The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]  (อ่าน 5910 ครั้ง)

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
By : Fuji_Sakura
ความสับสนในใจเริ่มเกิดขึ้นกับต้น เมื่อรู้สึกว่าก้อนเนื้อใต้อกข้างซ้ายที่่เรียกว่าหัวใจของเขา มันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เจอกับพี่เต้ รุ่นพี่ชั้น ม.6
สิ่งแรกที่เต้ควรจะทำและทำมาตั้งแต่แรกแล้ว คือการสาระภาพกับรุ่นน้องไปตรงๆว่า เขาชอบรุ่นน้องมากแค่ไหน


นักเขียนสมัครเล่น ฝากผลงานไว้ในอ้อมอกอ้อมใจคุณนักอ่านด้วยนะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 00:15:08 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทนำ
ประกาศนะคะ จิขออนุญาตคุณนักอ่านทุกท่านเริ่มอัฟนิยายใหม่ตั้งแต่ตอนแรกนะคะ หลังจากแก้ไข้คำผิดและเรียบเรียงใหม่เพิ่มรายละเอียดเพื่ออรรถรสมากขึ้น จึงแจ้งมาเพื่อทราบ

**********

ภายในห้องสี่เหลี่ยมตกแต่งสไตส์โมเดิลบนตึกสูงชั้น15 ใจกลางเมืองหลวง
“ครับ โอเคครับ ผมจะรีบแก้แล้วส่งไฟล์ให้ใหม่ไม่เกินคืนนี้ห้าทุ่มครับ”
     ร่างบางกดตัดสายโทรศัพท์พร้อมกับถอนหายใจรากยาว หลังจากจบการสนทนารายละเอียดงานตัดต่อวีดีโอเวดดิ้งพรีเซ็นเทชั่นกับลูกค้าเป็นรอบที่สี่ นั่งก้มหน้ากุมขมับอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะฟุบลงไปกับโต๊ะทำงานด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ภาสกรได้เข้าทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ รับงานตัดต่อวีดีโอและงานออกแบบกราฟิกทั่วไปตามที่เขาถนัดเป็นอาชีพเสริม นานๆทีจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดสักครั้ง
นาฬิกาบนผนัง บอกเวลา 20.30 น. ร่วม 12 ชั่วโมงแล้วที่เขาใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่กับโต๊ะทำงานไม่ลุกไปไหน กระเพาะเริ่มส่งเสียงร้องประท้วงถามหาอาหาร ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง ภาสกรลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นในครัว มีแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด เครื่องดื่มวิตามินบำรุงสมองสองขวด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกสองกระป๋องกับเศษอาหารที่แห้งติดจาน ใบหน้าเรียวรูปไข่ครุ่นคิด นี่เขายุ่งจนไม่มีเวลาซื้อของติดตู้เย็นขนาดนี้เลยหรือ ก่อนจะหยิบน้ำเปล่าที่มีขึ้นมาเปิดฝากระดกดื่มประทังความหิว จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้ซิ่ง โชคดีที่ยังเหลือบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปอยู่หนึ่งซอง เขาจัดการแกะบะหมี่ใส่ชามพร้อมกับเครื่องปรุง เทน้ำเปล่าตามลงไปแล้วนำเข้าไมโคเวฟหมุนสวิตซ์ตั้งเวลาให้เครื่องทำงาน
ในระหว่างที่รอเวลาให้บะหมี่สุก ก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ภาสกรเกาหัวแกรกแกรกอย่างไม่สบอารมณ์ ต้องเป็นลูกค้าคนเดิมโทรกลับมาเป็นครั้งที่ห้าอีกแน่ๆ เขาเดินมาที่โต๊ะทำงานอย่างหงุดหงิด ทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองดูเบอร์รายชื่อผู้ติดต่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ลมหายใจฟืดฟาดเมื่อครู่นั้นก็พลางหายไปฉับพลัน วรวิทย์เพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมโทรวีดีโอคอลเข้ามา ภาสกรใช้นิ้วเกลี่ยหัวคิ้วที่ขมวดย่นให้คลายออกปั้นสีหน้าใหม่ให้ดูสดใส ก่อนจะกดสไลด์ที่หน้าจอโทรศัพท์ตอบรับพร้อมกับยกขึ้นมาขนาดกับใบของหน้าตัวเอง
“ว่าไงวิทย์” ภาสกรประหลาดใจเล็กน้อย ทันทีที่เห็นการแต่งตัวของเพื่อนปรากฏผ่านกล้อง “นี่มึงแต่งตัวอะไรของมึงเนี่ย”
“อันยองฮาเซโย” วรวิทย์กล่าวทักทายเป็นภาษาเกาหลี โบกมือผ่านกล้องไปมา เขาสวมเสื้อโค้ชตัวหนา พันผ้าพันคอ ใส่ถุงมือและใส่หมวกไหมพรม บรรยากาศรอบข้างมีหิมะตกโปรยปราย
“กระแดะแล้วมึงอะ นั่นดรีมเวิลด์ยังไม่ปิดอีกหรอวะ”
“ดรีมเวิลด์พ่องมึงสิ มึงแหกตาดูใหม่ซะก่อน กูอยู่เกาหลีโว้ย” วรวิทย์กดสลับใช้กล้องหลัง หมุนโทรศัพท์ไปรอบๆ ก่อนจะกดกลับมาใช้กล้องหน้าอีกครั้ง
“เออเกาหลีก็เกาหลี ว่าแต่มึงไปทำไรที่นั่นวะ”
“กูก็มาเที่ยวสิวะถามได้ แม่มึงเขาอยากมาตามรอยซีรี่ย์เกาหลี” วรวิทย์หันโทรศัพท์ไปยังสองสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดกันหนาวไม่ต่างจากเขา สนทยากับมุกดาเพื่อนร่วมห้องกลุ่มเดียวกันสมัยเรียนมัธยม กำลังนั่งถ่ายรูปเซลฟี่กับอาหารเกาหลีอยู่ในร้านข้างทาง “สน มุก ทักทายไอ้ต้นมันหน่อย”
“อันยองต้น” สนทยากล่าวทักทายโบกมือผ่านกล้อง
“วัสดีสน” ภาสกรยิ้มสดใส
“อันยองสุดหล่อ นี่น่ากินไหม” มุกดากล่าวทักทายเช่นกัน พร้อมกับโชว์อาหารเกาหลีที่ถือไว้ในมือให้ดู
“วัสดีมุก โห น่าอร่อยอ่ะ กำลังหิวอยู่พอดีเลย ว่าแต่เป็นไงมาไง ไอ้วิทย์ถึงได้ติดวงโคจรไปกับพวกแกได้”
“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะมากับสนแค่สองคนนั่นแหละ พอดีวันนั้นวิทย์มันโทรมาชวนไปกินข้าว ฉันก็เลยเอยปากชวนไปเป็นพิธี ไม่คิดว่ามันจะมาด้วยจริงๆ บวกกับเจอตั๋วไฟไหม้พอดี ก็เลยได้มาด้วยกันนี่แหละ”
“น้อยๆหน่อย แกนั่นแหละที่ล่อซื้อฉันมา” วรวิทย์พูดแทรกขึ้น
“น่าเสียดายนะที่ต้นกับดินทร์ไม่ได้มาด้วยกัน ไว้โอกาสหน้าเรามาเที่ยวด้วยกันครบทุกคนเลยเนาะ มิสยูน๊า ม๊วฟๆ” สนทยาส่งจูบให้
“จ้า” ภาสกรตอบรับส่งๆ ไม่รู้ว่าโอกาสนั้นจะมีเมื่อไร
“เฮ้ย มึงอย่าไปฟังพวกแม่งมาก” วรวิทย์หันกล้องกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง “แม่งล่อซื้อกูมาไง บอกว่าที่นี่มีดิสนี่ย์แลน์ กูก็เลยรีบให้แม่งจองตั๋วให้เลยน่ะสิ”
“มึงก็เลยติดกับดิสนี่ย์แลนด์อยู่เกาหลีที่ไหนล่ะ”
“ก็เออดิ เสียรู้จนได้ จะทิ้งตั๋วไม่มาก็เสียดาย เซงอยู่เนี่ย” วรวิทย์หน้าจ๋อย
“แถวบ้านกูเรียกว่าโง่เว้ย” ภาสกรหัวเราะเบาอย่างพอใจ “ไม่ยอมศึกษาให้ดีซะก่อน”
“เออ ไม่ต้องย้ำมาก” วรวิทย์คีบกิมจิเข้าปากอย่างเซงๆ “เบื่อจะตายอยู่แล้วเนี่ย ไปไหนก็เจอแต่กิมจิทุกมื้อ”
ติ๊ง... เสียงเตือนจากไมโคเวฟ
ภาสกรนึกขึ้นได้ว่าทำบะหมี่ทิ้งไว้ เขาเดินเข้าครัวไปจัดการนำชามบะหมี่ใส่จานรอง พร้อมกับหยิบตะเกียบ ไม่ลืมคว้าขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ออกมานั่งกินที่โต๊ะทำงาน
“นั่นมึงทำอะไรน่ะ” วรวิทย์ถามขณะเห็นควันไอร้อนผ่านกล้อง
“กูกำลังจะกินมาม่า” ภาสกรตั้งโทรศัพท์พิงกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตามด้วยคีบเส้นบะหมีขึ้นมาเป่าลดความร้อนก่อนจะนำเข้าปาก “และเดี๋ยวเร่งตัดงานให้ลูกค้าต่อ”
“ขยันจังนะมึง นี่มึงชอบกินมาม่าตั้งแต่เมื่อไรวะ สมัยเรียนมึงชอบด่ากูจังว่ากินแต่ของไม่มีประโยนช์”
“กูก็ไม่ได้ชอบ แต่มันหิว แม่งไม่มีอะไรให้กินไง”
“นี่มึงกำลังจะบอกกูว่า มึงยุ่งจนไม่มีเวลาซื้อของติดตู้เย็นไว้เลย”
ภาสกรพยักหน้า “ก็อะไรทำนองนั้นแหละ
“มึงนี่มัน...จริงๆเลย”
ภาสกรตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ โดยไม่สนใจเพื่อนที่กำลังตั้งท่าจะบ่น
“เออไอ้ต้น สรุปแล้วตกลงงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าที่โรงเรียนอาทิตย์หน้ามึงจะมาหรือเปล่าวะ” วรวิทย์กลับเข้าเรื่องที่ตั้งใจติดต่อมาในวันนี้
“กูยังไม่แน่ใจว่ะ” ภาสกรตอบทันทีแบบไม่คิด  “งานกูท่วมหัวท่วมหางไปหมด”
“มึงเบี้ยวพวกกูมาสองครั้งแล้วนะเว้ย”
 “โห ต้น มาเถอะนะนะ” สนทยาส่งเสียงอ่อดอ้อน
“เราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วนะ มาเถอะ” มุกดาช่วยสมทบ
“นั่นดิ งานนี้จัดแค่สองปีครั้งนะเว้ย ไอ้ดินทร์มันยังยอมแรกเวรเพื่อมางานนี้เลย มึงจะสละเวลาจากงานสักวันมาเจอเพื่อนหน่อยไม่ได้หรอวะ”
งานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าเป็นอีกงานที่ทำเพื่อนฝูง รุ่นพี่ รุ่นน้อง ได้มีโอกาสหวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งโรงเรียนที่พวกเขาจบมา จะจัดงานนี้ขึ้นทุกๆสองปีเท่านั้น
“ไม่แน่งานนี้มึงอาจได้เจอกับคนที่มึงอยากเจอก็ได้นะเว้ย”
“...” ภาสกรหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ คีบเส้นบะหมี่ค้างอมไว้ในปากอยู่อย่างนั้น เมื่อวรวิทย์เผลอพูดเข้าตรงจุดอะไรบ้างอย่าง
คนที่เขาอยากเจอ...
ตั้งแต่เรียนจบมัธยม เขาและเพื่อนๆในกลุ่มก็ต่างแยกย้ายไปเรียนต่อตามเส้นทางของตัวเอง ได้พบเจอกันบ้างบางโอกาส หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานของตัวเอง เลยมีโอกาสได้พบเจอกันน้อยลง โชคดีที่ในยุคปัจจุบันมีสื่อโซเชียลมิเดียต่างๆ ให้ได้ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของกันและกันอยู่บ้าง คงจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เขาไม่สามารถติดต่อรับรู้ข่าวความเคลื่อนไหวของคนคนนั้นได้เลย ไม่ว่าจะหนทางไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังเฝ้ารออยู่ทุกวันอย่างมีความหวัง
“ไอ้ต้น” วรวิทย์เรียกเพื่อนที่สนทนากันอยู่ดีๆก็แน่นิ่งไปเฉยๆ
“เออๆ” ภาสกรมีสติกลับคืนมา “กูไม่รับปากนะ แต่กูจะพยายามไปให้ได้ละกัน” ว่าเสร็จก็ยกขวดน้ำขึ้นกระดกดื่ม เหมือนจะอิ่มขึ้นมาทันที ทั้งที่พึ่งกินได้แค่ไม่กี่คำ  “งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
“นั่นไง มึงจะรีบไหนกูยังคุยไม่หายคิดถึงเลย”
“กูจะรีบเคลียงานให้เสร็จ แล้วจะได้ไปเจอพวกมึงไง แค่นี้นะ” ภาสกรกดตัดสายวีดีโอคอลทันที โดยไม่รอการตอบรับจากคู่สายสนทนา
คำพูดของวรวิทย์ยังคงดังแว่วอยู่ในหูตลอดเวลา ภาสกรละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ พาตัวเองออกมาผ่อนคลายสูบอากาศอยู่นอกระเบียงห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองแสงไฟนับล้านดวงที่ส่องสว่างไสวแทนดวงดาวในยามราตรีสุดลูกหูลูกตา สายลมในเดือนธันวาคมพัดผ่านต้องผิวกายขาวละเอียดจนรู้สึกเย็นไปทั่วร่าง ความเหงาทวีกับความเงียบสงัดทำให้เขาหวนคิดถึงคนที่เพื่อนกว่าถึงขึ้นมาอย่างจับใจ
ภากรกลับเข้ามาในห้องทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง คว้ากรอบรูปคู่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงขึ้นมาเพ้งมองร่างสูงโปร่งใบหน้ายิ้มยาก นานเท่าไรแล้วที่เขายังเฝ้ารอด้วยความหวังว่าคนในรูปจะกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง  ก่อนจะกอดกรอบรูปไว้แน่น อยู่ๆหยดน้ำตาแห่งความโหยหาก็ทะลักออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
... ผมคิดถึงพี่เหลือเกิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2018 20:48:03 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #2 เมื่อ16-01-2018 01:40:35 »

ต่อ ๆ ลุ้น ๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #3 เมื่อ16-01-2018 14:18:39 »

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #4 เมื่อ16-01-2018 19:03:18 »

ตาม

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่1

พฤษภาคม 2547
บรรยากาศในยามเช้าของต่างจังหวัดท้องฟ้ายังคงมืดสลัวๆ นาฬิกาที่ข้อมือของร่างสูงโปร่งเจ้าของความสูง 185 เซนติเมตร ใบหน้าคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันได้รูป บอกเวลา 05.30 น. บูรภัทรแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียนชาย แขนและขาของเขาเพิ่มความแข็งแรงด้วยรอยยักของมัดกล้ามอย่างเห็นได้ชัด ยืนสะพายกระเป๋าเป้นักเรียนตากน้ำค้างและไอหมอกอยู่หน้ารั้วบ้านพักข้าราชการในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ที่ผู้เป็นพ่อของเขาได้รับสวัสดิการ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเป้อีกใบใส่เสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาสำหรับนำไปเปลี่ยนซ้อมบาสเกตบอล กีฬาที่เขาชื่นชอบหลังเลิกเรียน
“เต้ยเสร็จยังรถมาแล้ว” บูรภัทรป้องปากส่งเสียงเรียกน้องชายสายเลือดเดียวกัน เมื่อเห็นแสงไฟส่องทางของรถบัสรับส่งแล่นใกล้เข้ามา
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว” ภัครชัย ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายข้านรับจากหน้าประตูบ้าน ขณะกำลังจับชายเสื้อนักเรียนใส่ทับเข้าในกางเกง สวมใส่รองเท้านักเรียนอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งหอบกระเป๋าเป้นักเรียนและกระเป๋าใส่เสื้อผ้าพร้อมอุปกรณ์สำหรับนำไปเปลี่ยนซ้อมฟุตบอลหลังเลิกเรียนเช่นกัน อย่างหอบหืดออกมายืนข้างๆกับพี่ชาย
ด้วยความที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน และเป็นผู้ชายเหมือนกันทั้งคู่ ใบหน้าของภัครชัยเลยไม่ต่างจากใบหน้าของพี่ชายเท่าไรนัก ดวงตากลมโตกว่าเล็กน้อย สีผิวเข้มกว่าไปนิดแต่ก็แทบจะไม่แตกต่างอะไร ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นในเรื่องของความสูง ที่ผู้เป็นพี่สูงเกินไปกว่า 5 เซนติเมตร โดยรวมแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำเมื่อทั้งสองพี่น้องมายืนข้างกัน ว่าคนไหนบูรภัทรคนไหนภัครชัยกันแน่ เหมือนกันราวกับฝาแฝดทั้งที่มีอายุทิ้งห่างกันถึง 2 ปี ต้องอาศัยดูจากลักษณะเด่นและนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน บูรภัทรเป็นคนนิ่งๆขึมๆ ส่วนภัครชัยเป็นคนอัธยาศัยดียิ้มเก่งเวลายิ้มจะเห็นเขี้ยวเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เด่นเฉพาะตัว
รถบัสคันสีเขียวขี้ม้าด้านข้างปรับทัยตราตัวหนังสือสีขาวเป็นภาษาราชการทหาร คือรถสวัสดิการที่ใช้บริการรับส่งนักเรียนในค่ายไปส่งยังโรงเรียน สองพี่น้องก้าวขึ้นรถจับจองที่นั่งทันทีที่รถแล่นมาจอดรับ ทั้งคู่เดินทางไปโรงเรียนด้วยรถคันนี้ตั้งแต่พวกเขาเรียนอยู่ชั้น ป.1 จนปัจจุบันภัครชัยเรียนอยู่ชั้น ม.4 และบูรภัทรเรียนอยู่ชั้น ม.6
ร่างสูงโปร่งนั่งเหม่อมองวิวต้นไม้และทุ่งหญ้าข้างทางติดฝั่งหน้าต่าง ขณะที่รถกำลังขับเคลื่อน ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆจากแสงสีทองอ่อนของดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า บูรภัทรเอื้อมมือคว้าหัวของน้องชายที่นั่งสัปหงกให้ซบลงบนไหล่แกร่งของตัวเองแบบนี้เป็นประจำทุกวัน สองพี่น้องต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ในการจัดการกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้เสร็จก่อนที่รถรับส่งจะมาถึง พอขึ้นรถได้ด้วยระยะทางที่ไกลหลายกิโล ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงที่หมาย ภัครชัยเลยถือโอกาสนี้หลับให้เต็มตื่น ส่วนบูรภัทรเป็นคนตื่นง่ายหลับยาก ถ้าวันไหนไม่เพลียหนักมากๆจริงๆเขาก็จะไม่หลับ เช้านี้ก็เช่นกัน เขากำลังคิดอะไรเพลินๆกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าไปเรื่อยเปื่อย โรงเรียนเปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว การใช้สถานะนักเรียนของเขาในปีสุดท้ายเริ่มเหลือน้อยลงทุกวัน หลังจากที่ผิดหวังกับการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารถึงสองครั้ง จะมุ่งหน้ากับเส้นทางสายทหารนี้อีกหน ด้วยการสอบเข้าโรงเรียนนายสิบอย่างที่ผู้เป็นพ่อคลาดหวังไว้ หรือจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ตัวเองถนัด
รถรับส่งหยุดจอดสนิทข้างรั้วโรงเรียนประตูฝั่งทิศตะวันออก ในเวลา 06.45 น. ของทุกวัน ภัครชัยยังคงซบไหล่ของพี่ชายหลับสนิทอยู่อย่างนั้น นักเรียนคนอื่นๆ ที่โดยสารมาด้วยกัน ต่างทยอยลงจากรถกันไปเกือบหมดแล้ว
“เต้ย เต้ย ตื่นเร็วถึงโรงเรียนแล้ว” บูรภัทรเขย่าตัวน้องชายเบาๆให้รู้สึกตัว
“ถึงแล้วหรอ?” ภัครชัยน้ำเสียงสะลึมสะลือ เปลือกตาค่อยๆขยับเปิดขึ้นพร้อมกับบิดตัวยืดเส้นยืดสาย
“ถึงแล้ว ลง ลง ลง เอานี่กระเป๋านาย” บูรภัทรยื่นกระเป๋าเป้ทั้งสองใบส่งให้น้องชาย “รับไปสิเร็วๆ รีบลง”
ภัครชัยรับกระเป๋าเป้ใบหนึ่งมาสะพายพาดบ่า ก่อนจะรับอีกใบมาถือไว้ในมืออย่างว่าง่าย
“แยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” บูรภัทรบอกกับน้องชายที่ยืนกึ่งหลับกึ่งตื่นทันทีที่น้องชายพยักหน้าตอบรับตกลง เขาก็ก้าวลงจากรถอย่างว่องไวนำหน้าน้องชายไปก่อน จัดการนำกระเป๋าเป้ทั้งสองใบไปเก็บยังห้องครูที่ปรึกษาประจำชั้นของตัวเอง แล้วมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของโรงเรียน
บูรภัทรมีนัดกินข้าวเช้ากับพิมลวรรณทุกเช้า เขาและเธอคบหาใช้คำว่าแฟนกันได้เกือบหกเดือนแล้ว พิมลวรรณกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 ชั้นเดียวกันกับภัครชัยแต่คนละห้อง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆคนหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นหนึ่งในเหล่าบรรดาดาวของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ บูรภัทรยืนรอเธออยู่หน้าโรงอาหารครู่ใหญ่ ดูนาฬิกาที่ข้อมือเป็นเวลาใกล้เจ็ดโมงเช้า แต่ยังไม่มีทีท่าว่าคนที่นัดไว้จะมาสักที เขาล้วงโทรศัพท์มือถือรุ่นนิยมในกระเป๋ากางเกงนักเรียนออกมา ก่อนจะกดเลื่อนหาเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วกดโทรออก สายติดแต่ไม่มีคนรับ บูรภัทรเริ่มเป็นกังวลหลังจากที่กดโทรซ้ำย้ำๆติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม ยังไม่มีวี่แววการตอบรับจากปลายสาย ปกติถ้ามีเหตุสุดวิสัยเธอจะบอกให้เขารับรู้ตลอด บูรภัทรข่มใจตัวเองให้ร่ม เขาตัดสิ้นใจเดินมาดักรอเธอที่สนามบาสเกตบอลหน้าโรงเรียนกับกลุ่มเพื่อนนักกีฬาบาสเกตบอลด้วยกัน
ช่วงเช้าของทุกวันในเวลาที่เหลือก่อนกิจกรรมเคารพธงชาติ นักเรียนบางกลุ่มก็จะนั่งปั่นการบ้าน เรียกว่าลอกกันซะมากกว่าถึงจะถูก บางกลุ่มก็นั่งหวีผมมัดผมถักผมเปียให้กัน บางกลุ่มก็เลือกบริหารร่างกายด้วยการเล่นกีฬา อย่างเช่น ฟุตบอล วอลเล่บอลหรือบาสเกตบอลแล้วแต่ที่ตัวเองถนัด
“ไงเต้ ทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่ออกเลยนะ แล้วตุ้มล่ะไม่มาด้วยกันหรอ” พีรณัฐเพื่ิอนต่างห้อง นักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนด้วยกันกับเขา วิ่งมาเก็บลูกบาสที่เด้งออกนอกสนาม กล่าวทักทายพร้อมกับเดาะลูกบาสในมือไปมา
“น่าจะยังไม่มาว่ะ นี่ก็เจ็ดโมงจะสิบห้าละสงสัยวันนี้คงมาสายมั้ง”
“มาเล่นบาสรอด้วยกันก่อนสิ” พีรณัฐพูดพร้อมกับส่งลูกบาสในมือให้เขาทันที ก่อนจะหันหน้าส่งซิกไปในสนาม ว่ามีคนรอเล่นด้วยอยู่สามสี่คน
บูรภัทรรับลูกบาสมาคอง เดาะลงกับพื้นสองสามครั้ง ก่อนจะชู๊ตด้วยระยะไกลลงห่วงไปอย่างง่ายดาย
“เอ้ย!!! เจ๋งว่ะ” พีรณัฐทึ่งในความสามารถของคนตรงหน้า “ชู๊ตแม่นขั้นเทพเลยว่ะ ป่ะไปเล่นด้วยกันเพื่อน”
บูรภัทรตัดสินใจลงไปเล่นบาสเกตบอลในสนามตามคำชวนของเพื่อนนักกีฬาด้วยกัน ลูกบาสถูกส่งสลับกันไปมาระหว่างคนในสนาม ผลัดกันเดาะผลัดกันซู๊ดอย่างสนุกสนาน จนเขาลืมไปเลยว่าตั้งใจมาดักรอใครที่นี่
นาฬกิที่ข้อมือบอกเวลา 07.30 น. ใกล้เวลากิจกรรมเคารพธงชาติ บูรภัทรชะลอฝีเท้าหยุดการเคลื่อนไหวในสนาม หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อนักเรียนขึ้นมาซับเหงือเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นตามรูขุมขน จับชายเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยออกนอกกางเกงใส่ไว้เหมือนเดิมให้เรียบร้อย ก่อนจะขอตัวจากเพื่อนในสนามไปหน้าลานศิลป์ เพื่อตั้งขบวนวงโยทวาธิตอย่างรู้หน้าที่ นอกจากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนแล้ว บูรภัทรยังทำหน้าที่ตำแหน่งกลองใหญ่ ในวงโยทวาธิตของโรงเรียนอีกด้วย
“พี่เต้”
เสียงหวานคุ้นหูส่งมาจากทางด้านหลัง เจ้าของชื่อที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักหันควับกลับทันที นัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทปรากฏร่างเล็กของหญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยหวานในชุดนักเรียนหญิง ม.ปลาย ความสูงของเธอเพียงแค่หัวไหล่ของเขาเท่านั้น
“ตุ้ม” บูรภัทรปั้นหน้านิ่ง “ทำไมพึ่งมา พี่โทรไปก็ไม่รับสาย” ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม
“พอดีรถมาช้าไปนิด วันนี้ตุ้มรีบก็เลยลืมหยิบโทรศัพท์มาจากบ้าน”
“มาเดี๋ยวพี่ช่วยถือ” บูรภัทรคว้ากระเป๋าหนังนักเรียนจากมือของเธอมาถือ ถึงจะเป็นคนนิ่งๆขึมๆไม่ค่อยหวานเท่าไร แต่เขาก็มักจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับแฟนสาวอยู่เสมอ “ป่ะเดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่ห้อง”
“ไม่เป็นไร ตุ้มเดินไปเองได้”
“ไม่เป็นไร ห้องตุ้มอยู่ทางที่พี่กำลังจะเดินไปพอดี เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“อ๋อ นี่ถ้าไม่ใช่ทางผ่าน พี่เต้ก็จะไม่ไปส่งตุ้มใช่ไหม” พิมลวรรณแกล้งพูดเย้าแฟนหนุ่ม
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น จะทางไหนพี่ก็ไปส่งได้ทั้งนั้นแหละ”
“ตุ้มล้อเล่น” พิมวรรณหัวเราะเบาพอใจ เมื่อแฟนหนุ่มทำหน้ามู่ทู่ “ป่ะค่ะเดี๋ยวพี่เต้ไปตั้งขบวนไม่ทัน”
เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะยอกล้อเล่นกันเบาๆระหว่างทางของทั้งคู่ ทำให้คนที่เดินสวนทางมารอบๆ แอบอิจฉาตาร้อนเป็นไฟไม่น้อย
“พี่เต้ส่งตุ้มตรงนี้ก็พอค่ะ เดี๋ยวตุ้มเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บเอง” พิมลวรรณพูดขึ้น ขณะเดินมาถึงข้างอาคารเรียนหลังที่มีห้องครูที่ปรึกษาประจำชั้นของเธอ
“อืม ก็ได้” บูรภัทรส่งกระเป๋าหนังนักเรียนคืนเจ้าของ “แล้วเวลาไปเข้าแถวอย่าวิ่งนะเดี๋ยวล้ม”
“แม๋ตุ้มโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ”
“พี่ก็พูดกันไว้ก่อน อะไรก็เกิดขึ้นได้”
“โอเคค่ะ พี่เต้ก็รีบไปตั้งขบวนเถอะใกล้เวลาเคลื่อนขบวนแล้ว ไปช้าเดี๋ยวครูวินัยดุเอานะ”
“งั้นเที่ยงเจอกันนะ ไปละบาย”
บูรภัทรยกมือขึ้นโบกไปมาให้กับคนตรงหน้า พิมลวรรณาพยักหน้าตอบรับส่งยิ้มหวานให้พร้อมโบกมือกลับ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินขึ้นอาคารเรียนไป บูรภัทรเผยยิ้มพอใจเดินสลับกับวิ่งมุ่งหน้าไปยังลานศิลป์
**********
แสงแดดอุ่นๆในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกใสทะลุผ้าม่านสีม่นกระทบลงบนใบหน้าเรียวรูปไข่ของร่างบางเจ้าของความสูง 175 เซนติเมตร เปลือกตาที่ปิดอยู่ขยับทำปฏิกิริยากับแสงแดด สันจมูกโด่งย่นเข้าหาหัวคิ้วโดยอัตโนมัติ ผมเส้นเล็กหนาสีน้ำตาลเข้มพันกันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงจากการนอน เดือนพฤษภาคมยังคงอยู่ในช่วงของฤดูร้อน หลังใบหูและหน้าผากของภาสกรเปียกชุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพ่อง ส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่องไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไรแล้วเพื่อปลุกคนที่กำลังนอนขี้เซาให้ตื่น มือเรียวเอื้อมกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกให้หยุดทำงานในทันทีที่รู้สึกตัว  ก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก
“ชิปหายแล้ว” ร่างบางสปิงตัวลุกขึ้นจากที่นอนโดยอัตโนมัติ เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสะลึมสะลือสบเข้ากับนาฬิกาบนผนังห้อง บอกเวลา 06.55 น. ภาสกรปัดเก็บผับผ้าห่มและที่นอนอย่างเร่งรีบ คว้าผ้าเช็ดตัวพลาดบนบ่ามิวายหาวอีกหลายฟอดใหญ่ วิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกิจวัตรประจำวันของตัวเอง
ใช้เวลาไม่นานภาสกรก็จัดกับการกิจวัตรประจำวันของตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาสวมเครื่องแบบนักเรียนชายที่รีบจับกรีบจนเนี๊ยมด้วยฝีมือตัวเอง ยืนพิจารณาความเรียบร้อยอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเกรี่ยครีมกันแดดทาบางๆทั่วใบหน้าขาวใสตามด้วยหยิบแป้งเด็กขึ้นมาผัด เรียวปากกระจับสีชมพูระเรื่อถูกบำรุงด้วยลิปมันยี่ห้อดัง ช่วยเสริมให้เขาดูหล่อขึ้นมาทันทีทันใด
นาฬิกาบนผนังเรือนเดิมบอกเวลา 07.15 น. ภาสกรคว้ากระเป๋าเป้นักเรียนสะพายพาดบ่า เขาเร่งฝีเท้าเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน  สวมรองเท้านักเรียนด้วยความรีบแบบเยียบส้น ก่อนจะล็อกประตูบ้านและประตูรั้วให้เรียบร้อยเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินชับๆไปตามถนนในซอย มุ่งหน้าไปยังป้ายรถโดยสารประจำทางที่ตั้งอยู่หน้าปากซอยบ้าน
ภาสกรเป็นคนนอนขี้เซามาก ตื่นไม่เคยทันคนในครอบครัวตั้งแต่ขึ้น ม.2 มา พ่อกับแม่ต้องออกเดินทางไปทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เนื่องจากที่ทำงานอยู่อีกจังหวัดที่ใกล้กัน สามารถขับรถไปทำงานเองได้ และยังต้องแวะส่งน้องสาววัย 9 ขวบ ที่เรียนคนละโรงเรียนกันกับเขา ภาสกรเลยต้องไป-กลับโรงเรียนด้วยตัวเอง
ใช้เวลาราว 15 นาที เดินสลับวิ่ง ภาสกรก็มาถึงป้ายรถโดยสารประจำทาง เขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือขณะนี้เป็นเวลา 07.30 น. เขายืนตั้งหน้าตั้งตารอรถโดยสารประจำทางอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ทันได้สังเกดว่ามีนักเรียนหญิงม.ปลาย 2 คน กำลังแทะโลมเขาด้วยสายตาจากทางด้านหลังอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงซุปซิปของพวกเธอเบาๆ ภาสกรแสร้งทำเป็นหูทวนลม แต่อยู่ๆเสียงนั้นก็เริ่มดังชัดขึ้น
“สวัสดีจ้า” เสียงใสกล่าวทักทาย พร้อมก้าวขึ้นมายืนข้างๆทั้งที่เพื่อนของเธอพยายามห้ามไว้แล้ว
ภาสกรหันหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปรากฏร่างเล็กของหญิงสาวหน้าตาดี ใบหน้าของเธอแต่งแต้มไปด้วยสีของเครื่องสำอาจค่อนข้างจัด สวมเครื่องแบบชุดนักเรียนหญิง ม.ปลาย ทั่วไป อักษรย่อชื่อโรงเรียนบนเสื้อหน้าอกข้างขวา บ่งบอกว่าเธอเรียนคนละโรงเรียนเดียวกันกับเขา
“เราชื่อพลอยนะ” พลอยไพลินแนะนำตัว เธอยิ้มเอียงอายเล็กน้อย บิดถุงผ้าใส่เครื่องสำอางไปมา “แล้วนายชื่ออะไรหรอ?”
“เออ...” ใบหน้าภาสกรปรากฏเครื่องหมายคำถาม เขากำลังงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ต้นครับ ผมชื่อต้น” เขาบอกชื่อตัวเองกับเธอ พร้อมกับยกมือขึ้นเกาเบาๆที่ข้างหลังใบหูแก้เขิน ถึงจะเคยผ่านการจีบสาวมาบ้าง แต่ภาสกรก็ยังไม่เคยเป็นฝ่ายโดนผู้หญิงพุ่งเข้าหาก่อนแบบนี้ มากสุดก็แค่เคยได้ยินเสียงกรี๊ดอยู่ไกลๆเท่านั้น
“เรียนอยู่โรงเรียน x.x. หรอจ๊ะ” พลอยไพลินถามอีกครั้ง พร้อมหาเรื่องชวนคุยเรื่อยเปื่อย “อยู่ม.ไรแล้วเนี่ยตัวสูงจัง”
“ครับ ม.3 ครับ” ภาสกรพยักหน้า ตอบกลับสั้นๆ ที่จริงแล้วภาสกรเองก็สูงเลยจากเธอไปไม่มากเท่าไรนัก แต่จะว่าไปในบรรดานักเรียนชายระดับชั้นเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าเขานี่แหละน่าจะสูงได้มาตราฐานที่สุด
พลอยไพลินยืนนิ่งกับคำตอบที่ได้ยินไปสามวินาที กวาดสายตามองคนข้างๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอคิดว่าเขาต้องกำลังเล่นตลกกับเธออยู่แน่ๆ
“เด็กสมัยนี้โตเร็วขนาดนี้เลยหรอ” เธอพูดในใจ เหมือนว่าเธอเองจะยังไม่ปักในเชื่อกับคำตอบที่ได้ยินสักเท่าไรนัก ก่อนจะเปยยิ้มเขินๆ ให้กับคนข้างๆอีกครั้ง
“พี่อยู่ม.5นะ” เธอใช้สรรพนามแทนตัวเองใหม่ “อยู่โรงเรียน x.x.x. ตรงๆเลยนะ น้องต้นน่ารักมาก พี่อยากรู้จัก เราพอจะแลกเบอร์กันได้ไหม ไว้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้” พลอยไพลินออกตัวแรง จนภากรเกือบตั้งรับแทบไม่ทัน
“เออ...ได้ครับ” ภาสกรมีอาการเขินอายเล็กน้อย เขาปฏิเสธคนไม่เก่ง โดยเฉพาะกับผู้หญิงสวย มีคนเข้ามาขอสานความสัมพันธ์ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเสียหายอะไร ถึงแม้ว่าจะพึ่งพบเจอกันก็ตาม ดีซะอีกถือว่าเป็นการบริหารเสน่ห์ไปในตัว “086...”
“แปปนะ” พลอยไพลินลวงโทรศัพท์ในกระเป๋ากระโปรง ออกมากด “086...อะไรต่อ”
“13XX…”
“13XX” เธอทวนเบอร์และกดตาม
“XXXX”
“XXXX โอเค เดี๋ยวพี่ยิงเข้าไปนะ” พลอยไพลินกดโทรออกทันที
“ติดละครับ” ภาสกรพยักหน้าตอบ ขณะที่รู้สึกว่าวัตถุบางอย่างในกระเป๋ากางเกงนักเรียนสั่น
“นี่พลอยพุ่งแรงไปไหม เดี๋ยวเขาก็ตกใจหมดหรอก” เพื่อนของเธอที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังกระซิปเบา
“ไม่เลยแก แกอยู่เฉยๆน่ะ” พลอยไพลินหันไปเขม่นตาใส่ กระซิปเบากลับ “ฉันได้เบอร์น้องเขาแล้วย่ะ”
“ห๊ะ นะนะน้อ...ง” เธอส่งเสียงดังจนภาสกรหันควับไปมอง “แกจะกินเด็กหรอ”
“ชู่ๆๆๆเบาๆ” พลอยไพลินเขม่นตาใส่เพื่อนเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะหันกลับมาชวนคุยกับเขาเพื่อละความสนใจจากเพื่อนด้านหลัง “เออ ว่าแต่ต้นรอรถสายอะไรหรอ”
“สาย3 ครับ นั่นไงมานู้นแล้ว” ภาสกรชี้ไปที่รถโดยสารประจำทาง ที่ตัวเองรออยู่ กำลังแล่นใกล้เข้ามาพอดี
“หว้ามาเร็วจัง น่าเสียดาย ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวพี่โทรหานะ” พลอยไพลินชูมือขึ้นเป็นรูปโทรศัพท์
“ได้ครับ” ภาสกรพยักหน้าตอบรับ “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาก้าวขึ้นรถโดยสารประจำทางที่เขารออยู่ทันทีที่รถจอดรับ โดยไม่ลืมหันกลับมาโบกมือและส่งยิ้มกลับให้กับคนที่ยืนส่งยิ้มและโบกมือให้เขาเป็นมารยาท
ภาสกรต้องโหนรถโดยสารประจำทางเบียดกับคนจำนวนมากมาโรงเรียนเกือบทุกวัน เนื่องจากป้ายที่เขาขึ้นนั้นอยู่เกือบๆป้ายสุดท้ายก่อนจะถึงโรงเรียนเพียง 5 กิโลเมตร  สองสัปดาห์ผ่านมาแล้วกับการเปิดเรียนปีการศึกษาใหม่ ชื่อของเขาติดหนึ่งในอันดับต้นๆของคนที่มาโรงเรียนสายเป็นประจำทุกวัน  ภาสกรดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วคำนวนเวลาที่เหลืออยู่อีกครั้ง ยังไงก็ทันถึงก่อนกิจกรรมเคารพธงชาติจะเริ่มขึ้นแน่นอน สบายใจได้อีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงประตูหน้าโรงเรียนฝั่งทิศเหนืออยู่แล้ว แต่กลับไม่เป็นไปตามอย่างที่เขาคาดกาลเอาไว้ เมื่อรถโดยสารประจำทางดันหยุดจอดติดไฟแดงตรงสี่แยกเสียก่อนร่วมหลายนาที
“จะมาติดไฟแดงอะไรตอนนี้วะ” ภากรบ่นในใจ ถอนลมหายใจไม่สบอารมณ์
“นักเรียนทั้งหมดเตรียมตัวเคารพธงชาติ ธงขึ้นตรง” เสียงก้องออกไมค์จากผู้นำทำกิจกรรมเคารพธงชาติดังขึ้นถึงหูคนที่ยืนโหนอยู่บนรถโดยสารประจำทางสิ้นสุดลง เสียงเพลงชาติบรรเลงจากวงโยธวาทิตของโรงเรียนก็ดังขึ้น
“แม่งเอ้ย เชี่ย...สายอีกแล้วกู” ภากรสบถในใจ
รถโดยสารประจำทางเคลื่อนมาหยุดจอดตรงป้ายหน้าประตูโรงเรียนฝั่งทิศเหนือ นักเรียนคนอื่นๆที่มารถคันเดียวกัน ต่างรีบวิ่งไปให้ทันเพื่อร่วมกิจกรรมเคารพธงชาติ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงเพลงชาติบรรเลงจากวงโยธวาทิตสิ้นสุดลง ภาสกรเดินทอดน่องตามปกติไม่ได้เร่งรีบเหมือนกับคนอื่นๆ ไหนๆก็ต้องถูกลงชื่อในสมุดสำหรับคนมาสายอยู่แล้ว
“ก้าวเร็วครับนักเรียน วิ่งครับวิ่ง มาสายแล้วยังจะเดินเอื่อยกันอีกนะครับ” เสียงครูเกียรติกร ครูเวรประจำวันประกาศเรียกผ่านโทรโข่งเร่งฝีเท้าของนักเรียนที่มาสาย
“เดินเร็วๆสิวะไอ้ต้น มึงไม่ได้ยินเสียงพ่อมึงประกาศเรียกหรอ”
ภาสกรหันหลังไปตามเสียงคุ้นหูจากด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาอ่อนปรากฏร่างสำส่วนของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน วรวิทย์เพื่อนร่วมห้องคนสนิทของเขา จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงสีผิวจะคล้ำแดดไปนิด จากการเล่นกีฬาและเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน
“กูไม่รีบว่ะ กลัวหกล้ม มึงรีบมึงก็ไปก่อนเลย” ภาสกรขันเบาๆ กับประโยคคำพูดติดตลกของตัวเอง “เออ มึงมารถรอบเดียวกับกูหรอวะ ทำกูไม่เห็นมึงเลย” เขาหันไปถามเพื่อนเมื่อนึกขึ้นได้
“เออดิ มึงจะเห็นกูได้ไง คนอัดกันอย่างกับปลากระป๋อง กูขึ้นประตูหน้าไม่ได้ขึ้นประตูหลังเหมือนมึง แต่ถึงกูจะอยู่ข้างหน้า...” วรวิทย์เร่งฝีเท้าขึ้นมาเสมอพร้อมกับคว้ากอดคอเพื่อนสนิทเอาไว้แน่น “แต่กูเห็นนะโว้ย...ไอ้ต้น”
“เห็นเชี่ยอะไรของมึง” ภาสกรพยายามสะบัดตัวออกแต่ไม่เป็นผล
“ก็เห็นสาว ม.ปลาย โรงเรียน x.x.x. คนนั้นไง ที่ยืนคุยกับมึงอ่ะ ใครว่ะเด็กใหม่มึงหรอ แม่งแล่มเลยว่ะ”
“แล่มเลิ่มเชี่ยไร ปล่อยกูไอ้วิทย์” ภาสกรพยายามดิ้นอีกครั้ง “เขาแค่มายืนรอรถอยู่ข้างๆกู ไม่มีไรเว้ย”
“เฮ้ย!!! แต่กูเห็นมึงยิ้มให้เขา แล้วเขาก็ยิ้มให้มึงด้วย” วรวิทย์ขี้สงสัยไม่เลิก กอดคอเพื่อนแน่ขึ้นกว่าเดิม
“ก็แค่ยิ้มเปล่าวะมึง ใครก็ยิ้มได้”
“นายสองคนนั้นน่ะ ชักช้าเกินไปแล้วนะ มัวคุยอะไรกัน มาสายแล้วยังไม่สลดอีก” ครูเกียรติกรส่งเสียงผ่านโทรโข่งตัดบทสองเพื่อนซี้
“มึงรีบเดินเลย พ่อมึงเรียกอีกแล้ว แม่งเดี๋ยวซวย สาด” ภาสกรดิ้นหลุดจากการควบคุมของวรวิทย์ วิ่งเข้าไปในโรงเรียน
“เฮ้ยไอ้ต้น รอกูด้วย” วรวิทย์ร้องตะโกนตามหลัง แล้ววิ่งไปตามติดๆ
**********

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:37:01 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #6 เมื่อ17-01-2018 00:52:42 »

รออออออออ การพบกันของเต้ กับ ต้น แล้วก็เต้ยด้วย  :hao4:

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่2

 “เตรียมตัวสวดมนต์ นักเรียนทั้งหมดพนมมือ” เสียงจากผู้นำทำกิจกรรมดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากสิ้นสุดเสียงเพลงชาติบรรเลงจากวงโยธวาทิต ที่ตั้งขบวนอยู่เยื้องๆกับหลังเสาธงหันหน้าเข้าสนาม บนถนนหน้าอาคารเรียนหลังที่4  และนักเรียนที่เป็นตัวแทนเชิญธงชาติชายหญิงกลับเข้าที่เรียบร้อย บูรภัทรยกกลองใบใหญ่ที่พาดบ่าหน้าวางลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยกมือขึ้นพนมเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ ที่ยืนเข้าแถวหันหน้าเข้าเสาธงในสนาม แล้วกล่าวว่าบทสวดมนต์ตาม

 “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ...”

ขณะที่ขยับปากว่าบทสวดมนต์อยู่นั้น นัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทก็สะดุดเข้ากับร่างบางผิวขาวสว่างมีออร่าโดดเด่นของรุ่นน้องนักเรียนชาย ม.ต้น คนหนึ่งแต่ไกล ที่กำลังเดินต่อแถวสำหรับนักเรียนกลุ่มที่มาสาย อ้อมมาจากทางด้านหลังสุดของแถวนักเรียนที่ยืนอยู่ก่อนหน้า เพื่อมาตั้งแถวใหม่ในรูปแบบแถวหน้ากระดาน ตรงพื้นที่ว่างในสนามฝั่งตรงข้ามกับขบวนวงโยธวาทิต ตามคำสั่งของครูเวรประจำวัน บูรภัทรจำได้ว่าตั้งแต่เปิดเทอมมา ไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่เห็นรุ่นน้องคนนี้ในเวลานี้และที่ตรงนี้ ด้วยใบหน้าขาวใสออกไปทางหวานบวกกับเป็นคนร่างบาง แว๊บหนึ่งเขาเผลอแอบคิดไปเองในหัวว่า ถ้าเปลี่ยนจากใส่กางเกงขาสั้นเป็นใส่กระโปรงจับจีบแทน คงจะออกมาน่ารักไม่น้อย เสียดายที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงดี เขานี่แหละจะเป็นคนจีบเอง

“มองใครอยู่วะไอ้เต้” ทัศนัยสมาชิกในวงโยธวาทิตตำแหน่งกลองเล็ก ที่ยืนอยู่ข้างๆ แถมเป็นเพื่อนสนิทร่วมห้องเดียวกันกับเขา และยังเป็นนักกีฬาวอลเล่บอลของโรงเรียนดีกรีมือตบประจำทีม ถามขึ้น

“มึงดูนั่นดิ มึงว่าคนหรือหยวกกล้วยเดินได้วะ ขาวชิปเป๋ง” บูรภัทรพยักหน้าไปทางตำแหน่งคนที่เขากำลังกล่าวถึง “หน้าแม่งก็โคตรหวานเหมือนกับผู้หญิงเลยว่ะ”

“ไหนวะ” ทัศนัยกวาดสายตามอง “อ๋อนั่นน้องต้น 3/6 แก๊งค์หล่อเหยียบเมฆไง”

“หล่อเหยียบเมฆ” บูรภัทรทำหน้าฉงน

“ใช่” ทัศนัยเน้นเสียงหนักแน่น “พวกสาวๆสถาปณาให้น่ะ มึงเห็นคนที่ยืนถัดไปทางซ้ายมือน้องเขาป่ะ”

บูรภัทรเบนสายตาไปยังคนถนัดไปตามที่เพื่อนบอก “อืม คุ้นๆ”

“นั้นน่ะเจ้าวิทย์ น่าจะเป็นเพื่อนสนิทกันนะ ความหล่อแทบไม่ทิ้งกันเลยเห็นป่ะ อยู่แก๊งค์เดียวกันนั่นแหละ รู้สึกว่าจะเป็นนักกีฬาเหมือนพวกเราด้วยนะ เท่าที่กูจำได้ยังมีอีกคนนะแต่กูนึกไม่ออกว่ะว่าเป็นใคร เอาเป็นว่าแก๊งค์นี้มันฮอตพอตัวเลยนะมึง โดยเฉพาะน้องต้น จะมองว่าหล่อมันก็หล่อแหละ จะมองว่าสวยมันก็สวยจริงๆ แต่กูว่าแม่งสวยซะมากกว่า ดีนะที่เป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงนะ กูจีบแม่งไปนานละ”

“จีบเจิบอะไรของมึง มึงแม่งเพ้อเจ้อ” บูรภัทรทำเสียงสูงกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง  ในใจหวิววาบเขาไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบเดียวกันกับเขา “ว่าแต่มึงไปรู้จักน้องเขาตอนไหน”

“กูก็รู้จักแค่ผ่านๆน่ะไม่ได้สนิทอะไร พอดีน้องเขาอยู่แถวบ้านกู เห็นมาตั้งแต่สมัยตัวกระเปี๊ยก แก้ผ้าโดดน้ำคลองตู้มต้ามหน้าปากซอยบ้านอยู่เลย”

“แล้วมึงรู้เปล่าวะ ว่าทำไมแม่งถึงมาสายได้ทุกวัน”

“ไม่รู้ว่ะ”

“อืม” บูรภัทรเพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถามต่ออะไร ทั้งที่ในใจอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรุ่นน้องมากกว่านี้ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นพิรุธ

“ว่าแต่มึงเถอะ มีอะไรกับน้องเขาหรือเปล่าวะ” ทัศนัยเป็นฝ่ายถามขึ้น

บูรภัทรทําตาลอกแลกก่อนจะตอบสวนกลับทันที “ไม่มี”

“แต่กูสังเกดเห็นนะ ว่ามึงมองน้องเขาทุกวันเลย แถมยังทำเป็นอยากรู้เรื่องของน้องเขาอีก มึงคิดอะไรกับน้องเขาเปล่าเนี่ยไอ้เต้” ทัศนัยเน้นเสียงรากยาวที่ชื่อของเพื่อน

“คิดพ่องมึงสิ” บูรภัทรกัดฟันพูดพร้อมกับเขม่นตาใส่เพื่อน “ไม่ได้อยากรู้อะไรทั้งนั้นแหละโว้ย หุบปากไปเลยมึง กูก็มองทุกคนนั่นแหละ คนมาสายโดนจับแยกแถวออกมาประจาน ใครไม่มองบ้าง อีกอย่างมึงจะให้กูคิดอะไร น้องเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง”

“แล้วทำไม ตามึงไม่กระพริบเลยวะ”

“ไม่กระพริบพ่องมึงสิ บอกให้หุบปากไง เลิกพูดได้แล้ว สวดมนต์เว้ย”

บูรภัทรแทบอยากจะยกกลองตรงหน้าทุ่มใส่เพื่อนให้รู้แล้วรู้รอด โทษฐานที่ขี้สงสัยไม่เลิก

“แม๋ๆ กูล้อเล่นนิดเดียว ทำไมมึงต้องหูแดงขนาดนั้น”

“แดงห่าอะไร” บูรภัทรใช้มือจับคำๆที่ใบหูของตัวเอง ก็รู้สึกว่ามันอุ่นๆจริงๆ “กูไม่เล่นด้วยเว้ย”

“สงบนิ่ง” เสียงของผู้นำทำกิจกรรมกล่าวขึ้นขณะสิ้นสุดบทสวดมนต์ บอกให้นักเรียนทั้งหมดก้มหน้าทำสมาธิเป็นเวลา 1 นาที ทำหน้าที่เป็นกรรมการสงบศึกระหว่างสองเพื่อนซี้ที่ถกเถียงกันไปมา

ในขณะที่นักเรียนทุกคนต่างยืนก้มหน้าทำสมาธิอยู่นั้น ครูเวรประจำวันก็ปล่อยแถวของนักเรียนกลุ่มที่มาสายอีกจำนวนหนึ่งให้มาต่อแถวเพิ่ม ภาสกรก้าวขยับตามแถวที่ขยายยาวขึ้น จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของบูรภัทรพอดิบพอดี

“พัก” เสียงของผู้นำทำกิจกรรมบอกให้นักเรียนทุกคนออกจากสมาธิพร้อมกับนั่งลงในแถว เพื่อฟังครูเวรประจำวันพูดคุยและประชาสัมพันธ์เรื่องต่างๆ บูรภัทรเงยหน้าขึ้นออกจากสมาธิ นัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทปะทะเข้ากับเสี่ยวใบหน้าขาวใสของรุ่นน้องคนที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ตรงหน้าเข้าอย่างจัง

“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ” บูรภัทรยืนนิ่งจ้องมองเสี่ยวใบหน้าขาวใสของรุ่นน้องตาไม่กระพริบอยู่อย่างนั้น

“เขานั่งลงกันหมดแล้วคร๊าฟ มึงจะยืนอีกนานไหม” ทัศนัยกระดุกขากางเกงเพื่อนเบาๆให้นั่งลง

ขณะที่ครูเวรประจำวันกำลังยืนพูดอยู่หน้าเสาธง ภาสกรนั่งก้มหน้าเขี่ยต้นหญ้าในสนามไปมา บ้างก็เด็ดถอนเล่นแก้เบื่อไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสายตาคู่คมจ้องมองมาที่ใบหน้าของตัวเองอยู่

“ไอ้หยวกนี่ เวลามองใกล้ๆแล้วแม่งหน้าสวยจริงๆแฮะ ผิวก็ขาวระเอียดกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก ทำไมไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ” บูรภัทรพึมพำในใจ อดที่จะชื่นชมคนตรงหน้าไม่ได้ สายตายังคงไม่ละไปจากเสี่ยวใบหน้าขาวใสของรุ่นน้อง 

และแล้วความรู้สึกบางอย่างก็ฟ้องให้ภาสกรเริ่มรู้สึกตัว ว่ามีใครสักคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ภาสกรเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบๆ มองหาที่มาของความรู้สึกนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนได้สบเข้ากับนัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทของรุ่นพี่ใบหน้าคมเข้ม ที่นั่งอยู่ในแถวขบวนวงโยธวาทิตฝั่งตรงข้ามเข้า

“มองอะไรวะไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง” ภาสกรพูดเป็นเรื่องขำขันในใจก่อนจะเบนสายตาหันไปทางอื่น เนื่องจากไม่กล้าสบตากับรุ่นพี่ตรงหน้าเป็นเวลานาน สิ่งที่เขาทำได้ เพียงแค่เหลือบกลับมามองบ้างเป็นพักๆเท่านั้น “ไอ้พี่คนนี้หนิ จ้องนานไปแล้วนะ หน้ากูไปเหมือนญาติฝ่ายไหนของแม่งวะ”

ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของภาสกรเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ คนจ้องมองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนทิศทางหันไปทางอื่นเสียที “จะจ้องกันอีกนานไหม สาวๆน่าสนใจกว่ากูเยอะทำไมไม่หันไปมองวะ” เขาเริ่มกระสับกระส่ายในใจ “เดี๋ยวนะไอ้ต้น แล้วทำไมหัวใจมึงต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยเนี่ย”

ภาสกรรวบรวมความกล้าหันกลับมาสบตากับรุ่นพี่คนเดิมอีกครั้ง แต่ก็แทบจะก้มหน้าซุกลงสนามหญ้าหนีแทบไม่ทัน เมื่อรุ่นพี่ยังคงจ้องมองมาอยู่นั้นไม่เลิก เขาเริ่มรู้สึกใจหวิวๆแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก “เออ ยอมรับก็ได้ว่าพี่เขาหน้าตาดี มันหล่อเว้ย แต่มึงไม่ต้องระริกระรี้ขนาดนั้นก็ได้เปล่าวะหัวใจ พี่เขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง”

“ตั้งขบวนๆๆๆ” ทัศนัยป้องปากตะโกนข้างหูเพื่อนรากเสียงยาว หลังจากสะกิดไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“ไอ้เชี่ยบอล เบาๆก็ได้ ตะโกนทำเชี่ยไร หูกูแตกหมด”

“ไหนมึงบอกว่าไม่ได้คิดอะไรไง มึงจ้องน้องเขาอย่างกับจะกลืนกินนี่นะไม่ได้คิดอะไร กูเรียกมึงเป็นสิบครั้งแล้วยังไม่ได้ยินเลย”

“จ้องห่าอะไร กูไม่ได้จ้อง” บูรภัทรยืนยันเสียงหนักแน่น พร้อมกับลุกขึ้นปัดกางเกงแล้วยกกลองใบใหญ่ขึ้นพาดบ่าหน้า “เชี่ย ใส่ความกูอีกแล้วนะมึงอ่า” ก่อนจะเคาะไม้กลองลงหัวเพื่อนหนึ่งครั้งเบาๆ

“โอ้ย ไอ้เชี่ยเต้ กูเจ็บนะเว้ย”

“ทำเป็นสำออย ทีโดนลูกวอลเลย์ตบอัดหน้าไม่ร้องซักแอะ”

“ก็โชว์สปิริตไง กูร้องสาวๆก็ไม่กรี๊ดสิ”

“เออ ไป ตั้งขบวน” บูรภัทรหัวเราะเบาพอใจ

หลังจากเสร็จกิจกรรมเคารพธงชาติ ขบวนวงโยธวาทิตก็บรรเลงเพลงเคลื่อนขบวนกลับไปยังลานศิลป์ตามเดิม นักเรียนจำนวนนับพันในสนามต่างแยกย้ายพบครูที่ปรึกษาประจำชั้นของตัวเอง  ภาสกรผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดกางเกง ทันทีที่เป็นอิสระจากสายตาคู่คมของรุ่นพี่ เขาหันเหลียวมองตามคนแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินตบเท้าตีกลองเป็นจังหวะในขบวนวงโยธวาทิตอย่างงุนงง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าทำไมรุ่นพี่คนนั้นถึงจ้องมองหน้าเขาไม่เลิก

“พี่เขาชื่อเต้” วรวิทย์พูดขึ้นขณะลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นเพื่อนเหลียวมองตามหลังขบวนวงโยธวาทิตตาไม่กระพริบ

“ใคร?” ภาสกรถามสั้นๆ

“ก็พี่คนตัวสูงๆ หล่อๆ ที่ตีกลองนั่นไง”

“บอกกูทำไมวะ กูไม่เห็นอยากรู้จักแม่งเลย” ภาสกรละสายตาจากขบวนวงโยธวาทิต แสร้งแหงนหน้าชมนกชมไม้ “ดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร”

“เหรอ แต่เมื่อกี้กูยังเห็นมึงนั่งจ้องกันกับพี่เขาตาเป็นมันเลยนะ ส่งซิกอะไรกันวะ”

“ซิกเซิ๊อกห่าอะไรล่ะ เขาจ้องกูมา กูก็แค่จ้องกลับไป เออไอ้วิทย์มึงช่วยดูให้หน่อยดิ ว่ามีอะไรติดหน้ากูหรือเปล่า” วรวิทย์ส่ายหน้าบอกไม่มี “คิดว่ามีอะไรติดหน้ากูซะอีก เล่นจ้องซะกูไปไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าหน้ากูไปเหมือนญาติฝ่ายไหนของแม่ง มึงเองก็อย่ามาทำเป็นจับผิดกูหน่อยเลย”

“เออๆ ไม่มีก็ไม่มี๊” วรวิทย์ทำเสียงสูงไหวไหล่เล็กน้อย

“ว่าแต่แม่ง อยู่ ม.ไรวะ” ภาสกรยกมือปิดปากไว้ไม่ทัน เผลอหลุดปากถามสิ่งที่ในใจอยากรู้จนได้

“6/3” วรวิทย์ตอบสวนกลับทันที ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แน่ไหนมึงบอกว่าไม่อยากรู้ไง ไอ้ต้น...” เขาเน้นเสียงรากยาวที่ชื่อของเพื่อน

“กะกะกูบอกว่า มึงอ่ามัวแล้ว ไอ้ฟายหูเพี้ยนนะมึงอ่ะ แคะขี้หูซะบ้าง”

วรวิทย์เป็นนักกีฬาของโรงเรียนเช่นเดียวกันกับบูรภัทร ทั้งสองเลยมีโอกาสได้พบเจอกันบ้างบางครั้งบางคราว ตอนที่ไปเก็บตัวแข่งขันกีฬาจังหวัดด้วยกัน ถึงไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว เนื่องจากเล่นกีฬาคนละประเภท แต่ด้วยความเป็นคนอารมณ์ขันแล้วชอบเข้าหาคนอื่นของวรวิทย์ ทำให้เขาพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของรุ่นพี่สุดฮอตในเหล่าบรรดานักกีฬาด้วยกันอยู่บ้าง

“เอาล่ะ นักเรียนที่มาสายทุกคนมาลงชื่อในสมุดตรงนี้ แล้วไปวิ่งรอบสนามคนละสิบรอบ แล้วค่อยแยกย้ายพบครูที่ปรึกษา” เสียงครูเวรประจำวันประกาศใส่โทรโข่งจากหัวแถว เกิดเสียงโห่ร้องอิดออดไม่น้อย แต่ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยต้องยอมจำนงกับบทลงโทษไปตามระเบียบ

ชายเสื้อนักเรียนหลุดลุยออกนอกกางเกงเปียกชุ่มไปด้วยเหงือ กระดุมสองเม็ดบนสุดถูกปลดออกเห็นร่องอกขาวนวลเนียน หลังจากที่โดนทำโทษวิ่งรอบสนามเสร็จแล้ว ภาสกรก้าวเดินอย่างหอบหืดมุ่งหน้ามายังตู้กดน้ำดื่มที่ตั้งอยู่ใต้อาคารเรียนหลังที่2 กดน้ำเย็นจากตู้ใส่แก้วพลาสติกแล้วลาดลงใบหน้า ชำระล้างเหงื่อไคลลดความเหนื่อยล้าเพิ่มความสดชื่น ก่อนจะกระดกดื่มคลายความกระหาย

“แม่งซวยจริงๆ มาสายวันแรกก็โดนจัดหนักเลยกู” วรวิทย์บ่นพึมพำมีอาการหอบหืดไม่ต่างกันเดินตามหลังมาติดๆ “เป็นไงล่ะมึง แฮ่กไหมล่ะ วันหลังจะมาสายอีกไหมวะ” เขาหันไปแย่เพื่อนขณะยืนกดน้ำเย็นใส่แก้วข้างๆ ก่อนจะกระดกดื่มแล้วลาดลงใบหน้าเช่นกัน

“กูก็สายแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่เห็นมีการโดนทำโทษแบบครูเกียรติกรเลย อย่างมากก็แค่เดินเก็บขยะคนละสิบชิ้นหน้าโรงเรียน”

“มึงเล่นกับใครมึงดูด้วย ครูเกียรติกรนะเว้ย แม่งได้ข่าวว่ากำลังจะเลื่อนไปเป็นครูฝ่ายปกครองด้วย โหดสุดๆในบรรดาครูครูแล้ว วันนี้ที่โดนกันกูว่าแค่เบาะๆว่ะ กูว่าครั้งหน้าแม่งจัดหนักกว่านี้แน่”

“ช่างแม่งเถอะ เออ ไอ้วิทย์ กูว่ากูจะไม่เข้าพบครูที่ปรึกษานะ ว่าจะไปตากแอร์หลังห้องสมุดให้เสื้อหายเปียกซะหน่อย มึงไปกับกูป่ะ"

ทุกวันก่อนเข้าเรียนวิชาแรกตามทำเนียบของโรงเรียน นักเรียนจะต้องเข้าเช็คชื่อและพบปะพูดคุยกับครูที่ปรึกษาประจำชั้น เพื่ออัพเดทข่าวสารและปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียน

“เออกูไปด้วย” วรวิทย์พยักหน้าเห็นด้วย “เสื้อกูก็เปียกเหมือนกัน เข้าไปก็โดนบ่นอีกรำคาญหู”

แอร์หลังห้องสมุดที่ว่า คือ คอยล์ร้อนที่เป็นเครื่องปล่อยลมร้อนจากเครื่องปรับอากาศ ภาสกรคิดค้นวิธีนี้หลังจากที่เขาเล่นกีฬากับเพื่อนๆแล้วเสื้อเปียกเหงื่อ วันนั้นเขาเดินผ่านหลังห้องสมุดพอดี เลยแวะยืนหันหลังให้กับลมร้อมที่ปล่อยออกมา ไม่ถึง 5 นาทีเสื้อก็กลับมาแห้งเป็นปกติ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ใช้วิธีนี้ทำให้เสื้อแห้งตลอด หลังจากเล่นกีฬาเสร็จ

“ว่าแต่ชั่วโมงแรกเราเรียนไรกันวะ” ภาสกรหันไปถามเพื่อนที่ยืนหันหลังตากลมร้อนข้างๆกัน

“มึงนี่นะไม่เคยจำเชี่ยไรได้เลย หล่ออย่างเดียวนะสาดไอ้ปลาทอง” วรวิทย์หันไปบ่น ก่อนจะครุ่นคิดอยู่สักพัก  “วันพุธชั่วโมงแรกเรียนสังคมของครูสมยศ”

“ห้องไหนวะ”

“3301ไง มึงนี่...” วรวิทย์ตั้งท่าจะบ่นเพื่อนอีกครั้ง แต่ภาสกรพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เออ ก็พึ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วันเอง กูก็ถามไปงั้นแหละ” ภาสกรพูดพร้อมกับเดินออกจากเครื่องคอยล์ร้อน เมื่อรู้สึกได้ว่าเสื้อของตัวเองเริ่มแห้ง

“เดี๋ยว นั่นมึงจะไปไหน” วรวิทย์ร้องถาม

“ไปเรียนไง” ภากรตอบกลับสั้นๆ

“อ้าว ไอ้ห่าต้นไม่รอกูเลยนะมึง รอกูด้วยสิ” วรวิทย์ว่าพร้อมกับวิ่งตามเพื่อนไป

หลังจากเดินไปหยิบกระเป๋าเป้นักเรียนที่วางไว้บนโต๊ะม้าหินอ่อนข้างห้องปกครองก่อนออกไปวิ่ง สองเพื่อนซี้ก็เดินคุยเล่นกันมาระหว่างทางจนมาถึงอาคารเรียนหลังที่พวกเขามีเรียน ทุกอาคารเรียนมีลิฟท์คอยอำนวยความสะดวกเฉพาะครูเท่านั้น ส่วนนักเรียนต้องใช้บันไดในการสัญจรขึ้นลงอาคาร กว่าทั้งสองจะเดินขึ้นถึงห้องเรียนวิชาแรกที่อยู่ชั้น3 ก็เล่นเอาหอบแฮ่กไปตามๆกันอีกรอบ

วันนี้ครูที่ปรึกษาประจำชั้นของพวกเขาปล่อยเร็วกว่าปกติ เพื่อนร่วมห้องบางส่วนแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวกันก่อนเข้าห้องเรียน บางส่วนก็มายืนออรออยู่หน้าระเบียงห้องรอเวลาเข้าเรียน

“วัสดีต้น” สนทยาหญิงร่างอวบผิวคล้ำ เพื่อนสาวร่วมห้องกลุ่มเดียวกันกล่าวทักทาย ก่อนจะหันไปทักทายอีกคนที่มาพร้อมกัน “วัสดีวิทย์”

“วัสดีครับสาวน้อย” วรวิทย์กล่าวทักทายกลับอย่างอารมณ์ดี

“วัสดีสน” ภาสกรกล่าวทักทายกลับเช่นกัน “ว่าแต่ทำไม่วันนี้มาเร็วล่ะ”

“อ๋อ วันนี้ไม่มีอะไรมากครูก็เลยปล่อยเร็ว แล้วนี่ไปไหนกันมาทำไมถึงมาพร้อมกันได้ล่ะ”

“ไม่ได้ไปไหนกันมา ไอ้ต้นมันมาสายเป็นประจำของมันอยู่แล้ว ส่วนเราลืมหยิบกระเป๋าใส่ชุดมาซ้อมบอล” วรวิทย์พูดพร้อมกับชูกระเป๋าเป้ต้นเหตุที่ทำให้เขามาสายขึ้นให้สนทยาดู “ต้องกลับไปเอาอีกรอบ ก็เลยมาสายเลย โดนวิ่งรอบสนามตั้งสิบรอบแน่ะ ยังหอบไม่หายเลยเนี่ย”

“แล้วนี่มุกไปไหนล่ะ” ภาสกรถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่เห็นว่าเพื่อนสาวในกลุ่มอีกคนที่สนิทกับสนทยาไม่อยู่ด้วยกัน

“ไปเข้าห้องน้ำน่ะ นั่นไงมานั่นแล้ว” สนทยาพยักหน้าไปทางมุกดาที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา

“ถามหาฉันทำไมยะ” เสียงแจ๋นดังมาก่อนตัว “ไงจ๊ะพ่อรูปหล่อทั้งสอง ไปวิ่งรอบสนามมาสบายเนื้อสบายตัวไหมล่ะ” มุกดาหัวเราะเย้ยเบาๆเย้าเพื่อนเล่นอย่างพอใจ  “หวังว่าคงจะเข็ดกัน พรุ่งนี้คงไม่มีใครมาสายอีกสินะ" เธอพูดพร้อมกับยักคิ้วริ่วตาใส่เพื่อนที่ยืนหน้าเจื่อนทั้งสอง

“แม๋แค่ครั้งเดียวเองครับแม่” วรวิทย์ทำเสียงสลด

“มุก ไม่ล้อเพื่อนสิ” สนทยาปราม

“มาาาา มะะะะ ไม่มาสายก็ไม่ใช่ภาสกรคนหล่อสิคร๊าฟ ตำแหน่งนี้ผมขอครองเลยแล้วกันนะ” ภาสกรโพสท่าหน้าทะเล้นใส่มุกดา โดยมีวรวิทย์ร่วมโพสท่าสมทบตามด้วย พร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

“ย่ะ เอาที่สบายใจเลยเจ้าค่ะ พ่อคู๊ณณณ” มุกดาเสียงสูง ก่อนจะเดินตัดหน้าพวกเขาไปหาบดินทร์เพื่อนชายร่วมกลุ่มเดียวกันอีกคน ที่ยืนเก้งกังใส่แว่นกรอบหนาเตอะยืนอยู่หน้าระเบียงห้องเรียน

“เออ ว่าแต่ครูห้องนี้ยังไม่ปล่อยอีกหรอ คุยไรนักหนาวะ” วรวิทย์ถามกับสนทยาขณะดูนาฬิกาที่ข้อมือ เห็นว่าใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว

“ยังน่ะสิ” สนทยาหันไปมองในห้องเรียน ก่อนจะหันมาตอบกับวรวิทย์อีกครั้ง “คงคุยเยอะแหละ ก็ยังไม่หมดเวลาพบครูที่ปรึกษานี่ พวกพี่เขาอยู่ ม.6 แล้วต้องเคร่งกันหน่อย”

ภาสกรไม่ได้พูดอะไรต่อเขาเดินผ่านเพื่อนที่ยืนออรอเวลาเรียนอยู่หน้าระเบียงห้อง มายืนเองหลังพิงกับผนังตรงมุมของอาคาร ปล่อยให้วรวิทย์กับสนทยายคุยกันอยู่อย่างนั้น

ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของภาสกรเต้นรัวไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง คล้ายว่าจะแรงขึ้นกว่าครั้งแรกซะด้วยซ้ำ เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเกิดซุกซนทอดมองผ่านประตูห้องเรียนที่เปิดอยู่เข้าไป สบเข้ากับใบหน้าคมเข้มของรุ่นพี่คนที่จ้องมองหน้าเขาในแถวเมื่อเช้าอยู่ตรงมุมห้อง กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังครูที่ปรึกษาประจำชั้นอย่างสนอกสนใจ ภาสกรกระพริบตาย้ำๆสบัดหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง จนแน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภาพติดตา ที่วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา

*"มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ยไอ้ต้น แล้วจะเต้นแรงทำไมเนี่ยไอ้หัวใจ เขาไม่ได้มองมาที่มึงสักหน่อย"* ภาสกรพยายามข่มความรู้สึกแปลกๆของตัวเองที่เกิดขึ้น เปลี่ยนทิศทางการมองไปมุมอื่นๆ มองท้องฟ้า มองนก มองต้นไม้

“เฮ้ย” ทัศนัยสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ “มึงดูนั่นดิ”

บูรภัทรหันมองออกไปตรงมุมอาคารผ่านประตูบานเดียวกัน ตามที่เพื่อนสะกิดบอก เขาแสร้งทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นอะไร ทั้งที่เห็นเสี่ยวใบหน้าขาวใสของรุ่นน้องคนที่เขาจ้องมองเมื่อเช้าอยู่เต็มสองตา ยืนเหม่อเอนหลังพิงกับผนังอยู่ตรงนั้น ก่อนจะแอบจุดยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

ทันทีที่หมดเวลาพบครูที่ปรึกษาประจำชั้น หน้าระเบียงห้องเรียนเกิดความชุนลมุนขึ้นเล็กน้อย เมื่อรุ่นพี่จากในห้องออกมาหยิบรองเท้าที่วางอยู่สวมใส่เพื่อไปเรียนต่อ ส่วนรุ่นน้องที่ยื่นออรออยู่ก็ทยอยถอดรองเท้าเก็บไว้แทนที่ แล้วเดินเข้าห้องเรียนไป ที่ต้องถอดรองเท้าเนื่องจากห้องเรียนนี้เป็นพื้นปูพรม ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ต้องนั่งเรียนกับพื้น และอีกอย่างโรงเรียนนี้นักเรียนจะต้องเดินเรียนทุกวิชา ไม่มีห้องเรียนประจำ นอกจากห้องครูที่ปรึกษาประจำชั้นเท่านั้น

บูรภัทรกวาดสายตาหารองเท้าของตัวเอง ก่อนจะพบว่ารองเท้าของเขาถูกเจ้าของร่างบางของรุ่นน้องคนเดิมยืนบังอยู่

“น้องครับ พี่ขอรองเท้าหน่อย” บูรภัทรเรียกเสียงนิ่ง แต่เหมือนว่าคนที่ยืนบังจะไม่ได้ยิน ยังคงยืนเหม่อมองยอดต้นไม้อยู่อย่างนั้น

“น้องครับ...” บูรภัทรเรียกครั้งที่สองเสียงดังขึ้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วมือสะกิดเบาๆที่ไหล่บาง ของคนที่ยืนเหม่อ

“เออ อะ ครับ” ภากรสะดุ้งหันควับ

ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของภาสกรเต้นรัวแรงกว่าสองครั้งที่ผ่านมา ราวกับจะกระเด้นออกมาซะให้ได้ เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปะทะกับนัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทของรุ่นพี่คนเดิม ที่เว้นระยะห่างเพียงหนึ่งช่วงตัวเท่านั้น “โห หล่อโคตรๆ” ภาสกรยืนตัวแข็งทื่อกลายเป็นอัมพาตไปซะดื้อๆคล้ายกับขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงหัวใจไม่ทัน โลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัดอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความสมบูรณ์แบบของคนตรงหน้า

“น้องครับ ขยับหน่อยครับ พี่จะเอารองเท้า” บูรภัทรขยับใกล้เข้าไปอีก กลิ่นกายความเป็นชายบวกกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆน่าหลงไหล โชยเตะเข้าที่ปลายจมูกโด่งของคนตรงหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

บอกอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องขยับเข้ามาใกล้ขนาดนี้...

“เอ่อ...ครับ” ภาสกรขานรับกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลบทางให้อย่างลุกลี้ลุกลน แต่ด้วยพื้นที่ตรงมุมอาคารที่เขายืนอยู่นั้นมีขนาดจำกัด ภาสกรเลยก้าวไม่พ้นร่างสูงโปร่งที่ยืนขว้างตรงหน้าไปเลยซะทีเดียว ไหล่ของเขากระแทกเข้ากับไหล่แกร่งของรุ่นพี่จนเขาเซพยุงตัวเองไว้ไม่อยู่ บูรภัทรไม่ไหวเอนต่อแรงกระแทกแต่อย่างใด แถมยังคว้าต้นแขนของคนที่กำลังเซไม่เป็นท่า ให้กลับมาพยุงตัวเองได้อีกครั้ง

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ภาสกรกล่าวขอโทษรุ่นพี่ด้วยอาการกระสับกระส่าย ก่อนจะเร่งถอดรองเท้าวางไว้ตรงหน้าระเบียงห้องเรียน แล้ววิ่งแจ้นเข้าห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอฟังคำตอบรับใดๆจากคู่กรณี

“เป็นอะไรของแม่ง” บูรภัทรหันมองตามแผ่นหลังบางของรุ่นน้องที่วิ่งเข้าห้องเรียนไป ไหวหัวพลางยิ้มอ่อนหัวเราะเบาอย่างพอใจไม่มีเหตุผล ก่อนจะก้มลงใส่รองเท้าแล้วเดินลงบันไดไป

“เฮ้ย!!! ไอ้เชี่ยบอล กูตกใจหมด มายืนทำไรตรงนี้เนี่ย” บูรภัทรส่งเสียงดังเอะอะเห็นเพื่อนสนิทยืนหลบมุมอยู่ ขณะกำลังก้าวเท้าลงบันได

“กูก็รอมึงไง ชักช้าจังใส่รองเท้าแค่นี้ ป่ะไปเรียน” ทัศนัยเดินเข้ามาโอบคอเพื่อนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน เดินลงอาคารเรียนเพื่อไปเรียนวิชาแรก เมื่อครู่เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนกับรุ่นน้องทั้งหมด แต่ก็เลี่ยงที่จะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปล่อยให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวให้เพื่อนได้มีโอกาสหายใจบ้าง

**********

​ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:37:34 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #8 เมื่อ20-01-2018 02:23:17 »

ต่างคนต่างหลงใหลซึ่งกันและกันแล้ว  :mew1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #9 เมื่อ20-01-2018 06:23:23 »

ขอบคุณค่ะ  สนุกมากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-01-2018 06:23:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #10 เมื่อ21-01-2018 16:07:52 »

ใจจะตรงกันน่ะ

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่3

เสียงสัญญาณเตือนหมดเวลาเรียนดังขึ้น ตลอดชั่วโมงแรกจนถึงชั่วโมงสุดท้ายของช่วงเช้า ภาสกรยังคงนั่งเหม่อใจลอยออกนอกหน้าต่าง ไม่เป็นอันเรียน จนวรวิทย์ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกันสังเกตได้ ใบหน้าคมเข้มของรุ่นพี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา ความรู้สึกแปลกๆที่หัวใจของตัวเองเต้นรัวแรงไม่เป็นจังหวะ ทุกครั้งที่พบและสบตากันกับรุ่นพี่ เริ่มทวีความสับสนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขากันแน่
“เฮ้ยไอ้ต้น หมดเวลาแล้วไปกินข้าวกัน” วรวิทย์ใช้ศอกสะกิดเพื่อนทันทีที่ครูประจำวิชาเดินออกจากห้อง เก็บอุปกรณ์การเรียนของตัวเองใส่กระเป๋าเป้นักเรียนเรียบร้อย ก่อนจะหันมาเห็นว่าเพื่อนยังคงนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ “ไอ้ต้น” เขาเรียกชื่อเพื่อนเสียงดังขึ้น พร้อมกับประทับฝ่ามือลงที่หัวของคนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่จนหน้าคะมำ
“โอ้ย!” ภาสกรสะดุ้งตกใจหันมาเอะอะโวยวาย “เชี่ยไรของมึงเนี่ยไอ้วิทย์”
“หมดคาบแล้ว” วรวิทย์ชูนาฬิกาที่ข้อมือให้เพื่อนดูเป็นการยืนยัน “มัวแต่นั่งเหม่อใจลอยอยู่ได้ ป่ะไปกินข้าวกัน”
“เออๆ” ภาสกรพยักหน้าตอบรับ ลูบวนๆนวดๆที่หัวเพื่อคลายความปวดชา “เชี่ย มือหนักชิปหาย” เขาบ่นเสียงเบาพร้อมกับหันไปเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าเป้นักเรียน
“มึงด้วยไอ้ดินทร์ ป่ะกินข้าวกัน” วรวิทย์ไม่ลืมเอ่ยชวนเพื่อนสนิทร่วมกลุ่มเดียวกันอีกคนที่นั่งเรียนอยู่โต๊ะข้างหน้า
“อืม” บดินทร์หันมาพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าเป้นักเรียนเช่นกัน
บดินทร์ หนึ่งในสมาชิกแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆอีกคน อาจจะไม่สะดุดตาในแวบแรกที่เห็นไปเลยซะทีเดียว ทว่าใบหน้าเรียวภายใต้แว่นตากรอบหนาเตอะทำให้มองได้ไม่เบื่อเช่นกัน การแต่งกายเรียบร้อยถูกระเบียบเป๊ะขับกับผิวสองสี ตามกฎของโรงเรียนทุกระเบียบนิ้ว มารยาทดีพูดจาไพเราะน่าฟัง ตั้งใจเรียนแถมยังเรียนเก่งติดอันดับหนึ่งในสามของระดับชั้นทุกเทอม เวลามีงานกลุ่มเขามักจะถูกเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มเสมอๆ ต้นฉบับการบ้านให้เพื่อนๆลอกก็มาจากเขาคนนี้นี่แหละ
“มึงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าวะไอ้ต้น กูเห็นมึงนั่งเหม่อใจลอยตั้งแต่คาบแรกแล้ว” วรวิทย์ถามขึ้นขณะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของโรงเรียน หลังจากนำกระเป๋าเป้นักเรียนไปวางไว้ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ซุ้มไม้เลื้อยหน้าห้องสมุด ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของพวกเขาในช่วงเวลาพักกลางวัน
“นั่นสิ เราก็สังเกตเห็นเหมือนกันกับวิทย์นะ นายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ คุยกับพวกเราได้นะต้น” บดินทร์พูดพลางตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ภาสกรปฏิเสธ ทั้งที่ในใจอยากจะตะโกนออกมาแทบคลั่ง แต่จะเริ่มต้นจากตรงไหนยังไงดีล่ะ ว่าเขารู้สึกแปลกๆ ที่หัวใจเต้นแรงกับผู้ชายด้วยกันเอง “กูว่าพวกมึงอ่า คิดกันไปเองว่ะ”
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือนเป็นจังหวะว่ามีสายเรียกเข้าขณะที่เขายังพูดไม่จบประโยคดี คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพบเบอร์ที่ไม่คุ้นตาปรากฏบนหน้าจอ วรวิทย์แอบชำเรืองมองเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาส่งซิกให้กับบดินทร์แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เมื่อเขากดรับสาย
“ฮัลโหล ครับ”
“ฮัลโหล ต้น” เสียงหวานส่งผ่านมาตามสาย
“ครับ” ภาสกรข้านตอบรับ “แล้วนั่นใครเอ่ย” เขาถามกลับเมื่อไม่รู้ว่าคู่สนทนาในสายคือใคร
“นี่พี่พลอยไง ที่เจอกันเมื่อเช้า จำได้ไหม”
“เอ่อ...” ภาสกรพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์
“อะไรกันผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ลืมกันละ” พลอยไพลินเย้าแหย่ปนประชดประชัน
“อ๋อ พี่พลอย จำได้แล้วครับ” ภาสกรเหลือบมองวรวิทย์ที่กำลังเอียงหูแอบฟัง ก่อนจะเดินแยกตัวออกมา “ว่าไงครับพี่”
“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับนะ” วรวิทย์ส่องเสียงตามหลัง
“แหม กว่าจะนึกออกนะ ว่าแต่ทำอะไรอยู่หรอจ๊ะ กินข้าวกลางวันหรือยัง”
“นี่ครับ ผมกำลังเดินไปกินข้าวกับเพื่อนอยู่พอดีเลย แปปนะพี่” ภาสกรละจากคู่สนทนาในสาย “พวกมึงเดินกันไปก่อนเลย ไม่ต้องรอกู” หันไปบอกกับเพื่อนที่หยุดยืนรอ
“ไปกันก่อนเถอะวิทย์” บดินทร์ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“มึงจะรีบไปไหน รอไปพร้อมกันสิวะ” วรวิทย์รังแขนเพื่อนเอาไว้ แล้วหันกลับมาทำหน้าทะเล้นส่ายหัวไปมา ยั่วประสาทคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
ภาสกรได้แต่ยืนทำหน้ายักษ์เขม่นตาเขียวปั้ดใส่อยู่อย่างนั้น อยากจะวิ่งไล่แตะไอ้เพื่อนจอมบงการนี้ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ว่าแต่วันนี้เลิกเรียนกี่โมงจ๊ะ เย็นนี้ว่างหรือเปล่า เราไปกินไอติมกันไหม”
“อืม... ปกติก็เลิกเกือบสี่โมงนะครับ” ภาสกรกลับมาสนใจคู่สนทนาในสาย “แต่ผมยังไม่รู้เลยครับว่าจะมีอะไรหรือเปล่า ผมยังไม่รับปากและกัน ถ้ายังไงใกล้เลิกเรียนเดี๋ยวผมโทรหาพี่อีกทีก็แล้วกันนะ”
“อืม อย่างนั้นก็ได้จ้า”
“ครับ งั้นผมขอตัวไปกินข้าวก่อนนะ เพื่อนรออยู่”
“จะ ยังไงก็โทรมานะ พี่จะรอ”
“ตกลงครับ” ภาสกรกดตัดสายแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วเดินกลับมาหาเพื่อนที่รออยู่
“ทำไมพวกมึงไม่เดินกันไปก่อนวะ”
“แน่ๆๆๆ ไอ้ต้น กูพอจะรู้แล้วว่าที่มึงใจลอยเนี่ย เป็นเพราะผู้หญิง ม.ปลายคนนั้นเมื่อเช้าใช่ไหม” วรวิทย์คว้าคอเพื่อนมากอด “กูรู้นะว่าเมื่อกี้เขาโทรมา”
“เชี่ยอะไรของมึงไอ้วิทย์ ไม่ใช่โว้ย” ภาสกรปฏิเสธหนักแน่น “มึงอย่าเดามั่วได้เปล่าวะ”
“จะไม่ใช่ได้ไงวะ มึงยอมรับมาเถอะ” วรวิทย์กอดคอเพื่อนเอาไว้แน่นกว่าเดิม “กูเห็นมึงใจลอยทั้งวัน แต่พอเขาโทรเข้ามา มึงก็ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันทีเลยเนี่ยนะ มันหมายความว่าไง กูว่ามึงตกหลุมรักเขาเข้าแล้วล่ะสิ”
“มึงเลิกคิดไปเองสักทีได้ไหม มันไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย”
พลอยไพลินไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขานั่งเหม่อใจลอยอย่างที่วรวิทย์เข้าใจ แต่จะให้บอกได้ยังไงล่ะ ว่าเป็นรุ่นพี่มือกลองในวงโยธวาทิตคนนั้น ที่จ้องหน้ากันในแถวเมื่อเช้าต่างหาก ที่ทำให้หัวใจเขาปั่นป่วนอยู่ตอนนี้
“เดี๋ยวๆ นี่พวกนายสองคนคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เราไม่เห็นเข้าใจเลย งงไปหมดแล้ว” บดินทร์พูดแทรกขึ้น 
“ไม่มีอะไรหรอกดินทร์ มึงอย่าไปฟังที่ไอ้วิทย์พูดให้มันมาก รีบเดินเถอะ เดี๋ยวแม่งคนเต็มโรงอาหารก่อนพอดี หาที่นั่งไม่ได้อีก” พูดเสร็จภาสกรก็ดิ้นตัวหลุดจากวงแขนของวรวิทย์สาวเท้าไวนำหน้าเพื่อนทั้งสองไปก่อน
โรงอาหารของโรงเรียนในช่วงพักกลางวันเนืองแน่นไปด้วยนักเรียนทุกระดับชั้น ร้านขายอาหารก็มีให้เลือกไม่มาก ภาสกรยืนต่อแถวเพื่อซื้อข้าวราดแกงร้านเจ้าประจำ เพราะไม่อยากรอคิวนานๆอย่างร้านอาหารตามสั่ง ร้านบะหมี่และร้านก๋วยเตี๋ยว ส่วนวรวิทย์กับบดินทร์อาสาไปจองโต๊ะนั่งไว้ก่อน
“ต้น นายจะกินน้ำอะไร” บดินทร์เดินมาถาม อาสาไปซื้อน้ำให้
“อ้าว!” ภาสกรประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วนี่ใครจองโต๊ะล่ะ”
“วิทย์ไง ตกลงเอาน้ำอะไร เร็วเดี๋ยวรอคิวนาน”
“ลำไยก็แล้วกัน” ภาสกรตอบพร้อมกับหยิบธนบัตรสีเขียวจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน เพราะไม่ชอบพกกระเป๋าสตางค์ให้ยุ่งยาก ส่งให้กับเพื่อนคนที่อาสาไปซื้อน้ำ “ขอบใจ เอองั้นเดี๋ยวกูซื้อข้าวให้มึงเลยละกันจะได้ไม่เสียเวลา”
“อืม ก็ได้” บดินทร์พยักหน้าตกลง “นายกินอะไรเราก็เอาเหมือนนายเลยแล้วกัน” พร้อมกับส่งธนบัตรสีเขียวให้เพื่อนสองใบ ก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อน้ำอีกฝั่งของโรงอาหาร
“กระเพรากับหมูกรอบ 2 จานครับ” ภาสกรชี้นิ้วที่ถาดผัดกระเพราหมูสับ ที่ดูยังไงก็น่าจะเป็นผัดถัวฟักยาวซะมากกว่ากับถาดหมูสามชั้นถอดกรอบ ผ่านตู้กับข้าวกระจกใสเมื่อถึงคิวสั่งอาหาร
ร้านข้าวราดแกงมีกับข้าวแบบง่ายๆให้เลือกอยู่หลายอย่าง แต่ที่ถูกปากเขาและคนส่วนใหญ่ทั้งโรงเรียน ก็คงหนีไม่พ้นเมนูที่เขาพึ่งสั่งไปเมื่อครู่นี่แหละ ที่จริงแล้วเขาก็อยากสั่งเพิ่มอีกจานเผื่อเพื่อนที่นั่งจองโต๊ะด้วย แต่เขาสามารถถือได้แค่สองจานเท่านั้นเลยต้องตัดใจ ให้เพื่อนมาซื้อเองก็แล้วกัน
ภาสกรจ่ายเงินพร้อมกับรับจานข้าวจากแม่ครัวแล้วเดินออกจากร้าน ยืนหันซ้ายแลขวากราดตามองหาเพื่อนที่นั่งจองโต๊ะอยู่ หลังจากหยิบช้อนซ่อมที่โต๊ะวางภาชนะ ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาพลุ่งพล่านเสียจนมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  วรวิทย์ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองทำท่าเลิ่กลั่ก พร้อมกับโบกไม้โบมือเรียกให้เพื่อนเข้ามาหา
“นี่ไอ้ดินทร์ยังไม่มาอีกหรอ” ภาสกรถาม พร้อมกับวางจานข้าวทั้งสองจานลงกับโต๊ะ แล้วนั่งลง
“ยัง” วรวิทย์ตอบสั้นๆ “เออ ขอบใจเว้ย” เขาเอื้อมมือไปหยิบจานข้าวมาวางไว้ตรงหน้าของตัวเอง เพราะคิดว่าเพื่อนใจดีซื้อมาให้
“หยุดเลยมึง จานนั้นของไอ้ดินทร์มัน” ภาสกรห้ามเพื่อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก พร้อมกับนำจานข้าวกลับมาไว้ที่เดิม “กูซื้อมาให้มัน แรกกับที่มันซื้อน้ำให้กู”
“โหอะไรวะ แล้วกูล่ะ กูก็นั่งจองโต๊ะไว้ให้พวกมึงนะโว้ย” วรวิทย์โวย
“เออน่ะ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูนั่งจองโต๊ะให้แล้วกัน” ภาสกรตอบปัดๆ “มึงรีบไปต่อแถวซื้อข้าวเถอะ แถวเริ่มยาวแล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าวกันพอดี"
“เออ รู้แล้วน่า” วรวิทย์ลุกขึ้นพลางชี้หน้าเพื่อนคาดทัณฑ์ไว้ก่อน “จำไว้เลยนะมึงไอ้เชี่ยต้น”  เดินหน้ามุ่ยก้นงอนไปต่อแถวซื้อข้าว
ภาสกรหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจกับท่าทางชวนขันของเพื่อน ก่อนจะกลับมาสนใจจานข้าวตรงหน้าตัวเอง
อีกฝั่งของโรงอาหาร ด้านคนที่อาสามาต่อแถวซื้อน้ำ เหลืออีกแค่หนึ่งคิวเท่านั้นก็จะถึงคิวของเขาแล้ว หลังจากที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดรออย่างใจจดใจจ่อร่วมหลายนาที
“เอาน้ำ... โอ้ย!” บดินทร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทกของร่างใหญ่ รุ่นพี่ชั้น ม.6 ที่ไร้มารยาทแทรกตัวเข้ามาแซงคิว ขณะที่ถึงคิวของเขาจนเซออกนอกแถวไม่เป็นท่า
“น้ำเปล่าขวด” คนไร้มารยาทสั่งแทนเขาอย่างหน้าตาเฉย
ปกติรุ่นพี่ ม.6 คนนี้มักจะแทรกคิวคนอื่นอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นคิวซื้ออาหารหรือคิวซื้อน้ำก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครกล้าต่อว่าอะไร เพราะไม่อยากมีเรื่องกับกลุ่มนักเลงประจำโรงเรียน  แต่สำหรับบดินทร์แล้ว ไม่ใช่...
“พี่กำลังแซงคิวผมอยู่นะครับ” บดินทร์เตือนด้วยความสุขภาพ แม้ในใจจะร้อนระอุ 
“ปกติ ก็ทำแบบนี้ประจำไม่เห็นมีใครว่าอะไรเลย” คนไร้มารยาทตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ปกติ ผมก็เข้าแถวแบบนี้ประจำเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครเขาแซงคิวกันเลยนะครับ” บดินทร์ย้อนกลับ
“โถ่เว้ย! แล้วมึงจะเอายังไง” คนไร้มารยาทหันหน้าถมึงทึงกลับมาประชันหน้ากับเขาอย่างหัวร้อน เพราะไม่เคยเจอใครกล้าต่อปากต่อคำเล่นลิ้นแบบนี้มาก่อน
“ไม่เอายังไงหรอกครับ พี่ก็แค่ไปต่อแถวให้ถูกต้องเท่านั้นเอง” บดินทร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบปกติ แต่ทำให้คนฟังกลับรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าหงาย
“ไอ้หน้าจืด” คนไร้มารยาทตะคอกใส่ด้วยความโกรธ ก่อนจะคว้าเข้าที่คอเสื้อของเขาเอาไว้แน่นจนเขาต้องเขย่ง “มึงอยากใส่แว่นอีกชั้นหรือไงว่ะ” พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นขู่
บดินทร์ได้แต่หลับตาปี๋พลางยกมือขึ้นยันอกของคนตัวใหญ่กว่า
“เอาน้ำ...เออ...” เสียงค่อนข้างดังจากใครสักคน เรียกความสนใจจากคนที่กำลังง้างกำปั้นค้างไว้ให้หันไปมอง
บดินทร์ลืมตาปริบๆ เป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก เกือบไปแล้ว มองไปตามที่มาของเสียงนั่นผ่านเลนส์แว่นตากรอบหนาเตอะ เห็นรุ่นพี่ ม.6 ร่างสูงหุ่นนักกีฬาอีกคน ที่แทรกตัวอยู่ข้างหน้าของรุ่นพี่ที่ไร้มารยาท หลังจากที่เห็นเหตุการณ์นี้อยู่มาตั้งแต่ต้น
“เอาน้ำอะไร” รุ่นพี่ที่แทรกตัวมาใหม่หันกลับมาถาม
“เสือกอะไรวะ” คนไร้มารยาทตอบกลับทันที
“มึงสิเสือก” เขาสวนกลับเสียงแข็งอย่างไม่รีรอเช่นกัน เล่นเอาคนถูกด่าถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูกไปเลยซะทีเดียว “กูไม่ได้ถามมึง กูถามน้องคนที่ใส่แว่น” ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับรุ่นน้อง พูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ว่าไง ตกลงเอาน้ำอะไร”
“เอ่อ...” บดินทร์อ้ำอึ้ง ช้อนตามองหน้าคนที่กำคอเสื้อเขาเอาไว้แน่น อย่างระเวง
“เร็วๆสิ เดี๋ยวคนอื่นรอนาน”
“เอ่อ...น้ำเปล่า 1 นมชมพู 1 ลำใย 1 ครับ”
“ป้าครับ เอาตามที่น้องเขาบอกเลยครับ” เขาหันไปบอกกับแม่ค้าพร้อมกับจ่ายเงิน ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วรับน้ำตามรายการที่สั่ง จากนั้นก็เดินมาแทรกตัวเบียดกับคนที่กำคอเสื้อรุ่นน้องเพื่อให้ปล่อยมือจนเซไม่เป็นท่า พร้อมกับหันไปยกยิ้มเย้ยมุมปากยั่วโทสะคนรุ่นเดียวกัน  คนหยาบคายไร้มายาทต้องเจอกับคนกระดูกเบอร์เดียวกันอย่างเขานี่แหละถึงจะสมน้ำสมเนื้อ แล้วพารุ่นน้องที่ยืนหน้าเหวอออกมาจากแถวเพื่อให้คนต่อไปได้สั่งต่อ
“อ่ะนี่ น้ำที่นายสั่ง” เขาส่งน้ำให้กับรุ่นน้อง พรางยิ้มให้อย่างเอ็นดู “รับไปสิ”
“ขะขะ ขอบคุณครับ” บดินทร์รับน้ำจากรุ่นพี่ พร้อมกับยื่นเงินค่าน้ำที่รุ่นพี่ออกให้ก่อน คืนให้
“เห้ย ไม่เป็นไร พี่เลี้ยงนายเลยแล้วกัน” เขาพูดเหมือนคนสนิทกัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน
“แต่น้ำนี่มีของเพื่อนผมด้วยนะครับ”
“งั้นพี่ก็เลี้ยงเพื่อนนายด้วยเลยละกัน ตกลงไหม” ว่าเสร็จเขาก็หันหลังให้โดยไม่รอฟังคำตอบใดๆจากคนที่กำลังอ้ำอึ้ง เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกับเพื่อนตามเดิม
บดินทร์ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ใจดี เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับรอยยิ้มของรุ่นพี่อย่างบอกไม่ถูก แต่พยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหน อยากจะทุบหัวของตัวเองซะจริงๆ ที่จำได้แต่เรื่องเรียนอย่างเดียว ที่หลังหัดจำเรื่องอื่นซะบ้าง ก่อนจะทิ้งความสงสัยนี้แล้วเดินกลับไปหาเพื่อนที่รอกินน้ำจากเขาอยู่ 
โต๊ะกินข้าวของโรงอาหารเป็นโต๊ะแบบยาว สามารถนั่งได้ 6-8 คน ต่อโต๊ะ สมาชิกในแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆมีกันแค่ 3 คน เลยเหลือที่ว่างค่อนข้างมากกว่าโต๊ะไหนๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาขอร่วมโต๊ะด้วย เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะนั่งกันเป็นกลุ่มใครกลุ่มมันอยู่แล้ว
ภาสกรตักข้าวเข้าปากกินไปพลางๆระหว่างที่รอเพื่อน เสมองไปรอบๆที่ยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
“ขอโทษนะคะ ที่ว่างนี้ไม่ทราบว่ามีใครนั่งหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามพลางเผยยิ้มผูกมิตรให้กับเขาที่นั่งอยู่คนเดียว
 “ผมนั่งกันแค่ 3 คน” ภาสกรหันมาตอบกับผู้หญิง ม.ปลาย ร่างเล็ก เจ้าของใบหน้าสวยหวาน “ตามสบายครับ”
ทันทีที่ผู้มาก่อนอนุญาต เธอก็นั่งลงตรงมุมโต๊ะในฝั่งตรงกันข้ามกับเขา เป็นจังหวะเดียวกันกับคนที่อาสาไปซื้อน้ำกลับมาพอดี
“น้ำลำไยของต้น นมชมพูของวิทย์ น้ำเปล่าของเราเอง” บดินทร์จัดแจงวางน้ำที่เพื่อนสั่งในตำแหน่งที่เพื่อนนั่ง ก่อนจะหันไปสบเข้ากับคนที่นั่งร่วมโต๊ะคนใหม่ “พี่ตุ้ม” เขากล่าวทักทายเธอทันทีที่แน่ใจว่าเธอคือคนที่เขารู้จัก
“อ้าวดินทร์” เธอกล่าวทักทายกลับ
“ทำไมมานั่งตรงนี้ละครับ แล้วเพื่อนพี่ไปไหนกันหมด”
“นั่งกันอยู่ทางนู้นจะ” พิมลวรรณตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปทางที่เพื่อนของเธอนั่งอยู่ “พอดีที่นั่งไม่พอพี่เลยแยกออกมาน่ะจะ เห็นโต๊ะนี้ว่างพอดีก็เลยขอนั่งด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกันกับดินทร์”
บดินทร์รู้จักกันกับพิมวรรณห่างๆไม่ได้สนิทอะไร ตอนเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันวิชาการเมื่อปีที่แล้ว
“อ่ะนี่ข้าวมึง” ภาสกรแทรกขึ้นพร้อมกับส่งจานข้าวให้เพื่อน “และนั่นคอเสื้อมึงไปโดนอะไรมาวะทำไมมันดูยับๆ”
“พอดีตอนต่อแถวซื้อน้ำมีปัญหานิดหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ” บดินทร์พูดพลางหยิบเงินคืนให้ “อ่ะนี้เงินนาย มีรุ่นพี่ใจดีแล้วน้ำพวกเรา”
“ใครวะ” ภาสการรับเงินเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ “นี่มึงไปโปรยเสน่ห์อีท่าไหนเขาถึงเลี้ยงน้ำพวกเราได้”
“เสน่ห์อะไรล่ะ พี่เขาเป็นผู้ชาย”
“เออ ช่างเถอะดีเหมือนกัน ได้ประหยัดเงินค่าน้ำไปหนึ่งมื้อ”
พิมลวรรณโบกมือกวักเรียกคนที่ไปต่อแถวซื้อข้าว ร่างสูงโปร่งเดินถือจานข้าวที่ราดด้วยผัดกระเพรากับหมูทอดทั้งสองจาน มุ่งมาที่โต๊ะของแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆที่แฟนสาวนั่งอยู่ ภาสกรนั่งหันหลังเลยไม่เห็นว่าคนที่มาใหม่นั้นเป็นใคร บูรภัทรวางจานข้าวลงกับโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงฝั่งเดียวกันกับคนที่นั่งหันหลัง โดยไม่ทันได้สังว่าเป็นใคร
“รอนานไหม” เสียงคนที่มาใหม่เอ่ยถามผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะ
ภาสกรที่กำลังตักข้าวเข้าปากหยุดชะงัก รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคล้ายกับเสียงที่ของรุ่นพี่เมื่อเช้า
“ไม่นานค่ะ งั้นเดี๋ยวตุ้มไปซื้อน้ำก่อนนะคะ”
“ตุ้มกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตุ้มไม่อยากเอาเปรียบ พี่ไปซื้อข้าวมาแล้ว เดี๋ยวตุ้มไปซื้อน้ำเอง ว่าแต่วันนี้พี่จะกินน้ำอะไร”
“งั้นขอน้ำลำใยแล้วกันครับ ขอบใจนะ”
“โอเคจ้า” พิมลวรรณรับออเดอร์จากแฟนหนุ่ม แล้วเดินไปต่อแถวซื้อน้ำทันที
ยิ่งฟังก็ยิ่งชัดขึ้น เสียงนั่นใช่เสียงเดียวกันกับเสียงของรุ่นพี่เมื่อเช้าแน่ๆ ภาสกรค่อยๆเหลือบหันไปมองเสี่ยวหน้าคมเข้มที่มาของเสียง แล้วก็แทบหันกับคืนมาแทบไม่ทัน เมื่อคนที่นั่งถัดไปนั้นเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
“เชี่ย นานชิปเลยกว่าจะได้ วันหลังกูไม่กินแม่งแล้ว” วรวิทย์ถือชามบะหมี่น้ำใสกลับมาที่โต๊ะ วางกระแทกเสียงดัง โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนร่วมโต๊ะมาใหม่
“นายก็รู้ว่าบะหมี่รอนาน ยังจะกินอีก” บดินทร์หันไปคุยกับเพื่อน “นี่นมชมพูของนาย”
“เออ ขอบใจ”
บูรภัทรจำวรวิทย์ที่เอะอะโวยวายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ แล้วทำไมเพื่อนข้างกายถึงไม่ใช่คนที่มาสายคนนั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของเขาบอกว่าแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆมีทั้งหมด 3 คน คนที่ใส่แว่นตากรอบหนาเตอะที่นั่งข้างๆกัน ก็คงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งค์ที่ไม่ได้กล่าวถึงเมื่อเช้าเป็นแน่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ถนัดไปจากเขาตอนนี้... บูรภัทรเหลือบไปมองเสี่ยวหน้าแก้มขาว พลางแอบอมยิ้ม ใช่รุ่นน้องคนนั้นจริงๆด้วย
“ไอ้ต้น” วรวิทย์ส่งเสียงกระซิปเรียกเพื่อนที่นั่งตรงข้าม เมื่อหันไปเห็นคนที่นั่งเว้นช่องว่างกับเพื่อน “พี่เต้นี่หว่า” เขาส่งซิกด้วยสายตาไปทางคนที่กล่าวถึง
“เออ กูรู้แล้ว” ภาสกรกระซิปกลับ “บอกกูทำไม กินข้าวไปอย่าพูดมาก”
“แล้วมาได้ไงวะ”
“ใครจะไปรู้วะว่าจะเอาแฟนมานั่งด้วย กูไม่รู้ว่าแม่งเป็นแฟนกันนี่หว่า”
   บูรภัทรกินข้าว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่รุ่นน้องคุยกัน
“มาแล้วค่ะ นี่น้ำลำไยที่สั่งได้แล้วครับผม” พิมลวรรณกลับมาพร้อมวางแก้วน้ำสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าของแฟนหนุ่ม ส่วนของเธอเป็นน้ำเปล่า
“ขอบใจนะ กินข้าวเถอะ”
“เต้ย” บูรภัทรส่งเสียงเรียกน้องชายที่เดินเลิ่กลั่ก ในมือถือชามบะหมี่ หาที่นั่งไม่ได้ “มานั่งด้วยกันสิ” เขาเอ่ยชวนพร้อมกับลุกขึ้นเปิดทางให้น้องชายเข้าไปนั่งคั่นตรงที่ว่างระหว่างเขากับรุ่นน้อง โดยไม่ถามคนร่วมโต๊ะก่อนหน้านี้เลยสักคำ
“อ้าวพี่เต้ย” วรวิทย์กล่าวทักทายคนที่มาใหม่
“อ้าววิทย์” ภัครชัยกล่าวทักทายตอบอย่างคุ้นเคย ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับวางชามบะหมี่ไว้ตรงหน้า
วรวิทย์กับภัครชัยรู้จักกันมาก่อน ทั้งสองเจอกันเกือบทุกวัน เพราะเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนเหมือนกัน
“เป็นไงพี่ ม.4 เรียนยากป่ะ” วรวิทย์หาเรื่องชวนคุย ตามประสาคนอัธยาศัยดี
“อืม ก็นิดหน่อยนะ” ภัครชัยตอบปัดๆ ก่อนจะคีบเส้นบะหมีเข้าปากคำใหญ่ ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ไม่สนใจเงยหน้าเสวนากับคนร่วมโต๊ะคนอื่น
“ไอ้ต้น นี่พี่เต้ย อยู่ ม.4/1 น้องชายพี่เต้” วรวิทย์กระซิปบอกเพื่อน
ภาสกรช่างใจไม่ให้เหลือบมองเสียวหน้าของคนที่นั่งข้างๆอย่างปฏิเสธไม่ได้ ใบหน้าหล่อนั้นเหมือนกับคนที่นั่งถนัดไปราวกับฝาแฝด ต่างแค่ความเข้มของสีผิดเท่านั้น แปลกทำไมหัวใจขอเขากับไม่เต้นรัวแรงเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะกลับมาปั้นหน้านิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจอย่างเดิม
“กระซิปอะไรของนาย” บดินทร์ถามขึ้นหลังจากนั่งฟังอย่างเงียบๆ
“ไอ้เชี่ยวิทร์แม่งไร้สาระไง มึงรีบกินเถอะ กูไปรอข้างนอกนะ” ภาสกรลุกขึ้นพวด หัวใจเต้นตึกตักรัวๆเมื่อหันไปสบเข้ากับใบหน้าขมเข้มของรุ่นพี่อย่างไม่ตั้งตัว “คะ คะ คนเยอะ กะ กูอึดอัด” น้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะสาวเท้าไวแสร้งทำไม่สนใจนำจานข้าวและแก้วน้ำที่เหลือเกินครึ่งไปเก็บไว้ในที่ที่โรงอาหารจัดเตรียมให้ ท่ามกลางความงุนงงของคนร่วมโต๊ะ
บูรภัทรมองตามคนแผ่นหลังบางที่เดินออกไป นัยน์ตาคู่คมนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาใดๆยากจะอ่านออก ทว่าในใจแอบกังวลไม่น้อยว่าเขาทำอะไรให้รุ่นน้องไม่พอใจหรือเปล่า


**********

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:38:09 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #12 เมื่อ24-01-2018 01:09:48 »

หลานต้น หวั่นไหวเหลือเกินนะหลาน  :mew4:

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่4

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองเหม่อออกไปยังลานคอนกรีตข้างๆกับสนามหญ้าหน้าเสาธง ที่มีเหล่าบรรดานักเรียนชายวิ่งไล่เตะรับส่งลูกตะกร้อแทนลูกฟุตบอลกันไปมากลางแดดที่ร้อนจัดอย่างไร้จุดหมาย นั่งครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนอยู่เพียงลำพัง ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ซุ้มไม้เลื้อนหน้าห้องสมุด

เหมี๊ยว... เหมี๊ยวววว... สัมผัสนุ่มนิ่มจากใต้โต๊ะส่งเสียงร้องคลอเคลียที่เรียวขาเนียน อ่อดอ่อนเรียกความสนใจให้เจ้าของร่างบางต้องก้มลงมอง

“เจ้าเหมี๊ยว” มือเรียวช้อนอุ้มเจ้าลูกแมวตัวน้อยสีสวาด อายุราวหนึ่งเดือนเศษอย่างเอ็นดู ขึ้นมาไว้บนหน้าตัก “หลงจากแม่หรอ”

เหมี๊ยว... ลูกแมวตัวจ้อยข้านรับราวกับฟังภาษาคนออก

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยตามหาแม่ให้แกเอง” เขาคุยกับเจ้าลูกแมวแสนเชื่องที่หลับตาพริ้ม พลางลูบหัวของมันเบาๆ

ภาสกรมีอีกหนึ่งมุมที่น่ารักไปไม่น้อยกว่าหน้าตา เขาเป็นคนรักสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะแมว ตอนที่เขายังเด็กที่บ้านของเขาก็เลี้ยงแมวมาก่อน แต่พอน้องสาวอายุได้ขวบกว่าๆ ต้องจำใจนำเจ้าแมวที่เลี้ยงไว้ไปฝากเลี้ยงกับบ้านของผู้เป็นย่าที่ต่างจังหวัด เนื่องจากน้องสาวแพ้ขนของแมว

“ไอ้ต้น มึงเป็นอะไรของมึงวะ กูเห็นมึงกินข้าวไปนิดเดียวเองแล้วก็ทิ้งพวกกูออกมาก่อนเลย” วรวิทย์เดินคู่มากับบดินทร์ ส่งเสียงมาก่อนตัว

“เปล่า กูไม่ได้เป็นไร” ภาสกรหันไปตอบ “พวกมึงแม่งชักช้าไง คนมันเยอะ กูอึดอัด ร้อนด้วย เลยออกมาก่อน”

“นั่น... ลูกแมวหนิ” บดินทร์น้ำเสียงตื่นเต้น เพราะเจ้าตัวก็ชอบแมวไม่น้อยไปกว่ากัน “มาจากไหนหรอต้น” เขาเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะลูบหัวมันอย่างเอ็นดู

เหมี๊ยว...

“ไม่รู้เหมือนกัน มันน่าจะหลงกับแม่มันน่ะ นี่กูก็มองหาแม่ให้มันอยู่”

“กูว่าแม่มันก็น่าจะอยู่แถวนี้นี่แหละ มึงลองไปถามป้าแม่บ้านดูดีไหม เผื่อป้าแกจะเห็น” วรวิทย์เสนอความคิดเห็นอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใกล้ เพราะเขาไม่ชอบสัตว์เลี้ยงทุกชนิดและมีอดีตฝังใจกับแมว

“นั่นสิ ที่วิทย์พูดก็น่าจะเป็นไปได้นะ”

“เออๆ” ภาสกรลุกขึ้น ประคองเจ้าลูกแมวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน “ป่ะไอ้ดินทร์ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”

เหมี๊ยว...

บดินทร์พยักหน้า ปฏิบัติตามคำชวนของเพื่อนอย่างว่าง่ายด้วยความยินดี

“รีบไปรีบมานะพวกมึง กูรอไปเล่นบอลอยู่” วรวิทย์ส่งเสียงตามหลัง เขามักจะชวนเพื่อนๆ ย่อยอาหารกลางวันด้วยการเล่นกีฬาที่เขาถนัดอยู่เสมอ

“มึงไปเล่นก่อนเลย ไม่ต้องรอกู วันนี้กูไม่มีอารมณ์ รู้สึกเหมือนจะไม่สบายด้วยไม่อยากตากแดด”  ภาสกรหันกลับมาบอก

“โถ สำออยจริงนะ”

“วันนี้เราก็ขอบายนะ ว่าจะกลับมาทำการบ้านของครูวันทนาให้เสร็จ พวกนายจะได้ลอกไง”

“ให้มันได้แบบนี้สิวะเพื่อนกู ทิ้งกูกันให้หมด โด่ไม่ง้อก็ได้โว้ย” วรวิทย์ตัดพ้อก่อนจะวิ่งดึงชายเสื้อออกนอกกางเกงเพื่อให้สบายตัว เข้าไปในลานคอนกรีตแฝงตัวเนียนไปเล่นกับกลุ่มนักเรียนที่เล่นกันอยู่ก่อนหน้า

หลังจากที่นำเจ้าลูกแมวตัวดื้อหนีแม่ออกมาเที่ยว ส่งคืออ้อมอกแม่ที่กำลังนอนให้นมพี่น้องร่วมท้องของมันอีกสามตัว อยู่ใต้บันใดอาคารเรียนตามที่ป้าแม่บ้านบอก ทั้งสองก็กลับมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่เดิม ภาสกรนั่งด้วยท่าสบาย ทอดมองร่างสมส่วนของเพื่อนที่วิ่งไล่เตะลูกตะกร้อแทนลูกฟุตบอลรับส่งกันไปมาอย่างเริงร่าอยู่ในลานคอนกรีต ที่ปกติแล้วเขาก็มักจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ

วรวิทย์เตะลูกตะกร้อเข้าประตูที่ทำกันขึ้นมาเองจากก้อนอิฐเป็นครั้งที่2 กระโดดโย่งหันมาส่งยิ้มกว้างแสดงอาการดีใจให้กับเขาที่นั่งมองอยู่ไม่ไกล ภาสกรยกยิ้มมุมปาก พลางชูนิ้วกลางส่งให้เป็นรางวัลแด่คนเก่ง วรวิทย์ถึงกลับยืนนิ่งนิ่วหน้าใส่

“เออ ไอ้ดิน ชั่วโมงบ่ายนี้เราเรียนอะไรกันบ้างวะ” ภาสกรละสายตาจากเพื่อนที่ดีใจเก้อ หันมาถามเพื่อนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำการบ้านอย่างขะมักเขม้นข้างๆ

“เอ่อ...” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นครุ่นคิด ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กจากกระเป๋าเป้นักเรียนขึ้นมาเปิดดูตารางเรียน เพราะไม่แน่ใจ “ชั่วโมงบ่ายวันนี้ เป็นวิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง ไม่มีเรียนนะแต่รู้สึกว่าน่าจะมีเอ่อ... ”

“ต้น ดินทร์ นั่งทำอะไรกันอยู่จ๊ะ” เสียงแปร๋นของมุกดาแทรกขึ้นส่งมาก่อนตัว เดินคู่มาพร้อมสนทยาเพื่อนสาวคนสนิทที่สุดในกลุ่ม “แล้วนี่วิทย์หายหัวไปไหนละ” เธอถามอีกทันทีที่เดินมาถึง พร้อมกับนั่งลงข้างๆกับเพื่อนที่ใส่แว่น

ภาสกรพยักหน้าส่งซิกไปยังลานคอนกรีต เป็นคำตอบแทน

“ไม่ร้อนกันบ้างหรือไง” มุกดาส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ

“มุกกับสนมาก็ดีละ ชั่วโมงบ่ายวิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง พวกเรามีอะไรต้องทำกันอะไรไหม” บดินทร์ถามเพราะเมื่อเช้าตอนที่พบครูที่ปรึกษา เขาอยู่ไม่ถึงช่วงสุดท้าย เนื่องจากครูไหว้วานให้เขานำเอกสารไปส่งที่ห้องวิชากการ กลับมาครูก็ปล่อยให้ไปเรียนเสียแล้ว

“มีสิ ฉันกับสนว่ากำลังจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกแก่อยู่พอดีเลย ให้ไปช่วยกันจัดพานหน่อย”

“จัดพาน พานอะไร” ภาสกรถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ก็พานไหว้ครูไง พรุ่งนี้มีกิจกรรมไหว้ครู” สนทยาที่นั่งข้างๆกับเขาตอบ พร้อมกับอธิบาย “เมื่อวานที่พวกเราเรี่ยไรเงินกัน ก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ตกแต่งพานนี่ไงล่ะ”

“อ๋อ” บดินทร์พยักรับรู้

“และปีนี้ตัวแทนถือพานผู้หญิงก็คือ ลูกหว่า เจ้าเก่า ส่วนตัวแทนผู้ชายคะแนนโหวตเท่ากันสองคน มีหัวหน้าห้อง กับ...” มุกดาหันหน้าไปยังเพื่อนชายหน้าหวาน “นาย”

“แล้วตกลงใครได้ถือ” ภาสกรถาม นั่งนิ่งตัวเกร็งลุ้นคำตอบอย่างกังวล

“ครูณัฐณิชาเลือกหัวหน้าห้องน่ะ เพราะไม่อยากเอาชื่อเสียงของห้องฝากไว้กับนายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย”

“เฮ้ย...แล้วไป” ภาสกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ถ้าเขาได้เป็นตัวแทนของห้องขึ้นมาจริงๆ คงต้องขายหน้าอย่างที่ครูที่ปรึกษาประหม่าไว้แน่ๆ ด้วยพฤติกรรมที่มาสายไม่เปลี่ยนของเขา

“แต่เราอยากให้ต้นถือมากกว่า” สนทยาเสียงละห้อย

“ให้หัวหน้าห้องถือน่ะดีแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เกิดฉันมาสายอีก มีหวังขายหน้าแย่เสียชื่อเสียงของห้อง3/6หมด”

“เอาล่ะค่ะคุณเพื่อนขา” มุกดาตบโต๊ะ “เป็นอันว่าตอนนี้ พวกแก แก แก”เธอชี้นิ้วรัวๆใส่เพื่อนชายร่วมโต๊ะทั้งสอง รวมไปถึงคนที่วิ่งแตะลูกตะกร้อไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในลานคอนนกรีต “และพวกฉันสองคนต้องไปช่วยกันตกแต่งพาน ฉันให้ขวัญกับพิมไปเอาของที่ห้องครูณัฐณชาไปรอที่หอประชุมใหญ่แล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้พวกแกไปกับฉันเลย”

“แล้วทำไมต้องเป็นพวกเราด้วย นี่เรายังทำการบ้านไม่เสร็จเลย” บดินทร์อี่ดอ่อด

“ก็เพราะว่าปีนี้มีการประกวดพานด้วยน่ะสิ ฉันเห็นต้นมีฝีมือดี เทอมที่แล้ววิชางานฝีมือเย็บปักถักร้อย งานพับใบตองของครูพรสวรรค์ได้คะแนนเกือบเต็มอยู่คนเดียว เลยอยากให้ต้นไปช่วยกันหน่อย นะต้นนะ”

ภาสกรพยักหน้าตอบรับเขินๆ อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาพร้อมก็เต็มใจช่วยเสมอ

“ส่วนแกไอ้ดินทร์ ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ของแกไม่แพ้ใคร ถ้าแกไปช่วยกันออกแบบนะ รูปแบบพานของห้องเราต้องออกมาสวยเลิศไม่น้อยหน้าห้องอื่นแน่ๆ อย่ามาทำเป็นอี่ดอ่อดหน่อยเลย ช่วยๆกัน”

“คุยไรกันอยู่วะ ดูจริงจังเชียว” วรวิทย์วิ่งกลับมาที่โต๊ะอย่างหอบหืด เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงือ หลังจากที่เสียเหงื่อสมใจแล้ว

“ส่วนแกไอ้วิทย์ จริงๆแล้วแกก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นกีฬาเก่งอย่างเดียว ฉันให้แกไปนั่งเฉยๆคอยให้กำลังใจพวกฉัน คอยหยิบนู้นจับนี่ตกลงไหม เพราะเพื่อนๆเขาไปกันหมด แกคงไม่อยากอยู่คนเดียวแน่ๆ”

“ไปไหนกัน” วรวิทย์ถามอย่างสงสัย

“ไปจัดพานไหว้ครูที่หอประชุมใหญ่” บดินทร์ตอบ

“เออๆ” วรวิทย์ตอบตกลงอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากอยู่คนเดียวอย่างที่มุกดาบอกจริงๆ “งั้นไปกันก่อนเลยเดี๋ยวกูตามไป ไอ้ต้นกูฝากเอากระเป๋าไปด้วยนะ”

“แล้วมึงจะไปไหน”

“กูจะไปตากแอร์ให้เสื้อแห้งก่อน”

“แกนี่จริงๆเลย แดดร้อนเปรี้ยงๆ เล่นกันได้ยังไง” มุกด่าเท้าเอวบ่นเป็นอาซิ่ม “รีบๆตามไปละกัน”

“เออ เดี๋ยวกูเอาไปให้” ทันทีที่เขาตอบตกลง วรวิทย์ก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังหลังห้องสมุดทันที

บรูภัทรพึ่งรู้ว่าตัวเองได้เป็นตัวแทนผู้ชายของห้องถือพานไหว้ครูในปีนี้ ระหว่างทางที่เขากำลังเดินมุ่งหน้าไปยังหอประชุมใหญ่ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครูอยู่นั้น หน้าอาคารเรียนหลังที่2 ได้เกิดเหตุการณ์ชุนละมุมขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนจากบนอาคารเรียนว่ามีคนเป็นลมชัก ร่างสูงโปร่งก็รีบวิ่งแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มไทยมุง ช้อนตัวนักเรียนรุ่นน้อง ที่นอนกระตุกตัวเกร็งอยู่กับพื้น ขึ้นไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะสละนิ้วของตัวเองเป็นที่ช่วยกันลิ้นไม่ให้ถูกฟันขบ

“ใครมีไม้บรรทัดบ้าง ขอไม้บรรทัดหน่อย เร็ว!” บูรภัทรตะโกนถามขอความช่วยเหลือจากคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ “โอ้ยยยย!”   ใบหน้าหล่อเริ่มบิดเบี้ยว ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จากแรงขบของฟันที่หนักขึ้น

“นี่ครับ” นักเรียนรุ่นน้องคนหนึ่งสละไม้บรรทัดเหล็กของตัวเองยื่นให้

“เอาใส่ปากให้เขากัด เร็ว โอ้ย!”

รุ่นน้องมือสั่นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อไม้บรรทัดเหล็กถูกใส่เข้าไปแทนนิ้วของตัวเอง บรูภัทรไม่รอช้าจัดการรวบอุ้มร่างที่ไร้สติไปส่งยังห้องพยาบาลอย่างเร็วไว

หอประชุมใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งโซนด้านหน้าของเวทีเป็นของตัวแทนถือพานนักเรียนชายหญิง ทุกห้องทุกระดับชั้นที่มาเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครู ส่วนอีกฝั่งโซนด้านหลัง เป็นของกลุ่มตัวแทนนักเรียนที่มาตกแต่งพาน

ก่อนกิจกรรมซ้อมไหว้ครูจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่นาที  ครูนวลละออผู้รับผิดชอบกิจกรรมนี้ เดินตรวจการเช็คความเรียบร้อยในแถวของตัวแทนนักเรียนถือพาน ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี ถ้าสายตาดุรอดแว่นไม่สะดุดเข้ากับช่องว่างที่เว้นไว้ในแถวซะก่อน

“6/3 คู่ถือพานของเธอไปไหน” ครูนวลละออถามเสียงดุ

“เอ่อ...คือ...ว่าาาาาาเอ่อ” เธอยืนอ้ำอึ้ง กำมือสองข้างเข้าหากันแน่น หาคำตอบไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจให้คู่ถือพานของเธอมาเร็วๆ

“ฉันถาม ว่าคู่ถือพานของเธอไปไหน” เสียงครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมทวีความดังขึ้น จนทุกคนต้องหันควับไปมอง บรรยากาศในหอประชุมใหญ่ จากตอนแรกที่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนตลาดสดของอีกฝั่งที่ตกแต่งพาน กลับเงียบกริบราวกับป่าช้าขึ้นมาฉับพลัน

                “...”

“ใครเป็นคนถือพานห้องนี้วะ แม่งไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเลยว่ะ ทำให้บรรยากาศเสียหมด” วรวิทย์ที่นั่งเฉยๆ อยู่ในกลุ่มตกแต่งพาน พูดขึ้นลอยๆ

“ผมเองครับ” ร่างสูงโปร่งปรากฏตัวขึ้นจากทางด้านหน้าเวที เรียกความสนใจให้ทุกคนต้องหันกลับไปมอง ก่อนจะก้าวเดินอย่างผ่าเผยผ่านสายตาที่เหลี่ยวหลังนับหลายสิบคู่ มายืนอยู่ข้างกับคู่ถือพานของตัวเอง “ขอโทษทีครับครูที่ผมมาสาย พอดีระหว่างทางเกิดเหตุนิดหน่อย มีน้อง ม.1 คนหนึ่งเป็นลมชักอยู่หน้าอาคาร2” บูรภัทรอธิบายเหตุผลพร้อมกับยืนยันหลักฐานที่นิ้วของตัวเอง เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเล็กน้อย “ผมเลยอุ้มน้องเขาไปส่งที่ห้องพยาบาลครับ” 

“แล้วเป็นอะไรมากไหม” เสียงครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมอ่อนลง

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ ครูที่ห้องพยาบาลให้นอนพักดูอาการอยู่”

“ดีแล้วล่ะ” ครูนวลละออพยักหน้าเข้าใจ พลางตบไหล่ชื่นชมเบาๆ “เอาล่ะงั้น เดี๋ยวเรามาเริ่มซ้อมกันเลยนะนักเรียน ทุกคนพร้อมนะ” ว่าเสร็จก็ส่งสัญญาณให้กับคณะกรรมการนักเรียนที่ตั้งแถวอยู่ข้างเวทีให้เริ่มซ้อมได้

สนทยาตั้งใจปักดอกรักสีขาวลงกับโฟนแกะสลักทรงดอกบัวตูม ที่บดินทร์เป็นคนออกแบบอย่างบรรจง มุกดาก็กำลังวุ่นอยู่กับการร้อยมาลัยประดับธูปเทียนแพ ส่วนภาสกรก็ก้มตาก้มตาขะมักเขม้นกับการเย็บบายศรีเป็นรูปพญานาคอย่างปราณีต มีเพียงแค่วรวิทย์คนเดียวเท่านั้นที่นั่งว่างอยู่กลุ่ม

“ไอต้น พี่เต้ถือพานด้วยว่ะ” วรวิทย์หันไปกระซิปบอกเพื่อนที่นั่งเย็บใบตองอยู่ข้างๆ

“ก็ช่างพี่เขาสิ” ภาสกรละสายตาจากใบตองที่กำลังเย็บอยู่ในมือ เหลือบมองร่างสูงโปร่งที่ยืนหลังตรงอยู่ในแถวตัวแทนถือพานจากทางด้านหลัง “เกี่ยวอะไรกับกูวะ” ก่อนจะข่มใจแสร้งทำเป็นไรสนใจ แล้วหันกลับมาเย็บใบตองตามเดิม

“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงหรอก กูแค่จะบอกว่าพี่เขาแม่งแมนโคตรๆ”

“...” ภาสกรหน้าฉงน เมื่อคู่เขามัวแต่ใจจอดใจจ่อกับการสร้อยด้าย เลยไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเสียงฮือฮา

“ที่พี่เขามาสายเพราะช่วยเด็กที่เป็นลมชักเอาไว้ แล้วพาไปส่งที่ห้องพยาบาล โห พระเอกซีรี่ย์เกาหลีชัดๆ”

“มึงไม่วิ่งเข้าไปขอลายเซ็นพี่แกแม่งเลยล่ะ” ภาสกรตัดบท อุส่าทำไม่สนใจ แต่เพื่อนก็ดันพูดแต่เรื่องรุ่นพี่คนนี้กรอกหูไม่เลิก

“ตลกละมึง เชี่ยต้น”

“...”

“เฮ้ย...!” วรวิทย์เบิกตากว้าง พลางสะกิดเพื่อนอย่างตระหนก เมื่อหันไปสบเข้ากับอะไรบ้างอย่าง “มึงดูนั่นดิ ที่นิ้วพี่เขาพันพลาสเตอร์ด้วยว่ะ สงสัยเอานิ้วตัวเองกั้นลิ้นเด็กที่เป็นลมชักไม่ให้กัดลิ้นตัวเองแน่ๆ หล่อสลัดไปเลยว่ะ”

ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของภาสกรเต้นรัวแรงขึ้น ทันทีที่ร่างทรยศหันไปสบเข้า กับนิ้วที่พันพลาสเตอร์ยามีรอยเลือดซึมออกมา ของร่างสูงโปร่ง “เจ็บไหมครับ พี่คงเจ็บมากสินะ” ภาสกรกระพริบตาปริบๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ว่าจะไม่สนใจอยู่แล้วเชียว แต่เพื่อนก็เล้าหลือไม่เลิก

“ใครเห็นก็ต้องช่วยทั้งนั้นแหละ” ภาสกรตอบปัดๆ ทั้งที่ในใจแอบชื่อชมรุ่นพี่ไม่น้อยเช่นกัน “มึงเลิกชวนกูคุยเรื่องพี่เขาได้ละ ว่างมากก็เอาใบตองนี่ไปฉีกช่วยๆกัน”

“กูทำไม่เป็น”

“งั้นก็นี่ เอาดอกพุดไปเด็ดก้านออกให้หน่อยสิ” มุกดาส่งถุงดอกพุดให้แทน “เอาออกครึ่งเดียวพอนะ ไม่ต้องหมด”

“จ้าแม่”

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือนขึ้น ภาสกรวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วลวงหยิบขึ้นมา พบว่าเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์เดียวกันกับเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อตอนกลางวัน “พี่พลอย” เขาเพลินกับการตกแต่งพาน จนลืมไปเลยว่านัดกับเธอไว้ว่าจะโทรหาก่อนเลิกเรียน

“ฮัล...”

“ฮัลโหลต้น ไหนบอกจะโทรกลับมาไง ตกลงเย็นนี้ไปกินไอติมด้วยกันได้ไหม” พลอยไพลินชิงพูดก่อน ขณะที่เขายังกล่าวทักทายไม่จบ

“ขอโทษทีครับคือผมยุ่งๆ พอดีว่าวันนี้มีกิจกรรมที่โรงเรียน ผมเกรงว่าจะไม่สะดวก กว่าจะเสร็จก็คงเย็นๆเลยครับ”

“อืม น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรจะ งั้นเอาไว้วันหลังก็ได้”

“ครับๆพี่ ไว้โอกาศหน้านะ ไม่ว่ากันนะพี่” ภาสกรรีบกดว่างสาย แล้วกลับมาสนใจกับงานที่ทำค้างเอาไว้

ตัวแทนนักเรียนถือพานคู่สุดท้ายกลับเข้าประจำที่ เสียงเพลงประสานเสียง พระคุณที่สาม จากคณะกรรมการนักเรียนสิ้นสุดลง เป็นอันว่าสิ้นสุดกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครูในวันนี้ ครูผู้ดูแลกิจกรรมกล่าวปิดท้ายย้ำในเรื่องของการแต่งกายให้ถูกระเบียบและการตรงต่อเวลา ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านได้ เพราะเลยเวลาเลิกเรียนมาสมควรแล้ว

บูรภัทรโบกมือลาแยกย้ายกับคู่ถือของของตัวเอง เขาตั้งใจว่าจะแวะไปดูเพื่อนๆที่เป็นตัวแทนตกแต่งพานของห้องสักหน่อย ป่านนี้ยังไม่เสร็จสักที แล้วค่อยไปซ้อมบาสเกตบอล

“มีอะไรให้ช่วยไหม” เขาถามพร้อมกับนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆกับเพื่อนในกลุ่มตกแต่งพาน

“ไม่มีแล้วละ ใกล้เสร็จหมดแล้ว” เพื่อนในกลุ่มหันมาตอบ พร้อมกับส่งพานที่ตกแต่งสวยงามให้ “นี่พานที่แกต้องถือพรุ่งนี้ ลองถือดูสิหนักไหม”

บูรภัทรรับพานมาถือไว้ในมือ พิจารณาชื่นชมความสวยงามของพานและความฝีมือของคนจัดทำ “ก็ไม่หนักหนิ คนตัวใหญ่กว่าพานตั้งเยอะยังอุ้มมาแล้วเลย”

“เออ จริงด้วย แล้วนิ้วแก่เป็นยังไงบ้างเนี่ย” เธอหันไปรับพานจากเขากลับมาตกแต่งต่อ

“ก็ยังปวดๆอยู่นะ” บูรภัทรพลิกแผลที่พันพลาสเตอร์ยามีรอยเลือดซึมให้เพื่อนดู “น้องเขากัดแรงไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำแผลกินยาแก้ปวดไปแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น แผลแค่นี้ไกลหัวใจ” เขาพูดเป็นเรื่องขันแต่ทำหน้าขึม พลางกำกำปั้นทุบลงตรงหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ

“แวะ พ่อฮีโร่”

ระหว่างที่กำลังสนทนายอกล้อกับเพื่อนอยู่นั้น นัยน์ตาคู่คมก็หันไปสบเข้ากับพานบายสีรูปพญานาคที่ตั้งสวยเด่นตระหง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม บูรภัทรแอบชื่นชมไม่น้อย กับฝีมือการผับใบตองที่สวยงามประณีตและละเอียดอ่อน บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของผู้จัดทำ เขาจินตนาการถึงคนทำ ว่าต้องเป็นผู้หญิงเรียบร้อยเป็นกุลสตรีเหมือนผ้าผับไว้ ถูกอบรมสอนการงานและมารยาทมาอย่างดีเลยทีเดียว

“เจ๋งวะ แกดูพานรูปพญานาคนั่นสิ ห้องไหนทำวะ”

“ฉันแเห็นแล้ว สวยดีนะ รู้สึกว่าพานนั่นจะเป็นของเด็ก ม.3 น่ะ ผู้ชายเป็นคนทำด้วยนะแก”

“ผู้ชายทำ” บูรภัทรประหลาดใจเล็กน้อย แทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง งานประณีตแบบนี้ผู้ชายที่ไหนกันจะทำออกมาสวยได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นแต๋วก็ว่าไปอย่าง

“อืม ผู้ชายจริง” เธอยืนยันหนังแน่ “ไม่เชื่อ แกก็ดูเอาเองสิ น้องเขายังนั่งทำอยู่เลย” ชี้ไปทางร่างบางที่กำลังขะมักเขม้นกับการเย็บใบตอง พร้อมกับบอกให้เพื่อนที่นั่งบังอยู่ขยับออก

“ไหนวะ”

“วิทย์ เด็ดเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วไปเอาน้ำใส่กระบอกนี่ให้หน่อยสิ จะได้เอาไว้ฉีดดอกไม้ไม่ให้เหี่ยว” มุกดายื่นกระบอกฉีดน้ำให้

“โหย...อะไรวะ” วรวิทย์อี่ดอ่อนแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร “เออๆก็ได้” เขารับกระบอกฉีดน้ำ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำของหอประชุม

ทันใดนั้น ร่างบางเจ้าของใบหน้าหวาน ที่ถูกเพื่อนจอมป่วนนั่งบังอยู่เมื่อคู่ ก็ปรากฏขึ้นทันที ช่างเป็นเรื่องบังเอิญคล้ายกับจัดฉากเอาไว้ ที่กลุ่มตกแต่งพานของห้อง ม.6/3 นั่งอยู่ตรงกันข้ามของกลุ่มห้อง ม.3/6 พอดี

“เห็นยัง นั่นไงน้องคนนั้นไง ที่ตัวขาวๆหน้าหวานๆ หล่อๆอ่ะ”

“นั่นมัน...” นัยน์ตาคู่คมสีดำสนิท สะดุดเข้ากับเจ้าของร่างบางใบหน้าขาวใสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดิบพอดี “นั่นมัน หยวกกล้วยเดินได้นี่หว่า ทำอะไรแบบนี้กับเขาเป็นด้วยหรอวะ”

ภาสกรเพลิดเพลินกับงานที่ทำ เขากำลังเย็บบายศรีในส่วนห่างของพยานาค เลยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง

บูรภัทรแอบยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แก้มขาวเนียนบอกกับทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวอย่างประณีตของคนตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ทำให้เขาไม่ยอมละสายตาไปไหน คล้ายกับว่ากำลังต้องมนต์สะกดตกอยู่ในภวังค์ แยกไม่ออกเลยว่าเขากำลังหลงเสน่ห์ความเป็นไทยที่รุ่นน้องกำลังทำอยู่ หรือว่าหลงไหลอะไรกันแน่

วรวิทย์กลับมาพร้อมกับกระบอกฉีดน้ำที่บรรจุน้ำไว้เรียบร้อยแล้ว เขาสังเกตเห็นว่า สายตาคู่คมรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จ้อมมองมาที่เพื่อนหน้าหวานตาไม่กระพริบ เลยเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งใหม่ อ้อมไปนั่งทางด้านหลังของเพื่อน พลางกระชิปข้างหูเพื่อนเบาๆ

“ไอ้ต้น 15 นาฬิกา แต่มึงอย่าพึ่งหันไปนะให้กูเดินออกไปก่อนแล้วค่อยหัน”

ภาสกรทำหน้าสงสัย แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างงุนงง

“เพื่อนๆ คือตอนนี้ได้เวลาซ้อมบอลแล้ว ขอตัวไปก่อนซ้อมบอลก่อนนะ” วรวิทย์หันมาบอกกับเพื่อนในกลุ่ม วางกระบอกฉีดน้ำไว้ข้างๆกับมุกดา แล้วหยิบกระเป๋าเป้านักเรียนขึ้นมาสะพาย

เพื่อนในกลุ่มยังไม่ทันได้ตอบรับอะไร ตัวป่วนของกลุ่มก็คว้ากระเป๋าเป้คู่กายอีกใบวิ่งปรู๊ดลงหอประชุมไปเสียแล้ว

ภาสกรหันหน้าไปทาง 15 นาฬิกาตามที่วรวิทย์บอกเอาไว้ แทบจะหันหน้ากลับคืนมาแทบไม่ทัน ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหันไปปะทะเข้ากับนัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทของรุ่นพี่ที่จ้องมองเขาอยู่อย่างจัง

*“ไอ้เชี่ยวิทย์มึงไม่บอกกูสักคำว่าพี่เขานั่งจ้องกูอยู่ สาดเอ้ย แม่งจ้องกูตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย”*

มือไม้ก็สั่นรัวไม่น้อยไปกว่าหัวใจเช่น สติก็เตลิดไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  จนพลาดทำเข้มทิ้มนิ้วของเรียวตัวเองเข้า “โอ้ย!!!” ภาสกรสะดุ้งส่งเสียงร้องลั่น ไม่รู้ว่าจากความเจ็บหรือว่าตกใจกันแน่ ทว่าเสียงร้องนั่นก็เรียกสติคนที่นั่งจ้องมองเขาอยู่นั้นให้กลับคืนมาได้

“เป็นอะไรมากไหม ทำอีท่าไหนเนี่ย ไม่ระวังเลย” บดินทร์ช่วยดูแผลให้ พลางหยิบเช็ดชู่ในกระเป๋าเป้นักเรียนของตัวเอง มาซับหยุดห้ามเลือดที่ไหลซิบให้กับคนซุ่มซ่าม

“กูไม่เป็นอะไร แค่ตกใจเฉยๆ”

“เราว่าต้นไปล้างแผลก่อนดีไหม จะได้ไม่ติดเชื้อ” สนทยาออกความเห็นอย่างห่วงใย

“นั่นสิพักก่อนก็ได้ นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว” มุกดาเสนอความคิดเห็นอีกเสียง

“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เองไม่เจ็บอะไรมาก  ทำงานต่อเถอะ” ภาสกรชักมือกลับมา แล้วใช้ปากดูดนิ้วที่มีเลือดซิบ

“แกช่วยเอาไปให้น้องคนนั้นที่” บูรภัทรหยิบพลาสเตอร์ยาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน ที่ติดมาจากห้องพยาบาลเมื่อกลางวัน ส่งให้กับเพื่อน พร้อมกับพยักพเยิดพเยิดหน้าไปทางรุ่นน้องตัวขาว

“แล้วทำไมแกไม่เอาไปให้น้องเขาเองล่ะ”

“ฉันฝากแกหน่อยละกัน ฉันจะไปซ้อมบาสละ เดี๋ยวคนในทีมรอนาน รับไปสิ” บูรภัทรส่งพลาสเตอร์ยาให้เธออีกครั้ง

“อ่าๆๆๆๆ” เธอรับพลาสเตอร์ยามาอย่างงุนงง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้ามายังคนที่เพื่อนบอก

“นี่จะ” เธอยื่นพลาสเตอร์ยาให้กับคนที่นั่งดูดนิ้วตัวเองอยู่

“อะไรหรอครับ”

“พลาสเตอร์ไง พี่คนนั้นฝากมา..." เธอหันไปชี้ตรงที่เพื่อนนั่งอยู่

“...” ภาสกรมองตาม แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนั้น แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เพราะเมื่อคู่เขาก็แอบชำเลืองอยู่เช่นกัน

“อ้าว ไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

“ขอบคุณครับ” ภาสกรรับพลาสเตอร์ยามาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน แผลแค่นิดเดียวไม่จำเป็นต้องปิดพลาสเตอร์ให้เปลืองทรัพยากร เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า ก่อนจะหันกลับมาจัดการกับพานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้เสร็จ

กว่าจะตกแต่งพานเสร็จ ก็เลยเวลากลับบ้านมามากพอสมควร สนทยากับมุกดาขอตัวรีบกลับก่อนเพราะกลัวรถโดยสารประจำทางหมด เนื่องจากบ้านของทั้งสองอยู่ไกลพอสมควร ภาสกรกับเพื่อนแว่นเลยอาสาเคลียดพื้นที่เก็บเศษที่ไม่ใช้แล้วไปทิ้งขณะ หลังจากนำพานที่ตกแต่งเสร็จแล้วไปไว้ในที่ที่คณะกรรมการนักเรียนจัดเตรียมไว้ให้

“เดี๋ยวเราเอาไปทิ้งเอง” บดินทร์อาสาเอาถุงขยะไปทิ้ง

ภาสพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวกูเอาไม้กวาดกับที่ตักขยะไปเก็บ แล้วเดี๋ยวถือกระเป๋าตามลงไปให้มึงละกัน”

ตุบตับ ตุบตับ ตุบตับ ... ตุบตับ ตุบตับ ตุบตับ ...

เสียงดังซ้ำๆจากในโรงยิมใต้หอประชุมใหญ่ เรียกความสนใจให้คนที่อาสานำขยะไปทิ้งหยุดชะงักหันไปมอง นัยน์ตาวาวใต้แว่นตากรอบหนาเตอะ ปรากฏร่างสูงกำยำของรุ่นพี่ใจดีที่เลี้ยงน้ำเขาและเพื่อนๆเมื่อตอนกลางวัน ในชุดนักกีฬารัดรูปเสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้น เสริมให้ผู้สวมใส่ดูเด่นราวกับนายแบบ กำลังซ้อมตบลูกวอลเล่บอลกับผนังของโรงยิมอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะถูกเรียกจากโค้ชผู้ฝึกสอนให้ไปรวมกับเหล่าบรรดานักกีฬาร่วมทีมเดียวกัน เพื่อซ้อมรับส่งลูกและกระโดดตกข้ามตาข่าย บดินทร์ยืนหน้าเด๋ออ้าปากค้างทึ่งกับทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่สง่างามและแรงตบลูกวอลบอลที่หนักแน่นของคนตรงหน้า คิดไม่ตกเลยว่าถ้าเขาโดนลูกวอลเว่บอลลูกนั้นอัดใส่หน้า จะสลบไปกี่วัน

“อ่ะเนี่ย กระเป๋ามึง” ภาสกรตามมาทีหลัง ส่งกระเป๋าเป้นักเรียนคืนเจ้าของ เรียกสติคนที่ยืนหน้าเด๋อกลับคืนมา “อ้าวมึงยังไม่เอาไปทิ้งอีกหรอ”

“กะ กะ กำลังไป” บดินทร์รับกระเป๋าเป้นักเรียนจากเพื่อนมาสะพาน “งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ พรุ่งนี้เจอกัน อย่ามาสายนะ” จบประโยคก็คว้าถุงขยะอย่างไร้สติ สาวเท้าเร็วนำหน้าไปก่อน

 “เรื่องของกูโว้ย” ภาสกรตะโกนตามหลังเพื่อน พลางหัวเราะคิกๆชอบใจ ที่เห็นว่าเพื่อนหอบถุงขยะกลับบ้านไปด้วย “มึงไม่แวะทิ้งขยะก่อนล่ะว่ะ”

**********

ปล. ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถลงได้ ไว้อ่านในตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:38:59 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #14 เมื่อ02-02-2018 02:03:03 »

มีความเป็นห่วงน้องต้น  o13

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่4.1
เนื่องจากไม่สามารอัพตอนที่4ได้หมดในทีเดียว จิเลยขอเพิ่มตอนที่4.1 นะคะ

แสงอาทิตย์กำลังจะลาขอบฟ้า ภาสกรเดินทอดเท้าบนทางฟุตบาทเพียงลำพัง ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังป้ายรอรถโดยสารประจำทางฝั่งประตูทิศเหนือของโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน เจ้าลูกกลมๆสีส้มก็กลิ้งมาหยุดอยู่ที่เท้าของเขาเข้าพอดี ภาสกรก้มลงเก็บลูกบาสขึ้นมา หันซ้ายแลขวามองหาที่มาของลูกกลมๆสีส้มนี่ หวังส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ แต่ก็ไร้วี่แววไม่เห็นมีใครสักคน ก่อนจะหันไปสบเข้ากับร่างสูงโปร่งในชุดนักกีฬาบาสเกตบอล วิ่งเหยาะๆมาจากสนามบาสเกตบอลที่อยู่ไม่ไกล มุ่งหน้ามาทางที่เขายืนอยู่อย่างหืดหอบ เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วร่างจนเปียกชุ่ม และใบหน้าคมเข้มที่เปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด
ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวแรงอีกแล้ว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ บวกกับกลิ่นกายความเป็นชายของคนตรงหน้าแตะเขาปลายจมูกอย่างหน้าหลงไหน จนต้องยืนนิ่งไปอัมพาตไปชั่วขณะ
“ขอลูกบาสคืนด้วยครับ” บูรภัทรกล่าวน้ำเสียงนิ่ง พร้อมกับยื่นมือไปรับลูกบาสเกตบอล ทว่ากับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากคนที่ครองลูกบาสเกตบอลอยู่
“น้องครับ” น้ำเสียงดังขึ้นอย่างสุภาพ
“เออ..ครับ” คนครองลูกบาสเกตบอลมีสติกลับคืนมา
“ขอลูกบาสคืนด้วยครับ”
“...” ภาสกรส่งลูกบาสเกตบอลคือให้กับเขาทันที
เพราะไม่ทันได้ระวัง บูรภัทรเลยคว้าโดนที่ปลายนิ้วเรียวของรุ่นน้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ อยู่ๆใบหน้าหวานของคนตรงหน้าก็เปลี่ยนสีแดงขึ้นมาฉับพลันโดนไม่ทราบสาเหตุ ก้อนเนื้อใต้อกข้างซ้ายเต้นรัวซ้ำๆ คล้ายจะกระเด็นออกมาก็ไม่ปาน บูรภัทรไม่ลืมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันหลังให้แอบจุดยิ้มมุมปากอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีไม่น้อย แล้ววิ่งกลับไปยังสนามบาสเกตบอลตามเดิม
“ไงไอ้ต้น มึงยังไม่กลับบ้านอีกหรอวะ หรือว่ารอกู” เสียงคุ้นหูจากทางด้านหลัง เรียกสติให้เขาหลุดออกจากภวังค์แล้วหันไปมอง เพื่อนสนิทในชุดนักบอล
“เปล่า พึ่งจัดพานเสร็จ กำลังจะกับนี่แหละ”
“โธ่ กูก็คิดว่ามึงรอกลับพร้อมกู แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ”
“กลับไปหมดแล้ว”
“เออ ป่ะกลับบ้านกันเดี๋ยวรถหมด” วรวิทย์เดินมาคว้าคอเพื่อนอย่างสนิทสนม แล้วเดินออกนอกรัวโรงเรียนไปพร้อมๆกัน
 “ปกติมึงเลิกค่ำขนาดนี้เลยหรอวะ”
“วันนี้เลิกไวสุดแล้ว มึงดูพวกนักบาสดิยังไม่เลิกเลย”
ภาสกรหันมองไปยังสนามบาสเกตบอลที่เพื่อนบอก เห็นร่างสูงโปร่งกำลังเดาะลูกบอลเกตบอลไปมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ ปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินกอดคออยู่อย่างนั้นจนออกนอกโรงเรียน
   “กลิ่นไอ้วิทย์ ไม่หอมเหมือนกลิ่น...”
**********
“ต้นอาบน้ำอาบท่า แล้วลงมากินข้าวนะลูก” ผู้เป็นแม่ส่งเสียงร้องเรียงลูกชายคนโตของบ้านจากข้างล่าง วันนี้เธอทำกับข้าวหลายอย่างถูกปากคนในครอบครัว
“ครับแม่ เดี๋ยวต้นลงไป” ลูกชายขานรับ ขณะกำลังจัดตารางเรียนในวันพรุ่งนี้ใส่กระเป๋า
   ภาสกรยืนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกทีละเม็ด เขากำลังจะอาบน้ำและลงไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับครอบครัว ขณะที่กำลังปลดกระดุมเม็ดสุดท้าย นัยน์ตาสีน้ำตาอ่อนก็สะดุดเข้ากับแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อนักเรียน เขาหยิบพลาสเตอร์ยาขึ้นมาพลางจุดยิ้มกว้างอย่างไม่มีเหตุผล มันเป็นเพียงแค่พลาสเตอร์ยาธรรมดาๆแผ่นหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าชิ้นอื่น ถ้าด้านหลังไม่มีลายมือบรรจงของใครบางคนเขียนว่า...
“ทำอะไรระวังหน่อยสิ” 
**********

โอ้ย พี่เต้มีความเป็นห่วงน้อง

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:42:15 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่5
สนามฟุตบอลหลังโรงเรียน ครึกครื้นไปด้วยเหล่าบรรดานักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน ที่ทุกเย็นหลังเลิกเรียนจะต้องมารวมตัวกันเพื่อซักซ้อมและฟิตร่างกาย เตรียมตัวให้พร้อมในการแข่งขันครั้งต่อๆไปที่สนามแห่งนี้
“วิทย์!” ภัครชัยส่งสัญญาณมือ พร้อมกับเตะลูกฟุตบอลโด่งส่งให้กับรุ่นน้องทีมซ้อมเดียวกัน ที่อยู่อีกฝั่งของสนาม
วรวิทย์รับลูกฟุตบอลมาครองด้วยท่าพักอก ก่อนจะเลี้ยงลูกฟุตบอลพลางสลับขาหลอกทีมซ้อมฝั่งตรงข้ามอย่างคร่องแค่ว แล้วส่งต่อให้กับรุ่นพี่ในทีมอีกคนทำประตูตีเสมอเป็นสองต่อสองประตู ก่อนหมดเวลาที่กำหนดในการซ้อมเพียงไม่กี่วินาที เสียงเฮจากทีมที่ทำประตูเสมอได้ดังลั่นไปทั่วสนาม กระโดดโย่งดีใจกันยกใหญ่พร้อมกับวิ่งกรูเข้าไปรุ่มกอดคนที่ทำประตูได้โดยไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ
ปี๊ดดดด!!! เสียงนกหวีดจากโค้ชผู้ฝึกสอนดังขัดจังหวะ
“เอาล่ะทุกคนวันนี้พอแค่นี้ก่อน” โค้ชผู้ฝึกสอนปรบมือรัวๆพลางกวักมือเรียกนักกีฬาในสนาม ให้มานั่งรวมกันตรงหน้าของตน ก่อนจะกล่าวประเมินผลหลังจากการซ้อมในวันนี้และบอกเทคนิคการเล่นเพิ่มเติมในการเล่นเกมในสนามเล็กน้อย “วันนี้ยังไม่มีอะไรมาก วอร์มๆอุ่นเครื่องกันไปก่อน กลับไปพักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อม วันต่อไปเราจะซ้อมหนักขึ้นกว่านี้อีกสิบเท่า ครูขอให้ทุกคนฟิตร่างกายให้เต็มที่ กีฬาจังหวัดในช่วงสิ้นปีนี้ คู่แข่งเราน่ากลัวทั้งนั้น เราต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้ สำหรับวันนี้แยกย้ายกลับบ้านได้”
“ขอบคุณครับโค้ช” เสียงกล่าวหนักแน่นพร้อมกันของนักกีฬา ก่อนจะแยกย้ายไปเก็บของของตัวเองแล้วทยอยกลับบ้าน
“หอบเลยสิมึง” ภัครชัยพูดกับรุ่นน้องที่กำลังนั่งเช็ดเหงื่อพร้อมกับยื่นขวดเกลือแร่ที่หยิบติดมือมาอีกขวด จากกระติกน้ำสวัสดิการส่งให้
“ขอบคุณครับ” วรวิทย์รับน้ำใจจากรุ่นพี่ แล้วเปิดฝากระดกดื่มรวดเดียวหมดขวดด้วยความกระหาย “ก็ไม่เท่านะ ปกติหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ” รุ่นน้องเลิกคิวเจ้าเล่ห์
“ฟิตร่างกายให้ดีก็แล้วกัน ครั้งต่อไปหนักกว่านี้อีกสิบเท่าอย่างที่โค้ชบอกแน่นอน” ภัครชัยเลิกคิ้วกลับพร้อมกับจุดยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังให้กับรุ่นน้องแยกไปเก็บของของตัวเองที่อยู่ไม่ไกล เสื้อกีฬาที่เปียกเหงื่อถูกเลิกขึ้นถอดออกเผยให้เห็นร่างท่อนบนกำยำสมส่วนเปือยเปล่า ท่าเสยผมเสริมให้เจ้าตัวดูเซ็กซี่ขึ้นมาไม่น้อย เป็นเรื่องปกติของขอบสนามที่นักกีฬามักจะถอดเสื้อเดินเตร่ร่อนไปมาอยู่แล้ว  วรวิทย์ได้แต่มองตามคนแผ่นหลังกว้างตาไม่กระพริบอย่างอดชื่นชมไม่ได้ หุ่นของเขาว่าดีแล้วแต่ก็สู้รุ่นพี่ไม่ได้อยู่ดี
“พี่ก็เหมือนกันแหละ” เขาส่งเสียงตามหลัง หันไปเก็บของของตัวเองเช่นกัน
“เออ วิทย์” เขาเรียกรุ่นน้องขณะกำลังสวมเสื้อตัวใหม่ค้างไว้ที่คอ คว้ากระเป๋าเป้ทั้งสองใบที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว เดินดิ่งมาหาคนที่กำลังเก็บของยังไม่เสร็จ
“อะไร?” วรวิทย์ขานรับสั้นๆ หันกลับมาปะทะกับร่างสูงกำยำ สายตาซุกซนวิวายกวาดมองแผ่นอกแกร่งลงไปยังคลื่นหน้าท้องทั้งหกลูกของคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ใกล้จนเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นตามรูของขน กลิ่นพีโรโมนฟุ้งกระจายเตะจมูกอย่างน่าหลงไหล ทำให้แก้มซีดเปลี่ยนสีโดยอัตโนมัติอย่างไม่รู้ตัว “ใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อนไหม” น้ำเสียงห้วนบอกคนตรงหน้า
ภัครชัยยิ้มอ่อนเขินๆ เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้รุ่นน้องแก้มแดง วางของในมือลงแล้วใส่เสื้อให้เรียบร้อยตามที่รุ่นน้องบอก
“เมื่อ...กลางวันที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหารน่ะ” หูฟังพร้อมกับเก็บของไปด้วย “คนที่นั่งกินข้าวข้างๆพี่ ที่ตัวขาวๆหน้าหวานๆหน่อย เขาเป็นเพื่อนกับนายใช่ป่ะ” จบประโยคภัครชัยรู้สึกประหม่าไม่น้อย
“อ๋อ” คนถูกถามพยักหน้าย้ำๆ “ไอ้ต้นน่ะหรอ ครับเพื่อนผมเอง เพื่อนสนิทด้วย พี่มีอะไรกับมันหรือเปล่า”
“ชื่อต้นหรอ” ภัครชัยขมุบขมิบปากเสียงเบา แต่รุ่นน้องกลับได้ยิน
“ใช่ มันชื่อต้น ตกลงพี่มีอะไรกับเพื่อนผมหรือเปล่า”
“ปะ...เปล่า มะ...ไม่มีอะไร แค่ถามดูเฉยๆ เห็นน้องเขาหน้าสวยดี”
“คิดว่ามีอะไร”
“ปะ เปล่า” ภัครชัยส่ายหน้ายิ้มแห้งๆ จะให้บอกไปเลยตรงๆเลยน่ะหรอว่าเสี่ยวใบหน้าหวานของเพื่อนรุ่นน้องนักกีฬาที่เขารู้จัก ที่เขาเผลอหันไปมองเพราะกลิ่นหอมหน้าหลงไหลเตะจมูก ขณะที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารมื้อกลางวันด้วย ที่โรงอาหารของโรงเรียน วนเวียนอยูในหัวของเขาตลอดช่วงบ่าย
 “ถ้าไม่มีอะไร งั้นผมขอตัวก่อนนะพี่ เดี๋ยวรถหมด ไว้เจอกันพี่” วรวิทย์โบกมือลารุ่นพี่ คว้ากระเป๋าเป้ทั้งสองใบได้ก็เดินดุ่มๆนำหน้าไปก่อน
“เฮ้ย วิทย์รอพี่ด้วยสิ” ภัทรชัยสลัดความคิดที่หลากหลายออกจากหัว คว้ากระเป็นสัมภาระแล้วเดินตามรุ่นน้องไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไรนัก ถึงวันนี้จะซ้อมเลิกเร็ว แต่เขาก็ต้องไปนั่งรอพี่ชายที่สนามบาสเกตบอลอยู่ดี เพื่อกลับบ้านพร้อมกัน เขาเคยกล่าวลอยกับผู้เป็นพ่อว่าอยากมีรถมอเตอร์ไซค์ไว้เพื่อขับมาโรงเรียนกับพี่ชายอย่างเพื่อนคนอื่นๆ จะได้ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาตื่นแต่เช้าให้ทันรถรับส่ง เวลาเลิกซ้อมกีฬาตอนเย็นก็ไม่ต้องคอยลุ้นว่ารถโดยสารประจำทางจะหมดเมื่อไร แล้วต้องลำบากผู้เป็นพ่อให้มารับที่โรงเรียน แต่ผู้เป็นแม่ไม่เห็นด้วยเพราะกลัวว่าลูกชายทั้งสองจะไม่ปลอดภัยเลยไม่ได้อนุมัติ สองพี่น้องเลยจำนนนั่งสับพงักบนรถรับส่งและโหนรถโดยสารประจำทางกลับบ้านทุกวัน
สองเท้าหยุดชะงักทันทีขณะที่กำลังเดินมุ่งไปยังสนามบาสเกตบอล นัยน์ตาคู่ชวนฝันสะดุดเข้ากับร่างบางตัวขาวที่อยู่ตรงหน้าไม่กี่สิบเมตร ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่เขาพึ่งกล่าวถึงอยู่ก่อนหน้านี้ ภัครชัยได้แต่ยืนมองรุ่นน้องนักกีฬาที่เขารู้จักเดินเข้าไปคว้าคอคนตัวขาวเข้ามากอดอย่างสนิทสนม ก่อนจะพากันเดินออกนอกประตูรั้วโรงเรียนไปจนพ้นสายตา ทั้งที่ในใจอยากเข้าไปทักทาย แต่ยังรวบรวมความกล้าไม่พอ
**********
แสงไฟสลัวๆจากหน้าจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ช่วยให้ห้องนอนส่วนตัวไม่มืดสนิทไปซะทีเดียว หลังจากที่เจ้าของห้องกดปิดสวิทช์ไฟเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน หลังจากทำการบ้านและทบทวนบทเรียนเสร็จเรียบร้อย ภัครชัยในชุดเสื้อกล้ามตัวบางกางเกงขาสั้นเตรียมนอน ทิ้งตัวนอนบนที่นอนนุ่นด้วยความเหนื่อล้าจากการเรียนและซ้อมกีฬา ขณะที่เขากำลังเคลิ้มใกล้จะหลับอยู่นั้น เปลือกตาหรี่ปรือก็กลับเบิกโพลงขึ้นอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ เมื่อเสี่ยวใบหน้าหวานที่วนเวียนในหัวของเขาตลอดช่วงบ่าย จุดขึ้นในหัวของเขาอีกแล้ว
   “ทำไมเราคิดถึงแต่หน้าของเพื่อนเจ้าวิทย์” ภัครชัยตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสับสน “เด็กนั่นหน้าสวยราวกับผู้หญิงจริงๆ แถมผิวยังขาวเนียนละเอียดอีก” นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ในหัวของเขามีแต่เสี่ยวใบหน้าหวานของรุ่นน้องวนเวียนอยู่ตลอดหรือเปล่า “กลิ่นตัวก็หอม” เขาปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ากลิ่นหอมนั้นทำให้หัวใจหวิว ภัครชัยนอนพลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่ายซ้ำๆหลายรอบ ปกติเขาเองไม่เคยมีปฏิกิริยากับผู้ชายด้วยกันเองขนาดนี้มาก่อน “หรือว่า...อาจจะเป็นเพราะเราถูกชะตากันกับเจ้าเด็กนั่น เออใช่ เราต้องถูกชะตากับเด็กนั่นแน่ๆ” เขาสรุปเรื่องเองเออเอง เสี่ยวใบหน้าหวานก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเรือนรางออกจากหัวของเขาสักที มิวายคืนนี้คงต้องฝันถึงรุ่นน้องคนนี้เป็นแน่
“เต้ย หลับยัง” เสียงทุ้มของพี่ชายส่งเสียงเรียกพร้อมกับเคาะประตูห้อง ทำให้เขาที่กำลังเคลิ้มจะหลับเป็นครั้งที่สองสะดุ้ดเล็กน้อย
“ยังพี่” เจ้าของห้องขานรับ แล้วลุกไปเปิดประตูให้พี่ชาย “มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ขอยืมปากกาลบคำผิดหน่อยสิ ของพี่ไม่รู้หายไปไหน” ร่างสูงโปร่งในชุดเตรียมนอนเสื้อกล้ามตัวบางกางเกงขาสั้นเตรียมนอนแบบเดียวกัน กล่าวจุดประสงค์ที่มาเคาะห์ห้องน้องชายยามวิการ
“รอแปปนะ” น้องชายพยักหน้าตอบรับ เปิดสวิทช์ไฟแล้วเดินไปค้นหาสิ่งที่พี่ชายมาขอยืม ในกระเป๋าเป้นักเรียนที่วางบนโต๊ะเครื่องเขียน “ยังไม่นอนอีกหรอพี่”
“ยังเลย การบ้านยังไม่เสร็จ”
“อ่ะนี่ครับ” เขายื่นปากกาลบคำผิดให้กับพี่ชาย “พรุ่งนี้ค่อยคืนผมก็ได้ ผมจะนอนแล้ว”
“โอเค ขอบใจมาก งั้นนายพักผ่อนเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว ฝันดีน้อง”
“อืม ฝันดีครับพี่” ภัครชัยปิดประตูห้องทันทีหลังจากที่พี่ชายเดินกลับห้องของตัวเอง เอื้อมปิดสวิทช์ไฟแล้วเดินไปปิดทีวีที่เปิดทิ้งไว้อยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มอีกครั้งด้วยความง่วงเต็มแก่ ไม่ถึงห้านาที เปลือกตาก็หรี่เคลิ้มลงอีกครั้ง
“ฝันดีนะต้น” น้ำเสียงฮึมฮัมในลำคอ เผลอหลุดพูดประโยคน่าฟังจากจิตใต้สำนึกออกมาโดยไม่รู้ตัว
**********
ภายในหอประชุมใหญ่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นไทย จากเสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอเบาๆ ของกลุ่มชมรมดนตรีไทย คณะครูทุกท่านต่างแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยสีประจำโรงเรียน หน้าอกข้างซ้ายประดับด้วยดอกไม้ช่อเล็กๆหลากสีสวยงามสะอาดตา นักเรียนที่เป็นตัวแทนถือพานชายหญิงของแต่ละห้องแต่งกายถูกระเบียบเรียบร้อย ในมือถือพานที่เพื่อนๆจัดทำขึ้นอย่างสวยงาม อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับที่ซักซ้อมไว้เมื่อวานอย่างรู้หน้าที่ ส่วนนักเรียนคนอื่นๆที่เข้าร่วมในพิธี นั่งอยู่ในแถวของห้องตัวเองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ผลการตัดสินประกวดพานไหว้ครูเป็นไปตามความคาดหมาย พานดอกไม้ทรงดอกบัวตูมล้อมด้วยบายศรีกับพานธูปเทียนแพบายศรีพญานาคได้รางวัลชนะเลิศไปครอง แต่กลับไม่มีตัวแทนนักเรียนชายถือพาน อีกไม่กี่นาทีพิธีไหว้ครูประจำปีก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ทำเอาคู่ถือพานตัวแทนนักเรียนหญิงถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก เพื่อนๆร่วมห้องต่างนั่งหนาวๆร้อนๆปาดเหงื่อไปตามๆกัน
“หัวหน้าห้องดันมาท้องเสียอะไรวันนี้เนี่ย เอาไงดีสน” มุกดากุมมือชุ่มเหงื่ออย่างกังวลใจ หันไปปรึกษากับเพื่อนสาวคนสนิท “เพื่อนผู้ชายในห้องไม่มีใครให้ความร่วมมือสักคน”
“ใจเย็นๆนะ มันต้องมีทางสิ” สนทยาทำใจร่มๆ หันไปส่งสายตาอ้อนวนขอความช่วยเหลือกับเพื่อนชายที่ใส่แว่นตากรอบหนาเตอะ บดินทร์หน้าซีดเป็นไข่ต้มส่ายหน้ารัวๆ นิ้วไปทางเพื่อนชายอีกคนที่นั่งตาเยิ้มมองสาวๆในวงดนตรีไทยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“วิทย์!!!”  สองสาวพร้อมใจกันประสานเสียง จนเจ้าของชื่อสะดุ้งหันควับ วรวิทย์ยิ้มแห้งๆพลางส่ายหัวพร้อมโบกมือรัวๆอีกคน เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน อีกอย่างคนกระโตกกระตากอย่างเขาทำไม่ได้หรอก
“ฉันนี่อยากจับพวกมันมาใส่กระโปรงแทนฉันซะจริงๆ” มุกดาเริ่มไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นๆน่ะมุก งั้นเอานี้มุก” สนทยานึกอะไรบางอย่างออก “เดี๋ยวฉันจะวิ่งไปดูในแถวคนที่มาสายก่อน ว่าต้นมาหรือยัง ยังไง ต้นปฏิเสธพวกเราไม่ได้แน่ เพราะเมื่อวานชื่อของต้นก็ถูกโหวตให้เป็นตัวแทนผู้ชายของห้องถือพานเหมือนกัน  เอาน่า” ปรบไหล่เพื่อนเบาๆ “แก่ทำใจให้ร่มไว้ก่อน ไปบอกลูกหว้าว่าไม่ต้องกังวล” ว่าเสร็จสนทยาไม่รอช้าวิ่งปรู๊ดลงหอประชุมใหญ่ มุ่งหน้าไปยังแถวนักเรียนที่มาสายทันที

ภาสกรเดินเก็บขยะบำเพ็ญประโยนช์บริเวณนอกรั้วหน้าโรงเรียน บทลงโทษสำหรับคนมาสายในวันนี้ ที่จริงแล้วเขาตั้งใจว่าจะมาโรงเรียนให้ทันพิธีไหว้ครูในเช้านี้ แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวังไว้ เพราะการมาโรงเรียนสายมันกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไปเสียแล้ว
“ต้น!!!” สนทยาป้องปากส่งเสียงตะโกนทั้งกวักมือเรียกเพื่อน ด้วยอาการหอบหืดปนดีใจที่ได้เจอเพื่อนชายที่นี่
“มีอะไรหรอสน ทำไมดูหอบแบบนั้นล่ะ แล้วนี่ไม่ได้ร่วมพิธีไหว้ครูกับเขาเหรอ” ภาสกรเดินเข้ามาหาถามด้วยความสงสัย
“ไปกับฉัน” สนทยาคว้าเข้าที่ข้อมือเพื่อน ในมือเต็มไปด้วยขยะ
“เดี๋ยวๆ ไปไหน ยังไม่ได้ทิ้งขยะเลย”
“เออน่ะ เดี๋ยวค่อยไปหาที่ทิ้งกลางทางก็ได้ เร็วเดี๋ยวไม่ทัน”
ภาสกรปล่อยให้เพื่อนสาวคุมตัวไปอย่างงุนงง มารู้สึกตัวอีกทีพานธูปเทียนแพบายศรีพญานาคที่เขาตกแตกเองเมื่อวาน ก็มาอยู่ในมือของเขาเสียแล้ว
“รู้ไหมว่าพานห้องเราได้ที่หนึ่งด้วยนะต้น” คู่ถือพานกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มชื่นชมฝีมือประณีตของคนทำ อย่างโล่งอก
“จริงดิ” ภาสกรยิ้มดีใจ พิจารณาพานที่ตกแต่งด้วยฝีมือของเขาอย่างภาคภูมิใจ “แล้วหัวหน้าห้องไปไหนล่ะ ให้เรามาถือพานแทนนานแล้วนะ พิธีจะเริ่มอยู่แล้ว”
“หัวหน้าห้องไม่มา ท้องเสีย”
“ห๊ะ!!!” ภาสกรอุทานเสียงดัง จนทุกคนหันมองเขาเป็นตาเดียว “ยะ อย่าบอกนะว่า...” เสียงกระซิป คู่ถือพานพยักหน้าย้ำๆเป็นคำตอบ เขายังไม่เชื่อในสิ่งที่สองหูได้ยินและสองตาเห็น เพื่อความแน่ใจเขาเลยหันไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง คำตอบที่ได้ไม่ต่างกันกับคนข้างๆ เพิ่มเติมคือรอยยิ้มที่ส่งมาให้กำลังใจ
“แต่เราไม่ได้ซ้อมเลยนะ เราทำไม่ได้หรอก อีกอย่างวันนี้เราแต่งตัวไม่เรียบร้อยด้วย” ภาสกรประหม่าไม่น้อย อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ
“ไม่เป็นไรต้นก็แค่ทำตามเราก็พอ แต่ตอนที่เราถอนสายบัวต้นต้องเปลี่ยนเป็นโค้งคำนับเท่านั้นเอง ดูคู่ข้างหน้าเอาไว้ ก็ทำได้เองแหละง่ายๆ ส่วนเรื่องการแต่งกาย ต้นก็แค่เก็บชายเสื้อที่หลุดลุ่ยใส่เข้าในกางเกงตามเดิมก็ดูเรียบร้อยขึ้นมาแล้ว”
ภาสกรพยักหน้าเข้าใจอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่ในเมื่อตกกระไดพลอยโจนมาแล้วเลยต้องยอมจำนนแต่โดยดี
พิธีไหว้ครูดำเนินการมาถึงขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง นักเรียนตัวแทนถือพานของห้องชายหญิงต่างทยอยเคลื่อนแถวไปตามแบบที่ซักซ้อมเอาไว้ เพื่อนำพานที่เพื่อนๆตกแต่งกันอย่างสวยงามส่งมอบให้กับครูที่ปรึกษาของตัวเอง ภาสกรสูบลมหายใจเข้าเต็มปอดเรียกความมั่นใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินคู่ไปกับคู่ถือพานของตัวเองอย่างสง่างามทว่าในใจกลับรู้สึกประหม่าไม่หาย ด้วยพานที่มีรูปแบบแปลกตา บอกกับผิวขาวสว่างออร่าโดดเด่นของคนถือ ทำให้ทุกสายตาในพิธีจับจ้องมองมาที่คู่ของเขาเพียงคู่เดียว ร่างสูงโปร่งที่ยืนถือพานในแถวด้านหลังประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นคนตกแต่งพานมาถือพานที่ตัวเองตกแต่งเอง แต่ก็ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอะไรมากมาย  แถมยังแอบยิ้มมุมปากอย่างอดชื่นชมไม่ได้ในความงามของพานและความสง่างามคนถือพานอีกต่างหาก ไม่ต่างกันกับผู้ที่เป็นน้องชายสายเลือดเดียวกันกับเขา ที่นั่งจ้องมองใบหน้าหวานของคนที่ถือพานธูปเทียนแพบายศรีพญานาคนั้นอย่างไม่ละสายตาอยู่แถวร่วมพิธี
สิ้นสุดเสียงเพลงประสานเสียง พระคุณที่สาม จากคณะกรรมการนักเรียน เป็นอันสิ้นเสร็จพิธีไหว้ครูสำหรับปีนี้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นไปอย่างที่ครูผู้ดูแลกิจกรรมคาดหวัง คณะครูและนักเรียนต่างทยอยลงจากหอประชุมใหญ่เพื่อไปเตรียมการเรียนการสอนตามปกติในชั่วโมงต่อไป
   “ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ กูปวดฉี่จะราดอยู่แล้ว” วรวิทย์พูดลอยๆขณะเดินลงหอประชุมใหญ่
   “เออ ไปดิกูไปด้วย พวกมึงแม่งเซอร์ไพรส์กูกันไง เกร็งจนฉี่จะราดออกมาเหมือนกัน” เพื่อนๆในกลุ่มต่างพากันหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ
“แต่ก็ขอบใจนะ ถ้าไม่ได้นายห้องเราคงแย่ คนอะไรหล่อแล้วแถมยังใจดีอีก” มุกดากล่าวอย่างชื่นชม สนทยาปรบมือรัวๆสมทบ
“เออ เออ เออ ไม่เป็นไร” คนถูกชมเกาหลังใบหู ยิ้มเคอะเขิน
“ไอ้ดินทร์ มึงไปห้องน้ำกับพวกกูเปล่า” วรวิทย์พูดแทรกขึ้นก่อนที่เพื่อนจะลอยไปมากกว่านี้
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเราไปรอที่ห้องเรียนกับสนกับมุกเลยดีกว่า”
“งั้นกูฝากกระเป๋าไปหน่อย” ภาสกรส่งกระเป๋าเป้นักเรียนให้เพื่อนที่ใส่แว่น
“เออ กูฝากเอากระเป๋าที่โต๊ะไปให้กูด้วย แล้วเจอกันที่ห้อง” วรวิทย์ว่าเสร็จ ก็กอดคอเพื่อนตัวขาวแยกกับเพื่อนในกลุ่ม เดินลงบันใดมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำชาย

“วิทย์ ชั่วโมงต่อไปเราเรียนอะไรกันว่ะ” ภาสกรถามเพื่อนที่ยังอยู่ในห้องน้ำ ขณะที่เขากำลังยืนล้างมือที่อ้างล้างมือหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ
“เอาอีกแล้ว มึงเอาอีกแล้ว” วรวิทย์ส่งเสียงจากห้องห้อง
“เออ พรุ่งนี้กูจะไม่ถามมึงอีก กูสัญญา”
“เรียนวิทยาศาสตร์ ของครูจันทรา กูต้องบอกห้องมึงด้วยไหม”
“ก็ดี”
“กูประชด เรื่องอะไรกูจะบอก บอกมึงก็ไม่รอกูอีก” วรวิทย์ออกจากห้องน้ำมายืนล้างมืออยู่ข้างๆ
“เออเรื่องของมึง” ภาสกรเช็ดมือเปียกที่เสื้อของเพื่อนสนิทอย่างหน้าตาเฉย แล้วเดินออกจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไอ้เชี่ยต้น นี่เสื้อกูนะโว้ยไม่ใช่ผ้าเช็ดมือ” วรวิทย์ร้องตะโกนตามหลัง เขาปิดน้ำแล้วรีบวิ่งไปให้ทันเพื่อน เพื่อจะเอาคืนเพื่อนตัวดีนี้ให้ได้
“โอ้ย!!!” วรวิทย์ร้องด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทก เขารีบจนไม่ทันระวังหน้าระวังหลัง ร่างของเขาเลยปะทะเข้ากับร่างสูงของใครสักคนเข้าอย่างจัง หงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น แต่คู่กรณีกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้วิทย์!!!” ภาสกรหันควับ รีบวิ่งกลับมาหาเพื่อนในทันที
“เดินประสาอะไรวะไม่เห็นคนหรือไง โอ้ย!!!” วรวิทย์ร้องโอดโอย “ไม่ต้องลุกเองได้ โอ้ย” เขาปัดมือใหญ่ของคู่กรณีที่ยื่นมาให้จับเพื่อช่วยพยุ่งในการทรงตัวด้วยความหวังดีออก
“เป็นไรมากเปล่าเนี่ยมึง” ภาสกรเข้าไปช่วยพยุ่งเพื่อน โดยไม่ทันสังเกตว่าคู่กรณีเป็นใครเช่นกัน แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมากับหยุดชะงักค้างไปกลางอากาศ เมื่อคนตัวสูงตรงหน้า ที่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ มีใบหน้าคล้ายกับรุ่นพี่คนที่ทำให้เขาใจสั่น “อ้าวพะ พะ ...” เสียงตะกุกตะกัก
“อ้าวอะไรของมึง กูเจ็บ”
“ก็พะ พะ พี่.....”
“อ้ำอึงอะไรของมึง” วรวิทย์เงยหน้ามองคู่กรณีอย่างไม่สบอารมณ์ “อ้าวพี่เต้ย”
“ไงวิทย์ ชนเองล้มเอง แล้วยังจะโวยวายอีกนะ ขอโทษกันสักคำก็ไม่มี” เสียงทุ้มกล่าวเย้ารุ่นน้องที่เขารู้จัก
“ขอโทษครับ” วรวิทย์น้ำเสียงสลด “ผมเปล่าโวยนะพี่ ก็คนมันเจ็บนี่ ใครใช้ให้พี่มาขว้างทางล่ะ”
“เฮ้ย พี่เนี่ยนะขว้างทางเรา” คนถูกกล่าวหาหัวเราะเบาอย่างอดไม่ได้ ที่ถูกยัดเยียดข้อหาซึ่งๆหน้า “พี่เดินของพี่มาดีๆ นายนั่นแหละที่ไม่ระวัง แล้วเป็นไรมากหรือเปล่าเนี่ย” เขาเข้าไปช่วยพยุ่งคนเจ็บให้ไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะนั่งคุกเข่าปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงออกให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องพี่” คนเจ็บหลับตาปี๋ขยับหนีเล็กน้อย
“อย่าขยับ พี่ขอดูหน่อย” น้ำเสียงแข็ง “แค่เปื้อนฝุ่น ไม่มีแผลอะไร ร้องดังอย่างกับถูกเชือด” เขาบ่นพึมพัมมือยังปัดฝุ่นที่ท่อนขาออกให้รุ่นน้องอยู่
“ผมหายแล้ว” คนเจ็บขืนใจลุกขึ้นยืน ทั้งที่ยังรู้สึกปวกหนึบๆที่บั้นท้ายอยู่
“หายไวดีนะ” ภัครชัยยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เชื่อที่เจ้าเด็กแสบนี้พูด ก่อนจะลุกขึ้นยืน “งั้นเย็นนี้ซ้อมให้ไหวแล้วกัน”
“แน่นนอนอยู่แล้ว”
ร่างสูงหัวเราะเบาพลางขยี้หัวของรุ่นน้องนักกีฬาด้วยกันเบาๆอย่างเอ็น ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเห็นเขี้ยวเสน่ห์ให้กับอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างเป็นมิตร ภาสกรกระพริบตาถี่ด้วยความงุนงง ยิ้มแห้งๆกลับก่อนจะแสร้งหันไปทางอื่น ไม่กล้าสู้หน้านาน เพราะใบหน้าของคนตรงหน้านี้คล้ายกับคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงซะเหลือเกิน
“พานที่ถือเมื่อเช้านี้สวยดีนะ” ภัครชัยกล่าวทักทายอย่างเขินๆ ที่จริงแล้วเขาอยากเอ่ยชมไปตรงๆเลยว่า หน้าของรุ่นน้องสวยมากกว่า แต่จะให้เขาชมผู้ชายด้วยกันเองมันดูทะแม่งๆอยู่ และก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
“ขอบคุณครับ” ภาสกรรวบรวมความกล้าหันกลับมาตอบพร้อมกับสบตากับรุ่นพี่ ถึงใบหน้าของเขาจะคล้ายกันมาก แต่นัยน์ตาของคนตรงหน้ากลับดูเป็นมิตรและอบอุ่นกว่าอย่างมากมาย ไม่ได้ดูดุเลย และที่แปลกไปกว่านั้นหัวใจของเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย
“มันทำเองแหละพี่ เพื่อนผมคนนี้มันเก่ง” วรวิทย์พูดแทรกขึ้น
“เฮ้ย จริงดิ” ภัครชัยประหลาดใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของผลงานพานธูปเทียนแพบายศรีพญานาคพานนั้น “แล้วชื่ออะไรล่ะเรา พี่ชื่อเต้ย อยู่ ม.4/1” เขาพยายามหาเรื่องชวนคุย ทั้งที่รู้ชื่อของรุ่นน้องคนที่ถามอยู่แล้ว เพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นของตัวเอง ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“ชื่อวิทย์ครับ อยู่ ม.3/6” วรวิทย์พูดแทรกขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ถามนาย นายน่ะพี่รู้จักอยู่แล้ว ซ้อมบอลด้วยกันอยู่ทุกวัน ไม่รู้จักก็บ้าแล้ว” จะว่าไปแล้ว ก็อยากจะเอากำปั้งตุบลงบนหัวของรุ่นน้องตัวแสบนี้จริงๆ
“พี่ก็รู้จักชื่อมันแล้วไม่ใช่หรอ เมื่อวานผมก็บอกพี่ไปแล้วไง”
ภัครชัยปั้นสีหน้าไม่ถูก คราวนี้เขาอยากจะบีบคอรุ่นน้องจอมป่วนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ขัดคอดีนัก
“ต้นครับ ผมชื่อต้น เรียนห้องเดียวกันกับไอ้วิทย์นี่แหละ สนิทกันด้วยครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับรุ่นน้องอีกครั้ง
เหมี๊ยว!!! เหมี๊ยววว...

ปล. ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถลงได้ ไว้อ่านในตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:44:33 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่5.1
เนื่องจากไม่สามารอัพตอนที่5ได้หมดในทีเดียว จิเลยขอเพิ่มตอนที่5.1 นะคะ

“เสียงมะ มะ แมว” วรวิทย์กระโดดเกาะแขนเพื่อนเอาไว้แน่น ความรู้สึกปวดหนึบๆที่บั้นท้ายหายไปซะดื้อๆ
เหมี๊ยว!!! เหมี๊ยววว...
ภาสกรกวาดสายตามองหาที่มาของเสียงนั่น แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของเสียงนั้นจะปรากฏตัว “เหมี๊ยวววว เหมี๊ยวววว” เขาทำเสียงเรียนแบบเพื่อเรียกเจ้าของเสียงที่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ออกมา “เหมี๊ยว” ทำเอารุ่นพี่ที่ช่วยกวาดสายตามองหาอีกแรง แอบหัวเราะเบาอย่างเอ็นดูในท่าทางความน่ารักของเขาไม่น้อย
“ไปเถอะมึง อย่าไปสนใจเลย” วรวิทย์เร่งเร้า เพราะเขาเคยมีอดีตฝั่งใจเกี่ยวกับแมวเป็นทุนเดิม
“เสียงเล็กขนาดนี้ ลูกแมวชัวส์มึงจะกลัวอะไรวะ”
“กูไม่ได้กลัว แต่กูแค่ไม่อยากเจอ” วรวิทย์คะยั้นคะยอให้เพื่อนไปจากตรงนี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“เหมี๊ยว เหมี๊ยว” เขาส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง “เหมี๊ยว เหมี๊ยว ออกมาเร็ว”
“นั่นไง มันอยู่บนนั้น” ภัครชัยน้ำเสียงตื่นเต้น ชี้ไปที่เจ้าลูกแมวสีสวาดตัวน้อย ที่กำลังยืนสั่นอยู่บนกิ่งต้นจามจุรีเพราะหาทางลงไม่ได้
เหมี๊ยววว...
“หนีแม่มาเที่ยวไกลขนาดนี้เลยหรอ ไอ้ดื้อ” ภาสกรเงยหน้าคุยกับเจ้าลูกแมวตัวจ้อยพลางส่ายหัวอย่างระอา มันเป็นตัวเดียวกันกับที่เขาส่งคืนอ้อมอกของแม่เมื่อวานนี้ เขาจำมันได้เพราะห่วงเชือกที่คอของมัน เขาเป็นคนหามาผูกให้มันกับมือ ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะซื้อปอกคอมาเปลี่ยนให้มัน
เหมี๊ยววว... เจ้าลูกแมวตัวน้อย ส่งสายตาอ้อนวนของความช่วยเหลือ ให้ช่วยพามันลงไปจากบนนี้ที
ภาสกรกวาดสายตามองหาสิ่งที่น่าจะเป็นตัวช่วยในการนำเจ้าลูกแมวตัวดื้อนี้ลงมาได้ เพราะกิ่งไม้ที่มันเกาะอยู่ก็สูงเกินกว่าที่ความสูงของคนจะเอื้อมถึง รอบบริเวรไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวช่วยได้เลย นอกจากโต๊ะม้าหินอ่อนที่หนักเกินไป เขาแกะมือเพื่อนที่เกาะแขนเขาเอาไว้แน่นเหนียวหนึบราวกับตีนตุ๊กแกออก เดินไปที่ต้นจามจุรี หวังจะปีนไปช่วยเจ้าลูกแมวตัวน้อยลงมา เพราะนี่น่าจะเป็นหนทางเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้ “ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยแกลงมาเอง” ท่ามกลางการจับตามองของใครอีกคน ที่ปราบปลื้มในความอ่อนโยนที่แข็งแรงของเขาไม่น้อย
 “ให้พี่ช่วยดีกว่า” ภัครชัยเดินตามหลังมาติดๆ อาสาปีนขึ้นไปพาเจ้าลูกแมวลงมาแทนรุ่นน้อง เขาตัวสูงกว่าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เขาเองก็เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ภาสกรหันมองคนตัวสูงอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของคนตรงหน้า “ระวังด้วยนะครับพี่” ก่อนจะถอยให้ทางกับรุ่นพี่ ยืนค่อยให้กำลังใจอยู่ไม่ไกล
เหมี๊ยววว...
ในที่สุดรุ่นพี่ก็พาเจ้าลูกแมวตัวดื้อลงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างปลอดภัย ภาสกรลูบหัวปลอบประโลมให้มันหายจากอาการหวาดกลัว “ขอบคุณครับ ถ้าไม่ได้พี่เจ้าเหมี๊ยวนี่คงแย่ ดูสิตัวมันยังสั่นไม่หายเลย”
“ไม่เป็นไร พี่ยินดี” ภัครชัยยิ้มเขินๆพลางลูบหัวเจ้าลูกแมวตัวดื้อไปด้วยอย่างเอ็นดู ทว่าสายตากลับจับจ้องที่แพขนตายาวของคนตรงหน้าไม่กระพริบ “แล้วเจ้าลูกแมวนี่มีชื่อหรือยัง”
“...” ภาสกรทำหน้าฉงนพลางส่ายหน้าเบาๆ
“พี่ขอตั้งชื่อให้มันได้ไหม?” คนที่อุ้มลูกแมวพยักหน้าย้ำๆ ยิ้มยินดี “ว่าแต่มันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”
ภาสกรจับมันหงายท้อง “น่าจะผู้ชายนะครับ มันมีไข่ด้วย”
“เป็นผู้ชาย ชื่ออะไรดีน๊า...” คนตัวสูงนึกคิดอยู่ชั่วครู่ก็นึกออก “ซนแบบนี้ ชื่อ...เทอร์โบดีไหม”
“เทอร์โบ” ภาสกรประหลาดใจกับชื่อ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร “ชื่อเท่ห์ไม่เบาเลย ชอบชื่อนี้ไหมเจ้าเหมี๊ยว”
เหมี๊ยววว... มันขานรับราวกับฟังภาษาคนออก สร้างเสียงหัวเราะให้กับทั้งคู่ได้ไม่น้อย
“แล้วจะเอาเจ้าเทอร์โบไปคืนแม่ของมันที่ไหนล่ะ”
“แม่และพี่น้องของมันอยู่ใต้บันใดอาคารสอง สงใสคราวนี้ต้องเอาโซ่มาล่ามไว้ซะแล้วล่ะ จะได้ไม่หนีออกมาเที่ยวอีก ครั้งก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว” เขาค้อนเจ้าลูกแมวในอ้อมแขนตัวเอง “ยังไงผมขอตัวเอามันไปคืนให้แม่มันก่อนนะครับ จะได้รีบไปเรียนต่อด้วย” รุ่นพี่เพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ “ป่ะไอ้วิทย์” เขาหันไปหาเพื่อน ที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่แถวนี้อยู่เลย ตอนนี้หายไปไหนซะแล้ว
“กูอยู่นี่”
   ภาสกรแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ รุ่นพี่ก็เช่นกัน เมื่อหันไปสบเข้ากับคนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ใต้โต๊ะม้าหินอ่อน
“เฮ้ย มึงเข้าไปทำอะไรตรงนั้น” เขาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ พาลให้รุ่นพี่ต้องหัวเราะตามไปด้วย
   “หัวเราะอะไรกัน” วรวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก คลานออกมาจากใต้โต๊ะมาหินอ่อนอย่างทุลักทุเล เพราะอาหารปวดที่บั้นท้ายยังไม่หายดี “เฮ้ย!!! อย่าเข้ามานะเว้ย” เขายกมือขึ้นเป็นปางค์ห้ามญาติ ไม่ให้คนที่อุ้มลูกแมวเข้ามาใกล้
   “อะไรของมึงเนี่ย กูยังไม่ได้ขยับอะไรเลย”
“เออ มึงอยู่ตรงนั้นแหละ” วรวิทย์ก้าวขยับอย่างระเวง “กูไม่ได้กลัว กูแค่ไม่อยากอยู่ใกล้ เข้าใจให้ตรงกันด้วย” พอรู้สึกว่าทางปลอดภัย ก็วิ่งแจ้นหายไปอย่างรวดเร็วลืมอาการปวดไปเลย ทิ้งให้เพื่อนกันรุ่นพี่มองหน้ากันอย่างงุนงง
“ไอ้วิทย์ นั่นมึง...”
“...”
   “สงสัยมันจะกลัวแมวเข้าเส้นจริงๆ” ภาสกรหัวเราะเบาไหวหัวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรุ่นพี่ “ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”
   “เออะ...เอ่อ เออ  เดี๋ยวต้น” ภัครชัยส่งเสียงดัง เรียกรุ่นน้องที่กำลังเดินจากไป จนเจ้าของชื่อหยุดชะงักแล้วหันกลับมาอย่างกะทันหัน
   “อะไรครับ” ภาสกรทำหน้าสงสัย
   “กะ กะ กลางวันนี้ พี่ขอไปนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยได้ไหม” ภัครชัยสีหน้ากังวลกับคำตอบไม่น้อย เขาขอมากเกินไปหรือเปล่า
   ภาสกรครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มองใบหน้าละห้อยของรุ่นพี่ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มหวานส่งให้เป็นการตอบรับ ทำเอาโลกสีหมองของรุ่นพี่กลายเป็นสีสดใสขึ้นมาชับพลับ คล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
   “แล้วเจอกัน” ภัครชัยยิ้มกว้างไม่หุบ
   รอยยิ้มหวานเมื่อครู่แทบจะหุบไม่ทันเมื่อหันมาสบเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครบางคน ที่มีอิทธิพลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจของเขา
    เหมี๊ยววว... เจ้าเทอร์โบในอ้อมแขนส่งเสียงร้องที่ไม่ปราถนา อ้อนเรียกความสนใจให้คนที่มาใหม่หันมองที่มัน ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! พาลให้เสียงหัวใจของเขาทำงานผิดจังหวะไปด้วย อยากจะทุ่มเจ้าลูกแมวตัวดื้อนี้ทิ้งเสียซะตรงนี้จริงๆ
   “มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมยังไม่ขึ้นเรียน” น้ำเสียงแข็งบวกกับใบหน้านิ่ง ทำให้คนที่อายุน้อยที่สุดต้องรีบหลุบตาลงต่ำในทันที นัยน์ตาคู่คมมองผ่านผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มของคนตรงหน้า ไปอย่างไม่สนใจเจ้าลูกแม่ขี้อ่อนในอ้อมแขนของรุ่นน้องตัวขาว ทั้งที่จริงแล้วเขาเองก็เอ็นดูในความหน้ารักของมันไม่น้อย ร่วมทั้งคนที่อุ้มมันด้วย อยากเอ่ยถามว่ามันมาจากไหนแล้วเข้าไปลูบหัวมันเบาๆ  แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องตีหน้ายักษ์ขนาดนี้
“เรียนสิ” คนด้านหลังตอบ “พอดีแวะมาเข้าห้องน้ำ”
ภาสกรเลิกลัก รีบก้าวเท้าออกจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีบทของตัวเอง พาเจ้าเทอร์โบไปคืนแม่ของมันก่อนจะขึ้นเรียนในชั่วโมงต่อไป
“อืม” บูรภัทรเพียงแต่พยักหน้า หันมองตามแผ่นหลังบ้างงของรุ่นน้องด้วยสายตาที่นิ่งเฉย ยากที่จะอ่านออกอีกเช่นเคยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ตั้งใจเรียนและกัน” เขาหันกลับมาส่งเสียงดังให้กับน้องชายตัวเอง หวังว่ารุ่นน้องจะได้ยินไม่มากก็น้อย
“อืม งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ยังไม่ได้เข้าเลย”
บูรภัทรเพียงแต่พยักหน้าตอบกลับเท่านั้น ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม แล้วเดินตามหลังน้องชายไปทำธุระส่วนตัวเช่นกัน
**********

ทำไมจิรู้สึกว่าพี่เต้ยดูน่ารักจัง ส่วนเจ้าวิทย์ก็ตลกมาก อมยิ้ม

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ
ขอบคุณนะคะ คุณ areenart1984 ที่ไม่ทิ้งจิเลย :mew1:

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 11:43:21 โดย Fuji_Sakura »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #18 เมื่อ11-02-2018 05:34:28 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #19 เมื่อ11-02-2018 08:50:10 »

ขอบคุณค่ะ ขอความอนุเคราะห์เว้นบรรทัดให้อีก  ได้ไหมคะ  อ่านยากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
« ตอบ #19 เมื่อ: 11-02-2018 08:50:10 »





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #20 เมื่อ12-02-2018 04:22:34 »

ตอนนี้หลานเต้ยเอาใจคนแก่ไปเต็ม ๆ เลย ส่วนวิทย์ก็น่ารักแบบต็อง ๆ ดี  :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #21 เมื่อ12-02-2018 06:40:23 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่6

ชั่วโมงวิทยาศาสตร์ นักเรียนจะต้องนั่งเรียนกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าถึงหกคนตามจำนวนโต๊ะภายในห้องที่จัดไว้  เหตุผลที่วิชานี้ต้องนั่งเรียนเป็นกลุ่ม ก็เพราะว่ามีการเรียนการสอนควบคู่กับการทดลองไปด้วยนั่นเอง แก๊งค์หล่อเหยียบเมฆและเพื่อนสาวอีกสองคนในกลุ่ม นั่งเรียนกันอยู่ที่โต๊ะด้านหลังมุมสุดของห้อง ตามใจคนที่ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของห้องไว้เมื่อเช้านี้   ขณะที่ครูประจำวิชากำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนอย่างขะมักเขม้นอยู่หน้าชั้นเรียน คนกอบกู้ชื่อเสียงของห้องก็นั่งหาวอ้าปากว๋อจนนับครั้งไม่ท่วน ภาสกรตบหน้าตัวเองพลางสะบัดหัวเบาๆเพื่อขับไล่อาการงัวเงียแต่ก็ไม่เป็นผล หนังตาคู่กลมนั้นหรี่ปรือจ้องจะปิดลงซะให้ได้ ราวกับว่ามีใครเอาของหนักมาถ่วงเอาไว้ ไม่ใช่เพราะครูสอนน่าเบื่อแต่อย่างใด คงเป็นเพราะเมื่อเช้าเขาตั้งใจตื่นเช้าเพื่อมาร่วมพิธีไหว้ครูให้ทัน เลยทำให้นอนไม่เต็มตื่น ไม่ถึงสองนาทีหลังจากที่ฝากให้วรวิทย์ที่นั่งเรียนข้างๆกันช่วยจดงานให้ เขาก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะหลับไปอย่างง่ายดาย โดยอาศัยร่างอวบของสนทยาช่วยพรางตัวเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันเฉียมคมรอดแว่นของครูผู้สอนไปได้อยู่ดี  ก้อนยางลบลอยจากหน้าชั้นเรียน ตกลงกลางหลังของคนที่นั่งฟุบหน้าหลับกับโต๊ะ นักเรียนในห้องต่างหันควับมองกันเป็นตาเดียว ส่วนเพื่อนที่นั่งเรียนกลุ่มเดียวกันต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่เป็นสุข เมื่อสายตาคู่ดุรอดแว่นของครูผู้สอนจ้องมองมาที่ร่างของคนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

“อะไรของมึงเนี่ย ไอ้เชี่ยวิทย์ ก็บอกว่าฝากจดให้หน่อย กูง่วง” ภาสกรสะดุ้งตื่น หันไปเอะอะใส่เพื่อนด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เพราะคิดว่าเพื่อนเป็นคนแกล้ง

“ชู่ววว...” วรวิทย์พยายามป้องมือปิดปากเพื่อนไม่ให้ส่งเสียงเอะอะ แต่ดูเหมือนว่าไม่ทันการเสียแล้ว

“ชู่ววว เชี่ยอะไรของมึง” เขาปัดมือเพื่อนที่หวังดีออก

วรวิทย์กรอกตาส่งซิกไปทางคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าชั้นเรียน คนเอะอะโวยวายถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ความงัวเงียเมื่อครู่หายเป็นบีดทิ้ง เมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาดุรอดแว่นของครูประจำวิชาเข้าเต็มๆ ภาสกรทำอะไรไม่ถูกนอกจากก้มหน้าลงต่ำอย่าสลด

“ภาสกร ง่วงมากใช่ไหม งั้นเชิญไปยืนหน้าห้องเรียนสักสิบนาทีหน่อยไหม จะได้หายง่วง” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม พร้อมกับผายมือเป็นการเชิญไปโดยปริยาย

“แต่...ว่าครูครับ...” ประโยคแก้ตัวยังไม่สมบูณร์ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อครูประจำวิชาถลึงตาดุใส่อีกครั้ง ลูกศิษย์เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆเกาหลังใบหูแกร่กๆ พยักหน้ายอมจำนนกับบทลงโทษแต่โดยดี

“ทำไมมึงไม่ปลุกกูวะ” ก่อนไปเขาหันมาขมุบขมิบปากส่งเสียงเบารอดไรฟัน พร้อมกับชี้หน้าคาดโทษใส่เพื่อนที่นั่งข้างๆ

“ใครจะไปรู้วะว่าครูจะหันมา กูก็นั่งจดงานอยู่ดีๆ”

“นายสองคนคุยอะไรกัน รบกวนสมาธิคนอื่นๆเขา” ครูประจำวิชากล่าวเสียงดังพร้อมกับใช้ไม้เรียวที่เอาไว้ขู่นักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียนตีลงที่โต๊ะเสียงดัง นักเรียนในห้องต่างพากันสะดุ้งขนลุกกันเป็นแถวๆ

“กะกะก็...” วรวิทย์ตะกุกตะกัก

“งั้นออกไปยืนทั้งคู่เลย อยากคุยกันดีนัก ยืนจนกว่าจะหมดชั่วโมงเลยนะ”

“โห...ครูครับ...” วรวิทย์พยายามจะอธิบาย แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อดวงตาคู่ดุรอดแว่นของครูประจำวิชาเขม็งมาที่เขา “ไอ้...เชี่ย...ต้น...ไอ้...สาด” เขาหันไปสบถใส่เพื่อนที่เปยยิ้มเย้ยเขาอย่างพอใจ อยากจะกระโดดบีบคอไอ้เพื่อนยากนี้ซะเหลือทน โทษฐานที่ทำให้เขาซวยติดร่างแหไปด้วย

สองเพื่อนซี้เดินคอตกออกนอกห้อง ปฏิบัติตามบทลงโทษด้วยการยืนขาเดียวกางแขนคาบไม้บรรทัดตามที่ครูสั่งอย่างเคร่งครัด แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก ครูได้ให้ความสนใจกับการเรียนการสอนนักเรียนในห้องมากกว่าที่จะจับตามองพวกเขาสองคน ภาสกรเป็นฝ่ายเริ่มเลิกคาบไม้บรรทัด ลดแขนลงพร้อมกับกลับมายืนสองขาพิงกับผนังห้องอย่างสบายก่อน ก่อนที่วรวิทย์จะปฏิบัติตาม

“เพราะมึงเลย กูเลยซวยไปด้วย” พอปากไม่ได้คาบไม้บรรทัด วรวิทย์คงบ่นไม่เลิก

“มึงเลิกบ่นเป็นคนแก่ได้เปล่าวะ ต่อให้มึงนั่งอยู่ในห้องมึงก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี อย่าทำเป็นตั้งใจเรียนหน่อยเลย”

“เออๆก็ได้ ที่มึงพูดก็ถูก” วรวิทย์เลยเลิกบ่น ยืนพิงผนังห้องอย่างเงียบ

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองลงไปยังถนนหน้าอาคารเรียนจากชั้นสอง เลื้อนไปยังสนามหญ้าหน้าเสาธงอย่างเรื่อยเปื่อย ก่อนจะกวาดสายตาไปสบเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครบางคน ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนจดงานตาที่ครูประจำวิชาสอนอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ที่ลานโต๊ะม้าหินอ่อนข้างห้องปกครอง ระยะทางการมองเห็นอาจจะไกลไปนิด แต่ด้วยลักษณะที่โดดเด่นจนสะดุดตาจนจำได้เพียงไม่กี่ครั้งที่เจอ บวกกับใบหน้าหล่อคมเข้มบึ้งตึงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ภาสกรมั่นใจล้านเปอร์เซ็นเลยว่า เป็นรุ่นพี่คนเดียวกันกับคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงผิดจังหวะแน่ๆ ใบหน้าหวานเผลอจุดยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลราวกับต้องอยู่ในภวังค์ ขณะที่คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับรุ่นพี่คนดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะที่หัวใจของเขากำลังเต้นแรง ต่อมแห่งความสุขก็ทำงานไปด้วยพร้อมๆกัน เขาได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองปนกับความสับสนลึกๆว่าทำไมต้องยิ้ม พาลให้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆสงสัยไปด้วย

“ยิ้มอะไรของมึง” วรวิทย์พูดแทรกขึ้นขัดจังหวะคนที่ตกอยู่ในภวังค์

“เปล่า” ภาสกรหุบยิ้มกระทันหัน “ยิ้มเชี่ยอะไร กูไม่ได้ยิ้ม” ยืนยันเสียงสูง

“ก็กูเห็นว่ามึงยิ้มอยู่เนี่ย” วรวิทย์ยืนยันหนักแน่น

“มึงตาฝาดแล้ว”

“ตาฝาดเชี่ยไร แต่เออ ช่างแม่งเถอะ” เขาขี้เกียดต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เพื่อนที่ไม่ยอมรับความจริง ก็เห็นๆอยู่ว่าแม่งยิ้มชัดๆยังจะปฏิเสธหน้าตายอีก คนปากแข็งขำในใจ เวลามีปากเสียงกันที่ไรไอ้เพื่อนยากไม่เคยเถียงชนะเขาได้สักครั้ง “เออไอ้ต้น”

“ว่า?”

“พอดีกูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า กูมีเรื่องอะไรจะบอก” วรวิทย์เปลี่ยนเรื่องคุยฆ่าเวลา

“เรื่องอะไร?” ใบหน้าหวานปรากฏเครื่องหมายคำถาม

“คือเมื่อวานตอนเย็นเว้ย ตอนที่กูเลิกซ้อมบอลมีคนเขาถามชื่อมึงกับกูด้วยนะ” เขาทำเสียงกระซิปกระทราบชวนตื่นเต้น

“มึงจะบิ้วเพื่อ”

“อ้าว มึงไม่ตื่นเต้นหรอ” น้ำเสียงกลับมาปกติ

“แล้วใครว่ะ ที่ถามชื่อกู” เขาสงสัยเล็กน้อย

“ก็คนที่ช่วยมึงเอาลูกแมวลงมาจากต้นไม้นั่นแหละ”

ภาสกรนึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ๋อออ คิดว่าใคร พี่เต้ยน่ะเหรอกูรู้แล้ว” วรวิทย์ทำหน้าฉงน เขายังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับใคร แล้วเพื่อนรู้ก่อนได้ไง “ก็มึงหลุดออกมาตอนที่พี่เขาถามชื่อกูหน้าห้องน้ำไปแล้วไง”

“เออว่ะ จริงๆด้วย” วรวิทย์แค่นยิ้มเกาหัวแก้เขิน

“แล้วนอกจากถามชื่อกู เขาถามอะไรมึงอีกไหม” ภาสกรนึกสงสัย

“อืม... ก็ถามเรื่องทั่วไปแหละมึง ว่ามึงชื่อไร เป็นเพื่อนกับกูเหรอ อะไรประมาณะนี้”

“เออ...” ภาสกรตอบสั้นๆ

“แต่กูว่า แปลกๆแม่งๆว่ะ” เขาจุดประเด็นอีกครั้ง

“แปลกยังไงวะ”

“กูสังเกตเห็นสายตาที่พี่เขามองมึงนะ มันไม่เหมือนกับการมองแบบมองคนทั่วไป มันเยิ้มจนมดจะขึ้นเลยนะเว้ย”

“เฮ้ย มึงอ่ะคิดมาก ตาพี่เขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเปล่าว่ะ” ภาสกรขย้อนหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง เขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ว่าสายตาของรุ่นพี่ที่มองเขามันมีความแปลกๆแฝงอยู่ แต่ก็พยายามจะไม่คิดอะไร บางทีรุ่นพี่อาจจะมองทุกคนด้วยสายตาแบบนี้ก็ได้ แต่ที่แปลกแน่ๆ คือการขอมาร่วมโต๊ะอาหารกลางวันด้วยนี่สิ และที่แปลกไปกว่านั้นเขาเองก็ตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ถ้าเพื่อนจอมป่วนรู้เข้า มิวายจับคู่ผู้ชายคนใหม่ให้เขาเพิ่มอีกคนเป็นแน่

“มึงจะไม่ให้คิดมากได้ไง ก็กูหวงมึงนะ” วรวิทย์ทำตาเยิ้มขบริมฝีปากล่างใส่เพื่อนสนิท
 
“หวงเหิงห่าอะไร มึงอย่ามาแกล้งตลก กูไม่ขำ” ภาสกรหน้าชารู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว กับท่าทางของเพื่อนซี้

“กูไม่ได้แกล้ง กูหวงมึงจริงๆ ไอ้ต้น” วรวิทย์น้ำเสียงหนักแน่น เขยิบตัวเข้ามาใกล้

“ไม่เล่น ไอ้วิทย์ กูไม่เล่น” ภาสกรหลับตาปี๋ ใช้แขนสองข้างดันอกของเพื่อนที่โน้มหน้าเข้าใกล้แก้มตัวเองเอาไว้

“...”

วรวิทย์ส่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างพอใจ ที่แกล้งเพื่อนได้สำเร็จ “กูแย่มึงเล่น” เขาขยี้กลุ่มผมของเพื่อนที่ยืนตัวสั่น หน้าซีดเป็นไข่ต้ม

ภาสกรผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ตามด้วยประทับฝ่ามือทิ้งลงที่หัวของเพื่อนซี้หนึ่งครั้งเต็มแรง “กูใจหายหมด เล่นเชี่ยอะไรของมึง” เขาไม่ได้รังเกลียดการรักเพศเดียวกันแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อครู่เขายังไม่ได้ตั้งตัว และไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะรักเพศเดียวกัน และที่สำคัญเป็นเขาเอง

“โอ้ยยย” วรวิทย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด บอกกับอาการมึนจากแรงกระแทรกด้วยฝ่ามือ

“เสียงดังอะไรกัน ยืนหน้าห้องไม่ถึงใจใช่ไหม หรืออยากไปยืนตากแดกกลางสนาม” เสียงสีโต๊ะดังพร้อมมากับขู่จากในห้อง สองเพื่อนซี้มองหน้ากันเลิ่กลั่กรีบคาบไม้บรรทัดแล้วกลับไปยืนท่าแรกเริ่ม

“...”

“...”

“แต่กูว่าพี่เต้ย แม่งแปลกจริงๆนะ” วรวิทย์เสียงอู้อี้ เพราะคาบไม้บรรทัด วกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง

“หุบปากไปเลยมึง” ภาสกรถลึงตาใส่เพื่อนเสียงอู้อี้ไม่ต่างกัน “กูไม่อยากไปยืนตากแดดกลางสนาม”

**********

โรงอาหารของโรงเรียนยังเนื่องแน่นไปด้วยนักเรียนจำนวนมากเหมือนเช่นเคย ภาสกรเท้าคางมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างเบื่อหน่าย ระหว่างที่นั่งจองโต๊ะตามที่ให้สัญญาไว้กับวรวิทย์ วรวิทย์อาสาไปต่อแถวซื้อน้ำ ส่วนบดินทร์ไปต่อแถวซื้อข้าวแล้วอาสาซื้อเผื่อคนที่อาสาไปซื้อน้ำด้วย ส่วนคนที่นั่งจองโต๊ะ.... ต้องดูแลตัวเอง

ภัครชัยในมือถือจานข้าวพร้อมกับขวดน้ำเปล่า เดินมุ่งหน้ามายังโต๊ะที่รุ่นน้องที่เขาขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย
“พี่ขอนั่งด้วยคนนะ” เขาขออนุญาตเจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่ก่อนหน้าอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มให้ เมื่อคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าพยักหน้าตกลง เขาก็วางจานข้าวพร้อมกับขวดน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เพื่อนๆไปไหนกันหมด” เขาเป็นฝ่ายชวน เมื่อเห็นรุ่นน้องนั่งเงียบๆ

“วันนี้ผมอาสาจองโต๊ะครับ วิทย์ไปซื้อน้ำ ส่วนดินทร์ไปซื้อข้าว”

“แล้วนี่ เราฝากดินทร์ซื้อข้าวเหรอ”

“เปล่าครับ” รุ่นน้องสายหน้า “ดินทร์มันถือมาสามจานไม่ไหวหรอก แต่ผมฝากวิทย์ซื้อน้ำไปแล้วครับ เดี๋ยวรอพวกมันกลับมาแล้วผมค่อยไปซื้อข้าว”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อข้าวให้นายดีกว่า เพื่อนๆกลับมาจะได้กินพร้อมกัน” จบประโยคคนอาสาไปซื้อข้าวให้ก็ลุกพรวดเดินไปต่อแถวร้านข้าวราดแกง โดยไม่รอคำตอบใดๆจากรุ่นน้อง คนนั่งจองโต๊ะได้แต่มองตามหลัง จะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจัดการเอง ก็ดูเหมือนว่าไม่ทันการเสียแล้ว

วรวิทย์กลับมาที่โต๊ะเขาจัดการแจกจ่ายน้ำที่เพื่อนฝากซื้อวางไว้ในตำแหน่งที่เพื่อนนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่บดินทร์กลับมาพร้อมกับจานข้าวที่เขาฝากซื้อเช่นกัน ก่อนจะสะดุดเข้ากับจานข้าวและขวดน้ำเปล่าที่อยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัยว่าเป็นของใคร คงไม่ใช่ของคนที่อาสานั่งจองโต๊ะไว้แน่ๆ เพราะกับข้าวในจานนั้นมีแตงกวาอยู่ด้วย เขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ไม่ชอบกินแตงกวา

“ข้าวใครว่ะไอ้ต้น” วรวิทย์ถามด้วยความสงสัย

“ของพี่เต้ย พี่เขาขอนั่งด้วย”

“ห๊ะ พี่เต้ย พี่เต้ยไหน” วรวิทย์เสียงดัง

“ก็พี่เต้ยเดียวนั่นแหละ มึงจะเสียงดังเพื่อ”

“พี่เต้ย นักบอลอ่ะนะ”

“เออ”

“แล้วตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะ”

“ไปซื้อข้าวให้กู นู้น...” ภาสกรโบ้ยหน้าไปทางร้านข้าวราดแกงที่รุ่นพี่อาสาไปต่อแถวซื้อข้าวให้เขา

“ถึงกับไปซื้อข้าวให้กันด้วยเหรอ” วรวิทย์พูดเบาๆในลำคอ จะไม่ให้เขารู้สึกว่ามันแปลกได้ยังไง สายตาที่รุ่นพี่มองเพื่อนรักของเขา มันหวานเยิ้มซะขนาดนั้น คนทั่วไปที่ไหนเขามองกัน และตอนนี้ยังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มาขอนั่งร่วมตัวกินข้าวด้วยทั้งที่ไม่ได้สนิทกัน แถมยังไปซื้อข้าวกันให้ด้วย ไม่ให้คิดอย่างที่ใจคิด แล้วจะให้คิดแบบไหน

“กินข้าวเถอะ” บดินทร์ตัดบท

“พี่ไม่ทันถามว่าต้นจะกินอะไร พอดีเมื่อวานพี่เห็นนายกินผัดกระเพรากับหมูกรอบ เลยสั่งแบบเดินมาให้” ภัครชัยกลับมาพร้อมกับจานข้าวราดด้วยกับข้าวสองอย่างเหมือนเมื่อวาน เขาส่งจานข้าวให้รุ่นน้องก่อนจะนั่งประจำที่
 
“ขอบคุณครับ ผมชอบกินผัดกระเพรากับหมูกรอบนี่แหละ มันง่ายดี” ภาสกรไม่ได้กล่าวเอาใจคนไปต่อแถวซื้อข้าวมาให้แต่อย่างใด กับข้าวที่รุ่นเลือกมานั้นถูกปากเขาจริงๆ “นี่ครับ” เขาหยิบเงินจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนส่งให้ ท่ามกลางการจับตามองของเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” ภัครชัยปฏิเสธไม่รับเงินจากรุ่นน้องอย่างที่เขาตั้งใจไว้อยู่แล้ว พลางส่งยิ้ม

“ขอบคุณครับ” ภาสกรกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ลึกๆแล้วก็เกร็งๆกับการกระทำของรุ่นพี่ที่ยากจะเดาได้เช่นกัน ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงทำดีกับเขา

“อยากมีคนเลี้ยงข้าวแบบนี้บ้างจัง เนาะไอ้ดินทร์เนาะ” วรวิทย์ที่นั่งดูเหตุการณ์ กล่าวขึ้นลอยๆ พร้อมกับตีเนียนตักชิ้นหมูในจานข้าวของเพื่อนที่นั่งข้างๆเข้าปาก

“ก็หัดทำตัวให้น่ารักเหมือนต้นสิ” รุ่นพี่หันไปกล่าวกับคนที่นั่งข้างๆ ทำเอาคนที่นั่งตรงข้ามหน้าร้อนผ่าวไปชั่วขณะเลยทีเดียว

“กินข้าวเถอะครับ พี่อย่าไปสนใจคำพูดของไอ้วิทย์มันเลย มันชอบกวนประสาทแบบนี้แหละ” ภาสกรตัดบท ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว ด้วยอาการที่หลากหลาย

“ขอนั่งด้วยอีกสองคนได้ไหม” คนมาใหม่กล่าวเสียงนิ่ง ในมือถือจานข้าวมาสองจาน

“เสียงนั่น คุ้นๆ” ภาสกรได้แต่คิดในใจไม่ได้หันไปมอง ทว่าหัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ได้ครับ” บดินทร์พยักหน้าตบรับโดยไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมโต๊ะสักคำ เพราะเห็นว่าเมื่อวานก็นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน

“อ้าวพี่เต้ นั่งด้วยกันอีกแล้วนะ โลกกลมนะเนี่ย” ภัครชัยกล่าวทักทายคนมาใหม่ พ่วงตำแหน่งพี่ชายสายเลือดเดียวกันกับเขา

“อืม” บูรภัทรตอบสั้นๆ พร้อมกับวางจานข้าวลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งที่ว่างข้างๆกับรุ่นน้องตัวขาว ที่จริงแล้วโต๊ะในโรงอาหารยังพอมีว่างอยู่บ้าง แต่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาตั้งใจและเจาะจงเลือกโต๊ะนี้

“แล้วตุ้มล่ะ”

“ไปซื้อน้ำ เดี๋ยวมา”

ไม่ทันขาดคำ คนที่น้องชายถามหาเมื่อครู่ ก็กลับมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ เธอวางแก้วน้ำของตัวเองและของแฟนหนุ่มลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างๆกับเขา บูรภัทรเขยิบตัวไปทางรุ่นน้องเพื่อแบ่งที่นั่งให้กับแฟนสาว แต่ดูเหมือนเขาจะจงใจเขยิบเข้าใกล้รุ่นน้องมากเกินไปแล้ว เหลือพื้นที่ว่างไม่ถึงคืบ จนรุ่นน้องต้องเป็นฝ่ายเขยิบออกห่างเอง

ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! หัวใจของภาสกรเต้นรัวแรงขึ้น เมื่อชำเรืองเห็นเสี่ยวหน้าขมเข้มของคนที่เขยิบเข้าใกล้ กลิ่นกายหอมทวีความอ่อนไหวเป็นที่สุด

“นั่งได้ไหมตุ้ม ให้พี่เขยิบอีกหน่อยก็ได้นะ” แฟนสาวไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็เขยิบเข้าใกล้รุ่นน้องไม่เลิก คราวนี้แทบไม่เหลือพื้นที่ว่างไว้ให้ผิวได้หายใจกันเลยเดียว ภาสกรไม่รู้จะเขยิบหนียังไง ขืนเขาเขยิบอีกนิดมีหวังตกโต๊ะหงายท้องเป็นแน่

“ที่ก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ นั่งไม่พอหรือไง” เขาได้แต่บ่นในใจไม่กล้าออกเสียง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไม

“พี่เต้ พี่เบียดน้องต้นมากไปแล้ว ฝั่งตุ้มว่างออกเยอะแยะ เดี๋ยวน้องก็ตกโต๊ะหรอก” ภัครชัยกล่าวขึ้น เมื่อสบตากับสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่งตรงข้าม และเห็นว่าพี่ชายนั่งเบียดรุ่นน้องมากเกินไปจริงๆ

“อ้าวหรอ ก็เห็นนั่งนิ่งไม่พูดอะไร” บูรภัทรกล่าวนิ่งๆอย่างหน้าตาเฉย พร้อมกับเขยิบกลับมานิดหนึ่ง แค่นิดหนึ่งจริงๆ

“เราไปทำอะไรให้แม่งไม่พอใจว่ะ นี่มันตั้งใจแกล้งกันชัดๆ”

“บ่ายนี้ มีงานเปิดโลกกิจกรรม นายเลือกชมรมไว้ยังต้นว่าจะเข้าชมรมอะไร” บดินทร์ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนเอาแต่นั่งนิ่งกินข้าวอย่างเดียว ไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน  คนถูกถามเพียงแต่ส่ายหน้าไปมา

“ชมรมถ่ายภาพก็ดีนะโว้ย ชมรมนี้สาวๆลงเยอะ” วรวิทย์เสนอตัวเลือก

“พี่ว่าชมรถจิตอาสาก็ดีนะ ได้ทำคนความดีช่วยเหลือคนอื่นด้วย” ภัครชัยตั้งใจจะเข้าชมรมนี้อยู่แล้วเลยเสนอตัวเลือกอีกทาง

“ชมรมศิลปะการแสดงก็น่าจะโอเคสำหรับน้องนะคะ พี่ว่าหน้าตาอย่างน้องชมรมนี้อยากได้ตัวมากเลยแหละ” ผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะเสนอเพิ่มอีกหนึ่งตัวเลือกเช่นกัน

“ขอคิดดูก่อนนะครับ” ภาสกรตอบปัดๆ

“แล้วพี่เต้ล่ะคะ เสนอชมรมไหน” พิมลวรรณหันไปถามแฟนหนุ่ม ที่นั่งกินข้าวอย่างไม่สนโลก

“ก็ชมรมเดิมนั่นแหละ”

“แหม่ๆ รักเดียวใจเดียวจังเลยนะคะ” หญิงสาวกล่าวประชดแบบไม่จริงจัง

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงนักเรียนสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้า เมื่อลวงหยิบขึ้นมาก็พบว่าเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ของหญิงสาวต่างโรงเรียนคนเดิม เขาเลือกที่จะไม่กดรับสายเธอในตอนนี้ เพราะไม่อยากเป็นที่จับจ้องของเพื่อนร่วมโต๊ะ ก่อนจะรวบช้อนส้อมเพราะอิ่มพอดี

“พวกมึงแม่งแดกห่าช้าอีกแล้ว กูไปก่อนนะ” เขาบอกกับเพื่อนทั้งสองที่นั่งอีกฝั่ง พร้อมกับหยิบจานข้าวแล้วแก้วน้ำแล้วลุกเดินเอาไปเก็บ ก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารไป

“รอพี่ด้วย พี่อิ่มพอดี” ภัครชัยรวบช้อนส้อม แล้วรีบลุกตามรุ่นน้องออกไปติดๆ พี่ชายสายเลือดเดียวกันได้แต่มองตามหลัง นึกสงสัยไม่ต่างจากรุ่นน้องที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกสองคนที่เหลืออยู่ ว่าสองคนนั้นไปสนิทสนมกันตอนไหน

**********
ตอนที่6ยังมีต่อนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Fuji_Sakura

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่6.1

หลังจากพ้นเขตโรงอาหาร ภาสกรก็เดินคุยโทรศัพท์มาเรื่อย จนมาหยุดนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ซุ้มไม้เลื้อยหน้าห้องสมุดที่ประจำ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีรุ่นพี่ตามเขามาติดๆ “ครับ ผมยังไม่รับปากนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะโทรกลับไป” ตามคาดพลอยไพลินโทรมาตื๊อชวนไปกินไอศกรีมเหมือนเดิม ภาสกรกดตัดสายทันทีเมื่อตกลงกับปลายสายเรียบร้อย

“คุยเสร็จแล้วหรอครับ ถึงว่ารีบออกจากโรงอาหาร ที่แท้ก็ออกมาคุยโทรศัพท์กับแฟนนี่เอง” ภัครชัยไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง เขาแค่จะตามมาอยู่เป็นเพื่อนรุ่นน้องเท่านั้น และจากที่เห็นรุ่นน้องคุยโทรศัพท์ เขาก็สันนิฐานเองว่าคนในสายที่รุ่นน้องสนทนาด้วยเมื่อครู่ ต้องเป็นแฟนแน่ๆ ไม่อย่างงั้นไม่ออกมาคุยส่วนตัวแบบนี้

“พี่พลอยไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ” ภาสกรรีบแย้งกลับ

“อ้าวหรอ พี่ก็คิดว่าคุยกับแฟนซะอีก” ภัครชัยรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ที่รุ่นน้องตอบกลับมาอย่างนั้น ก่อนจะเดินไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย

“เปล่าครับ เราพึ่งเจอกันเมื่อวานนี้เอง พี่เขาขอเบอร์ผมไป แต่ผมก็ไม่ได้ซื่อจนดูไม่ออกว่าพี่เขากำลังจีบผมอยู่”

“จีบหรอ” ภัครชัยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด รุ่นน้องเป็นคนหน้าตาดีจัดว่าน่ารักเลยที่เดียว ไม่แปลกที่จะมีสาวๆมาตามจีบ หนุ่มๆอย่างเขายังจะอดใจไว้ไม่อยู่เลย

“ประมาณนั้นแหละพี่ แต่ผมก็แค่คุยด้วยเฉยๆนะ ไม่ได้คิดอะไร”

“ทำไมละ เธอไม่สวยหรอ”

“เปล่า พี่พลอยก็โอเคนะ หน้าตาสวย แต่ผม... รู้สึกเฉยๆ คิดกับแกแค่พี่น้องมากกว่า”

“ไม่ตรงสเป๊กอ่ะดิ”  รุ่นพี่พูดติดตลก ส่งยิ้มเป็นกันเอง

“ประมาณนั้นมั้ง” รุ่นน้องอดที่จะส่งยิ้มกลับพลางหัวเราะเบาไปด้วย

“แล้วสเป๊กนายเป็นแบบไหน”

“ผมไม่มีสเป๊กหรอก ถ้าชอบก็ชอบเลย” เขาตอบแบบไม่เข๊อะเขิน ราวกับคนตรงหน้าสนิทกันมาก่อน

“แล้วกับผู้ชายล่ะ สเป๊กนายชอบแบบไหน” ภัครชัยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ทว่าเมื่อคนถูกถามหุบยิ้มแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จ้องหน้าเขาทำตาปริบๆด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย  เขาก็แกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนเฉไปเป็นเรื่องตลก “พี่ล้อเล่น”

“โหพี่ ผมใจหายหมดเลย” ภาสกรคิดว่าสิ่งที่เขาและเพื่อนสนิทคิดจะเป็นจริงเสียอีก “ว่าแต่พี่ตามผมมาทำไม”

“คือ...พี่เห็นว่านายยังไม่ได้เลือกชมรม ก็เลยจะมาชวนไปเข้าชมรมด้วยกัน” เขาใช้เรื่องการเลือกชมรมเป็นข้ออ้าง ที่จริงแล้ว เขาอยากอยู่กับรุ่นน้องสองต่อสองเท่านั้นเอง

“ชมรมจิตอาสานั่นเหรอพี่ ผมก็สนใจนะ แต่ผมขอปรึกษาวิทย์กับดินทร์มันดูก่อน”

“ฮั่นแน่ แอบมาจู๋จี๋กันอยู่ที่นี่สองคนนี่เอง” วรวิทย์ส่งเสียงมาก่อนตัว ระหว่างเดินคู่มากับบดินทร์

“จู๋จี๋พ่องมึงสิ ตลกละไอ้เชี่ยวิทย์” ภาสกรรีบหันไปสบถใส่เพื่อนที่กำลังเดินมา กลบเกลื่อนความรู้สึกบ้างอย่าง “พี่เต้ยเขามาชวนกูไปเข้าชมรมด้วยกันเว้ย ไอ้ห่า”

“ชมรมจิตอาสาอ่านะ” คนมาใหม่ถามขณะนั่งลงร่วมโต๊ะข้างๆกับเพื่อนสนิท รุ่นพี่เพียงแต่พยักหน้า

“ชมรมนี้ก็น่าสนใจอยู่นะครับ แต่ผมได้ข่าวมาว่ามันต้องออกไปทำกิจกรรมค่ายอาสาด้วย ผมห่างบ้านไม่ได้เลยขอบายดีกว่า” บดินทร์หน้าเหยเกพลางส่ายหน้า

“มีออกค่ายด้วยหรอพี่” หัวหน้าแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆถึงกับตาลุกวาว เมื่อได้ฟังรายละเอียดคร่าวของชมรม เขาใฝ่ฝันอยากออกค่ายทำกิจกรรมแบบนี้มานานแล้ว แต่ปีที่ผ่านๆมาชมรมจิตอาสาเปิดรับแค่นักเรียนระดับชั้น ม.ปลาย เท่านั้นเลยไม่ได้สนใจอะไร มาปีนี้ได้รับอนุมัติจากครูที่ปรึกษาชมรม ให้รับนักเรียนในระดับชั้น ม.3 ผู้ที่สนใจเข้าร่วมด้วย

“พวกมึงใครจะอยู่ชมรมนี้กับกูบ้าง กูตัดสิ้นใจจะเข้าชมรมนี้แหละ” ภาสกรหันไปถามเพื่อนซี้ทั้งสองคน ที่นั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา

“กูตั้งใจว่าจะเข้าชมรถถ่ายภาพแล้ววะ” วรวิทย์ตอบอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก

“เฮ้ยไอ้วิทย์ เวลาออกค่าย มึงก็เอากล้องไปตามเก็บภาพพวกกูก็ได้นี่หว่า” ภาสกรโอบไหล่เพื่อนที่ตั้งใจเข้าชมรถถ่ายภาพพลางตบเบาๆโน้มน้าวความสนใจ “แถมยังได้ทำความดี ได้เที่ยวอีกนะเว้ย ส่วนมึงไอ้ดินทร์ ไหนๆมึงยังไม่ได้เลือกชมรมอะไรกับเขา ก็อยู่ชมรมเดียวกันกับกูกับไอ้วิทย์นี่แหละ เดี๋ยวกูชวนสนทยากับมุกดาไปด้วยมึงจะได้ไม่เหงา ห่างบ้านวันสองวันไม่เป็นไรหลอก กูอนุญาตให้มึงขนหนังสือไปอ่านได้เต็มที่เลย ตกลงตามนี้นะ” หัวหน้าแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆมัดมือชกเพื่อนซี้ทั้งสอง โดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ตัดสินใจ “ตกลงครับพี่เต้ย ผมกับเพื่อนๆ จะเข้าชมรมเดียวกับพี่และเดี๋ยวผมชวนเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนไปด้วย”
“มึงไม่ถงไม่ถามสุขภาพกูสักคำเลย” วรวิทย์กล่าวลอย ยอมจำนนต่อการตัดสินใจของหัวหน้าแก๊งค์ ขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่
“อ้าว ก็เห็นพวกมึงเงียบกูก็คิดว่าตกลง เออน่าตรงลงตามนี้กันนี่แหละ ไปเป็นจิตอาสานะโว้ย ไม่ได้ไปตาย พวกมึงกลัวอะไรกันวะ”

“โอเค โอเค งั้นเดี๋ยวบ่ายนี้พี่เอาใบสมัครมาเผื่อพวกนายเลยแล้วกัน เออต้น มีขอเบอร์ติดต่อหน่อยสิ มีอะไรจะได้โทรหา” ภัครชัยถือโอกาสนี้ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้รุ่นน้องกดเบอร์โดนพลอยโจน ภาสกรรับโทรศัพท์จากรุ่นพี่ไปกดเบอร์ของตัวเองอย่างว่าง่าย ก่อนจะส่งคืนให้ ทว่ากลับสบเข้ากับแววตาที่รุ่นพี่มองมาที่เขามันแฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่จะโทรหา พี่ไปละ”

วรวิทย์มองรุ่นพี่นักกีฬาด้วยกันเดินจากไปจนสุดระยะสายตา เขาสังเกตเห็นว่าแววตาคู่นั้นของรุ่นพี่ที่มองเพื่อนตัวเองขณะกดเบอร์โทรศัพท์ มันหยาดเยิ้มแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยเห็นจากรุ่นพี่มาก่อน ทั้งที่ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน

“กูว่าพี่เต้ยแม่งแปลกๆ ว่ะ” วรวิทย์กล่าวในสิ่งที่เขาสัมผัสได้

“มึงอ่ะคิดมาก” ภาสกรตัดบท ไม่อยากให้เพื่อนพูดต่อในสิ่งที่เขาคิดตรงกันกับเพื่อน ไม่พูดเงียบๆไว้ ก็ไม่มีอะไร

“เออต้น นายไปบอกกับพี่เขาแบบนั้นนายแน่ใจได้ยังไงว่าสนทยากับมุกดาจะยอมเข้าชมรมด้วยกัน”

“เรื่องนี้กูยังไม่ทันได้คิดเลยว่ะ แต่มึงไม่ต้องกังวลไปไอ้ดินทร์ แค่กูบอกว่าชมรมนี้มีผู้ชายหล่อๆเยอะ ขี้ข้านว่าสองคนนั้นจะลงชื่อก่อนพวกเราซะอีกอีก”

ระหว่างที่หนุ่มๆแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆกำลังนั่งปรึกษากันอยู่นั้น วรวิทย์ก็หันไปสบเข้ากับร่างสูงโปร่งและแฟนสาวของเขาที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันก่อนหน้านี้ กำลังเดินมุ่งมาทางที่พวกเขานั่งอยู่

“ไอ้ต้น ไปเตะบอลกัน” วรวิทย์เอ่ยชวน เขาเริ่มสัมผัสได้ว่ารุ่นพี่ที่กำลังเดินมากับเพื่อนของตัวเอง ไม่ค่อยลงเส้นกันเท่าไร

“ไม่อ่า มึงไปเถอะ”

“มึงแน่ใจ เออ งั้นก็ไปละ ป่ะไอ้ดินทร์” วรวิทย์คว้าข้อมือเพื่อนอีกคนติดไปด้วยโดนไม่ถามความสมัครใจเลยสักคำ
 
ภาสการมองเพื่อนซี้ทั้งสองวิ่งเตะลูกกลมๆไปมาในลานคอนกรีตด้วยความเพลิดเพลิน อดที่จะขำไม่ได้เมื่อคนที่ถูกลากไปเล่นด้วยอย่างไม่สมัครใจ แตะพลาดจนก้นจ้ำเบ้าไปหลายรอบ

“อ้าวน้อง...” ภาสกรหันไปตามเสียงที่ส่งมาจากทางด้านหลัง ปรากฏร่างเล็กขอหญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันก่อนหน้านี้ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะเบนสายตาไปสบเขากับใบหน้านิ่งของร่างสูงโปร่งอีกคนที่มาด้วยกันแล้วรีบหลุมตาลงต่ำโดยอัตโนมัติ

“เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ ว่าแต่พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า”

“พอดีพี่กำลังจะไปชมรมศิลปะการแสดง เห็นน้องนั่งอยู่คนเดียวเลยเข้ามาทัก เผื่อจะสนใจเข้าชมรมเดียวกัน”

“ผมคิดได้แล้วครับ ว่าจะเข้าชมรมอะไร ขอบคุณนะครับที่ชวน” เขากล่าวพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ

“แย่จังเลย เสียดายหน้าตาน้องมากเลยนะ ปีนี้ชมรมพี่ก็คงหาพระเอกละครเวทียากอีกแล้วล่ะสิ ว่าแต่ชมรมที่น้องเลือกชมรมอะไรเหรอ”

“ชมรมจิตอาสาครับ”

“จิตอาสาอีกแล้วหรอ ชมรมนี้เป็นศูนย์รวมผู้ชายหน้าตาดีหรือยังไงนะ แฟนพี่ก็...”

“พี่ว่าตุ้มรีบไปชมรมเถอะ ถ้าไปถึงช้าคนเยอะ ยื่นใบสมัครไม่ทันไม่ได้เข้าชมรมพี่ไม่รู้ด้วยนะ” คนที่เธอหันไปหาพูดแทรกขึ้น

“จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวก่อนนะ” เธอหันมาคุยกับรุ่นน้อง
 
“ครับพี่”

บอกลารุ่นน้องเสร็จ เธอก็เดินนำหน้าแฟนหนุ่มมุ่งหน้าไปยังห้องชมรมอย่างที่เธอตั้งใจ
 
“คงไม่รู้น่ะสิ ว่าการทำค่ายอาสามันเหนื่อย มันหนัก โหดแค่ไหน คนสำอางมือนิ่มตีนนิ่ม อย่าไปเลย ถ่วงคนอื่นเขาเปล่าๆ” คนที่เดินตามหลังหญิงสาวกล่าวลอยๆ ถึงเสียงประโยคนั้นจะไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนสะดุ้งได้ไม่น้อย บูรภัทรเองรู้สึกใจชื้นไม่เบา ที่จะได้ร่วมชมรมเดียวกันกับรุ่นน้อง ทว่าที่เขากล่าวประโยคนั้นออกไป ก็เพื่อให้คนที่ตั้งใจเป็นจิตอาสาเกิดแรงผลักดันเท่านั้น ถึงจะบั่นทอนจิตใจคนฟังไปบ้างแต่ก็ใช้ได้ผล สำหรับคนหัวดื้อไม่ยอมแพ้อะไรง่ายเพราะคำพูดลอยอย่างภาสกร อีกอย่างเขาเองเคยพูดดีๆเหมือนกับคนอื่นเขาซะที่ไหนล่ะ

“ไม่ได้สำอางเว้ย จ้างให้ก็ไม่รับ” ภาสกรขมุบขมิบปากเมื่อรุ่นพี่เดินผ่านไปเลย

**********

วรวิทย์กับบดินทร์กรอกใบสมัครเข้าชมรมจิตอาสาอย่างจำใจ ต่างจากสนทยากับมุกดาที่ดูเหมือนว่ากระชุ้มกระชวยเป็นพิเศษ ชมรมนี้มีผู้ชายค่อนข้างเยอะและส่วนใหญ่หน้าตาดีอย่างที่พิมลวรรณบอกจริงๆ ส่วนผู้หญิงก็มีบ้างประปราย เท่าที่ภาสกรกวาดตามองรอบๆห้องดูแล้ว ถ้านับรวมเพื่อนสาวทั้งสองคนของเขาไปด้วย ก็น่าจะราวๆเก้าคนเห็นจะได้ หลังจากยื่นใบสมัครเข้าชมรมอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว น้องใหม่ในชมรมอย่างแก๊งค์หล่อเหยียบเมฆและเพื่อนสาวอีกสองคน ก็มานั่งจับกลุ่มกันกับรุ่นพี่คนที่ชวนพวกเขามาอยู่ชมรมนี้ด้วยกัน

“สน มุก นี่พี่เต้ย” ภาสกรแนะนำคนที่อายุมากกว่า กับเพื่อนสาวที่มาใหม่ทั้งสองคน สนทยากับมุกดาคำนับเอียงอายเล็กน้อยเมื่อ ใบหน้าหล่อของรุ่นพี่ส่งยิ้มผูกมิตรมาให้ แง๋ละสิ ก็รุ่นพี่หล่อนี่หน่า

“สวัสดีครับสมาชิกชมรมจิตอาสาทุกคนทั้งเก่าและใหม่” น้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้น พร้อมกับร่างชายผิวคล้ำปรากฏอยู่หน้าห้อง เรียกความสนใจจากสมาชิกที่นั่งจับกลุ่มคุยกันให้หันไปมอง  สมาชิกเก่าต่างพากันปรบมือต้อนรับอย่างรู้หน้าที่ พาลให้สมาชิกใหม่ปรบมือตามไปด้วยโดยปริยาย “ผม นายมังกร ชนะธาวี หรือจะเรียกว่าสั้นๆว่า กร ก็ได้นะครับ อยู่ 6/5 รับหน้าที่เป็นประธานชมรมจิตอาสาในปีนี้” ประธานชมรมกล่าวแนะนำตัวเสร็จเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงผิวปากปนเสียงโห่ร้องและเสียงกรี๊ดสมทบมาด้วย บรรยากาศภายในห้องคึกคักขึ้นมาทันที  ราวกับมีงานคอนเสิร์ต “ผมขอชี้แจ้งรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับชมรมของ...” ประธานชมรมหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อหันเห็นคนที่มาใหม่ทั้งสองคนจากหลังห้อง “เอ่อ...ครับ...ก่อนที่ผมจะชี้แจ้งรายละเอียดและจุดประสงค์ของชมรม ผมขอแนะนำรองประธานชมรมและเลขานุกรชมรมสุดหล่อทั้งสองคนให้ทุกคนได้รู้จักกันก่อนดีกว่าครับ” ประธานชมรมกล่าวพร้อมผายมือต้อนรับคนมาใหม่ทั้งสองที่กำลังเดินมาจากหลังห้อง เสียงปรบมือตามด้วยเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆในชมรมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาสกรที่กำลังนั่งปรบมืออยู่ในกลุ่มอย่างคึกคักหยุดชะงักไปทันที่ เมื่อเห็นใบหน้าหล่อคมเข้มของคนที่มาใหม่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ารุ่นพี่ที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่ชมรมนี้ด้วย เขาเลือกชมรมอื่นดีกว่า ทำไมยิ่งพยายามหนีหน้าเท่าไรก็เหมือนกับยิ่งเจอทุกครั้งไปนะ

“สวัสดีครับ ผม บูรภัทร นิลเวศน์ หรือจะเรียกว่า เต้ ก็ได้นะครับ อยู่ 6/3 รับหน้าที่เป็นรองประธานชมรมครับ” กล่าวแนะนำตัวเสร็จเขาก็ผายมือส่งให้คนข้างๆที่มาพร้อมกัน

“สวัสดีครับ ผม ทัศนัย สหรรตษา หรือจะเรียกว่า บอล ก็ได้นะครับ อยู่ 6/3 เหมือนกัน โดนบังคับให้มาเป็นเลขานุการชมรมครับ” เลขานุการชมรมหน้ามู่ทู่พูดติดตลก เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกชมรมได้ไม่น้อย

บดินทร์หัวเราะเบาๆกับท่าทางชวนขันของเลขานุการชมรม เมื่อวานเขาเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าจากเหตุการณ์ที่ไปมีเรื่องกับคนไร้มารยาทขณะต่อแถวซื้อน้ำ แถมยังใจดีเลี้ยงน้ำเขาและเพื่อนๆอีกด้วย
 
“เกือบลืมแนะนำอีกคนที่สำคัญไปได้ยังไง  ขอเสียงปรบมือให้กับเหรัญญิกชมรมคนสวยของเราด้วยครับ” ประธานชมรมผายมือต้อนรับหญิงร่างเพรียวตาชั้นเดียว ที่แฝงตัวนั่งอยู่ในกลุ่มสมาชิก

“สวัสดีค่ะ ศศิกานดา พิมชนิษย์ หรือจะเรียกว่า ศิ ก็ได้นะคะ อยู่ 6/1 ค่ะ รับหน้าที่เป็นเลขานุการชมรมค่ะ”  เธอลุกขึ้นกล่าวแนะนำตัวพลางส่งยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปสระอิ

“ตอนนี้พวกทุกคนก็ได้รู้จักพวกผมกันแล้ว ต่อไปผมอยากให้สมาชิกชมรมทุกคนกล่าวแนะนำตัวให้พวกผมรู้จักกันบ้าง”

“เริ่มจากน้องคนนั้นก่อนเลยครับ” รองประธานชมรมแทรกขึ้น ผายมือไปทางสมาชิกชมรมตัวขาวหน้าหวาน “น้องคนที่ตัวขาวๆน่ะครับ” ในห้องนี้ไม่มีใครขาวไปเกินกว่าคนภาสกรอีกแล้ว คนถูกเลือกมีอาการเลิ่กลั่กคิ้วขมวด สมองประมวลผลว่าเขากับลังโดนแกล้งแน่ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเก้งๆกังๆ แล้วกล่าวแนะนำตัวเอง “สวัสดีครับ ภาสกร เมธาวิวัฒน์ ต้นครับ 3/6” รองประธานชมรมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างพอใจที่แกล้งรุ่นน้องได้ ทว่านัยน์ตากับนิ่งเฉยอยากจะอ่านออกอีกเช่นเคยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

หลังจากที่สมาชิกชมรมคนแรกกล่าวแนะนำตัวเรียบร้อย คนต่อไปก็ลุกขึ้นแนะนำตัวต่อๆกันไปเรื่อยๆอย่างรู้หน้าที่ จนกระทั่งครบหมดทุกคน

“เอาล่ะครับทุกคน อย่างที่ทราบกันนะครับว่าชมรมของเราเป็นชมรมจิตอาสา ปิดเทอมตุลาคมนี้ชมรมของเราจะมีกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน ตามจุดประสงค์ของชมรมที่ตั้งไว้ ส่วนวันและสถานที่ที่ไหนบ้าง เดี๋ยวผมจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบ และร่วมโหวตกันอีกที ในระหว่างนี้เราจะมีการแบ่งหน้าที่และเตรียมงานอยู่เรื่อยๆ ยังไงถ้าใครสะดวกก็แวะมาที่ชมรมบ่อยๆนะครับ มาช่วยงานหรือมานั่งเล่นก็ยังดี เราอยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้องสบายๆครับ ใครที่มีปัญหาก็สามารถปรึกษากันได้นะครับ... มีใครสงสัยอะไรไหมครับ” ประธานชมรมกล่าว เมื่อไม่มีใครยกมือตั้งคำถามอะไร ก็ปล่อยให้สมาชิกชมรมทุกคนพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

 “ไอ้ต้น ไอ้ต้น พี่เต้เป็นรองประธานชมรมนี้ด้วยวะ” วรวิทย์กระซิปข้างหูเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งๆ อย่างตื่นเต้น แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆจากเพื่อน

 “ขอบใจนะต้นที่ชวนฉันกับสนมาอยู่ชมรมนี้ ฉันแฮปปี้มากเลย” มุกดากล่าวขึ้น

“ใช่” หญิงร่างอวบกล่าวสมทบสั้นๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกๆกับเพื่อนสวยคนสนิทอย่างพอใจ ชะม้อยชะไม้ชายตามองหนุ่มๆในชมรมไปมา

“เก็บอาการหน่อยไหมแม่คุ๊ณ” นานๆที่บดินทร์จะมีปากมีเสียงแบบนี้กับเขาสักที่หนึ่ง ทำเอาสองสาวหน้าเหยเกไปเลย  วรวิทย์ถึงกับกลั่นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“ไอ้ดินทร์ มึงพูดได้ถูกใจกูมาก” วริทย์ยกนิ้วหัวแม่มือให้

“ไอ้วิทย์!!!” สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน หันมาเขม็งตาเขียวปัดใส่

“เป็นอะไรหรือเปล่าต้น ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมดูซึมๆไป” ภัครชัยสังเกตเห็นว่ารุ่นน้องตัวขาวไม่ได้ร่าเริงเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม เลยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมโอเค” ภาสกรกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ
 
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่หลุบลงต่ำซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ก็ไม่อยากก้าวก่ายมากเกินไป เขาเคารพในเหตุผลของรุ่นน้อง สิ่งที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้ เพียงแค่เอื่อมมือไปแตะลงที่ไหล่มนของรุ่นน้องเบาๆ พลางส่งยิ้มให้แสดงความห่วงใยจากใจจริงเท่านั้น

“ถูกเนื้อต้องตัวกันด้วย” รุ่นน้องนักกีฬาตัวแสบ พอเห็นการกระทำของรุ่นพี่ก็ตาลุกวาว สมองประมวลผลไปต่างๆนาๆ ทวีความมั่นใจว่า สิ่งที่เขารู้สึก มันแม่งมันแน่มันใช่จริงๆ

**********

จิต้องขออภัยคุณนักอ่านที่น่ารักทุกท่านด้วยนะคะที่หายไปนาน พอดียุ่งงานประจำมากๆเลย ยังไงจิก็จะแต่งเรื่อยๆให้จบนะคะ เราไม่ทิ้งกันเนาะ :mew1:

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ

ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่
Fanpage  และ Twitter

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #24 เมื่อ09-03-2018 03:15:28 »

รอ ๆ ตอนออกค่ายคงจะมันส์น่าดูชม  o18

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The memory of love ความทรงจำแห่งรัก [Yaoi]
«ตอบ #25 เมื่อ09-03-2018 05:06:32 »

อืมมมมม.......คนอ่าน ก็กระชุ่มกระชวยดีนะ  :impress2:
มีคนมารู้สึกดีๆให้
ยกเว้นกับคนที่มาชวนไปกินไอติม  /นี่เราสองมาตรฐานหรือนี่  :serius2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้ที่ผิดนะ
ห่างบ้านวันสองวันไม่เป็นไรหลอก ------ หรอก
หลอก  ผีหลอก

แง๋ละสิ ก็รุ่นพี่หล่อนี่หน่า ------- แหง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด