Chapter 2 คนเหงา
เคยมั้ยครับ ตอนเด็กๆแม่จะบอกเสมอว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะเรียนจบทำงานมาหลายปีแต่ผมก็เชื่อคำพูดนี้ของแม่มาโดยตลอด พูดมาขนาดนี้ทุกคนคงคิดกันสินะครับว่าผมจะต้องปฏิเสธคำชวนของหมอนั่น เอาเป็นว่าทุกคนคิดถูกแล้วล่ะครับ ผมปฏิเสธหมอนั่นจริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ซะที่ไหนล่ะ!!
บอกตามตรงว่าผมก็เชื่อคำพูดของแม่มาโดยตลอดจริงๆนั่นแหละ แต่ตอนนี้ท้องมันหิวเกินจะปฏิเสธไหว อีกอย่างแค่ไปกินข้าว หน้าตาหมอนี่ก็ดูไม่ใช่พวกหลอกลวงใคร ถึงแม้จะมีคำพูดที่ว่ารู้หน้าไม่รู้ใจก็เถอะ
เอาเป็นว่าความหิวมันชนะทุกอย่างจริงๆครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มที่ฝนเพิ่งหยุด ผมก็มานั่งเด๋อๆที่ร้านข้าวต้มกับผู้ชายคนนึงที่รู้จักกันยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เอ๊ะ แต่จะพูดให้ถูกคือเรายังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ชื่อของหมอนี่ผมยังไม่รู้ และแน่นอนว่ามันก็ไม่รู้จักชื่อผมเหมือนกัน…
พอเราสั่งอาหารไปแล้วก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันเพราะไม่รู้จะพูดอะไร แหงล่ะ รู้จักกันก็ไม่ ยังจะมีหน้าตามเค้ามากินข้าวด้วยอีก ไอ้จูนเอ้ย อย่าให้แม่รู้เชียวว่าทำแบบนี้ ไม่งั้นมีหวังโดนบ่นจนหูชาแน่
บางทีแม่ก็อาจจะลืมไปแล้วว่าผมน่ะอายุ 24 ปี ไม่ใช่ 4 ขวบ!
.
.
.
.
“คุณมากินร้านนี้บ่อยหรอ ถึงรู้ว่าอร่อย”
“ป่าวหรอก พอดีรุ่นน้องที่สตูฯบอกมาน่ะ”
“อ้าว งี้ถ้าไม่อร่อยทำไง”
“แล้วทำไมต้องทำไง”
“ก็คุณบอกว่าร้านนี้อร่อย ผมถึงมากินด้วยนี่ไง” ผมถือคติถ้าของอร่อยอ้วนแค่ไหนก็จะกินครับ ยิ่งตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ จะกินอะไรก็อ้วนทั้งนั้นแหละ แล้วถ้ากินแล้วไม่อร่อยใครจะรับผิดชอบความอ้วนของผมครับ! ถึงจะเป็นแค่ข้าวต้มก็เถอะ
“ไม่ใช่ว่าคุณแค่หิวหรอกหรอ”
“…” เถียงไม่ออกเพราะเป็นความจริง
“อ้าว หรือผมพูดผิด” เสียงหงอยๆปนรู้สึกผิดของหมอนั่นมันไม่ได้เข้ากับหน้าที่กลั้นขำเลยสักนิด
“ช่างเหอะ! เอาเป็นว่าถ้าไม่อร่อยตามที่รุ่นน้องคุณบอก คุณต้องเลี้ยงผม”
“คุณไม่บอกผมก็เลี้ยงอยู่แล้ว ผมเป็นคนชวนคุณมานี่”
“จะบ้าหรอ คุณจะมาเลี้ยงผมทำไม เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย” จริงๆคืออร่อยไม่อร่อยผมก็จะจ่ายเองอยู่แล้วครับ แค่หาเรื่องแกล้งหมอนี่เฉยๆ เห็นหน้าเก๊กๆนั่นแล้วน่าหมั่นไส้ชะมัด
“งั้น…” หมอนี่ทำหน้าคิดอะไรสักพัก
“…”
“ผมชื่อ
ใต้ฟ้า เป็นช่างภาพ มีสตูฯอยู่แถวXYZ เรียนจบจากม.S”
“แล้ว?”
“ทีนี้ก็ถือว่าเรารู้จักกันแล้ว”
“…” ฮะ! แบบนี้ก็ได้หรอวะ
“ตาคุณแล้ว แนะนำตัวสิ”
“ผมต้องทำอย่างงั้นด้วยหรอ”
“อืม ก็เราจะได้รู้จักกันแล้วผมก็จะได้เลี้ยงข้าวคุณสักทีไง”
“ก็ได้ แต่คุณไม่ต้องเลี้ยงผมหรอกน่า” คิดว่ารวยรึไง เลี้ยงคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงเนี่ย
“เอางั้นก็ได้” หมอนั่นว่าพลางยักไหล่เล็กน้อย
“ผมชื่อ จูน…เฮ้ อย่าขำสิ ผมรู้หรอกว่าชื่อผมเหมือนผู้หญิง แต่ผมแมนนะเว้ย!” เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พอแนะนำตัวกับใครทีไรจะโดนล้อเรื่องชื่อทุกที จะบอกว่าชินก็พูดไม่เต็มปาก แม่นะแม่ ทำไมต้องตั้งชื่อผมแบบนี้ด้วย
“ฮะๆ พูดต่อสิ” เอาเถอะพ่อคุณ อยากขำก็ขำเหอะ เห็นหน้ากลั้นขำของหมอนี่แล้วอยากเอาชามข้าวต้มยัดปากชะมัด
“อ่า แค่ชื่อก็คงรู้แล้วว่าผมเกิดเดือนมิถุนา เป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ บริษัทก็อยู่แถวป้ายรถเมล์ที่หลบฝนนั่นแหละ แล้วก็…”
“…”
“จบจากม.เดียวกับคุณ”
“หืม รุ่นน้องหรอเนี่ย”
“คุณรู้ได้ไงว่าผมเป็นรุ่นน้อง ผมอาจจะเป็นรุ่นพี่คุณก็ได้” ผมรู้ว่าผมหน้าเด็กแต่จะมาโมเมว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่แบบนี้ก็ไม่ได้ปะครับ เสียเครดิตหมด
“งั้นบอกอายุคุณมาสิ” บอกไปแล้วจะหนาว กลัวหรอ เปล่า ป้าเจ้าของร้านเอาพัดลมมาตั้งข้างหลังผมเนี่ย! ถุ้ยยยย
“ผม24ปี คุณล่ะ”
“…”
“อ้าว เงียบทำไมคุณ หรือว่า… บอกแล้วว่าผมน่ะเป็นรุ่นพี่คุ—”
“ฮ่าๆๆ” อะ ไอ้หมอนี่ หัวเราะอะไรของมันวะ!
“มีอะไรตลกครับคุณ นี่ผมเป็นรุ่นพี่คุณนะ จะมาหัวเราะใส่ผมแบบนี้ได้ไง” เออ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร
“โอเคๆ ผมหยุดหัวเราะแล้ว ไม่เห็นต้องมองค้อนขนาดนั้นก็ได้” คนแมนๆแบบพี่ใครเค้าจะทำมองค้อนกันวะไอ้บ้านี่ หึ่ยย!
“แล้วก็ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ
น้องจูน”
“อะ…”
“เพราะพี่น่ะ อายุ26แล้วครับ” ไม่จริง! มันโกงผมแน่ๆ ไม่ใช่ว่ามันหน้าเด็กหรืออะไรหรอกนะ แต่ผมต้องเป็นพี่สิ!
“งั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงละกัน ถือซะว่าเลี้ยงรุ่นน้องที่มาเจอกันโดยบังเอิญ” เออ อยากเลี้ยงก็เลี้ยงไปเลย ผมจะกินให้พุงกางเลยคอยดูสิ!
.
.
.
.
.
.
.
“อะ แค่กๆๆๆ”
“ค่อยๆกินสิคุณ ผมไม่แย่งหรอกน่า เอ้านี่ กินน้ำก่อน”
“อึกๆ… เฮ้อ ค่อยยังชั่ว” เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ไม่อยากจะคิดเลยถ้าพรุ่งนี้มีข่าวหน้าหนึ่งว่ามีพนักงานบริษัทกินข้าวต้มแล้วติดคอสำลักตาย โอ้โห อนาถฉิบหายเลยชีวิต
“…” ระหว่างที่กำลังนึกถึงความอนาถของชีวิต อยู่ๆก็รู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาสัมผัสเบาๆตรงมุมปาก
“กินเป็นเด็กๆไปได้ ดูสิข้าวเลอะขอบปากแล้ว” แล้วทำไมเสียงจะต้องนุ่มทุ้มเบอร์นั้นด้วย
“บอกเฉยๆก็ได้นี่ แล้วทิชชู่ก็มีผมเช็ดเองได้”
“ผมเรียกคุณตั้งนาน เห็นเหม่ออยู่ก็เลยจะเช็ดให้”
“งั้นก็ขอบคุณแล้วกัน” บรรยากาศเงียบๆแบบนี้คืออะไร แล้วทำไมพูดเสร็จผมต้องรีบหลบสายตาด้วยวะ แล้วทำไมมีเสียงตีกลองดังขนาดนี้ เอาล่ะ ท่องไว้ไอ้จูน มึงแมน มึงคูล เสียงกลองที่ดังนี่มึงแค่ตกใจแค่นั้น
“คุณ”
“…” ใช่ แค่ตกใจที่มีผู้ชายเช็ดปากให้แค่นั้น แค่ผู้ชายเช็ดปาก ผู้ชะ ชาย…!?
“คุณ!”
“ฮะ! อะไร! เสียงดังทำไมเนี่ยคุณ ผมตกใจหมด”
“ก็ผมเรียกคุณหลายครั้งคุณก็ไม่ตอบ เหม่ออะไรอีกตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว”
“เปล่า ผมแค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย เอ้อแล้วนี่กินเสร็จแล้วคุณจะกลับเลยมั้ย” กลับเลยเถอะ ถ้าอยู่ต่อผมกลัวว่าเสียงตีกลองในอกนี่มันจะดังขึ้นมาอีกรอบ แล้วฝ่ายนั้นจะได้ยิน
“คุณรีบรึเปล่า”
“ก็ไม่นะ” ถึงจะมีงานที่ต้องเคลียร์กองเท่าฟูจิซังอยู่ที่บ้าน แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ที่จะทำแล้วไม่ใกล้เดดไลน์ผมก็ไม่ทำหรอก…
“งั้น ไปเดินเล่นกันมั้ย”
“เดินเล่น? ตอนเที่ยงคืน?” อารมณ์ไหนของหมอนี่วะ
“ก็เดินย่อยไง เอาน่าไปเถอะ แถวนี้มีสวนสาธารณะเปิดใหม่ คนไม่ค่อยเยอะหรอก” หืม ไอ้เดินย่อยนี่เข้าใจ แต่พอบอกว่าไม่ค่อยมีคนนี่มันยังไงอยู่นะ หมอนี่คงไม่ได้พาผมไปฆ่าหรอกนะ?
แล้วถ้าใช่… โอ้ยยย ไอ้จูน ทำไมไม่เชื่อคำแม่ตั้งแต่ทีแรกนะ บอกแล้วไงว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ยังจะมากินข้าวกับหมอนี่ที่เพิ่งรู้จักกันอีก ฮือ แม่ จูนขอโทษ จูนเป็นเด็กไม่ดีเองที่ไม่เชื่อฟังคำพูดแม่ จูน—
“เฮ้ยคุณ ทำอะไรน่ะ แล้วขยี้หัวตัวเองทำไม”
“เอ่อ เอ้อออผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมรีบแล้วอะคุณ พอดีต้องรีบไปเคลียร์งาน” หาเรื่องชิ่งก่อนละกันวะ
“อ้าวไหนตอนแรกบอกไม่รีบไง งานด่วนหรอคุณ”
“ด่วนม้ากกกกมากเลยคุณ” เสียงปกติใช่มะ ไม่ได้เสียงสูงเลยจริงจริ๊งงง
“หืม ทำหน้าเหมือนผมจะพาคุณไปฆ่าเลยแฮะ หรือว่า… นี่คุณกลัวผมจริงๆหรอเนี่ย”
“อะไรเล่า แล้วมันไม่น่าสงสัยรึไง อยู่ๆก็ชวนไปเดินเล่นแถมบอกว่าไม่ค่อยมีคนอีก”
“ฮ่าๆ ก็จริงของคุณ แต่ผมชวนไปเดินเล่นก็คือเดินเล่นจริงๆนะ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“แล้วตกลงจะไปรึป่าว” ควรไปรึเปล่าวะ แต่อากาศแบบนี้ก็น่าไปเดินเล่นเหมือนกัน ไหนๆพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด
“ไปก็ได้ แล้วจะไปยังไง”
“อืม เดินไปดีกว่า อยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่หรอก”
“คุณเดินนำสิ”
เราเดินกันมาเรื่อยๆก็ถึงสวนสาธารณะที่ว่า อากาศเย็นสบายแล้วก็เงียบสงบมากๆเลยครับ สถานที่แบบนี้หาได้ยากนะสำหรับเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
“นี่คุณรู้จักสถานที่ดีๆแบบนี้ได้ไงเนี่ย”
“ขับรถผ่านแล้วเจอโดยบังเอิญน่ะ ปกติผมต้องขับรถหาสถานที่ถ่ายงานนอกสตูฯอยู่แล้ว”
“ดีจัง… เอ้อ ขอถามไรหน่อยสิ คือผมได้ยินมาว่าอาชีพช่างภาพแบบคุณน่ะเป็นพวกเจ้าชู้ จริงรึป่าว”
จริงๆสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ก็สมัยเรียนน่ะพวกผู้หญิงในคลาสชอบบ่นว่าอยากได้แฟนเป็นตากล้อง แต่ก็บ่นว่าเจ้าชู้นู่นนี่ แต่ก็อยากมี ผมล่ะสับสนกับพวกเธอจริงๆ ไหนๆก็มีโอกาสรู้จักกับช่างภาพโดยบังเอิญแล้วก็ขอถามเลยละกัน
“ผมว่าแล้วแต่คนมากกว่า เคยได้ยินรึเปล่าล่ะว่าผู้หญิงกับการถ่ายรูปเป็นของคู่กัน เพราะฉะนั้นอาชีพแบบพวกผมก็ต้องถ่ายรูปแบบนี้เยอะ คนก็อาจจะมองว่าเจ้าชู้” ก็จริงอย่างที่หมอนี่ว่านั่นแหละ
“แล้วก็นะ เวลาถ่ายรูปน่ะไม่ใช่ว่ามีแบบแล้วจะถ่ายๆไปยังไงก็ได้ ภาพถ่ายน่ะมันสามารถสื่ออารมณ์ตอนเราถ่ายมันได้นะคุณ เวลาถ่ายภาพเราถึงต้องบรีฟอารมณ์ส่งผ่านความรู้สึกที่อยากจะให้นางแบบที่เราต้องถ่ายสื่อออกมาตามที่ต้องการ มันเลยดูเหมือนเราทำตัวเจ้าชู้จับนู่นแตะนี่นางแบบไปเรื่อยล่ะมั้ง ไหนจะคำพูดที่ใช้อีก”
“แต่มันก็เป็นแค่งานที่เราต้องทำ พองานจบทุกอย่างก็จบ ไม่ได้มีอะไรสานต่อนอกจากบางคนเค้าอยากจะมีก็แล้วแต่คน”
“งั้น…แล้วคุณล่ะได้สานต่อบ้างรึป่าว”
“ผมก็ผู้ชายนะคุณ เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีบ้างแต่ไม่บ่อยหรอก”
“อย่างคุณเนี่ยน่ะหรอ…” เชื่อได้มั้ยเนี่ย เอาจริงหน้าตาหมอนี่ก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะดูดีซะด้วยซ้ำ
“อย่างผมเนี่ยแหละ เห็นแบบนี้ผมก็เลือกนะคุณ”
“…”
“จริงๆผมเป็นคนขี้เหงา เรื่องพวกนี้มันก็เลยมีบ้าง”
“ผมก็ขี้เหงาไม่เห็นจะทำแบบคุณเลย การที่เราเหงามันมีอะไรให้ทำเยอะแยะไม่ใช่แค่เรื่องพวกนี้ซะหน่อย”
“ก็ผมคิดออกแค่นี้นี่นา งั้นวิธีของคุณคืออะไร”
“ก็กินไง แค่กิน” ความสุขของผมคือการได้กินของอร่อยๆ โฟกัสแค่ของกินแค่นี้ความเหงาก็หายไปแล้วครับ เพราะเราจะสนใจแต่ของอร่อยเท่านั้น!
“ฮ่าๆ สมกับเป็นคุณ”
“แน่นอน วิธีผมเจ๋งสุดแล้ว”
“ทุกวันนี้ผมกินข้าวคนเดียวผมก็ยังเหงาอยู่ดี วิธีคุณอาจจะใช้ไม่ได้กับผม เว้นแต่ว่า…”
“อะไร”
“ถ้ามีคนมากินของอร่อยๆด้วยกันก็อาจจะหายเหงาก็ได้นะ”“…”
ฉ่า!!! เสียงใครทอดอะไรวะเนี่ย! แล้วนี่ใครมาตีกลองในอกผมอีกแล้ว!!!!!
TBC.
ขอโทษที่มาช้านะคะ