ่นมาตรฐานชายไทยอย่างผมจึงดูด้อยลงอย่างช่วยไม่ได้
"เมิงไม่กล้าเจอพ่อแม่ของภาคนเดียวก็พูดตรง"
ผมทำเสียงเยาะไอ้เพชร แล้วก็ได้ผม มันผลักหัวผมออกอย่างลงโทษ
"ไม่ใช่แค่พ่อแม่เค้า พี่ชายเค้าด้วย"
"ภาก็บอกแล้วไง ว่าพี่ภูของภาไม่ดุ"
"จ้า ไม่ดุเลยยยย แต่เสียงเนี่ยเนียนกริ๊บทุกคำ ไม่มีโทนเสียงขึ้นลงเลย"
"เพชรคิดมาก พี่ภูก็พูดแบบนี้กับทุกคนน่ะแหละ"
"ทุกคนจริงอ่ะ ทีพูดกับภา คะขาทุกคำ"
"ก็พาเป็นน้อง"
"เพขรก็น้อง"
"เอ๊ะ"
ไอ้เพชรกับภาขวัญเข้าโหมดทะเลาะ และมุ้งมิ้งกันอีกแล้ว ผม ไอ้เบท และไอ้เต๋า เห็นจนชิน แต่แบบนี้ก็ดี ดีกัน ทะเลาะกัน ชีวิตมีสีสัน ดูท่าสองคนนี้จะไม่เบื่อกันง่ายๆ
"ไปไม่ไป พวกเราก็เดินไปห้องอาจารย์ก่อนมั้ย อาจารย์นเรศบอกว่าวันนี้แกกลับสองทุ่ม"
ไอ้เต๋า ที่เกเรน้อยสุดออกความเห็น  ดูท่าแล้วมันไม่ได้อยากไปส่งงานหรอก แต่รำคาญจุดที่จะเทิร์นมามุ้งมุ้งของเพชรกับภามากกว่า
"มันเป็นวงโคจรของแฟน" ไอ้เพชรเคยบอกไว้ ในฐานะที่มันเป็นคนเดียวที่มีความสัมพันธ์แบบปิดในช่วงนี้
วงโคจรของความแฟนที่ไอ้เพชรบอกไว้ หมายถึง พูดกันธรรมดา แล้วทะเลาะ แล้วกลับมามุ้งมิ้ง ไปไกลถึงสวีท ก่อนจะกลับมาพูดจาธรรมดา ทะเลาะ แล้วเวียนไปมาอีกครั้ง
แล้วในฐานะที่มันกับภาเป็นคู่รักคู่เดียวในกลุ่ม วงโคจรของความแฟนที่ทุกคนจะเกลียดสุดก็เลยเป็นมุ้งมิ้ง กับสวีท หลังทะเลาะเนี่ยแหละ
ล่าสุด
ภาคงอยู่ในสภาวะหน้าหงิก
ส่วนไอ้เพชร เหมือนจะรู้ที ดึงหัวภาที่สูงแค่ไหล่มันมาแนบกับไหล่ เอาแขนที่ยาวของมันคล้องคอจากด้านหน้า เพื่อไปโอบหัวให้ซบลงมาแล้วรูปเบาๆ ไอเบทกับไอเต๋าเดินนำไปแล้ว เลยไม่เห็นภาพนั้น
ส่วนผมที่เดินตามหลังมา ไม่เห็นใบหน้าของภาแต่ก็รู้ว่าอีกพักเดี๋ยวเท่านั้น เธอก็คงจะยิ้มได้อย่างที่เคย
บางทีผมก็คิด ความลับของรอยยิ้มภาอาจมาจากความรักก็ได้
...แต่ถ้าเป็นความรัก
ผมไม่เสี่ยงดีกว่า, ชีวิตของผมตอนนี้มันดีอยู่แล้ว
...
..
.
เราเสร็จธุระกันตอน 1 ทุ่ม เพราะรออาจารย์ส่วนหนึ่ง และเพราะอาจารย์มีเรื่องบ่นมากมายให้กลุ่มพวกเราเป็นส่วนสำคัญ
ไอ้เพชรรับคำเรื่องที่จะไปคุยกับอามันให้ ส่วนหน้าที่การหานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดอย่างเห็นได้ชัด เป็นเรื่องที่ผม ภา ไอ้เบท และไอเต๋าต้องทำ ส่วนใครจะทำเป็นหลัก ดูจากรายชื่อที่มีก็คงจะพอรู้

"ไปทาวข้าวบ้านภานะ"
"ไป"
"ไป"
เสียงแรกเป็นของไอ้เบท เสียงที่สองเป็นของไอ้เต๋า
"เรากลับบ้านดีกว่า อยากพัก"
ผมยิ้มน้อยๆ ปฏิเสธเสียงเนือย ให้เห็นจริงๆ ว่าเหนื่อย
"เมิงจะไม่ไปไหนเลย นอกจากบ้านเมิงเอง และผับว่างั้นดิ"
เหมือนไอ้เพชรจะจี้ใจดำ แต่ผมเฉยๆ
"ผับกุไปทำงาน ส่วนบ้านกุไปนอน ทำสองอย่างนี้กุก็ไม่ว่างทำอย่างอื่นละ"
ผมตอบไอ้หน้าหล่อขำๆ ก่อนหันไปพูดเสียงอ่อนโยนกับสาวน้อย
"ไว้วันหลังนะภา วันนี้น้อยเหนื่อยมากเลย เมื่อวานเลิกงานเกือบเช้า แล้ววันนี้ก็เรียนแต่เช้า"
"อ่า...ก็ได้"
ภาขวัญเสียงอ่อน เพราะการเข้าเรียนแต่เช้าวันนี้เป็นเพราะเธอโทรปลุกผม  ถึงจะเป็นด้วยความหวังดี แต่คนอ่อนโยน และคิดมากอย่างภา ต้องคิดอยู่แล้วว่าตัวเองทำให้ผมเพลียอย่างนี้
"งั้นน้อยขอตัวก่อนนะ"
ผมบอกลาภา
"กุไปแล้วนะเมิง เจอกันวันจันทร์"
"เออ"
ไอ้สามตัวนั่นตอบรับ ผมแยกเดินไปอีกทาง ที่เป็นด้านหลังตึกพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย ที่จอดประจำของผม ที่ไม่ค่อยมีใครไปจอดด้วย

"แมลงเข้ารถกุ"
ไอ้เพชรบอก เพราะครั้งหนึ่งมันไปจอดกับผม แล้วมดและแมลงมาจากไหนไม่รู้ เข้ารถมันไปเต็มๆ
ส่วนผม ผมเข้ากันได้ดีกับต้นไม้ที่หลังตึกมั้ง มันเลยไม่เคยขับไล่ผมสักครั้ง

กระบะเก่ากึกของผมไม่ซ่อนสายตาใคร แต่ความเก่าของมันทำให้ไม่มีใครสนใจจะถามหาเจ้าของ เดาไม่ยากว่าหลายคนคงคิดว่าเป็นของคนสวน
ส่วนเพื่อนที่เห็นว่าผมขับคันนี้ ก็ถามว่าผมเอา Volvo ไปไหน
"จอดอยู่"
ผมตอบ และไม่คิดจะนำมันกลับมาใช้อีกครั้ง
แม้ว่ารถกระบะเก่ากึกคันนี้ จะสตาร์ทติดบ้างไม่ติดบ้างก็ตาม
"แค่ก แค่ก แค่ก แค่กกกกกก"
ครั้งแรกไม่ติด ลองอีกสักที
"แค่ก แค่กกกก แค่กกก แค่กกกกกกกก"
ไร้สัญญาณตอบรับที่ดี ผมคงต้องลองอีกสักที
"กึก กึก"
คราวนี้แม้แต่การกระแอมกระไอก็ไม่มี
"ให้ผมช่วยมั้ย?"
?
ใคร ผมหันไปตามเสียง ไม่เห็นว่าเป็นหน้าใคร เห็นแต่ประกายวาววับของแว่นตาที่เขาสวมอยู่
"อ้าว พี่ภู น้อย เกิดอะไรขึ้น"
ผมและเขาหันไปตามเสียงที่คุ้ยเคย
ภาขวัญใช้ไฟฉายส่องสว่างมาที่ใบหน้า จนเข้าตาผม
"อุ้ย ภาขอโทษ"
ภาลดไฟลง แต่ผมรู้สึกได้ว่า มีบางอย่างจับจ้องที่ใบหน้าของผมแทนไฟฉาย จนผมต้องหันไปมองกลับ กับเจ้าของแว่นแวววับผู้แปลกหน้านั่น
"พี่ภูใช่ไหมครับ"
"ครับ"
"ผมน้อยครับ"
"ครับ"
"รถสตาร์ทไม่ติดเหรอน้อย"
"ใช่ แจ็คพอตวันที่เลิกดึกพอดีเลย"
"เลิกดึกเพราะเพชรด้วยนี่สิ"
นี่แหละ คนแบบภาขวัญ รู้สึกผิดไปได้ทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่ใช่เพราะเธอแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้จะเลิกดึกเพราะรอไอ้เพชรเลิกกิจกรรม แต่เพชรมันก็เพื่อนผม ใช่ว่ามันเป็นแต่แฟนเธออย่างเดียว ไม่เป็นเพื่อนกับใครเลยซะที่ไหน
"คิดมากน่ะภา ไม่ใช่เพราะภาหรือเพชรซะหน่อย"
เอามือไปประคองหน้าเธอแบบปลอบประโลมด้วยความเคยชิน ลืมไปซะสนิท ว่าพี่เธออยู่ตรงนี้ด้วย
"อ่ะแฮ่ม"
เสียงกระแอมนั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกตัว"
"เอ่อ ขอโทษครับ"
"ครับ"
แล้วใจคอของพี่ภูจะพูดแค่ครับ กับกระแอมแค่นี้หรือไงนะ
"น้อยใช่ไหม"
"ครับ"
เหมือนเขาจะรู้ว่าผมค่อนอะไรไว้ในใจ เลยป้อนคำถามที่ทำให้ผมตอบได้แค่แบบเดียวกับเขาเป๊ะ"
"เปิดกระโปรงรถหน่อยสิ เดี๋ยวพี่ดูให้"
"ไม่เป็นไรครับ ดึกแล้ว เดี๋ยวน้อยเรียกแท็กซี่ออกไป แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมาดูก็ได้ครับ"
"ทิ้งรถไว้อย่างนี้ แล้วน้อยจะเอาอะไรใช้"
ที่จริงแล้วผมมีวอลโว่จอดไว้ที่บ้าน แต่ยังไงซะ ผมก็คงไม่เอามันออกมาใช้อีก
"เอากุญแจมา เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
ยังโกรธที่ผมไปแตะต้องภาอยู่หรือไงนะ เสียงถึงได้แข็งเชียว
ผมคิดในใจ แล้วก็ยื่นกุญแจให้แต่โดยดี
...
พี่ภูรับกุญแจไป เปิดกระโปรงรถ แล้วก็หยิบจับนู่นนี่นั่นอย่างคล่องแคล่ว ผมเห็นภาขวัญไปยืนส่องไฟให้ เลยนึกรู้หน้าที่ตัวเอง เปิดรถหยิบโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไว้ มาทำหน้าที่ในฐานะเจ้าของรถบ้าง
"ขั้วแบตเตอรี่มันหลวมมากเลย แล้วก็เหมือนสายไฟจะชำรุดด้วย แล้วนี่ไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมานานเท่าไรแล้วเนี่ย"
เสียงดุของพี่ภู นำทางมาก่อนสายตา ผมอึ้งไปทันที เมื่อได้เห็นหน้าเขาเต็มๆ
ส่วนภาขวัญน่ะเหรอ ปล่อยเสียงก๊ากอย่างห้ามไม่ได้
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พี่ภู"
"หัวเราะอะไรยัยภา"
"ดูหน้าสิคะ มาน้อย ภายืมมือถือหน่อย"
ภาเอาโทรศัพท์ผมมาเปิดกล้อง ให้พี่ภูของเธอได้เห็นหน้าตัวเอง พี่ภูมองซ้ายขวา ดูจะไม่ชอบใจเท่าไรนัก จนผมรู้สึกผิดขึ้นมา
"เอ่อ ผมขอโทษนะครับ"
"ขอโทษเรื่องอะไร"
"เรื่องที่ทำให้พี่ภูกับภาลำบาก ทำให้เลอะด้วย"
"ขอโทษทำไม เราไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย"
"..."
พี่ภูพูดนิ่งๆ ง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไม ถึงทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้อย่างประหลาด
"แล้วทำยังไงดีคะพี่ภู"
พี่ภูของภานิ่งไปวูบเดียว
"เอาเป็นว่าพี่ขออนุญาตตัดสินใจละกันนะ ทิ้งรถไว้ที่นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ให้ช่างมาทำ แล้วเอาไปส่งบ้านน้อย"
"เอ่อ ผมจัดการเองดีกว่า"
"ช่างของพี่อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยนี่เอง ให้พี่จัดการเถอะ ส่วนถ้าน้อยอยากจะตอบแทน ก็ช่วยไปทานข้าวกับยัยภาหน่อย
เขาอยากอวดเธอกับพ่อกับแม่จะแย่"
"อ่า..."
ไม่รู้ทำไม พอเป็นพี่ภู ผมไม่รู้เลยว่าจะปฏิเสธยังไงไม่ให้น่าเกลียด
"พี่ภูก็พูดเกิดไป แต่ภาอยากให้น้อยไปจริงๆ นะ"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ"
อารามดีใจหรืออย่างไรไม่รู้ ภากระโดดกอดผมทันที จนเสียงกระแอมต้องดังมาจากพี่ภูอีกครั้ง

แล้วผมก็เดินขึ้นรถพี่ภูไปกับภาขวัญจนได้ แล้วไม่รู้ยังไง ภาเลือกไปนั่งข้างหลังเพื่อหาทิชชู่เปียกให้พี่ชาย แล้วก็ทิ้งเบาะหน้าไว้ให้เป็นที่นั่งของผมเลย พี่ภูก็สนใจการเช็ดหน้าจนไม่ได้มองลำดับที่นั่งที่ดูจะแปลกไปหน่อย

ภาขวัญรับสายเพชรที่โทรมาแล้วโวยวายเมื่อรู้ว่า ภาให้ทุกคนไปรับหน้ากับพ่อแม่ก่อนส่วนเธอกับพี่ภูจะตามไป
มองรถสัปรังเคข้างนอกแล้วสะท้อนใจ อันที่จริง ถ้าวันนี้ไม่มีพี่ภู ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำยังไงดี
เพราะถึงจะเรียนที่นี่ แต่คนสังคมแคบอย่างผม ไม่ค่อยรู้จักอะไรเลย

คิดได้อย่างนั้น
ก็คิดได้ว่าควรจะขอบคุณพี่ภูอย่างจริงจังสักที
...
"พี่ภูครับ"
"หืม"
พี่ภูหยุดการเช็ดหน้า แล้วเบือนหน้าสะอาดมาให้ผมเห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก สิ่งหนึ่งที่ผมคิดได้ว่าเป็นความแตกต่างของพี่น้องคู่นี่ก็คือ แว่นตากรอบบางที่พี่ภูใส่ เหมือนจะขับใบหน้าคมสมบูรณ์แบบของเขาให้อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ผมบอกไปหรือยังนะ ว่าพี่ภูของภา ดูดีมาก อย่างที่ผมคิดว่าจะใช้คำว่าหล่อก็ไม่เกินไปนัก
"ขอบคุณนะครับ"
ผมยิ้มจริงใจให้เขาเท่าที่ยิ้มได้
แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับรีแอคชั่นที่รุนแรงสะท้อนกลับ

"ยินดีครับ น้องน้อย"
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสว่างเจิดจ้า ผมรู้แล้วว่าภาขวัญได้รอยยิ้มแบบนี้มาจากใคร


TBC.

"พี่ทำ เพราะพี่อยากทำ พี่สบายใจที่ได้ทำ น้อยไม่จำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณพี่  พี่อยากให้น้อยคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่คนธรรมดาคนหนึ่ง อยากทำให้น้อย."
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2018 11:30:26 โดย bangpahn »

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 2 Up 22/1/2018
«ตอบ #2 เมื่อ22-01-2018 11:29:00 »

นิลเนตร เป็นชื่อของน้อย นัยน์ตาของเขาดำขลับเหมือนชื่อ ตัดกับผิวขาวละเอียดเหมือนคนเหนือ
ผมรู้จักน้อยมานานหลายปี ผ่านเรื่องเล่าของภาขวัญ น้องสาวแสนรักที่ขยันเล่าเรื่องเพื่อนเธอคนนี้ให้ฟังเหลือเกิน
   "น้อยน่ารัก"
นี่คือสิ่งที่เธอพูดพร่ำมานานหลายปี
เด็กผู้ชายจะน่ารักได้ขนาดไหนเชียว นั่นคือสิ่งที่ผมคิด
แต่พอได้เจอกับตัวผมก็รู้ว่าใช่,
คำว่าน่ารักไม่ได้หมายถึงรูปร่างหน้าตาของเด็กนี่ ที่จริงๆ แล้วจะใช้คำว่าหล่อก็ยังได้
เพราะหุ่นสูงเพรียว ใบหน้าเรียวสมส่วน จมูกโด่งสวย ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ทรงผมปรกหน้า แต่ในดวงตาดำขลับมีประกายความเข้มแข็ง
ถ้าภาขวัญจะใช้คำว่าหล่อกับนิลเนตรผมก็ไม่แปลกใจ
แต่ที่เธอใช้คำว่า "น่ารัก"
อาจเป็นความว่างเปล่าในแววตาคู่นั้น
เหมือนมีความเว้าแหว่งมากมายที่ซ่อนอยู่ และปกปิดมันด้วยความเข้มแข็งที่เปล่าปลอม
เขาจึงกลายเป็นคนที่น่ารัก
และน่าถูกรักจากใครสักคน
...
   "พี่ภูตักน้ำพริกผักให้น้อย หน่อยสิลูก น้อยทานน้ำพริกผักเป็นไหมครับ สูตรเด็ดของแม่เลยนะ"
"เป็นครับ"
คุณแม่สั่งผม และผมก็ตักให้ตามคำสั่งแต่โดยดี
ส่วนท้ายประโยคนั่น เขาพูดกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยเจอหน้า หลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน
   "เห็นพี่ภูว่ารถเสีย แล้วอย่างนี้จะกลับบ้านยังไง คืนนี้ค้างนี่ไหมคะ เดี๋ยวแม่เคลียร์ห้องรับแขกให้ หรือจะนอนห้องพี่ภูก็ได้"
   "คุณแม่ครับ"
ผมปรามคุณแม่เสียงอ่อน รู้อยู่แก่ใจว่าคุณแม่กำลังเอ็นดูเด็กพูดน้อยคนนี้ ในฐานะเพื่อนเก่าแก่ของยัยภา และดูท่าว่าจะจีบไว้ดูลาดเลาทีท่าของเจ้าเพชร ที่นั่งหงออยู่ข้างๆ น้อยด้วย แต่การรุกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ก็ดูจะกดดันเด็กมันไปหน่อย
   "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวน้อยกลับแท็กซี่ได้ครับ"
   "โอ๊ยตายแล้ว ไม่ได้ลูก ดึกดื่นอย่างนี้อันตรายจะตายไป เอางี้ ถ้าไม่อยากนอนนี่ แม่จะให้พี่ภูเขาไปส่ง"
   "เอ่อ"
น้อยอ้ำอึ้ง ดูไปไม่เป็นเลยทีเดียว
   "อืม  เรื่องนี้พ่อเห็นด้วยนะ"
ประมุขของบ้านเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นบ้าง
   "สมัยนี้ผู้หญิงหรือผู้ชายก็อันตรายพอๆ กัน ระวังตัวเองเอาไว้ยังไงก็ดีกว่า อีกอย่างบ้านน้อยอยู่ตรงบ้านสวนของเราใช่ไหม ใกล้แค่นี้เอง"
   "ให้ผม เพชร และก็เบทไปส่งก็ได้ครับ"
   "แต่หอของพวกนายอยู่คนละทางเลยนี่นา"
ภาขวัญว่า
การถกเถียงดูยาวนานกว่าที่คิด น้อยนั่งนิ่งไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ท่าทางดื้อเงียบอย่างนี้ สุดท้ายแล้วผมว่าเขาคงเลือกทางที่จะกลับบ้านเอง
   "เดี๋ยวพี่ไปส่งเองดีกว่า แล้วเดี๋ยวลูกนอนที่บ้านสวนเลยนะครับคุณแม่ พรุ่งนี้เช้าลูกนัดเจ้าหน้าที่มารังวัดที่ดินด้วย"
   "ก็ดีนะ ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องรีบออกจากบ่้านหนีรถติด"
ข้อสรุปที่ดูจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทำให้บทสนทนาเชิงถกเถียงยุติลงได้
ผมตักน้ำพริกให้เด็กน้อยอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขากินหมดอย่างรวดเร็ว
น้ำพริกปลาป่นของคุณแม่ เป็นสิ่งที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนามาแต่ไหนแต่ไร ชอบเล่าว่าคุณพ่อติดบ่วงเสน่ห์ก็เพราะน้ำพริกนี้ด้วย
   "ชอบเหรอจ๊ะ"
น้อยยิ้มรับ ดูพูดน้อยกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าเกร็งเพราะพ่อกับแม่ผมอยู่ด้วยหรือเปล่า ต่างกับเบท และเต๋า ที่คุยจ้อยตลอด สร้างเสียงหัวเราะระหว่างทานข้าวได้เป็นอย่างดี
   "น้อยเขาชอบทานผักน้ำพริกครับ แต่ไม่ค่อยได้ทาน เพราะกินที่ไหนก็ไม่อร่อยจนเลิกทานไปเอง"
เต๋าเล่าแทนเพื่อน และเพราะนั่งอยู่ห่างกับน้อยตั้งไกล เลยดูเหมือนเจ้าตัวจะตักให้แต่ตัวเอง
   "กินเยอะอย่างนี้ นี่เอาใจแม่เพื่อน หรือช่วยเพื่อนอีกคนทำคะแนน"
นายเบททะลุกลางปล้อง และได้ผล น้อยหัวเราะน้อยๆ ขึ้นมาทันที
น่าเอ็นดู...
ผมคิด แววตาที่ไม่มีรอยยิ้ม ฉายแววอารมณ์ดีมาครู่หนึ่ง
  "ของแบบนี้ไม่ต้องทำคะแนนกันหรอกลูก พ่อกับแม่ดูกันที่ความจริงใจ"
พ่อบอกเสียงอ่อนโยน คลายความกดดันให้นายเพชรได้นิดหนึ่ง
ก็นั่นแหละ พ่อเขาไม่ห่วงยัยภาเท่าไร เพราะถึงแม้จะดูอ้อนแอ้นบอบบาง แต่ภาขวัญก็ดูแลตัวเองได้ดีตลอด "ย่าเขาสอนมาดี" แม่ใช้คำๆ นี้จำกัดความ-ความเป็นภาขวัญ
   "คุณแม่ทานนี่ครับ"
เจ้าเพชรใจกล้า ตักยำวุ้นเส้นให้แม่เสียช้อนโต
   "หอมหัวใหญ่นี่ช่วยลดคอเรสเตอรอลนะครับ
  "ฉันตักเองได้"
แม่ว่าเสียงเข้ม จนเจ้าเพชรหงอไปอีก
   "แต่ก็ขอบใจนะ"
ระบายยิ้ม พร้อมสายตาค้อนๆ บ่งบอกว่าเปิดใจให้นิดนึงก็ได้
แม่ผมน่ารักอย่างนี้แหละ แล้วทุกคนบนโต๊ะอาหารก็เหมือนจะทานข้าวกันได้อร่อยขึ้นนิดนึง บรรยากาศเพลิดเพลินลากยาวไปจนถึง 3 ทุ่ม

ภาขวัญ เพชร เบท และน้อย ออกมานั่งคุยเล่นที่ศาลาเล็กหลังบ้าน
เสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ น้อยอ้าปากหาวหวอด อย่างกับคนอนามัยดีที่ต้องนอนตั้งแต่หัวค่ำ
   "กลับกันเหอะว่ะ ดึกแล้วเกรงใจพ่อแม่ภา"
นายเต๋าว่า แต่เจ้าเพชรจับมือน้องผมแน่นดูอ้อยอิง
   "อ่ะแฮ่ม"
ผมส่งเสียงกระแอมไปก่อนตัว ก็อย่างว่า น้องใครใครจะไม่หวง ไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟนก็ตาม แต่อยู่ในระยะสายตาของพี่ชาย ก็ต้องขอให้ระวังตัวหน่อย
"ไปแล้วครับพี่ภู สายตานี่บอกเลยนะครับว่าไล่"
    "ฮ่าๆ"
ผมหัวเราะตามคำแซวของเจ้าเบท  ไม่ถือสาอะไร นายเบทมันกล้าแซวเพราะผมเองก็เป็นเพื่อนกับพี่ชายของมัน ความสัมพันธ์ในกลุ่มของน้องสาววนเวียนอยู่ในความใกล้ชิดที่วางใจได้ ผมถึงไม่ห่วงถ้าน้องจะให้เวลาอยู่กับกลุ่มของเจ้าพวกนี้ มากกว่าผู้หญิง เพราะเพื่อนผู้หญิงที่น่าวางใจของน้อง เจ้าหล่อนบอกว่าอยู่แต่ในวัยมัธยมซะมากกว่า

เพชร เบท เต๋า ที่พักอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย สวัสดีผม แล้วเลยไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่กับภาขวัญ น้อยเดินตามเงียบๆ ผมตั้งใจสบตาดำขลับนั่น แต่น้องกลับหลบวูบ สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้ผมคว้าข้อมือเล็กของเด็กน้อยไว้
   "เดี๋ยวพี่ไปส่ง ห้ามหนีกลับล่ะ"
ดวงตาดำดั่งนิลคู่เดิม สบตาผมไม่สื่อความหมาย ผมรู้ทันทีว่าใช้คำสั่งกับเด็กคนนี้ไม่ได้
   "นะครับ"
ผมทอดเสียงให้อ่อนลง คล้ายขอร้อง ได้ผล เจ้าน้อยดูไปไม่ถูก พยักหน้ารับคำก่อนดึงข้อมือออกจากผมเบาๆ อย่างมีมารยาท แล้วเดินรุดนำ ส่วนผมก็เร่งฝีเท้ากลับขึ้นบ้าน ก่อนแยกไปเอากระเป่าเสื้อผ้า และกุญแจรถ เพื่อไปส่งนิลเนตรให้ถึงจุดหมาย

  "แล้วมากันอีกนะลูก"
คุณแม่บอกกับเด็กๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนดึงมากอดเรียงตัว พิเศษก็ที่เจ้าเพชร ที่รีบกอดรีบปล่อย จนเพื่อนๆ หัวเราะเสียงใส
  "ขับรถดีๆ ด้วยล่ะ ภูด้วย"
  "ครับแม่"
  "ฝากพี่ภูของภาด้วยนะน้อย เห็นนิ่งๆ แบบนี้ ขับรถเร็วใช่ย่อยเลย ภาไม่ได้ไปด้วย แต่ฝากน้อยปรามด้วยนะ"
  "อ่า"
นิลเนตรไม่ตอบอะไร เดินตามไปที่ Mustang สีเหลืองสดของผมเงียบๆ เปิดประตูเมื่อผมคลายล็อก เข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย และคาดเข็มขัดอย่างดี
 

 "ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียว ที่มีดวงดาว ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียวที่มีดวงจันทร์ ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียวที่มีท้องฟ้าและทะเลสีคราม นอกจากนี้ไม่มีใคร"

ดวงตาที่มองแต่ข้างทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาจากบ้าน หันมามองผมแว่บหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น
   "มีอะไรหรือเปล่า"
    "ไม่คิดว่าพี่ภูจะฟังเพลงไทย"
    "อืม ชอบเลยแหละ"
น้อยหันกลับไปอยู่ในจุดเดิม ตั้งแต่ที่เขาขึ้นรถมา
   "ไม่ถามต่อเหรอ"
   "รอฟังครับ"
  "พี่เคยได้ยินมาว่า เพลงต่างประเทศเน้นทำนอง แต่เพลงไทยจะเน้นความหมาย พี่ก็เลยลองฟังเพลงไทย แล้วคิดตาม เหมือนได้อ่านใจคน ได้รู้ว่าเขาคิดอะไร"
     "..."
     "น้อยล่ะ"
     "ผมไม่ค่อยฟังเพลงครับ"
     "แต่เป็นนักดนตรีเนี่ยนะ"
     "ฟังเฉพาะเพลงที่เพื่อนในวงให้เล่นเท่านั้นแหละครับ"
     "อืม"
ค่าตัว VIP อย่างน้อย จะมีเงื่อนไขแบบไหน เจ้าของร้านและเพื่อนร่วมวงก็คงรับแต่โดยดีล่ะ
     "แล้วเท่าที่ฟัง เพลงแบบไหนล่ะที่ชอบ"
     "อืม"
เจ้าตัวคงคิดอยู่ ผมไม่รู้ เพราะน้อยไม่หันหน้ามาให้เห็นเลย แม้แต่ด้านข้างก็ไม่
   "ชอบแบบเพลงนี้ล่ะมั้งครับ"
     "..."
  ผมกดเพลงที่กำลังจะจบแล้วให้เริ่มใหม่ทันที
  และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัว
    "ขอบคุณครับ"

ไม่มีบทสนทนาระหว่างเราหลังจากนั้น แม้ความเร็วจะเร่งขึ้นเกินหลักร้อย เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะตกใจ บทเพลงทำนองนุ่มแข็ง ชวนหลับแต่กระกระบวนความรู้สึกให้คิดอยู่ในอก ดังซ้ำวนไปมา
ไม่รู้ว่าน้อยจะชอบมันจนอยากฟังซ้ำหรือเปล่า  แต่ผมยินดีจะเปิดซ้ำวนไปเรื่อยๆ เพื่อหาปฏิกิริยา
ยินดีและเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบก็ตาม

,,,
,,
,

   "ขอบคุณนะครับ"
นิลเนตรพูดแค่นั้นก่อนปิดประตู แต่แล้วก็กลับยืนนิ่งอยู่นั้น
ผมนิ่งบ้าง รอดูว่าจะแข่งความเฉยชากับเขาได้หรือเปล่า
   "เอ่อ ขอโทษนะครับ"
เขาเปิดประตูรถเข้ามาอีกครั้ง พูดด้วยทีท่าเกรงใจเป็นกำลัง จนผมก็ชักรำคาญ
  "กุญแจรถครับ"
ผมเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ายังไม่ได้บอกเขา
  "พี่ให้คนเอาไปให้ที่อู่แล้วครับ เดี๋ยวเขาทำให้แล้วเอามาส่งที่บ้านนี้เลย"
  "เอ่อ ...แล้วค่าใช้จ่าย ผมจ่ายที่คนของอู่ได้เลยใช่ไหมครับ"
จะบอกยังไงดีล่ะ ว่าเป็นอู่ของเพื่อนที่หักเงินจากบัญชีของผมโดยตรง
  "อืม"
ผมอือออรับคำ
นิลเนตรไหว้ผมอย่างคนมารยาทดีอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินตรงดิ่งเข้าบ้านสวนที่อยู่ติดกันกับบ้านผมไปทันที



นิลเนตรเข้าบ้านไปแล้ว แต่ดวงตาว่างเปล่าของเขายังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกของผม
ความรู้สึกนุ่มนิ่มที่ข้อมือนั่นด้วย
ความดูดีชนิดหาตัวจับได้ยากนั่นก็ใช่
แต่เขาล่องลอย
ล่องลอยเกินไป
เหมือนลูกโป่งอัดแก๊สฮีเลียม การได้มาอาจไม่ยาก แต่ขืนปล่อยมือไป ก็มีแต่จะลอยหายไปไกลสุดสายตาเปล่าๆ 
ว่าแต่....
ทำไมผมถึงคิดอย่างนี้ล่ะ
เหมือนผมอยากได้เขาขึ้นมาเลย.

แสงไฟสาดจ้าเข้าที่ดวงตา กระตุกผมออกมาจากความพิศวงในความคิด
   "คุณภู!"
ผมยกมือไหว้ทันที
   "สวัสดีครับป้า"

***********

   “ไม่ร้องไห้สิภา”

   “ไม่ค่ะ ภาไม่ได้ร้อง”

ภูบดีในวัยหนุ่มรุ่นแปลกใจ 

   “ร้องสิ นี่ภากำลังร้องไห้อยู่เลย”

   “ภาไม่ได้ร้องไห้ค่ะ ภาร้องให้น้อย”

น้อยงั้นเหรอ น้อยเดียวกันหรือเปล่า รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย

  “พี่ไม่เข้าใจ”

  “ภาร้องไห้แทนน้อย น้อยเจ็บ แต่น้อยไม่ยอมร้องไห้ออกมาเลย ฮือออ”

อะไรกันของเด็กสมัยนี้นะ ภูบดีคิด แต่ก็รั้งร่างเล็กของน้องสาวมากอดเพื่อปลอบประโลม

   “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะน้องภาของพี่ภู พี่ภูอยู่ตรงนี้นะคะ”

   “ฮือออออออออ”

ภาขวัญในวัย 14 ปี กลับยิ่งร้องไห้หนักไปใหญ่ และพยายามผลักเขาออกจากอ้อมกอด ภูบดียิ่งแปลกใจ

  “อย่าปลอบภาค่ะ เพราะ เพราะ ฮืออออ”

เจ้าตัวร้องไห้โฮ พยายามพูด แต่เหมือนก้อนสะอื้นจะจุกแน่นเต็มไปหมด

   “อย่าปลอบภานะคะ เพราะไม่มีใคร ไม่มีใครปลอบน้อยเลย ฮือออ”

น้อยเป็นยังไงบ้าง…

แล้วหัวใจปัจจุบันของภูบดีก็เป็นห่วงเป็นใย คนชื่อน้อยขึ้นมา จนต้องสะดุ้งลืมตาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นาฬิกาปลุกเรือนเก่าข้างเตียงโบราณ บอกเวลา ตีห้านิดๆ อีกเกือบชั่วโมงถึงจะถึงเวลาที่เขาควรตื่นปกติ ตามนาฬิกาชีวภาพ แต่จะให้ขืนตาหลับทั้งที่ภาพน้องในความทรงจำวนเวียน อยู่กับคนชื่อน้อย ภูบดีคงทำไม่ได้  จึงได้แต่ลุกขึ้นทำธุระส่วนตัว และออกไปวิ่งตามปกติ ในที่ที่แตกต่าง และเวลาที่เช้ากว่าเดิม





..

.

บ้านสวนของครอบครัวผมอยู่ในกรุงเทพ ในอดีตเคยเป็นสวนผสม ปลูกพืชหลากหลาย แต่เน้นหนักไปทางพืชไร ทั้งหัวหอม กระเทียม และใบเตย ตามพื้นเพดั้งเดิมของท้องถิ่นนี้ ก่อนที่จะค่อยๆ แบ่งขายออกไปในราคาถูก เพื่อให้คนท้องถิ่นมีที่ทำกิน สุดท้ายแล้ว เลยเหลือแค่บ้านสวนหลังเล็กๆ เรียบริมทางน้ำเชื่อมสู่คลองใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ภาขวัญเติบโตมา

   “ลูกผู้ชายต้องเรียนรู้ความลำบาก”

พ่อบอกผมในวันที่เขาโตพอรู้ความและถามท่านว่าเหตุใด น้องสาวจึงได้อยู่ที่ไทยกับคุณปู่คุณย่า ส่วนผมต้องตะลอนย้ายไปตามประเทศต่างๆ กับพ่อที่ทำงานกระทรวงต่างประเทศ และแม่ที่เป็นถึงลูกคหบดีเก่าแก่ ร่ำรวยมหาศาล แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนของพ่อจำนวนน้อยมากหากเทียบกับสมบัติที่แม่มีอยู่

   “ภูจะได้เติบโต และแข็งแกร่ง แล้วกลับมาดูแลน้องได้ไงคะ”

แม่บอก แม่น้ำตาจะปริ่มไปด้วยความอาลัยในตัวภาขวัญ

อันที่จริงแล้ว การจะเลี้ยงลูกสองคนในต่างแดน ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปเลย และยังเป็นเรื่องที่ทั้งพ่อและแม่เต็มใจยิ่ง แต่อีกใจของทั้งสองคน ก็อยากให้ภาขวัญได้อยู่กับปู่ย่า ที่อยู่เพียงลำพังสองคน กับป้าเพ็ญ ผู้เช่าสวนซึ่งไม่ใช่ญาติแต่ก็คล้ายญาติเข้าไปทุกที่

    หนึ่งคือ ให้ภาขวัญได้เติบโตอย่างเต็มที่ ให้สะดวกสบาย ได้รับการศึกษาต่อเนื่อง และไม่ต้องเหนื่อยกับการใช้ชีวิตต่างแดน และการตะลอนไปที่ต่างๆ กับพ่อและแม่ไปเรื่อย

    สองคือ ฝากภาขวัญให้ได้ดูแลปู่และย่า ดูแลและเป็นความรัก ทดแทนที่พ่อแม่และพี่ชายต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่เอง

เหตุผลข้อที่สองนั้น ภูบดีเข้าใจเป็นอย่างดี เขาเข้าใจและจดจำเสมอว่า การเกิดของมนุษย์มีความรักอยู่สองสถานที่ต้องรับผิดชอบ คือความรักต่อการให้กำเนิด และความรักต่อผู้ให้กำเนิด



และอาจจะเป็นด้วยเจตนาดี หรือการเลี้ยงดูที่ดีอย่างไร ผมไม่อาจคำนวณ แต่ภาขวัญเติบโตมาเป็นขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดในครอบครัวของเราเลย

   “แกจะทำแบบนี้กับแม่ไม่ได้นะ”

เสียงปรี๊ดแหลมบาดหูดังมาจากบ้านข้างๆ ผมหยุดวิ่งและเงี่ยหูฟัง

  “ที่นี่ก็บ้านแม่ แม่มีสิทธิทุกอย่างในบ้านนี้เหมือนกัน”

  “ที่นี่เป็นบ้านของผม ทุกอย่างที่เป็นของคุณตามพินัยกรรม คุณได้ไปหมดแล้ว”

น้ำเสียงเยือกเย็นนั่นคุ้นหู และยาวกว่าที่เคย

จังหวะการก้าวเท้าของใครบางคนเข้ามาใกล้ น้อยถือกระเป๋าสองใบแล้วโยนออกนอกรั้ว ผมที่อยู่ด้านนอกหลบวูบแทบไม่ทัน

   “กรี๊ดดดดดดดด”

   “ไอ้น้อย!!!!”

เสียงแหลมปรี๊ด ตามด้วยถ้อยคำบริภาษมากมายดังออกมาจากริมฝีปากคู่เดิม

   “แกจะทำแบบนี้กับฉันใช่มั้ย ได้!!”

หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสะสวย ตามที่ผมเห็น…และ

ถอดแบบมาจากน้อยไม่มีผิด ปรี่เข้าตบตีคนที่เขาเรียกแทนตัวเองว่าแม่ อย่างไม่ปราณี

ผมอยากจะเข้าไปห้าม แต่เห็นทีท่าของน้อยที่ทั้งไม่ปัดป้อง และไม่ป้องกัน ราวยอมรับโทษทัณฑ์นั้นแต่โดยดี ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ควรเข้าไป

    อีกอย่าง…

   พื้นที่ที่ผมยืนอยู่มันเป็นเขตหวงห้าม ที่ผมจงใจลอบเข้ามาตั้งแต่แรก ถ้าเปิดเผยตัวออกไป ก็คงเท่ากับว่าผมเฉลยไปเลยว่าแอบเข้ามาในพื้นที่ของเขา เพราะถึงแม้บ้านสวนเราจะอยู่ติดกัน แต่ระยะห่างของความเป็นสวน ทำให้ทุกหลังมีความมิดชิด แยกเป็นสัดส่วน และไม่มีสถานการณ์ใดที่จะกล่าวอ้างว่าผมบังเอิญผ่านมาได้เลย 

  “ฉันคลอดแกมาแท้ๆ ทำไมแกถึงทำกับชั้นอย่างนี้ฮะ”

เธอยังคงทุบตีน้อยด้วยความเกรี้ยวกราด ใบหน้าสวยงามนั่นถมึงทึงและน่ากลัว

  “แม่ไม่ได้อย่างมีผมหรอก แม่แค่อยากได้ลูกเมียน้อยไว้ต่อรองกับเศรษฐีคนนั้นก็เท่านั้น”

  “…”

น้ำเสียงน้อยยังคงเยียบเย็น แม้เรื่องราวที่ออกมาจากปากคล้ายคมมีดที่บาดเข้าไปในความรู้สึกของเขาเอง

   “ปากดี”

เธอชี้หน้าน้อย และไม่มีความสลดหรือโศกเศร้าในแววตาคู่นั้นเลย

   “ชั้นไม่หยุดแค่นี้หรอกนะ ถึงแกไม่ให้ชั้นอยู่ที่นี่ แต่ชั้นก็จะหาทางเป็นเจ้าของที่นี่ให้ได้อยู่ดี และจำไว้ว่าแกขวางชั้นไม่ได้หรอกไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

น้อยไม่ตอบโต้

   “อ้อ ในเมื่อแกไม่ให้ชั้นอยู่บ้านนี้ วอลโว่คันนี้ชั้นขอละกันนะ จะเอาไปทำทุน”

แม่ของน้อย จับวอลโว่ตัวท็อป น้อยเปิดประตูรั้วให้เธอแต่โดยดี แล้วปิดมันไว้แบบงับๆ

เจ้าของวอลโว่คันใหม่ลงจากรถมาเก็บกระเป๋า ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าเนื้อตัวของเธอถูกประดับไปด้วยแบรนด์เนมราคาแพง

ต่างจากน้อยที่อยู่ในชุดอยู่บ้านเสื้อยืด กางเกงขาสั้นเรียบง่าย

….

น้อยมองรถหรูที่ค่อยเคลื่อนตัวไปห่างไกลสุดสายตา

ดวงตาดับขลับคู่เดิมยังคงเฉยนิ่ง แล้วจู่ๆ น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ก็เอ่อล้นออกมา

น้อยทรุดตัวลงกับพื้น เอามือของตัวเองมาปิดปากไว้ แล้วปล่อยความสะอื้นที่สุดทานทัดไหวให้ออกมา

ผมไม่สามารถซุกซ่อนตัวเองไว้อีกต่อไป

น้ำตาของน้อยทลายสิ่งใดบ้างผมไม่รู้ แต่สำหรับผม มันทลายความเขินอาย และประหม่าไปหมดสิ้น

ผมตรงเข้าไปนั่งลงต่อหน้า และสวมกอดน้อยเอาไว้

ช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้เอง ที่เด็กน้อยลืมว่าจะต้องระวังตัว

เขากอดตัวเองไว้ และยังคงเก็บเสียงร้องไห้ด้วยการกัดที่ข้อมือตัวเองจนผมต้องกระชากข้อมือนั้นออก ดึงตัวเขามากอดแน่น

ให้ริมฝีปากคู่นั้นฝากฝังความเจ็บไว้ที่บ่าของผม ไม่ใช่ข้อแขนหรือข้อมือของเขา

   “ไม่เป็นไรนะคะ พี่ภูอยู่ตรงนี้แล้ว”



ผมไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร



และถึงจำได้ เขาจะวางใจพอที่จะยอมรับว่าผมพร้อมจะปกป้องเขาไหม



แต่สำหรับผม



…ในที่สุด คำปลอบใจก็เดินทางมาถึงคนที่ถูกต้องเสียที



    “ไม่เป็นไรนะคะน้อย”



ลูกหัวนุ่มนิ่มสีดำสนิทแผ่วเบา



กระชับอ้อมกอดที่ไม่กอดกลับอย่างแนบแน่น

...

รู้สึกตอนนี้เอง ว่าร่างที่สูงโปร่งของเขาเล็กและบอบบางแค่ไหน

...

รู้สึกตอนนี้เอง ว่าท่ามกลางความเฉยชาที่บรรจงสร้าง เขาเป็นแค่เด็กอายุ 19 คนหนึ่ง

...

และรู้โดยทันทีว่า ผมไม่อาจปล่อยมือจากเขาไปได้.








TBC.


"ความรักเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับผม แต่ถ้าเป็นเซ็กส์ ผมโอเค"

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 2 Up 22/1/2018
«ตอบ #3 เมื่อ22-01-2018 18:24:31 »

แปะกฏเล้าด้วยจ้าเด๋วโดนลบกระทู้

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 2 Up 22/1/2018
«ตอบ #4 เมื่อ22-01-2018 19:32:09 »

แปะกฏเล้าด้วยจ้าเด๋วโดนลบกระทู้



---------

อุ้ย ไม่ทราบเลย ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 2 Up 22/1/2018
«ตอบ #5 เมื่อ23-01-2018 19:02:56 »

รอตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 3 Up 27/1/2018
«ตอบ #6 เมื่อ27-01-2018 01:09:58 »

ค่าของความรัก ตอนที่ 3 ก้าวเข้ามาในโลก



ผมปิดประตูไม้สักเก่า แล้วลั่นกลอนอย่างแน่นหนา
คืนนี้คงไม่กลับบ้าน เพราะ Mustang แปลกหน้ายังจอดนิ่งแม้จะลอบพายเรือไปดูเป็นหนที่ 3 ของวันแล้วก็ตาม

ภูบดีกลับบ้านของเขาไป ทันทีที่ผมฟื้นตัวจากความอ่อนแอ และขับไล่เขาด้วยการขอร้องอย่างสุภาพ
เหตุผลสำคัญของการไล่เขา ก็เป็นเพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาสมควรอยู่

ในหัวยังจดจดคำปลอบโยนที่แสนไพเราะ และความอ่อนโยนชนิดที่ใครก็คงปฏิเสธไม่ลง
ถ้าประกอบกับใบหน้าคมเข้มบาดตานั่นแล้ว สาวๆ คงอ่อนระทวย หรือแม้แต่หนุ่มๆ เองผมก็ยังไม่แน่ใจ

แต่ย่อมไม่ใช่กับนิลเนตร
ที่ด้านชากับความอ่อนโยนไปเสียแล้ว
ความแห้งแล้งในชีวิตผมเป็นบทเรียนพิเศษที่สอนให้ผมเรียนรู้การเอาตัวรอด
...
ถ้าสิ่งไหนที่ไม่มีวันได้มา
ก็ให้เกลียดชังมันเสีย.

*************


When she was just a girl
She expected the world
But it flew away from her reach
So she ran away in her sleep
And dreamed of
     Para-para-paradise,
     Para-para-paradise,
    Para-para-paradise
Every time she closed her eyes.

(Paradise : Coldplay)

      ปล่อยให้นิ้วมือพร่างพรมไปบนคีย์บอดสีขาวสลับดำ ขณะที่สายตาพร่าพรางไปกับความแพรวพราวของประกายดวงตาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
ดูเย้ายวน และท้าทายอยู่ในที ผมกระตุกยิ้มมือปาก ฝันเห็นสวรรค์รำไรกับเธอ, ในค่ำคืนนี้

     "เมิงดูไอ้น้อยสิวะ เอาอีกแล้ว"
     เสียงกระซิบกระซาบข้างหน้าเวทีไม่ดังพอให้ได้ยิน แต่อ่านจากปาก และดูท่าทีก็พอรู้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่
     "หนังหน้าไม่ดีอย่างมัน ก็งี้แหละพวกเรา"
     คนพูดไม่ได้สำเหนียกถึงหน้าตาตัวเองแม้แต่น้อย ว่ามันก็เป็นพวกเทพบุตรไม่แพ้ใคร
     คนพูดที่ผมหมายถึง คือไอ้เพชร ท่ี่นอกจากมีสถานะเป็นเพื่อนในกลุ่มแล้ว มันยังเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ผมมาเล่นดนตรีที่นี่ด้วย

     มันเป็นร้านอาหารขนาดกลางที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายลมเอื่อยเฉื่อยแผ่วเบาในยามค่ำคืน และสายน้ำสีดำทะมึนมืดเข้ากันได้ดี รวมถึงกับบทเพลงของวงผม ที่จะเล่นเพลงอะไรก็ได้ ในยามดึกดื่น ลูกค้าน้อยลงไปเรื่อยๆ
     แต่ขณะที่ลูกค้าน้อยลง สายตาเราก็จะโฟกัสอะไรได้ตรงจุดมากยิ่งขึึ้น

     "คิดไงมาไงมาที่ร้านวะวันนี้"
     หมดช่วงที่ต้องเล่น ผมก็แยกกับวงมานั่งกับไอ้เพชรและไอ้เต๋า
     "ไอ้เพชรดิ เศร้าแม่ง แม่ภาไม่ยอมรับ"
     "ไม่ยอมรับห่าไร เขาก็เลีี้ยงดูปูเสื่อมึงดี"
     "ในฐานะเพื่อนมัั้ยวะ"
     ไอ้เพชรหงุดหงิด ฉุนเฉียวขึ้นในน้ำเสียง
     "เมิงรู้มัั้ย ตัั้งแต่คบกันมา ไม่เคยได้ออกไปไหนกันสองต่อสองตอนกลางคืนเลย พระอาทิตย์ตกดินภาต้องถึงบ้านแล้ว วันธรรมดาจะออกไปข้างนอกด้วยกันก็ยากชิบหาย"
     จิบน้ำสีเก็กฮวย เป็นเพื่อน-เพื่อน ปล่อยให้มันระบายอารมณ์เต็มที่
     "เมิงเพิ่งไปเจอบ้านเค้าครั้งเดียว อย่าเพิ่งคิดมากเลย เดี๋ยวแม่งก็ดีขึ้นเอง ใจเย็น"
     ไอ้เต๋าเป็นคนปลอบประโยคยาวๆ แบบนี้
     แล้วก็ต่อด้วยประโยคอะไรไม่รู้ ยาวมากกว่า แต่ผมไม่สนใจ
     ...
     สายตาคู่เดิมกับทิศทางเดิม รอคอยให้ผมหันไปสบตาด้วย และเหมือนเชื้อไฟจากอีกฝั่งจะดังมากกว่า
     ร่างผอมเพรียวจึงเดินมาที่โต๊ะของพวกผม

     "ขอโทษนะคะ เห็นมองมาตั้งแต่บนเวทีแล้ว"
     ผมยิ้มมุมปาก
     ...แบบนี้สิน่าสนใจ
     "หมายถึงคุณมองผม ตั้งแต่ผมอยู่บนเวทีแล้ว?"
     ริมฝีปากสีน้ำตาลกระตุกรอยยิ้ม ลิ้นเจ้าเสน่ห์โผล่ให้เห็นในจังหวะที่เธอโต้ตอบกับผม
     "ยังไงดีล่ะ"
     เธอวางแก้วเครื่องดื่มสีสวยลงบนโต๊ะ เบียดสะโพกแนบชิดที่ผมนั่งอยู่ จนอดใจไม่ไหวที่จะไล่ระดับมือจากเอวบางลงไปถึงสะโพกนิ่มแน่น
     "ถ้ามองจนพอใจแล้ว ไปคุยกันต่อไหมครับ"
     ...
     เธอยิ้มคล้ายดูถูก ก่อนสะบัดตัวเดินหนีไป
     และเป็นฝ่ายผมบ้างที่ต้องเดินตามเธอ

     "เหยื่อกินเบ็ดอีกแล้วว่ะ"
     ไอ้เพชร มองแกมหมั่นไส้
     "เมิงจะเอาสักคนไหมล่ะ"
     ไอ้เต๋า พูดไม่เกินจริงเลย เพราะตลอดระยะเวลาที่มันนั่ง คนมองและส่งสายตาให้ไอ้เพชรไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
     "ไ่ม่ต้องรอให้ภาแหกอดกกุหรอก พวกเมิงเนี่ยแหละคงฆ่ากูก่อน"
     ผมหัวเราะ ไอ้เพชรเข้าใจไม่เกินจริงเลย
     ...
     เพื่อนกลุ่มเดียวกันก็อย่างนี้ ไม่ใช่แค่ปกป้องเพราะเป็นเพศชายด้วยกัน แต่แก้วตาของกลุ่มอย่าง "ภา" ยิ่งต้องปกป้องยิ่งกว่า แล้วถ้าพวกเราไม่เป็นอย่างนี้ ภาขวัญเอง ก็คงไม่วางใจที่จะยอมเป็นเพื่อนกัน
     แต่อย่างที่รู้ๆ กัน พวกผมไม่ใช่คนดี ไม่ใช่สุภาพบุรุษ  เพราะฉะนั้นกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ภาขวัญ การปฏิบัติมันก็จะต่างกันอยู่หน่อยๆ
     "น้อย จะไปไหน"
     ไอ้เต๋า เสียงแข็งอย่างเคยๆ ถ้าไม่ติดที่ผมรู้มาตลอดว่าตัวเองไม่มีพ่อ ผมคงคิดว่ามันเป็นพ่อผมแน่ๆ
     "ไม่มีอะไร กุแค่จะไปหาที่นอน"
     "หาที่นอนหรือหาที่เอา"
     "หึ"
   ผมยิ้มมุมปาก ไม่ตอบรับ ไม่ปฎิเสธ แต่คบกันมานานขนาดนี้ เพื่อนผมมันรู้กันหมดแล้วว่าเป็นยังไง
หยิิบแก้วของตัวเองดื่มเป็นอึกสุดท้ายของวัน ไม่อยากให้บางความเย้ายวนนั่นต้องรอนาน แต่กลับรู้สึกถึงการเหนี่ยวรั้งอะไรบางอย่าง
     "เมื่อไรเมิงจะเลิกทำตัวอย่างนี้วะ"
     ความรู้สึกผมกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัด
     "เห้ย เอาน่ะ ปล่อยมันไป"
     ไอ้เพชร เป็นฝ่ายแกะข้อมือไอ้เต๋าออกจากตัวผม ผมไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ ผมไม่รู้นะว่าสำหรับคนอื่นการเป็นเพื่อนกันคืออะไร แต่สำหรับผม จะทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ก้าวก่ายชีวิตของกุ

     ....
     ..
โต๊ะหน้าเวทีเตี้ยในร้านอาหารริมแม่น้ำเหลือชายหนุ่มแค่สองคนอีกครั้ง แต่บทสนทนาบนโต๊ะเปลี่ยนไป
     "เมิงจะไปห้ามมันทำไมวะ เมิงก็รู้ว่าไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครก้าวก่ายชีวิตของมัน"
     "กูไม่รู้ว่ะ แต่กุรู้สึกเหมือน..."
     "เหมือนอะไร" เพชรถามย้ำ
     "กุรู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าวันนี้กุปล่อยมันไป เหมือนกุจะต้องเสียมันตลอดไป"
     "คิดมาก"
     เพชรยกเครื่องดื่มทำลายสติจ่อที่ปากเต๋า ความเครียดครุ่นเรื่องคนรักเบาบางไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่เพราะแก้ปัญหาได้ แต่ดูเหมือนความวุ่นวายของที่นี่จะกลบเกลื่อนความทุกข์ที่มีได้ดีทีเดียว"

    .....
     ร้านอาหารของไอ้เพชร หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็คงเป็นของพี่ขายมัน เป็นร้านสองชั้น ชั้นบนยื่นไปในแม่น้ำ สามารถชมทัศนียภาพ และสัมผัสลมรื่น ส่วนชั้นล่างเป็นทั้งส่วนหนึ่งของโต๊ะ ในวันที่ลูกค้าแออัด เป็นห้องครัว และเชื่อมกับภายนอกสู่ลานจอดรถ ที่เต็มไปด้วยมุมอับ บดบังสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนที่จะผ่านมาแถวนี้เมื่อไรก็ได้

     ในซอกหนึ่งมุมรถ ร่างชายหญืงคู่หนึ่งกำลังเกี่ยวกระหวัดรัดและซุกไซร้กันอย่างไม่ยอมแพ้ มือเรียวยาวของมือคีย์บอร์ดประจำร้าน แทรกเนื้ออวบอัดเข้าไปใต้กระโปรงรัดรูป ขณะที่ปากพรมจูบไปทีี่ซอกคอน้ำหอมกลิ่นหอมอ่อน แต่สูดดมเท่าไรก็เหมือนจะตกหลุมลึกเข้าไปในความเสน่หา สาวสวยที่ยังไม่แลกเปลี่ยนชื่อ ปลดประดุมกางเกงผ้าลอยสก๊อตอย่างเชื่องช้า ช้าเสียจนมีคนนอกผ่านมาจนได้

     "ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรนุช!"
     ผมถูกกระชากอย่างแรง ด้วยไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้ที่มาเรียกผมว่าไอ้เหี้ย กระเด็นลงไปกองกับพื้นแล้วถึงได้เห็นว่าคนที่ดึงแม่งหน้าโค่ดเหี้ย
     "หนังหน้าอย่างมึงสิเหี้ย"
        ไอ้นั่นไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ตะโคมด้วยเท้าไม่ยั้ง ผมไม่ทันตั้งตัวได้แต่งอตัวหลบ
      "หยุดนะกร"
     ตัวต้นเรื่องพูดได้ซะที แม่งเอ้ย มีผัวแล้วยังเสือกมาอ่อยผู้ชาย กูก็ซวยได้ออก
     "หยุดทำไม ไอ้นั่นมันจะปล่ำนุช"
     "ปล้ำเหี้้ยไร กุเนี่ยแหละที่จะปล้ำมัน"
   ความสัมพันธ์ห่าเหวอะไรวะที่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อนุชนั่นกล่้าพูดแบบนั้นใส่ไอ้ต่ีนโต แต่ก็ดั จะได้เลิกคิดซะทีว่าผมเป็นฝ่ายจะไปทำมิดีมิร้ายผู้หญิงของมัน
     "โธ่เว้ย     
ไอ้ร่างยักษ์มาใหม่ ดูโมโห แต่ช่างแม่งมัน ผมคิดว่ากำลังจะลุก แล้วก็ตัดสินใจว่าสภาพบาดแผลขนาดนี้ ใช้สิทธิ์ประกันชีวิตนอนโรงพยาบาลได้หรือเปล่าวะ
     ไม่ทันคิดใคร่ครวญหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ถูกกระชากอีกครั้ง
     "...."
     แต่คราวนี้ไม่เจ็บต่อเนื่องกว่่าที่คิด เพราะด้านหลังของใครสักคนที่เหมือนจะคุ้นๆ เข้าตะลุมบอนกับไอ้ร่างยักษฺ์นั่นแทน

     เขาตัวใหญ้กว่าผมแน่นอน แต่ดุผอม ไม่คิดว่าพอต่อสู้่กับไอ้ยักษ์นั่นแล้วจะสูสี

     "ไปกันเถอะค่ะ"
     พอไอ้ยักษ์มีคู่ต่อกรที่เหมาะมือ "นุช" ใช่มั้ย ตามที่ถูกเรียก  ก็เดินมาพยุงผมขึ้น
     "คุณไปเถอะ"
     ผมบอก
     "อ้าวยังไงเนี่ย"
     เธอดูไม่พอใจ
     แต่ผมไม่เหลืออารมณ์จะไปต่อกับผู้หญิงคนนี้เลย ถึงจะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่มาช่วยคือใคร แต่ผมควรจะอยู่ขอบคุณเขา และไม่ไปต่อกับ "นุช" ให้ต้องเจอใครมาตามล้างตามผลาญอีก
     ยืนนิ่งไม่ต่อคำ แต่เท้าสองข้างที่ยึดแน่นกับพื้นไม่ก้าวตาม คงบอกได้ว่าผมไม่ไปกับเธอแล้ว เธอคนสวยสะบัดแขนที่เกาะเกี่ยว
ชูนิ้วกลางให้อย่างหงุดหงิด แล้วขับ BMW  ที่ผมจำได้ว่าเพิ่งออกไม่นาน แล่นฉิวจากไป และยิ่งน่าสมเพช  เมื่อไอ้ยักษ์ถลาวิ่งตาม โดยไม่สนใจใครอีกต่อไปแล้ว
     พวกนั้น เขามีความสัมพันธ์ยังไงกันนะ
     ผมแค่สงสัย แต่ไม่ได้อยากรู้
     พอๆ กับที่ไม่ได้อยากรู้ว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร แค่อยากขอบคุณต่อน้ำใจ
     ...
     แต่แค่พอเห็นเขาเต็มตาเท่านั้นแหละ อยากจะเก็บคำขอบคุณนั่นไว้ เพื่อที่มันจะไม่ทำให้เราต้องเจอกันอีก
     "เป็นยังไงบ้างน้อย"
     ...เขาอีกแล้ว
     เขาที่ผมเพิ่งเจอ  ที่ผมไม่ได้ปล่อยโอกาสให้เขาเข้าใกล้ แต่เขากลับล้ำเข้ามา,
     "ไม่เป็นไร"
     ...
     ผมบอกเขา แล้วสับเท้าเดินหนีออกไป
     "จะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยเหรอ"
     "..."
     ผมชะงัก แต่ไม่ได้หันหลังกลับไปหา
     ...
     "ขอบคุณ"
     พูดห้วนๆ แล้วเดินต่อ ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนเบื้องหลัง แต่ทำไมไม่รู้ ผมรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นของรอยยิ้มส่งมาจากด้านหลัง

     
     ...
     "คุณนิลเนตร เชิญทีช่องรับยาค่ะ"
     แล้วผมก็ถามตัวเองว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่
     โรงพยาบาลเอกชนขนาดกลาง ที่มีคนหน้าเยินยิ่งกว่านั่งอยู่ข้างๆ ตัวผมฟกช้ำเล็กน้อย แต่ "ภูบดี" ดูจะเยินไปทั้งหน้า เขาขับรถตามผมที่เดินออกจากซอย แล้วบังคับผมอย่างสุภาพ ให้พาเขาไปหาหมอ แต่พอถึงโรงพยาบาลจริงๆ เขาก็ผลักผมเข้าไปตรวจเป็นคนแรก แล้วยังนั่งรออยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร จนล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว

     ผมรับยาเสร็จ ไม่รู้จะทำอะไร นั่งลงเงียบๆ ข้างๆ เขา
     "พี่หน้าตาเยินแบบนี้้คงกลับบ้านไม่ได้"
     ...
     เขาจะพูดอะไร ผมไม่แน่ใจ กลับบ้านไม่ได้แล้วยังไง จะไปบ้านผมงั้นเหรอ?
     "เพื่อนพี่จะมารับที่นี่ ยังไงฝากรถไว้ที่น้อยทีนะ"
     "อ๊ะ"
     ผมจะท้วง แต่ภูบดียัดกุญแจใส่ข้อมือแล้วลุุกเดินออกไปทันที
     ...
     และ, และผมก็ไม่ตามอย่างแน่นอน

     ก็ดี
     ผมคิด
มีรถแล้วก็กลับไปนอนบ้านก็ได้

     *****
     เช้าวันอาทิตย์ที่แปลกประหลาด
     ผมตื่นเช้า แปลกๆ ในความรู้สึกนิดหน่อยที่ตื่นอยู่ที่บ้าน และไม่ได้มีใครอยู่ในอ้อมแขน
     ล้างหน้า ล้างตา หาอะไรกินง่ายๆ แล้วก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น

     "เอารถมาส่งครับ"
     อ๊ะ ไอ้แก่กลับมาแล้ว
     ลงจากบ้านไม้หลังเก่า ผ่านโรงรถที่ไม่มีวอลโว่คันโก้จอดอยู่แล้ว หมายใจจะได้กอดไอ้แก่ให้สมกับคิดถึง แต่พอออกมาหน้าบ้าน  กลับเจอเบนซ์ใหม่เอี่ยมอ่อง มาอยู่ตรงหน้าแทน
     "ไม่ใช่รถผมครับ"
     "รถของคุณนิลเนตรครับ"
     ผู้มาเยือนเรียกชื่อ เพื่อยืนยัน
     "หมายความว่ายังไง"
     "นายเฉินสั่งให้เอามาส่งให้คุณครับ"
     "อ้อ"
     เขานี่เอง พอรู้ว่าเป็นใครผมก็ไม่ดื้อด้าน เปิดประตูให้รถคันใหม่เข้าไปแต่โดยดี อยากให้ก็จะรับ  แต่สิ่งที่มันจะเป็นได้ ก็แค่โมเดลที่จะจอดตายในโรงรถตลอดไปเท่านั้นแหละ
     เขาไม่เคยรู้เลย
     ไม่เคยรู้เลยว่าหัวใจของผมต้องการอะไรกันแน่
     ...
     การนำส่งของตอนเช้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ทำไม?
     ขนมปังที่เพิ่งเอาออกมาเทนมข้นใส่ ถึงได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของฝูงมดไปแล้วล่ะ

     "...."
     เสียงกริ่งดังอีก และคราวนี้้ผมหงุดหงิด นี่จะขยันทำลายเช้าวันอาทิตย์ของผมไปถึงไหนกัน


     แต่พอออกมาอีกครั้ง  คนที่อยู่นอกรั้วกลับเปลี่ยนหน้าตาไป
     "อ้อ พี่ภูมาเอารถเหรอครับ จริงๆ ให้ผมเอาไปคืนให้ก็ได้"
     "ไม่เป็นไร พี่ต้องมาแถวนี้อยู่แล้ว ทานข้าวเช้ากัน"
เขาชูถุงของกินมากมาย เท่าที่ดูออก ก็คงเป็นโจ๊ก ปาทั่งโก๋ แล้วอะไรอีกนะ
ว่าแต่สายป่านนี้แล้วยังเรียกเช้าอีกเหรอ

     ผมจะปฏิเสธ แต่ท้องเจ้ากรรมที่ไม่ได้กินอะไรนอกจากแอลกอฮอล์มาตั้งแต่เมื่อคืนกลับร้องประท้วง
     อ่า
     "เชิญครับ"
     ความหิวเอาชนะ ทุกอย่างแต่โดยดี
     และเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เขาเข้ามาด้วยตนเอง

พี่ภูทานของที่เขาหิ้วมาอย่างสุภาพ ไม่มีทีท่าละลาบละล้วง หรืออะไรที่ดูเกินเลยกว่าการเป็นคนบังเอิญผ่านมา

แต่...มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า กับการเจอกันถี่เหลือเกินจากการไปกินข้าวที่บ้านแค่ครั้งเดียว

     "พี่ภู ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
     และปากผมก็ไวเท่าความคิด  ถามออกไปซะอย่างนั้น

   "ได้สิ"
เขาตอบทันควัน

   "เราไม่เจอกันบ่อยไปหรือครับ"

   "อ่า นั่นสินะ นี่เราก็เจอกันสามวันติดแล้ว"

...
โล่งใจขึ้นมานิดนึง ที่เขาเหมือนเพิ่งคิดได้ และท่าทีไม่ได้ดูเป็นสตอล์กเกอร์ที่คอยตามติดผมอยุ่

   "คิดไปคิดมาก็แปลกแหละ แต่ว่าพี่่ก็ห้ามความบังเอิญไม่ได้"
   "บังเอิญบ้านสวนพี่ใกล้ผม บังเอิญพี่ไปร้านอาหารเมื่อคืน บังเอิญพี่หอบหิ้วของมาเช้าวันนี้"
   "เอ้ย เช้าวันนี้พี่ยกเว้น พี่ตั้งใจมาชวนเรากินข้าวจริง"
     เกาหูแกร่กๆ พูดตรงๆ แบบไม่คิดอะไรแบบนี้ ผมก็เขินที่โทษความบังเอิญของเขามั่วไปนิดหน่อย

   "แต่มันคงไม่บังเอิญที่พี่จะดีกับผมขนาดนี้ใช่มัั้ย"

ใช่ ตั้งแต่เจอกัน เขาช่วยเรื่องรถที่พัง เขาช่วยปลอบตอนผู้หญิงใจร้ายคนนั้นมา ยอมเจ็บตัวเพื่อปกป้อง และไว้วางใจขนาดให้ขับรถกลับ

   "อ่า ไม่รู้ว่าน้อยจะเชื่อไหม แต่ถ้าไม่ใช่น้อยพี่ก็จะทำแบบนี้แหละ"
     
     หัวใจโล่งอย่างประหลาด ความรู้สึกอึมครึมเพราะหวาดระแวงว่าเขาคิดอะไรเกินเลย จางหายไป และสว่างพร่าวพราวขึ้นเกือบจะทันที

   "ไม่ใช่ว่าหมายความว่าน้อยเป็นคนอื่นนะ แต่น้อยเป็นเพื่อนของภาด้วย พี่ก็อยากจะทำทั้งหมดเท่าที่ทำได้"

ผมยิ้มให้เขา อาจเป็นไม่ครั้งแรกที่ยิ้มอย่างเต็มใจขนาดนี้

   " ถ้าอย่างนั้น ผมก็โชคดีมากๆ ที่เจอพี่ช่วงที่แย่สุด ขอบคุณนะครับ"

เขายิ้มน้อยๆ รับคำ แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมกลับมารู้สึกกระอักกระอ่วนนิดๆ อีกครั้ง

   "พี่ทำ เพราะพี่อยากทำ พี่สบายใจที่ได้ทำ น้อยไม่จำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณพี่  พี่อยากให้น้อยคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่คนธรรมดาคนหนึ่ง อยากทำให้น้อย."

     ช้อนกระทบกับชาวโจ๊กที่ว่างเปล่าดัง "แกร๊ง"

ภูบดีละสายตาออกจากผม ก้มดูชามข้าวตัวเอง พอเห็นว่ามันไม่เหลืออะไรแล้ว ก็ลุกขึ้นลืมหน้าที่แขก เอาชามไปล้างตรงที่ล้างจานเฉย
     "ไม่ต้องพี่ภู เดี๋ยวผมทำเอง"
     "เอ้อ จริงๆ แล้วมีหนึ่งเรื่องที่พี่อยากขอ ถ้าเป็นไปได้"
อยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเหมือนนึกขึนได้
     "คือ?"
     "เรียกแทนตัวเองว่าน้อยได้ไหม?"
     "..."
     ผมนิ่ง ภูบดีดันแว่นที่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตก เหมือนมันจะตก ผมสบตาเขา พยายามอ่านสายตา และคิดว่ามันเป็นสายตาของความเอ็นดู
อาจจะเป็นสายตาอย่างเดียวกับที่มองภาขวัญก็ได้ คิดได้แบบนั้น หัวใจก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
     "งีั้้น ให้น้อยล้างนะพี่ภู"

     เขายิ้มกว้าง ยินยอมแต่โดยดี แล้ววันอาทิตย์ของผมก็เปลี่ยนไปจากที่เคย ภูบดีให้ผมพาชนสวน พาภายเรือ กำจัดวัชพืนโคนต้นไม้ประดับ และปีนต้นมะม่วงมาทำน้ำปลาหวาน

   ผมหัวเราะได้มากกว่าทุกครั้ง และอาจจะมากกว่าช่วงเวลาที่ยาวนานรวมกันเสียอีก


  คิดถึงเฉินขึ้นมา.


***********************************************


TBC.   

"อะไรก็ได้ที่จะทำให้น้อยอยู่กับพี่ เป็นของพี่คนเดียว พี่ทำได้ทั้งหมด สุดท้ายแล้วถ้าพี่จะไม่มีวันได้หัวใจน้อย พี่ก็ขอแค่ความสัมพันธ์ที่จะไม่มีใครแย่งไปได้ ไม่มีใครที่จะมาเป็๋นพี่ภูของน้อยได้ นอกจากพี่"







ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 3 Up 27/1/2018
«ตอบ #7 เมื่อ27-01-2018 20:09:23 »

ไอ้ตอนท้ายเรื่องทีาสปอยนี่น่าสนใจมากกก

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 3 Up 27/1/2018
«ตอบ #8 เมื่อ27-01-2018 23:10:55 »

เรื่องนุช เราอ่านแล้วหงุดหงิดยิ่งกว่าพี่ภูอีก 5555
สงสารน้อย ถ้ารู้ความเป็นมาคงจะสงสารกว่านี้ไปอีกเยอะเลย
แต่ตอนนี้สงสารพี่ภูที่สุด พี่ภูคนดีเจอรักร้ายๆเข้าแล้ว
ชอบพี่ภู ไม่อยากให้เจอเรื่องทำร้ายจิตใจเลย โง้ยยยย :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
«ตอบ #9 เมื่อ04-02-2018 22:08:35 »

บทที่ 4
ใกล้เข้าไปอีกขั้น

   หลายวันที่ผ่านมา ภูบดีไปค้างคืนที่บ้านบ่อยจนที่บ้านใหญ่ และป้าเพ็ญคนดูแลบ้านสวนรู้สึกผิดสังเกต แต่เขาก็ให้เหตุผลว่ากำลังจัดการเรื่องที่ดินของปู่ย่าให้เรียบร้อย หลังจากที่ปล่อยทิ้งไว้หลายปี ส่วนหนึ่งก็เพราะบ้านสวนที่อยู่ติดกันจะขายที่ดินให้เขา และภูบดีก็เห็นชอบที่จะซื้อเอาไว้ให้เป็นแผ่นดินเดียวกัน ดีกว่าขายให้ใครไม่รู้ ที่อาจจะมาทำอะไรไม่รู้กับแผ่นดินผืนนี้
   ภูบดีค้างคืนที่บ้านสวน และตื่นนอนตอนเช้าเพื่อรับเด็กน้อยไปมหาวิทยาลัยด้วยกันในบางวัน
เรื่องราวมันเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ถ้าบังเอิญเจอกันในตอนเช้าก็ไปด้วยกัน แต่ถ้าไม่ก็อาจกลับมาเจอกันในตอนเย็น

ภูบดีเว้นระยะการเข้าใกล้นิลเนตร แต่ก็ไม่ให้หลุดรอดสายตา เขากำลังสร้าง “ระยะปลอดภัย” จงใจให้เป็นแค่เรื่อง “บังเอิญ” อย่างที่นิลเนตรเข้าใจ

   “………..”
   เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานดัง  ภูบดีชอบความเป็นส่วนตัว จึงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในห้องทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต  สิ่งเดียวที่เป็นอิสระจากคำสั่งของเขาคือสายโทรศัพท์ที่ต่อตรงเฉพาะเลขาหน้าห้องเท่านั้น

   “คุณสริษาแจ้งว่ามารับคุณไปทานอาหารกลางวันค่ะ”
   “ให้รอหน้าห้องสักครู่”
   เซ็นต์เอกสารอนุมัติโครงการพัฒนาที่ดินหน้าสุดท้าย หลังจากตรวจจนรอบคอบแล้ว ภูบดีก็ถือแฟ้มนั้นออกมา ยื่นให้คุณเลขา และรับสาวสวยหน้าห้องออกไปทานข้าวพร้อมกัน


   “มาทวงคำตอบเหรอ”
   เขาถามสาวสวยในชุดเสื้อผ้าแปลกตา
   ปกติสริษาลูกสาวนักการฑูตมักแต่งตัวหรูหรา แบรนด์เนมเต็มตัว และหน้ากากเครื่องสำอางเต็มหน้า แต่วันนี้เพื่อนซี้ของเขาแต่งตัวประหลาดกว่าที่เคย ใส่เพียงเสื้อยืดสีขาวกับเอี๊ยมยีนส์ลุยๆ และใบหน้าเนียนสวยสุขภาพดีนั่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างที่เคย
   “แน่ะ มองใหญ่ เพื่อนสวยล่ะสิ”
   ภูบดีส่ายหัว ไม่ต่อปากต่อคำกับเพื่อน แต่เดินนำมาที่โรงอาหารของพนักงาน
   “แล้วตกลงว่าไงคำตอบของแก”
   “จะเอาเท่าไร”
   “ถามงี้แปลว่าเท่าไรก็ได้งั้นดิ”
   “ถ้ามากก็ต้องเข้าบอร์ด แต่ถ้าไม่ก็เอาเงินส่วนตัวไป”
   “สปอร์ตมากอ่ะ เพื่อนร้ากกก”
   ร่างเล็กยกแขนมากอดคอเขา แสดงอาการปลื้มใจ
   “ 50 เปอร์เซ็นต์เลยมะ ยกให้แกเป็นพ่อทูนหัวของเด็กๆ เลย”
   หญิงสาวยื่นข้อเสนอที่เหมือนจะใจปล้ำ แต่คล้ายๆ จะเป็นปัญหาให้ภูบดีมากกว่า
   “ฉันขอตัวเลขที่แน่นอน”
   สริษาหน้ายู่ยี่โดยที่ไม่ต้องทำนาย แต่กระนั้นก็ยอมตอบคำถามด้วยสิ่งที่อมพะนำมาหลายประโยค
   “ฉันวางเฟสแรกไว้ 30 ล้าน แต่ระยะยาว ฉันได้ 120”
   “เอารายงานผู้ถือหุ้นที่แกได้มาแล้วมา ฉันจะเอาเรื่องเข้าบอร์ด”
   “โธ่ ไอ้ภู!!!”

   สริษายังคงบ่นงอดแงดมาจนถึงห้องทานข้าว ภูบดีสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือง่ายๆ ขี้เกียจคิด แต่สริษาเลือกสลัดโรลเพราะเห็นว่าต้องรักษาหุ่นที่เริ่มบวมเผละ เพราะลงพื้นที่ซื้อใจชุมชนเยอะ
   ระยะเวลา 1 ชั่วโมงที่ภูบดีมีให้ เหมือนสริษาจะใช้ไปกับการบ่นเสียเยอะ
   เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง แต่ก็รู้ว่าสริษากำลังทำโปรเจ็คท์สำคัญ เธออยากเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม หลังจากที่ใช้ชีวิตสาวสังคมจนเต็มอิ่ม ถึงได้มาจับงานเพื่อสังคม เธอวางแผนจะเปิด SE หรือ Social Enterprise และภูบดีก็เป็นนายทุนคนแรกที่เธอหมายมาดจะเอาเงินลงทุนมาให้ได้

   เหตุผลก็คงเป็นเพราะ ภูบดี เป็นแฟนเก่า เป็นรักแรก เป็นคนที่ไว้ใจได้ เป็นคนที่เชื่อใจกัน
   และสำหรับภูบดีแล้ว สริษา ก็ยังเป็นเช่นนั้นจนถึงวันนี้

   “ทำไมวันนี้แกไม่ค่อยพูดเลยอ่ะภู”
   “คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
   “อย่าบอกนะว่าคิดถึงยัยแว่นแก้ว คนนั้นฉันไม่เอานะ ไม่ให้ผ่าน”
   สริษาส่ายหัวรัว เธอหมายถึงนักวิจัยสาวสวยอย่างคุณแก้ว ที่เข้ามาทำงานวิจัยผลิตภัณฑ์ล่าสุดให้บริษัท ฉลาดอย่าบอกใคร สายตาทะลุทะลวงจนเหมือนอ่านใจคนได้
,,,และมีท่าทีชอบภูบดีอย่างเปิดเผย
   “แกรู้ใช้ป่ะ ว่าสุขภาพเนี่ยมันจากกรรมพันธุ์ พ่อใส่แว่น แม่ใส่แว่น ลูกออกมามีปัญหาทางสายตาแหงๆ”
   ยกเอาเรื่องสายตามาเป็นเหตุผล แต่ภูบดีไม่ใส่ใจ เพราะคุณแก้วก็แค่เพื่อนร่วมงาน คนที่เขาคิดถึงอยู่บ่อยๆ จนต้องถอนหายใจ คือเด็กนัยน์ตาสีดำ ยิ้มสวย และแสนเศร้าคนนั้นต่างหาก

   “ไม่ใช่”
   “แล้วใครอ่ะ”
   “ถึงเวลาก็รู้เอง”
   โยกหัวสริษาด้วยความเอ็นดู ก่อนขอตัวกลับห้องทำงาน ทิ้งให้แฟนเก่านั่งครุ่นคิดกับคำถามที่ไม่ได้คำตอบนั่น
      
   แต่ดูเหมือนภูบดีจะประมาทความอยากรู้อยากเห็นของสริษาน้อยไป เพราะแม้เขาจะไม่ให้คำตอบใดๆ
   แต่เธอก็หาคำตอบเองได้  โดยกดหมายเลขโทรศัพท์ โดยหมายเลขปลายสายเป็น  “ภาขวัญ”
   …
   ..
   .

   “ประสานกับคุณริษา แล้วให้เรื่องของเธอเข้าบอร์ดครั้งที่จะถึงให้ทันนะ”
   ภูบดีกำชับเลขาอีกครั้ง ก่อนเดินตัวปลิวไปที่ Mustang คันเก่งของเขา

   ช่วงนี้ไปกลับบริษัทตรงเวลา เพราะไม่อยากเอาเวลาราษฎร์ไปเบียดบังเวลาหลวง จึงเลือกใช้เวลาหลวงให้เต็มที่ จะได้เอาเวลาที่เหลือทั้งหมดมาเป็นของราษฎร์

   “ถ้าไม่ใช่น้อย พี่ก็จะทำแบบนี้แหละ”
   หวนคิดถึงประโยคที่บอกนิลเนตรไป แล้วก็ถามตัวเองซ้ำอีกครั้ง ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงไหม
   …ไม่ใช่
   ภูบดีให้คำตอบตัวเองได้รวดเร็วและเหมือนเดิม สมกับเป็นคำตอบที่พุ่งตรงออกมาจากใจ
   …
   ก็ไม่ได้อยากจะโกหก หรือพูดไม่จริงอะไรทำนองนั้นหรอก แต่เขาก็หาคำตอบที่ดีกับการเข้าไปป้วนเปี้ยนในชีวิตของน้อยไม่ได้
   “รัก”  ก็ดูจะรวดเร็วไป
   “ชอบ” ก็อาจจะไม่มากพอที่จะทำอย่างนั้น
   คล้ายๆ ว่าจะอยากเป็น “คนสำคัญ”
   อยากให้แววตาต่อต้านและเวิ้งว้างนั่น อ่อนลงเวลาที่มองเขา
   อยากให้คนที่ไม่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้ใคร เปิดประตูที่ปิดเหล่านั้นให้เขา
   และที่อยากที่สุด,,, ก็คงอยากให้ ทุกครั้งถ้านิลเนตรจะร้องให้
   … ให้เขาเป็นคนได้ปลอบ
   นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องหาทางแทรกซึมเข้าไปสู่ชีวิตน้อย และเพราะความอยากที่จะทลายกำแพงนั่นมันมากพอ เขาจึงได้เลือกวิธีที่จะไม่พูดความจริง เพื่อที่จะไม่ต้องถูกปิดประตูใส่หน้า และหมดหนทางที่จะเข้าหาด้วยกลไกการป้องกันตัวเองของเด็กคนนั้น   
   เพราะน้อยเป็นคนเก็บตัว ที่มากกว่านั้นก็คือการที่เป็นคนปิดตัวเองจากโลกภายนอก เขาเริ่มรู้จักน้อยตอนที่ภาขวัญอายุได้ 12 ปี ตอนนั้นเขาก็อายุได้ 20 เต็มวัยหนุ่ม ชีวิตมีเรื่องวุ่นวายมากมาย จนไม่ได้คิดจะใส่ใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อแปลกที่ได้ยินมาจากถ้อยคำของน้องสาว แต่ก็พอจะจำได้ว่า เพื่อนคนโปรดคนนี้ไม่อนุญาตให้ใครเลยเข้าไปใกล้ชิด ยกเว้นภาขวัญ ที่ค้นพบน้อยในวันที่เขาหนีออกจากบ้าน  และเหมือนจะกลายเป็นคนเดียวที่ค้นพบน้อยในทุกๆ ที่หลังจากนั้น
   …
   ..
   “…”
   โทรศัพท์สายเข้าขัดจังหวะการครุ่นคิด ชายหนุ่มเชื่อมโทรศัพท์เข้ากับรถแล้วตอบคำถามที่ต่อสายตรงมาจากบริษัทลูก ที่เหมือนหัวหน้าคนใหม่จะไม่เข้าใจการทำงานกับชาวนานัก แต่เขาก็ยินดีที่จะแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ นั่นด้วยตนเอง ดีกว่าที่จะปล่อยให้เป็นปัญหาใหญ่ในภายภาคหน้า
ภูบดีจับธุรกิจส่งออกข้าวตั้งแต่ยังเรียนอยู่มัธยม มันเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากการได้รับมรดกเป็นเรือกสวนไร่นา กว่าร้อยไร่จากคุณปู่คุณย่าที่ชัยนาท แน่นอนว่าสวนที่ชานเมืองนั้นคุณปู่คุณย่ายกให้ภาขวัญ ผู้ครอบครองทั้งบ้านสวน ที่ดิน และหัวใจของนิลเนตรมาตั้งแต่ยังเด็กๆ
จุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากการที่เขาค้นพบว่าราคาข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนค่อนโลกนั้นตกต่ำจนน่าใจหาย ภูบดีที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ อยู่แล้ว อาศัยคอนเน็คชั่นของบิดามารดาเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจส่งออกข้าวเล็กๆ ก่อนขยายใหญ่เป็นบริษัทในปัจจุบัน 
ถ้าถามว่าถ้าไม่ “ค้าข้าว” แล้วเขาจะทำอะไร สำหรับภูบดีที่เรียนจบทางรัฐศาสตร์มาอาจรับราชการตามบิดา หรือทำธุรกิจสืบต่อจากคุณตาคุณยาย เขาไม่มีความฝันและความคาดหมายอะไรในชีวิตเป็นพิเศษ  อาจเป็นเพราะความพรั่งพร้อมที่มีมาตั้งแต่กำเนิด และการเลี้ยงดูในครอบครัวที่สุข และอบอุ่นจนล้นปรี่ พร้อมทั้งไม่กดดัน และไม่คาดหวัง ทำให้เขาเหมือนคนที่ไม่มีเป้าหมายอะไรเลย
   จนกระทั่งวันที่เขาเอาเงินก้อนแรกจากการขายข้าวไปให้ชาวนาผู้เช่าที่ของคุณปู่คุณย่า ความศรัทธา ความปิติ ความดีใจ ที่สะท้อนออกมาจากดวงตาเหนื่อยล้าทำให้หัวใจของภูบดีเต็มตื้นด้วยความรู้สึกอิ่มเอม  ภูบดีรู้ทันทีในตอนนั้น
   ถ้าทุกอย่างที่เขาได้มาจากพระเจ้ามันมากพอแล้ว เขาก็อยากจะเป็นฝ่ายที่ได้ “ให้” บ้าง
   แต่ไม่รู้ว่าจะต้องให้อย่างไร ให้แบบไหน
   ถึงจะสามารถเข้าไปถึงหัวใจของใครบางคน
   ที่ไม่ต้องการอะไรจากใครเลย
   …


   …
   ..
   .
   ห้องเก็บของหลังโรงละครมหาวิทยาลัยในยามบ่ายไม่มีใครใช้งาน
   แต่เสียงชิ้นส่วนประกอบสร้างฉากในโรงละครแข่งกันร่วงกราว  เพราะความดุดันจากสองร่างที่กำลังกอดรัดกันอย่างดุเดือด
   “อย่าทำแรงสิน้อย”
   ริมฝีปากบางเฉียบแต้มสีส้มสดกระซิบประโยคเหมือนดุ แต่กลับเจือเสียงหัวเราะระริก ยั่วเย้า
   มันเป็นการท้าทายมากกว่าในความรู้สึกของนิลเนตร บางส่วนที่สอดใส่อยู่แล้วจึงยิ่งรู้สึกดุดัน สอดและกระแทกเข้าไปอีกอย่างบ้าคลั่ง
   “อ่า..”
   “ลึกอีกน้อย พี่ชอบท่านี้”
   ยกขาขาวที่กระโปรงนักศึกษาถูกถกขึ้นไปที่เอว ให้กอดก่ายขึ้นมาไหล่
   ร่างกายของนักศึกษาวิชาการแสดงคนนี้นั้นยืดหยุ่น จนจะจับและขยับไปท่าไหนก็ดูง่ายและชวนให้สนุกสนานไปหมด
   ขณะที่หนุ่มน้อยโหมแรงไม่ขาดจังหวะ  สาวรุ่นพี่ก็ตะโบมจูบที่ใบหน้าน่ารักนั่นอย่างหลงใหล

   แรกๆ หล่อนไม่ได้สนใจหนุ่มน้อยคนนี้เท่าไรนัก
   เพราะท่าทีเฉยชา และหน้าตานุ่มนิ่ม ไม่ได้หล่อจัด แต่จัดว่าน่ารักผสมเป็นไทป์ที่หาได้ทั่วไป สำหรับผู้หญิงสวย แถมยังมีสปอตไลท์สาดส่อง แต่ในปาร์ตี้ของคณะค่ำคืนหนึ่ง ความเมาและความมันจัดคู่องค์ประกอบใหม่ ให้เธอได้กับเขา ที่เป็นคู่ควงของรุ่นน้องในคณะในค่ำคืนนั้น
   จนทำให้ “ติดใจ” จนต้องเรียกใช้บริการในยามที่ของขาดมือ
   “อ่า น้อย…”
   ครางอย่างไม่อาจห้าม จังหวะแรงรัวนั้น เปลี่ยนเป็นลึกและกระแทกย้ำถี่ๆ  เธอใกล้แล้ว และเสียงลมหายใจของหนุ่มน้อยก็บอกว่าใกล้แล้วเหมือนกัน
   สาวสวยดึงร่างของนิลเนตรมาจูบอย่างดูดดื่ม เพื่อปิดกั้นเสียงครางสุดท้ายที่อาจทำให้แตกตื่นไปถึงข้างๆ
   “อ่า”
   ใบหน้าชุมเหงื่อ กดจูบลงบนไหล่ลาดเนียน ปล่อยขาเนียนวางลงบนพื้น แต่ดวงตากระหายหิวคล้ายยังไม่อิ่มเต็ม
   “พี่มีนัดต่อตอนเย็น ไม่งอแงนะ”
   “ครับ”
   นิลเนตรรับคำ จริงๆ แล้ว วิสัยของเขานั้นห่างไกลจากคำว่างอแงอยู่โข  แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเซ็กส์แบบเร่งรีบทำให้เขาไม่อิ่มสักเท่าไร

   “นี่จ้ะของฝาก”
   บุหรี่ยี่ห้อดีถูกวางใส่กระเป๋า แอบเห็นแบงค์สีเทาถูกสอดแทรกอยู่ด้วย
   นิลเนตรดึงพี่เป้มาจูบรุนแรงแทนคำขอบคุณ สาวรุ่นพี่หัวเราะเสียงใส ก่อนจะแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินจากไป ทิ้งน้อยใว้กับเศษซากวัสดุที่เหลือเพียงลำพัง

   หยิบบุหรี่นำเข้ามาสูบ ให้ควันกับกลิ่นหอมฟุ้งล่องลอยในความฝัน
   แปลกพิลึกที่อยู่ๆ บทเพลงบนรถของใครคนนั้นกลับลอยเข้ามาในความคิด
   บทเพลงเอื่อยช้า ที่ขัดแย้งกับความเร็วของจังหวะรถที่ขับเคลื่อน

   “ถ้าที่ๆ นี้เป็นที่เดียวที่มีท้องฟ้าและทะเลสีคราม นอกจากนี้ไม่มีใคร…”

   น่าเสียดายที่… ที่ที่นี้ไม่มีใครเลย

   “ร้อนแรงดีนะ”
   “…”
   นิลเนตรแทบสำลักควัน หันขวับไปตามเสียง
   เห็นใบหน้าหล่อคมชนิดที่หาตัวจับได้ยาก กับกรอบแว่นบางใส
   คนที่เขาว่าเขาเริ่มคุ้นเคยแล้ว แต่กลับมีสายตาที่แปลกไปไม่คุ้นอย่างเคย
   มันเหมือนมีความตัดพ้อและต่อว่าอยู่ในนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่มีสาเหตุอะไรเลยที่จะทำให้แววตานั้นสื่อความหมายอย่างที่เขาคิด

   “พี่จอดรถไว้ที่เดียวกับที่น้อยเคยจอด แล้วก็เลยลองเดินมาทางนี้ดู ไม่คิดว่าจะเจอน้อย”

   ไม่จริง… ภูบดีโกหก เขาจอดรถ และทันเห็นร่างคุ้นสายตาเดินไปข้างหน้าพร้อมนักศึกษาหุ่นบางในชุดรัดรูป  ถึงได้เดินตามมาอย่างเงียบๆ  โชคดีที่จากที่จอดรถมาจนถึงห้องเก็บของ เป็นโซนเงียบเชียบ ที่เหมือนจะมีแต่ปลูกต้นไม้และอาคารเก็บของ ทำให้มีตำแหน่งที่จะซุกซ่อนสายตาอยู่มากมาย
   …แต่ก็นะ ล้วงกันมาตั้งแต่ตอนนั้น จะไม่รู้ไม่เห็นว่าใครเดินตามมาเลยก็ไม่แปลกเท่าไรหรอก

   …คลี่ยิ้มลวงโลกอีกครั้ง

   กอดเก็บความรู้สึกโกรธเกรี้ยวไว้ในอก ความรู้สึกหวงแหนที่เขายังไม่มีสิทธิ์ จะไม่มีวันได้สิทธิ์นั้นมาเลย ถ้าเปิดเผยทั้งหมดกับนิลเนตรไปตั้งแต่วันนี้

   นิลเนตรคอตกเล็กน้อย
แม้เขาบอกเล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดา ว่าเห็นตั้งแต่ตอนไหน แต่ความรู้สึกผิดชอบคงบอกนิลเนตรนั่นแหละ ว่าไม่ควรทำอะไรแบบนี้
   “เรานี่มันร้ายนัก มีอะไรกับแฟนร้อนแรงเปิดเผยขนาดนี้เลยเหรอ”
   “ไม่ใช่แฟนหรอกครับ พี่เป้เป็นแค่คนรู้จัก”
   “…”
   “แล้ว… น้อยชอบเขา หรือเขาชอบน้อยหรือเปล่า”
   นิลเนตรส่ายหัว แต่ไม่ขยายความอะไรต่อ
   “อืม เด็กสมัยนี้ไปไวจังนะ”
   แกล้ง ขมวดคิ้วบ่นเป็นคนแก่ และได้ผล นิลเนตรหัวเราะน้อยๆ
   “พี่ภูยังไม่แก่นะ แล้วก็พูดเหมือนไม่ได้โตที่เมืองนอกเลย”
   “อ้าวๆ เห็นแบบนี้ พี่ให้เกียรติผู้หญิงนะน้อย”
   นิลเนตรทำหน้าไม่เชื่อ จนภูบดีหลุดหัวเราะและเล่าความจริง
   “มันก็มีบ้าง แต่ก็เป็นช่วงเด็กๆ พอพ่อกับแม่รู้เข้า ท่านก็ไม่พอใจ ท่านอยากให้พี่ให้เกียรติคนที่คบ”
   “คือพี่ภูไปมีอะไรกับกิ๊กเหรอ”
   “ไม่ใช่ ท่านหมายถึง คนที่พี่จะคบในอนาคต เขาจะรู้สึกยังไง ถ้าครั้งหนึ่งพี่เคยปล่อยตัวเอาไม่เลือก”
   “…”
   “งั้นน้อยก็คงไม่เป็นไรหรอก”
   “ทำไมล่ะ ถึงน้อยจะไม่มีใคร แต่วันหนึ่งน้อยก็จะมีความรัก มีคนที่น้อยอยากรัก”
   นิลเนตรส่ายหน้า ดึงบุหรี่อีกมวนมาสูบ ภูบดีรับรู้จากกลิ่นที่ดีของมันได้ว่า คงเป็นบุหรี่นอก
   “ความรักเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับผม แต่ถ้าเป็นเซ็กส์ผมโอเคนะ”
   นัยต์ตาว่างเปล่าสบกับภูบดีอย่างเปิดเผยจริงใจ

   ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเผลอคิดอกุศล คิดถึงฉากรักที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน เผลอคิดว่าถ้าไม่ต้องถึงความรัก
   ถ้าเป็นแค่เซ็กส์
   …น้อยจะโอเคกับเขาด้วยหรือเปล่า
   …
   เหมือนสายตาเขาจะบอกความนัยชัดเจนไป น้อยจึงได้เบือนหน้าหนี แล้วเหมือนจะมีสีแดงขึ้นเรื่อในใบหน้านั้น
   “ว่าแต่พี่ภูมารับภาเหรอ ภารอไอ้เพชรอยู่โรงอาหารด้านหน้าน่ะ”
   “อืม จะมารับภาไปทานข้าว ไปด้วยกันสิน้อย”
   “วันนี้น้อยมีเล่นดนตรี”
   “ไปทานที่ร้านน้อยนั่นแหละ”

   น้อยทำหน้าสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร น้อยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ  ก่อนเดินนำผมไปพบภาขวัญแต่โดยดี



   กลุ่มนักดนตรีวัยรุ่นนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าร้าน
   พอนิลเนตรเดินเข้ามา ทั้งวงก็ลุกกรูเข้ามาหา
   ภูบดี และภาขวัญเลือกที่จะยืนรออยู่ห่างๆ ให้นิลเนตร  และเพชร เดินเข้าไป

“ทำไมพวกมึงไม่เข้าไปเตรียมเล่นอ่ะ ไหนว่าวันนี้พี่กูให้เล่นรอบเช้าอ่ะ”
   รอบเช้าของเพชร หมายถึงช่วงหกโมงเย็นถึงสองทุ่ม ที่ลูกค้าส่วนใหญ่มาแบบครอบครัว เน้นเพลงป๊อบ ร่วมสมัย ฟังได้ทั้งครอบครัว
   “ก็เฮียหยกน่ะสิ ให้มา 2,000 แล้วบอกว่าขอเลิกจ้าง พวกเราก็เลยมานั่งคุยกันรอแกกับไอ้น้อยอยู่เนี่ย”

   เพชรผลุนผลันเข้าไปในร้าน โดยมีน้อยตามเข้ามาติดๆ
   แล้วทั้งสองก็ได้รับโอกาสให้มาฟังคำอธิบายจากปากของเจ้าของร้านเอง

   “ลูกค้าเขามาร้องเรียนว่านักดนตรีวงไอ้น้อยไปแย่งแฟนเค้า”
   “อ้าว เฮ้ย เฮีย นั่นมันเรื่องส่วนตัว”
   “กูก็บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่พ่อมันแม่งเป็นตำรวจคุมท้องที่นี้ เมิงจะให้กุทำไงไอ้เพชร”
   “แต่ร้านเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ได้มีเรื่องน่ากลัวนี่เฮีย”
   “ก็ไอ้ที่ถูกจับ ถูกปิดร้านไป เมิงคิดว่าทุกร้านทำผิดกฎหมายเลยหรือเปล่าล่ะ”
   “…”
   เพชรเงียบ ไม่มีคำตอบให้พี่ชายของตัวเองเหมือนกัน

   “เมิงก็รู้ว่าไอ้เรื่องพวกนี้ ถูกหรือผิดกฎหมายก็ส่วนหนึ่ง แต่ไอ้ที่ไปเหยียบตีนใครก็อีกเรื่องหนึ่ง ถึงมึงไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่ถ้ามึงทำอะไรไม่ถูกใจ ตำรวจแม่งก็ตรวจร้านเมิงแล้วเจอยาได้เสมอนั่นแหละ”

   ไอ้เพชรฮึดฮัด แต่เถียงไม่ได้
   นิลเนตรที่นิ่งอยู่นาน เป็นฝ่ายพูดบ้าง
   “ผมผิดเองแหละครับ”
   สองพี่น้องมองไปที่ชายร่างโปร่งบาง คนที่เป็นจุดขายของร้านเสมอมา ภาพการต่อยตีเมื่อหลายวันก่อน หลุดเข้ามาในหัวของนิลเนตรเป็นฉากๆ

   “เมิงอย่าบอกนะว่าวันนั้น”
   เพชรถาม นิลเนตรส่ายหัว
   “กุก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นกุก็มั่นใจว่าไม่มีใครในวงนอกจากกู”
   “แล้วเมิงจะเอายังไงต่อไป”
   “กูก็ไม่รู้ว่ะ กูพอมีเงินเก็บ คงพอใช้ไปก่อนได้ แต่กุคงต้องเคลียร์กับพวกไอ้แจ็ค”
   
   ภูบดีกับภาขวัญ และวงของนิลเนตรรออยู่ที่เดิม  นิลเนตรสบสายตากับคู่พี่น้องแววตาลุแก่โทษ ก่อนจะสื่อสารโดยตรงกับเพื่อนร่วมวง ด้วยเรื่องราวที่ยอมรับแต่โดยดี

   “ความเหี้ยของมึงนี่เอง!”
   แจ๊คตวาดเสียงดัง ก่อนผลักนิลเนตรกระเด็น และเขาก็ไม่ตอบโต้ เพื่อนในวงเข้ามาห้าม ก่อนพากันออกไป ไม่แม้แต่จะเหลียวมามองนิลเนตร
   เด็กหนุ่มยืนก้มหน้านิ่ง ความรู้สึกผิดพรั่งพรูออกมาไม่ได้ จึงได้แต่เอ่อล้นอยู่ในแววตาที่เก็บกลั้นความเสียใจไว้ข้างใน

   “เปลี่ยนบรรยากาศทานข้าว ไปทานที่ร้านอื่นกันดีกว่าเนอะ”
   เขาบอกเพชรและภาขวัญ แล้วถือวิสาสะโอบร่างบางของนิลเนตรไปขึ้นรถตัวเอง เหมือนตอนที่มาจากมหาวิทยาลัยซึ่งภาขวัญขอไปนั่งกับเพชร และส่งนิลเนตรมานั่งเป็นเพื่อนเขา

   เลือกร้านที่อยู่ห่างไกลไปอีกฝั่งนึง แล้วส่งโลเคชั่นให้น้องสาว ปิดโทรศัพท์ไม่ฟังคำท้วงติง

   บนรถสปอร์ตคันหรู ภูบดีเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ไม่เปิดเพลง ปล่อยให้บรรยากาศภายนอกเคลื่อนไหว เผื่อจะพัดผ่านเอาความเสียใจของคนข้างตัวออกไปได้บ้าง
   “พี่ภู พี่ภูรู้มั้ย ต้องทำยังไงชีวิตเราถึงจะไม่สร้างความชิบหายให้ใครอีก”
   “…”
   คำถามของนิลเนตรรุนแรงจนน่าตกใจ ภูบดีเหลือบมองเห็นแววตาสั่นไหว ทอดมองนิ่งไปยังความเคลื่อนไหวเบื้องหน้า แต่กลับคล้ายไม่โฟกัสอะไรเลย และล่องลอยไปไกลจนเขาคาดเดาไม่ถูก

   “ไม่มีใครทำให้ชีวิตของใครต้องชิบหายหรอกน้อย ทุกคนเกิดมามีทางเลือกชีวิตของตัวเอง เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเองทั้งนั้น”
   “ไม่จริง”
   “บางครั้งเราอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอะไรบางอย่าง แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไป มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆ ดีๆ ก็ได้”
   “แต่ชีวิตของน้อยไม่เคยทำให้เกิดอะไรแบบนั้นกับใครเลยนะ”
   “…”
   “ตั้งแต่จำความได้ น้อยเข้าไปอยู่ในชีวิตใคร ถ้าเขาไม่มีอันเป็นไป ก็ต้องเสียงาน เสียอนาคต หรือไม่ก็เสียใจ”
   “ไม่หรอก น้อยเป็นสิ่งที่ดีงามในชีวิตใครอีกตั้งหลายคน อย่าง ภา เพชร เต๋า เบท นั่นไง”
   น้อยแค่นยิ้ม ไม่เชื่อตามที่ภูบดีบอกแม้แต่น้อย
   “บางทีน้อยก็กลัว ว่าวันหนึ่งน้อยจะทำให้ทุกคนต้องทิ้งน้อยไปหมด แล้วน้อยก็จะไม่เหลือใครเลย”

   ความว้าเหว่และแหว่งเว้าในน้ำเสียง  ทำให้ภูบดีต้องหันกลับมองหน้า มือเล็กๆ ที่กำกันแน่นเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น เขาเอื้อมมือข้างซ้ายไปแตะอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ล่วงล้ำ

   “ไม่มีวันเป็นพี่”
   “…”
   “พี่ไม่มีวันทิ้งน้อย”


TBC

   “ถ้าพี่ภูชอบน้อย ทำให้น้อยเป็นของพี่ภูสิ”   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-02-2018 22:08:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
«ตอบ #10 เมื่อ05-02-2018 08:43:05 »

ทำไมมันหน่วงๆนะ :katai1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
«ตอบ #11 เมื่อ05-02-2018 19:38:11 »

ยังมีพี่ภูที่อยากให้หนูเป็นคนสำคัญนะน้องน้อย
สงสารน้อง อยากให้น้องมีความสุข พี่ภูคนดีๆสู้น้า

คนเขียนก็สู้ๆนะคะ รออ่านค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
«ตอบ #12 เมื่อ05-02-2018 19:59:57 »

ขอบคุณมากๆ นะคะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 4 Up 04/02/2018
«ตอบ #13 เมื่อ06-02-2018 22:28:55 »

ซอฟท์ดราม่า มาเป็นระลอกๆ หน่วงข้างใน แต่อ่านแล้วน่าติดตามจริงๆ

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 5 Up 16/02/2018
«ตอบ #14 เมื่อ16-02-2018 20:11:15 »

บทที่ 5
การเดินทางมาของดวงตะวัน

ผมกอดความว่างเปล่าที่แนบอยู่กับอกแน่น
   คำพูดของเขาเหมือนนิทานหลอกเด็ก
   ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงเดือน จะกล้าเอ่ยคำนี้ออกมา
   แต่ที่น่าสงสัยมากกว่า คือเขาพูดแบบนี้เพื่ออะไร
   และที่น่าสงสัยที่สุดก็คงเป็น…., ทำไมหัวใจของผมถึงได้รู้สึกอุ่นหวามขึ้นมา  ทั้งอบอุ่น และหวาดกลัว
หวาดกลัวว่าคำที่เขาบอกมาจะเป็นคำลวงอีกหนึ่งคำที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม คำลวงที่ไม่เคยมีอยู่จริง

   ขยับมือที่จับกันเองของตัวเอง ออกจากฝ่ามือแกร่งที่แตะอย่างแผ่วเบา ผินหน้าที่มองออกไปภายนอก กลับมาสบตากับเขาผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีให้ผมหลายต่อหลายครั้งแล้ว
   เขาเป็นเพียงพี่ชายของเพื่อน และเขาอาจจะอยากเป็นพี่ชายของผม
   แต่ถ้าความผูกพันมันจะเกิดขึ้นมาเพื่อเดินจากไปเหมือนที่ผ่านมา สู้ให้มันเกิดขึ้นแค่ในระยะปลอดภัย
   ที่ต่างคนจะต่างอยู่เองได้ โดยไม่ต้องมีกันจะดีกว่า
   ผมยิ้มแผ่วเบาให้พี่ภู สบนัยน์ตาอบอุ่นที่ทอดหวาน แล้วความรู้สึกอิจฉาภาขวัญก็ผุดขึ้นมาในใจอีกระลอก ความอบอุ่นและมีความหมายเช่นนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างรอยยิ้มของผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ภาขวัญ แต่ผมแน่ใจดี
   ว่ามันไม่มีวันเป็นของผม.
   “ไม่ต้องห่วงน้อยหรอกนะพี่ภู น้อยโอเค”
   “…”
   “น้อยรู้อยู่แล้ว”
   ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นึกเรียบเรียงประโยคที่จะทำให้เรื่องราวที่ออกจากปากมาเป็นเพียงการบอกเล่า ไม่ใช่เรียกร้องขอความเห็นใจ หรือหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ นอกจากการวางเฉยต่อเรื่องราวจากคนฟัง

“น้อยเกิดมาเพื่อจะจากไปเพียงลำพัง และสิ่งที่น้อยต้องทำก็คือ ไม่ไปพังชีวิตใคร”
คลี่ยิ้มปลอบใจตัวเองโดยอัตโนมัติ สูดลมหายใจที่เพิ่งถอนเข้าอย่างแผ่วเบา
   “…”
   “ไม่คิดอย่างนี้สิน้อย”
   เขาดุงั้นเหรอ? เหลียวมองใบหน้าคมเข้มที่สว่างไสวไปด้วยรอยยิ้มเสมอนั่นแล้วก็แปลกใจ  แล้วก็แปลกใจขึ้นที่มีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
   คงอิดหนาระอาใจในระบบความคิดของผมสินะ
   ผมควรจะไม่ชอบใจหรือเปล่า แต่ไม่รู้ทำไม กับความห่วงใยและอ่อนโยน ผมอาจรู้สึกดีที่ได้มันมา และความรู้สึกโกรธ หรือไม่ชอบใจมันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
   มันอาจจะเป็นเพราะ ถ้าเขาจะหวังดีหรือเขาจะห่วง มันอาจเป็นสิ่งที่คนดีๆ ที่ไหนก็ทำกัน
   แต่เมื่อไรที่เขาเอาเรื่องของเราไปหนักใจ ไม่สบายใจ หรือทำให้เขาโกรธ
   เหมือนกับว่า…เรามีตัวตนที่เข้มแข็งเหลือเกินในความรู้สึกของเขา
   ความรู้สึกที่จะถอนตัวออกมาจากความเป็นพี่น้อง พ่ายแพ้เหมือนโดมิโนที่ล้มลงมาระเนระนาด เพียงเพราะคำพูดดุๆ ประโยคเดียวของเขาเลย

   “เอาเถอะ อาหารอร่อยๆ จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
   พี่ภูพูด ย้ายมือที่วางบนขาของผม เพราะผมขยับมือของตัวเองออกมา ออก แล้วไปเลื่อนเปิดเพลง ให้เสียงดนตรีออกมาทำลายความเงียบ ของความคิดเห็นที่ซับซ้อนและสับสนของผม

   “ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียวที่มีเธออยู่ ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียวที่มีลมหนาว ถ้าที่ที่นี้เป็นที่เดียวที่มีต้นไม้และลำธารน้ำใส ก็จะไม่มีสิ่งใด…มีเพียงแต่เรา”
   (เพลง เรา by selina and sirinya)

   เพลง เพลงเดิมที่ผมเคยฟังบนรถของเขา แต่ความรู้สึกของการได้ฟังวันนี้…มันเปลี่ยนไปแล้ว
   
   อาการปวดหัวตึ้บ เป็นความลำบากยิ่งในตอนเช้า แต่ตารางงานที่ยาวเหยียดตลอดเดือน ทำให้อาการปวดหัวแทบจะหายไปแบบปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะช่วย หรือจงใจจะแกล้ง งานในร้านอาหารทั้งกลางวันและกลางคืนที่เขาหาให้ผมถึงได้สับหว่างกันเป๊ะกับตารางเรียนที่มีอยู่ เหลือก็แค่วันพุธวันเดียวที่ทั้งไม่มีเรียนและไม่มีงาน ให้ผมได้พักผ่อนและใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
   ลืมไปเลยเรื่องการใช้ชีวิตเสเพลแบบเดิม และดูเหมือนเพื่อนๆ ไม่ว่าจะกลุ่มที่มหาวิทยาลัยและกลุ่มที่เป็นนักดนตรีก็ดูจะพออกพอใจกับชีวิตผมที่เป็นแบบนี้
   แต่ที่พอใจมากกว่าก็คงชอบใจในคุณภูบดี ที่ก้าวผ่านจากความเป็นพี่ขายภาขวัญมาสู่การเป็นพี่ชายของผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกที ก็มีเขาแทบในทุกตารางชีวิตไปซะแล้ว
   ยกเว้นอาทิตย์ที่ผ่านมาที่คุณคนดีหายไปเลยแบบไม่ได้บอกกล่าว และนั่นเป็นอิสระยามค่ำคืนที่ทำให้แบบปาร์ตี้จนสุดเหวี่ยงกับกลุ่มเพื่อนในคืนวันอังคารจนเช้าวันพุธ

   “เฮ้ย วันนี้น้อยไม่มีคนมาคุมว่ะ”
   ไอ้แจ็คทำเสียงก่นล้อในน้ำเสียง แต่ผมส่ายหัว กระดกช็อตเพียวๆ พอครึ้มใจ
   “กุถามจริงเหอะ เมิงกับพี่เขานี่ยังไงกันวะ”
   “ไม่มีอะไร ก็พี่เขาเป็นพี่ชายภาขวัญ เขาก็เอ็นดูกูเป็นน้อง”
   “แค่เอ็นดูนะ ไม่ใช่อยากจะดูเอ็น ถ้าเป็นงั้นล่ะก็ กุขอดูก่อนได้ไหมวะ”
ไอ้โจ๊กทีเล่นทีจริงจนโดนนิกกี้ตบหัวปั้กใหญ่
   “กุว่าเขาอยากดูแลมึง”
   นิกกี้บอก
   “ยังไงวะ”
   “ก็ถ้าเผื่อเมิงไม่รู้ตัว คนอย่างเมิงน่ะ สมควรดูแลที่สุดในโลกแล้วล่ะ”
   นิกกี้ยิ้ม ส่งประกายตาแสนเศร้าสีอ่อนให้ผม
   มันเป็นนักร้องประจำวง และยังเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกอย่าง ความดำดิ่งในสุนทรียศาสตร์มักทำให้มันตีความอะไรแตกต่างและไม่เข้าท่าไปจากคนอื่นเสมอ

   “ไร้สาระ กุเป็นผู้ชาย กุดูแลตัวเองได้”
   “ก็ถ้าเผื่อเมิงจะไม่รู้ ตั้งแต่มีพี่ภู เมิงดูมีความสุขมากขึ้นอีกตั้งเท่าไร”

   ผมกระดกช็อตที่สอง ปล่อยให้เรื่องราวของบางคนไหลเวียนไปในกระแสเลือด สู่สมอง สู่หัวใจ ขณะที่จังหวะดนตรีภายนอกก็พอร่างกายสมส่วนโยกย้ายไปตามท่วงทำนอง ในความมึนเมาที่ทรงอิทธิพล ผมพบว่าความเหงาทำงานแบบลดประสิทธิภาพ ผมไม่รู้สึกอยากกอดใครเลย จนกระทั่งกลับบ้าน

   “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วยกันอ่ะน้อย”
   “แน่ใจสิ”
   ผมปฏิเสธเสียงใส ไม่แพ้เจ้าของคำชวนผ่านโทรศัพท์เครื่องเก่า
   วันนี้ ภาขวัญ เพชร เบท และเต๋า มีนัดไปดูหนังเที่ยวเล่นกัน เป็นรางวัลที่ภาให้สำหรับการตั้งใจเรียนขึ้นตลอดหลายสัปดาห์ของพวกมันรวมทั้งผมด้วย แต่ผมขอบาย เพราะวันนี้ผมมีนัดกับตัวเองที่จะซื้อต้นไม่มาลงหน้าบ้านใหม่
   หลายคนอาจชอบปลูกไม้ยืนต้น หรือไม้ประดับ เพราะมันเป็นมงคล ยั่งยืน และให้ความหมายในนัยยะอะไรต่อมิอะไรที่มากมายกว่า
   แต่ผมที่เชื่อในชีวิตแสนสั้น
   หลงใหลความงามฉาบฉวยแบบนี้เสมอ
   ดอกไม้ที่ปลูกเรียงอยู่ในกระถางถึงได้มีแต่พวกสวยงาม และให้กลิ่นหอม
   นั่นล่ะ, มันถึงได้ดูแลรักษายาก และตายไว
   แต่ดอกไม้ไม่เหมือนความสัมพันธ์ ตราบที่ผมยังมีเงินผมจะซื้อมันอีกกี่ครั้งก็ได้
   และถ้าผมให้เงินมันมากพอล่ะก็, มันจะไม่มีวันทรยศผม

   ขับอีซุซุคันเก่า เก๋าและเก่ง เป้าหมายของผมคือฟาร์มกล้วยไม้ย่านตลิ่งชัน แอบเสิร์ชจากเน็ตจนรู้ว่านอกจากกล้วยไม้สวยๆ ไม่ดอกไม้ประดับที่นั่นยังมีวางขายอยู่หลายร้าน 

เวลาบ่ายแก่ๆ เกือบเย็นย่ำ แดดร่มลมตก ผมก็มาถึงฟาร์มกล้วยไม้เล็กๆ ที่นี่ไม่ได้มีกล้วยไม้หลากหลาย แต่มีพันธุ์ที่ผมชอบให้เลือกหลากหลายต้น ผมเลือกมันไปเผื่อขาด เผื่อพัง และเผื่อตาย
ความสัมพันธ์กับต้นไม้เป็นเช่นนี้ รักแบบเผื่อเลือกได้ อย่างที่ในชีวิตจริงทำไม่ได้

“ชอบกล้วยไม้หรือคะ”
สาวน้อยผู้ดูแลสวนถามผมเสียงหวาน
“ผมชอบความสวยงามน่ะครับ ดอกไม้ หรือกลิ่นหอมของดอกไม้”
“ขอให้ไม่เบื่อนะคะ”
เธอว่า แล้วยื่นเงินทอนให้ผม
เป็นคำอวยพรที่แปลกดี แต่ผมก็ยิ้มรับ,,,เอาที่จริงแล้ว แม้ผมจะเปลี่ยนต้นไม้บ่อยแค่ไหน แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยเชื่อไหม แต่ที่ผมต้องเปลี่ยนมันไปเรื่อยๆ นั่นก็เพราะ ไม่มีใครยอมอยู่กับผมตลอดไปเลยต่างหาก
หรือว่า…ความจริงแล้วจะเป็นเพราะผมต่างหากที่ทำให้ไม่มีใครอยู่กับผมได้ ,
   แบบไหนกันแน่นะ


   ขับรถต่อไปยังร้านต้นไม้เล็กๆ ที่หาไว้จากในอินเตอร์เน็ต ได้กุหลาบหลากสีมาทดแทนที่ตายไป มะลิ มะลิซ้อน เยอร์บีร่า ไฮเดรนเยียร์ เรียกได้ว่าเจออะไรผมก็กวาดมาหมดดีกว่า 
   รู้สึกสบายใจชะมัด จำไม่ได้แล้วว่าไมได้ออกมาชอปปิ้งดอกไม้แบบนี้นานขนาดแล้ว, อาจจะนานเท่าที่ “เฉิน”  ผู้ชายคนนั้นทิ้งผมไปก็ได้
   เพราะเย็นแล้ว และกระเพาะก็โอดครวญเพราะความหิว ผมเลิกช้อปปิ้ง จอดรถไว้ข้างห้างขนาดย่อย หรือจะเรียกว่ามินิซุปเปอร์ก็คงได้ สั่งราดหน้ามาทานแบบง่ายๆ และรู้สึกดีกับชีวิตง่ายๆ แบบนี้อย่างบอกไม่ถูกเลย

   ทุ่มหนึ่งเป็นเวลาที่ได้ฤกษ์กลับบ้าน และถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเรียนแต่เช้าผมก็คงจะไปร่อนต่ออีกสักหน่อย สตาร์ทรถออกจากตลิ่งชัน บ้านสวนของผมอยู่ไม่ใกล้จากที่นี่แต่ก็ไม่ได้ไกล ขับชิลล์ๆ ไม่เกินชั่วโมงก็ถึง  แต่จังหวะกระตุกๆ ของรถนี่ต่างหากที่ทำให้ผมใจหาย
   “แกรก แกรก แกรก”
   อีแก่ของผมร้องเสียงแปลกๆ แต่มันยังเคลื่อนที่ต่อได้ ผมเปิดไฟฉุกเฉิน หักพวงมาลัยเข้าซ้าย
   “เห้อ”
   “…”
   มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอัตโนมัติ
   “พี่ภูครับ รถน้อยเสียอีกแล้ว”

   ภูบดีมาจากไหนไม่รู้ แต่เขามาใช้เวลาแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็มาถึงจุดที่ผมอยู่ ตามด้วยคนจากอู่ที่ไหนไม่รู้ ที่มายึดรถผมไปอย่างที่เคยเจอกับเขาครั้งแรก โชคดีที่รถเก๋งคันเก่งของพี่ภูมีที่มากพอที่จะยัดต้นไม้ทั้งหมดของผมลงไป แม้ว่าจะมีคนแปลกหน้ามาแบ่งพื้นที่บนรถของพี่ภูนอกจากผมก็ตาม
   “นี่ริษา เพื่อนพี่”
   ผมคลี่ยิ้มทักทาย ก่อนสวัสดีเขา
   ทีแรกผมไม่กล้าทัก เพราะคนสวยร่างเล็กหน้าใสกิ๊กนี่ ดูวัยแล้วน่าจะเป็นเพื่อนผมมากกว่าเพื่อนพี่ภู ผมยังแอบคิดเลยว่านี่อาจจะเป็นธุระที่เขามักหายไปช่วงนี้ , นี่อาจเป็นคนรักของเขา
   แต่พี่ริษาก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกแบบไหน เขาไนซ์เกินกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ และเกาะแกะผมเหมือนเห็นผมเป็นลูกหมาตัวน้อยที่ควรได้รับความรักและความเอ็นดู
   “โอ๊ย ฉันหิวจะแย่แล้วอ่ะ”
   “น้อยขอโทษนะครับพี่ริษา”
   ผมรู้สึกผิดชะมัดที่ได้ยินประโยคแบบนั้นจากเขา เพราะตอนนี้เกือบจะสามทุ่มแล้ว แต่เราเพิ่งจะอพยพตัวมาที่รถพี่ภูสำเร็จ
   “ไม่ ไม่ใช่ความผิดน้อย จริงๆ ภูมันจะมาคนเดียว แต่พี่อยากมาเห็นคนที่ทำให้มันรีบร้อนได้ขนาดนั้น”
   “พูดมากน่ะ”
   พี่ภูขยับแว่น ทั้งที่มันไม่มีทางหล่นมาจากดั้งที่โด่งขนาดนั้นหรอก
   “น้อยแวะกินข้าวก่อนได้ไหม พรุ่งนี้เรียนเช้านิ่ หรือยังไงดี”
   “ให้น้อยกลับเองก็ได้ครับ แต่ต้นไม้คงต้องฝากพี่ภูไว้ก่อน”
   “ไม่เอาแบบนั้นสิ น้อยไม่ไป พี่ก็ไม่กินนะ”
   พี่ริษาโอดครวญ หันหน้ามาคุยกับผมด้วยสายตาอ้อนวอนจนผมอดรู้สึกเขินๆ กับความน่ารักของเธอไม่ได้
   “อ่า งั้นแวะทานข้าวก่อนดีกว่าครับ แต่น้อยเพิ่งทานมา ขอนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ นะครับ”
   “พี่มีร้านเด็ดแถวนี้ จัดของหวานให้น้อยเลย รับรองโดนใจ”
   พี่ริษากำมือหมายมาด ผมหัวเราะเบาๆ กับท่าทางน่าเอ็นดูของเธอ
สังเกตตัวเองอีกที รู้สึกทำไมช่วงนี้ตัวเองหัวเราะได้บ่อยขึ้นกว่าที่เคย
   “ร้านไอ้แมนนะ”
   “นั่นมันร้านเหล้า”
   “ข้าวก็มีให้สั่งไหมล่ะ”
คู่เพื่อนสนิทต่อปากต่อคำ ไม่เคยเห็นพี่ภูเป็นแบบนี้เลย ปกติเขามักจะอบอุ่น อ่อนโยน ถ้าจะดุก็มีเหตุผลและยังคงความใจดี แต่พออยู่กับพี่ริษา ดูพี่ภูกลายเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีความกวนไม่แพ้คนอื่นเลย
   “อย่าให้เห็นว่าแกสั่งเหล้านะ”
   “โนจ้ะ”
   …
   ..
   .
   “hoegaarden rosee แก้วนึงค่า”   
   ถูกต้องเลย เธอไม่สั่งเหล้า แต่สั่งเบียร์มาเต็มๆ พี่ภูมองตามพี่ริษาด้วยความเข่นเขี้ยว และบริกรไปพักเดียว พวกเพื่อนๆ ของพี่เขาก็พากันกรูมาทักทายเกือบสิบคนได้ เหมือนทุกคนพยายามจะทำความรู้จักผม และชักชวนพี่ภูไปด้วยกัน แต่พี่ภูก็ปฏิเสธเสียงหนักแน่น
   พอได้อาหารรองท้องนิดหน่อย และแอลกอฮอล์แก้วแรกหมดไป แก้วใหม่ๆ ทยอยมา พี่ริษาก็โบยบินไปที่โต๊ะอื่น เหลือแต่ผมกับครั้งแรกที่ได้นั่งดื่มกับพี่ภู

   “ช่วงนี้พี่ภูหายไปไหนเหรอครับ”
   ผมถาม เป็นสิ่งที่อยากรู้ลึกๆ เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมอย่างแยกไม่ได้ แต่อาทิตย์ที่ผ่านมากลับหายกริบไปเหมือนไร้ร่องรอย แต่กระนั้น เมื่อผมมีปัญหา เขาก็กลับเป็นคนแรกที่ผมนึกถึง และก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลย
   “พี่ยุ่งๆ น่ะ น้อยคิดถึงพี่เหรอ”
   “…”
   อ่า… คำถามของเขาตอบยากจริง แต่จริงๆ แล้ว แววตาประกายหวานใต้กรอบแว่นนั่นต่างหากที่ทำให้ผมตอบยาก
   “ก็ครับ ที่ติดกับบ้านน้อยที่พี่ภูแบ่งขายไป เขาลงต้นไม้แปลงใหม่แล้ว เห็นว่าจะทำเป็นสวนมะลิ สวยดี”
   ภูบดียกวิสกี้ของเขาขึ้นมาจิบ เบือนสายตาหลบหายไปจากผม
   “หายไปขนาดนี้ คิดว่าจะทำให้น้อยคิดถึงพี่ขึ้นมาได้ซะอีก”
   “หมายความว่ายังไงครับ”
   …
   ภูบดียกวิสกี้ที่เหลือกระดกลงคอให้หมด แล้วกึ่งลากจูงผมไปชั้นบนของร้าน ริมระเบียงทางแยกก่อนเข้าห้องน้ำ พอเป็นอย่างนี้ก็รู้เลยว่าเขาเคยมาที่นี่บ่อยแค่ไหน

   “เวลาที่เรารู้จักกันที่ผ่านมา น้อยคิดอะไรบ้างไหม”
   “…”
   ผมขมวดคิ้ว รู้สึกเลยว่าอาการสงสัยปนไม่พอใจแสดงออกในสีหน้า
   “พี่ภูบอกว่าเห็นน้อยเป็นน้อง”
   “แล้วน้อยรู้สึกว่ามันมากกว่านั้นหรือเปล่า”
   ผมเงียบ ไม่กล้าตอบคำถาม,,, ผมไม่เคยมีพี่ชาย แต่ผมเคยมีความรัก ความรักที่ทำให้ผมร้อนรน กระวนกระวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีความสุขในรสความรักที่นุ่มฟุ้งชวนฝัน ขมขื่นในบางครั้ง และไม่อาจเป็นนิจนิรันดร์
   “…”
   ผมส่ายหัวตอบพี่ภู
   แววตาของเขาที่เคยทอดมองผมอย่างอ่อนโยน บอกความหมดหวัง แววตาหวานไหว ให้ความอบอุ่น กลับกลายเป็นความหม่นหมอง…หัวใจผมคล้ายกระตุกวูบเพราะสายตาคู่นั้น
   แต่ผมมั่นใจ…มันไม่ใช่ความรัก
   “เวลาที่น้อยเป็นทุกข์ เวลาที่น้อยต้องการความช่วยเหลือ น้อยคิดถึงพี่เป็นคนแรกหรือเปล่า”
   ผมพยักหน้า
   “แล้วเวลาที่น้อยมีความสุข น้อยสบายใจ น้อยคิดถึงพี่หรือเปล่า”
   ผมพยักหน้า
   “แล้วทำไมน้อยถึงไม่รักพี่…”
   “พี่ภูเป็นพี่ชาย พี่ภูบอกกับน้อยว่าจะเป็นพี่ชาย  น้อยก็คิดแบบนั้นมาตลอด”
   ผมบอกอย่างนั้น เพราะผมคิดอย่างนั้นจริงๆ …
สำหรับผม ความรักสำหรับผม ผมปิดประตูตายให้มันมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเด็กๆ และตั้งแต่ที่ผมจำความได้ - แม้ครั้งหนึ่งจะมีคนเคยเปิดมันออกมาสำเร็จ แต่การเปิดครั้งนั้น มันทำให้กลประตูตายของผลหนักแน่นกว่าเดิม
   แล้วถ้าผมรู้ว่าพี่ภูจะเขามาเพื่อเปิดประตูตายความรัก ผมคงไม่เปิดโอกาสให้แม้แต่นิดเดียว
   ภูบดีเอนหลังพิงรั้วระเบียง เขาเงยหน้ามองฟ้า พูดสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากเขา
   “เพราะน้อยไม่รู้ พี่ถึงต้องบอก พี่ไม่ได้พูดความจริงกับน้อยทั้งหมดหรอก”
   …
   “พี่อยากได้น้อยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”
   ผมชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกกระอักกระอ่วนอยากจะอ้วก แต่ก็ฝืนยืนฟังต่อ
   “ตั้งแต่ที่พี่กอดน้อยไว้ในเช้าวันนั้น พี่ก็รู้ตัวว่าไม่อยากปล่อยน้อยไป”
   ภาพวันที่ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นกลับมาระรานในชีวิต ย้อนเข้ามาในความคิด วันที่ผมได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา และหลงคิดว่าตะวันดวงใหม่ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตแล้ว
   “พี่รู้ว่าน้อยคงไม่รักใคร และคงไม่รักพี่ แต่ตอนนั้นพี่ก็แค่คิดโง่ๆ คิดว่าพี่เป็นอะไรก็ได้”
   “…”
   เขายังพิงระเบียง แต่หันหน้ามามองผมที่ยืนนิ่งอยู่
   “อะไรก็ได้ที่จะทำให้น้อยอยู่กับพี่ เป็นของพี่คนเดียว พี่ทำได้ทั้งหมด สุดท้ายแล้วถ้าพี่จะไม่มีวันได้หัวใจน้อย พี่ก็ขอแค่ความสัมพันธ์ที่จะไม่มีใครแย่งไปได้ ไม่มีใครที่จะมาเป็นพี่ภูของน้อยได้ นอกจากพี่"
   ผมเห็นเขาหลับตา  ใบหน้าเข้มคมที่มักขาวผ่อง แดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
   จริงๆ เขาก็ดูไม่ปกติตั้งแต่แรกที่เจอกันของวันนี้ และถ้าเดาไม่ผิดเขาคงดื่มมาก่อนแล้ว อะไรไม่รู้ดลใจ เดาว่าอาจจะเป็นความอ่อนโยนที่เขามอบให้ผมมาตลอด และได้สั่งสอนผมว่าความอ่อนโยนเป็นยังไง
   ผมประคองหน้าเขาให้มองหน้าผม และพูดสิ่งที่ผมคิดเสมออยู่ในใจ
   “คุณเป็นพี่ภูของน้อย เป็นพี่ภูที่น้อยมีอยู่คนเดียว”
   “…”
   ร่างใหญ่ล็อกคอผมแนบชิด ดันผมแนบผนัง แล้วบดจูบมาลงอย่างรุนแรง
   ผมดิ้นรนอย่างหนัก พยายามขัดแขน แต่ข้อมือแกร่งที่เคยปลอบโยนผม กลับกลายเป็นคีมเหล็กที่ล็อกไม่ให้ผมต่อต้าน ผมอ้าปากจะทักท้วง แต่กลับกลายเป็นการเปิดจังหวะให้เขาแทรกลิ้นร้อนลงไปไล่ต้อนผมให้จนมุม ผมดิ้นรนทั้งร่างกาย ทั้งใบหน้า กระทั่งหลบหนีการลุกไล่ของลิ้นเขาจนหมดแรง
   พี่ภูค่อยอ่อนโยน ดูดและดึงไปทั้งปาก ริมฝีปาก และลิ้นของผมอย่างโหยหา รุนแรง รุนแรง ก่อนจะค่อยๆ นุ่มนวลมากขึ้น แต่มันไม่ทันแล้ว ดวงตาของผมเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ลมหายใจก็เหมือนจะติดขัด
   เหมือนเขาจะรู้ตัว จึงได้ถอดถอนริมฝีปากออก
   “…”
   “พี่ภู…”
   เป็นผมเองที่เรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา แม้จะผิดหวังเสียใจและตกใจมากแค่ไหน แต่แววตาแดงก่ำ สิ้นหวังและพ่ายแพ้ของคนตรงหน้า เป็นเรื่องที่ช็อกผมมากกว่า
   ดวงตะวันของผม
   … ผมทำลายมันลงไปกับมือตัวเองอย่างนั้นหรือ?

   ****


...
..
.


TBC.        "เมื่อไหร่พี่จะได้เป็นเจ้าของน้อยจริงๆ เสียที"

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 5 Up 16/02/2018
«ตอบ #15 เมื่อ17-02-2018 06:51:01 »

ขอบคุณค่ะ  ติดตามจ้า

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 5 Up 16/02/2018
«ตอบ #16 เมื่อ17-02-2018 19:20:14 »

คิดถึงพี่ภูน้องน้อยอยู่พอดี เปิดมาเห็นคนเขียนอัพแล้วดีใจมากกกกกกก
ตอนที่น้องน้อยโทรหาพี่ภูคนแรกคือกรี๊ดมาก ดีใจสุด
แต่แฮปปี้ได้แค่นิดเดียวจริงๆ
โลกของน้องน้อยหม่นเหลือเกิน พระอาทิตย์ก็ดันมาหลอกกันอีก
ตอนนี้ทั้งสงสารแล้วก็โกรธพี่ภูนิดๆ รอมากกว่านี้ไม่ได้เหรอฟะ!!! (ขออนุญาตหยาบคายนิดนึงนะคะ ให้ตรงกับอารมณ์ตอนอ่าน)
 ให้น้องน้อยมีความสุขยาวๆกว่านี้ไม่ได้เหรอ
แต่ก็เข้าใจหน่อยๆ เมาด้วย รักมากด้วย ไม่อยากเป็นแค่ พี่ อีกแล้ว

 :mew6: :mew6: :mew6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2018 18:31:55 โดย tasteurr »

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 5 Up 16/02/2018
«ตอบ #17 เมื่อ20-02-2018 09:22:27 »

ขอบคุณค่ะ  ติดตามจ้า



ขอบคุุณนะคะ ><

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ค่าของความรัก ตอนที่ 5 Up 16/02/2018
«ตอบ #18 เมื่อ20-02-2018 09:24:45 »

คิดถึงพี่ภูน้องน้อยอยู่พอดี เปิดมาเห็นคนเขียนอัพแล้วดีใจมากกกกกกก
ตอนที่น้องน้อยโทรหาพี่ภูคนแรกคือกรี๊ดมาก ดีใจสุด
แต่แฮปปี้ได้แค่นิดเดียวจริงๆ
โลกของน้องน้อยหม่นเหลือเกิน พระอาทิตย์ก็ดันมาหลอกกันอีก
ตอนนี้ทั้งสงสารแล้วก็โกรธพี่ภูนิดๆ รอมากกว่านี้ไม่ได้เหรอฟะ!!! ให้น้องน้อยมีความสุขยาวๆกว่านี้ไม่ได้เหรอ
แต่ก็เข้าใจหน่อยๆ เมาด้วย รักมากด้วย ไม่อยากเป็นแค่ พี่ อีกแล้ว

 :mew6: :mew6: :mew6:


จริง ๆ คนเขียนก็ยังไม่อยากให้พี่ภูทำอะไรแบบนี้เลย แต่จริงๆ แล้วพี่ภูไม่ใช่คนใจเย็นเลย ฮ่าๆ จริงๆ พี่ภูเป็นคนจริงใจ
แต่ใจร้อน และพยายามทำใจเย็น แต่สุดท้ายเนี่ยแหละค่ะ ความรักพังทลายเกราะทุกอย่าง อย่างแรกเลยคือเกราะของตัวเองเนี่ยแหละ ><

จะพยายามอัพให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้นะคะ เพราะเราก็คิดถึงคู่พี่ภูกับน้องน้อยเหมือนกันนนนนนน

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 6
หัวใจที่วางไว้บนมือ

   อาการตึ้บที่หัว ขมที่คอ รวมถึงการรู้สึกไม่ค่อยสบายไปทั้งร่าง บอกได้ดีว่าเมื่อคืนผมเมาเละเทะไปขนาดไหน และบอกปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปได้ดีว่ามากมายอย่างที่ทำให้คนที่ไม่ได้เมาง่ายๆ อย่างผม ถึงกับขาดสติ
   เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน
   ผมค้นพบทฤษฎีผีเสื้อ ที่บอกไว้ว่า ถ้าอยากจับผีเสื้อ ให้หยุดวิ่งไล่ แล้วจงอยู่นิ่งๆ เมื่อนั้น ผีเสื้อจะบินมาเกาะเราเอง
   แต่ผมลืมไปว่าผีเสื้ออายุสั้น หัวใจของมันจึงได้โหยหาน้ำหวานอยู่ทุกขณะจิต
   ผมละวางนิลเนตรชั่วครู่ และทุ่มเทให้กับการทำงาน รวมถึงโปรเจ็คท์ของยายสริษาที่ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดแล้ว และกำลังผลักดันการกำหนดโครงสร้างของ SEO อย่างเต็มที่  ใครจะเชื่อว่าแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ผีเสื้อของผมก็กลับมาเริงร่าอยู่ในโลกที่ราวกับไม่เคยมีผมปรากฎตัวขึ้นในโลกของเขามาก่อน”
   “น้อย”
   ผมเรียกเขา ในคลับเล็กๆ ที่ไฮโซหรูหรา และเต็มไปด้วยกลุ่มคนชั้นสูงในสังคม เจ้าตัวในเสื้อคอวีคว้างลงเกือบถึงสะดือจนดูอ้อนแอ้นบอบบางกว่าที่เคย ปรายตามองผมด้วยหางตา ดวงตากลมดำขลับดังชื่อนิลเนตรที่มักมีปอยผมประปรายลงมาบนหน้าผาก ซ่อนนัยน์ตาลึกล้ำความหมาย กลับเปิดโล่งด้วยเจลตกแต่งผมชั้นดี ที่ไม่มีกลิ่นฉุนแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าผมจะเฉียดใกล้ถึงปลายจมูก
   ความเย้ายวนใจในคนตรงหน้าไม่สร้างผลกระทบให้ผมเท่ากับดวงตาไร้ความรู้สึก ราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
   น้อยยังไม่ทันได้โต้ตอบผม ก็มีอีกมือมาลากเขาไปอีกทาง ท่าทางขัดขืนเล็กน้อยทำให้อยากเข้าไปยื้อแย่ง แต่การเกี่ยวกระหวัดมารัดจูบในชั่ววิ ทำให้ผมชะงักงัน
   ความขัดขืนนั่น แปรเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนในชั่ววูบเดียว
   ชาวาบไปทั้งตัว
   ไม่อยากแน่ใจเลยว่ามองคนผิดไป
   ไม่อยากแน่ใจเลย…ว่านั่นคือน้อยของผมจริงๆ

   
   “เป็นไปไม่ได้”   
   ภาขวัญร้องเสียงหลงในคืนที่ผมกลับมาจากเลี้ยงสังสรรค์กับนักลงทุนในคลับนั่น
   “วันนี้เรียนเต็มวัน แล้วน้อยก็บอกเองว่าจะกลับไปพักที่บ้าน”
   “เขาอาจจะหลอกน้อง”
   “น้อยไม่ใช่คนโกหก”
   ผมทรุดตัวลงนั่งข้างภาขวัญ มือที่ขยุ้มกำสูทไว้ คลายลง ก่อนวางพาดไว้บนโซฟา ให้ผ่อนบรรเทาความหนักจากตัวผมออกไปได้บ้าง
   แต่เหมือนความร้อนรุ่มยังแน่นอยู่ในอก จนต้องปัดกองรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะให้กระจายลงบนพื้น
   “โธ่เว้ย!”
   เสียงของหล่นระเนระนาด ประกาศให้ภาขวัญได้รู้ว่าใจของผมมันล้มเหลวมากแค่ไหน
   “พี่ภู”
   ภาขวัญขึ้นเสียง สีหน้าตกอกตกใจของน้องทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเรียกสติตัวเองกลับคืนมา
   “พี่ภูไม่เคยเป็นแบบนี้”
   “พี่ก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยภา”
   ยกมือสองข้างมาปกปิดใบหน้า อย่างคนอับจนหนทาง หมดทางออก
   “พี่ไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นแบบนี้”
   มือเล็กๆ ของน้องสาวเอื้อมมาดึงมือที่ปิดหน้าของผมออก เธอจ้องไปที่ดวงตาของผมซึ่งไม่รู้ว่าแสดงออกว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง จึงทำให้ภาส่งสายตาที่เป็นห่วงมากมายกลับมาขนาดนี้
   “พี่ภูรู้สึกยังไงอยู่ บอกภาได้ไหมคะ”
   “พี่…มันเหมือนหายใจไม่ค่อยออก มันติดขัดไปหมด”
   “…”
   ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ใคร่ครวญถึงทุกสิ่งทุกอย่างในเวลารวดเร็ว
   “อะไรที่หลอกตัวเองไว้ ก็คงต้องยอมทำใจว่ามันเป็นแค่การหลอกตัวเอง”
   ผมยิ้มแค่น คิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของน้อย ก็รู้ดีว่าไม่ได้แปลกเลยที่เขาจะทำแบบนั้น มีแต่ผมที่หลอกตัวเองว่าระยะเวลาหลายเดือนที่ผมเข้าไปในชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง
   “มันคงเร็วเกินไปที่พี่จะคาดหวังอะไรแบบนั้น”
   “แล้วถอดใจไหมคะ”
   ภาขวัญถามผม
   ผมสบนัยน์ตาของน้องสาว แม้ความเจ็บปวดในความรู้สึกจะยังคงชัดเจน แต่ก็ยังแน่ใจในความรู้สีกของตัวเองด้วยเช่นกัน
   “ไม่ค่ะ”
   น้องสาวค่อยคลี่ยิ้ม และจับมือผมเพื่อให้กำลังใจ
   “ภาเชื่อว่า คนที่พี่ภูเห็นไม่ใช่น้อยนะคะ และต่อให้น้อยเขาไม่ได้เปลี่ยนไปชัดเจน แต่ภาที่รู้จักน้อยมาเกือบสิบปี ภารู้ดีค่ะ ว่าน้อยเขาไม่ได้เหมือนเดิมแล้วนะคะ”
   “…”
   ผมเชื่อภาขวัญ
   รู้สึกหัวใจมีหวังขึ้นมาชั่ววูบ
   ถ้ามันจะเป็นความหวังที่หลอกลวง ก็ขอให้หลอกลวงกันให้ถึงที่สุด
   จนกว่าผมจะรักเขา จนกว่าผมจะแน่ใจว่าความรักของผมจะไม่มีค่าพอที่จะเปลี่ยนใจเขาได้อย่างแท้จริง

   ……
   …..
   ..
   คืนนั้น
   ผมส่งไลน์ไปทักทายนิลเนตรตามปกติ เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว และไม่มีท่าทีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หลับตาลงแล้วคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนหรือฝันร้าย และเสียงของนิลเนตรที่ส่งมาให้ทางไลน์ว่า “ฝันดี” ต่างหาก ที่เป็นของจริง

   ….
   ..
   ..
   ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่ผมถูกสริษาลากไปหาหุ้นส่วนเพิ่มจากเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน ก็มีเสียงโทรศัพท์จากนิลเนตรมาบอกว่ารถเสียอยู่ข้างทาง ผมลุกขึ้นจากตรงนั้นทันที แต่ก็หนีการตามติดของสริษาไม่ได้ เธออยากรู้ และเฝ้าเพียรถามมานานว่าช่วงนี้ผมใจจดใจจ่อกับใคร และก็เหมือนได้คำตอบตอนเจอนิลเนตรนี่เอง
   “เฮ้ย หล่อว่ะ ขอได้มั้ย”
   ผมส่ายหัวไม่ตอบโต้ รู้ว่าเธอแกล้งแหย่ไปงั้นๆ และไม่เถียงด้วยถ้าใครจะบอกว่าเขาหล่อ ให้เขาน่ารักในสายตาผมคนเดียวนั่นล่ะดีแล้ว
   แต่ความเฟรนด์ลี่ของสริษาก็กระทบผมอีกจนได้ เมื่อแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เจอกัน นิลเนตรทั้งคุยอย่างเป็นกันเอง ทั้งหัวเราะ และยิ้มแย้ม ราวกับคนที่ไม่มีกำแพงอะไรในใจ ขณะที่ผม ใช้เวลานับเดือน อาจไม่ได้รอยยิ้มของเขาเท่ากับที่เขาให้สริษาในไม่กี่ชั่วโมงนี้เลย
   และก็อาจเพราะกึ่มๆ มาจากที่เก่าในระดับนึงด้วยเช่นกัน ผมถึงได้เผลอดื่มเข้าไปอีก จนถ้อยคำในใจมันพรั่งพรูออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายมาจดจ่ออยู่ที่คอหอย
   เหลือบตามองริมฝีปากเจื้อยแจ้วที่ตอบโต้สริษาไม่หยุด ยิ่งรู้สึกหน่วง
   ทำไมกัน, หนแรกก็นึกว่าเขาไม่สนใจผู้ชาย ผมจึงได้วางสถานะตัวเองเป็นแค่พี่ชาย เพื่อที่จะขยับเข้าใกล้เขาอย่างระมัดระวัง แต่ไม่กี่วันก่อนนั้นผมพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเองแล้ว ว่าเขาไม่ได้รังเกียจผู้ชาย แล้วทำไมจึงไม่มีผมอยู่ในสายตาของเขาบ้าง
   จังหวะที่สริษาแวะไปทักทายเพื่อนๆ ที่โต๊ะอื่น ผมถามคำถามคาใจ ที่ยามมีสติอยู่คงไม่กล้าถามว่า
   “คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”
   คำตอบเฉไฉของน้อยทำลายความอดทนที่จริงๆ แล้วก็ระเหยไปกับวิสกี้ออนเดอะร็อคจนเกือบหมดแล้ว ผมพาเขาขึ้นไปอยู่ในจุดลับสายตา
   เค้นคำถามถึงความรัก
   “ทำไมน้อยถึงไม่รักพี่…”
   คำตอบที่เขาบอกว่าผมเป็นพี่ชาย ทำให้จุกๆ อยู่หน่อยๆ   
   ผมไม่อยากเป็นพี่ชาย แต่ก็ไม่อยากเป็นชู้รักชั่วข้ามคืนของเขาเหมือนกัน
   ถ้าผมไม่ได้ความรักจากน้อย ผมก็ไม่อยากให้ใครได้ไป และสิ่งที่ผมอยากได้ก็คงเป็นแค่…
   “อะไรก็ได้ที่จะทำให้น้อยอยู่กับพี่ เป็นของพี่คนเดียว พี่ทำได้ทั้งหมด สุดท้ายแล้วถ้าพี่จะไม่มีวันได้หัวใจน้อย พี่ก็ขอแค่ความสัมพันธ์ที่จะไม่มีใครแย่งไปได้ ไม่มีใครที่จะมาเป็นพี่ภูของน้อยได้ นอกจากพี่"
   ริมฝีปากแห้งผากของน้อย ตอกย้ำความเป็นพี่ด้วยคำพูดอีกครั้ง และนั่นทำให้ผมล็อกคอของเขาเข้ามาแนบชิด ดันร่างโปร่งแนบผนัง แล้วบดจูบลงไปอย่างรุนแรง
   ปากได้รูปพยายามเม้มหลบ ผมล็อกไม่ให้เขาต่อต้าน และทันทีที่เขาอ้าปากประท้วง ผมก็สอดแทรกลิ้นเข้าไปสัมผัสความรู้สึกที่ซับซ้อนแล้วซุกซ่อนเอาไว้
   ริมฝีปากของน้อยมีรสขมปร่า อาจจะยิ่งกว่าบอระเพ็ดที่ผมเคยเอาทดลองชิมรสเมื่อตอนเด็กที่บ้านสวน ครั้งนั้นผมคลายมันออกในทันที แต่กับริมฝีปากของน้อย ผมจงใจไล้เลียเข้าไปให้ทั่ว เพื่อจะค้นหาแหล่งรสหวานหอมที่พอจะชะโลมหัวใจผมให้อุ่นเย็นเหมือนเคยได้บ้าง
   ความจาบจ้วงรุนแรงกลายเป็นความอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมรับรู้ถึงรสสัมผัสธรรมดา ที่ตอบสนองกลับมา เป็นความขลาดกลัว สิ้นหวัง และพ่ายแพ้
   มันไม่ขมขื่นเช่นในคราวแรกที่ผมสอดแทรกลิ้นลงไป มันหวาน หอม,,, แต่กลับทำร้ายจิตใจกันอย่างรุนแรงเหลือเกิน
   “พี่ภูเป็นพี่ชายของน้อย”
   คล้ายรสจูบของเขากล่าวคำนี้กับผม  ตามต่อด้วยลมหายใจติดขัด ผมถอดถอนริมฝีปากออกอย่างหมดหนทางสู้
มองนิลเนตรที่น้ำตาเปรอะเปื้อนอย่างยอมแพ้
   หัวใจของผมที่เคยสว่างไสวให้ความอบอุ่นกับทุกคนอยู่เสมออย่างที่คนรอบตัวเคยบอกคงมืดดับลงไปแล้ว
   ด้วยดวงตาสีนิลคู่นี้คู่เดียว
   ….
   …
   ..

   


   รำลึกอดีตที่ย้อนไปนานไม่กี่ชั่วโมงได้ทั้งหมด ผมก็ลุกพรวดจากที่นอน จัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว และมุ่งไปที่บ้านของน้อยทันที!
   …
   ..
   .
   ประตูรั้วหน้าบ้านของเขายังคงปิดแน่นเหมือนเก่า
   ไม่มีความเคลื่อนไหวออกมาจากบ้านไม้ชั้นเดียวเล็กๆ หลังนั้น
   แต่รั้วเล็ก ล้อมตัวเรือนข้างนอกนั้นมีชามเล็กวางอยู่ ถ้าเดาไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นข้าวเหลือที่เขามักจะเอาไปโปรยไว้หลังบ้าน สำหรับนกและไก่ขาประจำและขาจรที่ร่อนไปร่อนมาอยู่เรื่อยๆ นั่นแปลว่า น้อยน่าจะอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน
   “น้อยโทรมาบอกภาค่ะว่าวันนี้ไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้ไปเรียน”
   คำของภาขวัญที่เขาต่อสายโทรศัพท์หาก่อนออกจากบ้าน ย้อยย้ำข้อมูล
   แต่คืนนี้น้อยมีเล่นดนตรี, ถ้าอย่างนั้น อีกไม่นาน… น้อยก็คงจะออกจากบ้านแล้ว
   แต่นี่เขาอยู่กับความเงียบมาค่อนชั่วโมง ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวออกมาจากบ้านหลังเล็กตรงหน้า
   ท้ายสุด จึงได้ตัดสินใจใช้กุญแจรั้วสำรอง ที่น้อยเคยให้เอาไว้ (แต่คาดว่าตอนนี้คงอยากได้คืนแล้ว) ไขเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านครัวภายนอกนอกซึ่งมีหม้อข้าวต้มตั้งไว้ แล้วใช้กุญแจบ้านสำรอง ที่น้อยก็ให้มาด้วยเช่นกัน ไขเข้าไปในบ้าน ปราการสุดท้ายที่น้อยอนุญาตให้เข้าถึง
   เห็นร่างโปร่งบางนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวเก่ง ในห้องนั่งเล่นที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากอาทิตย์ก่อนที่เขามาเยือน
   “น้อย”
   ลูบศีรษะของเด็กน้อยแผ่วเบา ไม่สัมผัสถึงอากาศที่เปลี่ยนไปของร่างกาย แต่เห็นการนอนผิดปกติ ผิดเวลา และท่าทางเหนื่อยอ่อนนั่นก็อดเป็นห่วงไม่ได้
   “…”
   น้อยไม่ใช่คนตื่นยาก ไม่ถึงนาทีเขาจึงลืมตามองหน้าผม แต่ไม่พูดอะไร
   “พี่ขอโทษ”
   ใบหน้าซูบซีดพยายามยิ้มให้ผมอย่างรับรู้ แต่ก็ยังไม่ตอบโต้อะไร
   “โกรธพี่หรือเปล่า”
   “โกรธ”
   ผมหน้าสลดลงทันทีอย่างรู้สึกตัวได้ ไม่รู้จะถามเขาดีหรือไม่ว่าโกรธผมเรื่องอะไร เพราะข้อหาของผมมีกี่กระทงนักก็ไม่รู้ กลัวจะไล่ไม่หมด
   ตั้งแต่ที่หลอกลวงว่าจะเป็นพี่ชายเขา
   จูบเขา
   กระทั่งตอนนี้ที่ไม่อาจไปให้พ้นสายตาเขา
   “แต่คิดถึงมากกว่า”
   นิ่ง…
   ผมได้แต่นิ่งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
   ไม่ได้จับเวลา แต่เดาว่าจังหวะการเงยหน้ามองเขาคงจะช้ามาก
   ดวงตาดำขลับคู่เดิม ยอมสบตาผมวูบเดียว ก่อนเบือนหนี
   “ไม่สบายหรือเปล่า”
   เอามือทาบหน้าผากเขาอีกครั้ง
   น้อยคนเดิม คนที่ผมรู้จักมา และคนที่ยัยภาเล่าเรื่องให้ฟังมาตลอด ไม่ใช่คนแบบนี้
   “น้อยสบายดี”
   …
   “แต่ไม่สบายก็ได้ ถ้าจะทำให้พี่ภูมาหา”
   …
   ..
   ..
   ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย
   และน้อยคงให้เวลากับผมพอให้ตรองได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมันจริงหรือไม่ เขาจึงได้ลุกขึ้นจากโซฟา เปิดพัดลมที่จ่ออยู่ปลายเท้า ปรับให้ส่ายไปมา จนผมรู้สึกถึงลมเย็นอ่อนนั่นด้วย
   แต่หัวใจผมเต้นจังหวะผิดไปแล้ว ความรู้สึกมันถึงได้วูบ หนาวๆ ร้อนๆ และแรงกระทำจากพัดลมก็ไม่ส่งผลให้ผมรู้สึกอะไรเลย
   “เราจะคุยกันแบบตรงไปตรงมาได้หรือยังครับ”
   ดวงตาดำขลับเบือนกลับมาสบตาผม แววตาที่มักสับสนและอ่อนไหวเปลี่ยนรูปเป็นมุ่งมั่น
   คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะออกมาจากปากคนขี้กลัว ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองกล้าแกร่งเสมออย่างผมรู้สึกตื้นตัน
บางเรื่อง,,, อาจจะถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปในทางที่ถูกที่ควรของมันแล้ว

   เราออกจากบ้านกันตอนนั้น และขับรถยาวไปเป็นชั่วโมง เพื่อไปร้านขนมหวานที่หวานน้อย ร้านโปรดของน้อยแถวๆ มหาวิทยาลัย 
   น้อยเล่าให้ผมว่า เขาร่างกายปกติ แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายจึงตัดสินใจไม่ไปเรียน รวมถึงไม่ไปทำงานในเย็นนี้ด้วย
   ผมแซวเขา เมื่อคนที่บอกว่าไม่สบาย ดันสั่งบิงซูมาทานเป็นอย่างแรก
   น้อยหัวเราะออกมา เมื่อถูกจับได้ว่าเกเรแกล้งป่วย บรรยากาศระหว่างเราเหมือนจะกลับไปสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง
   กินบิงซูคำแรกแบบไม่ราดนมเข้าไป ความเย็นของน้ำแข็งคือรสชาติที่ชัดเจนสุด เรามองหน้ากัน ยิ้มในที และรู้แล้วว่าถึงเวลาที่ต้องพูดความจริง
   “พี่ชอบน้อยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”
   “ทำไมครับ”
   “ถูกสเป๊ก”
   น้อยทำหน้าไม่เชื่อ
   “ไม่เคยเห็นภาบอก ว่าพี่ชายชอบผู้ชาย”
   “ก็ไม่เคยชอบผู้ชายที่ไหน ชอบแค่น้อย พี่ชอบตาของเรา มันดำสนิทเหมือนชื่อ”
   เขาช้อนสายตามองหน้าผม ให้เห็นดวงตาดำขลับชัดๆ
   “ไม่ชอบสบตาใคร ชอบหลบสายตาพี่”
   “ไม่เห็นรู้สึกดีใจเลยแฮะ”
เขาหัวเราะแผ่ว แต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไร
   “ไม่รู้สิ พี่อาจไม่เคยเจอคนแบบน้อย สังคมของพี่ หมายถึงเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ มันเปิดเผย จริงจัง และเข้าถึงในทันที”
   น้อยชี้นิ้วมาที่ผมอย่างจับจุดได้
   “เป็นคนชอบความท้าทายนี่เอง”
   “ไม่ใช่”
เขามองผมตาขวาง คงขัดใจที่ผมขัดอีกแล้ว แต่ชอบจัง ชอบเวลาที่ได้เห็นกิริยาหลากหลายของเขาแบบนี้
   “เจอคนท้าทายมาก็เยอะ แต่ชอบแค่น้อย”
   มือที่ตักน้ำแข็งไสเกาหลีเข้าปากเป็นจังหวะชะงักกึกไปนิดนึง ผมรู้สึกเหมือนเห็นใบหูขาวสะอาดของเขาแดงก่ำ น้อยวางช้อนที่ถือติดมือตั้งแต่ออเดอร์มาอย่างเก้ๆ กังๆ หยิบนมข้นหวานออกมาราดบนน้ำแข็ง ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนทานหวานเลย ผมเห็นเขาเทไม่หยุด ก็กลัวจะทานไม่ได้ จึงรีบจับชะงักมือนั่นไว้
   “เป็นคนชอบทานหวานตั้งแต่เมื่อไร”
   “เอ่อ”
   เขาวางถ้วยเล็กที่ใส่นมข้นนั่นทันที
   “ไม่ได้ชอบครับ”
   กรอบหน้ามนหลบสายตาที่พยายามจ้องของผมตามวิสัย แต่ผมไม่ดื้อดึงที่จะให้เขาหันกลับมา เพราะรู้ดีว่า เขากำลัง “เขิน”
   “แล้วทำไมไม่บอกตรงๆ  ว่าพี่ชอบน้อยล่ะครับ”
   “แล้วน้อยคิดว่าตัวเองเป็นคนยังไงล่ะครับ”
   ผมย้อนถาม เขาไม่ตอบ ผมจึงได้บอกถึงสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับตัวน้อยมาตลอด
   “พอพี่รู้ตัวว่าพี่ชอบน้อย พี่ก็นึกถึงสิ่งที่ยัยภาเคยเล่าเรื่องน้อยให้พี่ฟัง น้อยไม่คบใคร น้อยไม่มีความรัก แต่น้อยเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น แล้วภาก็บอกว่ามีแต่ผู้หญิง”
   … ผมระงับตัวเอง ไม่ให้พูดถึงผู้ชายในคลับที่เขาไปจูบดูดดื่มด้วยเมื่อหลายวันก่อน
   “พี่รู้ว่าน้อยคงมีอะไรในใจบางอย่างที่ทำให้ปิดตัวเองเรื่องความรัก แล้ววันที่สองหลังจากที่เราเจอกันที่พี่เจอน้อยกับแม่ พี่ยิ่งรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้น้อยไว้ใจ ว่าพี่จะไม่ได้เข้ามาเพื่อทำร้าย หรือทอดทิ้งน้อยไว้แบบที่คนอื่นทำ ตอนนั้นพี่ไม่คิดเลยว่าจะต้องทำให้น้อยรัก พี่คิดแค่ว่า จะต้องทำให้น้อยขาดพี่ไม่ได้…”
   กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น กับแผนการที่เพิ่งรู้สึกว่าชั่วร้ายเกินกว่าจะเป็นผม
   “แล้วก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จเลย”
   “ใครบอก”
   น้อยถาม แววตาเขาหม่นเศร้าเล็กน้อย แต่ก็เปิดปากเล่าต่อแต่โดยดี
   “น้อยก็เคยคิด…ว่าชาตินี้คงจะไม่รักใครอีกแล้ว”
   …แล้วน้อยเคยรักใคร คำถามนี้ผลุบเข้ามาในหัวทันที แต่ก็นิ่งเงียบให้เขาเล่าต่อ
   “น้อยโตมากับตา-ยาย แต่ทุกครั้งที่แม่มาหา แม่จะตีน้อยและบอกน้อยว่าน้อยเกิดมาแล้วทำให้แม่ฉิบหาย ชื่อน้อย ก็มาจากการที่แม่เป็นเมียน้อย และน้อยก็เป็นแค่ลูกเมียน้อย”
   น้อยเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ความหลังของเขาพรั่งพรูออกมา ความเจ็บปวดในเรื่องราวทำให้ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้ อย่างวันแรกที่เราได้สัมผัสกัน อย่างที่บอกว่า เขามีผมอยู่
   “แต่น้อยก็ไปรักคนคนหนึ่งจนได้…รัก  เพื่อที่จะทำให้รู้ว่า น้อยไม่ควรรักใครเลย”
   “เกิดอะไรขึ้น”
   “เขาเป็นคนที่พ่อส่งมา เพื่อหาทางให้น้อยกลับไปอยู่ที่ฮ่องกง”
   “พ่อของน้อยงั้นเหรอ”
   “ใช่ ภาไม่เคยเล่าให้พี่ภูฟังหรอก เพราะน้อยก็ไม่เคยเล่า ช่วงที่เรียนจบมอสาม แม่บอกความจริงกับน้อย ว่าแม่ขโมยน้อยมาจากพ่อ และเมียใหญ่ของพ่อไม่มีลูกชาย พ่อเลยอยากได้น้อยไปเลี้ยง แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะส่งคนมาหลอกกันถึงขนาดนั้น”
   เจ้าของเรื่องเศร้าเขี่ยบิงซูเล่น ก่อนตักเข้าปากต่ออย่างเชื่องช้า
   “ทำไมน้อยถึงยอมเล่าให้พี่ฟัง”
   “เพราะพี่ภูทำสำเร็จแล้ว”
   “หมายความว่ายังไง”
   “น้อยไม่อยากเสียพี่ภูไป”
   “…”
   “พี่ถามอะไรอย่างได้ไหม”
   น้อยพยักหน้า
   “รักพี่หรือยัง?”
   น้อยอึ้งกับคำถามจู่โจมของผม แต่ก็หยุดการตักบิงซู
   “น้อยถามคำถามนี้กับตัวเองตลอดคืน ตั้งแต่รู้ว่าพี่คิดยังไง คำตอบก็คือ…ไม่ได้รัก”
   “…”
   คำตอบนั่นอาจชวนให้ปวดร้าว แต่ผมกลับนิ่งรับมันได้ดีมาก
   “แต่น้อยก็ยอมรับ ว่าตั้งแต่มีพี่เข้ามาในชีวิต น้อยมีความสุข ทั้งที่ชีวิตที่ผ่านมาก็คิดอยู่แล้วว่ามีความสุขดี และไม่ต้องการอะไร มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย เซ็กส์ที่หวือหวา ชีวิตที่ไร้แก่นสาร ไม่ต้องการสาระ ไม่มีพันธะ และไม่อยากผูกพัน แม้กระทั่งกับความเหงาน้อยก็มีความสุขกับมันดี”
   “…”
   “แต่ช่วงที่พี่หายไป และเรายังได้คุยกันอยู่ น้อยถึงได้รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่การได้เจอกันที่ทำให้หายเหงา แต่การได้รู้ว่ามีใครสักคนคอยใส่ใจ คอยห่วงใย แม้จะไม่ได้เจอกัน มันทำให้สงบ สบายใจ มีความสุขรินๆ เหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ในคลองหลังบ้าน”
   ใบหน้าของน้อยระบายยิ้ม เหมือนคิดถึงฉากนั้นที่หลังบ้านของตัวเองอยู่
   “น้อยอาจไม่ได้รักพี่ภูอย่างคนรัก แต่น้อยเจ็บปวดนะที่เห็นพี่ภูร้องไห้เพราะน้อย”
   เขาหันมาสบตาผมนิ่ง
   “เพราะงั้นแล้ว…”
“ถ้าพี่ภู ชอบน้อย ก็ทำให้น้อยเป็นของพี่ภูสิ”   
   ….
   “ทำให้น้อยเป็นของพี่ภู แบบที่พี่ภูอยากให้น้อยเป็น”
   ผมก้มหน้ายอมรับ ยิ้มละไมตอบเขา
   “ทำให้น้อยเป็นของพี่แบบที่พี่อยากให้เป็น เหมือนที่น้อยทำให้พี่เป็นของน้อย แบบที่น้อยอยากให้เป็นใช่มั้ย”
   น้อยยิ้มกว้าง ยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่เคยเห็นเลยจริงๆ
   ผมรู้สึกเหมือนได้ “น้อย” กลับมาแล้ว น้อยคนที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน
   น้อยคนที่ผมพยายามตามหา เพื่อที่จะได้ฝากฝังความรักไว้บนฝ่ามือของเขา
   
   ปรอยฝนหล่นร่วงในช่วงเย็นย่ำ เจ้าของร้านส่งคนมากางร่มให้ ผมแบมือออกรอฝ่ามือของเขาวางทับ และกำไว้แนบแน่น ฝันว่าจะไม่ปล่อยมือตลอดไป
   พอขึ้นรถ ดนตรีเพลง “เรา” ก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง
   แต่ความหมายของเพลงเพิ่งตรงใจผมก็วันนี้เอง

   “ ถ้าที่ๆ นี้เป็นที่เดียวที่มีเธออยู่ ถ้าที่ๆ นี้เป็นที่เดียวที่มีลมหนาว ถ้าที่ๆ นี้เป็นที่เดียวที่มีต้นไม้และลำธารน้ำใส
ก็จะไม่มีสิ่งใด, มีเพียงหนึ่งเรา กับสายลมหนาว”
   By Selina and Sirinya

   “เพลงนี้อีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างเหรอ”
   น้อยหัวเราะทันทีที่ดนตรีมันขึ้น แต่กระนั้นก็เห็นเขาร้องคลอไปตามเพลง
   “ก็น้อยชอบ”
   หยอดคำหวานเต็มที่ได้อย่างรู้สึกสบายใจ แม้เขาจะยังไม่ได้รัก แต่ผมก็ไม่ต้องเก็บกักความรู้สึกให้อึดอัดต่อไปอีก
   “แล้ววันหนึ่งจะเบื่อหรือเปล่า”
   “…”
   “น้อยน่าเบื่อนะ แล้วก็เป็นคนขี้เบื่อด้วย”
   “…”
   “อะไรที่รักแล้ว มันเบื่อไม่ได้หรอกน้อย”
   “…”
   “วันหนึ่งเราจะรักกันใช่มั้ย”
   น้อยถามผม แววตาไม่มั่นใจ ผมจ้องตาน้อยกลับ แม้จะสตาร์ทรถเตรียมออกแล้ว แต่ก็ปล่อยให้สายฝนเป็นแกนนำความเชื่องช้าอยู่อีกครู่หนึ่ง
   อยากจะบอกว่ารักเขา, แต่พอมองหน้าเขา แล้วก็พบว่าความหลงใหลมันเอ่อล้น
   อยากได้, อยากครอบครอง
   มันมากเกินกว่าความรัก หรือมันยังใม่ถึงความรักกันนะ
   ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้
   …
   จึงอยากให้แน่ใจ ก่อนที่จะพูดมันออกไป แม้ในใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์จะร่ำร้องความรักจากน้อย และอยากบอกเขาว่ารัก- รักเหลือเกิน
   ผมมองหน้าเขานิ่ง ตอบไม่ถูก
   ไม่อยากตอบว่ารักด้วยเหตุผลที่บอก
   และไม่อยากบอกว่า วันหนึ่งเราจะรักกัน เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าวันนี้ผมรักเขาไปแล้ว
   จึงได้แต่แนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากนวล
   เกลือกกลิ้งใบหน้าเข้ากับความขาวสะอาด ซีดเซียวที่เลือดฝาดเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน
   และกดจูบลงแผ่วเบา แต่ไม่ร่วงล้ำ
   น้อยเม้มปากแน่น…. ก่อนจะค่อยๆ คลี่ออก เมื่อเห็นว่าผมไม่ดึงดันจะเข้าไป
   “เสียใจจัง ไม่เห็นเร่าร้อนเหมือนกับคนอื่นเลย”
   น้อยผลักผมออกทันที แววตาค้อนขวับนั่นน่าเอ็นดู
   “ให้เวลาน้อยหน่อย  มันยังแปลกๆ อยู่น่ะ ที่จะเอ่อ… จูบกับผู้ชาย”
   “หืม”
   “รักแรกของน้อย เป็นผู้ชาย แต่น้อยไม่เคยมากไปกว่าจับมือเลย”
   “หืม?”
   ผมขมวดคิ้ว ภาพที่เจอเขาในคลับนั่นลอยกลับมาเป็นฉากๆ แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าน้อยจะโกหกหน้าตาย เขาไม่ใช่คนแบบนั้น สำหรับเขามีแค่พูด หรือไม่พูด แต่ไม่ใช่คนที่จะมาโกหกอะไรกันแบบนี้
   “แล้วทำไม”
   “ทำไมอะไร”
   “พี่เห็นน้อยที่BLUE”
   “BLUE ที่ไหน”
   ใช่ คลับชื่อบลูอาจจะมีหลายที่ แต่ BLUE เป็นชื่อเล่นที่ถ้าคนกลุ่มเดียวกันเรียก แล้วจะรู้ว่าเป็นที่ไหน หมายถึงได้ที่เดียวไม่มีที่อื่น
   “น้อยเซ็ตผมเปิดหน้า ใส่เสื้อแหวกลึก  เมินใส่พี่ แล้วจูบ…กับผู้ชายอีกคน”
   น้อยชะงักนิ่ง ส่ายหน้า บทเพลงที่ดังค่อยๆ เงียบไประหว่างบทสนทนาของเราทั้งคู่
   “ไม่ใช่น้อย!!!”



TBC.
   “อย่าเอานิสัยแม่มาใช้จนเคยตัว ของยากๆ น่ะ มันมีค่าแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าจะให้เขารัก เขาอาลัย เขาอยากได้จนตัวสั่น นายทำสำเร็จแล้ว แต่ไม่ใช่ตลอดไปหรอกนะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2018 20:28:26 โดย bangpahn »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ตอนพี่ภูบอกว่าให้น้องน้อยน่ารักในสายตาตัวเองคนเดียวก็พอ เรากลั้นยิ้มไม่อยู่เลยค่ะ จะมองน้องด้วยความรักอะไรขนาดนั้น
แต่พี่ภูที่อยากได้น้องมากขนาดนั้น ยังกล้าได้ไม่เท่าน้องน้อยเลย น้องน้อยเก่งมากลูก ตอนที่แล้วเรายังกลัวว่าน้องน้อยจะตีตัวออกห่างจากพี่ภูอยู่เลย
ตอนสองคนคุยกันเรารู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูฝนเลยค่ะ อึมครึมหน่อยๆ ฝนตกปรอยๆ เรื่อยๆเหมือนสายน้ำอย่างที่น้องบอก แต่ก็ยังมีความน่ารักของน้องน้อยอยู่ เหมือนดอกไม้ดอกเล็กๆสีสดใส
เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเรียนรู้ที่จะรักกันไปพร้อมๆกันนะคะ เห็นตัวละครที่เพิ่มมาเรื่อยๆแล้วก็หนักใจแทนเลยค่ะ

ปล.บอระเพ็ด เขียนอย่างนี้นะคะ

ออฟไลน์ bangpahn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนพี่ภูบอกว่าให้น้องน้อยน่ารักในสายตาตัวเองคนเดียวก็พอ เรากลั้นยิ้มไม่อยู่เลยค่ะ จะมองน้องด้วยความรักอะไรขนาดนั้น
แต่พี่ภูที่อยากได้น้องมากขนาดนั้น ยังกล้าได้ไม่เท่าน้องน้อยเลย น้องน้อยเก่งมากลูก ตอนที่แล้วเรายังกลัวว่าน้องน้อยจะตีตัวออกห่างจากพี่ภูอยู่เลย
ตอนสองคนคุยกันเรารู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูฝนเลยค่ะ อึมครึมหน่อยๆ ฝนตกปรอยๆ เรื่อยๆเหมือนสายน้ำอย่างที่น้องบอก แต่ก็ยังมีความน่ารักของน้องน้อยอยู่ เหมือนดอกไม้ดอกเล็กๆสีสดใส
เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเรียนรู้ที่จะรักกันไปพร้อมๆกันนะคะ เห็นตัวละครที่เพิ่มมาเรื่อยๆแล้วก็หนักใจแทนเลยค่ะ

ปล.บอระเพ็ด เขียนอย่างนี้นะคะ

ขอบคุณมากค่ะ จะแก้ไขเดี๋ยวนี้เลยค่ะ แหะแหะ ><

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
 :z6:  พี่ภูกับน้องน้อย ทำไมมันหน่วงๆ หม่นๆ ยังไงบอกไม่ถูก  อยากอ่านต่อแล้วค่ะ หน่วงแต่ก็น่าติดตาม แต่มีฉากหวานบ่อยๆ ก็จะดีต่อใจนะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คิดถึงเรื่องนี้..

 :freeze:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด