ตอนที่4
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองเหม่อออกไปยังลานคอนกรีตข้างๆกับสนามหญ้าหน้าเสาธง ที่มีเหล่าบรรดานักเรียนชายวิ่งไล่เตะรับส่งลูกตะกร้อแทนลูกฟุตบอลกันไปมากลางแดดที่ร้อนจัดอย่างไร้จุดหมาย นั่งครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนอยู่เพียงลำพัง ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ซุ้มไม้เลื้อนหน้าห้องสมุด
เหมี๊ยว... เหมี๊ยวววว... สัมผัสนุ่มนิ่มจากใต้โต๊ะส่งเสียงร้องคลอเคลียที่เรียวขาเนียน อ่อดอ่อนเรียกความสนใจให้เจ้าของร่างบางต้องก้มลงมอง
“เจ้าเหมี๊ยว” มือเรียวช้อนอุ้มเจ้าลูกแมวตัวน้อยสีสวาด อายุราวหนึ่งเดือนเศษอย่างเอ็นดู ขึ้นมาไว้บนหน้าตัก “หลงจากแม่หรอ”
เหมี๊ยว... ลูกแมวตัวจ้อยข้านรับราวกับฟังภาษาคนออก
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยตามหาแม่ให้แกเอง” เขาคุยกับเจ้าลูกแมวแสนเชื่องที่หลับตาพริ้ม พลางลูบหัวของมันเบาๆ
ภาสกรมีอีกหนึ่งมุมที่น่ารักไปไม่น้อยกว่าหน้าตา เขาเป็นคนรักสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะแมว ตอนที่เขายังเด็กที่บ้านของเขาก็เลี้ยงแมวมาก่อน แต่พอน้องสาวอายุได้ขวบกว่าๆ ต้องจำใจนำเจ้าแมวที่เลี้ยงไว้ไปฝากเลี้ยงกับบ้านของผู้เป็นย่าที่ต่างจังหวัด เนื่องจากน้องสาวแพ้ขนของแมว
“ไอ้ต้น มึงเป็นอะไรของมึงวะ กูเห็นมึงกินข้าวไปนิดเดียวเองแล้วก็ทิ้งพวกกูออกมาก่อนเลย” วรวิทย์เดินคู่มากับบดินทร์ ส่งเสียงมาก่อนตัว
“เปล่า กูไม่ได้เป็นไร” ภาสกรหันไปตอบ “พวกมึงแม่งชักช้าไง คนมันเยอะ กูอึดอัด ร้อนด้วย เลยออกมาก่อน”
“นั่น... ลูกแมวหนิ” บดินทร์น้ำเสียงตื่นเต้น เพราะเจ้าตัวก็ชอบแมวไม่น้อยไปกว่ากัน “มาจากไหนหรอต้น” เขาเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
เหมี๊ยว...
“ไม่รู้เหมือนกัน มันน่าจะหลงกับแม่มันน่ะ นี่กูก็มองหาแม่ให้มันอยู่”
“กูว่าแม่มันก็น่าจะอยู่แถวนี้นี่แหละ มึงลองไปถามป้าแม่บ้านดูดีไหม เผื่อป้าแกจะเห็น” วรวิทย์เสนอความคิดเห็นอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใกล้ เพราะเขาไม่ชอบสัตว์เลี้ยงทุกชนิดและมีอดีตฝังใจกับแมว
“นั่นสิ ที่วิทย์พูดก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“เออๆ” ภาสกรลุกขึ้น ประคองเจ้าลูกแมวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน “ป่ะไอ้ดินทร์ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”
เหมี๊ยว...
บดินทร์พยักหน้า ปฏิบัติตามคำชวนของเพื่อนอย่างว่าง่ายด้วยความยินดี
“รีบไปรีบมานะพวกมึง กูรอไปเล่นบอลอยู่” วรวิทย์ส่งเสียงตามหลัง เขามักจะชวนเพื่อนๆ ย่อยอาหารกลางวันด้วยการเล่นกีฬาที่เขาถนัดอยู่เสมอ
“มึงไปเล่นก่อนเลย ไม่ต้องรอกู วันนี้กูไม่มีอารมณ์ รู้สึกเหมือนจะไม่สบายด้วยไม่อยากตากแดด” ภาสกรหันกลับมาบอก
“โถ สำออยจริงนะ”
“วันนี้เราก็ขอบายนะ ว่าจะกลับมาทำการบ้านของครูวันทนาให้เสร็จ พวกนายจะได้ลอกไง”
“ให้มันได้แบบนี้สิวะเพื่อนกู ทิ้งกูกันให้หมด โด่ไม่ง้อก็ได้โว้ย” วรวิทย์ตัดพ้อก่อนจะวิ่งดึงชายเสื้อออกนอกกางเกงเพื่อให้สบายตัว เข้าไปในลานคอนกรีตแฝงตัวเนียนไปเล่นกับกลุ่มนักเรียนที่เล่นกันอยู่ก่อนหน้า
หลังจากที่นำเจ้าลูกแมวตัวดื้อหนีแม่ออกมาเที่ยว ส่งคืออ้อมอกแม่ที่กำลังนอนให้นมพี่น้องร่วมท้องของมันอีกสามตัว อยู่ใต้บันใดอาคารเรียนตามที่ป้าแม่บ้านบอก ทั้งสองก็กลับมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่เดิม ภาสกรนั่งด้วยท่าสบาย ทอดมองร่างสมส่วนของเพื่อนที่วิ่งไล่เตะลูกตะกร้อแทนลูกฟุตบอลรับส่งกันไปมาอย่างเริงร่าอยู่ในลานคอนกรีต ที่ปกติแล้วเขาก็มักจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ
วรวิทย์เตะลูกตะกร้อเข้าประตูที่ทำกันขึ้นมาเองจากก้อนอิฐเป็นครั้งที่2 กระโดดโย่งหันมาส่งยิ้มกว้างแสดงอาการดีใจให้กับเขาที่นั่งมองอยู่ไม่ไกล ภาสกรยกยิ้มมุมปาก พลางชูนิ้วกลางส่งให้เป็นรางวัลแด่คนเก่ง วรวิทย์ถึงกลับยืนนิ่งนิ่วหน้าใส่
“เออ ไอ้ดิน ชั่วโมงบ่ายนี้เราเรียนอะไรกันบ้างวะ” ภาสกรละสายตาจากเพื่อนที่ดีใจเก้อ หันมาถามเพื่อนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำการบ้านอย่างขะมักเขม้นข้างๆ
“เอ่อ...” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นครุ่นคิด ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กจากกระเป๋าเป้นักเรียนขึ้นมาเปิดดูตารางเรียน เพราะไม่แน่ใจ “ชั่วโมงบ่ายวันนี้ เป็นวิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง ไม่มีเรียนนะแต่รู้สึกว่าน่าจะมีเอ่อ... ”
“ต้น ดินทร์ นั่งทำอะไรกันอยู่จ๊ะ” เสียงแปร๋นของมุกดาแทรกขึ้นส่งมาก่อนตัว เดินคู่มาพร้อมสนทยาเพื่อนสาวคนสนิทที่สุดในกลุ่ม “แล้วนี่วิทย์หายหัวไปไหนละ” เธอถามอีกทันทีที่เดินมาถึง พร้อมกับนั่งลงข้างๆกับเพื่อนที่ใส่แว่น
ภาสกรพยักหน้าส่งซิกไปยังลานคอนกรีต เป็นคำตอบแทน
“ไม่ร้อนกันบ้างหรือไง” มุกดาส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ
“มุกกับสนมาก็ดีละ ชั่วโมงบ่ายวิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง พวกเรามีอะไรต้องทำกันอะไรไหม” บดินทร์ถามเพราะเมื่อเช้าตอนที่พบครูที่ปรึกษา เขาอยู่ไม่ถึงช่วงสุดท้าย เนื่องจากครูไหว้วานให้เขานำเอกสารไปส่งที่ห้องวิชากการ กลับมาครูก็ปล่อยให้ไปเรียนเสียแล้ว
“มีสิ ฉันกับสนว่ากำลังจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกแก่อยู่พอดีเลย ให้ไปช่วยกันจัดพานหน่อย”
“จัดพาน พานอะไร” ภาสกรถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็พานไหว้ครูไง พรุ่งนี้มีกิจกรรมไหว้ครู” สนทยาที่นั่งข้างๆกับเขาตอบ พร้อมกับอธิบาย “เมื่อวานที่พวกเราเรี่ยไรเงินกัน ก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ตกแต่งพานนี่ไงล่ะ”
“อ๋อ” บดินทร์พยักรับรู้
“และปีนี้ตัวแทนถือพานผู้หญิงก็คือ ลูกหว่า เจ้าเก่า ส่วนตัวแทนผู้ชายคะแนนโหวตเท่ากันสองคน มีหัวหน้าห้อง กับ...” มุกดาหันหน้าไปยังเพื่อนชายหน้าหวาน “นาย”
“แล้วตกลงใครได้ถือ” ภาสกรถาม นั่งนิ่งตัวเกร็งลุ้นคำตอบอย่างกังวล
“ครูณัฐณิชาเลือกหัวหน้าห้องน่ะ เพราะไม่อยากเอาชื่อเสียงของห้องฝากไว้กับนายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย”
“เฮ้ย...แล้วไป” ภาสกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ถ้าเขาได้เป็นตัวแทนของห้องขึ้นมาจริงๆ คงต้องขายหน้าอย่างที่ครูที่ปรึกษาประหม่าไว้แน่ๆ ด้วยพฤติกรรมที่มาสายไม่เปลี่ยนของเขา
“แต่เราอยากให้ต้นถือมากกว่า” สนทยาเสียงละห้อย
“ให้หัวหน้าห้องถือน่ะดีแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เกิดฉันมาสายอีก มีหวังขายหน้าแย่เสียชื่อเสียงของห้อง3/6หมด”
“เอาล่ะค่ะคุณเพื่อนขา” มุกดาตบโต๊ะ “เป็นอันว่าตอนนี้ พวกแก แก แก”เธอชี้นิ้วรัวๆใส่เพื่อนชายร่วมโต๊ะทั้งสอง รวมไปถึงคนที่วิ่งแตะลูกตะกร้อไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในลานคอนนกรีต “และพวกฉันสองคนต้องไปช่วยกันตกแต่งพาน ฉันให้ขวัญกับพิมไปเอาของที่ห้องครูณัฐณชาไปรอที่หอประชุมใหญ่แล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้พวกแกไปกับฉันเลย”
“แล้วทำไมต้องเป็นพวกเราด้วย นี่เรายังทำการบ้านไม่เสร็จเลย” บดินทร์อี่ดอ่อด
“ก็เพราะว่าปีนี้มีการประกวดพานด้วยน่ะสิ ฉันเห็นต้นมีฝีมือดี เทอมที่แล้ววิชางานฝีมือเย็บปักถักร้อย งานพับใบตองของครูพรสวรรค์ได้คะแนนเกือบเต็มอยู่คนเดียว เลยอยากให้ต้นไปช่วยกันหน่อย นะต้นนะ”
ภาสกรพยักหน้าตอบรับเขินๆ อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาพร้อมก็เต็มใจช่วยเสมอ
“ส่วนแกไอ้ดินทร์ ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ของแกไม่แพ้ใคร ถ้าแกไปช่วยกันออกแบบนะ รูปแบบพานของห้องเราต้องออกมาสวยเลิศไม่น้อยหน้าห้องอื่นแน่ๆ อย่ามาทำเป็นอี่ดอ่อดหน่อยเลย ช่วยๆกัน”
“คุยไรกันอยู่วะ ดูจริงจังเชียว” วรวิทย์วิ่งกลับมาที่โต๊ะอย่างหอบหืด เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงือ หลังจากที่เสียเหงื่อสมใจแล้ว
“ส่วนแกไอ้วิทย์ จริงๆแล้วแกก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นกีฬาเก่งอย่างเดียว ฉันให้แกไปนั่งเฉยๆคอยให้กำลังใจพวกฉัน คอยหยิบนู้นจับนี่ตกลงไหม เพราะเพื่อนๆเขาไปกันหมด แกคงไม่อยากอยู่คนเดียวแน่ๆ”
“ไปไหนกัน” วรวิทย์ถามอย่างสงสัย
“ไปจัดพานไหว้ครูที่หอประชุมใหญ่” บดินทร์ตอบ
“เออๆ” วรวิทย์ตอบตกลงอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากอยู่คนเดียวอย่างที่มุกดาบอกจริงๆ “งั้นไปกันก่อนเลยเดี๋ยวกูตามไป ไอ้ต้นกูฝากเอากระเป๋าไปด้วยนะ”
“แล้วมึงจะไปไหน”
“กูจะไปตากแอร์ให้เสื้อแห้งก่อน”
“แกนี่จริงๆเลย แดดร้อนเปรี้ยงๆ เล่นกันได้ยังไง” มุกด่าเท้าเอวบ่นเป็นอาซิ่ม “รีบๆตามไปละกัน”
“เออ เดี๋ยวกูเอาไปให้” ทันทีที่เขาตอบตกลง วรวิทย์ก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังหลังห้องสมุดทันที
บรูภัทรพึ่งรู้ว่าตัวเองได้เป็นตัวแทนผู้ชายของห้องถือพานไหว้ครูในปีนี้ ระหว่างทางที่เขากำลังเดินมุ่งหน้าไปยังหอประชุมใหญ่ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครูอยู่นั้น หน้าอาคารเรียนหลังที่2 ได้เกิดเหตุการณ์ชุนละมุมขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนจากบนอาคารเรียนว่ามีคนเป็นลมชัก ร่างสูงโปร่งก็รีบวิ่งแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มไทยมุง ช้อนตัวนักเรียนรุ่นน้อง ที่นอนกระตุกตัวเกร็งอยู่กับพื้น ขึ้นไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะสละนิ้วของตัวเองเป็นที่ช่วยกันลิ้นไม่ให้ถูกฟันขบ
“ใครมีไม้บรรทัดบ้าง ขอไม้บรรทัดหน่อย เร็ว!” บูรภัทรตะโกนถามขอความช่วยเหลือจากคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ “โอ้ยยยย!” ใบหน้าหล่อเริ่มบิดเบี้ยว ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จากแรงขบของฟันที่หนักขึ้น
“นี่ครับ” นักเรียนรุ่นน้องคนหนึ่งสละไม้บรรทัดเหล็กของตัวเองยื่นให้
“เอาใส่ปากให้เขากัด เร็ว โอ้ย!”
รุ่นน้องมือสั่นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อไม้บรรทัดเหล็กถูกใส่เข้าไปแทนนิ้วของตัวเอง บรูภัทรไม่รอช้าจัดการรวบอุ้มร่างที่ไร้สติไปส่งยังห้องพยาบาลอย่างเร็วไว
หอประชุมใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งโซนด้านหน้าของเวทีเป็นของตัวแทนถือพานนักเรียนชายหญิง ทุกห้องทุกระดับชั้นที่มาเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครู ส่วนอีกฝั่งโซนด้านหลัง เป็นของกลุ่มตัวแทนนักเรียนที่มาตกแต่งพาน
ก่อนกิจกรรมซ้อมไหว้ครูจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่นาที ครูนวลละออผู้รับผิดชอบกิจกรรมนี้ เดินตรวจการเช็คความเรียบร้อยในแถวของตัวแทนนักเรียนถือพาน ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี ถ้าสายตาดุรอดแว่นไม่สะดุดเข้ากับช่องว่างที่เว้นไว้ในแถวซะก่อน
“6/3 คู่ถือพานของเธอไปไหน” ครูนวลละออถามเสียงดุ
“เอ่อ...คือ...ว่าาาาาาเอ่อ” เธอยืนอ้ำอึ้ง กำมือสองข้างเข้าหากันแน่น หาคำตอบไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจให้คู่ถือพานของเธอมาเร็วๆ
“ฉันถาม ว่าคู่ถือพานของเธอไปไหน” เสียงครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมทวีความดังขึ้น จนทุกคนต้องหันควับไปมอง บรรยากาศในหอประชุมใหญ่ จากตอนแรกที่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนตลาดสดของอีกฝั่งที่ตกแต่งพาน กลับเงียบกริบราวกับป่าช้าขึ้นมาฉับพลัน
“...”
“ใครเป็นคนถือพานห้องนี้วะ แม่งไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเลยว่ะ ทำให้บรรยากาศเสียหมด” วรวิทย์ที่นั่งเฉยๆ อยู่ในกลุ่มตกแต่งพาน พูดขึ้นลอยๆ
“ผมเองครับ” ร่างสูงโปร่งปรากฏตัวขึ้นจากทางด้านหน้าเวที เรียกความสนใจให้ทุกคนต้องหันกลับไปมอง ก่อนจะก้าวเดินอย่างผ่าเผยผ่านสายตาที่เหลี่ยวหลังนับหลายสิบคู่ มายืนอยู่ข้างกับคู่ถือพานของตัวเอง “ขอโทษทีครับครูที่ผมมาสาย พอดีระหว่างทางเกิดเหตุนิดหน่อย มีน้อง ม.1 คนหนึ่งเป็นลมชักอยู่หน้าอาคาร2” บูรภัทรอธิบายเหตุผลพร้อมกับยืนยันหลักฐานที่นิ้วของตัวเอง เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเล็กน้อย “ผมเลยอุ้มน้องเขาไปส่งที่ห้องพยาบาลครับ”
“แล้วเป็นอะไรมากไหม” เสียงครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมอ่อนลง
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ ครูที่ห้องพยาบาลให้นอนพักดูอาการอยู่”
“ดีแล้วล่ะ” ครูนวลละออพยักหน้าเข้าใจ พลางตบไหล่ชื่นชมเบาๆ “เอาล่ะงั้น เดี๋ยวเรามาเริ่มซ้อมกันเลยนะนักเรียน ทุกคนพร้อมนะ” ว่าเสร็จก็ส่งสัญญาณให้กับคณะกรรมการนักเรียนที่ตั้งแถวอยู่ข้างเวทีให้เริ่มซ้อมได้
สนทยาตั้งใจปักดอกรักสีขาวลงกับโฟนแกะสลักทรงดอกบัวตูม ที่บดินทร์เป็นคนออกแบบอย่างบรรจง มุกดาก็กำลังวุ่นอยู่กับการร้อยมาลัยประดับธูปเทียนแพ ส่วนภาสกรก็ก้มตาก้มตาขะมักเขม้นกับการเย็บบายศรีเป็นรูปพญานาคอย่างปราณีต มีเพียงแค่วรวิทย์คนเดียวเท่านั้นที่นั่งว่างอยู่กลุ่ม
“ไอต้น พี่เต้ถือพานด้วยว่ะ” วรวิทย์หันไปกระซิปบอกเพื่อนที่นั่งเย็บใบตองอยู่ข้างๆ
“ก็ช่างพี่เขาสิ” ภาสกรละสายตาจากใบตองที่กำลังเย็บอยู่ในมือ เหลือบมองร่างสูงโปร่งที่ยืนหลังตรงอยู่ในแถวตัวแทนถือพานจากทางด้านหลัง “เกี่ยวอะไรกับกูวะ” ก่อนจะข่มใจแสร้งทำเป็นไรสนใจ แล้วหันกลับมาเย็บใบตองตามเดิม
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงหรอก กูแค่จะบอกว่าพี่เขาแม่งแมนโคตรๆ”
“...” ภาสกรหน้าฉงน เมื่อคู่เขามัวแต่ใจจอดใจจ่อกับการสร้อยด้าย เลยไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเสียงฮือฮา
“ที่พี่เขามาสายเพราะช่วยเด็กที่เป็นลมชักเอาไว้ แล้วพาไปส่งที่ห้องพยาบาล โห พระเอกซีรี่ย์เกาหลีชัดๆ”
“มึงไม่วิ่งเข้าไปขอลายเซ็นพี่แกแม่งเลยล่ะ” ภาสกรตัดบท อุส่าทำไม่สนใจ แต่เพื่อนก็ดันพูดแต่เรื่องรุ่นพี่คนนี้กรอกหูไม่เลิก
“ตลกละมึง เชี่ยต้น”
“...”
“เฮ้ย...!” วรวิทย์เบิกตากว้าง พลางสะกิดเพื่อนอย่างตระหนก เมื่อหันไปสบเข้ากับอะไรบ้างอย่าง “มึงดูนั่นดิ ที่นิ้วพี่เขาพันพลาสเตอร์ด้วยว่ะ สงสัยเอานิ้วตัวเองกั้นลิ้นเด็กที่เป็นลมชักไม่ให้กัดลิ้นตัวเองแน่ๆ หล่อสลัดไปเลยว่ะ”
ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของภาสกรเต้นรัวแรงขึ้น ทันทีที่ร่างทรยศหันไปสบเข้า กับนิ้วที่พันพลาสเตอร์ยามีรอยเลือดซึมออกมา ของร่างสูงโปร่ง “เจ็บไหมครับ พี่คงเจ็บมากสินะ” ภาสกรกระพริบตาปริบๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ว่าจะไม่สนใจอยู่แล้วเชียว แต่เพื่อนก็เล้าหลือไม่เลิก
“ใครเห็นก็ต้องช่วยทั้งนั้นแหละ” ภาสกรตอบปัดๆ ทั้งที่ในใจแอบชื่อชมรุ่นพี่ไม่น้อยเช่นกัน “มึงเลิกชวนกูคุยเรื่องพี่เขาได้ละ ว่างมากก็เอาใบตองนี่ไปฉีกช่วยๆกัน”
“กูทำไม่เป็น”
“งั้นก็นี่ เอาดอกพุดไปเด็ดก้านออกให้หน่อยสิ” มุกดาส่งถุงดอกพุดให้แทน “เอาออกครึ่งเดียวพอนะ ไม่ต้องหมด”
“จ้าแม่”
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือนขึ้น ภาสกรวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วลวงหยิบขึ้นมา พบว่าเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์เดียวกันกับเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อตอนกลางวัน “พี่พลอย” เขาเพลินกับการตกแต่งพาน จนลืมไปเลยว่านัดกับเธอไว้ว่าจะโทรหาก่อนเลิกเรียน
“ฮัล...”
“ฮัลโหลต้น ไหนบอกจะโทรกลับมาไง ตกลงเย็นนี้ไปกินไอติมด้วยกันได้ไหม” พลอยไพลินชิงพูดก่อน ขณะที่เขายังกล่าวทักทายไม่จบ
“ขอโทษทีครับคือผมยุ่งๆ พอดีว่าวันนี้มีกิจกรรมที่โรงเรียน ผมเกรงว่าจะไม่สะดวก กว่าจะเสร็จก็คงเย็นๆเลยครับ”
“อืม น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรจะ งั้นเอาไว้วันหลังก็ได้”
“ครับๆพี่ ไว้โอกาศหน้านะ ไม่ว่ากันนะพี่” ภาสกรรีบกดว่างสาย แล้วกลับมาสนใจกับงานที่ทำค้างเอาไว้
ตัวแทนนักเรียนถือพานคู่สุดท้ายกลับเข้าประจำที่ เสียงเพลงประสานเสียง พระคุณที่สาม จากคณะกรรมการนักเรียนสิ้นสุดลง เป็นอันว่าสิ้นสุดกิจกรรมซ้อมพิธีไหว้ครูในวันนี้ ครูผู้ดูแลกิจกรรมกล่าวปิดท้ายย้ำในเรื่องของการแต่งกายให้ถูกระเบียบและการตรงต่อเวลา ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านได้ เพราะเลยเวลาเลิกเรียนมาสมควรแล้ว
บูรภัทรโบกมือลาแยกย้ายกับคู่ถือของของตัวเอง เขาตั้งใจว่าจะแวะไปดูเพื่อนๆที่เป็นตัวแทนตกแต่งพานของห้องสักหน่อย ป่านนี้ยังไม่เสร็จสักที แล้วค่อยไปซ้อมบาสเกตบอล
“มีอะไรให้ช่วยไหม” เขาถามพร้อมกับนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆกับเพื่อนในกลุ่มตกแต่งพาน
“ไม่มีแล้วละ ใกล้เสร็จหมดแล้ว” เพื่อนในกลุ่มหันมาตอบ พร้อมกับส่งพานที่ตกแต่งสวยงามให้ “นี่พานที่แกต้องถือพรุ่งนี้ ลองถือดูสิหนักไหม”
บูรภัทรรับพานมาถือไว้ในมือ พิจารณาชื่นชมความสวยงามของพานและความฝีมือของคนจัดทำ “ก็ไม่หนักหนิ คนตัวใหญ่กว่าพานตั้งเยอะยังอุ้มมาแล้วเลย”
“เออ จริงด้วย แล้วนิ้วแก่เป็นยังไงบ้างเนี่ย” เธอหันไปรับพานจากเขากลับมาตกแต่งต่อ
“ก็ยังปวดๆอยู่นะ” บูรภัทรพลิกแผลที่พันพลาสเตอร์ยามีรอยเลือดซึมให้เพื่อนดู “น้องเขากัดแรงไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำแผลกินยาแก้ปวดไปแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น แผลแค่นี้ไกลหัวใจ” เขาพูดเป็นเรื่องขันแต่ทำหน้าขึม พลางกำกำปั้นทุบลงตรงหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ
“แวะ พ่อฮีโร่”
ระหว่างที่กำลังสนทนายอกล้อกับเพื่อนอยู่นั้น นัยน์ตาคู่คมก็หันไปสบเข้ากับพานบายสีรูปพญานาคที่ตั้งสวยเด่นตระหง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม บูรภัทรแอบชื่นชมไม่น้อย กับฝีมือการผับใบตองที่สวยงามประณีตและละเอียดอ่อน บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของผู้จัดทำ เขาจินตนาการถึงคนทำ ว่าต้องเป็นผู้หญิงเรียบร้อยเป็นกุลสตรีเหมือนผ้าผับไว้ ถูกอบรมสอนการงานและมารยาทมาอย่างดีเลยทีเดียว
“เจ๋งวะ แกดูพานรูปพญานาคนั่นสิ ห้องไหนทำวะ”
“ฉันแเห็นแล้ว สวยดีนะ รู้สึกว่าพานนั่นจะเป็นของเด็ก ม.3 น่ะ ผู้ชายเป็นคนทำด้วยนะแก”
“ผู้ชายทำ” บูรภัทรประหลาดใจเล็กน้อย แทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง งานประณีตแบบนี้ผู้ชายที่ไหนกันจะทำออกมาสวยได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นแต๋วก็ว่าไปอย่าง
“อืม ผู้ชายจริง” เธอยืนยันหนังแน่ “ไม่เชื่อ แกก็ดูเอาเองสิ น้องเขายังนั่งทำอยู่เลย” ชี้ไปทางร่างบางที่กำลังขะมักเขม้นกับการเย็บใบตอง พร้อมกับบอกให้เพื่อนที่นั่งบังอยู่ขยับออก
“ไหนวะ”
“วิทย์ เด็ดเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วไปเอาน้ำใส่กระบอกนี่ให้หน่อยสิ จะได้เอาไว้ฉีดดอกไม้ไม่ให้เหี่ยว” มุกดายื่นกระบอกฉีดน้ำให้
“โหย...อะไรวะ” วรวิทย์อี่ดอ่อนแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร “เออๆก็ได้” เขารับกระบอกฉีดน้ำ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำของหอประชุม
ทันใดนั้น ร่างบางเจ้าของใบหน้าหวาน ที่ถูกเพื่อนจอมป่วนนั่งบังอยู่เมื่อคู่ ก็ปรากฏขึ้นทันที ช่างเป็นเรื่องบังเอิญคล้ายกับจัดฉากเอาไว้ ที่กลุ่มตกแต่งพานของห้อง ม.6/3 นั่งอยู่ตรงกันข้ามของกลุ่มห้อง ม.3/6 พอดี
“เห็นยัง นั่นไงน้องคนนั้นไง ที่ตัวขาวๆหน้าหวานๆ หล่อๆอ่ะ”
“นั่นมัน...” นัยน์ตาคู่คมสีดำสนิท สะดุดเข้ากับเจ้าของร่างบางใบหน้าขาวใสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดิบพอดี “นั่นมัน หยวกกล้วยเดินได้นี่หว่า ทำอะไรแบบนี้กับเขาเป็นด้วยหรอวะ”
ภาสกรเพลิดเพลินกับงานที่ทำ เขากำลังเย็บบายศรีในส่วนห่างของพยานาค เลยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
บูรภัทรแอบยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แก้มขาวเนียนบอกกับทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวอย่างประณีตของคนตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ทำให้เขาไม่ยอมละสายตาไปไหน คล้ายกับว่ากำลังต้องมนต์สะกดตกอยู่ในภวังค์ แยกไม่ออกเลยว่าเขากำลังหลงเสน่ห์ความเป็นไทยที่รุ่นน้องกำลังทำอยู่ หรือว่าหลงไหลอะไรกันแน่
วรวิทย์กลับมาพร้อมกับกระบอกฉีดน้ำที่บรรจุน้ำไว้เรียบร้อยแล้ว เขาสังเกตเห็นว่า สายตาคู่คมรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จ้อมมองมาที่เพื่อนหน้าหวานตาไม่กระพริบ เลยเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งใหม่ อ้อมไปนั่งทางด้านหลังของเพื่อน พลางกระชิปข้างหูเพื่อนเบาๆ
“ไอ้ต้น 15 นาฬิกา แต่มึงอย่าพึ่งหันไปนะให้กูเดินออกไปก่อนแล้วค่อยหัน”
ภาสกรทำหน้าสงสัย แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างงุนงง
“เพื่อนๆ คือตอนนี้ได้เวลาซ้อมบอลแล้ว ขอตัวไปก่อนซ้อมบอลก่อนนะ” วรวิทย์หันมาบอกกับเพื่อนในกลุ่ม วางกระบอกฉีดน้ำไว้ข้างๆกับมุกดา แล้วหยิบกระเป๋าเป้านักเรียนขึ้นมาสะพาย
เพื่อนในกลุ่มยังไม่ทันได้ตอบรับอะไร ตัวป่วนของกลุ่มก็คว้ากระเป๋าเป้คู่กายอีกใบวิ่งปรู๊ดลงหอประชุมไปเสียแล้ว
ภาสกรหันหน้าไปทาง 15 นาฬิกาตามที่วรวิทย์บอกเอาไว้ แทบจะหันหน้ากลับคืนมาแทบไม่ทัน ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! ตึก...ตึก!!! เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหันไปปะทะเข้ากับนัยน์ตาคู่คมสีดำสนิทของรุ่นพี่ที่จ้องมองเขาอยู่อย่างจัง
*“ไอ้เชี่ยวิทย์มึงไม่บอกกูสักคำว่าพี่เขานั่งจ้องกูอยู่ สาดเอ้ย แม่งจ้องกูตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย”*
มือไม้ก็สั่นรัวไม่น้อยไปกว่าหัวใจเช่น สติก็เตลิดไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพลาดทำเข้มทิ้มนิ้วของเรียวตัวเองเข้า “โอ้ย!!!” ภาสกรสะดุ้งส่งเสียงร้องลั่น ไม่รู้ว่าจากความเจ็บหรือว่าตกใจกันแน่ ทว่าเสียงร้องนั่นก็เรียกสติคนที่นั่งจ้องมองเขาอยู่นั้นให้กลับคืนมาได้
“เป็นอะไรมากไหม ทำอีท่าไหนเนี่ย ไม่ระวังเลย” บดินทร์ช่วยดูแผลให้ พลางหยิบเช็ดชู่ในกระเป๋าเป้นักเรียนของตัวเอง มาซับหยุดห้ามเลือดที่ไหลซิบให้กับคนซุ่มซ่าม
“กูไม่เป็นอะไร แค่ตกใจเฉยๆ”
“เราว่าต้นไปล้างแผลก่อนดีไหม จะได้ไม่ติดเชื้อ” สนทยาออกความเห็นอย่างห่วงใย
“นั่นสิพักก่อนก็ได้ นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว” มุกดาเสนอความคิดเห็นอีกเสียง
“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เองไม่เจ็บอะไรมาก ทำงานต่อเถอะ” ภาสกรชักมือกลับมา แล้วใช้ปากดูดนิ้วที่มีเลือดซิบ
“แกช่วยเอาไปให้น้องคนนั้นที่” บูรภัทรหยิบพลาสเตอร์ยาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน ที่ติดมาจากห้องพยาบาลเมื่อกลางวัน ส่งให้กับเพื่อน พร้อมกับพยักพเยิดพเยิดหน้าไปทางรุ่นน้องตัวขาว
“แล้วทำไมแกไม่เอาไปให้น้องเขาเองล่ะ”
“ฉันฝากแกหน่อยละกัน ฉันจะไปซ้อมบาสละ เดี๋ยวคนในทีมรอนาน รับไปสิ” บูรภัทรส่งพลาสเตอร์ยาให้เธออีกครั้ง
“อ่าๆๆๆๆ” เธอรับพลาสเตอร์ยามาอย่างงุนงง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้ามายังคนที่เพื่อนบอก
“นี่จะ” เธอยื่นพลาสเตอร์ยาให้กับคนที่นั่งดูดนิ้วตัวเองอยู่
“อะไรหรอครับ”
“พลาสเตอร์ไง พี่คนนั้นฝากมา..." เธอหันไปชี้ตรงที่เพื่อนนั่งอยู่
“...” ภาสกรมองตาม แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนั้น แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เพราะเมื่อคู่เขาก็แอบชำเลืองอยู่เช่นกัน
“อ้าว ไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ตรงนี้อยู่เลย”
“ขอบคุณครับ” ภาสกรรับพลาสเตอร์ยามาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน แผลแค่นิดเดียวไม่จำเป็นต้องปิดพลาสเตอร์ให้เปลืองทรัพยากร เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า ก่อนจะหันกลับมาจัดการกับพานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้เสร็จ
กว่าจะตกแต่งพานเสร็จ ก็เลยเวลากลับบ้านมามากพอสมควร สนทยากับมุกดาขอตัวรีบกลับก่อนเพราะกลัวรถโดยสารประจำทางหมด เนื่องจากบ้านของทั้งสองอยู่ไกลพอสมควร ภาสกรกับเพื่อนแว่นเลยอาสาเคลียดพื้นที่เก็บเศษที่ไม่ใช้แล้วไปทิ้งขณะ หลังจากนำพานที่ตกแต่งเสร็จแล้วไปไว้ในที่ที่คณะกรรมการนักเรียนจัดเตรียมไว้ให้
“เดี๋ยวเราเอาไปทิ้งเอง” บดินทร์อาสาเอาถุงขยะไปทิ้ง
ภาสพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวกูเอาไม้กวาดกับที่ตักขยะไปเก็บ แล้วเดี๋ยวถือกระเป๋าตามลงไปให้มึงละกัน”
ตุบตับ ตุบตับ ตุบตับ ... ตุบตับ ตุบตับ ตุบตับ ...
เสียงดังซ้ำๆจากในโรงยิมใต้หอประชุมใหญ่ เรียกความสนใจให้คนที่อาสานำขยะไปทิ้งหยุดชะงักหันไปมอง นัยน์ตาวาวใต้แว่นตากรอบหนาเตอะ ปรากฏร่างสูงกำยำของรุ่นพี่ใจดีที่เลี้ยงน้ำเขาและเพื่อนๆเมื่อตอนกลางวัน ในชุดนักกีฬารัดรูปเสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้น เสริมให้ผู้สวมใส่ดูเด่นราวกับนายแบบ กำลังซ้อมตบลูกวอลเล่บอลกับผนังของโรงยิมอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะถูกเรียกจากโค้ชผู้ฝึกสอนให้ไปรวมกับเหล่าบรรดานักกีฬาร่วมทีมเดียวกัน เพื่อซ้อมรับส่งลูกและกระโดดตกข้ามตาข่าย บดินทร์ยืนหน้าเด๋ออ้าปากค้างทึ่งกับทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่สง่างามและแรงตบลูกวอลบอลที่หนักแน่นของคนตรงหน้า คิดไม่ตกเลยว่าถ้าเขาโดนลูกวอลเว่บอลลูกนั้นอัดใส่หน้า จะสลบไปกี่วัน
“อ่ะเนี่ย กระเป๋ามึง” ภาสกรตามมาทีหลัง ส่งกระเป๋าเป้นักเรียนคืนเจ้าของ เรียกสติคนที่ยืนหน้าเด๋อกลับคืนมา “อ้าวมึงยังไม่เอาไปทิ้งอีกหรอ”
“กะ กะ กำลังไป” บดินทร์รับกระเป๋าเป้นักเรียนจากเพื่อนมาสะพาน “งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ พรุ่งนี้เจอกัน อย่ามาสายนะ” จบประโยคก็คว้าถุงขยะอย่างไร้สติ สาวเท้าเร็วนำหน้าไปก่อน
“เรื่องของกูโว้ย” ภาสกรตะโกนตามหลังเพื่อน พลางหัวเราะคิกๆชอบใจ ที่เห็นว่าเพื่อนหอบถุงขยะกลับบ้านไปด้วย “มึงไม่แวะทิ้งขยะก่อนล่ะว่ะ”
**********
ปล. ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถลงได้ ไว้อ่านในตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ 1 คอมเมนต์ = ล้านๆกำลังใจ
ฝากติด #Thememoryoflove #ครอบครัวตัวต่อ ด้วยนะคะ
พูดคุยติดตามอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายของฟูจิได้ที่Fanpage และ
Twitter