4
กิจวัตรประจำวันของเด็กมหา’ลัย ทุกวันไม่ต่างกันมากนัก ตื่นเช้ามาพร้อมเสียงนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปหามื้อเช้ากินแถวมหา’ลัย แต่สำหรับคนที่มีรูมเมท อาจจะมีกิจกรรมบางอย่างเสริมขึ้นมา
อย่างเช่นเป็นนาฬิกาปลุกมีชีวิต...
“แอร์ จะแปดโมงแล้ว มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่เหรอ” นายที่ตื่นเช้ากว่า ทำหน้าที่ปลุกเช่นเคย กับพ่อนักร้องขี้เซา
ร่างในกองผ้าไม่หันมาขานรับอย่างทุกที กลับม้วนตัวเองอยู่ในผ้าห่มลายตัวโน้ตดนตรี แล้วกลิ้งเอาหน้าไปซุกตรงมุมกำแพง เพราะเตียงของแอร์ถูกลากไปชิดติดกำแพงตามความชอบส่วนตัว ในขณะที่เตียงของนายอยู่ด้านนอก และเว้นพื้นที่ไว้ตรงกลางสำหรับเดิน
“แอร์”
“…”
“ตื่นเถอะ ฉันต้องรีบไปหาอะไรกินก่อนเข้าเรียนนะ” นายเป็นคนติดกินมื้อเช้า ถ้าตอนเช้าไม่ได้กินข้าวจะรู้สึกระส่ำระสายค้างคาใจไปทั้งวัน ดังนั้นเรื่องอาหารจึงสำคัญมาก ผิดจากใครอีกคน ขอแค่ให้ได้นอน รอกินรวบมื้อเย็นก็ยังได้
นั่นหมายถึงตัวเองไง จะเสียสุขภาพแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่ยอมให้นายอดข้าวไม่ได้เด็ดขาด แอร์เลยยอมฝืนถ่างตาหนักๆ หันมามองพร้อมโบกมือไล่
“คาบเช้าขอโดด ไม่มีควิชอะไร นายไปกินข้าวเหอะ” เด็กเกเรยังคงนอนติดเตียงอย่างเหนียวแน่น สุดท้ายนายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตบหนอนผ้าห่มตัวโต
“ตามใจ จะให้โทรมาปลุกตอนเที่ยงมั้ย”
“ไม่”
“โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ”
“อืม”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ นายลังเลนิดหน่อยเกรงว่าเพื่อนสนิทจะป่วย เพราะเมื่อวานดันโดนละอองฝนไปเต็มๆ แต่พอได้ยินเสียงกรนอย่างคนหลับสบายก็ส่ายหัว แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ พลางปิดประตูให้เบาที่สุดจะได้ไม่รบกวนคนหลับ
หลังจากนั้นก็เหมือนกับวันอื่นๆ ที่ผ่านมา นั่งวินเข้ามหา’ลัย กินข้าวเช้าพร้อมกับเพื่อนที่โรงอาหารรวมก่อนเข้าตึกคณะ เรียนจนถึงบ่าย เพราะคลาสนี้ต้องเรียนถึงสี่ชั่วโมงเต็ม สภาพนักศึกษาหลังจากถูกปล่อยตัวเลยง่วงเหงาหาวนอนตามระเบียบ บางคนยืนบิดขี้เกียจไม่เกรงใจอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องเลยด้วยซ้ำ
“มะอะไรต้องรีบไปทำรึเปล่านาย เห็นจ้องมือถือตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย” แมวเพื่อนสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเอ่ยทัก คนที่ยังจ้องมือถือไม่เลิก
“นั่นสิ เก็บก่อนก็ได้มั้งถ้าไม่มีธุระอะไรจริงๆ เดี๋ยวก็ก้าวลงบันไดผิดขั้นจนหัวฟาดพื้นพอดี” เบสกอดคอเพื่อนตัวสูงกว่าแบบไม่เจียมสังขาร โดยมีปลื้มสมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่มพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนกับนายมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทีแรกมีแค่สามหนุ่มเท่านั้น ก่อนที่แมวจะเข้าร่วมวงด้วยในภายหลังเพราะเธอเป็นเศษตอนทำงานกลุ่ม พองานเสร็จก็ไม่ยอมไปไหน เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันยาวจนปัจจุบัน
ส่วนนาย นอกจากจะไม่เก็บมือถือตามคำเตือนแล้ว ยังอาศัยเพื่อนช่วยไม่ให้ล้มหัวแตก ขณะโทรหารูมเมท
“ไม่รับสาย” เจ้าตัวเริ่มบ่นพึมพำแล้วโทรใหม่อีกครั้ง ทำแบบนั้นจนมาถึงโรงอาหาร ขนาดเพื่อนแยกย้ายไปสั่งข้าวจนมานั่งรวมแล้วนายก็ยังไม่ยอมปล่อยโทรศัพท์ เบสที่ไม่ชอบคนติดมือถืออดที่จะทักอย่างหน่ายใจไม่ได้
“ถ้าเขาไม่รับก็แสดงว่าไม่ว่างนั่นแหละ ไปหาซื้อข้าวได้แล้ว เดี๋ยวก็หมดก่อนหรอก” มหา’ลัยนี้มีคนเยอะมาก แถมแห่กันมาเวลาไล่เลี่ยกันหมด หากไม่รีบซื้ออาจจะไม่เหลืออะไรให้กินก็เป็นได้
สุดท้ายนายเลยถอดใจ ยังไงคาบบ่ายไม่มีเรียน ค่อยกลับไปดูที่ห้องแล้วกัน ตัดสินใจได้ดังนั้นก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง เพราะเจ้าตัวพกมาแค่สมุดกับปากกาอย่างละหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้ลุกไปซื้อข้าวก็มีคนโทรเข้ามา เลยทิ้งตัวลงนั่ง รับโทรศัพท์โดยไม่ดูชื่อ
“ครับ?” นั่นคือการรับสายของนาย ที่เพื่อนๆ พากันส่ายหัว
/นายใช่ป่ะ/
“ใช่” ตอบไปพลางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทีแรกคิดว่าแอร์ซะอีก แต่กลับไม่ใช่
/ไม้นะ เพื่อนแอร์/
นายเคยไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนแอร์บ่อยๆ พออีกฝ่ายบอกปุบเลยนึกออกทันที
“มีอะไรรึเปล่า ถ้าแอร์ล่ะก็เห็นว่าโดดคาบเช้านะ บ่ายน่าจะไปเรียน”
/ก็คิดไว้แบบนั้น แต่อาจารย์สอนไปชั่วโมงแล้วมันก็ยังไม่โผล่หัวมา โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย เลยว่าจะถามนี่แหละ ว่าอยู่กับมันรึเปล่า ถ้าอยู่ช่วยบอกให้มันมามหา’ลัยที หลังเลิกเรียนมีประชุมสำคัญ มันเป็นนักร้องหลักไม่ควรโดด/ ไม้ผู้เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของวงร่ายยาวเป็นชุด ส่วนนายเริ่มขมวดคิ้วอย่างกังวล
“ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เดี๋ยวดูให้”
/อ้าว ไม่มีเรียนคาบบ่ายเหรอ ถ้ามีเรียนไม่ต้องโดดนะ ไว้พวกเราไปลากคอมันที่ห้องเอง/
“ไม่มีๆ ไว้ได้เรื่องยังไงจะโทรไป”
/โอเค ขอบใจมาก ฝากดูมันด้วยนะนาย/
“ได้ ยังไงก็เพื่อนสนิทฉันอยู่แล้ว” คำว่าเพื่อนสนิทกระแทกหูไม้เต็มๆ คุณหัวหน้าวงนึกอยากถอนหายใจและยืนไว้อาลัยให้นักร้องนำตัวเองเหลือเกินที่ไม่หลุดจากเฟรนโซนสักที แต่ก็นั่นแหละ เรื่องของพวกมันไม้จะไม่ยุ่ง พอคุยธุระเสร็จเลยวางสายพร้อมผลักหัวเพื่อนร่วมวงที่เหลืออีกสองคนไปไกลๆ
ทางฝั่งนายก็ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อข้าวมากิน เจ้าตัวหันไปบอกพวกเพื่อนท่าทางรีบๆ
“กลับก่อนนะ” พูดแค่นั้นก็เตรียมจะชิ่งหมุนตัวจากไป แต่แมวไม่คิดปล่อยไปโดยง่าย เรด้าสาวของเธอมันร้องเตือนเรื่องสนุกที่ไม่ควรพลาด!
“จะรีบไปไหนนาย ข้าวก็ยังไม่กิน” สาวเจ้าแกล้งถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งที่ในใจอยากรู้มาก นายคนซื่อเองก็ตอบไปตามตรง
“จะรีบกลับห้องไปดูแอร์ เมื่อเช้ามีอาการแปลกๆ แถมจนป่านนี้ยังไม่มาเรียนอีก” สุขภาพบุรุษอย่างนายไม่สามารถสะบัดแขนเพื่อนสาวหลุดได้ เลยรีบพูดจะได้รีบไป
“เดี๋ยวๆ เพื่อนรัก รีบไปแบบนี้ถ้าเกิดแอร์ป่วยจริงจะทำอะไรได้ เอางี้นะ นายไปดูอาการของแอร์ก่อน เดี๋ยวพวกเราซื้อข้าวกับยาขึ้นไปให้” แมวเสนอให้อย่างใจกว้าง มีเบสกับปลื้มส่ายหัวอย่างระอา ผิดกับนายที่ตาเป็นประกาย
“ลืมคิดไปเลย ขอบใจนะแมว ของฉันเอาเหมือนเดิม ส่วนแอร์...เอาเป็นข้าวต้มหมูสับแล้วกัน ถ้าถึงหอเมื่อไหร่โทรมา เดี๋ยวจะลงมารับ” สิ้นคำก็วิ่งฉิวออกจากคณะ ไม่ทันเห็นแววตาระยิบระยับของแมว
“หาเรื่องไปหาผู้ชายในดวงใจน่ะสิไม่ว่า” เบสอดไม่ได้ที่จะแซะเพื่อนตัวเองสักที ความจริงแมวแอบปลื้มแอร์มานานแล้ว และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังอยู่ในกลุ่มอย่างเหนียวแน่น เพราะรู้ว่าเป็นรูมเมทของแอร์ ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ให้แมวบุกไปหาชายในฝันถึงห้อง!
“เร็วๆ รีบกินรีบลุกจะได้ไปซื้อข้าวให้นาย” แมวไม่สนใจแถมยังหันมาเร่งเพื่อนอีกต่างหาก
“ถ้ารีบขนาดนั้นแมวไปสั่งข้าวรอเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันเก็บจานเอง” ปลื้มเสนอ แน่นอนว่าแมวไม่ปฏิเสธ แต่ดูจากจำนวนคนี่แห่มากินข้าวละลอกสองแล้ว คาดว่าพวกเขาคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปหอนายได้
ในขณะเดียวกันนั้น นายลงทุนโบกวินกลับหอ ยอมจ่ายมากกว่าทุกทีเพื่อกลับมาดูเพื่อนร่วมห้อง ทันทีที่ไขประตูเข้าไปเห็นแอร์ยังนอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน นายหยิบมือถือขึ้นมาดูบอกเวลาบ่ายสอง ใครบางคนยังหลับอุตุไม่เลิกรา หนุ่มบริหารเลยตัดสินใจเดินไปนั่งข้างเตียงใช้มือแตะหน้าผากคนขี้เซา พบว่ามันร้อนจัดจนสะดุ้ง
นายมองสำรวจคำป่วยพลางเรียบเรียงวิธีการปฐมพยาบาลในหัว ก่อนอื่นก็คงต้องเช็ดตัวระบายความร้อนก่อนล่ะนะ พอพวกแมวมาค่อยให้กินข้าวกินยาแล้วนอนพักผ่อนต่อ ตัดสินใจได้ดังนั้นก็หันไปหยิบกะละมังใบเล็กตรงระเบียง ใส่น้ำมาตั้งข้างเตียงพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเอง เนื่องจากไม่กล้าไปรื้อตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย เรื่องเกรงใจก็ส่วนหนึ่ง แต่ออีกส่วนคือ กลัวผ้าที่อยู่ด้านในจะถล่มออกมา เนื่องจากแอร์เป็นพวกนิสัยสวนทางกับหน้าตา เสื้อผ้าแต่ละตัวจับยัดเข้าตู้ พอจะใส่ค่อยรีด ผิดกับนายที่เป็นระเบียบสุดๆ
“แอร์ ขยับหน่อยฉันจะเช็ดตัวให้” เรียกคนป่วยที่ขมวดคิ้วปรือตามอง ใบหน้าแอร์ขึ้นสีแดงจากพิษไข้ คงเป็นเพราะเจอละอองฝนเต็มๆ เมื่อวันก่อนแน่ๆ แล้วทำเป็นเก่งไม่ยอมอาบน้ำก่อน
“เลิกเรียนแล้วเหรอ” แม้สมองจะมึนงงผสมปวดหัวตึบๆ เป็นระยะ แต่ก็พอแยกแยะออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ตัวเองน่าจะเป็นไข้แน่นอนจนนอนซม เลยได้นายมาช่วยดูแล ไม่รู้จะดีใจหรือเศร้าใจดี ดันหลุดมุมไม่เท่ให้อีกคนเห็นซะได้
คิดไปพลางก็ถอดเสื้อไปพลาง ชุดนอนของแอร์คือเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงนอนขายาว เลยไม่ลำบากในการถอด
“ใช่ ตอนนี้บ่ายสองแล้ว ทำไมป่วยแล้วไม่บอก” นายดุไปหนึ่งที มือก็บิดผ้าหมาดๆ แล้วเริ่มเช็ดตามลำคอกับข้อพับเพื่อระบายความร้อนก่อน ค่อยชุบน้ำบิดและเช็ดเหงื่อส่วนอื่นต่อ ในใจนายไม่คิดอะไรเลยสักนิด ผิดกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อที่ใจเต้นรัวออกอาการเก้อเขินตามประสา
“ทีแรกคิดว่าอากาศร้อนเฉยๆ เพิ่งมารู้ตัวว่าป่วยก็ตอนไม่มีแรงแล้ว” ปากพูดหงุงหงิงเสียงเจืออ้อน เป็นจังหวะเดียวกับที่นายดึงแอร์เข้ามาใกล้จนคางเกยบนบ่ากว้าง จุดประสงค์ของนายคือให้คนป่วยพิงตัวเองไว้จะได้ช่วยเช็ดด้านหลังให้ แต่คนคิดไม่ซื่อเผลอสูดกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของนายเข้าเต็มปอด เห็นแบบนี้ทุกเช้านายต้องโกนหนวดตลอด ผิดกับแอร์ที่นอกจากหน้ามันแผล็บตอนตื่นแล้ว ก็มีแค่ตอหนวดเหมือนเคราแพะตรงปลายคางสุดอนาถใจ
ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ กับกลิ่นมาดแมนสุดเท่ในความคิด ปลายนิ้วของนายแตะตรงท้ายทอยเบาๆ ทำเอาสะดุ้งขนลุกซู่
“คิดอะไรง่ายๆ เหมือนเดิม” บ่นเล็กน้อยตามนิสัยและพูดถึงรอยสักตรงท้ายทอยของแอร์ด้วยความสนใจ “ว่าจะถามนานแล้ว รอยสักนี่สักตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภายนอกที่ดูเหมือนผู้ชายอบอุ่นแสนสะอาด เบื้องหลังเสื้อนักศึกษาคือรอยสักรูปข้าวหลามตัดสีดำ ที่มีลายกราฟิกอยู่ข้างในสุดอาร์ต มันอยู่ตรงตำแหน่งท้ายทอยก็จริง แต่ปกติจะถูกคอเสื้อปิดไว้จนมิด ต้องถอดเท่านั้นถึงจะเห็นเหมือนในเวลานี้
“แอร์?” เห็นอีกคนเงียบเลยเรียกซ้ำอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ไม่อยู่เฉย จัดการช่วยเช็ดขาให้จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไวๆ
คนที่เจอเสียงทุ้มต่ำระยะประชิดหูค่อยหลุดจากภวังค์ แม้นายจะร้องเพลงไม่เก่ง แต่เสียงมีเสน่ห์มาก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แอร์หลงใหล
“สักช่วงวัยคะนองตอนม.ปลายน่ะ ฉลองก่อนเข้ามหา’ลัย” คิดย้อนกลับไปก็อดขำไม่ได้ พอครอบครัวรู้ว่าสัก นอกจากจะไม่ว่าอะไรแล้วยังชมว่าสวยดี แต่ก็ห้ามสักอีกเด็ดขาด โดยเฉพาะนอกร่มผ้า เพราะมันอาจจะมีปัญหาได้ทั้งในวัยเรียนและวัยทำงาน ซึ่งแอร์เองก็เข้าใจ เลยเลือกสักแค่นี้
“เป็นการฉลองที่แปลกดี แต่ก็เหมาะกับนาย” ไม่รู้ว่านายจงใจหรือชอบรอยสักนี้จริงๆ เลยลูบเล่นเสียหลายทีไม่เกรงใจคนป่วยที่สยิวไปทั้งตัว ระหว่างที่คิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปดี หรือจะหาเสื้อมาสวมให้มันรู้แล้วรู้รอด ประตูก็เปิดผ่างออกมาพร้อมร่างคุ้นตาสามคน
“ฉันมาแล้วจ้า!” แมวถือถุงข้าวยิ้มร่ามาก่อนใคร ตามด้วยเบสกับปลื้มที่อ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า
ผู้ชายสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียง นายใส่ชุดเต็มยศก็จริง แต่แอร์เหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีเข้มตัวเดียว เผยผิวขาวกระจ่างกับใบหน้าอิดโรยจากพิษไข้ ทำให้หางตาตกที่ดูเหมือนผู้ชายตาหวานอยู่แล้ว ยิ่งหยาดเยิ้มเข้าไปใหญ่ขนาดนี้เบสกับปลื้มผู้ชายทั้งแท่งยังอดหน้าแดงไม่ได้ พร้อมใจกันยกมือปิดตาเพื่อนสาวที่ร้องอู้หู้วออกมาไม่สมเป็นกุลสตรี
นายรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเพื่อนแล้วรื้อเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขายาวมาให้แอร์ใส่แก้ขัดไปก่อน ด้วยความที่พวกเขาหุ่นพอๆ กันเลยยืมใช้กันได้สบาย แอร์เองก็ไม่คิดโชว์เรือนร่างไปมากกว่านี้ หากมีแค่นายคนเดียวก็ว่าไปอย่าง เลยรีบรับเสื้อผ้าที่นายโยนมาสวมเสร็จเรียบร้อยด้วยเวลารวดเร็ว
“พวกนายขึ้นมาได้ยังไง” นายขมวดคิ้วถาม เพราะหอนี้หากคนไม่มีคีย์การ์ดจะไม่สามารถเข้ามาได้
แมวที่ปัดมือเพื่อนทั้งสองออกเป็นฝ่ายตอบ พลางวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะ ดวงตามองแอร์ด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มจนแอร์ขยับไปหลบอยู่ด้านหลังนายแบบเนียนๆ “รอคนเปิดพวกฉันก็ตามเข้ามาไงล่ะ อีกอย่างนะ นายรีบเกินไปเลยไม่ได้ล็อกประตู พวกฉันเคาะตั้งนานไม่มีคนตอบเลยถือวิสาสะเข้ามาเลย ไม่คิดว่าจะได้เห็นของดี” สาวเจ้าเปลี่ยนเป็นยิ้มร่า ไม่ได้ดูสีหน้าแอร์เลยสักนิด
นายสนิทกับพวกเพื่อนแอร์ก็จริง แต่แอร์ไม่สนิทกับเพื่อนของนายเลยแม้แต่น้อย ขนาดเจอกันเคยเจอกันไม่กี่ครั้งเองมั้ง บรรยากาศภายในห้องมันก็จะกระอักกระอ่วนหน่อยๆ
เบสกับปลื้มเป็นผู้ชายทั้งแท่งเหมือนกัน เข้าใจดีว่าถูกผู้หญิงสาวแต่นิสัยไม่สวยอย่างแมวคุกคามแล้วมันอึดอัดแค่ไหน ปลื้มเลยเปลี่ยนเรื่องคุยดื้อๆ
“นายไปเทข้าวใส่จานเหอะ แอร์จะได้กินยาด้วย”
“ส่วนพวกเราก็กลับได้แล้ว จะได้ไม่รบกวนคนป่วย หายไวๆ นะแอร์ ผู้หญิงทั้งมหา’ลัยรอนายอยู่” เบสแจกยิ้มเป็นมิตรให้แอร์ ก่อนหันมาบอกเพื่อน “พวกฉันกลับก่อนนะ เรื่องเงินไว้คืนพรุ่งนี้!” สิ้นคำก็ลากแขนแมวออกจากห้องไปดื้อๆ ทั้งห้องเลยตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
จู่ๆ แอร์ก็หลุดขำ “เพื่อนนายน่าจะไปเป็นประกันนะ มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ” คนป่วยไม่เจียมเอ่ยแซวขำๆ นายเองก็หัวเราะเบาๆ แล้วดันให้แอร์นอนลง
“พวกนั้นก็แบบนี้แหละ ส่วนคนป่วยนอนซะ เดี๋ยวฉันไปเทข้าวต้มมาให้ จะได้กินยา”
แอร์ที่ถูกดึงผ้าห่มจนถึงคอ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย สายตาไม่ละจากแผ่นหลังของนายที่เดินไปมาในห้อง เปลี่ยนน้ำในกะละมัง แล้วบิดผ้ามาวางไว้บนหน้าผาก ค่อยเดินไปยังโซนครัวเทข้าวต้มกับข้าวของตัวเองใส่จานมานั่งกินด้วยกันข้างเตียงนอน เพราะถึงจะบอกว่าเป็นห้องใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนขนาดนั้น แค่ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่แบ่งมุมใช้สอยตามสมควร
พอกินข้าวกินยาเสร็จ คนที่ควรนอนกลับเปิดเพลงมือถือฟังเฉย นายที่ยืนล้างจานอยู่ตรงระเบียงเลยได้ฟังไปด้วย
นั่งมองดูตัวเราเอง
นั่งฟังเพลงประจำตัวเรา
ฟังแต่เพลงคนข้างล่างทุกวัน
ได้แต่แหงนมองไปวันๆ
ก็รู้ว่าคงจะไม่มีวัน
ที่เธอนั้นจะมองเห็นกันสักที
จังหวะที่นายหันมาพอดี สบตากับแอร์ที่แอบมองทุกการกระทำของอีกฝ่ายไปเต็มๆ แอร์เลยยิ้มยักคิ้วให้ กลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง
ทำได้แค่เพียงนั่งฝัน
ว่าเธอจะมองคนอย่างฉัน
และคิดไปไกลว่าสักวัน
ที่สองเราได้รักกัน
แต่ฝันก็คงไม่กลายเป็นจริง
เพราะความจริงเธอนะอยู่บนนั้น
แต่ฉันยังอยู่ตรงนี้
อยากขอให้มีแค่สักวัน
ที่เธอนั้นได้เห็นกัน
และฝันก็คงได้กลายเป็นจริง
เป็นเพลงที่ช่างตรงใจกับแอร์เวลานี้ พอถึงท่อนสำคัญเลยอดไม่ได้ที่จะร้องด้วยเสียงตัวเอง แม้จะแหบพร่าและขาดห้วง แถมยังฟังดูขึ้นจมูกไม่สมกับเป็นนักร้องคนเก่ง แต่สื่อด้วยใจไปเต็มๆ
“เธอนั้นสูงเกินจะใฝ่
อยู่ห่างไกลจากคนอย่างฉัน
ก็รู้ดีว่าไม่มีวัน
แต่จะทำยังไงก็ไม่หยุดรักเธอ…
ก็เรานั้นมันคนละชั้น
จะทำเช่นไรให้มองเห็นกัน
ก็เธอนั้นอยู่คนละชั้น
ได้แต่แหงนมองขึ้นไป”
นายเช็ดมือเดินมานั่งข้างเตียงเปลี่ยนผ้าบนหน้าผากให้คนป่วยที่ตกอยู่ในห้วงรักจนตาพร่า เพลงจะเป็นยังไงผมไม่สนใจแล้ว ผมตัดข้ามไปร้องท่อนจบตามความต้องการของหัวใจ
“อยากให้เธอมองมาสักที...”
เสียงดนตรีที่ดังคลอ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพวกเขาในตอนนี้ แอร์ถือโอกาสว่าตัวเองป่วย ขยับหัวไปนอนหนุนตักแข็งๆ ของนายแต่ให้ความรู้สึกดีแบบสุดๆ
“เพิ่งรู้ว่าเป็นพวกป่วยแล้วอ้อน”
ไม่เลย เวลาแอร์ป่วย แอร์จะไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่ง เพราะไม่อยากเป็นภาระของใคร แต่เวลานี้แอร์อยากให้นายอยู่ข้างๆ มากกว่า
มือหยาบจากการเล่นดนตรี จับมือใหญ่มาโปะตรงหน้าตัวเอง พึมพำพูดเสียงแหบเป็ดจนน่าขำ “ขี้อ้อนสุดๆ ไปเลย ถ้าไม่มีใครให้อ้อนจะไม่ให้ป่วย ดังนั้นอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน” ไถๆ หัวตัวเองกับมือเย็น ท่าทางเหมือนเด็กผิดลุคเท่เป็นที่พึ่งแบบทุกทีทำให้นายหลุดขำ
ที่ผ่านมานายเอาแต่พึ่งแอร์ในวันแย่ๆ ของชีวิต พอกลายมาเป็นที่พึ่งให้แอร์บ้าง เลยรู้สึกภูมิใจแบบแปลกๆ
“เหนื่อยก็พัก อ่อนแอก็ไม่ต้องฝืน พึ่งฉันบ้างก็ได้ เหมือนที่ฉันพึ่งนาย จะได้แฟร์กับทั้งสองฝ่าย”
ตึกตัก...
แค่คำธรรมดา แถมเป็นคำที่แอร์เคยใช้พูดกับนาย พอหลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายแบบนี้ หัวใจก็รู้สึกพองโตคล้ายจะล่องลอย ได้แต่กัดปากพยายามกลั้นยิ้มแล้วดึงผ้าห่มคลุมมิดหัว ทั้งที่ยังยึดขาชาวบ้านแทนหมอน
เวลานี้นายอาจจะไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นอกจากฐานะเพื่อ แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน ย่อมดีกว่าความรู้สึกเกลียดชังอยู่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าสักวัน จะได้อยู่ชั้นเดียวกันสักที
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพลงประกอบ
Jaonaay - คนละชั้น
https://www.youtube.com/watch?v=Lxeq3_uWib8