Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 6 [01/05/2018] PG.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 6 [01/05/2018] PG.3  (อ่าน 18954 ครั้ง)

ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #30 เมื่อ01-04-2018 20:50:23 »

ตอนที่ ๓


“ผ่าน”  ไลเกอร์เอ่ยบอกเสียงเบา

“ผมก็ผ่าน”  ลูเซียโน่พูดตามมาติดๆ

“...ผ่าน”  และสุดท้ายคือดอร์น  เขาชั่งใจอยู่นาน  ก่อนตัดสินใจบอกผ่าน

   ไวโอลินกวาดไพ่มาที่ตัวเอง  ก่อนจะลงไพ่ตอง 2 ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครมีไพ่มากกว่าเขา  จากนั้นไวโอลินก็ลงไพ่ใบสุดท้าย  คือ 4 ดอกจิก

“คิง”  คนเอาชนะคนอื่นด้วยไพ่ที่มีค่าน้อยมากเอ่ยเสียงเรียบ 

เขาจบการเล่นของตัวเองเพียงสองรอบ  การเป็นคิงจากรอบที่แล้วทำให้เขาได้ไพ่ที่ดีที่สุดจากสลาฟมาสองใบ  ในขณะที่เขาจะยื่นไพ่อะไรไปแลกเปลี่ยนกับสลาฟก็ได้  ซึ่งนั่นทำให้ไพ่ในมือของเขามีแต่พวกแต้มสูง  และเพราะไม่อยากให้มันมีอะไรเยิ่นเย้อ  ไวโอลินจึงตัดสินใจจบเกมส์รวดทีเดียว  ลงแต่ไพ่แต้มสูง  แล้วปิดเกมส์ด้วยไพ่แต้มต่ำเพื่อฉลองตำแหน่งคิงรอบที่สอง

“สงสัยห้องครัวนายคงทำพิษ  หลังกลับมาเลยเปลี่ยนเป็นคนละคน”  ลูเซียโน่เอียงตัวไปกระซิบข้างๆหูเพื่อน  ดอร์นพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ  ดูท่าทางก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับโทรศัพท์แล้วเขาคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องเพื่อนสนิทที่ทำให้พี่เขาหัวเสียตั้งแต่ที่สนามบินแน่ๆ

“ฉันว่าเราควรรีบจบเกมส์นี้  แล้วแยกย้ายตัวใครตัวมันดีกว่า”  ดอร์นมองเห็นลู่ทางที่จะรอดได้จากการถูกซักฟอก  เขาจ้องไปที่ไลเกอร์ที่หยุดชะงักมือทำนองว่าให้รีบเอาไพ่มาคืนได้แล้วจะได้รีบเก็บ  ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อให้ถึงที่สุด  เพราะทุกคนในที่นี้รู้แล้วว่าเทพีแห่งความโชคดีในคืนนี้เกาะไหล่พี่ชายเขาเหนียวแน่นหนึบจริงๆ

“เดี๋ยว  ถ้าคิดจะโกงพี่  บอกเลยนะว่าพวกนายไม่รอดแน่”  ไวโอลินเลื่อนโปรแกรมแชทในมือไปมา  กดส่งข้อความครั้งสุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจกดปิด  ตากวาดมองไพ่ในมือของรุ่งอรุโณทัยที่กำลังรวบรวมไพ่ทั้งหมดมาเข้าสำรับ  มีลูเซียโน่ยื่นไพ่โจ๊กเกอร์อีกสองใบให้ปิดท้าย  เมื่อเสร็จสรรพกล่องการ์ดเผยความในใจก็ถูกส่งกลับมาที่ไวโอลิน

“เอ้อ...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม  งั้นผมขอตัวก่อน”  ลูเซียโน่ทำท่าจะลุก  แต่เสียงหวานๆก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยว  นั่งเลย  นายเป็นพยานปากเอก  พี่ไม่สามารถเชื่อคำจำเลยได้ทั้งหมดโดยไม่มีหลักฐานหรือพยานยืนยันหรอกนะ”  ไวโอลินเอ่ย

“นี่พี่หนูลินจบเอกการสอนคณิตมาจริงหรือเปล่าเนี่ย  นึกว่าจบนิติเสียอีก”  ลูเซียโน่ทักแบบแอบแซว  แต่เขาขำไม่ออกเลยจริงๆ

“มีปริญญาตรีมากกว่าหนึ่งใบมันแปลกตรงไหน”  คนถามเลิกคิ้ว  เขาเก็บหน่วยกิตกับมหาวิทยาลัยเปิดชื่อดังของประเทศไทยมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.5  แต่เขาไม่ได้เรียนต่อเนื่องด้วยเพราะตอนปีสามและปีสี่เขาต้องไปเรียนอยู่ในต่างประเทศตามระบบโครงการพิเศษที่เขาสอบได้  พอกลับมาเขาก็คิดจะเรียนต่อ  นี่ก็เหลือเก็บอีกไม่กี่ตัวก็น่าจะจบแล้ว

“พี่อยากรู้อะไร  ก็ถามมาได้เลยครับ  ถ้าผมตอบได้ผมจะตอบ”  ไลเกอร์ที่นั่งเงียบมาตั้งนานถามแทรกขึ้น  ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาช่วงหัวค่ำแล้ว  ทิ้งไว้นานกว่านี้คาดว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับห้องก็เป็นได้

“พูดง่ายๆเหมือนไลเกอร์บ้างก็ดีนะดอร์น  เอาล่ะ...พี่อยากรู้แค่ว่า  เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนายสองคน”  ไวโอลินถามน้ำเสียงนิ่งสนิท  อารมณ์อยากรู้มันก็มี  แต่อารมณ์รำคาญมันก็เริ่มบังเกิด

   ...มองตาหลบตากันอยู่ได้  อ้ำๆอึ้งๆ  มันมีอะไรเป็นความลับนักหนา...

   ไวโอลินจ้องกดดันคนทั้งสองที่หันหน้าไปคนละทาง  เสมือนว่าคำถามที่เขาถามไปคือประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้นก่อนกันระหว่างประชาธิปไตยกับฤดูหนาว  เฮ้ย...คำถามเขามันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ  ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงตอบกันไม่ได้

“เฮ้ย...พี่...!”

“ไลเกอร์นอกใจผม  เราเลิกกัน  แต่จบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่”  รุ่งอรุโณทัยโพล่งขึ้นมาแทรกคำพูดไวโอลินที่เริ่มเหวี่ยง 

   คนกำลังจะเหวี่ยงถึงขั้นอ้าปากค้าง...แน่นอน  ว่าไม่ได้ค้างคนเดียว  ผู้ฟังอีกหนึ่งคนที่นั่งหัวโด่ผิวแทนสวยตรงข้ามไวโอลินก็อ้าปากค้างไปด้วยอีกคน

“ดะ...เดี๋ยวนะ  นี่ลูซนายไม่รู้เรื่องนี้เหรอ”  ไวโอลินมองคนที่นั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยปากถาม  ลูเซียโน่ส่ายหัวจนผมปลิวพร้อมยักไหล่

“คือ..พวกเราคบกันแต่ไม่ได้บอกใครหรอกครับ  แล้วที่เลิกกัน..เพราะดอร์นเข้าใจผมผิด  ผมกับ...”

“เข้าใจผิด?  ฉันเข้าใจถูกยิ่งกว่าถูก  นายกับหมอนั่นสวมเขาให้ฉัน!  หลอกว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก  เฮอะ..คบกันมาตั้งแต่เด็กสิไม่ว่า”

“ดอกปีบไม่ใช่แฟน!  เราเขียนจดหมายติดต่อหากันแบบนั้นมาหลายปีแล้ว  แล้วที่เห็นวันนั้นเพราะ...”

“ไม่ใช่แฟน  แล้วพกจดหมายมันติดตัวไว้ทำไม  ทำของขวัญให้มันทำไม  นอนกอดกันทำไม!”  ประโยคสุดท้ายรุ่งอรุโณทัยเผลอตัวลืมตรงเข้าคว้าแขนคนนั่งฝั่งตรงข้ามให้ลุกขึ้นยืนเพื่อมองสบตาเขา  คำพูดเยียบเย็นก็สาดตามมาติดๆ  “ถ้ายังไม่เลิกติดต่อกับมัน  ก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบฮ่องกงอีก”

“เกอร์ไม่เลิก!  แล้วก็จะเรียนต่อให้จบด้วย  พี่ไม่มีสิทธิ์มาสั่ง...เพราะตอนนี้  เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” 

   ไลเกอร์ในอุ้งแขนของรุ่งอรุโณทัยจ้องตาคนที่ตัวสูงกว่าเขาอย่างไม่ยอมแพ้  ดอร์นอยากแยกเขี้ยวแล้วกัดคนตรงหน้าให้จมนัก  คนอะไร...ดื้อเป็นบ้า! 

“เอ้อ...เอ่อ...พี่ว่าใจเย็นๆกันก่อนเถอะนะ  ค่อยๆคุยกันดีๆ  อะไรเป็นยังไงไหนเล่ามาทีละคนซิ”  ไวโอลินรีบกระเถิบไปสะกิดลูเซียโน่ให้ลุกไปแยกคนทั้งคู่ให้ออกห่างจากกันก่อน  ลูซนั้นรอท่าอยู่แล้ว  เขาตรงไปเอามือดันไหล่รุ่งอรุโณทัยให้ปล่อยแขนที่จับน้องออก  ส่วนไวโอลินนั้นเดินไปอยู่ข้างๆไลเกอร์แล้วจับมือไว้

“พี่หนูลินก็ดูเอาแล้วกัน  เป็นพี่พี่จะยอมเลิกกับเพื่อนสนิทที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กเพราะความปัญญาอ่อนของแฟนพี่มั้ย”  ไลเกอร์เอ่ยฟ้อง  กับดอกปีบเขาเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย  ไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด  ปีไหนไม่ได้ขึ้นเหนือไปหาก็เขียนจดหมายหากัน  เขาเล่าความเป็นไปที่เหมือง  ดอกปีบหรือกาสะลองก็จะเล่าความเป็นไปที่สวนให้ฟัง  ปีนี้ฝนตกน้อยผลผลิตดอกไม้ลดลง  ปีนี้นักท่องเที่ยวเยอะ  ผลกำไรเพิ่มขึ้นมาก  รับรู้เรื่องราวกันอยู่ตลอด  ...แล้วจะให้เลิกติดต่อกับเพื่อนที่รู้จักสนิทกันมากด้วยเหตุผลเพราะแฟนหึงเนี่ยนะ  เฮอะ  ตลก!

“อ๋อ  นี่เพิ่งรู้นะว่าการที่อยากให้แฟนทำตัวให้น่าเชื่อใจ  น่าไว้ใจมันเป็นเรื่องปัญญาอ่อน  นี่ถ้าเรายังคบกัน  แล้วพี่ไปมีอะไรกับคนอื่นบ้างเกอร์ก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย”

“แล้วเกอร์ไปมีอะไรกับใครเขาเมื่อไหร่  พี่อย่ามาหาเรื่องกันนะ”

“ไม่ได้หาเรื่อง  แล้วที่พี่เห็นนอนกอดกันกลมดิกบนเตียงวันนั้นคืออะไร ห๊ะ!”

“ก็แม่เห็ดหลินจือแฟนเก่าพี่นั่นแหละตัวก่อเรื่อง!”  ไลเกอร์ทนไม่ไหวกับคำกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริง  เลยโพล่งตัวละครลับที่สามที่เขาไม่เคยเอ่ยบอกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ได้รู้ความจริงด้วย  “แม่นั่นวางแผนให้เราสองคนผิดใจกัน  แล้วพี่ก็เป็นเหมือนพระเอกในละครโง่ๆที่เชื่อละครตบตาของตัวร้ายเข้าง่ายๆ...แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมเจ็บเท่ากับ...การที่พี่ไล่ผมกลับไทยหรอกนะ”

“...”  รุ่งอรุโณทัยเงียบ  และทุกคนก็เงียบ  มีเพียงสายตาที่แสดงความเจ็บปวดส่งผ่านมาจากไลเกอร์เท่านั้นที่กำลังเคลื่อนไหว  และมันกำลังทำให้รุ่งอรุโณทัยหมดแรงที่จะยืนอยู่ตรงหน้าคนที่เป็น ‘อดีต’ แฟนตรงหน้า 

   เขาเคยรักคนตรงหน้ามาก  และก็ยอมรับว่าตอนนี้ก็ ‘กำลัง’ รักอยู่เหมือนเดิม

   แต่มันเหมือนระหว่างพวกเขามันมีเส้นบางๆขั้นอยู่ตรงกลางมาตั้งแต่แรก  ไม่ว่าจะด้วยเวลา  ความเหมาะสม  หรือปัจจัยแวดล้อมอะไรอื่นๆก็ตาม

“เอ่อ...พี่ว่า  นี่มันก็ดึกแล้วเนอะ”  ไวโอลินพยายามขยิบตาใส่ลูเซียโน่  พร้อมกับชี้นิ้วโป้งไปทางห้องนอนของรุ่งอรุโณทัยแบบแอบๆ  “ไลเกอร์..นอนที่นี่ดีกว่าเนอะ  กลับลำบากแล้วเราก็เอารถเข้าแล้วด้วย”

“ไม่เป็นไรครับพี่ลิน  ผมกลับเองได้  ขอบคุณมากนะครับสำหรับมื้อเย็น”

“ดอร์น  ไปเตรียมที่นอน”  ไวโอลินพูดต่อประหนึ่งไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายบอก  แต่ดอร์นกลับรากงอก  ไม่ยอมทำตามที่สั่ง  “ดอร์น!  เข้าห้องไป!” 

“แต่พี่!” 

“จะเข้าไปดีๆ  หรือจะต้องให้มีเรื่องกับพี่ก่อน...เอาไง”  ไวโอลินยกมือกอดอก  ยักคิ้วใส่น้องชายประมาณเหนือกว่า  และแน่นอนว่า...ในตระกูลนี้ไม่มีใครที่กล้าหือกับเขาสักคน 

“เออ!  ก็ได้วะ!!”  ดอร์นเขม่นมองคนออกคำสั่ง  แล้วเลยมองไปทางไลเกอร์ที่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างพี่และไม่ยอมสบตาเขา 

ชายหนุ่มเดินดุ่มเข้าห้อง  กระแทกประตูปิดดังปัง! จนทั้งไวโอลินและไลเกอร์สะดุ้งทั้งคู่ 

“หนูลิน  ไม่เล่นแรงไปหน่อยเหรอ”  ลูเซียโน่กระซิบถามเสียงเบา  แต่ไวโอลินกลับยักไหล่ไม่แคร์ 

“ไม่สน”  เขาตอบกลับ  ก่อนจะหันมองไปทางไลเกอร์แล้วพุ่งตัวเข้าชาร์จก่อนที่อีกฝ่ายจะสะพายเป้หนีออกไปจากห้องได้ทัน  “นี่ก็อีกคน! ดื้อด้านพอกัน!  จะเข้าไปดีๆหรือจะต้องให้พี่โยนเข้าไปฮ๊ะ!”

“ผมไม่ไป!!  พี่ลินปล่อยเกอร์นะ!”

“ไม่ปล่อยโว้ย!  ลูซ! นายมาช่วยฉันหน่อย”  ไวโอลินเริ่มรั้งตัวไลเกอร์ไว้ไม่ค่อยจะอยู่  เพราะอีกฝ่ายก็จัดว่าตัวสูงกว่าเขา  แรงก็เยอะกว่าเขา  ชายหนุ่มเลยต้องรีบหันหาตัวช่วย  ซึ่งตัวช่วยจอมกวนตีนก็แกล้งทำเป็นอิดออด  เดินเข้ามาใกล้แต่ไม่ยอมยื่นมาเข้ามาช่วย

“ถ้าช่วยแล้วผมจะได้อะไร”  ลูเซียโน่เอามือล้วงกระเป๋า  มองคนตัวเตี้ยกว่าเขาสองคนกำลังฉุดกระชากลากถูกันอย่างเมามันส์ที่หน้าประตูด้วยสายตายิ้มกริ่ม 

“นายอยากได้อะไรก็เอาไปเลย!  แต่ตอนนี้มาช่วยฉันก่อน!”

“เดทกับผมหนึ่งวัน  ตกลงนะ”  ลูเซียโน่พูดทีเล่นทีจริง  แต่ไวโอลินไม่คิดเยอะ

“แถมของรางวัลทั้งหมดของฉันให้ด้วย!  มาช่วยเดี๋ยวนี้เลยนะลูซ”

“ดิว!” 

   คนกลายเป็นคิงอย่างแท้จริงหัวเราะฮ่าๆเบาๆ  เขาก้าวเข้าไปยกไลเกอร์ขึ้นพาดบ่า  ไม่สนเสียงโวยวายและการทุบตีเล็กๆน้อยๆที่พอให้แสบๆคันๆ   ไวโอลินจัดแจงวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนที่มีอีกคนอยู่ก่อนแล้ว  แต่ทว่าก็ไม่เห็นตัว  ได้ยินแต่เสียงน้ำไหลมาจากทางห้องน้ำ  สงสัยคงจะเข้าไปสงบสติอารมณ์อยู่

   ก็ดี...เดี๋ยวพอออกมาจะได้เจอกับเซอร์ไพรส์ก้อนใหญ่

“โยนเข้าไปเลยลูซ”  ไวโอลินสั่งต่อเสมือนเห็นไลเกอร์เป็นเพียงหมอนข้างที่สามารถโยนเอาไว้บนเตียงได้อย่างง่ายดาย 

“โอ๊ย  พี่ลิน!  ปล่อยผมนะ!!”

“ไม่!  อยู่กันไปในนั้นนั่นแหละ  เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยมาเปิดประตู”  ไวโลอินยืนพิงประตูห้องนอนอยู่กับลูซ  หน้าห้องมันมีกลอนที่สามารถล็อกได้อยู่  พวกเขาสองคนแท็กทีมกันหาแม่กุญแจมาคล้องเอาไว้  ไม่สนใจเสียงไลเกอร์ที่ทุบประตูดังปังๆอยู่ไม่หยุด

“พี่ลิน  พี่ลูซ!  ปล่อยจะเว้ย!!” 

   ไวโอลินถอยออกมาดูผลงาน  เอามือตบบ่าลูเซียโน่ที่ยืนข้างๆด้วยความพึงพอใจ 

“ปล่อยไว้ซักคืน  ถ้าฆ่ากันตายเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่มาเก็บศพให้  รับรอง...จะจัดงานให้อย่างสวยเลย” 

“ร้ายไม่เบานะเราเนี่ย”  ลูเซียโน่เอ่ยปาก  มองคนหน้าหวานแต่นิสัยไม่เห็นหวานเหมือนใบหน้าด้วยความแอบขนลุกเบาๆ 

“แน่นอน  คิดว่าพี่เป็นใคร...ไวโอลิน  ภูบดีอัศวเมศวร์นะ  เจ้าชายน้อยของตระกูล...กรอกหูพี่มาแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” 

“คร้าบ  มายพริ้นซ์  บัทเลอร์อย่างผมยอมคุณเลยจริงๆ  ความเอาแต่ใจ  อยากได้อะไรก็ต้องได้นี่ไม่มีใครเกิน” 

“แน่นอนสิ...แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใครเขาเดือดร้อนก็แล้วกัน”  ไวโอลินหันหลังกลับ  คว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือได้ก็เปิดประตูห้อง  เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

“ไม่เดือดร้อนเล้ย...สักคนก็ไม่มี  หึ”  ลูเซียโน่ไหวไหล่  หันมองเพื่อนที่โดนขังห้องไว้ด้วยความอาลัย  “แล้วนี่พี่จะไปไหน  ไม่นอนอีกห้องล่ะ” 

“เฮ้อ...ถ้าอยากจะนอนฟังเสียงครางก็อยู่ไปนะ  ส่วนพี่ขอบาย  เปิดห้องใหม่ดีกว่า”  ไวโอลินกรอกตามองเพดาน  คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ในหัว 

สองคนนั้นน่ะ...ถ้าไม่มีใครช่วยก็ไม่มีทางลงเอยกันได้หรอก  ออร่าสีชมพูฟุ้งๆแผ่ออกมาเหมือนกันบ่งบอกเสียขนาดนั้น  มันบอกเขาได้ว่าสองคนนั้นน่ะใจตรงกัน  แต่ปากแข็งและงี่เง่ากันทั้งคู่  โดนปฏิกริยาเร่งแบบนี้เข้าไปเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็เรียบร้อย

“นอกจากจะไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนแล้ว  ยังต้องมาเดือดร้อนหาที่หลับที่นอนเองอีก...พี่นี่เป็นคนดีมากเลยว่ามั้ย”  ไวโอลินเอ่ยถามยิ้มๆกับคนที่เดินมาเคียงกัน  ผลคืออีกฝ่ายขนลุกซู่แล้วเขยิบออกห่างแทน

“ดีกับผีสิ  ปีศาจร้ายชัดๆ” 

“ได้ยินนะ  เดี๋ยวก็สาปเสียเลย”  ไวโอลินแกล้งขู่  ลูเซียโน่ก็รีบยื่นหน้ามายิ้มให้ประจบเอาใจ

   ลูเซียโน่ไม่สะกิดใจเลยสักนิดว่าสิ่งที่ไวโอลินคาดการณ์ไว้นั้นแม่นราวกับจับวาง...เพราะไม่นานหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากห้อง  A088  ไป  เสียงครางหวานหูของคนสองคนที่เปิดใจคุยกันได้ก็ดังลอดตามออกมาจริงๆ

------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #31 เมื่อ01-04-2018 20:53:20 »

   ร้านกาแฟบรรยากาศสุดชิลซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้สีเขียวครึ้ม  ไวโอลินได้รับการแนะนำร้านนี้มาจากไลเกอร์อีกที  เห็นอีกฝ่ายโฆษณาว่าเป็นร้านเงียบๆประเภทที่ไม่น่าจะมีได้ในย่านใจกลางเมือง  เหมาะสำหรับมานั่งอ่านหนังสือ  แถมกาแฟก็อร่อย  ขนมก็โฮมเมด  เจ้าของร้านยังน่ารักอีก  ไวโอลินจึงได้โอกาสมาขลุกอยู่ที่นี่ได้สองสามวันแล้ว

“...ได้ครับ  โอนเข้าบัญชีพี่ได้เลยใช่มั้ย”  ไวโอลินตอบคำในโทรศัพท์อีกสองสามคำก็วางลง  มือเปิดโน๊ตบุ้คที่ปิดไปเมื่อสักครู่เพื่อตรวจเช็คอีกเมล์  เอกสารสำคัญของเขาสองสามอย่างถูกส่งมาจากเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว  เหลือแค่ปริ้นท์ใบออกมาเขาก็เตรียมยื่นได้เลย

“พอไม่ใช้เส้นพ่อแล้วทำไมมันยุ่งยากชะมัดเลย”  บ่นแล้วก็ได้แต่กัดเล็บ  เช็คลิสต์เอกสารสำคัญว่าตัวเองเตรียมเรียบร้อยดีครบทุกอย่างก็เรียกบริกรมาเพื่อคิดเงิน 

   แต่ด้วยอารามรีบร้อน  ไวโอลินทำเงินตกลงไปใต้โต๊ะ  เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายนิสัยป้ำๆเป๋อๆของตัวเองก็แล้วก้มลงไปเก็บ  ทว่า...ในตอนที่เขามองลอดผ่านใต้ขาโต๊ะไป  เขาเห็นรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่หนึ่งหันปลายเท้ามาทางเขา  ดังนั้นแสดงว่าเจ้าของรองเท้าคงกำลังหันมองมาทางเขาอยู่ 

   ไวโอลินคิดในตอนแรกว่าคงเป็นของลูกค้าธรรมดาทั่วไปในร้าน  แต่จู่ๆเซ้นส์ของตัวเองมันก็บอกว่าบุคคลคนนี้อันตราย  ประกอบกับจู่ๆเขาก็เห็นประกายสีเทาหม่นๆแผ่ออกมาจากเท้าคู่นั้น  เพียงแค่ชั่วแว่บเดียวก็ทำเอาเขาขนลุกชัน 

   ชายหนุ่มรีบชันตัวกลับมานั่งตามเดิมเพื่อที่จะมองหาเจ้าของรองเท้าคู่นั้นที่เขามองเห็นไกลๆ  ทว่าพอมองไปรอบๆร้านแล้วก็ไม่เจอใครเลยที่ใส่รองเท้าหนังแบบนั้น

“ขอโทษนะครับ  เมื่อกี๊...มีลูกค้าผู้ชายเดินเข้ามาหรือเปล่าครับ”  ไวโอลินใจกล้าถามน้องบริการที่ยืนรอรับเงินที่โต๊ะ  อีกฝ่ายทำหน้างงแล้วหันมองรอบร้าน  แต่เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้  นอกจากพี่ผู้ชายผิวขาวหน้าใสตรงหน้าเขาแล้วตอนนี้ก็ยังไม่เห็นลูกค้าผู้ชายคนไหนเข้าร้านมาเลย

“ไม่มีนะครับ  พี่มองหาใครเหรอครับ” 

“อ๋อ  เปล่าๆ...ขอโทษที  นี่ครับ  ไม่ต้องทอนนะ”  เขาวางเงินลงไปสำหรับพอค่าทิป  แล้วรีบเก็บกระเป๋าโน๊ตบุ้คสะพายขึ้นไหล่  กอดแฟ้มเอกสารไว้กับอกแล้วรีบลุกขึ้นออกไปที่ประตู  หวังว่าอาจจะเห็นคนคนนั้นอีกสักรอบ  แต่ทว่า...ก็ไม่มีใครที่เข้าข่ายเลย

“หรือว่าจะตาฝาด  แต่เราก็ไม่ใช่คนเห็นผีนี่”  ไวโอลินพึมพำกับตัวเอง

   เขาไม่ใช่คนเห็นผี  ไม่ได้มีจิตสัมผัสอะไร  แต่เขาแค่มีความผิดปกติบางอย่างในร่างกายมาแต่กำเนิด  ซึ่งบุคคลที่รู้เรื่องนี้มีแค่ตัวเขา  คุณหมอที่รักษาเขามาตั้งแต่เด็ก  กับคุณแม่ของเขาเท่านั้น...

   ไวโอลินเห็น...ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น  เขาสัมผัสได้ในสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกของมนุษย์  อารมณ์ที่ไม่อยากเปิดเผย  และบางครั้งก็รู้สึกได้ถึง ‘จิตสังหาร’ 

   อาการของเขาโดยรวมถูกเรียกว่าเป็นพวก ‘Aura Reading’  อธิบายง่ายๆก็คือเขาสามารถมองเห็น ‘คลื่นจิต’ ของมนุษย์แยกเป็น ‘สี’ ที่ต่างกันได้  ซึ่งสีแต่ละสีก็จะบ่งบอกถึงความรู้สึกในขณะนั้น  ลักษณะนิสัย  และในบางครั้งก็ทำให้ไวโอลินนึกรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังคิดอยากจะทำได้  ...แต่นั่นก็เป็นอาการที่เขาเพิ่งได้รับการตรวจพิสูจน์เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานี่เอง  แต่อาการแรกที่เขาเป็นมาแต่กำเนิด...ทางการแพทย์เรียกว่าเขาเป็นพวก...‘Empathy’  พวกมีพลังทางจิตที่สามารถสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้

   อาการน่ารำคาญที่เขาไม่เคยคิดอยากจะมีเลยสักนิด...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้  นอกจากทำใจ

“ท่าจะบ้าไปแล้วแฮะเรา”  ไวโอลินพึมพำ  ถอนใจอีกครั้งให้กับความเบลอที่ทำให้เขาอาจจะคิดไปเอง  สงสัยยังไม่ชินที่ช่วงนี้เขาไม่มีผู้ติดตามแล้วล่ะมั้ง  “กลับบ้านดีกว่า” 

   การเดินทางเองในฮ่องกงไม่ใช่เรื่องยาก  แค่เขาทำท่าทีเหมือนพยายามมองหารถแท็กซี่  รถคาดิแลคสีดำก็วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าเขาในทันที 

“ซึโยชิ...เอาอีกแล้วนะ  นานๆทีให้ลินขึ้นแท็กซี่กลับบ้านเองบ้างก็ได้น่า” 

“งั้นก็เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ  แต่คราวนี้ไปกับผมก่อนนะ”  ซึโยชิ  บอดี้การ์ดชาวญี่ปุ่นของรังสิมันต์  ที่ตอนนี้ยกให้เป็นบอดี้การ์ดเงาของลูกชายเอ่ยตอบคุณหนูของบ้าน  คุณหนูตัวน้อยๆที่เขาเองก็มีส่วนได้ช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กๆ  จนตอนนี้ใกล้จะเรียนจบแล้ว  งานติดตามดูแลคุณหนูของบ้านก็ยังสนุกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ก็ได้ครับ...นี่ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่  แล้วทำไมเพิ่งมาหาเอาวันนี้ล่ะ”  ไวโอลินดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด  เขาไม่ชอบนั่งข้างหลังเหมือนพวกเจ้านายทั่วไป  แต่ชอบมานั่งหน้าข้างคนขับมากกว่า  กับซึโยชิแล้วชายคนนี้เป็นมากกว่าบอดี้การ์ดส่วนตัว  แต่เขายังเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่สนิท  ความลับของเขาหลายอย่างซึโยชิเองก็เป็นหนึ่งในผู้กุมเอาไว้เช่นกัน 

“อย่าถามว่าตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่เลย  ถ้าพ่อคุณไม่สั่งงานด่วนให้ผมไปทำอย่างอื่น  ผมเคยห่างคุณหนูด้วยเหรอ”  ซึโยชิยิ้มบางๆส่งให้คนที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบรอบ  ในมือบางๆนั่นพยายามปกปิดเอกสารในแฟ้มให้พ้นไปจากสายตา  แต่คิดเหรอว่าเขาไม่รู้ว่าในนั้นมันมีอะไรอยู่บ้าง  “แต่ผมเห็นคุณหนูยังสนุกอยู่กับน้องๆก็เลยไม่อยากกวน” 

“ไม่กวนหรอก  นี่ที่ร้านเมื่อกี๊พี่ก็ไปหาผมด้วยใช่มั้ย” 

“ก็ใช่นะ  แต่ผมยืนอยู่ที่นอกร้าน  ทำไมเหรอ”

“อ๋อ  เปล่า...ไม่มีอะไร”  ไวโอลินขยับตัว  เปิดกระเป๋าโน๊ตบุ้คแล้วหยิบแฟ้มยัดใส่ลงไป  “เอ้อ...แล้ว”

“เตรียมเอกสารที่จะขอวีซ่าไปดูไบเรียบร้อยดีมั้ยครับ  ให้ผมช่วยอะไรมั้ย”

“...”  ไวโอลินอ้าปากค้าง  ไม่คิดว่าบอดี้การ์ดควบตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็กคนเก่งคนนี้วันนี้จะเล่นบทนักสืบ  พุ่งเป้ามาเปิดความลับของเขาได้ตรงจุดขนาดนี้  “พี่...รู้ได้ยังไง ว่าผมกำลังจะยื่นขอ”  ไวโอลินอ้อมแอ้มถาม

“คุณณัฐอยู่ไหน  คุณก็อยู่ที่นั่น  คอนเส็ปนี้เรารู้กันทั้งตระกูลครับ”  ซึโยชิพูดราวมันเป็นเรื่องปกติ  แต่ไวโอลินน่ะบีบมือตัวเองแน่น

“ก็...ตั้งแต่เมื่อวานซืนเขาก็ไม่ตอบเมสเสสผมเลย  เอาจริงๆคือผมเป็นห่วงเขา...ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วงคุณณัฐเขาหรอกครับ  ห่วงตัวเองเถอะคุณหนู  นี่ถ้าบอสรู้ว่าคุณหนูจะแอบตามไปที่โน่นนะ  รับรอง...”

“พี่ก็อย่าบอกพ่อสิ  น้า...นะ”  ไวโอลินรีบหันไปมองพี่ชายคนสนิทด้วยตาแป๋วๆ  น้ำเสียงออดอ้อนบวกกับท่าทีเกาะแขนเบาๆนั่นเป็นใครก็ต้องใจอ่อน  แต่กับซึโยชินั้น  เขาโดนดาเมจมาตั้งแต่ตอนเจ้าตัวยังตีนเท่าฝาหอยกาบ  จนตอนนี้ใหญ่กว่ากุ้งล็อบสเตอร์แล้ว  จะไม่ให้ชินกันบ้างได้ยังไงกัน

“ผมน่ะไม่บอกแน่ครับ  แต่คนอื่น...”

“โอ๊ย  แค่พี่ไม่บอกคนเดียวก็โอเคแล้ว  ขอบคุณมากนะครับ”  ไวโอลินพนมมือไว้ระหว่างอกแล้วก้มหัวขอบคุณผู้ร่วม ‘ลงเรือลำเดียว’ กับเขาด้วยความดีใจ

   ซึโยชิส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจยาวๆ  คุณหนูคงจะยังไม่รู้สินะ  ว่าหูตาคุณพ่อคุณแม่คุณหนูน่ะเยอะยิ่งกว่าหอยเม่นโฮตาเตะในทะเลญี่ปุ่นเสียอีก  ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวทั้งที  เขาเป็นห่วงแค่ไหนเคยรู้ตัวบ้างมั้ยครับเนี่ย...

   จู่ๆซึโยชิก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆ  ลางสังหรณ์มันร้องเตือนเขาว่า...อย่าใจอ่อนยอมตามใจคุณหนูแบบนี้เลย  เรื่องดีๆไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ  แต่เรื่องไม่ดีนี่...เหมือนจะเห็นจี้ตามหลังรถมาไวๆเชียว

----------------------------------------------------------------

“พี่ลินเก็บกระเป๋าจะไปไหนเหรอ”  ไลเกอร์ที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของไวโอลินหลังเคาะแล้วเจ้าตัวเหมือนจะไม่ได้ยินถามขึ้น  เขาเห็นบนเตียงมีกองเสื้อผ้าของเจ้าของห้องถูกพับวางทบกันเรียบร้อย  ตรงที่พื้นก็มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่เคียงกัน

“อ๋อ  พี่ว่าจะบินไปหาแม่กับพ่อที่นิวซีแลนด์น่ะ  แล้วค่อยบินกลับไทยพร้อมกัน” 

“อ๋อ  เอ้อ  ผมกับดอร์นจะออกไปซื้อของ  พี่จะเอาอะไรมั้ย”  ไลเกอร์ถามผู้ที่เปรียบเสมือนญาติผู้พี่อย่างมีน้ำใจ  แต่ไวโอลินก็ตอบปฏิเสธน้อง

“ไม่เป็นไร  แต๊งกิ้ว  แหม...ตั้งแต่กลับมาคบกันใหม่นี่หวานเชียวนะ  ตัวติดกันตลอด  ห่างกันไม่ได้เลยรึไง”  ไวโอลินแซวคะนองปาก  เขาพับเสื้อยืดบางๆใส่ลงในกระเป๋าเป็นตัวที่เจ็ด  ไลเกอร์ขมวดคิ้ว  เขารู้ว่าที่ยุโรปช่วงนี้นั้นค่อนข้างหนาว  เสื้อที่พี่ไวโอลินควรจะเอาไปน่าจะเป็นพวกสเวตเตอร์มากกว่าเสื้อยืดพวกนั้น 

   สงสัยพี่เขาคงจะพกพวกเสื้อโค้ทไปแทนล่ะมั้ง 

“พี่อยากจะได้เสื้อโค้ทของดอร์นไปบ้างมั้ย  มีอยู่บางตัวที่พี่น่าจะใส่ได้นะเดี๋ยวผมไปหาให้”  เพราะที่นี่เป็นฮ่องกง  อากาศจะร้อนชื้นแทบจะตลอดทั้งปี  เขามั่นใจว่าพี่ไวโอลินคงจะไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวติดมามากมายก็เลยใจดีออกปากถามอยากช่วย  แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ต้องการเท่าไหร่นัก  รีบปฏิเสธเป็นพัลวันเชียว

“..คือ  ที่โน่นก็มีของแม่  พี่เอาของแม่ใส่ก็ได้  นายเก็บเอาไว้เถอะของแฟนนนน..ตัวเองไม่ใช่เหรอ”  ไวโอลินลากเสียงยาวตรงคำว่า ‘แฟน’ แล้วเท้าคางมองคนหน้าแดงก่ำ 

   ไม่รู้จะมาอายอะไรเขาอีก  นี่ที่กลับไปคบกันใหม่ก็ไม่ใช่เพราะเขาจับมัดรวมกันแล้วโยนเข้าห้องให้ไปปล้ำกันจนปรับความเข้าใจกันได้หรอกเหรอ

   ไวโอลินยิ้มกริ่ม  มองคนกำลังมีความรักที่โบกรายการซื้อของในมือไปมาแล้วถามเขาย้ำแก้เขินอีกรอบว่าไม่เอาอะไรแน่ๆใช่มั้ย  ก่อนจะเดินออกไปตามเสียงเรียกของดอร์นที่ดังมาจากในห้องนั่งเล่น

   อิจฉาคู่นั้นจริงๆนะ  เขาอยู่กับรุ่งอรุโณทัยมาตั้งแต่เกิด  แต่ก็ไม่เคยเห็นน้องชายคนนี้แลดูเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้  ดูแลใครเป็น  หรือเป็นห่วงเป็นใยใครขนาดนี้มาก่อน  ไม่รู้ว่าไลเกอร์จะรู้ตัวมั้ย  ว่าตัวเองน่ะ...ได้หัวใจของเจ้าลูกมังกรนั่นไปเต็มๆ

   เขากวาดเสื้อผ้าอีกสองสามตัวแพคลงกระเป๋า  ตรวจดูว่ามีรองเท้าและของใช้ส่วนตัวครบแล้วก็รูปซิปปิดเรียบร้อย  ตอนที่ลากกระเป๋าออกมาจากห้องนั้นเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว  ตัวเองก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งว่าโชคดีจริงที่ไม่ต้องตอบคำถามว่าจะออกไปไหน  เมื่อกี๊ที่โกหกไลเกอร์ไปก็คงอีกสักพักกว่าพวกนั้นจะรู้ล่ะมั้งว่าเขาไม่ได้ไปหาพ่อกับแม่อย่างที่บอก

   ไวโอลินถอนหายใจโล่งอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกหาบอดี้การ์ดส่วนตัวเพื่อให้เอารถมารับเขาไปยังสนามบิน  และซึโยชิก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง  เพราะเหมือนเจ้าตัวก็จะกะเวลาได้ถูกเผง ถึงได้มาจอดรถรออยู่แล้ว

   การเดินทางออกจากเดอะ พีคไปยังสนามบินนานาชาติฮ่องกงในวันนี้ใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้พอสมควร  เท่าที่ตรวจสอบจากวิทยุเพื่อรับทราบเหตุการณ์บนท้องถนนก็พบว่ามีอุบัติเหตุรถขนทรายพลิกคว่ำกลางถนน  ทำให้การจราจรเบื้องหน้านั้นน่าจะติดแบบนิ่งสนิท  ทางเดียวที่จะไม่อยู่บนไฮเวย์นี่เกินสองชั่วโมงเพื่อรอให้เจ้าหน้าที่มาเคลียร์ทรายออกไปจากท้องถนนก็คือ...เขาคงต้องหาทางใหม่

“คุณหนูครับ  คงต้องไปอีกเส้นแล้วล่ะ”  ซึโยชิเอ่ยบอกผู้โดยสารที่นั่งข้างกันมา  ไวโอลินยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็เอ่ยปากเห็นด้วย

“ได้ครับ  ถ้าทันก็ไปเลยพี่”  ไวโอลินหยิบพาสปอร์ตมาถือเตรียมไว้ 

   ซึโยชิเหลือบตามองคนนั่งข้างๆแล้วหันกลับไปมองตรง  เขาเห็นป้าย EXIT บอกทางออกจากไฮเวย์แล้ว  แววความกังวลฉายชัดขึ้นมาเล็กน้อย  ทางลัดที่สุดที่จะเลี่ยงเส้นทางหลักไปยังสนามบินนั้นยาวกว่าและไม่ค่อยมีผู้คนนิยมใช้เท่าไหร่เนื่องจากมันค่อนข้างอ้อม  แต่จากที่เขาเช็คในระบบการเดินทางตอนนี้  การไปทางนั้นจะทำให้ถึงสนามบินเร็วกว่ารอให้ทางเจ้าหน้าที่เคลียร์อุบัติเหตุบนเส้นทางหลักให้เรียบร้อย

   เอาเถอะ  ทั้งเกาะนี้ใครจะกล้ามาแหยมคนตระกูลนี้กัน  สติ๊กเกอร์ที่รถก็ทำหน้าที่ประหนึ่งยันต์กันผี  ไปไหนมาไหนในเกาะนี้แทบไม่ต้องหาที่จอด  ไม่พอยังมีคนคอยเฝ้าให้อย่างดีอีกต่างหาก  วีไอพีประหนึ่งรถนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว  ขนาดนี้แล้วใครจะกล้าทำอะไรได้

   ตัวรถสีท้องฟ้ายามกลางคืนเลี้ยวออกนอกเส้นทางหลัก  การจราจรที่โล่งขึ้นทำให้ซึโยชิขยับความเร็วรถขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ  ด้วยระยะทางที่ยาวขึ้นแต่การเดินทางจำเป็นต้องใช้เวลาเท่าเดิม  เขาขับรถด้วยความระมัดระวังจนเกือบถึงจุดหมายปลายทาง  และมันก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อจู่ๆก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งออกมาจากซอยๆหนึ่งแล้วปาดหน้ารถของเขากะทันหัน!!!

“เฮ้ย!!” 

   ซึโยชิไม่สามารถที่จะกระแทกเบรกกะทันหันได้เพราะมันจะทำให้รถพลิกคว่ำได้แน่ๆกับความเร็วรถขนาดนี้  เขาคุมพวงมาลัยให้หักหลบไปตรงไหล่ทาง  โชคดีที่ตรงนั้นเป็นขอบกั้นถนนแบบที่เป็นลูกล้อ  ทำให้รถเขาที่พุ่งมากระแทกไม่ถึงขั้นเสียหลัก  แต่ทว่าเมื่อตัวรถถูกเหวี่ยงกลับเข้ามาบนถนนแล้ว  กลับมีรถยนต์อีกคันพุ่งต่อท้ายตามมาติดๆ 

“โย..โยชิ!!! ระวัง!!!”  เสียงไวโอลินขาดห้วงจากการที่โดนรัดโดยเข็มขัดนิรภัย  แต่เมื่อเขาเห็นรถอีกคันที่พุ่งตามมาทำให้ไวโอลินก้มตัวหลบลงกับคอนโซลรถ  ในขณะที่ซึโยชิหักรถหลบอีกครั้งแต่ก็ไม่ทัน  เมื่อรถอีกฝ่ายนั้นพุ่งเข้ามาเฉี่ยวตรงหัวมุมรถ  ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงพารถให้หมุนคว้างอยู่กลางถนน  ก่อนจะหยุดลงขวางกลางถนน  พร้อมกับที่มีรถยนต์อีกคันวิ่งตามมาสมทบ

   วินาทีนั้นหัวใจไวโอลินเหมือนจะหยุดเต้น  คิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว  แถมยังมึนและเจ็บที่หัวเพราะถูกกระแทกกับคอนโซลรถด้วย  ดีที่ร่างเขาถูกเบลท์รัดไว้ทำให้พอจะรู้สึกได้ว่าไม่มีส่วนไหนแตกหัก  ทว่าสายตาที่เมื่อก่อนมันชัดกลับมีอาการเบลอเล็กน้อย  แต่หูยังได้ยินเสียงดี 

   ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกึ่งตื่นกึ่งฝัน  เขาเห็นมีผู้ชายหลายคนเข้ามามุงที่หน้าต่างรถของเขา  ตัวเขาถูกเหวี่ยงจนขาไปติดอยู่ตรงช่องแคบระหว่างเบาะนั่งกับประตู  มันทับขาเขาจนเริ่มชา  เขาไม่รู้สึกและไม่แม้แต่จะสามารถขยับมันได้  พอลองเอียงสายตาไปมองคนขับที่นั่งมากับเขา  ก็เห็นเป็นภาพผู้ชายที่มากันหลายคนนั้นกำลังลากร่างของซึโยชิที่คงสลบไปเพราะเป็นคนรับแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกเมื่อสักครู่ออกจากรถ 

   เขาพยายามที่จะขยับตัวเพื่อต้องการจะช่วยซึโยชิ  แต่ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้มันขยับไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย  ได้แต่มองตามปลายนิ้วมือที่ยื่นไปหาร่างที่ถูกลากออกไปจากรถโดยไม่รู้ชะตากรรม   เสียงที่ต้องการจะเรียกชื่อก็เปล่งติดอยู่แค่ลำคอ  เพราะจู่ๆฝั่งไวโอลินก็ถูกกระชากเปิดออก  พร้อมกับที่มีมือใหญ่คู่หนึ่งพุ่งเข้ามาช้อนตัวเขาแล้วพาลากลงไปจากรถเช่นกัน

“ปละ...ปล่อย...”  เสียงที่พยายามเปล่งออกมาได้แค่นั้นเขาก็ถูกผ้าพันปิดปาก  ลมหายใจเฮือกเดียวที่สูดเข้าไปทันมีเพียงกลิ่นหอมหวานๆคล้ายน้ำตาล  ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าเขาโดนเข้ากับอะไร  แต่จะกลั้นหายใจในตอนนี้ก็ไม่ทัน

   ภาพสุดท้ายที่เห็นผ่านเข้ามาในคลองจักษุก็คือ  รถที่ถูกเฉี่ยวจนบุบด้านหน้ามีคนเข้าไปขับแทนซึโยชิ  ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงพวกมันสั่งให้แยกย้ายโดยเร็วที่สุด  เป้าหมายสุดท้ายที่พวกมันบอกนัดเจอกันก็คือ...

‘ดูไบ’

--------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 20:56:34 โดย dek-zaal3 »

ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #32 เมื่อ01-04-2018 20:55:52 »

   ไวโอลินเข้าโรงเรียนครั้งแรกตอนอายุ 12 ขวบ

   เขาไม่เคยใช้ชีวิตในรั้วสถานศึกษาร่วมกับเด็กคนอื่นเลยตั้งแต่วัยอนุบาลจนรู้ความดี  การศึกษาแบบพิเศษถูกจัดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ  เพราะครอบครัวของเขาวางโปรแกรมการเรียนแบบโฮมสคูลให้เขาเริ่มเรียนในเนื้อหาที่เขาเรียนได้แบบไม่สนใจอายุ   
   ดังนั้นพออายุได้ 5 ขวบ  ความสามารถด้านภาษาและการคำนวณของเขาก็โดดเด่นมาก  ไวโอลินพูดได้ 4 ภาษาผ่านประสบการณ์และการใช้ชีวิตประจำวัน  ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐานที่พูดได้จากการที่แม่เป็นนักเขียนและเคยทำงานในต่างประเทศ   ภาษาจีนจากการเทียวไปกลับไทย-ฮ่องกงเป็นว่าเล่น  แถมภาษาญี่ปุ่นที่ได้ซึโยชิช่วยสอนในระหว่างที่อยู่ด้วยกันให้อีก  นอกจากนี้ทักษะทางคณิตศาสตร์ที่ไวโอลินได้เรียนรู้จากพ่อที่เป็นนักธุรกิจ  ทั้งเทคนิคการคิดเลข  วิธีการทำบัญชีเบื้องต้น  เทคนิคการดูหุ้น  และไวโอลินก็ทำได้ดีจนนำไปสู่การตัดสินใจเปิดพอร์ทหุ้นให้เป็นของขวัญแก่เขาตอนที่เขาเริ่มเข้าสู่รั้วโรงเรียนเป็นครั้งแรกเหมือนเด็กทั่วไป 

   ซึ่งการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนเป็นครั้งแรกของไวโอลินนั้นมันไม่ง่ายเอาเสียเลย 

ยิ่งเมื่อพ่อกับแม่ไม่ได้ปิดบังนามสกุลให้เขาอีก  การโดนเพ่งเล็งจากคนรอบข้างก็ยิ่งมีสูง  ไวโอลินไม่ได้แสดงความสามารถทั้งหมดของตัวเองในตอนเรียน  เพราะเขาเคยลองแล้วแต่กลับโดนมองเป็นตัวประหลาด  ถึงมันจะเป็นโรงเรียนที่ดี  แต่เด็กที่มีความสามารถสูงจนเข้าขั้นอัจฉริยะนั้นไม่ได้มีมากนัก  พอไวโอลินสามารถจัดการข้อสอบหรือโจทย์ยากๆของครูได้หมด  สายตาที่เพื่อนมองเขาก็เปลี่ยนไป  ความจริงใจเริ่มไม่มี  การหาเพื่อนสนิทก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่  ยิ่งเขาเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนกะทันหันตอนอยู่ ป.6 ด้วยแล้ว  จะเข้ากลุ่มกับใครมันก็ยาก  เพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันมากว่าสามปีทั้งนั้น

   เขาในวัยเด็กพยายามทำความเข้าใจในเรื่องการใช้ชีวิตในสังคมกับคนหมู่มาก  แต่ต่อให้เก่งแค่ไหนเขามันก็เด็กที่เก่งแค่ด้าน IQ  แต่ด้าน EQ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะอยู่ดี  เขาร้องไห้กับแม่หลายครั้งหลังกลับจากโรงเรียน  เขาเกลียดการทำงานกลุ่มที่ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแกะดำ  เกลียดการทำข้อสอบ  ที่ต้องกามันลงไปทั้งๆที่รู้ว่ามันผิดและรู้ทั้งรู้ว่าข้อที่ถูกมันคือข้อไหน  การปิดบังตัวตนมันทำให้เขาหดหู่  และเริ่มรู้สึกเกลียดการไปโรงเรียนในเทอมแรกที่เข้าเรียนมากๆ

   โรคซึมเศร้าเกือบจะเล่นงานเขาตอนอายุ 12 เข้าให้แล้ว  จนกระทั่ง...

“ไวโอลิน  เอานี่ไปส่งครูทีนะ”  หัวหน้าห้องที่เป็นผู้หญิง  ซึ่งต้องเป็นผู้เอาสมุดของเพื่อนๆทุกคนไปส่งบอกเขา  ไวโอลินที่กำลังรวบรวมของเพื่อนๆในแถวของตัวเองมองหัวหน้าห้องอย่างงงๆ  เพราะเมื่อสักครู่คุณครูก็เพิ่งพูดว่าให้เธอเป็นคนเอาไปส่ง  แล้วทำไมจู่ๆถึงมาลงที่เขาล่ะ

“ก็แถวนายส่งช้าที่สุด  นายก็ต้องเอาไปส่งสิ”  เพื่อนในกลุ่มของเธอคนหนึ่งพูดขึ้น  ในระหว่างที่กลุ่มของเธอกำลังหยิบข้าวของเพื่อเตรียมออกไปทานข้าวเที่ยงกัน 

“เอ่อ...”  เขาอยากจะเถียง  ว่าที่แถวเขาส่งช้าก็เป็นเพราะเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งหลังสุดเป็นคนที่ทำงานเสร็จช้าที่สุดในห้องต่างหาก  แต่ทว่าเมื่อเขาหันไปมองเพื่อนที่ยังคงระบายสีอยู่  ก็ได้แต่ปลงว่าทำยังไงได้  แล้วก็ช่างมันเถอะ  แค่เอางานไปส่งครูเท่านี้เองไม่ได้ยากอะไร  ไปทานข้าวช้าหน่อยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

   เพื่อนที่นั่งหลังสุดคนนั้นเหมือนจะรู้ว่าทำให้ไวโอลินลำบากอีกแล้วก็ได้เอ่ยขอโทษเขาออกมา  และอาสาจะเป็นคนเอางานไปส่งให้  แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  เขาเอาไปส่งเองน่าจะดีกว่า  กว่าจะรอให้เพื่อนเก็บสี เก็บปากกาเสร็จ  เพื่อนเขาคงไม่ได้ไปทานข้าวเที่ยงพอดี

   ตึกที่เขาเรียนกับห้องพักครูที่เขาจะต้องไปส่งงานอยู่กันคนละตึก  ซึ่งเขาจะต้องเดินผ่านสนามกีฬาในร่ม  และสวนหย่อม  ในช่วงเที่ยงแบบนี้มักจะเต็มไปด้วยนักเรียนที่มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ  รวมไปถึงเล่นกีฬาหลายๆประเภท เช่น กระโดดยาง  หมากเก็บ  บาสเกตบอล  และที่นิยมที่สุดคือ ฟุตกร้อ

   จริงๆแล้วมันแค่เป็นเกมส์กีฬาที่เด็กๆผสมผสานกันระหว่างฟฟุตบอลกับตะกร้อ  มันคือการเอาลูกตะกร้อมาเตะเล่นแบบฟุตบอล  ซึ่งกลุ่มที่มักจะเล่นฟุตกร้อนั้นชอบเล่นบริเวณใกล้ๆกับทางเดิน  หลายครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อลูกตะกร้อลอยไปโดนคนที่เดินผ่านไปผ่านมา  หรือเด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ตามม้านั่งใกล้ๆทางเดินนั้น 

   ไวโอลินถือสมุดของเพื่อนๆทุกคนด้วยสองมือ  เดินอย่างระมัดระวังตามทางเดินไปเรื่อยๆ  หลายๆคนมองมาที่เขา  จะด้วยเพราะคำว่า ‘เด็กใหม่’  หรือ ‘เด็กนามสกุลดัง’  อะไรก็แล้วแต่  ไวโอลินไม่สนใจ  เขาคิดแค่ว่าอีกเพียงครึ่งวัน  ชีวิตในรั้วโรงเรียนของเขาก็หมดลงแล้ว  แล้วเขาก็จะได้กลับบ้าน  ไปอบขนม  วาดรูป  เช็คข่าวเด่นประจำวันเพื่อดูทิศทางในตลาดหุ้นต่อไป  แต่อารมณ์คนมันจะดวงซวย  อะไรก็ฉุดไม่อยู่จริงๆ       
   
   ลูกตะกร้อลูกหนึ่งจากกลุ่มเด็ก ป.5 ที่กำลังเตะกันอย่างเมามันส์นั้นลอยละลิ่วมาทางที่ไวโอลินกำลังเดินมา  เขาเงยหน้าทันเห็นลูกตะกร้อลอยมาตอนอีกสองสามเมตรก็จะโดนศีรษะ  ไวโอลินคิดว่าต้องโดนแน่ๆเพราะถ้าหลบงานในมือที่ถือมาก็ต้องตก  เขาเลือกที่จะปกป้องงาน  และทำเพียงเบี่ยงตัวหันหลังให้ลูกตะกร้อที่ลอยมาเท่านั้น  คิดว่าถ้าโดนก็คงเป็นไหล่หรือหลัง  แต่ทว่า...

   ...ปั้ก!...ครึ่กๆ...

   เสียงลูกตะกร้อชนกับผิวเนื้อคนดังอยู่ใกล้ๆ  ไวโอลินค่อยๆลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่ง  เขาเห็นลูกตะกร้อกลิ้งหลุนๆอยู่ที่พื้น  แต่มันไม่โดนเขา

   แล้วโดนใคร...?

“ระวังหน่อยสิ”  เสียงทุ้มๆของเด็กที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้น 

   ไวโอลินเห็นหน้าเขาไม่ชัดนักในตอนแรกเพราะเขายืนหันหลังให้แสง  แต่ขีดสามขีดที่ปกเสื้อบ่งบอกว่าคนที่เข้ามาช่วยเขาอยู่ชั้นปีเดียวกัน  สำหรับคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ ไวโอลินนึกว่าเขาพูดกับตัวเองแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

“บอกใครวะไอ้ลูกครึ่ง  แม่งเดินมาขวางทางเองนี่หว่า”  เสียงเด็ก ป.5 ที่เป็นคนเล่นฟุตกร้อดังตอบกลับมา  พวกเขาเดินมาเก็บเจ้าวัตถุทรงกลมกลับไป  แต่ไม่แม้แต่จะพูดขอโทษ  ทั้งๆที่คุณครูก็เคยเตือนแล้วแท้ๆว่าห้ามเล่นแถวนี้  เพราะมันเคยโดนเด็กนักเรียนคนอื่นจนได้เลือด

“เจ็บมั้ยอ่ะ”  ไวโอลินตัดสายตาที่มองตามแก๊งค์เด็กไม่ดีที่ยังกลับไปเล่นฟุตกร้อที่เดิม  แล้วถามคนตรงหน้าที่มาช่วยเขาแทน

   ในตอนนั้นเองที่เขาได้พิจารณาคนตรงหน้าอย่างชัดๆ  เขาตัวสูงกว่าไวโอลินไม่มาก  ช่วงขายาว  แต่กล้ามเนื้อที่ยังไม่โตเต็มที่ส่งผลให้เขาดูเก้งก้างไปบ้าง  แต่เมื่อประกอบรวมกับเครื่องหน้าคมเข้ม  คิ้วหนา  จมูกโด่ง  และริมฝีปากได้รูปที่ขยับเอื้อนเอ่ยแล้ว  สำหรับไวโอลินที่เจอคนหลากหลายเชื้อชาติหลากภาษามาตั้งแต่เด็กนั้น  เขาจัดว่าเด็กผู้ชายตรงหน้าเป็นลูกครึ่งคนหนึ่งที่ดูดีมากทีเดียว  ดวงตานิ่งๆที่มองมาที่เขา ถ้าเป็นคนอื่นอาจดูว่าคนๆนี้หยิ่งเลยพาลไม่ชอบ  ประกอบกับคำพูดที่เด็กพวกนั้นพูดแล้ว  คิดว่าหน้าตาของคนคนนี้คงไม่ถูกสเป็คคนที่นี่เท่าไหร่

   บางที...เขาสองคนอาจมีช่วงเวลาที่เลวร้ายไม่ต่างกันก็ได้

“ไม่หรอก  จะถือไปห้องพักครูใช่มั้ย  เดี๋ยวช่วยก็แล้วกัน”  คนตรงหน้าเขาไม่รอให้ไวโอลินพูดตอบ  แต่ยื่นมือมาช่วยถือสมุดส่วนหนึ่งไปแล้ว 

“ไม่มีค่าจ้างนะ” 

“ก็ไม่ได้หวังหรอก”     
   
   พวกเขาสองคนเดินเคียงกันไปส่งงานที่ห้องพักครู  และจากที่ได้คุยกัน  เขาก็พบว่ายังไม่มีใครทานมื้อเที่ยง  พวกเขาก็เลยได้ไปนั่งทานอาหารเที่ยงด้วยกัน  และนั่นก็ทำให้พวกเขารู้จักกันและกันได้มากขึ้น

“ว่าแต่  นายชื่ออะไร”

“...ณัฐ”

“ณัฐแบบโดณัฐงี้อ่ะเหรอ  นี่ชื่อไวโอลินนะ”

“ชื่อเหมาะกับหน้าดี”  คนพูดใช้ส้อมม้วนเส้น  แล้วก็เอาเข้าปากหลังจากพูดจบ  หน้าเขายังไม่มองเลยด้วยซ้ำตอนที่พูด

“หมายถึงด่าว่าเราหน้ายาวงี้เหรอ”  ไวโอลินหยิบส้อมตัวเองมาเตรียมจิ้มคนตรงหน้า  แต่อีกฝ่ายเพียงยักไหล่ใส่  ท่าทางกวนตีนดูไม่เข้ากับหน้าตาเลยจริงๆ

   แต่คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง  ถึงทำให้เขารู้สึกสบายใจที่จะคุยกับคนคนนี้  แววตาตรงๆที่มองมามันไม่แฝงความนัยอะไรที่อยู่ในใจคนคนนี้ออกมาเลย  ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี  เพราะเขาไม่ต้องมามัวอ่านใจเพื่อนคนใหม่ว่าที่เข้ามาคุยกันตอนนี้นั้นเขาคิดอะไรอยู่  ที่สำคัญ...ออร่าบางเบาที่เขาสัมผัสได้จากคนคนนี้มันทำให้เขารู้สึกดี  มันเหมือนมีบางอย่างที่บอกว่าเขากับเพื่อนใหม่หน้าลูกครึ่งคนนี้มีอะไรที่มันจูนเข้าหากันได้

   เอาจริงๆแล้วเขาก็ประทับใจในความใจดีตั้งแต่แรกเจอนั่นด้วยแหละ

“แล้ว...เป็นครึ่งอะไรเหรอ”  ไวโอลินทานข้าวหมูแดงหมูกรอบ  ส่วนคนตรงข้ามเขาเลือกก๋วยเตี๋ยวไก่  ชอบกินเส้นใหญ่เหมือนพ่อเขาเลยแฮะ

“ครึ่งผีครึ่งคนมั้ง  ไม่รู้ดิ  แม่ไม่เคยบอก” 

“อ๋อ  นายไม่ค่อยถูกกับพ่อเลี้ยงนี่  ใช่มะ” 

   เอ่อ...ดูเหมือนเขาจะพลาดอะไรไปเสียแล้วแฮะ 

“...รู้เรื่องนั้นได้ยังไง”  ณัฐวางมือที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวลงแล้วจ้องหน้าคนกินข้าวหมูแดงหมูกรอบที่นั่งฝั่งตรงข้าม

   โธ่เอ๊ย!  ไม่น่าเลยเรา  แม่ก็พูดเตือนอยู่บ่อยๆแล้วเชียวว่าพูดทุกคำที่คิด 

“คือ  ก็เดาเอาไง  แบบ..ดูละครกับที่บ้านเยอะไปหน่อยงี้”  ตอนนั้นไวโอลินโกหกไม่ค่อยเก่ง  นี่ถ้าณัฐเกิดถามกลับมาว่าคืนนี้ละครฉายเรื่องอะไร  เขาคงเผลอตอบเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์กับรายการข่าวการเมืองออกไปแน่นอน

“เดาแม่นเนอะ”  ณัฐมองหน้าเขาแปลกๆ  เพื่อนตัวสูงหยิบน้ำมาดูด  และนั่นก็ทำให้ไวโอลินพลอยอิ่มตื้อไปด้วย


   
   หลังจากนั้นเขาสองคนก็แทบจะตัวติดกันเป็นตังเม  แม้จะอยู่กันคนละห้อง  แต่ทุกเช้าที่มาถึงโรงเรียน  เขาสองคนก็ใช้เวลาช่วงก่อนเข้าแถวด้วยกัน ช่วยทำการบ้าน  แชร์ข่าวสาร  ตอนเที่ยงก็รอไปทานข้าวพร้อมกัน  ตอนเย็นก็รอเลิกเรียนแล้วใช้เวลาทำการบ้านด้วยกันก่อนกลับ  แม่กับพ่อเขาแปลกใจพอสมควรที่จู่ๆลูกชายคนดีก็เกิดอยากไปโรงเรียนเร็วขึ้น  และขอกลับบ้านช้าลง  พฤติกรรมก็เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนที่ดูท่าทางไม่มีความสุขในการไปโรงเรียน  ตอนนี้ไวโอลินเอาแต่บอกแม่ว่าไม่อยากให้ถึงวันเสาร์  น้ำฟ้ากับรังสิมันต์เคยเรียกซึโยชิมาถาม  เพราะเขาถูกเลือกให้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของไวโอลินจึงกลายเป็นคนตามรับตามส่งไวโอลินไปโดยปริยาย  ซึโยชิก็ได้แต่ตอบเจ้านายไปว่า  อาจเป็นเพราะตอนนี้ไวโอลินได้เพื่อนแล้ว

   การเรียนหลังจากนั้นทั้งไวโอลินและเพื่อนใหม่ของเขาเป็นไปอย่างไม่หวือหวา  ไม่มีอะไรแตกต่างจากการเป็นนักเรียนประถมปลายทั่วๆไปในโรงเรียน  ทั้งคู่ยังคงไม่ได้มีอะไรโดดเด่น  ไวโอลินก็ยังไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นภายในห้องเรียนนอกจากณัฐ  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลอะไรแล้ว  เพราะเพื่อนดีมีแค่หนึ่งก็เพียงพอ

   การสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษานั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับไวโอลิน  เส้นก๋วยจั๊บที่พ่อเขามีทำให้เขาไม่ต้องสอบก็สามารถเข้าไปเรียนได้อย่างง่ายดาย  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไวโอลินต้องการ  เขาเข้าสู่กระบวนการสมัครและเข้าทดสอบเหมือนเพื่อนๆคนอื่น  และเขาก็ไม่ทำให้ครอบครัวต้องผิดหวังกับการคว้าตำแหน่งหนึ่งในท็อปไฟว์ของการสอบครั้งนั้นมาครอบครอง  แต่นั่นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายไปจากที่ใครๆคิด  คนที่สร้างความประหลาดใจให้ไวโอลินและคนอื่นๆแทนเห็นจะเป็นณัฐ  เพื่อนสนิทลูกครึ่งปริศนาของไวโอลินนั่นเอง

   ช่วงประถม ณัฐ หรือ เด็กชายภาคินทร์ ไม่ใช่ม้ามืดในสายตาของใครๆ  การเรียนไม่ได้ดีเลิศแต่ก็ไม่แย่  ความสามารถด้านกีฬาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร  แต่การสอบเข้าระดับมัธยมศึกษาที่ผ่านมาในโรงเรียนชื่อดัง  เด็กชายภาคินทร์กลับพาตัวเองขึ้นไปสู่อันดับท็อปเท็น  และถูกจัดเข้าห้องคิงกับไวโอลินได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

   ไวโอลินกระโดดกอดเพื่อนด้วยความดีใจในวันแรกที่ได้เจอกันในรั้วโรงเรียนใหม่  หลังจากหวีดร้องไปดังลั่นบ้านครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเห็นผลประกาศที่มีชื่อตัวเองกับภาคินทร์อยู่ใกล้ๆกัน  แทบไม่ต้องเดาเลยว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร  ตลอดสามปีที่เรียนด้วยกันจนจบมัธยมต้น  ไวโอลินกับภาคินทร์จัดเป็นคู่หูคนดังที่เข้าขากันมาก  เห็นตัวภาคินทร์ที่ไหนก็จะเห็นไวโอลินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ  ไวโอลินทำอะไร แม้ว่าหนุ่มลูกครึ่งจะไม่ชอบใจนักแต่ก็ร่วมมือช่วยงานเพื่อนเป็นอย่างดีเสมอ

   ทั้งคู่เรียนด้วยกัน  ทำงานด้วยกัน  จนสนิทกันมากก็จริง  แต่ก็ไม่ได้เอาตัวไปผูกติดกันตลอดเวลา  ยกตัวอย่างเช่นกิจกรรมชุมนุม  ภาคินทร์เลือกชุมนุมกีฬาโดยเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกปี  ส่วนไวโอลินเลือกชุมนุมห้องสมุดกับชุมนุมห้องพยาบาล  ซึ่งนั่นทำให้เขามีเวลาว่างมากพอที่จะแว่บไปดูภาคินทร์ซ้อมกีฬาหรือเชียร์กีฬาระหว่างกลุ่มบ่อยๆ 

   ยิ่งพอขึ้นมัธยมปลาย  ช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่วัยผู้ใหญ่  เด็กชายภาคินทร์ก็เปลี่ยนเป็นนายภาคินทร์  ด้วยสายเลือดลูกครึ่งในตัวทำให้เขาตัวสูงใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว  ประกอบกับเขาเริ่มออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างจริงจัง  พอขึ้น ม.6 เขาก็สูงทะลุ 185 ซม. เข้าไปแล้ว   ส่วนไวโอลินนั้นก็ได้แต่มองเพื่อนสนิทที่ทิ้งห่างความสูงออกไปจากเขาเรื่อยๆตาปริบๆ  โอเคเขาเข้าใจได้ว่าพ่อแม่แท้ๆของเขาก็ไม่ใช่คนตัวสูงใหญ่  แต่นี่จะไม่ทำให้เขาดูเป็นคนแคระไปหน่อยหรืออย่างไร  เพราะในขณะที่ภาคินทร์เริ่มโด่งดังในหมู่สาวๆ  เขากลับเริ่มโด่งดังในหมู่หนุ่มๆถึงขั้นที่ว่ามีคนแอบส่งจดหมายรักให้เขา!!

“ลินจะเผาเองหรือจะให้เราเผา”  ภาคินทร์ที่แย่งจดหมายซึ่งสอดอยู่ในหนังสือเรียนวิชาชีววิทยาของเขาขมวดคิ้วยุ่ง  เพื่อนเขาไม่แม้แต่จะเปิดอ่านแถมยังทำท่าจะฉีกเสียอีกแน่ะ

“อย่าๆ  ใจเย็นๆดิ  ขออ่านก่อน”  ไวโอลินรีบแย่งจดหมายกลับมาอย่างรวดเร็ว  แต่มันกลับโดนภาคินทร์แย่งกลับไปอีกครั้ง

“ทำไม  ชอบผู้ชายเหรอ  ไม่ต้องอ่านหรอก  ไร้สาระ”

“ฮื้อ..เอามา  เผื่อเป็นผู้หญิงส่งมาให้ไง” 

   ภาคินทร์มองเพื่อนตัวสั้นที่สูงเพียงอกของเขาด้วยหางตา  หน้าตาแบบนี้ยังคาดหวังจดหมายจากผู้หญิงอีกเหรอ  เฮ้อ...ไม่เจียมตัวเสียบ้างเลย

“ไอ้บ้าณัฐ  เอามา...!”  พอไวโอลินเริ่มอารมณ์เสีย  ภาคินทร์ก็ฉีกจดหมายนั้นออกเป็นสองส่วน  ก่อนจะขยำๆแล้วโยนลงถังขยะที่อยู่ห่างออกไปไม่มากได้อย่างง่ายดาย  มุมปากยกยิ้มสะใจที่เห็นไวโอลินเพื่อนเขาหน้างอ  ก่อนจะล้วงหยิบตั๋วทานไอศกรีมฟรีสองสกู๊ปขึ้นมาแกว่งตรงหน้า

“จะตรงไปคุ้ยถังขยะ  หรือจะไปกินไอติมด้วยกัน”  เป็นเพื่อนกันมากี่ปี  กับแค่ง้อเพื่อนแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับภาคินทร์

“ฮื้อ”  ไวโอลินจับแขนเขาเขย่า  สายตาอาวรณ์มองไปทางถังขยะ  แต่พอเขาทำเสียงคำรามในลำคอใส่ไวโอลินก็ยอมพยักหน้าให้เขาทั้งที่ยังหน้างอ  “ไอ้ณัฐบ้า”

   เออ  บ้าก็บ้า  แต่ใครสน  เพราะสุดท้ายไวโอลินก็ต้องตัดสินใจเลือกเขาอยู่ดี

   จนกระทั่งวัยนักเรียนขาสั้นผ่านพ้นไป  ชีวิตวัยผู้ใหญ่ตอนต้นในรั้วมหาวิทยาลัยก็ได้เริ่มต้นขึ้น  พวกเขาเลือกเรียนคณะต่างกันตามความถนัดและความต้องการของตนเองแต่ก็ยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน  จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้  ที่พวกเขามีโปรแกรมที่จะออกฝึกงานทั้งคู่  แต่ก็ยังอยู่ในเมืองไทย

   แต่จู่ๆภาคินทร์ก็ขาดการติดต่อ  จู่ๆก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว  ภาคินทร์เป็นฝ่ายเคยมาเยี่ยมบ้านเขา  ส่วนเขารู้แค่ว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหนแต่ไม่เคยไป  อีกฝ่ายชอบอ้างว่าพ่อเลี้ยงเขาคงไม่ชอบที่ภาคินทร์พาเพื่อนมาบ้าน  ผิดกับฝ่ายเขาที่เคยพาเพื่อนไปบ้านครั้งแรกตอนอยู่ ม.3  และหลังจากนั้นภาคินทร์ก็สามารถเข้านอกออกในบ้านเขาได้ตลอดเวลาในฐานะเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าของบ้าน

‘ไอ้เพื่อนเลว  สนิทกันมาสิบกว่าปี  ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องปิดบังกันด้วย  หรือไม่เห็นเขาเป็นเพื่อนแล้วเหรอ...หรือเขาทำอะไรผิดไปอย่างงั้นน่ะเหรอ’

“Yuna-sama kikoemasu ka? Yuna-sama…” 

   ยูนะ?  เสียงใครเรียกชื่อเขากัน...

“Yuna-sama...watachi...kiku…”

   ฟัง...ฟังอะไร  ฟังใคร

“คุณหนู...ผมจะเป็นคุณหนู  และคุณหนูจะเป็นผม  จำไว้นะครับ...คุณหนูคือผม  และผมคือคุณหนูไวโอลิน”
   ประโยคภาษาญี่ปุ่นที่เขาสามารถเข้าใจได้ทันทีที่สติกลับคืนมา  เป็นคำพูดจากซึโยชิที่ตอบโต้คนกลุ่มหนึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่น  พวกมันท่าทางจะฟังที่ซึโยชิพูดไม่เข้าใจ  แต่เขาเข้าใจทุกคำ!

“...คุณหนูคือผม  ได้ยินมั้ยครับคุณหนู  คุณหนูคือผม  และผมคือคุณหนูไวโอลิน!”

-----------------------------------------------------------
 
Happy April Fools Day!!   :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #33 เมื่อ01-04-2018 21:19:58 »

เกิดเรื่องไรกับลินเนี่ย  :hao4:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #34 เมื่อ01-04-2018 21:22:55 »

หาาา ยูนะ ใครอ่าาา งือออ

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #35 เมื่อ01-04-2018 23:23:55 »

น่าสงสารจังเลย สู้ๆนะ
ซี โย ชิ จะ โดน อะไร ไหม เนี่ย
อย่าตายนะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #36 เมื่อ02-04-2018 00:06:08 »

อ่อยยยย ต้องมาตามรุ่นลูกต่อสิน้าาา ><

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #37 เมื่อ02-04-2018 10:43:15 »

 :hao7: :hao7: :hao7: อร๊ากกกกกกกกก อยากอ่านต่อกำลังมันส์

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #38 เมื่อ02-04-2018 12:03:21 »

รอตอนต่อไปค่าาาาาาาา

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #39 เมื่อ02-04-2018 17:24:00 »

มาไวๆๆๆๆๆ  :katai1: :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
« ตอบ #39 เมื่อ: 02-04-2018 17:24:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #40 เมื่อ03-04-2018 01:50:50 »

เอ้าหนูลิน ใครจับมา
อย่าเป็นอะไรนะ ทั้งสองคนเลย

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 3 [01/04/2018] PG.2
«ตอบ #41 เมื่อ03-04-2018 02:26:06 »

ทำไมลางแม่นจริงซึโยชิ
แล้วที่สลับตัวคือรู้ว่าจะเกิดอะไร หรือแค่ป้องกันไว้ก่อน

ไวโอลินคือความคุณหนูที่แท้จริงนะ 5555
น่ารักดี เอาแต่ใจแบบน่ารัก
งอนณัฐ เคืองณัฐเหลือเกิน แต่จะไปตามหา

ว้าววว ดอว์นกับไลเกอร์คือความดีงาม
น่ารักดีค่ะ พี่กับเกอร์

ลูซมีความพยายามจะไปเดท แต่ตอนนี้หาลินให้เจอก่อนนะ

ป.ล.ชื่อณัฐ ที่ไวโอลินถามว่ามาจากโดนัทหรอ
ไม่น่าจะมาจากโดนัทนะคะ


ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #42 เมื่อ09-04-2018 00:37:22 »

ตอนที่ ๔


 
   โอ๊ย..เจ็บขาจัง 

ทำไมมันรู้สึกตาลาย  โลกมันหมุนกลับด้านแบบนี้ล่ะ

   กลิ่นสากๆทรายๆนี่มันกลิ่นอะไร

   แล้วเพดานนั่น...ตาเบลอๆชอบกล  มองไม่ชัดเอาเสียเลย 

   ไวโอลินพยายามกะพริบตา  ไล่ความง่วงงุนและอาการสากๆที่เปลือกตาแล้วลองลืมตาขึ้นมองอีกที 

   สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานโค้งๆสีขาวตุ่น  มองไปด้านข้างไม่มีหน้าต่าง  แต่มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ดูหรูหราสีดำ  รถยนต์สปอร์ตสีส้มจนแสบตาอีกคันจอดอยู่ใกล้ๆ  พอเขาลองเอียงศีรษะไปมองอีกด้าน  ก็พบกับกรงสุนัขขนาดใหญ่  ข้างในก็มีเจ้าของกรงนั่งลิ้นห้อยมองเขาอยู่  ดูจากขนาดตัวใหญ่คับกรงและขนหนาฟูทั่วทั้งร่างนั่นแล้ว...เดาว่าพันธุ์ทิเบตันแน่ๆ

   เอ๊ะ...แล้วลมอะไรมาพ่นใส่ศีรษะเขาอยู่ได้  จะว่าลมแอร์ก็ไม่น่าใช่  เพราะมันอุ่นๆแถมมีกลิ่นสาปๆเหมือนเมือกสัตว์  ไวโอลินค่อยๆขยับต้นคอเอียงไปมองด้านหลัง  ก็พบกับแผ่นไม้  ที่ถูกตีขึ้นกั้นคล้ายทำเป็นคอก  มีหญ้าแห้งปูอยู่เต็มพื้นก็พอจะเดาได้ว่ามันคงเป็นคอกสัตว์  แล้วสัตว์อะไรกันที่อยู่ในคอก

   อ่า  เท้ามีกีบด้วย  ตัวดำขนเงาเชียว  มีสี่เท้า  แถมต้นขายังมีกล้ามเป็นมัดๆ  ท่าทางจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีนะเนี่ย 

   ...พรืด...

   เจ้าสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ที่ยืนค้ำหัวไวโอลินอยู่ถอนหายใจยาวออกมา  กลิ่นหญ้าแห้งปนกับฟางคงเป็นที่มาของกลิ่นสากระคายที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้

‘ที่แท้ตอนนี้เขาก็กำลังพิงคอกม้าอยู่นี่เอง  เฮ้ย!!!...คอกม้า!!’

“เฮ้ย!” 

   พอสติฟื้นกลับมา  ไวโอลินก็เผลออุทานออกมาปั๊บ  จะขยับมือเพื่อเท้าพื้นหวังจะลุกทรงตัวก็ทำไม่ได้  มือถูกมัดรวมเอาไว้ทั้งสองข้างที่ด้านหลัง  เท้าเป็นอิสระ  และโชคดีที่ปากเขาก็ไม่ได้ถูกปิด

   สภาพแวดล้อมภายในสถานที่ที่เขาถูกจับตัวมาไว้ถ้าให้เดาคือน่าจะเป็นห้องเป็นสัมภาระภายในเครื่องบินส่วนตัวของใครบางคน  เขาเคยขึ้นอยู่สองสามลำที่เป็นของคุณลุงอาทิตย์  ตรงห้องที่คุณลุงเอาไว้ขนส่งรถยนต์  หรือใส่กรงของสิงโตกับเสือที่เลี้ยงไว้ตอนพาไปที่อื่นก็เก็บไว้ในห้องแบบนี้  นี่เขาถูกใครเผลอจับมาเป็นสินค้าส่งข้ามแดนเหรอเนี่ย  ได้ตีตั๋วเดินทางด้วยชั้นพิเศษแบบนี้ก็ไม่ไหวหรอกนะ

“ถามใครได้มั่งเนี่ย”  ไวโอลินลองขยับมือที่ถูกมัดไว้ข้างหลังดู  ก่อนจะเอามันมาไว้ทางข้างหน้าด้วยการขยับมือเลื่อนผ่านใต้ก้นกับขา  โชคดีที่มันใช้สายรัดพลาสติกในการจัดการมัดมือเขา  แบบนี้แค่กางข้อศอกออกแล้วดึงเข้าหาตัวแรงๆ  หรือเหวี่ยงจากบนลงล่างแรงๆแล้วใช้เข่ารองรับแรงกระแทกมันก็ขาดแล้ว 

   แต่ตอนนี้ไม่ควรจะทำแฮะ  เพราะมีคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้  ในมือเขาเหมือนถืออาหารสัตว์มาด้วย  ไม่ให้สุนัขตัวนั้นก็คงเป็นน้องม้าข้างหลังเขานี่แหละ

“อ้าว  ฟื้นแล้วเหรอ  หลับไปนานเลยนะ”  ผู้เข้ามาใหม่จู่ๆก็ทักไวโอลินเป็นภาษาอังกฤษ  ผิวสีคล้ำบวกสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆเคลือบสำเนียงอาหรับทำให้ไวโอลินขมวดคิ้ว  นี่เขาหลุดมาอยู่โซนไหนของโลกกันแน่เนี่ย

“คุณ...”  เขามองคนที่เดินเอาอาหารไปให้น้องทิเบตันตัวใหญ่ในกรงแล้วพึมพำเบาๆ  ดูจากออร่าและท่าทางแล้วน่าจะไม่ใช่คนไม่ดี  “..คือ  ทำไม”

“เอ่อ  ผมบอกอะไรคุณมากไม่ได้  เพราะผมเป็นแค่ลูกเรือของเครื่องบินลำนี้  พวกเขาต้องการเฉพาะเจ้านายของคุณ  ส่วนคุณ...เขาบอกว่าผมจะปล่อยคุณลงที่ไหนก็ได้”

“เจ้านาย..ของผม”  ไวโอลินพยายามย้อนความคิดกลับไปว่าก่อนหน้านี้เขาจำอะไรได้บ้าง  แต่เขานึกภาพอะไรไม่ออกเลย  นอกจาก..เสียง

‘...คุณหนูคือผม  ได้ยินมั้ยครับคุณหนู  คุณหนูคือผม  และผมคือคุณหนูไวโอลิน!’
   
          จำได้แล้ว!  ตอนนั้นเขาได้ยินเสียงของซึโยชิ  บอกว่า ‘คุณหนูคือผม’ นั่นหมายความว่า...ซึโยชิ  ปลอมตัวเป็นเขางั้นเหรอ

“แล้วนี่  เขาพาเจ้านายผมไปไหนแล้วครับ”

“โอ้  ไม่ต้องห่วง  เขาอยู่ในที่ที่ดี”

“เขาอยู่ในเครื่องบินลำนี้ใช่มั้ยครับ”  ไวโอลินพยายามเจรจา  แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความนัยที่เขาอยากได้จากการถามคำถาม  จึงทำเพียงยักไหล่ให้ทีหนึ่ง  “โอเค  งั้นถ้าผมต้องการติดต่อตำรวจ...”

“อีกประมาณ 50 นาทีเราจะถึงสนามบินดูไบ  และเอ่อ...คุณคงไม่อยากโดนข้อหาหลบหนีเข้าเมืองหรอกใช่มั้ย”  ชายคนนั้นเดินมานั่งยองๆมองหน้าคนที่ถูกมัดมือแต่กลับนั่งสงบเสงี่ยมพิงคอกม้าอยู่เฉยๆ 

“ผมอยากติดตามเจ้านายของผม  ผมขอพบเขาไม่ได้เหรอครับ” 

“เสียใจแต่  อย่างที่บอกผมเป็นแค่ลูกเรือของเครื่องบินลำนี้เท่านั้น  แต่ว่า...ผมขอแนะนำให้คุณตามหาญาติหรือคนรู้จักที่นั่นแทนจะดีกว่า”

“ผมไม่มีคนรู้จักที่นั่น”  ไวโอลินบอกเขา  มองผู้ชายคนนั้นรินน้ำจากเหยือกในถาดล้อเลื่อนลงใส่แก้วกระดาษ 

“เอาเถอะ  น้ำหน่อยมั้ย  เธอน่าจะกระหายนะ”  ชายคนนั้นยื่นแก้วน้ำมาให้  ไวโอลินมองอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก 

“กลัวใส่ยาพิษเหรอ  ผมไม่มีเหตุผลต้องทำร้ายคุณ  ไม่มีคำสั่ง  ผมก็ทำอะไรไม่ได้”  ชายคนนั้นวางแก้วน้ำเอาไว้ข้างๆกายของไวโอลิน  ยิ้มให้เขาหนึ่งทีจนเครากระตุก  ก่อนจะเดินไปเข็นรถเข็นล้อเลื่อนเดินออกไปจากห้องเก็บของนั้น

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย...”  ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวๆ  เสียงเจ้าม้าตัวโตด้านหลังก็ถอนหายใจพรืดตามเขาอีกครั้ง  “ไม่เป็นไร  ยังไหวอยู่  ดูท่าทางเป้าหมายของพวกมันคงเป็นฉัน  ไม่สิ...ตอนนี้คือซึโยชิ”     
   สัมผัสจากปากของเจ้าม้าที่ก้มลงมาเล็มผมเขาทำให้ไวโอลินพอสัมผัสได้ว่าเจ้าสัตว์สี่ขาพยายามช่วยปลอบเขา  เขามักจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาสัตว์หน้าขนเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก  มันเป็นไปเองตามสัญชาตญาณแปลกๆของเขาที่บางครั้งก็เหมือนจะเข้าใจว่าพวกสัตว์ต้องการสื่อสารอะไร  แถมในบางครั้งถ้าเขาตั้งสมาธิดีๆเขาคิดว่าเคยได้ยินเสียงพวกมันพูดด้วยซ้ำ

‘เฮ้อ  ชอบทำอะไรแบบนี้อีกแล้วนะซึโยชิ’  ไวโอลินนึกถึงตอนครั้งเมื่อตอนเขายังเด็กแล้วมักจะได้รับการช่วยเหลือจากซึโยชิในรูปแบบต่างๆบ่อยๆ  แต่ครั้งนี้เขาคิดว่าซึโยชิเล่นใหญ่เกินไปแล้ว 

   เอาเถอะนะ...คิดๆดูแล้วเขาก็แอบเสียดายตังค์ค่าตั๋วเครื่องบินอยู่เหมือนกัน  ถ้ารู้ว่าจะได้บินมาดูไบแบบไม่ต้องเสียตังค์แบบนี้เขาคงไม่เสียเวลาทำวีซ่าแล้วก็เปลืองตังค์ซื้อตั๋วหรอก 

   คิดแล้วไวโอลินก็ยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางไว้มาดื่ม  ก่อนจะค่อยๆหลับไปภายใต้การจ้องมองของใครบางคน

----------------------------------------------------------



   การเดินทางด้วยชั้นเฟิร์สคลาสแบบนี้ไม่ได้ทำให้ซึโยชิรู้สึกดีใจเลยสักนิด  มือเขาถูกมัด  แต่ขาและปากเป็นอิสระ  พวกมันให้ความสะดวกสบายในระดับหนึ่ง  แต่ก็เฝ้าจับตาดูเขาราวกับเป็นนักโทษ 

   พวกไหนกันที่กล้ามาชิงตัวคุณหนูอย่างอุกอาจขนาดนี้...ถ้าบอสรู้  ไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาเลย

   ที่สำคัญ  งานนี้เขาผิดเต็มๆ  ประมาทเกินไป  ไม่ระมัดระวัง  ไม่รอบคอบ  ถ้ามันจะเกิดอะไรกับคุณหนูก็ให้เกิดกับเขาแทนแบบนี้ก็ดีแล้ว  ส่วนตัวคุณหนูในคราบของเขานั้นไม่ใช่เป้าหมายของพวกมัน  ดูจากลักษณะวิธีการชน  การจับตัวมา  และการพาคุณหนูแยกมาไว้ชั้นเฟิร์สคลาสแบบนี้พวกมันคงไม่ได้หวังชีวิต  คงแค่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือหวังผลประโยชน์อะไรอย่างอื่นมากกว่า 

   ไว้ถึงที่แล้วค่อยหาทางเอาตัวรอดแล้วไปตามหาคุณหนู  คุณหนูเป็นคนฉลาด  เอาตัวรอดได้แน่  ปัญหาคือเขาจะต้องหาทางติดต่อคุณหนูให้ได้ทันทีที่หนีออกไปได้

   อากาศภายในเครื่องบินค่อนข้างเย็น  ชุดของลูกเรือบอกถึงยี่ห้อสายการบินให้เขาได้  ปลายทางที่จะไปจึงเดาได้ไม่ยาก  แต่อย่างที่คิด...เขาไม่สามารถที่จะเดาถึงเป้าหมาย หรือว่าใคร  ที่ทำแบบนี้ในปลายทางที่จะไปได้จริงๆ  เพราะคู่สัญญาหรือผู้ร่วมธุรกิจกับภูบดีอัศวเมศวร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนเอเชียไม่ก็ยุโรปเสียมากกว่า  ในอเมริกาก็มีอยู่บ้างบางบริษัทในระยะหลังๆที่คุณหนูไปเรียนที่นั่น  แต่ในอินเดีย ตะวันออกกลาง  แอฟริกา หรืออเมริกาใต้นั้นไม่ค่อยจะมี  ถึงบอสจะมีคนรู้จักอย่างกว้างขวางแต่ก็ใช่ว่าจะดิวงานกับทุกคนที่รู้จัก 

   และในระหว่างที่ซึโยชิมัวแต่คิดสะระตะถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  พวกมันสามคนก็เดินเข้ามาหาเขา  สองคนจับตัวเขาไว้  ส่วนอีกคน  จัดการแทงเข็มฉีดยาขนาดเล็กเข้าไปที่ไหล่ของเขา  จากนั้นสติของเขาก็หลุดลอยไปในอีกห้านาทีต่อมา

-------------------------------------------------------------



   ดูไบไม่ใช่ประเทศ  นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกัน 

   รัฐดูไบ เป็นหนึ่งใน 7 รัฐเจ้าผู้ครองนคร (emirates) ได้แก่  อัจมาน  ฟูไจราห์  ราสอัลไคมาห์  ชาร์จาห์  อุมม์อัลไกไวน์  ดูไบ  และอาบูดาบี  ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศโอมาน  ซาอุดิอาระเบีย  และการ์ตา  หนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลของโลกและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) 

   โอเค  นอกเหนือจากสายการบิน Emirates อันโด่งดังแล้วก็มีแค่สนามบินนานาชาติดูไบ  ที่ไวโอลินเคยลงต่อเครื่องไปประเทศอื่นๆโดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปเท่านั้นที่เขาเคยแวะผ่าน  แต่นอกเหนือจากสนามบินที่มีแอร์เย็นๆนั้นเขายังไม่เคยมีโอกาสได้แวะเที่ยวที่ไหนเลย 

   แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว  ว่าอากาศในประเทศนี้นั้นทั้งร้อนทั้งแห้ง  ฝุ่นก็จับหนาเตอะจนใบไม้บางทีก็แทบหาสีเดิมไม่เจอ  นี่ขนาดยืนในที่ร่มแล้วยังไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนลงสักเท่าไหร่เลย

   เหตุการณ์ประมาณสองสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น  หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของไวโอลินเพียงแค่หลังจากที่เขาหลับไปบนเครื่องบินแล้ว  ก็มาฟื้นตื่นอีกทีในรถจี๊ป  โดยมีชายที่ดูแลม้าและเป็นคนเอาน้ำเปล่าวางไว้ให้เขาก่อนหลับไปเป็นคนขับ  ที่ข้อมือก็ไม่มีตรวนอะไรมัดอยู่แล้ว  คนขับเพียงหันมามองแล้วขยิบตาให้เขาตอนที่เห็นเขาฟื้น  แล้วบอกแค่ว่า...

‘อีกสิบห้านาทีจะพ้นดูไบ  ที่นั่นไม่ปลอดภัยสำหรับคนไทยอย่างคุณ   จากนี่ไปที่ราสอัลไคมาห์ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง  ที่นั่นคุณจะปลอดภัย’  ชายคนนั้นพูดไว้แค่นั้น  แล้วบอกให้เขานอนต่อ  แต่เจอสถานการณ์แบบนี้ใครมันจะไปหลับลง 

‘แล้วคุณเป็นใคร  ทำไมต้องช่วยผม’ 

‘บอกแล้วว่าเป็นแค่ลูกเรือ  อ้อ  แล้วตอนนี้ก็เป็นคนดูแลม้าอีกหนึ่งตำแหน่ง’  ชายคนนั้นหัวเราะจนหนวดเฟิ้มกระตุก  ผ้าโพกบนศีรษะถูกลมตีเป็นระลอก  ไวโอลินมองไปด้านหลังของรถ  ต้นปาล์มทะเลทรายขึ้นอยู่รายทาง  บางช่วงก็เห็นเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมวิ่งผ่านตาไป

   จนเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป  เขาก็ถูกปล่อยลงที่บริเวณเมืองเมืองหนึ่ง  เห็นป้ายผ่านๆบนถนนเป็นภาษาอังกฤษที่พออ่านได้ว่า ‘Al Jazirah Al Hamra’ ชายในผ้าโพกบอกเขาว่าอยู่ในเขตเมืองนี้แล้วเขาปลอดภัยแล้ว  แต่จุดหมายปลายทางของชายผู้ขับรถจี๊ปนั้นยังต้องไปต่อ  เขาช่วยไวโอลินมาได้แค่นี้  หลังจากนี้ไวโอลินต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว

   เขาเดินออกมาจากจุดที่โดนปล่อยให้ลงมาได้สองสามก้าวก็รู้สึกเคว้ง  หันมองท้ายรถคันนั้นก็กำลังเลี้ยวลับมุมถนนไปแล้ว  นี่เขาโดนเอามาปล่อยทิ้งในเมืองที่ไม่รู้จักจริงๆเหรอเนี่ย 

“ฮึก...แม่...”  ไม่ร้อง  อย่าร้องเชียวนะไวโอลิน  “ไม่เอาๆ  สติๆ  ตั้งสติหน่อยไวโอลิน  เขาช่วยเราแค่นี้ก็ดีมากแล้ว  ไหนจะซึโยชิอีก  เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” 

   ชายหนุ่มเอเชียเงยมองแสงแดดบนฟ้า  บนถนนเส้นนี้ไม่มีต้นไม้เลยแม้แต่ต้นเดียว  มองไปทางไหนก็เห็นแต่บ้านปูนทรงสี่เหลี่ยม  สูงบ้างต่ำบ้างลดหลั่นกันไป  มองไปไกลๆตรงโน้นลิบๆก็เห็นเป็นทะเล  ชายคนนั้นไม่ได้บอกอะไรกับเขาอีกว่าเขาจะต้องทำยังไงต่อไป  อีกทั้งสัมภาระ  ข้าวของ  เงินทองก็ไม่มีให้...อยู่ไม่น่ารอดเกินสามวันแน่เลยไวโอลินเอ้ย

“พ่อบอกว่า  ถ้าอยู่ในสถานการณ์คับขัน  อันดับแรกต้องตั้งสติ  จากนั้นก็ค่อยประเมินสถานการณ์...สถานการณ์...” 

   ประเมินแล้ว...วิกฤตสุดๆ

   แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย  ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง  นอกจากความรู้แล้วก็ลมหายใจที่ยังมีอยู่  ปกติถ้ารอบข้างไม่มีซึโยชิ  ไม่มีพี่น้องคนอื่นให้แชทคุย  เขาก็ยังมี ‘ณัฐ’

   ใช่  มีณัฐอยู่ด้วยตลอด  แม้ว่าตอนปีสามปีสี่เขาต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ  ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย  คอลล์หากันทุกวัน ทำตัวสนิทกันจนโดนค่อนขอดว่าเขาสองคนทำตัวยิ่งกว่าแฟนกันเสียอีก  แล้วทำไมจู่ๆอีกฝ่ายต้องแอบหนีมา  มันมีเรื่องอะไรนักหนาเหรอที่บอกเขาไม่ได้  เรารู้กันทุกเรื่องไม่ใช่หรืออย่างไร

“เพราะนายคนเดียวเลย  ถ้าฉันไม่คิดจะตามนายมาที่นี่คงไม่ต้องมาโดนปล่อยเกาะอยู่แบบนี้หรอก  โอ๊ยยย  ไอ้บ้าณัฐ!  รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ยว่าทำคนอื่นเขาเดือดร้อนเนี่ย”  ไวโอลินทึ้งหัวตัวเองระบายอารมณ์  เขาหันรีหันขวางเพื่อหาทางไป 

   ทำไมคุณหนูไวโอลินอย่างเขาต้องมาลำบากแบบนี้ด้วย  อยู่ในโรงแรมที่ฮ่องกงกับน้องๆดีไม่ชอบ  ชอบหาเรื่องใส่ตัวเองอยู่เรื่อยเลย...ไม่สิ  หนนี้มีคนอื่นช่วยหาให้เขาเสียมากกว่า  อย่าให้พ่อจับได้นะว่าใครสั่ง  จะเล่นให้หนักเลยคอยดู

“เอาวะ  ไปทางชายหาดก่อนน่าจะพอหาวิธีแก้ปัญหาได้บ้าง  อย่างน้อยๆขอให้เจอตำรวจหน่อยก็ยังดี...”  ไวโอลินนึกถึงที่ชายไว้หนวดคนนั้นบอกเขาว่ามันก็ใช่จะดีที่คนไม่มีที่มาที่ไป  แถมเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย (แม้จะโดนบังคับมาก็ตาม) เจอกับตำรวจแล้วก็ใช่จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์  อย่างมากคงถูกส่งกลับเมืองไทยแล้วติดแบล็กลิสต์ห้ามกลับเข้าประเทศอีก  แต่ก็ดีกว่ามาอดตายกลางเมืองทะเลทรายแบบนี้ล่ะวะ 

“ค่อยโกหกว่าโดนโจรปล้นเอาก็แล้วกัน  หน้าเอเชียแบบนี้เขาคงใจอ่อนให้บ้างหรอก”  ไวโอลินรวบรวมแรงฮึดก่อนจะออกก้าวเดินไปทางทะเลที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ 

   อากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวทำให้หนุ่มไทยต้องหยุดพักเหนื่อยเป็นระยะ  แน่นอนว่าระหว่างทางเขาพบเจอชาวเมืองนี้กันบ้าง  ผู้หญิงคลุมอบาญ่าแทบทั้งตัว  ส่วนผู้ชายก็อยู่ในชุดสีขาวไม่ก็ครีมมีผ้าคุมศีรษะเรียบร้อย  ไวโอลินอ่านข้อมูลมาแล้วว่าถ้ามาในที่สาธารณะเขาที่เป็นนักท่องเที่ยวต้องแต่งกายอย่างไรให้เหมาะสม  แต่เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าเดินทาง  ที่ใส่อยู่ก็มีเพียงเชิ้ตหนึ่งตัวกับกางเกงยีนส์ขายาวเข้ารูป  ทำไมตลอดทางที่เขาเดินผ่านมีแต่คนมอง  แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

   อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่ว่าที่เมืองดังๆอย่างดูไบหรืออาบูดาบีนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อก้องโลก  แต่ละปีเมืองเหล่านี้ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวหลายร้อยล้านคน  การแต่งกายหรืออะไรอื่นๆก็จะคล้ายตะวันตก  แต่ดูเหมือนเมืองนี้จะไม่ค่อยเป็นอย่างนั้น  แม้ตัวหมู่บ้านจะดูทันสมัย  แต่ก็ไม่ค่อยเจอนักท่องเที่ยวเลย  แถมผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้  ซึ่งนั่นทำให้ไวโอลินลำบากไม่น้อย

   ในระหว่างที่เขากำลังรู้สึกท้อแท้และหมดหวัง  จนต้องเผลอนั่งทรุดอยู่ที่ริมทางเดินนั่นเอง  เสียงเอะอะโวยวายปนเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากตรอกใกล้ๆ  ไวโอลินชะงักและเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจอีกครั้ง 

“...Help me!!...Help me please!! Mommy!! Help…” 

   ภาษาอังกฤษ!! นักท่องเที่ยวงั้นเหรอ! 

   คิดได้แค่นั้น  หนุ่มไทยผู้กำลังจนตรอกก็รีบสาวเท้าไปแอบดูเหตุการณ์ที่เขาได้ยินเสียง  และภาพที่เห็นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก  ที่ตรงนั้นมีชายที่คลุมผ้าทั้งตัวสองคนกำลังปลุกปล้ำกับเด็กผู้หญิงต่างชาติผมสีทอง วัยไม่น่าจะเกิน 15 ปีอยู่คนหนึ่ง  เด็กคนนั้นทั้งเตะทั้งถีบเป็นพัลวันแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนแรงของผู้ชายชาวอาหรับสองคนนั้นได้  ไวโอลินหยุดชั่งใจแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นก็สูดหายใจเข้าลึก

   เอาวะ...ตัวเองก็เอาไม่รอดหรอก  แต่จะปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาแบบนี้ไม่ได้  ยังไงก็ต้องช่วย  เรื่องแรงเขาคงสู้ไม่ไหว  แต่เรื่องเสียงเขาไม่แพ้แน่ๆ

“POLICE!!! Come here!!! This way!! They are hear!! POLICEMEN COME THIS WAY!!!”

   ไวโอลินตะโกนแหกปากเรียกตำรวจเสียงดังสนั่นหวั่นไหว  พวกมันหันมามองทางไวโอลินที่ทำทท่ากระโดดกวักมือเรียกลมอย่างสมจริง  พร้อมกับเร่งเสียงตะโกนให้ดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นพวกมันรีบตะเกียกตะกายจะหนี  เฮอะ...ไม่อยากจะเชื่อ  มุกเก่าๆโคตรตลาดที่เห็นในละครไทยแทบทุกเรื่องจะได้ผลด้วย  ดูถูกไม่ได้เสียแล้วแฮะ 

“Are you OK girl? Do you get hurt?”  ไวโอลินถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางเดินไปหาเด็กคนนั้นที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ที่พื้น 

“You...Thank you…Thank you so much!”  เด็กคนนั้นเงยหน้าเปื้อนน้ำตามาขอบคุณเขาก่อนจะโถมกอดเขาเข้าให้ทั้งตัว  ไวโอลินเผลอชะงักงันไปชั่วครู่เพราะปกติเขาอยู่แต่ในดงผู้ชาย  ไม่ค่อยจะได้โดนตัวผู้หญิงนัก  นอกจากคุณย่าแล้วก็เด็กคนนี้ละมั้งที่ได้เข้ามากอดเขาเต็มๆตัวขนาดนี้

“It’s ok now, you are safed. Where are your parents? I’ll take you there.”  ไวโอลินถามหาผู้ปกครอง  เด็กคนนี้คงไม่มาเที่ยวคนเดียวหรอก  อายุน่าจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ  ผู้ปกครองคงอยู่ใกล้ๆแถวนี้  พวกเขาอาจจะพลัดหลงกัน

“I…I don’t know. I just wanted to buy an ice-cream but…”  เด็กคนนั้นเล่าเหตุการณ์อย่างกระท่อนกระแท่น  สรุปได้ใจความว่าหล่อนเดินมาหาซื้อไอศกรีมกินคนเดียว  แล้วเลยพลัดหลงกับพ่อแม่จริงๆอย่างที่คิด 

   แสดงว่าผู้ปกครองเด็กคนนี้คงอยู่ไม่ไกล  ลองวนหาดูไม่นานน่าจะเจอ  ฝ่ายโน้นก็คงออกเดินตามหาลูกเขาเหมือนกัน 

   ว่าแล้วไวโอลินก็โอบประคองพาสาวน้อยผมทองออกมาจากตรอก  เขาเช็ดน้ำตาให้เด็กสาวอย่างแผ่วเบาและบอกว่าจะพาไปตามหาพ่อแม่เด็กด้วยกัน  เด็กคนนั้นกอดแขนเขาแน่นไม่ปล่อย  เขาว่าอย่างไรก็พยักหน้าว่าตามไม่มีขัดขืน  ไวโอลินแอบถอนหายใจเล็กๆ  เรื่องตัวเองคงยังยุ่งไม่สาแก่ใจพระเจ้าล่ะมั้ง  ท่านเลยโยนปัญหามาให้เขาอีกก้อน  หวังว่าจบงานนี้แล้วมันจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับเขาบ้างล่ะนะ  คนเรามันคงไม่ดวงซวยไปตลอดหรอก

“Hey!! Mary!! Mary!!” 

   อย่างที่คาด  เขาเดินข้ามถนนมาอีกสองล็อกก็ได้ยินเสียงชาวต่างชาติสองคนตะโกนเรียกชื่อเด็กคนนี้  ส่วนเด็กหญิงแมรี่เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อก็หันขวับ  ปล่อยมือไวโอลินทันควันแล้ววิ่งเข้าไปหาชายหญิงชาวต่างชาติคู่หนึ่งที่รีบวิ่งข้ามถนนมาหาอย่างรวดเร็ว  คงเป็นพ่อแม่เขาสินะ 

   ภาพพ่อแม่ลูกกอดกันกลมและท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของครอบครัวที่มีให้กันทำให้ไวโอลินอดไม่ได้ที่จะแอบน้ำตาซึม  นึกถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้ต่างจากเด็กแมรี่นั่นเลย  กำลังหลงทาง  กลับบ้านก็ไม่ได้  ไม่มีคนช่วย  ดีหน่อยที่เขาเป็นผู้ชาย  คงไม่ใช่เป้าหมายหลักในอาชญากรรมทางเพศเหมือนอย่างเด็กผู้หญิงคนนั้น 

   ไวโอลินกำลังจะหันหลังกลับแล้วเชียวตอนที่เด็กหญิงแมรี่วิ่งตรงมาทางเขาแล้วเดินพาเขาลากไปหาพ่อกับแม่ตัวเอง

“พ่อคะ  แม่คะ  คนนี้เขาช่วยหนูเอาไว้  เขาเป็นเทวดาของหนู”  แมรี่จับมือไวโอลินแล้วแกว่งไปมา  สีหน้าเริ่มเปื้อนรอยยิ้มในระหว่างที่แนะนำเขากับพ่อแม่ของหล่อน

“โอ้ว  ตายจริง  ขอบคุณ..ขอบคุณค่ะ  ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือลูกสาวของพวกเรา”  มาดามผู้หญิงตรงเข้ามากอดไวโอลินเอาไว้ทั้งตัวโดยไม่รังเกียจทั้งที่เขาตัวออกจะเปื้อนเหงื่อ  ส่วนฝั่งคนเป็นพ่อก็ยื่นมือมาให้เขาจับพร้อมกับเอ่ยบอกว่า

“ถ้าไม่ได้คุณ  นางฟ้าของพวกเราคงแย่  ผมไดแลน  คริสโตเฟอร์  ส่วนนี่แคเธอรีน ภรรยาผม  ส่วนแมรี่คือลูกสาวของเรา”  มิสเตอร์คริสโตเฟอร์มีท่าทางค่อนข้างซีเรียส  ซึ่งไวโอลินเข้าใจว่าเพราะอะไร

“ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคน  คนร้ายเป็นชายอาหรับสองคน  พวกเขาปิดหน้าปิดตาผมจึงไม่สามารถบอกรายละเอียดเพิ่มเติมได้  ขอโทษด้วยนะครับ”  ไวโอลินเอ่ยกับคู่สามีภรรยาไดแลน  ซึ่งมาดามไดแลนบีบมือเขาแน่นพร้อมบอก

“แค่นี้มันก็ดีมากแล้วค่ะ  แล้วเอ่อ...นี่”

“อ๋อ  คือผม  มีปัญหาเกิดขึ้นกับผมนิดหน่อย  ของของผมหายไป  ผมก็เพิ่งโดนขโมยของเหมือนกันครับ”  ไวโอลินตัดสินใจปดออกไปด้วยความจำเป็น  เพราะตอนนั้นเขาคิดไม่ออกจริงๆว่าจะอธิบายว่าตัวเองเป็นใครและเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก่อนหน้านี้

“เมืองนี้นี่มันไม่มีอะไรปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราเลย”  มิสเตอร์ไดแลนสบถอย่างหัวเสีย  ท่าทางของเขาสองคนดูสงสารไวโอลินมากที่ต้องมาเจอสภาพแบบนี้ 

“พ่อคะ...”  แมรี่ช้อนตามองพ่อและแม่ของตัวเองด้วยแววตาน่าสงสาร  ไวโอลินที่เพิ่งได้พบครอบครัวนี้เป็นครั้งแรกไม่เข้าใจหรอกว่าแมรี่ต้องการอะไร  แต่ดูเหมือนพ่อของหล่อนจะเข้าใจสิ่งนั้นเป็นอย่างดี

“พ่อรู้จ่ะที่รัก  เอิ่ม...มิสเตอร์...?”

“ไวโอลินครับ  ชื่อของผม”

“มิสเตอร์ไวโอลิน  ให้เราได้ตอบแทนคุณเถอะนะ  ยังไงเราเชิญคุณไปที่โรงแรมของเราก่อน  คุณคงต้องการความช่วยเหลือเช่นกันใช่มั้ยครับ” 

   ไวโอลินรู้สึกประหนึ่งพบโอเอซิสกลางทะเลทราย  เขาเชื่อตามคำสอนในศาสนาพุทธแล้วที่ว่า  ‘ทำดีย่อมได้ดี’  เขาหันไปก้มส่งยิ้มหวานให้กับแมรี่ 

   แมรี่ตอนนี้ไม่ใช่แค่นางฟ้าของพ่อกับแม่เธอย่างเดียวแล้ว  หล่อนยังเป็นนางฟ้าของเขาด้วยแล้วล่ะ

---------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #43 เมื่อ09-04-2018 00:39:48 »



   กลิ่นเครื่องเทศน์หอมแรงปนกลิ่นแป้งขนมปังรบกวนการนอนหลับของซึโยชิจนเขาต้องขยับตัวตื่น เขาไม่เคยมีอาการงัวเงียขนาดนี้หลังตื่นนอนเลยตลอดการทำงานเกือบสามสิบปี  แต่ครั้งนี้มันช่วยไม่ได้นี่นะ  เพราะก่อนหน้านี้บนเครื่องบินเขาเพิ่งถูกฉีดยามา

   ใช่...ฉีดยา...!

“โอะ...โอ๊ย...” 

“อย่าเพิ่งรีบลุกสิ  เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก” 

   ซึโยชิหันขวับไปมองต้นเสียง  มันไม่ได้อยู่ห่างตัวเขาเลย  และภาพที่เห็นคือผู้ชายคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่บนเตียงข้างๆ  บนศีรษะของเขาโพกมีผ้าคลุมศีรษะกูตราลายตารางสีดำแดง  ส่วนตัวรูปร่างของเขาซึโยชิเห็นไม่ชัดนักเพราะมันถูกคลุมไว้ด้วยชุดกันดูร่า  ชุดผ้าสีขาว  แขนยาว  คอเสื้อเป็นคอกลม  ผ่าหน้าและมีพู่ห้อย  ถัดลงมาตรงหน้าตักของเขามีถาดอาหารวางอยู่  บนนั้นมีจานอยู่สองจาน  ใส่แผ่นแป้งกับผลไม้เอาไว้  ส่วนกลิ่นเครื่องเทศน์ที่ซึโยชิได้กลิ่นมาจากถ้วยใส่อาหารที่มีลักษณะเหมือนแกง  มันวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงของชายที่นั่งมองเขาอยู่

“เอาหน่อยมั้ย  คุณคงหิว  หลับมาตั้งห้าหกชั่วโมงเลยนะ”  ชายคนนั้นเอ่ยบอกเขาพร้อมยื่นถาดอาหารมาตรงหน้าซึโยชิ  แต่คนเพิ่งฟื้นรีบเอาแขนยันเตียงและกระเถิบตัวเองหนี  มันค่อนข้างยากเล็กน้อยเพราะเตียงมันนุ่มมาก  ซึ่งนั่นทำให้การขยับหนีของซึโยชิแทบไม่ได้ผล

“คุณคือคนที่สั่งให้จับคุณหน...จับผมมาใช่มั้ย”  หนุ่มเอเชียยังจำได้อยู่ว่าตัวเองเคยบอกอะไรกับคุณหนูของเขาเอาไว้  และตอนนี้เขาคิดว่าเขาควรที่จะต้องเล่นตามบทบาทสมมตินี่ต่อไป

“เรา..เพิ่งเจอกัน  อย่าเพิ่งพูดเรื่องซีเรียสเลยน่า”  ชายคนที่นั่งข้างๆเขาเอ่ยบอก  ใบหน้าของเขารกครึ้มไปด้วยเคราและหนวด  มันรกจนเขาแทบจะเห็นแค่ลูกตาของเขาเท่านั้น  ซึ่งนั่นมันไม่ดีเลย  กับคนที่ถูกฝึกมาให้หัดสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวตลอดเวลาอย่างซึโยชิแล้ว  มันทำให้เขารับรู้ความรู้สึกที่ถูกส่งมาจากชายคนนี้ผ่านทางแววตานั้นได้ดี

   แววตาเหมือนคนที่กำลังสนุก  คนที่กำลังพอใจกับอะไรบางอย่าง

   ซึ่งนั่นทำให้ซึโยชิไม่สบายใจเอาเสียเลย

“คุณทำแบบนี้ทำไม  ต้องการอะไรจากผม”  ท่าทางระแวดระวังของหนุ่มเอเชียตาตี่ทำให้ชายในชุดกันดูร่าหัวเราะจนเครากระตุก 

“ไม่เอาน่า  คุณก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่ใช่มั้ย  พวกนั้นที่มันขับรถชนคุณผมก็จัดการลงโทษให้แล้ว  ถือเสียว่าผมเชิญคุณมาเที่ยวที่นี่ก็แล้วกัน  คุณเองก็...อยากมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“...”  ซึโยชิคิ้วกระตุก  ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูของเขากำลังจะเดินทางมาที่นี่  หรือว่าพวกเขาจะแอบถูกติดตาม  “บ้านคุณมีวิธีการเชิญแขกที่แปลกดีเนอะ  น่าประทับใจสุดๆ” 

“ว้าว  น่าสนใจนี่  ไม่ยักรู้ว่าคนไทย...จะชอบพูดประชดประชันเก่ง”

“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”  ไหนๆก็บอกว่าเก่งแล้วเขาก็ไม่ขอทำให้ผิดหวัง

“โอเค  ผมมีประชุมต่อในอีกครึ่งชั่วโมง  ตอนนี้คงต้องไปเตรียมตัวก่อน  ถ้าหิวก็ทานนี่ไปก่อนก็แล้วกัน  ผมขโมยกินแค่ผลไม้กับขนมปังนิดหน่อย  หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจ”

“ดะ...เดี๋ยวสิ  คุณจะไปไหน  เรายังคุยกันไม่จบนะ” 

“แต่ผมจบแล้ว  เจอกันอีกทีคืนนี้นะ  เดี๋ยวผมกลับมา  ถ้าทำตัวดีผมอาจพาคุณไปเที่ยวชมเมืองยามกลางคืน”

   ชายคนนั้นพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางถาดอาหารไว้ใกล้ๆกับถ้วยแกง  เสร็จแล้วก็หยิบผ้าที่อยู่ใกล้ๆตรงนั้นมาเช็ดมือ  ซึโยชิพยายามจะลงจากเตียงเพื่อจะตามคนคนนั้นให้ทัน  แต่ว่าพอจะลุกยืนได้อาการปวดศีรษะก็พัดวูบเข้าจนเขาเซไปนั่งลงบนเตียงตามเดิม

“ผมบอกแล้ว  นอนอีกสักพักก็ได้ถ้ายังไม่เต็มอิ่ม  Harees อาหารอาหรับมื้อแรกของคุณ  เนื้อไก่กับข้าวสาลี  ไม่มียาพิษล้านเปอร์เซ็นต์  ขอโทษด้วยที่ผมลืมบอกว่าผมชิมไปเล็กน้อยด้วย”

“นี่คุณ...”
 
   หนุ่มญี่ปุ่นอ้าปากค้างมองคนร้ายลักพาตัวในสายตาตัวเองเดินออกไปด้วยท่าทางสบายๆก็ให้ปวดหัวจี๊ด  นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย  เขานึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน  ในบรรดาคู่ค้าทางธุรกิจหรือเพื่อนของบรรดาคุณหนูๆถ้าผ่านตาเขาแล้วหนหนึ่งส่วนมากเขาไม่เคยลืม  แต่ใบหน้าคนคนนี้ไม่อยู่ในสารบบใดๆของเขาเลย 

ไม่ๆเราจะไม่ติดอยู่ที่นี่กับคนแปลกหน้านานไปกว่า  ตอนนี้ก่อนอื่นต้องค้นหาสัมภาระของตัวเองให้เจอก่อน  แล้วก็หาช่องทางหลบหนี  วิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่มี...ห้องนี้มีประตูสองบาน  บานหนึ่งเป็นประตูใหญ่ที่เป็นประตูเข้าออก  อีกบานเป็นแบบกระจกผลัก  เดาว่าคงเป็นห้องแต่งตัวกับห้องอาบน้ำ  นอกนั้นก็เป็นกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่ผนังด้านหนึ่ง  มันยาวจรดพื้นและมีรอยแยกอยู่ตรงกลาง  ซึ่งมันน่าจะเปิดได้

ซึโยชิเดินเซแซ่ดๆไปที่กระจกหน้าต่างบานที่ว่า  ลูบมือไปตามขอบหน้าต่าง  มันไม่มีรอยต่ออะไรที่พอจะเป็นขอบให้เขางัดได้เลย  ส่วนรอยแยกตรงกลางนั้นมันแนบกันสนิทจนดูเหมือนมันเป็นแค่ลวดลายบนกระจกด้วยซ้ำ 

“โธ่เว้ย  กระจกกันกระสุน!”  ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะไม่แตกง่ายๆแค่เพราะเขาชกมันหรือเอาหัวโขกให้มันแตกแบบโง่ๆ

   จริงสิ  เขาก็ลืมไป  ว่าที่นี่มันเมืองแห่งเศรษฐี  สถานที่ที่มีเสือและสิงโตเป็นสัตว์เลี้ยงแทนสุนัขและแมว  แถมสถานีตำรวจยังมีรถจอดเรียงกันเป็นแพอย่างกับโชว์รูมรถหรู!

   โอเค  ไม่เป็นไร  ที่ห้องน้ำอาจจะมีช่องระบายอากาศหรืออะไรเทือกๆนั้น

   ซึโยชิเบี่ยงเท้าเดินต่อไปทางประตูพับที่คิดไว้ว่าอาจจะเป็นห้องแต่งตัวกับห้องน้ำ  ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง  เขาเจอห้องแต่งตัวก่อนเป็นอันดับแรก  ถัดไปด้านในมีประตูอีกบาน  มันคงเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำข้างใน

“เฮ้ย  นี่มันกระเป๋าคุณหนูนี่”  ซึโยชิตาโตเบิ่งกว้างทันทีที่พบกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางอยู่  สีพื้นที่เป็นลายตารางนั่นมันของคุณหนูไวโอลินไม่ผิดแน่  ข้างๆกันก็มีกระเป๋าเป้ใบหนึ่งวางอยู่  มันเป็นของคุณหนูไวโอลินเช่นเดียวกัน  ซึโยชิยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเริ่มลงมือเปิดค้นกระเป๋าเป้ก่อนเป็นอย่างแรก 

   ในนั้นมีแล็ปท็อปคลุมเคสสีฟ้า  อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จำพวกแบตเตอร์รี่สำรอง  ไอแพด และอื่นๆอีกสองสามอย่าง  ผ้าพันคอผืนใหญ่  และของจุกจิกที่คุณหนูของเขาชอบพกเป็นประจำ  ส่วนเอกสารประจำตัวพวกพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินนั้นซึโยชิจำได้ว่าก่อนรถถูกชนมันอยู่ในแฟ้มที่คุณหนูถือ  สาเหตุที่หายไปถ้าไม่ใช่พวกมันฉลาดเก็บของมาครบ  ก็คงหล่นอยู่ในรถตรงไหนสักที่

   หึ...แต่ถึงจะรู้ตัวตอนนี้ว่าพามาผิดคนก็ช้าไปแล้วพวก  ป่านนี้คุณหนูคงหนีไปถึงไหนต่อไหน  คนเกิดมากับดวงอย่างคุณหนูไม่มีทางตกอับ  และเซ้นส์ของเขามันบอกว่าคุณหนูของเขายังปลอดภัย 

“เอาล่ะ  มาลองกันดูสักตั้ง  ให้มันรู้ไปสิว่าห้องแค่นี้มันจะขังคนอย่างซึโยชิได้”  คนพูดกับตัวเองมองชุดไขควงในมือทั้งชุดอย่างหมายมาด

   รอผมอีกแป๊บเดียวนะครับคุณหนู  เดี๋ยวผมจะรีบไปหาคุณให้เร็วที่สุดเลย

   ซึโยชิคิดในใจ  โดยไม่รู้เลยว่าคำว่าแป๊บของตัวเองจะหมายถึงช่วงเวลายาวนานอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

---------------------------------------------------------------

   ไวโอลินเคยฝันอยากจะไปเที่ยวทะเลที่เกาะแถบบาฮามาส  น้ำใส  ทะเลสวย  มีน้องหมูทะเลว่ายน้ำต๋อมแต๋มยึดครองเกาะส่วนตัวเป็นของตัวเองด้วย  ถ้าได้ไปกับคนรู้ใจคงดีไม่หยอก   

   ภาพบรรยากาศหมู่ตึกภายในเมืองค่อยๆผ่านตาไป  ไวโอลินสังเกตว่ายิ่งรถวิ่งเข้าใกล้เขตทะเล  ก็เริ่มเห็นโรงแรมที่พักเป็นตึกสูงและหรูหรามากขึ้น  มันคงเป็นเหมือนกันทุกที่  ยิ่งใกล้แหล่งท่องเที่ยวก็จะมีพวกนายทุนมากว้านซื้อที่เพื่อลงทุนหาเงินเข้ากระเป๋าจากแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม  แล้วไม่นานความสวยงามของธรรมชาติก็จะถูกบดบังโดยอิฐหินดินทราย  จนสุดท้ายแหล่งที่นักท่องเที่ยวมีเป้าหมายจะมาพักผ่อนกับธรรมชาติสีเขียว  ก็จะเหลือเพียงกำแพงอิฐทราย  ธรรมชาติสีด้านดาษที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น

   ช่างน่าเสียดายจริงๆ

“ถึงแล้วค่ะไวโอลิน  ลงไปกับหนูนะคะ”  แมรี่ที่นั่งเคียงข้างไวโอลินมาตลอดทางกระตุกแขนเพื่อนชาวเอเชีย  ผู้เป็นผู้พิทักษ์ของเธอไปแล้วในตอนนี้

   ไวโอลินหันไปยิ้มให้สาวน้อย  แล้วก้าวเท้าตามหล่อนลงจากรถของครอบครัวไดแลน  เบื้องหน้าของเขาตอนนี้คือรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ประกอบไปด้วยหมู่ตึกสีขาวสูงไม่เกินสองชั้น  มันกระจายอยู่เต็มเนินที่คงอยู่ตรงมุมที่ดีที่สุด  เพราะพอมองเลยหมู่ตึกเหล่านั้นไปไกลๆแล้วก็จะเห็นน้ำทะเลสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสวยงาม  ตัวตึกก็ออกแบบมาให้ไม่สูงมากจนบดบังทัศนียภาพ  ตัวรีสอร์ทเท่าที่ดูก็เห็นจะแยกเป็นห้องห่างๆกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวแก่แขกที่เข้าพัก

   เห็นได้ชัดว่าเป็นรีสอร์ทที่ผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี  สรุปว่าไวโอลินชอบที่นี่ล่ะ

“เดี๋ยวเราไปคุยกันที่ล็อบบี้ก็แล้วกัน  ผมขอติดต่อเจ้าของรีสอร์ทนี้หน่อยได้มั้ย  เราต้องการความช่วยเหลือจากเขา”  มิสเตอร์คริสโตเฟอร์หันไปบอกกับพนักงานต้อนรับที่รีบเดินมาหาพวกเขาถึงที่รถ  การบริการถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว

“กรุณาคอยที่นี่สักครู่นะคะ  เราติดต่อท่านแล้ว  อีกสักครู่ท่านจะมาค่ะ”  สาวพนักงานต้อนรับแต่งกายคลุมร่างสะโอดสะองด้วยชุดสีม่วงผ้าลื่น  ใบหน้าแต่งแต้มพองาม  และเธอยิ้มสวยมาก  เหมาะกับตำแหน่งต้อนรับของเธอจริงๆ

“ขอบคุณครับ”  คริสโตเฟอร์คว้าร่างลูกสาวมาตรวจสอบว่ามีรอยบุบสลายตรงไหนอีกบ้าง  พนักงานต้อนรับในชุดสีม่วงอีกคนนำน้ำผลไม้หวานเจี๊ยบมาให้พวกเขาเป็นเวลคัมดริ้งค์  ไม่เว้นแม้แต่ไวโอลินที่ติดตามครอบครัวนี้มาด้วยก็ยังได้รับการต้อนรับที่ดี

“ไวโอลินคะ  ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ  แล้วคุณมาคนเดียวเหรอ”  มาดามแคเธอรีนหันมาชวนไวโอลินคุย  หนุ่มเอเชียคนนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจ  และหล่อนก็รู้สึกเอ็นดูเขาพอดู

“เอ่อ  ครับ  ผมมาที่เมืองนี้คนเดียว  ผมมาตามหาเพื่อนน่ะครับ  แต่ยังไม่เจอกันผมก็มาโดนขโมยของเสียก่อน”

“นั่นมันแย่มาก  ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะคะ”  หล่อนแสดงอาการเสียใจผ่านทางใบหน้าให้ไวโอลินอย่างจริงใจ  ซึ่งไวโอลินก็ยิ้มรับ  เขาคิดว่าเรื่องที่เขาเล่ามันดูดราม่าไปหน่อยก็จริงแต่ว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดเหตุการณ์ที่ลูกสาวเธอพบเจอหรอก

“คุณต้องการจะแจ้งความทีเดียวเลยมั้ย  เจ้าของโรงแรมนี้เป็นคนรู้จักของเรา  เขาน่าจะช่วยเราได้นะ”  มิสเตอร์ไดแลนเอ่ยบอกเขาบ้าง  ไวโอลินเริ่มคิดหนักแล้ว  ว่าเรื่องราวของเขาควรถูกเปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่  ยิ่งอีกฝ่ายที่เป็นคนสั่งให้ก่อเรื่องอุกอาจนี้เป็นใครก็ไม่รู้อีก  เดาว่าเรื่องราวมันคงไม่ค่อยราบรื่นนักหรอก

“คือผม..ก็อยากจะแจ้งตำรวจเหมือนกันแต่ว่า  ผมไม่มีหลักฐานใดๆเหลืออยู่เลย  ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาจะเชื่อผมหรือเปล่า”  จริงๆขั้นตอนต่อจากการที่ตำรวจทราบเรื่องของเขาแล้วเชื่อตามเรื่องราวที่เขาเล่าก็คือ  เขาจะถูกพาไปที่สถานทูตเพื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพวกหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน  การผ่านด่านเข้าแดนอย่างถูกกฎหมาย  ซึ่งไวโอลินไม่มีแม้แต่หลักฐานการขึ้นเครื่องบิน  ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด

“ไม่เป็นไร  ยังไงเราจะช่วยยืนยันให้เขาพาคุณไปส่งที่สถานทูตไทย  หลังจากนั้นสถานฑูตจะสามารถช่วยให้คุณเดินทางกลับประเทศได้นะ”  มาดามไดแลนเอ่ยบอกอย่างใจดี  ไวโอลินรู้สึกขอบคุณจริงๆที่เขาแนะนำ  แต่นั่นแหละคือเรื่องที่เขากลัว

“หรือถ้าคุณต้องการให้เราช่วยเหลือในเรื่องอื่นก็ได้โปรดบอก  ครอบครัวของเราติดหนี้บุญคุณคุณอยู่  เราพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณเสมอ”  มิสเตอร์คริสโตเฟอร์เสนอทางเลือกอื่นให้เขาด้วย  ดูเหมือนเขาจะพอดูออกแฮะว่าไวโอลินไม่ค่อยจะสะดวกใจที่จะติดต่อกับตำรวจเท่าไร

“เอ่อ  ผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่ได้มั้ยครับ  ตอนนี้ผมรู้สึกเหนียวตัวมาก”  ไวโอลินมองครอบครัวไดแลนทั้งสามคนด้วยความขอบคุณอย่างใจจริง   พนักงานสาวเป็นคนบอกทางให้ไวโอลินไปที่ห้องน้ำ  ในระหว่างที่ครอบครัวไดแลนทั้งสามคนยังคงรอคอยเจ้าของโรงแรมต่อไป

   ห้องน้ำของรีสอร์ทนี้ดูหรูหราไม่ต่างไปจากภายนอกที่ไวโอลินเห็น  มันมีกลิ่นทะเลอ่อนๆบวกกับกลิ่นดอกลีลาวดีที่ลอยอยู่ในอ่างแก้วที่เคาเตอร์อ่างล้างมือ  ไม่มีกลิ่นฉุนของห้องน้ำรบกวนแสดงว่ามันได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี  ความกว้างของห้องน้ำมีขนาดใหญ่เพียงพอให้มีมุมนั่งพักที่ริมผนังด้านหนึ่งเลยด้วยซ้ำ 

   ภาพของเขาที่สะท้อนมาที่กระจกมีร่องรอยความเหนื่อยล้าใหญ่ตัวเท่าบ้านแปะไว้  จากนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  แต่เขาจะไม่มีทางยอมแพ้หรอก  นอกจากซึโยชิที่เขาต้องตามหาให้เจอแล้ว  ยังมีตัวคนร้ายที่คิดการใหญ่ลักพาตัวเขามาจากฮ่องกงอย่างอุกอาจนั่นด้วยอีกคน  อย่าให้พ่อจับได้นะ...จะเจี๋ยนให้

   แววตามุ่งมั่นมองหน้าตัวเองแล้วคิดถึงอีกหนึ่งบุคคลที่เป็นตัวต้นเหตุเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี่ 

   นายภาคินทร์   ไอ้บ้าภาคินทร์  ไอ้บ้าณัฐ  ไม่คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วเหรอถึงได้จู่ๆก็มาโผล่หัวอยู่ที่ประเทศนี้ไม่บอกไม่กล่าว  ไหนเคยคุยกันไว้ว่าตอนฝึกงานพวกเขาจะไปเช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน  หาที่ใกล้ๆโรงเรียนที่เขาต้องฝึกสอน  แล้วอีกฝ่ายก็เดินทางไปทำงานสะดวก  ถ้าพ่อเขาไม่อนุญาตเราก็จะหาทางทำให้พวกพ่อเขาใจอ่อนให้ได้

   แล้วนี่อะไร...หึ!  คอยดูจะจับเจี๋ยนไปวางไว้ข้างกันกับอันข้างบนเลยคอยดู

   ไวโอลินใช้เวลาไม่นานในการล้างหน้าล้างตาและเขาห้องน้ำทำธุระส่วนตัว  เรียบร้อยแล้วเขาก็เดินกลับไปตามทางเดิมที่ครอบครัวไดแลนนั่งรออยู่  แต่ในวินาทีที่เขากำลังก้าวพ้นเหลี่ยมมุมตึกเพื่อเข้าสู่ส่วนของห้องโถงรับรอง  ข้างหน้าครอบครัวไดแลนที่ลุกขึ้นต้อนรับใครบางคนก็ทำให้ไวโอลินรู้สึกชาวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้า...

   ชายคนนั้นเดินมาพร้อมกับชายใส่สูทอีกสองคน  ช่วงขายาว  ช่วยส่งเสริมบุคลิกของคนคนนั้นให้เดินมาด้วยท่าทางองอาจผึ่งผาย  ช่วงไหล่กว้าง  รับกับช่วงตัวที่ดูหนาและล่ำสัน  ประกอบกับใบหน้าที่มีรอยเคราเบาบาง  คิ้วหนา  จมูกโด่ง  ริมฝีปากบางๆที่เขาเคยจับเล่น  และโดยเฉพาะ  ดวงตาสีไพลินที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร  ประกอบรวมกันเป็นผู้ชายหล่อเหลาแบบฉบับหนุ่มอาระเบียนที่มีฟีโรโมนของเจนเทิลแมนแบบสุภาพบุรุษ  ซึ่งนั่นทำให้เขาดูโดดเด่นจากอีกสองหนุ่มอาหรับด้านข้างที่แม้จะจัดอยู่ในผู้ชายเกรดเอ  แต่ในสายตาไวโอลินคนตรงกลางนั้นฉายแสงมากกว่า

   นายภาคินทร์!!  เพื่อนที่เขาเพิ่งบริภาษใส่ไปเมื่อกี้ในห้องน้ำ  กำลังเดินมาคุยกับครอบครัวไดแลนด้วยท่าทางราวกับเป็นเจ้าของที่นี่

   สองมือตะปบเข้าที่ข้างตึก  แล้วเร้นกายเข้าหลบอยู่ข้างหลังผนังสีมุกที่ย้อมแสงแดดบางๆ  หัวใจของเขาเต้นตึกตัก  จริงๆก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหลบ  คนคนนั้นคือคนที่เขาอยากเจอมาตลอด  แล้วทำไมตอนนี้จู่ๆถึงรู้สึกไม่อยากออกไปเจอหน้า

“ต้องขอโทษด้วยที่ผมมาช้า  ผมได้รับข่าวเบื้องต้นจากคนของผมแล้ว  เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณด้วยจริงๆมิสและมิสเตอร์ไดแลน”  ชายคนนั้นยื่นมือไปเชคแฮนด์กับครอบครัวไดแลนทั้งสองมือ  สายตาท่าทางดูจริงใจและเสียใจกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ 

   ภาคินทร์ไม่มีพี่น้องคนอื่น  กับพ่อเลี้ยงก็เข้ากันไม่ได้ดี  เขามีแต่แม่คนเดียว  ตัวภาคินทร์เองจึงเป็นคนที่ค่อนข้างเซ้นซิทีฟกับเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงมาก  ส่วนตัวเขาที่ตัวเล็กกว่า  ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจเพราะเป็นหลานชายคนเดียวที่อยู่ในบ้าน  หลายๆครั้งเขาจึงถูกภาคินทร์ดูแลเหมือนเขาเป็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง  ไปห้างก็ถือกระเป๋าให้  เขาจะไปไหนมาไหนก็ขับรถไปรับไปส่ง  วันหยุดก็ไปทานข้าว ดูหนัง  ถูกตามใจในหลายๆเรื่อง  โอเคล่ะ สำหรับคนอื่นอาจจะดูแปลกที่เพื่อนผู้ชายกลับมาดูแลกันแบบนี้  แต่ว่าสำหรับไวโอลินแล้วเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ  สำหรับเพื่อนที่สนิทกัน  คุยกันได้ทุกเรื่อง  และยิ่งเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ด้วยแล้วการที่มีคนอายุใกล้ๆกันได้เป็นเพื่อนแชร์เรื่องราวระหว่างกันมันยิ่งกว่าดีเสียอีก

   เถอะ  แต่นั่นมันก็แค่เรื่องราวสมัยก่อน  ตอนนี้หมอนั่นเริ่มมีความลับกับเขา  มาแอบเปิดโรงแรมอยู่ในเมืองห่างไกลโดยไม่บอกอะไรกันเลย  พูดตรงๆไวโอลินก็รู้สึกเหมือนโดนหักหลังนิดๆเหมือนกันนะ  เขาคิดว่าเขาสนิทกับภาคินทร์มาก  จนตัวเองแทบไม่มีเรื่องจะปิดบังอีกฝ่ายอะไรเลย  แต่กลับโดนหมอนั่นทำแบบนี้ใส่  ก็ดี...ภาคินทร์ปิดบังเขาได้  เขาก็จะทำบ้างล่ะ

“ตำรวจจะมาที่นี่เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมในอีกห้านาที  ผมจะให้คนของผมอยู่ด้วยในระหว่างที่พูดคุยกันเผื่อคุณต้องการล่าม”  คุณณัฐ (เรียกด้วยความประชด) บอกกับครอบครัวไดแลน  ส่วนมือก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเป็นรอบที่สาม  ไม่รู้มีเรื่องอะไร 

“ขอบคุณมาก  เออ...จริงๆแล้วผมมีอีกเรื่องหนึ่ง  คือเรามีนักท่องเที่ยวเอเชียคนหนึ่ง  ที่เข้ามาช่วยลูกสาวของผมไว้  ถ้าไม่ได้เขาเราคงแย่  แต่ว่าเขาเองก็โดนขโมยของไปหมด  เราอยากช่วยเหลือเขา” 

“คนเอเชียที่โดนขโมยของ  แล้วเข้าไปช่วยลูกสาวคุณ?”  สายตาของคนพูดบ่งบอกชัดมากว่าไม่ค่อยจะเชื่อถือคนเอเชียที่ว่า   ท่าทางคงคิดว่าเขาอาจเป็นพวกต้มตุ๋มเสียด้วยซ้ำล่ะมั้ง 

“เขาเป็นเทวดาของหนูค่ะ”  แมรี่คงสัมผัสได้ถึงแววตานั้น  แม่หนูถึงได้พูดขึ้นมากลางปล้อง  ซึ่งนั่นทำให้ไวโอลินแอบสะใจอยู่นิดๆเหมือนกัน  แม่หนูมีท่าทางว่าใครจะมาว่าเทวดาของเธอไม่ได้เลย 

“อาเข้าใจแล้วจ่ะ”  ภาคินทร์ก้มลงไปยิ้มให้สาวน้อย  ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาอีกครั้ง  “เอาเป็นว่าผมยินดีที่จะช่วยเหลือ...พ่อเทวดาของหนูอย่างเต็มที่เลย  หากเขาต้องการอะไรขอให้บอกได้เลยนะครับ” 

   คนพูดเอ่ยกับครอบครัวไดแลนก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่มันสั่นไม่หยุดมาสักพักแล้ว

“ผมจำเป็นต้องรับสายนี้  ขอโทษด้วยที่อาจไม่ได้อยู่ตลอด  แต่หากมีปัญหาอะไรโปรดติดต่อผมได้โดยตรงเลยนะครับ”  ภาคินทร์ยื่นนามบัตรให้กับครอบครัวไดแลน  ก่อนจะขอตัวออกไปพร้อมกับผู้ติดตามคนหนึ่ง  เหลือไว้กับครอบครัวไดแลนอีกคนหนึ่ง

   แผ่นหลังกว้างใหญ่ในชุดแบบตะวันตกเดินออกไปแล้วพร้อมกับโทรศัพท์แนบกับหู  ไม่มีคราบเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยเพื่อนสนิทที่ไวโอลินคุ้นเคยอยู่เลย

   ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเหมือนไม่รู้จักคนคนนั้นขึ้นมานะ

   ไวโอลินดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังคนคนนั้นกลับมาจ้องผนังที่เขาใช้เป็นที่ซ่อนตัว  เขาเจอคนที่อยากเจอแล้ว  แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่ได้เจอ 

        เขารู้สึกกลัว...กลัวที่จะเข้าไปหา  กลัวที่จะเข้าไปคุย     กลัวที่จะ..กอด

        น้ำตาซึมตรงปลายหางตาเล็กๆ  มันน่าเศร้านะที่อยากจะเข้าไปหาคนที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าทำไม่ได้  ทั้งที่อยู่ใกล้ๆแล้วแท้ๆ   

        หนุ่มเอเชียพลิกหันหลังพิงผนังที่อุ่นน้อยๆเพราะเก็บแสงแดดเอาไว้  นึกชั่งน้ำหนักสิ่งที่ตัวเองกำลังจะตัดสินใจทำต่อไป  เขาอยากจะทำอะไรๆให้มันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็นอยู่หรอกนะ  แต่ว่า...

        ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า

        ไวโอลินปาดน้ำตาทิ้ง  ตัดสินใจแน่วแน่ในสิ่งที่จะทำ  จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก  แล้วออกเดินกลับไปตรงที่ที่ครอบครัวไดแลนกำลังยืนคุยอยู่กับตำรวจที่เพิ่งมาถึง  พร้อมคนของภาคินทร์ที่ทิ้งไว้หนึ่งคนให้ทำหน้าเป็นล่ามและดูแลการสนทนาต่อไป

--------------------------------------------------------------

บันทึกไว้เป็นประวัติการณ์  ลงตอนต่อกันโดยใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน  ฮรุก... :mew4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #44 เมื่อ09-04-2018 01:03:12 »

ใครเป็นคนลักพาตัวลินนะ และเป็นศัตรูกับณัฐหรือป่าวนะ  :katai1:

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #45 เมื่อ09-04-2018 01:10:02 »

 :a5: หน...หนะ หนึ่...หนึ่งเดือนนนนนน!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ krayfanxing

  • เออนั่นล่ะ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #46 เมื่อ09-04-2018 02:25:26 »

เศร้าใจจัง ทำไงดีอยากอ่านต่อแล้วอ่ะ คุณณัฐค่ะ เจอคุณไฟซาลหรือยังถึงไม่ว่าที่นี่ แล้วไวโอลินจะทำยังไงต่อ ขอให้ซึโยชิติดต่อคนมาช่วยได้เร็วๆนะ

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #47 เมื่อ09-04-2018 07:54:36 »

สู้ๆนะไวโอลิน อย่าลืมซึโยชิละ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #48 เมื่อ09-04-2018 13:26:19 »

1เดือนเลยหรอเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
«ตอบ #49 เมื่อ18-04-2018 00:18:30 »

ต้องหาเวลาไปอ่านทวนเรื่องก่อนๆ แล้ววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 4 [09/04/2018] PG.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 18-04-2018 00:18:30 »





ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [19/04/2018] PG.2
«ตอบ #50 เมื่อ19-04-2018 01:09:44 »

ตอนที่ ๕


“ดอร์น  รับหรือยัง”  ไลเกอร์จับแขนคนรักของตัวเองแล้วถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาโทรศัพท์ออกมามองหน้าจออีกครั้ง

“ยัง”  รุ่งอรุโณทัยหรือดอร์นกำลังรู้สึกร้อนใจและเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว  “ลูซ  เจออะไรอีกมั้ย” 

   หนุ่มร่างสูงผิวคล้ำหันมาขมวดคิ้วใส่คนเรียกชื่อตัวเอง  ในมือโบกแฟ้มยับๆที่มีเอกสารของไวโอลินอยู่ข้างในไปมา

“ไม่เจอ  คนของฉันบอกว่าของอย่างอื่นภายในรถไม่เหลือเลย  มีแค่แฟ้มนี้อย่างเดียว”  ลูเซียโน่พูด

“บ้าเอ้ย  ทั้งพาสปอร์ต  ตั๋วเครื่องบินยังอยู่ที่นี่  แล้วหนูลินจะออกนอกฮ่องกงได้ยังไง”  ดอร์นเริ่มคิ้วขมวด 

“ใจเย็นน่า  คนของฉันกำลังตามล่าหารถที่ชนรถหนูลินอยู่  โชคดีที่อู่ที่พวกมันเอารถไปจอดไว้มีคนของฉันอยู่  คิดว่าน่าจะเค้นคอหาตัวคนเอารถมาได้ไม่ยากแต่ขอเวลาหน่อย”

“แต่ยิ่งเรารู้ช้ามันก็เท่ากับความปลอดภัยของหนูลินยิ่งน้อยลงไปด้วย  ฉันรอนานกว่านี้ไม่ไหวหรอก”  ดอร์นพูดแล้วกระหน่ำกดเบอร์โทรอีกครั้ง

“ดอร์น  ใจเย็นๆ  พี่หนูลินจะปลอดภัยนะ”  ไลเกอร์จับแขนคนกำลังร้อนใจแล้วลูบเบาๆ  ดอร์นหันมองหน้าคนที่บอกให้เขาใจเย็นลงแล้วเผลอขึ้นเสียงใส่

“จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไง!  ถ้าหนูลินเป็นอะไรไป...”   

“...”  ไลเกอร์กัดริมฝีปาก  มองสบตาคนรักที่หยุดพูดไปกะทันหัน  ความสำคัญของหนูลินที่มาก่อนใครไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เขาไม่รู้  เขารู้มานานแล้ว  แล้วก็เคยน้อยใจใส่ดอร์นเอาบ่อยๆด้วย 

แต่ว่า...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนขึ้นเสียงใส่แบบนี้ 

มันเหมือนเป็นการตอกย้ำลำดับความสำคัญ  ว่าเขายังไม่ใช่ที่หนึ่งของคนคนนี้  เขาคงไม่มีวันสอบผ่านเอาชนะพี่ไวโอลินได้จริงๆ

“งั้น  เดี๋ยวฉันไปรับไทกอนกับดอกปีบที่สนามบินก่อนก็แล้วกัน   อีกชั่วโมงกว่าคงจะถึง”  ไลเกอร์เอ่ยบอก  เขาพยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตามันซึมออกมา  เป็นผู้ชายแมนๆอกสามศอกเสียเปล่า  จะมาเสียน้ำตาแค่เพราะโดนแฟนขึ้นเสียงใส่ได้ยังไง 

   น้อยใจน่ะได้...แต่เขาจะไม่ทำตัวงี่เง่าเด็ดขาด 

ตอนนี้ยิ่งเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน  จะให้มาหวานกันก็เห็นจะไม่เหมาะ  เขาเองก็เป็นห่วงพี่ไวโอลินไม่น้อยไปกว่าใครเลย  ส่วนดอร์นนั้นมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องสนิทชิดเชื้อกับพี่ไวโอลินมากกว่า  จะเป็นห่วงพี่เขามากก็คงไม่แปลก

ใช่...ไม่แปลก   

ไม่แปลกที่จะมองเขาเป็นที่สอง  รองจากพี่ไวโอลิน

“ดอร์น  ฉันว่า...”  ลูเซียโน่มองสถานการณ์ระหว่างคู่รักที่คนหนึ่งไปทาง  อีกคนก็ไปทางแล้วแอบหนักใจเบาๆ  เขาเข้าใจคนทั้งคู่  แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร  คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน

“ฉันรู้ว่าฉันควรทำอะไร”  รุ่งอรุโณทัยบอกเพื่อนรุ่นพี่เสียงเบา  สายตาเสียใจมองส่งร่างของคนรักที่เดินลับหายไปทางประตูห้อง 

   เขาก็เป็นอย่างนี้ทุกที  ตอนทำนั้นไม่คิด  มาคิดได้ก็ตอนทำลงไปแล้ว  แล้วก็มานั่งเสียใจเอง

   เขาก็พยายามที่จะปรับแล้วนะ  แต่มันก็...

“ดอร์น...ดอร์น!  ฉันว่าปลายสายเขารับสายนายแล้วนะ”  ลูซมองเวลาที่เพิ่งเริ่มเดินบนหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อนแล้วก็รีบบอก

“ไหน...ฮัลโหล!!”  รุ่งอรุโณทัยหันมองตามเพื่อนว่าแล้วรีบเอาโทรศัพท์แนบกับหู  “ฮัลโหล!  ไอ้พี่ณัฐ  พี่หนูลินอยู่กับพี่หรือเปล่า” 

   น้ำเสียงไม่สู้ดีของคนปลายสายทำให้ฝ่ายรับโทรศัพท์เริ่มออกอาการคิ้วขมวด

‘/ไม่  ทำไม  หนูลินไปไหน  เขาไม่ได้อยู่กับนายที่ฮ่องกงหรอกเหรอ/’

“ถ้าอยู่ผมคงไม่โทรหาพี่หรอก!  ฟังนะพี่ณัฐ...คนของลูซพบรถของซึโยชิในสภาพถูกชนที่กระโปรงหน้ารถ  มันถูกลากไปเข้าอู่  แต่โชคดีที่คนในอู่นั้นมีคนรู้จักของลูซทำงานอยู่ด้วยและเขาจำรถได้  เขาก็เลยโทรหาพวกเรา...”

‘/ว่าไงนะ!!  แล้วไวโอลิน...!/’ 

“คนหายไป  เหลือแต่พาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินหล่นอยู่ในรถ   พี่ใจเย็นๆ  แล้วฟังผมพูดให้จบ…ไลเกอร์  เอ่อ..คนรักของผมบอกว่าเจอพี่ลินครั้งสุดท้ายตอนกำลังเก็บกระเป๋าไปหาพวกคุณอาที่ยุโรป  แต่ว่า...ในตั๋วเครื่องบินของพี่หนูลินมันบอกปลายทางว่าไปลงที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์...”  ดอร์นพยายามเล่าอย่างใจเย็น  เขานิ่งฟังเสียงสัญญาณใดๆก็ตามจากปลายสาย  แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงลมหายใจ

‘/หมายความว่า...หนูลินกำลังจะบินมาที่นี่.../’

“ใช่  เขาจะแอบไปหาพี่!  แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว  พี่หนูลินหายตัวไปพร้อมๆกับซึโยชิด้วย”

‘/.../’

“ตอนนี้ผมสั่งคนให้ตามหาพี่ลินแทบพลิกแผ่นดินทั่วเกาะฮ่องกง  ทั้งคนของผม  คนของลูซ  แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย  ผมก็เลย...แต่ดูท่าทางพี่หนูลินคงไม่ได้อยู่กับพี่ใช่มั้ย”

‘/...ไม่/’  คำว่าไม่ของปลายสายฟังดูอ่อนเบาและไร้แรงอย่างชัดเจน  ดอร์นถอนหายใจ  เขาว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของพี่ณัฐตอนนี้นะ

“ตอนนี้ผมภาวนาว่าขอให้เราเจอตัวคนเอารถพี่ลินไปเข้าอู่  เราคงเค้นเอาข้อมูลอะไรมาได้บ้าง  ได้เรื่องอะไรแล้วผมจะโทรกลับ”

‘/ได้.../’

   ดอร์นไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมาอีกนอกจากเสียงโทรศัพท์หลังวางสาย  ดูท่าทางพี่ภาคินทร์คงจะช็อกไม่น้อยเหมือนกัน 

“ลูซ  ถ้ายังไงเราคงต้องรีบเคลียร์งานที่นี่แล้วล่ะ”  ดอร์นหันไปมองเพื่อนที่เหลือร่วมห้องอยู่อีกเพียงคนเดียวด้วยแววตาเครียดขรึม

“คนของฉันแสตนด์บายตลอด 24 ชั่วโมง  พร้อมเมื่อไหร่เราจองตั๋วบินไปได้ทันที”  ลูซกำแฟ้มในมือแน่น

“ใช่  ถ้าจำเป็น...พวกเราคงต้องไปเยือนตะวันออกกลางอย่างเป็นทางการ”

   สายตาของรุ่งอรุโณทัยปรับเปลี่ยนแววเป็นหมายมาดและอาฆาตในท้ายที่สุด

   ใครก็ตามที่กล้ามาเล่นงานพี่ชายเขาถึงถิ่นแบบนี้...พวกมันไม่ตายดีแน่!!

“เรื่องนั้นก็เรื่องนึงนะดอร์น  แต่ไลเกอร์ก็อีกเรื่องหนึ่ง”  ลูซคนไม่มีแฟน  แต่ทำท่าเข้าอกเข้าใจเรื่องของความรักเป็นอย่างดีเดินเข้าไปตบบ่าของดอร์นเบาๆ  “คนรักไม่ใช่คนรองรับอารมณ์ของเรา  อย่าทำให้เขาเสียใจบ่อยๆ  ลิมิตความอดทนของคนเรามันต่ำกว่าที่คาดไว้เสมอนะดอร์น”

   รุ่งอรุโณทัยเข้าใจ

   เขาจะแก้ไข  เขาจะไม่ให้เรื่องเล็กๆน้อยๆนี้มาทำให้ไลเกอร์กับเขามองหน้ากันอย่างไม่สนิทใจได้เด็ดขาด

------------------------------------------------------------

   เรือนร่างสูงสง่านั่งไขว่ห้างอยู่ในรถหรู  ลำตัวหนาเอนพิงพนัก  เขาเท้าศอกข้างหนึ่งกับที่วางแขน  ฝ่ามือใหญ่กำโทรศัพท์เอาไว้หลวมๆ  ในขณะที่มืออีกข้างกำลังเปิดดูรูปๆหนึ่งในกระเป๋าสตางค์ที่ติดตัวมาจากเมืองไทย  แม้ว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้อีกแล้วแต่เขาก็ยังพกเอาไว้  อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจว่าเขายังมีใครคนหนึ่งอยู่กับเขาเสมอ

   การเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจอย่างหนึ่ง  มันเป็นความจริงที่เหมือนเสี้ยนในหัวใจซึ่งเขาไม่มีวันดึงมันออกไปได้ 

   เรื่องราวมันเริ่มที่แม่เขาเพิ่งรู้ว่าท้องหลังจากที่โดนคุณตาบังคับให้แต่งงานกับพ่อเลี้ยงไปแล้ว  แน่นอนว่าหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของแม่กับพ่อเลี้ยงไม่ดีเลย  พ่อเลี้ยงพาผู้หญิงใหม่เข้าบ้าน  ส่วนแม่เขาก็ขอแยกออกมาอยู่บ้านเดี่ยวเล็กๆซึ่งยังอยู่ในขอบรั้วเดียวกับบ้านพ่อเลี้ยง  แล้วเฝ้าเลี้ยงดูดูแลเขามาด้วยความยากลำบาก  และการที่ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่ใช่เชื้อไทยแท้ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ใครต่อใครพากันปรามาสและนินทาแม่ของเขาบ่อยๆ 

   ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องน่าเศร้าแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาด่างพร้อยมากมายนักหรอก  แม่เขาเป็นคนอารมณ์ดีเป็นพื้นเดิม  จึงสอนให้เขาเป็นคนคิดในแง่ดีเสมอ  แม่ไม่ให้เขาลืมความเป็นไทย  แต่ก็ไม่ได้ให้เขาลืมความไม่ยอมใครในเชื้อสายเดิม  แม่ไม่เคยบอกว่าพ่อแท้ๆของเขาเป็นใคร  แต่เขาก็ไม่คิดจะถามเหมือนกันถึงแม้จะอยากรู้  แต่ถ้ารู้แล้วมันไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาก็ไม่ได้มีประโยชน์  ตอนนี้ชีวิตเขาที่ไม่มีพ่อแท้ๆก็มีความสุขดี 

   จนกระทั่ง...

“ไฟรูซ  คุณจะเข้าไปที่นั่นจริงๆเหรอครับ”  ชื่อใหม่ที่เขาถูกเรียกที่นี่  คือ ไฟรูซ ภาษาอาหรับแปลไว้ว่าคือ อัญมณี จำพวกเพชรพลอย  โดยส่วนตัวเขาไม่ได้แคร์อยู่แล้วว่าใครจะเรียกเขาว่าอะไร  แต่ตอนนี้ใจเขาร้อนเหมือนไฟสมชื่อจริงๆ

“แขกที่โรงแรมต้องการอะไร  บอกอิยาดว่าจัดหาให้เขาทั้งหมด  เสร็จแล้วฉันกลับไปให้มารายงานฉันด้วย”

   ผมไม่ตอบสิ่งที่ผู้ช่วยของผมถาม  เพราะความต้องการของผมไม่มีเปลี่ยนแปลง  เพราะทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากฮ่องกง  ผมก็รู้ได้ทันทีว่าใครที่น่าจะเป็นคนจุดเหตุการณ์นี้  และผมจะไม่ยอมให้เขาทำอะไรร้ายแรงมากไปกว่านี้เด็ดขาด 

   ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีก็ถึงเป้าหมาย  อาจเพราะอำนาจอิทธิพลของครอบครัว ‘บิดา’ ของผมที่นี่มันมีมาก  จึงทำให้การเดินทางจากโรงแรมที่ผมดูแลอยู่กลับมายัง ‘วังหลวง’ ซึ่งเป็นบ้านใหญ่ของตระกูลคุณพ่อผมราบรื่นดีไม่มีสะดุด 

   ถึงจะเรียกว่าวังหลวง  แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่คฤหาสน์หลังหนึ่งที่คนสร้างคงมีเงินเหลือเยอะเกินไปไม่รู้จะเอาไปทำอะไร  แล้วก็บวกกับความขี้เกียจออกไปข้างนอก  จึงทำให้ที่นี่เหมือนมีการยกทุกสถานที่ที่สร้างความสะดวกสบายให้กับคนในบ้านมารวมกันได้อย่างครบครัน  มีการสร้างกลุ่มคฤหาสน์ย่อยๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วให้กับสมาชิกของตระกูล  สระว่ายน้ำ  ฟิตเนส  ห้างสรรพสินค้าที่เน้นขายพวกของแบรนด์เนม  แล้วก็ยังมีโรงแรมระดับหกดาว  ทั้งหมดนี้อยู่ในรั้วอาณาเขตชั้นนอกที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าใช้ได้  แต่สถานที่ที่เขามุ่งจะเข้าไป  มันอยู่ลึกสุดด้านในของรั้วนั่น

“เข้าไม่ได้ครับ”  ชาวอาหรับสองคนที่ข้างเอวเหน็บปืนและยังมีปืนยาวสะพายบ่าอีกคนละกระบอกยื่นมือมาขวางหน้าเขา 

   รู้อยู่หรอกว่าทำตามหน้าที่  ...แต่มันไม่ใช่เวลานี้

“...หลีกไป”  ผมพูดเบาๆพร้อมกับหยิบปืนที่เหน็บไว้ใต้เสื้อมาจ่อที่หัวพวกมันคนหนึ่ง 

“ให้ท่านไฟรูซเข้าไปจะเป็นความคิดที่ดีกว่านะ”  เอียะอ์ญาซ  เป็นคนติดตามที่ทำงานได้ดี  พ่อเลือกเขามาเป็นมือขวาให้กับผม  และเขาก็ทำงานได้ดีมากสมกับที่พ่อเป็นคนเลือกเอง

   ผมไม่สนใจที่จะหยุดอยู่ตรงนั้นนานนัก  ข้างในบ้านโอ่โถงงดงามด้วยสถาปัตยกรรมแนวอาหรับที่ผสมความเป็นสากลได้อย่างลงตัว  ส่วนมากเน้นเป็นทองคำเหลืองอร่าม  ประดับด้วยกระจกสี  เพชรและคริสตัล  ลวดลายเป็นเส้นโค้ง  งดงามและอ่อนช้อย  แต่เขาไม่มีเวลามากที่จะมาพิจารณาความงามของพวกนี้

   ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายคือส่วนห้องของคนคนนั้นเท่าไหร่  ใจเขายิ่งร้อนรนและกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น  ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย  ขออย่าให้ ‘พี่ชาย’ ของเขาเป็นคนวางแผนพาไวโอลินมาจริงๆเลย

“ไฟรูซมาถึงที่  ขอโทษทีที่พี่ไม่ได้ออกไปหาตั้งแต่หน้าบ้านนะ” 

   เสียงแบบนี้  ได้ยินครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ 

“ไม่ต้องเกริ่นให้ยืดยาวหรอก  คนของผมอยู่ที่ไหน” 

   ภาคินทร์ยืนอยู่ตรงหน้าปากประตูที่เป็นทางเดินเข้าไปสู่ส่วนที่เป็นห้องนอนด้านใด  ส่วนคู่สนทนาคือชายร่างกายสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ในส่วนของห้องรับแขกทางขวามือที่ภาคินทร์กำลังจะเดินผ่าน  หนุ่มลูกครึ่งก็ไม่รอช้า  เมื่อเจอเป้าหมายคนที่ต้องการจะเจอเขาก็เดินเข้าไปหาเลยซึ่งๆหน้า

“คนของนายคือใคร  แล้วมาถามหาอะไรจากฉัน”  ฝ่ายเจ้าบ้านยอมลุกมายืนประจันหน้ากับคนมาใหม่แล้วสนทนาด้วยอารมณ์รื่นรมย์

“ไม่ต้องมาทำหน้าไม่รู้เรื่อง  บอกมาว่าไวโอลินอยู่ที่ไหน”  ภาคินทร์สาวเท้าเข้าไปหาชายในชุดโต๊ปแบบอิสลามแต่ไม่มีผ้าโพกศีรษะ  พวกเขามีความสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน  ทำให้เมื่อภาคินทร์ยืนจ้องหน้ากับพี่ชาย  สายตาพวกเขาจึงจ้องมองประสานกันพอดี  “ถึงเขาจะบอกให้ผมเรียกคุณว่าพี่  แต่ถ้าคุณทำอะไรไวโอลิน  ผมจะจัดการกับคุณ...แบบที่ไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องเลย”

“...” 

   ถ้ามือเขาไม่กำเอาไว้  บอกเลยว่ามันคงจะยกไปขยุ้มคอเสื้อคนตรงหน้า  แล้วก็ง้างอีกมือเตรียมชกไปแล้ว 

   ภาคินทร์เกลียดดวงตาคู่นี้  คู่ที่มีสีตาเดียวกันกับเขา  แต่แววตาที่มองคนอื่นต่างกันโดยสิ้นเชิง  ดวงตาของพี่คือคนที่มีทุกอย่างจนล้น  เลยมองทุกเรื่องเป็นเรื่องเล่นสนุกไปเสียหมด  ในขณะที่เขาไม่เคยมีอะไร  อยากได้อะไรก็ต้องไขว้คว้ามาเอง  เพราะฉะนั้นของทุกชิ้นที่เขาถือว่าเป็นของตัวเอง  เขาจึงเห็นและตระหนักถึงคุณค่าของมันทั้งหมด

   ...ไม่เว้นแม้แต่ ‘คน’ และไวโอลินคือหนึ่งในนั้น  คือสิ่งที่เขาถือว่าเขาเป็นเจ้าของ...ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน  หรือฐานะไหนก็ตาม...

 “ถ้าคนที่ชื่อไวโอลินล่ะก็...เขาไม่อยู่ที่นี่” 

   เสียงทุ้มๆของพี่เขาดังตามมาไล่หลัง  ภาคินทร์หยุดเท้าที่กำลังเดินออกไปจากห้องรับแขก  ฝ่ามือที่มันกำแน่นก่อนหน้านี้เริ่มเย็นเฉียบจนซีดเพราะมันถูกกำแน่นจนไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงเพียงพอ 

“อย่าให้รู้ว่าโกหกก็แล้วกัน อาฮิล คัลซัส

   ร่างสูงใหญ่ของน้องชายต่างมารดาของเขาเดินลับหายไปแล้ว  แววตาจริงจังนั่นเหมือนพ่อไม่มีผิด

“ศาสนาของฉันไม่ได้สอนให้โกหก   เพราะคนที่อยู่ที่นี่...ไม่ใช่ไวโอลินจริงๆ หึ”

-----------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ dek-zaal3

  • แก้วปั้ณณ์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +534/-11
    • แก้วปั้ณณ์
Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [19/04/2018] PG.2
«ตอบ #51 เมื่อ19-04-2018 01:14:39 »




   ห้องพักคนงานของที่นี่ไม่ได้แย่นัก  เครื่องเรือนและอุปกรณ์ต่างๆเพียงพอให้ใช้สอยได้แบบไม่ลำบาก  เตียงขนาดสามฟุต  โต๊ะ  ชั้นวางของ  อุปกรณ์อาบน้ำ  ทุกอย่างให้ความรู้สึกเหมือนตอนไวโอลินเคยไปเข้าค่าย  ในตู้เสื้อผ้ามีชุดนอนผู้ชายและชุดสำหรับใส่ทำงานแขวนเรียงไว้ให้เรียบร้อย  เด็กหนุ่มชาวไทยหยิบออกมาชุดหนึ่งแล้วเทียบกับตัว  มันค่อนข้างใหญ่ไปสักหน่อยแต่พับแขนเอามันก็คงไม่แย่นักหรอก   

   เมื่อตอนกลางวันเขาขอเข้าทำงานกับทางโรงแรมเพื่อหาเงินก่อนจะเดินทางไปสถานทูตด้วยตัวเอง 

   เขาโกหก...อีกแล้ว 

เฮ้อ  รู้สึกว่าถ้าได้กลับเมืองไทยไปรอบนี้เขาคงต้องนุ่งขาวห่มขาวสักหลายๆวันหน่อยแล้วล่ะ  ไวโอลินคิดอย่างปลงๆ

อันที่จริงสาเหตุหลักที่เขาขออยู่ทำงานที่นี่ไม่ใช่เพื่อหาเงิน  แต่เพื่อหาข้อมูลต่างหาก  เขารู้สึกตะหงิดใจมาตั้งแต่ตอนที่พาภาคินทร์ไปที่บ้านครั้งแรกตอน ม.3 กับเพื่อนๆอีกสามสี่คน  ตอนนั้นจู่ๆพ่อเขาก็นิ่งไปตอนที่เจอกับภาคินทร์  แล้วตอนหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จเขากับเพื่อนๆก็ขึ้นไปอยู่กันที่ห้องนอนของเขาเพื่อทำรายงานด้วยกัน  มีแต่ภาคินทร์ที่บอกว่าจะไปห้องน้ำข้างนอกห้องนอนเขาแล้วก็หายไปพักใหญ่  พอเขาออกไปตามก็เจอเพื่อนกำลังเดินกลับมาจากทางไปห้องทำงานของคุณพ่อ  แล้วพอถามว่าไปไหนมาก็บอกว่าหลงทาง  คำโกหกเด็กๆที่เขาเดาได้แต่ไม่พบเหตุผลว่าจะตามหาความจริงไปเพื่ออะไรก็เลยไม่ได้ถาม

หลังจากนั้นพอเขาบอกพ่อกับแม่ว่าจะออกไปไหนมาไหนกับภาคินทร์  พ่อเขาก็ไม่ค่อยจะออกปากห้ามนัก  จากที่เมื่อก่อนจะชอบโทรมากวนบ้าง  แกล้งไม่ให้เขาออกไปไหนมาไหนกับภาคินทร์บ้าง  ไม่ก็จัดการแอบเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของเขาเมื่อรู้ว่าเขาโทรคุยกับภาคินทร์คราวละสี่ชั่วโมงก่อนนอน! (ซึ่งก็ไม่ได้ผลเพราะเขาจำเบอร์โทรของเพื่อนสนิทได้) 

จำได้ว่าตอนนั้นเคยได้ยินลุงอาทิตย์แซวพ่อด้วยซ้ำว่าทำตัวยิ่งกว่าพ่อตาหวงลูกสาว  ซึ่งถ้าไม่คิดอย่างลำเอียงมากไปไวโอลินว่ามันก็ถูกครึ่งหนึ่งล่ะ  เพราะเขาไม่ใช่ลูกสาวของพ่อ  แต่เป็นลูกชายต่างหาก

พรุ่งนี้คงต้องไปเริ่มงานแต่เช้า  ได้แอบสอดแนมในโรงแรมของหมอนั่นตอนที่เขาไม่รู้มันก็น่าตื่นเต้นดีชะมัด  ดีล่ะ...งั้นเขาจะคิดเสียว่ามาแคมปิ้งทดลองงานแก้เบื่อหลังเรียนจบก็แล้วกัน



เช้าวันต่อมา  การทำงานของไวโอลินเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า  เขาขอเป็นผู้ช่วยเลี้ยงเด็กให้กับทางโรงแรม  เพราะอ้างว่าเคยมีประสบการณ์จากการเป็นแนนนี่อาสาสมัครสมัยตอนอยู่ ม.ปลาย ที่ออสเตรเลียอยู่สามเดือน (ความจริงคือสามอาทิตย์)  และวันเริ่มงานวันแรกของเขาก็ถือว่าราบรื่นดี  โรงแรมนี้มีพนักงานพี่เลี้ยงเด็กของแขกที่เข้าพักอยู่เพียงคนเดียว  เธอชื่อซาร่า  และเป็นคนสอนงานไวโอลินด้วย 

ซาร่าบอกว่างานพี่เลี้ยงเด็กไม่ได้มีให้ทำตลอด  มันเป็นบริการเสริมจากทางโรงแรมเท่านั้น  แขกที่มาใช้บริการส่วนมากเป็นพวกนักธุรกิจที่อยากพาลูกๆมาพักผ่อนพร้อมทำงานไปด้วย  วัยของเด็กๆก็มีตั้งแต่แบเบาะไปจนถึงช่วงวัยรุ่นตอนต้น  ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่าง  ซาร่าจึงมักไปช่วยพนักงานฝ่ายทำความสะอาดไม่ก็ฝ่ายอื่นๆแทน  และนั่นก็เป็นเรื่องดีมาก

ไวโอลินใช้โอกาสนี้ขอติดตามไปช่วยฝ่ายทำความสะอาดพร้อมถือโอกาสแอบสำรวจโรงแรมนี้ไปในตัว  ตอนแรกเขาเห็นแค่ทางเข้ากับห้องโถงรับรองแขกก็ไม่คิดว่าข้างในจะกว้างขวางและใหญ่โตขนาดนี้  ตัวโรงแรมถูกสร้างเป็นหลังเดี่ยวๆตั้งห่างกันลดหลั่นเป็นชั้นๆ  เชื่อมกันด้วยทางเดินติดไฟอัพไลท์แบบอัตโนมัติที่จับเซนเซอร์ตามสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวผ่าน  ห้องพักมีทั้งหมด 34 ห้อง  แต่ห้องพักจริงๆมีเพียง 33 ห้อง  ส่วนห้องที่ 34 คือห้องที่วิวดีที่สุดและอยู่สูงที่สุด  เห็นว่าเป็นห้องของเจ้าของโรงแรม 

ล็อคเป้าหมายที่หนึ่ง  ห้องพักที่ 34  เขาจะต้องไปสำรวจที่นั่นให้ได้ในสักวัน

ฝ่ายทำความสะอาดของโรงแรมนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่ความจริงแล้วไม่ใช่งานง่ายๆเลย  ซาร่าแนะนำให้ไวโอลินรู้จักกับคุณป้าคาลิล่า  หัวหน้าฝ่ายแม่บ้าน  คุณป้าคาลิล่ามองเขาลอดใต้แว่นตาทรงครึ่งวงกลมอยู่ตั้งนานก่อนจะยิ้มให้บางๆ  หล่อนแนะนำเขาว่าฝ่ายทำความสะอาดห้องพักและดูแลห้องมีทั้งหมด 3 คน  แต่ละคนดูแลคนละ 11 ห้อง  ส่วนห้องของเจ้าของโรงแรมนี้นั้นคุณป้าคาลิล่าเป็นผู้ดูแลเองแต่เพียงผู้เดียว 

เป้าหมายที่สอง  ตีสนิทคุณป้าคาลิล่า  และเป้าหมายนี้น่าจะสำเร็จก่อนอันดับอื่นแน่นอน  เพราะเจอกันวันแรกไวโอลินก็เอาใบหน้าน่าเอ็นดูของเขาพร้อมรอยยิ้มสยามโปรยใส่ไปเรียบร้อย  คุณป้าคาลิล่าจึงได้สาธยายอธิบายเรื่องราวต่างๆให้เขาฟังอย่างเพลิดเพลิน

“แล้ว...อาคารนั้นล่ะครับ  คืออาคารอะไรเหรอ”  ไวโอลินชี้ไปทางอาคารทรงโมเดิร์นหลังหนึ่งที่มีทางเดินเชื่อมออกไปทางชายหาดและมีอีกทางย้อนไปทางอาคารที่พัก 

“นั่นเป็นโรงครัว  สถานที่ที่มีสุดยอดเชฟของเราทำงานอยู่  มันจะเริ่มงานตั้งแต่ตี 5 ตอนเช้า  และปิดครัวตอน 5 ทุ่ม  แต่หากแขกของเราประสงค์อาหารมื้อดึกเราก็จะมีร้านอาหารประจำที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงช่วยดูแลเรื่องนี้แทนเรา”

“อ๋อ  แล้วงานของคุณป้าหนักมั้ยครับ  ให้ผมช่วยมั้ยฮะ”  ไวโอลินเอ่ยปากถามด้วยหน้าตาใสซื่อ  พร้อมส่งยิ้มบ๊องแบ๊วตบท้าย  แน่นอนว่ามันได้ผล  ป้าคาลิล่าหันหน้ามาขยิบตาให้เขาก่อนจะเอ่ยว่า

“งานที่นี่สบายและจ่ายดีกว่างานอื่นเยอะ  ให้ทำแค่นี้น่ะไม่เหนื่อยหรอก”  คุณป้าบอก  ก่อนจะออกเดินเท้าพาเขาเดินสำรวจโรงแรมต่อ  “ผู้หญิงในประเทศนี้น่ะมีการศึกษาแค่ในเมืองใหญ่ๆเท่านั้น  รอบนอกส่วนมากก็ยังต้องแต่งงานก่อนวัยอันควร  แล้วก็หางานทำนอกบ้านยากมาก  แต่ท่านไฟรูซของเราให้เกียรติประสบการณ์และคุณค่าของคนมากกว่า  พนักงานที่นี่เลยเต็มใจทำงานให้เขา”

“อ๋อ  เอ่อ  ขอโทษนะครับคุณป้าคาลิล่า  คือไฟรูซเนี่ย...เป็นชื่อของเจ้าของที่นี่เหรอครับ  เขาไม่ได้ชื่อ...ณะ  เอ๊ย  ภาคินทร์ เหรอครับ”

“พา-? อะไรนะ  อ๋อ  คงเป็นชื่อไทยของเขา  ที่นี่เราเรียกเขาว่าท่านไฟรูซ”  คนพูดเน้นเสียงในคำสุดท้าย  ประหนึ่งต้องการให้ไวโอลินเรียกตามหล่อน  คือการเติมคำว่า ‘ท่าน’ นำหน้า 

“ครับ  ท่านไฟรูซเนี่ยเป็นคนไทยเหรอครับ  เหมือนผมเลยสิ”  ไวโอลินแอบเบ้ปากเล็กๆเมื่อต้องเรียกเพื่อนที่เห็นกันมาแต่ตัวน้อยๆว่า ‘ท่าน’ กระดากปากยังไงไม่รู้แฮะให้ตายเถอะ

“ไม่ใช่หรอก  ลูกครึ่งไทยน่ะ”  จู่ๆป้าคาลิล่าก็หยุดเดินแล้วก้มลงเอามือป้องปาก  ทำประหนึ่งว่าเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องต้องห้าม  ที่มันเป็นความลับสุดๆ  “ได้ยินว่าเป็นลูกนอกสมรสของท่านไฟซาล  ท่านไฟซาลเป็นทายาทรุ่นล่าสุดของเชคฮซายิด บิน สุลฏอน อัลนะฮ์ยาน  อดีตเอมีร์1  แห่งอาบูดาบี  และภายหลังท่านก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  เชคฮผู้ทรงอิทธิพลคนแรกของประเทศที่ร่ำรวยนี่...ขนาดท่านไฟรูซที่เป็นแค่ลูกนอกสมรส  ใช้เวลาเพียงแค่สามปียังสามารถเปิดโรงแรมระดับห้าดาวบนพื้นที่ที่ดีที่สุดในราส อัลไคมาห์นี่ได้เลย”

“...”  ไวโอลินไม่รู้จะพูดอะไรดีเลย  ตอนนี้ขนที่แขนของเขาลุกชันไปหมด  แถมตรงท้ายทอยก็รู้สึกเย็นเยือก  นี่เขาเพิ่งรู้นะนี่  ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเพื่อนสนิทที่เขาเคยเล่นหัว  เคยนอนก่าย  เคยเรียนและใช้ชีวิตมาด้วยกัน  จะเป็นถึงทายาทของตระกูลใหญ่โตของเอมิเรตส์ขนาดนี้ 

   นี่เขาหลุดมาอยู่ในนิยายเจ้าชายทะเลทรายอะไรรึเปล่า  โอ๊ย!  หยิกแก้มตัวเองก็เจ็บนี่นา  นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย!!

“ฮ่ะๆ  พูดไม่ออกเลยล่ะสิ  แต่ฉันศรัทธาในลูกชายของท่านไฟซาลคนนี้นะ  ตระกูลของท่านน่ะจะมีสีตาที่เป็นเอกลักษณ์  และมีลูกชายท่านไม่กี่คนหรอกที่มีสีตาเหมือนกันกับพ่อของเขา  แต่ส่วนมากก็มีนิสัยตามอย่างพวกลูกคนรวยน่ะนะ  อยู่ในประเทศนี้พวกเขาใหญ่ไม่เป็นรองใคร  อยากทำอะไรก็ได้  แต่ท่านไฟรูซน่ะแตกต่าง...อย่างที่บอกนั่นแหละ  ไม่อย่างนั้นคนไม่มีการศึกษาอย่างป้า แต่ทำงานแม่บ้านมาทั้งชีวิตจนเชี่ยวชาญหรือ จะได้รับโอกาสให้มาเข้ามาเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่   เธอก็เหมือนกัน...เขาให้งานเธอทำที่นี่อย่างง่ายๆแล้วก็ทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างล่ะ  ถ้าทำงานดีนี่มีขึ้นเงินเดือนให้ด้วยนะ” 

   คุณป้าคาลิล่าตบท้ายคำพูดด้วยการขยิบตาให้เขาข้างหนึ่ง  และวินาทีนั้นไวโอลินก็สามารถสรุปได้ว่า  คุณป้าคาลิล่า  เป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของเพื่อนเขานี่เอง

   นี่ถ้าคุณป้าได้รู้ว่าตอนเด็กท่านไฟรูซของคุณป้าไม่ชอบทานหอมใหญ่  ชอบกินไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่แถมมีของโปรดคือมาม่าผัดขี้เมาล่ะก็  คงได้มีอาการกรี้ดกร๊าดกันบ้างล่ะมั้ง

“เอาล่ะ  เดี๋ยวจะพาไปรู้จักเชฟในห้องครัวนั่นกัน  พวกเขาต้องชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าเธอเป็นคนไทยและรู้จักอาหารบ้านเกิดของท่านไฟรูซ  หัวหน้าเชฟชื่อนิคกี้  เขาใจดีนะ..”

   คราวนี้ไวโอลินเดินยืดหลังตรง  แย้มยิ้มเล็กน้อยพองามแล้วเดินตามหลังคุณป้าคาลิล่าอย่างไม่มีปากไม่มีเสียงอีก
   
----------------------------------------------------------------
1  Emir - ผู้ปกครองชนเผ่า/รัฐ



ทะยอยมาเรื่อยๆ  อันนี้กะไว้ว่าจะให้เป็นเรื่องสั้น  คิดไว้ว่าสั้นทีไรมันยาวทุกที T^T ไม่นะ....

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #52 เมื่อ19-04-2018 03:03:40 »

โถ่ๆๆๆ ณัฐคงไม่รู้ว่าลินอยู่ใกล้ ๆ ตัวเองนิ   :hao3:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #53 เมื่อ19-04-2018 05:45:00 »

ถถถถ เล่นเกมส์ไล่จับกันมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ อิ้วววว ณัฐจะรู้มั้ยว่า หนูลินมาอยู่ใต้จมูกแล้ว

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #54 เมื่อ19-04-2018 07:17:26 »

 o22 สึโยชิ นายจะได้สามีเป็นเศรษฐีอาหรับหรือเปล่านะ :hao4:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #55 เมื่อ19-04-2018 08:23:07 »

สึโยชิ หนูได้สามีแน่ๆ คอนเฟิร์ม!!  :mew1:

เบื่อดอร์น !! ทำไมต้องทำร้ายใจไลเกอร์ด้วย หนีกลับไทยเลยลูกกกกก :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #56 เมื่อ19-04-2018 09:31:05 »

 :pig4:

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #57 เมื่อ19-04-2018 12:39:55 »

ทำรู้ว่าไม่ใช่ไวโอลีน
สึโยชิสู้ๆนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #58 เมื่อ20-04-2018 10:20:44 »

เห้อออออออออออออออ อยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่หนูลินคงไม่ยอมให้เจอตัวง่ายๆ แน่ๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: Permanent Love (---Chain of love---) ตอนที่ 5 [14/04/2018] PG.2
«ตอบ #59 เมื่อ20-04-2018 13:47:50 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด