กลิ่นเครื่องเทศน์หอมแรงปนกลิ่นแป้งขนมปังรบกวนการนอนหลับของซึโยชิจนเขาต้องขยับตัวตื่น เขาไม่เคยมีอาการงัวเงียขนาดนี้หลังตื่นนอนเลยตลอดการทำงานเกือบสามสิบปี แต่ครั้งนี้มันช่วยไม่ได้นี่นะ เพราะก่อนหน้านี้บนเครื่องบินเขาเพิ่งถูกฉีดยามา
ใช่...ฉีดยา...!
“โอะ...โอ๊ย...”
“อย่าเพิ่งรีบลุกสิ เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
ซึโยชิหันขวับไปมองต้นเสียง มันไม่ได้อยู่ห่างตัวเขาเลย และภาพที่เห็นคือผู้ชายคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่บนเตียงข้างๆ บนศีรษะของเขาโพกมีผ้าคลุมศีรษะกูตราลายตารางสีดำแดง ส่วนตัวรูปร่างของเขาซึโยชิเห็นไม่ชัดนักเพราะมันถูกคลุมไว้ด้วยชุดกันดูร่า ชุดผ้าสีขาว แขนยาว คอเสื้อเป็นคอกลม ผ่าหน้าและมีพู่ห้อย ถัดลงมาตรงหน้าตักของเขามีถาดอาหารวางอยู่ บนนั้นมีจานอยู่สองจาน ใส่แผ่นแป้งกับผลไม้เอาไว้ ส่วนกลิ่นเครื่องเทศน์ที่ซึโยชิได้กลิ่นมาจากถ้วยใส่อาหารที่มีลักษณะเหมือนแกง มันวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงของชายที่นั่งมองเขาอยู่
“เอาหน่อยมั้ย คุณคงหิว หลับมาตั้งห้าหกชั่วโมงเลยนะ” ชายคนนั้นเอ่ยบอกเขาพร้อมยื่นถาดอาหารมาตรงหน้าซึโยชิ แต่คนเพิ่งฟื้นรีบเอาแขนยันเตียงและกระเถิบตัวเองหนี มันค่อนข้างยากเล็กน้อยเพราะเตียงมันนุ่มมาก ซึ่งนั่นทำให้การขยับหนีของซึโยชิแทบไม่ได้ผล
“คุณคือคนที่สั่งให้จับคุณหน...จับผมมาใช่มั้ย” หนุ่มเอเชียยังจำได้อยู่ว่าตัวเองเคยบอกอะไรกับคุณหนูของเขาเอาไว้ และตอนนี้เขาคิดว่าเขาควรที่จะต้องเล่นตามบทบาทสมมตินี่ต่อไป
“เรา..เพิ่งเจอกัน อย่าเพิ่งพูดเรื่องซีเรียสเลยน่า” ชายคนที่นั่งข้างๆเขาเอ่ยบอก ใบหน้าของเขารกครึ้มไปด้วยเคราและหนวด มันรกจนเขาแทบจะเห็นแค่ลูกตาของเขาเท่านั้น ซึ่งนั่นมันไม่ดีเลย กับคนที่ถูกฝึกมาให้หัดสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวตลอดเวลาอย่างซึโยชิแล้ว มันทำให้เขารับรู้ความรู้สึกที่ถูกส่งมาจากชายคนนี้ผ่านทางแววตานั้นได้ดี
แววตาเหมือนคนที่กำลังสนุก คนที่กำลังพอใจกับอะไรบางอย่าง
ซึ่งนั่นทำให้ซึโยชิไม่สบายใจเอาเสียเลย
“คุณทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไรจากผม” ท่าทางระแวดระวังของหนุ่มเอเชียตาตี่ทำให้ชายในชุดกันดูร่าหัวเราะจนเครากระตุก
“ไม่เอาน่า คุณก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่ใช่มั้ย พวกนั้นที่มันขับรถชนคุณผมก็จัดการลงโทษให้แล้ว ถือเสียว่าผมเชิญคุณมาเที่ยวที่นี่ก็แล้วกัน คุณเองก็...อยากมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“...” ซึโยชิคิ้วกระตุก ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูของเขากำลังจะเดินทางมาที่นี่ หรือว่าพวกเขาจะแอบถูกติดตาม “บ้านคุณมีวิธีการเชิญแขกที่แปลกดีเนอะ น่าประทับใจสุดๆ”
“ว้าว น่าสนใจนี่ ไม่ยักรู้ว่าคนไทย...จะชอบพูดประชดประชันเก่ง”
“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” ไหนๆก็บอกว่าเก่งแล้วเขาก็ไม่ขอทำให้ผิดหวัง
“โอเค ผมมีประชุมต่อในอีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้คงต้องไปเตรียมตัวก่อน ถ้าหิวก็ทานนี่ไปก่อนก็แล้วกัน ผมขโมยกินแค่ผลไม้กับขนมปังนิดหน่อย หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจ”
“ดะ...เดี๋ยวสิ คุณจะไปไหน เรายังคุยกันไม่จบนะ”
“แต่ผมจบแล้ว เจอกันอีกทีคืนนี้นะ เดี๋ยวผมกลับมา ถ้าทำตัวดีผมอาจพาคุณไปเที่ยวชมเมืองยามกลางคืน”
ชายคนนั้นพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางถาดอาหารไว้ใกล้ๆกับถ้วยแกง เสร็จแล้วก็หยิบผ้าที่อยู่ใกล้ๆตรงนั้นมาเช็ดมือ ซึโยชิพยายามจะลงจากเตียงเพื่อจะตามคนคนนั้นให้ทัน แต่ว่าพอจะลุกยืนได้อาการปวดศีรษะก็พัดวูบเข้าจนเขาเซไปนั่งลงบนเตียงตามเดิม
“ผมบอกแล้ว นอนอีกสักพักก็ได้ถ้ายังไม่เต็มอิ่ม Harees อาหารอาหรับมื้อแรกของคุณ เนื้อไก่กับข้าวสาลี ไม่มียาพิษล้านเปอร์เซ็นต์ ขอโทษด้วยที่ผมลืมบอกว่าผมชิมไปเล็กน้อยด้วย”
“นี่คุณ...”
หนุ่มญี่ปุ่นอ้าปากค้างมองคนร้ายลักพาตัวในสายตาตัวเองเดินออกไปด้วยท่าทางสบายๆก็ให้ปวดหัวจี๊ด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย เขานึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน ในบรรดาคู่ค้าทางธุรกิจหรือเพื่อนของบรรดาคุณหนูๆถ้าผ่านตาเขาแล้วหนหนึ่งส่วนมากเขาไม่เคยลืม แต่ใบหน้าคนคนนี้ไม่อยู่ในสารบบใดๆของเขาเลย
ไม่ๆเราจะไม่ติดอยู่ที่นี่กับคนแปลกหน้านานไปกว่า ตอนนี้ก่อนอื่นต้องค้นหาสัมภาระของตัวเองให้เจอก่อน แล้วก็หาช่องทางหลบหนี วิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่มี...ห้องนี้มีประตูสองบาน บานหนึ่งเป็นประตูใหญ่ที่เป็นประตูเข้าออก อีกบานเป็นแบบกระจกผลัก เดาว่าคงเป็นห้องแต่งตัวกับห้องอาบน้ำ นอกนั้นก็เป็นกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่ผนังด้านหนึ่ง มันยาวจรดพื้นและมีรอยแยกอยู่ตรงกลาง ซึ่งมันน่าจะเปิดได้
ซึโยชิเดินเซแซ่ดๆไปที่กระจกหน้าต่างบานที่ว่า ลูบมือไปตามขอบหน้าต่าง มันไม่มีรอยต่ออะไรที่พอจะเป็นขอบให้เขางัดได้เลย ส่วนรอยแยกตรงกลางนั้นมันแนบกันสนิทจนดูเหมือนมันเป็นแค่ลวดลายบนกระจกด้วยซ้ำ
“โธ่เว้ย กระจกกันกระสุน!” ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะไม่แตกง่ายๆแค่เพราะเขาชกมันหรือเอาหัวโขกให้มันแตกแบบโง่ๆ
จริงสิ เขาก็ลืมไป ว่าที่นี่มันเมืองแห่งเศรษฐี สถานที่ที่มีเสือและสิงโตเป็นสัตว์เลี้ยงแทนสุนัขและแมว แถมสถานีตำรวจยังมีรถจอดเรียงกันเป็นแพอย่างกับโชว์รูมรถหรู!
โอเค ไม่เป็นไร ที่ห้องน้ำอาจจะมีช่องระบายอากาศหรืออะไรเทือกๆนั้น
ซึโยชิเบี่ยงเท้าเดินต่อไปทางประตูพับที่คิดไว้ว่าอาจจะเป็นห้องแต่งตัวกับห้องน้ำ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เขาเจอห้องแต่งตัวก่อนเป็นอันดับแรก ถัดไปด้านในมีประตูอีกบาน มันคงเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำข้างใน
“เฮ้ย นี่มันกระเป๋าคุณหนูนี่” ซึโยชิตาโตเบิ่งกว้างทันทีที่พบกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางอยู่ สีพื้นที่เป็นลายตารางนั่นมันของคุณหนูไวโอลินไม่ผิดแน่ ข้างๆกันก็มีกระเป๋าเป้ใบหนึ่งวางอยู่ มันเป็นของคุณหนูไวโอลินเช่นเดียวกัน ซึโยชิยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเริ่มลงมือเปิดค้นกระเป๋าเป้ก่อนเป็นอย่างแรก
ในนั้นมีแล็ปท็อปคลุมเคสสีฟ้า อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จำพวกแบตเตอร์รี่สำรอง ไอแพด และอื่นๆอีกสองสามอย่าง ผ้าพันคอผืนใหญ่ และของจุกจิกที่คุณหนูของเขาชอบพกเป็นประจำ ส่วนเอกสารประจำตัวพวกพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินนั้นซึโยชิจำได้ว่าก่อนรถถูกชนมันอยู่ในแฟ้มที่คุณหนูถือ สาเหตุที่หายไปถ้าไม่ใช่พวกมันฉลาดเก็บของมาครบ ก็คงหล่นอยู่ในรถตรงไหนสักที่
หึ...แต่ถึงจะรู้ตัวตอนนี้ว่าพามาผิดคนก็ช้าไปแล้วพวก ป่านนี้คุณหนูคงหนีไปถึงไหนต่อไหน คนเกิดมากับดวงอย่างคุณหนูไม่มีทางตกอับ และเซ้นส์ของเขามันบอกว่าคุณหนูของเขายังปลอดภัย
“เอาล่ะ มาลองกันดูสักตั้ง ให้มันรู้ไปสิว่าห้องแค่นี้มันจะขังคนอย่างซึโยชิได้” คนพูดกับตัวเองมองชุดไขควงในมือทั้งชุดอย่างหมายมาด
รอผมอีกแป๊บเดียวนะครับคุณหนู เดี๋ยวผมจะรีบไปหาคุณให้เร็วที่สุดเลย
ซึโยชิคิดในใจ โดยไม่รู้เลยว่าคำว่าแป๊บของตัวเองจะหมายถึงช่วงเวลายาวนานอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
---------------------------------------------------------------
ไวโอลินเคยฝันอยากจะไปเที่ยวทะเลที่เกาะแถบบาฮามาส น้ำใส ทะเลสวย มีน้องหมูทะเลว่ายน้ำต๋อมแต๋มยึดครองเกาะส่วนตัวเป็นของตัวเองด้วย ถ้าได้ไปกับคนรู้ใจคงดีไม่หยอก
ภาพบรรยากาศหมู่ตึกภายในเมืองค่อยๆผ่านตาไป ไวโอลินสังเกตว่ายิ่งรถวิ่งเข้าใกล้เขตทะเล ก็เริ่มเห็นโรงแรมที่พักเป็นตึกสูงและหรูหรามากขึ้น มันคงเป็นเหมือนกันทุกที่ ยิ่งใกล้แหล่งท่องเที่ยวก็จะมีพวกนายทุนมากว้านซื้อที่เพื่อลงทุนหาเงินเข้ากระเป๋าจากแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม แล้วไม่นานความสวยงามของธรรมชาติก็จะถูกบดบังโดยอิฐหินดินทราย จนสุดท้ายแหล่งที่นักท่องเที่ยวมีเป้าหมายจะมาพักผ่อนกับธรรมชาติสีเขียว ก็จะเหลือเพียงกำแพงอิฐทราย ธรรมชาติสีด้านดาษที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น
ช่างน่าเสียดายจริงๆ
“ถึงแล้วค่ะไวโอลิน ลงไปกับหนูนะคะ” แมรี่ที่นั่งเคียงข้างไวโอลินมาตลอดทางกระตุกแขนเพื่อนชาวเอเชีย ผู้เป็นผู้พิทักษ์ของเธอไปแล้วในตอนนี้
ไวโอลินหันไปยิ้มให้สาวน้อย แล้วก้าวเท้าตามหล่อนลงจากรถของครอบครัวไดแลน เบื้องหน้าของเขาตอนนี้คือรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ประกอบไปด้วยหมู่ตึกสีขาวสูงไม่เกินสองชั้น มันกระจายอยู่เต็มเนินที่คงอยู่ตรงมุมที่ดีที่สุด เพราะพอมองเลยหมู่ตึกเหล่านั้นไปไกลๆแล้วก็จะเห็นน้ำทะเลสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสวยงาม ตัวตึกก็ออกแบบมาให้ไม่สูงมากจนบดบังทัศนียภาพ ตัวรีสอร์ทเท่าที่ดูก็เห็นจะแยกเป็นห้องห่างๆกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวแก่แขกที่เข้าพัก
เห็นได้ชัดว่าเป็นรีสอร์ทที่ผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี สรุปว่าไวโอลินชอบที่นี่ล่ะ
“เดี๋ยวเราไปคุยกันที่ล็อบบี้ก็แล้วกัน ผมขอติดต่อเจ้าของรีสอร์ทนี้หน่อยได้มั้ย เราต้องการความช่วยเหลือจากเขา” มิสเตอร์คริสโตเฟอร์หันไปบอกกับพนักงานต้อนรับที่รีบเดินมาหาพวกเขาถึงที่รถ การบริการถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว
“กรุณาคอยที่นี่สักครู่นะคะ เราติดต่อท่านแล้ว อีกสักครู่ท่านจะมาค่ะ” สาวพนักงานต้อนรับแต่งกายคลุมร่างสะโอดสะองด้วยชุดสีม่วงผ้าลื่น ใบหน้าแต่งแต้มพองาม และเธอยิ้มสวยมาก เหมาะกับตำแหน่งต้อนรับของเธอจริงๆ
“ขอบคุณครับ” คริสโตเฟอร์คว้าร่างลูกสาวมาตรวจสอบว่ามีรอยบุบสลายตรงไหนอีกบ้าง พนักงานต้อนรับในชุดสีม่วงอีกคนนำน้ำผลไม้หวานเจี๊ยบมาให้พวกเขาเป็นเวลคัมดริ้งค์ ไม่เว้นแม้แต่ไวโอลินที่ติดตามครอบครัวนี้มาด้วยก็ยังได้รับการต้อนรับที่ดี
“ไวโอลินคะ ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ แล้วคุณมาคนเดียวเหรอ” มาดามแคเธอรีนหันมาชวนไวโอลินคุย หนุ่มเอเชียคนนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจ และหล่อนก็รู้สึกเอ็นดูเขาพอดู
“เอ่อ ครับ ผมมาที่เมืองนี้คนเดียว ผมมาตามหาเพื่อนน่ะครับ แต่ยังไม่เจอกันผมก็มาโดนขโมยของเสียก่อน”
“นั่นมันแย่มาก ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะคะ” หล่อนแสดงอาการเสียใจผ่านทางใบหน้าให้ไวโอลินอย่างจริงใจ ซึ่งไวโอลินก็ยิ้มรับ เขาคิดว่าเรื่องที่เขาเล่ามันดูดราม่าไปหน่อยก็จริงแต่ว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดเหตุการณ์ที่ลูกสาวเธอพบเจอหรอก
“คุณต้องการจะแจ้งความทีเดียวเลยมั้ย เจ้าของโรงแรมนี้เป็นคนรู้จักของเรา เขาน่าจะช่วยเราได้นะ” มิสเตอร์ไดแลนเอ่ยบอกเขาบ้าง ไวโอลินเริ่มคิดหนักแล้ว ว่าเรื่องราวของเขาควรถูกเปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ยิ่งอีกฝ่ายที่เป็นคนสั่งให้ก่อเรื่องอุกอาจนี้เป็นใครก็ไม่รู้อีก เดาว่าเรื่องราวมันคงไม่ค่อยราบรื่นนักหรอก
“คือผม..ก็อยากจะแจ้งตำรวจเหมือนกันแต่ว่า ผมไม่มีหลักฐานใดๆเหลืออยู่เลย ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาจะเชื่อผมหรือเปล่า” จริงๆขั้นตอนต่อจากการที่ตำรวจทราบเรื่องของเขาแล้วเชื่อตามเรื่องราวที่เขาเล่าก็คือ เขาจะถูกพาไปที่สถานทูตเพื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพวกหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน การผ่านด่านเข้าแดนอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งไวโอลินไม่มีแม้แต่หลักฐานการขึ้นเครื่องบิน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร ยังไงเราจะช่วยยืนยันให้เขาพาคุณไปส่งที่สถานทูตไทย หลังจากนั้นสถานฑูตจะสามารถช่วยให้คุณเดินทางกลับประเทศได้นะ” มาดามไดแลนเอ่ยบอกอย่างใจดี ไวโอลินรู้สึกขอบคุณจริงๆที่เขาแนะนำ แต่นั่นแหละคือเรื่องที่เขากลัว
“หรือถ้าคุณต้องการให้เราช่วยเหลือในเรื่องอื่นก็ได้โปรดบอก ครอบครัวของเราติดหนี้บุญคุณคุณอยู่ เราพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณเสมอ” มิสเตอร์คริสโตเฟอร์เสนอทางเลือกอื่นให้เขาด้วย ดูเหมือนเขาจะพอดูออกแฮะว่าไวโอลินไม่ค่อยจะสะดวกใจที่จะติดต่อกับตำรวจเท่าไร
“เอ่อ ผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่ได้มั้ยครับ ตอนนี้ผมรู้สึกเหนียวตัวมาก” ไวโอลินมองครอบครัวไดแลนทั้งสามคนด้วยความขอบคุณอย่างใจจริง พนักงานสาวเป็นคนบอกทางให้ไวโอลินไปที่ห้องน้ำ ในระหว่างที่ครอบครัวไดแลนทั้งสามคนยังคงรอคอยเจ้าของโรงแรมต่อไป
ห้องน้ำของรีสอร์ทนี้ดูหรูหราไม่ต่างไปจากภายนอกที่ไวโอลินเห็น มันมีกลิ่นทะเลอ่อนๆบวกกับกลิ่นดอกลีลาวดีที่ลอยอยู่ในอ่างแก้วที่เคาเตอร์อ่างล้างมือ ไม่มีกลิ่นฉุนของห้องน้ำรบกวนแสดงว่ามันได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี ความกว้างของห้องน้ำมีขนาดใหญ่เพียงพอให้มีมุมนั่งพักที่ริมผนังด้านหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ภาพของเขาที่สะท้อนมาที่กระจกมีร่องรอยความเหนื่อยล้าใหญ่ตัวเท่าบ้านแปะไว้ จากนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เขาจะไม่มีทางยอมแพ้หรอก นอกจากซึโยชิที่เขาต้องตามหาให้เจอแล้ว ยังมีตัวคนร้ายที่คิดการใหญ่ลักพาตัวเขามาจากฮ่องกงอย่างอุกอาจนั่นด้วยอีกคน อย่าให้พ่อจับได้นะ...จะเจี๋ยนให้
แววตามุ่งมั่นมองหน้าตัวเองแล้วคิดถึงอีกหนึ่งบุคคลที่เป็นตัวต้นเหตุเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี่
นายภาคินทร์ ไอ้บ้าภาคินทร์ ไอ้บ้าณัฐ ไม่คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วเหรอถึงได้จู่ๆก็มาโผล่หัวอยู่ที่ประเทศนี้ไม่บอกไม่กล่าว ไหนเคยคุยกันไว้ว่าตอนฝึกงานพวกเขาจะไปเช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน หาที่ใกล้ๆโรงเรียนที่เขาต้องฝึกสอน แล้วอีกฝ่ายก็เดินทางไปทำงานสะดวก ถ้าพ่อเขาไม่อนุญาตเราก็จะหาทางทำให้พวกพ่อเขาใจอ่อนให้ได้
แล้วนี่อะไร...หึ! คอยดูจะจับเจี๋ยนไปวางไว้ข้างกันกับอันข้างบนเลยคอยดู
ไวโอลินใช้เวลาไม่นานในการล้างหน้าล้างตาและเขาห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เรียบร้อยแล้วเขาก็เดินกลับไปตามทางเดิมที่ครอบครัวไดแลนนั่งรออยู่ แต่ในวินาทีที่เขากำลังก้าวพ้นเหลี่ยมมุมตึกเพื่อเข้าสู่ส่วนของห้องโถงรับรอง ข้างหน้าครอบครัวไดแลนที่ลุกขึ้นต้อนรับใครบางคนก็ทำให้ไวโอลินรู้สึกชาวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้า...
ชายคนนั้นเดินมาพร้อมกับชายใส่สูทอีกสองคน ช่วงขายาว ช่วยส่งเสริมบุคลิกของคนคนนั้นให้เดินมาด้วยท่าทางองอาจผึ่งผาย ช่วงไหล่กว้าง รับกับช่วงตัวที่ดูหนาและล่ำสัน ประกอบกับใบหน้าที่มีรอยเคราเบาบาง คิ้วหนา จมูกโด่ง ริมฝีปากบางๆที่เขาเคยจับเล่น และโดยเฉพาะ ดวงตาสีไพลินที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร ประกอบรวมกันเป็นผู้ชายหล่อเหลาแบบฉบับหนุ่มอาระเบียนที่มีฟีโรโมนของเจนเทิลแมนแบบสุภาพบุรุษ ซึ่งนั่นทำให้เขาดูโดดเด่นจากอีกสองหนุ่มอาหรับด้านข้างที่แม้จะจัดอยู่ในผู้ชายเกรดเอ แต่ในสายตาไวโอลินคนตรงกลางนั้นฉายแสงมากกว่า
นายภาคินทร์!! เพื่อนที่เขาเพิ่งบริภาษใส่ไปเมื่อกี้ในห้องน้ำ กำลังเดินมาคุยกับครอบครัวไดแลนด้วยท่าทางราวกับเป็นเจ้าของที่นี่
สองมือตะปบเข้าที่ข้างตึก แล้วเร้นกายเข้าหลบอยู่ข้างหลังผนังสีมุกที่ย้อมแสงแดดบางๆ หัวใจของเขาเต้นตึกตัก จริงๆก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหลบ คนคนนั้นคือคนที่เขาอยากเจอมาตลอด แล้วทำไมตอนนี้จู่ๆถึงรู้สึกไม่อยากออกไปเจอหน้า
“ต้องขอโทษด้วยที่ผมมาช้า ผมได้รับข่าวเบื้องต้นจากคนของผมแล้ว เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณด้วยจริงๆมิสและมิสเตอร์ไดแลน” ชายคนนั้นยื่นมือไปเชคแฮนด์กับครอบครัวไดแลนทั้งสองมือ สายตาท่าทางดูจริงใจและเสียใจกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ
ภาคินทร์ไม่มีพี่น้องคนอื่น กับพ่อเลี้ยงก็เข้ากันไม่ได้ดี เขามีแต่แม่คนเดียว ตัวภาคินทร์เองจึงเป็นคนที่ค่อนข้างเซ้นซิทีฟกับเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงมาก ส่วนตัวเขาที่ตัวเล็กกว่า ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจเพราะเป็นหลานชายคนเดียวที่อยู่ในบ้าน หลายๆครั้งเขาจึงถูกภาคินทร์ดูแลเหมือนเขาเป็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ไปห้างก็ถือกระเป๋าให้ เขาจะไปไหนมาไหนก็ขับรถไปรับไปส่ง วันหยุดก็ไปทานข้าว ดูหนัง ถูกตามใจในหลายๆเรื่อง โอเคล่ะ สำหรับคนอื่นอาจจะดูแปลกที่เพื่อนผู้ชายกลับมาดูแลกันแบบนี้ แต่ว่าสำหรับไวโอลินแล้วเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ สำหรับเพื่อนที่สนิทกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง และยิ่งเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ด้วยแล้วการที่มีคนอายุใกล้ๆกันได้เป็นเพื่อนแชร์เรื่องราวระหว่างกันมันยิ่งกว่าดีเสียอีก
เถอะ แต่นั่นมันก็แค่เรื่องราวสมัยก่อน ตอนนี้หมอนั่นเริ่มมีความลับกับเขา มาแอบเปิดโรงแรมอยู่ในเมืองห่างไกลโดยไม่บอกอะไรกันเลย พูดตรงๆไวโอลินก็รู้สึกเหมือนโดนหักหลังนิดๆเหมือนกันนะ เขาคิดว่าเขาสนิทกับภาคินทร์มาก จนตัวเองแทบไม่มีเรื่องจะปิดบังอีกฝ่ายอะไรเลย แต่กลับโดนหมอนั่นทำแบบนี้ใส่ ก็ดี...ภาคินทร์ปิดบังเขาได้ เขาก็จะทำบ้างล่ะ
“ตำรวจจะมาที่นี่เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมในอีกห้านาที ผมจะให้คนของผมอยู่ด้วยในระหว่างที่พูดคุยกันเผื่อคุณต้องการล่าม” คุณณัฐ (เรียกด้วยความประชด) บอกกับครอบครัวไดแลน ส่วนมือก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเป็นรอบที่สาม ไม่รู้มีเรื่องอะไร
“ขอบคุณมาก เออ...จริงๆแล้วผมมีอีกเรื่องหนึ่ง คือเรามีนักท่องเที่ยวเอเชียคนหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยลูกสาวของผมไว้ ถ้าไม่ได้เขาเราคงแย่ แต่ว่าเขาเองก็โดนขโมยของไปหมด เราอยากช่วยเหลือเขา”
“คนเอเชียที่โดนขโมยของ แล้วเข้าไปช่วยลูกสาวคุณ?” สายตาของคนพูดบ่งบอกชัดมากว่าไม่ค่อยจะเชื่อถือคนเอเชียที่ว่า ท่าทางคงคิดว่าเขาอาจเป็นพวกต้มตุ๋มเสียด้วยซ้ำล่ะมั้ง
“เขาเป็นเทวดาของหนูค่ะ” แมรี่คงสัมผัสได้ถึงแววตานั้น แม่หนูถึงได้พูดขึ้นมากลางปล้อง ซึ่งนั่นทำให้ไวโอลินแอบสะใจอยู่นิดๆเหมือนกัน แม่หนูมีท่าทางว่าใครจะมาว่าเทวดาของเธอไม่ได้เลย
“อาเข้าใจแล้วจ่ะ” ภาคินทร์ก้มลงไปยิ้มให้สาวน้อย ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาอีกครั้ง “เอาเป็นว่าผมยินดีที่จะช่วยเหลือ...พ่อเทวดาของหนูอย่างเต็มที่เลย หากเขาต้องการอะไรขอให้บอกได้เลยนะครับ”
คนพูดเอ่ยกับครอบครัวไดแลนก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่มันสั่นไม่หยุดมาสักพักแล้ว
“ผมจำเป็นต้องรับสายนี้ ขอโทษด้วยที่อาจไม่ได้อยู่ตลอด แต่หากมีปัญหาอะไรโปรดติดต่อผมได้โดยตรงเลยนะครับ” ภาคินทร์ยื่นนามบัตรให้กับครอบครัวไดแลน ก่อนจะขอตัวออกไปพร้อมกับผู้ติดตามคนหนึ่ง เหลือไว้กับครอบครัวไดแลนอีกคนหนึ่ง
แผ่นหลังกว้างใหญ่ในชุดแบบตะวันตกเดินออกไปแล้วพร้อมกับโทรศัพท์แนบกับหู ไม่มีคราบเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยเพื่อนสนิทที่ไวโอลินคุ้นเคยอยู่เลย
ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเหมือนไม่รู้จักคนคนนั้นขึ้นมานะ
ไวโอลินดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังคนคนนั้นกลับมาจ้องผนังที่เขาใช้เป็นที่ซ่อนตัว เขาเจอคนที่อยากเจอแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่ได้เจอ
เขารู้สึกกลัว...กลัวที่จะเข้าไปหา กลัวที่จะเข้าไปคุย กลัวที่จะ..กอด
น้ำตาซึมตรงปลายหางตาเล็กๆ มันน่าเศร้านะที่อยากจะเข้าไปหาคนที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าทำไม่ได้ ทั้งที่อยู่ใกล้ๆแล้วแท้ๆ
หนุ่มเอเชียพลิกหันหลังพิงผนังที่อุ่นน้อยๆเพราะเก็บแสงแดดเอาไว้ นึกชั่งน้ำหนักสิ่งที่ตัวเองกำลังจะตัดสินใจทำต่อไป เขาอยากจะทำอะไรๆให้มันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็นอยู่หรอกนะ แต่ว่า...
ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า
ไวโอลินปาดน้ำตาทิ้ง ตัดสินใจแน่วแน่ในสิ่งที่จะทำ จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วออกเดินกลับไปตรงที่ที่ครอบครัวไดแลนกำลังยืนคุยอยู่กับตำรวจที่เพิ่งมาถึง พร้อมคนของภาคินทร์ที่ทิ้งไว้หนึ่งคนให้ทำหน้าเป็นล่ามและดูแลการสนทนาต่อไป
--------------------------------------------------------------
บันทึกไว้เป็นประวัติการณ์ ลงตอนต่อกันโดยใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ฮรุก...