ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>  (อ่าน 21974 ครั้ง)

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 19
เจตจำนงของปฐมกษัตริย์

จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ระบุช่วงเวลาสถาปนาดินแดนนี้ในนามคาร์ไลน์นั้น  หากนับย้อนไปจะครบหนึ่งพันปีพอดี  และยังคงเป็นหนึ่งพันปีที่สามารถปิดประตูอสูรได้ก่อนจะถูกเปิดออก 


คาร์ไลน์นั้นถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีความพิเศษตรงที่พระเจ้าได้ประทานของวิเศษมาให้สองอย่าง  หนึ่งคือคทาที่ใช้ดูดซับพลังเวทจากรอบๆ  และสองคือดาบที่สามารถฟาดฟันได้ทุกสิ่ง  เป็นศาสตราที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานาน


ดาบและคทานั้นถูกจำกัดให้ถือได้เพียงกษัตริย์ของคาร์ไลน์เท่านั้น  การที่คนตรงหน้าข้ามีดาบวิเศษอยู่ในมือนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี  เพราะตอนนี้กษัตริย์ของคาร์ไลน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเพียงข้า  และเขา


ปฐมกษัตริย์ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ


“เหตุใดจึงทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นกัน  ไม่สมกับเป็นคนที่ได้รับความรักมากมายเลยนะ”  ปฐมกษัตริย์...หรือข้าควรจะเรียกว่าท่านลูซิฟรานได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ท่าทางสดใสนั้นหากไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าอายุมากกว่าพันปี


“ท่านต้องการอะไร?”  ข้าเอ่ยออกไปน้ำเสียงนิ่งเรียบแม้ในใจจะรู้สึกร้อนรนมากกว่าปกติ  หากเทียบกันดูแล้วพลังของอีกฝ่ายมีมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยทีเดียว


เขาเอียงคอก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า  “แต่ข้าชอบสายตาแบบนี้มากกว่าที่สิ้นหวังเสียอีก”


ให้ตาย  เขาไม่ฟังข้าเลย


“บอกว่าสามารถอยู่ได้ถ้ามีเจ้าพวกนั้นอยู่ใช่ไหม”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นขณะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าข้า  คำพูดต่อจากนั้นทำให้หัวใจข้าคล้ายหล่นวูบลงไป  “แล้วถ้าพวกนั้นทรยศเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าไปล่ะ  เจ้าจะยังอยู่ได้อีกไหม”


“หา?”


“คิดดูสิ  พวกเขารู้เรื่องตัวเจ้ามากกว่าเจ้า  รู้ถึงความลับของเรื่องราวนี้มากกว่า  แต่ไม่มีใคร...ไม่มีใครเลยที่ยอมบอกเจ้า  ทำไมกัน  ถ้าไม่ใช่เพราะแค่ต้องการหลอกใช้เจ้า”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเย็นเฉียบพอๆ  กับมือของเขาที่กำลังลูบใบหน้าของข้าขึ้นมา  ท่วงท่านั้นเชื่องช้าแต่ทรงพลังและรุนแรงขึ้นตอนที่กระชากเข้าไปใกล้จนใบหน้าเกือบชิดกัน  “เจ้าหนู  เจ้ามันก็แค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานนี้เท่านั้นแหละ”


“ไม่ชะ...”


“ทั้งท่านพี่ของข้า  หรือแม้กระทั่งคนที่เจ้าเรียกว่าผู้วิเศษต่างก็มองเจ้าเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น  พอใช้จนพอใจก็เขี่ยทิ้งเป็นผักปลา”  สิ้นเสียงของท่านลูซิฟราน  ข้าก็เบิกตากว้างไปชั่วขณะด้วยความกลัวที่ซ่อนอยู่ข้างใน 


สิ่งที่ข้ากลัวยิ่งกว่าการถูกคนทั้งโลกทอดทิ้งคือการถูกคนที่เชื่อใจหักหลัง


“ไม่ใช่...”  ข้าพยายามปฏิเสธ  แต่เขากลับหัวเราะในลำคออย่างสมเพชก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นชาขึ้น 


“แล้วทำไมผู้วิเศษนั่นถึงไม่ยอมบอกเจ้ากันล่ะ...ความจริงของเรื่องนี้”


“...อย่าไปฟังที่เขาพูดเด็ดขาด!!”  เสียงของโซแวนดังขัดขึ้นทำให้ท่านลูซิฟรานหันไปมองก่อนจะยกมือขึ้นแล้วเอ่ยขึ้น


“นับวันชักจะแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ  นะ  ถึงจะน่ายินดีที่มองข้าเป็นพระเจ้าของเจ้าก็เถอะ”


เขาแบมือก่อนที่จะกำแน่น  เถาวัลย์หนามที่เกาะกุมโซแวนไว้ขยับจนรัดเขาแน่นขึ้นและมีบางส่วนที่ลามไปปิดใบหน้าส่วนล่างไว้  ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจนโดยที่ไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้


“พอได้แล้ว!”  ข้ารีบตะโกนขึ้นขณะยื่นมือไปดึงแขนเขาเพื่อขัดจังหวะการควบคุม  ท่านลูซิฟรานหันกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจครู่หนึ่งแล้วกระหยิ่มยิ้มขึ้น


“ใจกล้าดีนี่”  เขาเอ่ยพร้อมกับสะบัดมือของข้าทิ้งแล้วกดหัวข้าลงกับพื้น  แรงกระแทกนั้นทำให้มึนงงไปชั่วขณะ  “ข้าชอบเด็กแบบเจ้าเสียจริงๆ”


“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”  ข้ากัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้แล้วถามเขา  ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะปล่อยข้า 


“ทำตามใจของข้า”


“หา?”  ข้าหลุดคำอุทานขึ้นทันที  อีกฝ่ายกลับมายิ้มแบบเดิมอีกครั้งทำให้ข้ารับรู้ได้ถึงบางอย่าง


ถึงแม้ว่าจะยิ้มอยู่แต่บรรยากาศรอบตัวเขานั้นช่างน่าเศร้าและหดหู่จนไม่อยากเชื่อว่าคนคนนี้มีความสุขจริงๆ


“ต่อจากนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ  ตามสิ่งที่เจ้าตั้งใจไว้”  จู่ๆ  เขาก็เอ่ยถามขึ้นทำให้ข้างงไปชั่วขณะ  “ว่าไง  อย่าลืมว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้เลยนะ”


ข้าเลยชะงักไปอีก  เมื่อคิดว่าไม่น่าจะเข้าใจคนคนนี้ได้จึงลองเสี่ยงที่จะตอบดู  “ร่วมมือกับพวกโซแวน  แล้วก็ปิดประตูอสูรเพื่อช่วยมนุษย์”


“หา  ยังไว้ใจพวกนั้นอีกเหรอ”  เขาเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะที่จะถอนหายใจแล้วยิ้ม  “อ้อ  เอาเถอะ  ลำพังตัวเจ้าคงทำไม่สำเร็จหรอก  แล้วหลังจากนั้นล่ะ...”


“ไม่รู้”  ข้าตอบไปตามตรง  หากยังมีคำสาปนี้อยู่  ต่อให้ปิดประตูอสูรได้ก็จะไม่มีใครสรรเสริญเทิดทูนอะไร  แล้วข้าจะสูญเสียที่อยู่ของตัวเองไปอย่างสมบูรณ์  ไม่มีที่ใดให้ข้าไปได้


ท่านลูซิฟรานยกมือขึ้นเท้าคางก่อนจะพึมพำอย่างไม่เข้าใจ  “ทำไมกัน  ทั้งๆ  ที่ถูกมนุษย์เกลียดขนาดนั้นแต่ก็ยังคิดจะช่วยพวกเขา  ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองเพื่อช่วย”


“...เพราะทั้งหมดเป็นคำสาปนี่  คนที่รักข้าก็มีแต่เขาแค่ไม่สามารถต้านทานคำสาปได้  และก็ใช่ว่าพวกเขาจะเกลียดข้าจากใจจริง  พอคิดแบบนั้นแล้วก็ไม่อยากเมินเฉยหรอกนะ”


“เป็นเด็กดีเสียจริงๆ  เลยนะ...”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะพึมพำอย่างเหม่อลอย  “หรือนี่จะเป็นนิสัยเสียจากข้า”


“หา?”  ข้าเผลอหลุดอุทานออกมาทำให้เขาหันหน้ามาสบตา


“ทั้งๆ  ที่ถูกเกลียดขนาดนั้นแต่กลับไม่ได้รู้สึกชิงชังหรือเคียดแค้นตาม...ทำไมกันนะ  บางทีข้าเองก็อาจจะโลกสวยมากไปก็ได้”  เขาเอ่ยขึ้นคล้ายคุยกับตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมาซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่ได้จริงใจเลยสักนิด


แม้ว่าจะยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา  แม้จะหัวเราะได้  แต่ทั้งแววตาและบรรยากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง  โศกเศร้าและเดียวดาย


“บางทีข้าเองก็เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง”  ท่านลูซิฟรานหันมาพูดกับข้าอีกครั้งก่อนจะเสริมขึ้นว่า  “อยู่มาตั้งหนึ่งพันปีแล้วแต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้”


เขาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะบอกว่า  “เพื่อไม่ให้เจ้างงเป็นไก่ตาแตกแบบนี้  ข้าจะบอกเรื่องดีๆ  ให้ฟังเอาไหม”


ข้าเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งแล้วตั้งใจฟังเขา  ท่านลูซิฟรานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน  “ข่ายที่กั้นประตูอสูรไว้จะเสื่อมลงในเจ็ดวัน  และหากไม่มีใครแก้ไข  มนุษย์ทั้งหมดก็จะตายลง”


“มันจะเป็นไปได้ยังไง  ในเมื่อผู้วิเศษบอกว่ามันแข็งแกร่งมากและอยู่ได้เกือบร้อยปี”  ข้าเถียงขึ้น  ตาข่ายที่ล้อมรอบประตูอสูรไม่ให้มันลงมามากกว่านี้เป็นฝีมือของพระเจ้า  และผู้วิเศษก็เคยบอกว่ามันสามารถอยู่ได้จนถึงตอนที่สามารถปิดประตูอสูรได้


ท่านลูซิฟรานถอนหายใจก่อนจะบอกว่า  “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”


“ข้าไม่เข้าใจ...”


“ถ้าให้ข้าพูด...เดิมทีประตูอสูรเป็นของเล่นที่พระเจ้าส่งมาลงโทษมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่  เป็นเกมที่ให้พี่ชายข้าได้รับการสั่งสอน  แต่เขาแข็งแกร่งเกินไปอีกทั้งยังมีพลังมืดชี้นำทำให้เขาใช้อสูรทำลายมนุษย์  พี่ข้าสังหารตัวนำพลังด้านมืดนั้นและควบคุมอสูรทั้งหมด  พระเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้  ตัวข้าเลยต้องเข้าร่วมเกมนี้เพื่อหยุดยั้งร่วมกับคนที่เจ้าเรียกว่าผู้วิเศษ  ซึ่งถูกพระเจ้าส่งมาอีกทีหนึ่ง”


ท่านลูซิฟรานเหม่อลอยไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยต่ออีกว่า  “เกมในคราวนั้นจบลงที่ข้าสามารถรวบรวมกุญแจและปิดประตูลงได้  ทุกอย่างควรจะจบลงแค่นั้น  เสียทีข้าใจอ่อนเกินไปจึงไว้ชีวิตพี่ชายจนทำให้เขากลับมาแก้แค้นอีกครั้ง”


“หมายความว่าครั้งนี้ก็เป็นเกมของพระเจ้าอีกหรือ?”


“เปล่า  ถ้าครั้งนี้เป็นเกมของพระเจ้าเรื่องก็คงไม่วุ่นวายหรอก”  เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มแห้ง  “ครั้งนี้ประตูอสูรนั่นเป็นฝีมือของลูซัส  เขาเป็นคนสร้างกุญแจและใช้ทายาทตระกูลเปิดประตูขึ้นมา  ไม่มีกุญแจให้พวกเจ้าไปตามหาเพื่อปิดประตู”


ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  “แล้วหนทางที่จะปิดล่ะ?”


“ก็คงต้องฆ่าลูซัสอย่างเดียว  พูดก็พูดเถอะ  เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อพันปีที่แล้วอีก  แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถเดาได้ว่าจะมีใครสามารถเอาชนะเขาได้หรือเปล่า  ในตอนนี้น่ะนะ”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นทำให้ข้ากังวลก่อนที่จะเสริมว่า  “อีกอย่างหนึ่ง  ด้วยนิสัยของเขาแล้วสิทธิ์การครองประตูตอนนี้อาจจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวก็ได้”


“หมายความว่ายังไง?”


“การเปิดประตูนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาล  และพูดได้เลยว่าเรื่องมาก  ประตูจะสูบพลังเรื่อยๆ  จนทำให้ร่างกายรับไม่ไหว  ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการถือครองประตูด้วยกันสองคน”


“แสดงว่ามีคนอื่นอีกควบคุมประตูอสูรไว้?”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  ก่อนจะนึกขึ้นมาได้  “ลูซัสหลอกใช้เสด็จพ่อของข้าเปิดประตู  งั้นอีกคนที่ว่าก็คือเสด็จพ่อของข้าใช่หรือไม่?”


“ไม่มีทางหรอก”  แต่เขากลับปฏิเสธเสียงเรียบ  “คนตายแล้วจะถือครองสิทธิ์ไม่ได้  สิทธิ์จะถูกถ่ายทอดไปยังผู้สืบสายเลือดต่อไปเรื่อยๆ”


“แล้วตอนนี้สิทธิ์ที่ว่าจะอยู่ที่ใครกันล่ะ?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสับสน  เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิดก่อนจะตอบ 


“ข้าคิดว่าลูซัสเองก็คงไม่แน่ใจ”


“ไม่แน่ใจ?”


“จากที่ข้าเฝ้าดูเจ้าผ่านโซแวน  การที่เขาปรากฏตัวขึ้นในวันพิธีคราวก่อนก็คงเพื่อดึงเจ้าให้ตกต่ำลง”  เขาอธิบายขึ้น  “เพราะทั้งข้าและเขาต่างก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน  ลูซัสเองก็เคยแอบไปตีท้ายครัวราชินีบางคนของคาร์ไลน์เพื่อสืบทอดลูกหลานของตัวเองด้วย  เพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็พูดได้ว่าสายเลือดกษัตริย์คาร์ไลน์นั้นสามารถถือครองได้ทั้งประตูแห่งอำนาจและประตูอสูร”


ท่านลูซิฟรานถอนหายใจก่อนจะพูดต่ออีกว่า  “และการที่จะควบคุมประตูได้  ผู้ถือครองก็จะต้องตกต่ำลงไปสู่ด้านมืด  การที่ลูซัสพยายามจะดึงเจ้าลงไปโดยใช้คำสาปเกลียดชังก็อาจเป็นเพราะต้องการให้เจ้าควบคุมประตูอสูรก็ได้”


“ข้าไม่อยากทำแบบนั้น”  สิ้นเสียงของข้า  ท่านลูซิฟรานก็หัวเราะก่อนจะบอกว่า  “ข้ารู้ๆ  ไม่มีใครอยากทำแบบนั้นทั้งนั้นแหละ  เพราะฉะนั้นก็อย่าตกลงไปล่ะ”


เขายกยิ้มขึ้นขณะเข้ามาลูบศีรษะของข้า  หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็ถามท่านลูซิฟรานว่า  “ถ้าท่านบอกว่าสายเลือดกษัตริย์คาร์ไลน์สามารถเปิดประตูทั้งสองก็หมายความว่าข้าเองก็สามารถเปิดประตูแห่งอำนาจได้ใช้ไหม”


“อ๋อ  นั่นเป็นกรณีพิเศษน่ะ”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะบอกว่า  “เพราะข้าที่เป็นผู้ถือครองประตูแห่งอำนาจยังมีชีวิตอยู่  สิทธิ์จึงยังไม่ได้ถ่ายทอดไปหาใคร  เจ้าแค่มีโอกาสสืบทอดต่อเท่านั้น”


“แล้วท่านสามารถเปิดมันได้ไหม”  ข้าลองถาม  ประตูแห่งอำนาจเองก็เป็นหัวใจหลักในการปิดประตูอสูร


ท่านลูซิฟรานยกยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าก่อนจะส่ายหน้า  “เสียใจด้วย  ร่างกายข้าตอนนี้ไม่ไหวแล้วล่ะ”


“เอ๊ะ?”


“อยู่มาเป็นพันปีแล้ว  ร่างกายข้าก็ย่อมเสื่อมถอยลงเป็นธรรมดา  คงจะไปแก้ไขอะไรเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะ”  เขาขืนยิ้มก่อนจะเสริมว่า  “แต่อย่าห่วงเลย ข้าเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ  ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เตรียมการแทรกแซงการเล่นเกมระหว่างลูซัสกับพระเจ้าไว้”


“ท่านต้องการจะบอกอะไร?”  ข้าขมวดคิ้วด้วยความสับสน  ท่านลูซิฟรานยกนิ้วมาทางข้าก่อนจะบอกในจุดประสงค์ของเขา  “ต่อจากนี้เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของข้า...แลกกับการถอนคำสาปให้”


“หา?”


“ข้าใช้เวลาศึกษามันอยู่ร่วมห้าร้อยปี  ในที่สุดก็รู้ทางแก้ของมัน”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะตรงเข้ามากดข้าไว้กับพื้นแล้วพึมพำคาถาหนึ่งออกมา  เสียงวงเวทกรีดผ่านพื้นหินดังอย่างต่อเนื่องจนทำให้ตอนนี้ตัวข้าอยู่ท่ามกลางวงเวท


“เป็นคำสาปที่โหดร้ายว่าไหม...”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะพึมพำอย่างเศร้าสร้อย  “แม้แต่วิธีแก้ก็ยังโหดร้าย”


“ท่านคิดจะทำอะไร”  ข้าเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเขายกดาบวิเศษขึ้น  ท่านลูซิฟรานขืนยิ้มก่อนจะบอกว่า  “ไม่ต้องกังวล  เจ็บแค่นิดเดียวเอง”


ร่างกายของข้าถูกตรึงกับพื้นโดยที่ทั้งขาและแขนไม่สามารถขยับได้ 


“ทางแก้วิธีเดียวคือการตายด้วยดาบนี่”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้ข้าชะงัก แต่ท่านลูซิฟรานกลับหันมายิ้มให้ข้า  “ไม่ต้องกลัว  เจ้าจะไม่ตายหรอก  ข้าจะชุบชีวิตเจ้าด้วยพลังของข้า  ถึงแม้ว่าจะอยู่ได้ไม่นานเท่าแต่ก็จะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไปร่วมร้อยปี”


“เดี๋ยว  แล้วท่านล่ะ...”  ข้าแย้งขึ้น  ท่านลูซิฟรานยกยิ้มอันเศร้าสร้อยขึ้นก่อนจะบอก  “ข้าไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”


สิ้นประโยคนั้นแสงจากพลังเวทก็สว่างขึ้น  แม้ว่าคิดจะต่อต้านเพื่อคุยกับท่านลูซิฟรานมากกว่านี้แต่ข้าก็ถูกกดทับด้วยพลังจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้  เขากรีดนิ้วของตัวเองจนเลือดอาบก่อนจะสอดเข้ามาในปากของข้าแล้วพึมพำคาถาบางอย่าง


พลังเวทสายหนึ่งไหลเวียนเข้ามาในตัวข้าทำให้รู้สึกร้อนรุ่มไปหมด  ก่อนที่เขาจะลุกแล้วเงื้อดาบขึ้นก่อนจะแทงเข้าที่อกของข้าทันที 


“ฮึก  อ้าก!!”  ข้าร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด  รู้สึกเหมือนเลือดในกายกำลังกรีดร้องเพื่อที่จะออกมา  ทั่วทั้งร่างร้อนรุ่มดังเปลวไฟกำลังแผดเผาและเจ็บปวดถึงที่สุด  แต่ถึงแบบนั้นก็รู้สึกได้ว่าคำสาปกำลังไหลออกไป


ท่านลูซิฟรานดึงดาบออกทำให้ข้ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่  ก่อนที่เขาจะดึงข้าเข้าไปจูบ  สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและพลังบางอย่างที่ไหลตรงเข้าไปรักษาแผลที่ถูกแทงเมื่อครู่  ข้าที่ใกล้สิ้นใจพลันรู้สึกเหมือนเลือดลมกลับมาเดินอีกครั้งแต่สติกลับวูบลง


ข้าเห็นรอยยิ้มของท่านลูซิฟานเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่จะหลับไป

...

ตุ้บ!

เขาจงใจปล่อยร่างผอมบางนั้นให้นอนลงกับพื้นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรับรู้ได้ถึงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะของอีกฝ่าย  อย่างน้อยก็สามารถช่วยไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด


เขารู้มาตลอดว่าดาบวิเศษคู่เมืองคาร์ไลน์นี่สามารถจัดการกับคำสาปได้  แต่นั่นก็หมายถึงความตาย  เวลานั้นที่ลูซิฟรานเตรียมใจจะใช้มันเพื่อปลดตัวเองจากความทุกข์  เขาก็รับรู้ได้ว่าลูซัสจะไม่หยุดเพียงเท่านี้


ลูซิฟรานรู้เจตนาของพี่ชายตนดีว่าคิดจะทำอะไร


จะต้องมีใครสักคนโดนคำสาปเหมือนกับเขา  และมนุษย์ทั้งโลกก็จะถึงการสูญสิ้น


‘เขาผู้นั้น’  เพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด  เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อแทรกแซงเกมบ้าบอนี่  แม้จะถูกคนทั้งโลกเกลียดชังหรือต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ไม่สนใจ


เพื่อคนผู้นั้น...เขาถึงยังมีชีวิตอยู่  แม้จะถูกเมินเฉยมาตลอดก็ตาม


“ลูซิ...ฟราน”  เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่จ่อดาบเข้าหาตนเองชะงักแล้วหันไปมองด้วยความแปลกใจก่อนจะเลิกคิ้ว 


“ไม่คิดว่าเจ้าจะมานะ...”


มุมปากของลูซิฟรานพลันยกขึ้น  เป็นยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกอื่นเจือปนนอกจากความยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง


ผู้วิเศษเดินตรงเข้ามายังวิหารด้วยสีหน้าไม่สู้ดีแล้วหันไปมองรอบๆ  โซแวนยังถูกขังไว้ด้วยเถาวัลย์หนาม  ส่วนทีอารีนหมดสติอยู่ที่พื้น


“เจ้าทำอะไร”


“แค่เปลี่ยนทิศทางของเกมนิดหน่อย”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะยกยิ้ม  “ดีใจที่เจ้ามาทันนะ”


“หา?”


“ถ้างั้น  วาระสุดท้ายของข้า...”  ลูซิฟรานยื่นดาบที่ถืออยู่ให้ผู้วิเศษ  ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถถือได้แม้จะไม่ใช่กษัตริย์ของคาร์ไลน์  “ช่วยจัดการที”
------------TBC----------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 19
เจตจำนงค์ของปฐมกษัตริย์

“พูดอะไรของเจ้า  มันจะเป็นไปได้ยังไง  หรือว่า...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหูก่อนจะหันไปมองทีอารีนแล้วเบิกตากว้าง  “เจ้าทำอะไรเขา”


“ข้าแค่แก้คำสาปให้เขา  เด็กคนนี้ยังต้องเดินหน้าต่อไปข้าเลยมอบพลังอมตะให้เขาไปด้วย”


“เจ้าจะบ้าหรือไง!”  ผู้วิเศษตะคอกขึ้นเสียงดังแล้วค้าคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโห  “เจ้าทิ้งความเป็นอมตะแล้วจะตายตรงนี้หรือ!”


“ชู่ว  เบาหน่อยสิ  เดี๋ยวเขาก็ตื่นหรอก”  ทว่าลูซิฟรานกลับปัดมือเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อนแล้วสวนกลับไปว่า  “เจ้าห่วงว่าข้าจะตายด้วยเหรอ”


ผู้วิเศษนิ่งเงียบไป  ทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมา  “แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่ได้ไยดีข้าอยู่แล้วนี่  ต่อให้ข้ารักเจ้ามากเพียงใดเจ้าก็ไม่ตอบรับ  แล้วทีนี้จะมาเป็นห่วงเหรอ...มันสายไปแล้ว”


“แต่ความตายของเจ้ามีแต่จะทำให้มันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น”


“อ้อ...เจ้าไม่ได้ห่วงว่าข้าจะตายสินะ  ที่ห่วงก็แค่ต่อจากนี้ลูซัสจะบ้าคลั่งขึ้นมากกว่าเก่า”  ลูซิฟรานรู้ดีว่าหากตนตายไป  ลูซัสก็จะก่อความรุนแรงเพิ่ม  เขาถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร


นั่นเป็นเพราะเขานึกสมเพชตัวเองที่ดันคิดว่าคนตรงหน้าจะมีเยื่อใยบ้าง


“เจ้ามันก็แค่ตุ๊กตาไร้หัวใจจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นตอกหน้าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา  แต่เพียงแวบเดียวก็กลับมายิ้มให้  “ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงร้องไห้น้ำตาตกใน  แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว”


“เจ้าก็พบรักที่แท้จริงแล้วนี่”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้ลูซิฟรานหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่เขาซ้ำๆ  “ใช่แล้ว  ข้าพบเขา  ห้าร้อยปีก่อน  เขารักข้าจากใจจริงไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด  แถมเรายังมีลูกด้วยกันด้วย  เป็นครอบครัวแสนสุขเลยล่ะ”


ลูซิฟรานเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “ทั้งที่เป็นคิเมร่า  แต่กลับอ่อนโยนกว่ามนุษย์เสียอีก”


ผู้วิเศษเหลือบไปมองโซแวนที่ห่างออกไปก่อนจะหันกลับมาหาคู่สนทนาที่ยินดีเล่าอย่างไม่ปกปิด


“ก็ตามที่เจ้าสงสัยมาตั้งแต่แรก  เขาเป็นลูกชายของข้า  ถึงโซแวนจะคิดว่าข้าใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมเรื่องในปราสาทแต่ก็ใช่ว่าข้าจะเกลียดเขานะ”


“เจ้าก็รักกับคนรักของเจ้าดีนี่”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  อีกฝ่ายยิ้มเงียบๆ  อยู่พักหนึ่งแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาคว้าเสื้อของเขาไว้  ใบหน้างดงามนั้นซุกลงกับแผงอก


“เขารักข้า...และข้าก็รักเขา  แต่ทำไมกันตอนที่เขาตายไปข้ากลับไม่ร้องไห้เลยสักนิด  แถมยัง...แถมยังไม่เคยลืมเจ้าเลยสักวัน”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ  เขากำเสื้อของอีกฝ่ายแน่นขณะที่ปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลออกมาโดยห้ามไม่อยู่  เขาต้องการสัมผัสจากอีกฝ่ายมากกว่านี้แม้รู้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้


“เจ้ามันคนใจร้าย  ใจร้ายที่สุด...”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำตา  เขารู้ตัวดีว่าคนตรงหน้าจะไม่มีการเห็นใจใดๆ  ทั้งสิ้น  ทว่าลูซิฟรานกลับคิดผิดเมื่อผู้วิเศษโอบกอดเขาไว้


“อย่าร้องไห้เลย”  เป็นประโยคแสนอ่อนโยนที่เขาเคยได้ยินประจำ  และมันก็ทำให้น้ำตาของลูซิฟรานหายไปได้  อาจเป็นเพราะว่าแปลกใจมากกว่า 


เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น  ผู้วิเศษยกยิ้มให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า  “เจ้าเหนื่อยมานานแล้ว  ข้าจะทำตามประสงค์ของเจ้าแล้วกัน”


“เพิ่งเห็นใจกันหรือ”  ลูซิฟรานแค่นยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้น  “งั้นฆ่าข้าสิ”


“นั่นคงไม่ได้”  ผู้วิเศษปฏิเสธแทบจะทันทีทำให้เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมา 


“แต่ข้าก็ขอยืนยันคำเดิม  ฆ่าข้าซะ”


“พลังของเจ้าจำเป็นสำหรับการต่อสู้กับลูซัส”


“ผู้วิเศษ...ร่างกายข้าตอนนี้ไม่ไหวแล้ว  ข้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว  พลังก็แบ่งให้พวกเขาไปด้วย”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจแล้วอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงเบาโหวง  “ให้ข้าได้พักบ้างเถอะ  อยู่มาพันปีแล้วเหนื่อยจะตาย”


“แต่วิญญาณเจ้าอาจถูกช่วงชิงไปได้นะ...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเพราะเขาไม่คิดว่าลูซัสจะยอมรามือจากลูซิฟรานง่ายๆ


“อะไร  เป็นห่วงข้าหรือ”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นพลางขืนยิ้ม  “งั้นก็ปกป้องข้าไว้จนกว่าเทวทูตจะมารับวิญญาณสิ”


“นี่เจ้าจะตายให้ได้เลยใช่ไหม”


อีกฝ่ายหัวเราะก่อนที่จะถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “ข้าอยากจะหลุดพ้นจากคำสาปบ้าๆ  นี้แล้ว  ทำให้มันจบๆ  ไปสักที”


ลูซิฟรานกุมมือที่จับดาบของผู้วิเศษไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า  “ข้าอยากตายด้วยฝีมือของคนที่ข้ารัก  ช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริงหน่อยไม่ได้หรือ”


ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง  ตอนนี้อารมณ์ตัวเขาแปรปรวนไปหมดด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามา  ความทรมานนับพันปีที่ผ่านมา  เขาอยากหลุดพ้นไปเสีย


ผู้วิเศษกัดฟันแน่น  แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนักแต่ตัวเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวด  หลังจากลังเลอยู่นานในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจับดาบขึ้นแล้วแทงไปที่กลางอกของอีกฝ่าย


ลูซิฟรานแสดงความเจ็บปวดผ่านสีหน้ามาแวบหนึ่งก่อนจะกัดฟันแล้วฝืนยิ้มขึ้นมา  รอบข้างของเขาปรากฏวงเวทขึ้นด้วยพลังของดาบทำให้คำสาปถูกกำจัดไป  แต่ตัวเขาที่ไม่มีพลังฟื้นฟูแล้วก็ไม่สามารถรักษาบาดแผลได้


ผู้วิเศษถอนดาบออกก่อนจะปล่อยให้มันร่วงลงแล้วประคองร่างผอมบางนั้นไว้  ลูซิฟรานยกมือที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงของตนขึ้นกอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ขอบคุณนะ  ที่เหลือก็...ขอฝาก...พวกเขา...ไว้...ด้วย”


เสียงนั้นแผ่วเบาลงพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่ร่วงลงมาแนบลำตัว  ผู้วิเศษยังคงประคองร่างนั้นไว้ขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


เมื่อผู้ใช้ตายไป  พลังเวททั้งหมดก็เสื่อมลง  โซแวนจึงได้เป็นอิสระทันทีที่ตกลงมาบนพื้นเขาก็รีบเดินเข้ามาหาแม้ตัวเองจะยังเจ็บอยู่  ทำให้ผู้วิเศษที่กำลังวางร่างของลูซิฟรานไว้บนพื้นเงยหน้าขึ้นมอง


โซแวนนิ่วหน้าขณะคุกเข่าลงกับพื้น  ตัวเขาแม้จะเคยรู้สึกไม่ชอบที่ผู้ให้กำเนิดแท้ๆ  คนนี้ทำเหมือนเขาเป็นของเล่น  แต่ก็รู้ตัวดีว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อีกฝ่ายเพียรพยายามทำนั้นก็เพื่อตัวเขาและมนุษย์บนโลก


เขาอยู่ตรงนี้มาตลอดแต่ไม่สามารถห้ามหรือพูดอะไรกับอีกฝ่ายได้เลย


ทั้งที่จริงเขาเองก็ยังอยากจะบอกรักในฐานะลูกชายคนหนึ่งอยู่


ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองร่างที่เริ่มเย็นเฉียบ  จับมือของลูซิฟรานไว้แน่นขณะพร่ำคำที่อยากจะเอ่ยในใจ  ทั้งคำขอโทษ  คำสารภาพ  คำบอกรัก   เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เนื่องจากพยายามกลั้นน้ำตาไว้  แต่รอบข้างนั้นเงียบสนิททำให้เสียงสะอื้นของเขาดังออกมา


“ข้าขอโทษ...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนด้วยความสำนึกผิด  แต่โซแวนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย  ลูซิฟรานเป็นคนเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างเอง  เพื่อจบชีวิตอันแสนทรมานของตน


“เจ้าไม่ผิดอะไร”  เขาฝืนเอ่ยขึ้นขณะเช็ดน้ำตาบนใบหน้า  ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และไอโขลกจากทีอารีน  ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไป


เด็กหนุ่มคนนั้นเด้งตัวขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ  ด้วยความกังวลแล้วมาหยุดสายตาที่พวกเขา  หรือจะพูดให้ถูกคือลูซิฟราน


“ไม่จริง...”  ทีอารีนเอ่ยออกมาเสียงสั่นแล้วคลานเข้ามาใกล้ร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง  “ทำไมกัน...ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”


ทีอารีนเอ่ยขึ้นเสียงสะอื้น  แม้ว่าตนจะหลับไปแต่ภาพฝันที่เห็นนั้นกลับเป็นเรื่องของลูซิฟรานที่หลั่งไหลมาพร้อมกับพลังที่เสียสละให้เขา ความรู้สึกทั้งมวลของอีกฝ่าย  ความปรารถนา  และความโดดเดี่ยวนั้นเขารับรู้ได้ทั้งหมด


โซแวนดึงเขาเข้าไปปลอบทั้งที่ตัวเองยังมีน้ำตาไหลออกมาอยู่  ผู้วิเศษหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะยืนขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นเพื่อย้ำเตือน


“พวกเจ้าจงแข็งแกร่งขึ้นซะ”


ทั้งโซแวนและทีอารีนเงยหน้าขึ้นก่อนที่ผู้วิเศษจะเอ่ยขึ้นต่อว่า  “ลูซิฟรานฝากปณิธานของตนเองไว้กับพวกเจ้าแล้ว  หากไม่อยากให้การตายของเขาเสียเปล่า  ก็จงลุกขึ้นสู้ตั้งแต่ตอนนี้เสีย”


โซแวนได้ยินดังนั้นแล้วจึงกัดฟันกรอดก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วน่า”


ผู้วิเศษเผยยิ้มให้ทั้งสองเป็นการปลอบใจก่อนที่จะชะงักแล้วหันกลับไปทางหน้าวิหาร  เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำทะมึน


ลูซัสเดินตรงเข้ามาในวิหารก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นน้องชาย  ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธมองตรงไปยังผู้วิเศษทันที 


“แก!  แกบังอาจมาพรากเขาไปจากข้า”


“เสียใจด้วยลูซัส  แต่ข้าไม่ได้พรากเขาไป  เป็นความปรารถนาของเขาเอง”


“ลูซิฟรานต้องอยู่กับข้า  เขาต้องรักข้าเพียงคนเดียว  แต่แกกลับ...แกกลับทำให้ทุกอย่างที่ข้าทำให้เขาพังทลาย”  ลูซัสระเบิดความโกรธแค้นออกมาด้วยรูปของไอเวทที่รุนแรงขึ้นทำให้ผู้วิเศษต้องกางข่ายเวทป้องกัน


เพียงแค่มองอีกฝ่าย  ทีอารีนก็นึกถึงเรื่องของลูซิฟรานที่ถ่ายทอดมาให้เขา  นั่นทำให้เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ 


“ที่เขา...ที่ท่านลูซิฟรานต้องทุกข์ทรมานมาตลอดเพราะเจ้าไม่ใช่หรือยังไง!”  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเขาสั้นๆ  ก่อนจะตะโกนออกมา  “เพราะเจ้า  เขาถึงต้องเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น”


ลูซัสนิ่งลงไป  ไอเวททั้งหมดอ่อนลง  ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะเสียงต่ำแล้วเงยหน้าขึ้น  “พูดอะไร  การที่เขาทรมานน่ะสิดี  ยิ่งแสดงความเจ็บปวดมากเท่าไรข้าก็ยิ่งรู้สึกดีมากเท่านั้น”


ทีอารีนชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มน่ากลัวปรากฏขึ้นบนหน้าอีกฝ่ายขณะที่ชี้มาทางเขา


“ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาอยู่กับเจ้า  ถ้างั้นข้าก็จะชิงเอามาไว้ในมือเอง”

------------------------------
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ แฮะๆ  :pig4:

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 20
การปะทะของทั้งสองฝ่าย

“หมอนี่มันบ้าไปแล้ว”  โซแวนสบถขึ้นอย่างหงุดหงิด  ดวงตาของลูซัสตอนนี้เต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่พร้อมจะปลิดชีพคนอื่นได้ทุกเมื่อ

“ช่วยปกป้องสองคนนั้นด้วยนะ”  ผู้วิเศษหันมาเอ่ยขึ้นกับเขาซึ่งคงหมายถึงทีอารีนและร่างและดวงวิญญาณของลูซิฟราน  โซแวนเรียกอาวุธของตนออกมาเตรียมพร้อมไว้จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย 

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้าคงต้องสู้กับเขา”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร  เขาขยับแขนเสื้อให้พอดีจากนั้นก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย  “ต้องขอโทษด้วย  แต่ดูท่าว่าเจ้าจะไม่ยอมถอยไปง่ายๆ  สินะ”

“นานแล้วนะที่เราไม่ได้สู้กันแบบนี้”  อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มพุ่งเข้าหากันและเรียกอาวุธของตนออกมา  ลูซัสเรียกดาบของตนออกมาฟาดฟันใส่ด้วยความรวดเร็ว  ทว่าผู้วิเศษเองก็สามารถยกคทาขึ้นป้องกันได้ทันและปัดอีกฝ่ายออกไป

แต่ลูซัสไม่ได้คิดจะสู้คนเดียว  เขาดีดนิ้วขึ้นรอบตัวก็ปรากฏวงเวทสีดำหลายวงก่อนที่จะมีอสูรโผล่ออกมา  มีทั้งพวกที่มีรูปร่างประหลาดและตนที่เหมือนมนุษย์

“จัดการพวกมัน  พาเด็กนั่นมาให้ได้”  คำสั่งของลูซัสดังขึ้นทำให้พวกมันหันมาจ้องทางพวกทีอารีนทันที  ผู้วิเศษเตรียมจะจัดการพวกมัน  แต่ก็ถูกขัดขวางเสียก่อน

“คู่ต่อสู้ของเจ้าก็คือข้า”  ลูซัสแสยะยิ้มขึ้นขณะยกดาบขึ้นเตรียมจะฟันใส่อีกฝ่ายแต่ผู้วิเศษก็ยกขึ้นกันได้แล้วเหลือบสายตาไปมองพวกทีอารีน

“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้หรอกน่า”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะที่ยกดาบขึ้นจัดการอสูรที่พุ่งเข้ามาหา  ตัวเขานั้นได้รับพลังเวทเสริมจากทีอารีนที่อยู่ด้านหลัง  ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีอะไรน่าห่วง  แต่ก็วางใจไม่ได้

“อย่าประมาทเด็ดขาดนะ”  ผู้วิเศษตะโกนเตือนก่อนจะหันไปรับมือกับลูซัสอย่างจริงจัง 

โซแวนตวัดดาบของตนไปมาเพื่อจัดการกับอสูรชั้นปลายแถวที่กรูกันเข้ามาอย่างบ้าเลือด  เขาจึงต้องออกแรงมากกว่าเก่า  จำนวนนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่สิ่งที่ทำให้จิตใจเขาอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขก็คืออสูรที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างหาก

เขาเคยเผชิญหน้ากับอสูรที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มาแล้วและฝีมือพวกนั้นต่างชั้นกันมาก  หากไม่ทันระวังตัวก็มีสิทธิ์บาดเจ็บหนักได้

โซแวนฟาดฟันใส่พวกอสูรที่กรูกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยสายตาก็มักจะหันไปมองอีกฝ่ายด้วย  มันแสยะยิ้มขึ้นทำให้เขาชะงักและเพียงแค่ชั่วจังหวะหายใจนั้นร่างของอสูรตนนั้นก็หายไปในพริบตา  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดก่อนจะหันไปตามพลังเวทที่ตกค้าง

“ทีอารีน!”  เขาเรียกเด็กหนุ่มด้วยความตกใจเพราะอสูรตนนั้นไปปรากฏตัวด้านหลังของอีกฝ่าย  ทีอารีนหันกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะกางข่ายเวทคุ้มกันขึ้นทันทีเมื่อถูกจู่โจม

“โห่  ไวดีนี่”  อสูรตนนั้นเอ่ยขึ้นขณะถอยออกมา  “ข้าชอบอะไรที่มันตื่นเต้นแบบนี้”

“ไม่เป็นอะไรนะ”  โซแวนเข้ามาถามทันทีด้วยความเป็นห่วง  ก่อนจะหันกลับไปจัดการอสูรอีกตนที่พุ่งเข้ามา  “โธ่เว้ย  ไอ้พวกนี้ยังมากันไม่เลิกอีก”

“ลูซัสเป็นคนเรียกพวกมันมา  ต้องขัดขวางเขา”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงโซแวนลงมาอยู่ข้างตัวแล้วถามว่า  “มีที่ไหนที่จะให้ท่านลูซิฟรานพักอย่างสงบบ้าง”

“ทำไม  อยู่กับเจ้าก็ดีแล้วนี่”

“ข้าไม่อยากนั่งดูให้เป็นภาระเจ้าหรอกนะ  ให้ข้าสู้ด้วย”  ทีอารีนเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าแน่วแน่ก่อนจะชี้แจง  “อีกอย่างให้ศพท่านอยู่ท่ามกลางการต่อสู้แบบนี้แล้วไม่ค่อยดีเท่าไร”

“เฮ้อ  เข้าใจแล้ว”  โซแวนเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาพร้อมกับแบกศพของลูซิฟรานขึ้นแล้วหันไปกำชับกับทีอารีนว่า  “อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ”

จากนั้นเขาก็หายไปจากตรงนั้น  เนื่องจากป่าแห่งนี้เคยเป็นสถานที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กโซแวนจึงรู้ที่ทางเป็นอย่างดี  เขาโผล่ไปในถ้ำที่ห่างออกไปซักเล็กน้อย  กำชับฝูงแฟรี่ที่ดูแตกตื่นให้ดูแลร่างของลูซิฟรานไว้แล้วกลับมาทันที

ทีอารีนกำลังยึดอีกฝ่ายไว้ด้วยโซ่เวทมนตร์ที่เรียกออกมาจากพื้น  ดูเหมือนอสูรตนนั้นก็ยังพยายามจะเข้าหาอีกฝ่ายตลอดแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ยอมให้อสูรตนไหนเข้าใกล้

โซแวนกระโดดไปกำจัดพวกอสูรปลายแถวให้หายไปก่อนจะเข้าไปถามทีอารีนเพื่อความแน่ใจว่า  “เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“อื้ม  ข้าไม่เป็นอะไร”  ทีอารีนตอบก่อนที่จะหันไปร่ายเวทปัดอสูรตนหนึ่งออกห่างจากตัวก่อนที่โซแวนจะตวัดดาบจัดการมันซ้ำ  ในขณะนั้นเองที่อสูรมนุษย์จะหลุดพ้นจากพันธนาการของโซ่ได้และตรงเข้ามาโจมตีทันที

โซแวนยกดาบขึ้นป้องกันไว้แล้วผลักอีกฝ่ายออก  มันแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยปากชม  “เหอะ  ฝีมือดีนี่  ข้าชักจะสนุกแล้วสิ”

“ข้าก็เหมือนกัน”  ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นแล้วกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้น  “เบื่อที่จะสู้กับพวกปลายแถวแล้ว  อยากรู้เหมือนกันว่าอสูรอย่างเจ้าจะแน่สักแค่ไหน”

“เหอะ  แต่เจ้าไม่ขี้โกงไปหน่อยหรือ?”  ทว่าอีกฝ่ายกลับท้วงขึ้นทำให้โซแวนแปลกใจ  ก่อนที่มันจะชี้ไปทางทีอารีน  “เจ้ามีเขาช่วยตลอดนี่  คิดจะพึ่งพาเด็กไปเรื่อยๆ  หรือไง  หา?”

“โซแวน  อย่าหลงคำยั่วยุของมันนะ”  ทีอารีนเอ่ยเตือนขึ้นด้วยความกังวลว่าจะเป็นแผนของอีกฝ่าย  แต่โซแวนกลับยิ้มและย้อนอีกฝ่ายกลับไป 

“ไม่หรอก  แค่ไม่อยากขัดใจฝ่าบาทก็เท่านั้นเอง  และสำหรับเจ้าต่อให้ไม่มีเวทช่วยข้าก็คิดว่าชนะได้สบาย”

“ว่ายังไงนะ!?”  อีกฝ่ายหรี่ตาลงด้วยความหงุดหงิด  “น่าสนุกนี่  มาเจอกันหน่อยเป็นไง” 

“ทางนี้เองก็กำลังต้องการแบบนั้นอยู่เลย”  โซแวนแสยะยิ้มขึ้นก่อนที่จะหันมาหาทีอารีน  “ทีอารีน  ถอนเวทเสริมทั้งหมดจากข้าด้วย”

“หา?  เจ้าจะบ้าหรือไง  บอกแล้วว่าอย่าไปหลงคำยั่วยุมันน่ะ”  ทีอารีนตวาดกลับทันทีแต่โซแวนก็ไม่ฟัง 

“ไม่ต้องห่วงน่า  ข้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่คิดสักหน่อย  เจ้านี่น่ะจัดการได้สบาย” 

“เฮ้อ  เจ้านี่มัน...”  เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหาคำไหนมาต่อว่าดี  แต่เห็นสายตาเอาจริงแบบนั้นก็คงห้ามอะไรไม่ได้จึงถอนเวทที่ใช้เสริมให้อีกฝ่ายออก

โซแวนกระตุกยิ้มแล้วก้าวออกมาห่างจากทีอารีน  “ทีนี้ก็สามารถสู้กันได้แล้วใช่ไหม”

“เหอะ  ถึงข้าจะอยากสู้ตัวต่อตัวกับเจ้าก็เถอะ  แต่ว่านะ...เป้าหมายของพวกข้าคือเด็กนั่นต่างหาก”  สิ้นเสียงนั้น  อสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นเพิ่มอีกห้าคน  แต่ละคนนั้นต่างก็มีเค้าไอเวทความมืดแพร่ออกมาอย่างมหาศาล

แต่โซแวนกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านและกระตุกยิ้ม  “น่าเสียดายนะ  เพราะทางพวกข้าก็ต้องปกป้องเด็กคนนี้เหมือนกัน  ที่เหลือก็ฝากด้วยละกัน  เร็น”

“ไม่ต้องบอกก็รู้ขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นขณะก้าวมายืนเคียงข้างทีอารีน  ก่อนจะก้มหัวให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม  “ขออภัยที่ให้รอนานนะพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”

“ช้ามาก  กว่าเจ้าจะยอมส่งสัญญาณ  รู้ไหมว่าข้ากังวลแทบจะตายเลยนะ”  นอร์ธวินด์บ่นปนตำหนิใส่โซแวน  ก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเราะในลำคอแล้วย้อนกลับไปว่า 

“งั้นก็ตายไปเลยสิ”

“อย่ามาล้อเล่นน่า  ตายแบบนั้นไม่สมศักดิ์ศรีสักหน่อย”  นอร์ธวินยังคงบ่นตามมา  “เจ้าเองก็อย่าตายซะล่ะ” 

“รู้แล้วล่ะน่า”  ชายหนุ่มเสยเส้นผมสีแดงขึ้นจากใบหน้า  ดวงตาสีทองนั้นทอสัญชาตญาณสัตว์ป่าออกมาอย่างเด่นชัด  “งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า  คุณอสูร”

“อึก”  อสูรตนนั้นกัดกรอกก่อนที่จะรีบป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วของโซแวนไว้  ร่างของทั้งคู่ไถลห่างออกจากจุดเดิมก่อนที่จะเริ่มการปะทะกัน  เช่นเดียวกับอสูรที่เหลือซึ่งตรงเข้ามาหวังจัดการกับทีอารีนแต่ก็ต้องสู้กับพวกเร็น  ที่รีบเดินทางมาหลังจากได้รับสัญญาณจากโซแวน

อีกด้านหนึ่ง  ผู้วิเศษก็กำลังต่อสู้อยู่กับลูซัส  เขาพยายามหลอกล่อให้อีกฝ่ายออกห่างมาไกลพอสมควรเพื่อไม่ให้คนที่เหลือได้รับผลกระทบจากพลังที่แข็งแกร่ง

ลูซัสสะบัดข้อมือเพื่อใช้เวทโจมตีใส่เขาไม่หยุดยั้งแต่ผู้วิเศษก็ทำเพียงแค่ปัดมันออกไปอย่างง่ายดาย  ก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้น  “พอแค่นี้แหละลูซัส  เจ้าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปถึงไหน”

“ข้าไม่หยุด  พวกเจ้าทุกคนจะต้องหายไปให้หมด”  ลูซัสประกาศกร้าวทำให้ผู้วิเศษถอนหายใจออกมา 

“เจ้ามันกู่ไม่กลับไปแล้วจริงๆ”

เขารวบรวมพลังของตนเองไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะวาดแขนออกไปเพื่อโจมตีอีกฝ่ายแล้วถอยกลับมาเล็กน้อย

แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาจะเป็นแค่ผู้ชี้แนะและเฝ้ามองภัยนี้มาตั้งแต่เมื่อพันปีที่แล้ว  รับรู้ถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าแต่เดิมลูซัสจะทำตามคำแนะนำจากความมืดแต่แท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความรัก

เป็นความรักที่บิดเบี้ยวระหว่างลูซัสและลูซิฟราน
-------------------
ต่อเรฟล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 20 ครึ่งหลัง
ลูซิฟรานเองก็รู้ดีว่าพี่ชายแท้ๆ  ของตัวเองชอบ  แต่เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาจึงทำเป็นไม่สนใจ  แล้วใครจะรู้เล่าว่านั่นเป็นสาเหตุให้ลูซัสคิดเปิดประตูอสูร  แต่ก็ไม่ได้รับความรักกลับ  และโชคชะตาก็ช่างเล่นตลกที่ให้ลูซิฟรานมาหลงรักคนอย่างเขา

ผู้วิเศษเองก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้จึงพยายามออกห่างเพราะตนเองนั้นรักใครไม่ได้

ลูซัสที่ต้องการความรักจากน้องชาย  และลูซิฟรานที่ต้องการความรัก  เป็นวังวนที่ไม่มีใครได้พบกับความสุข  อีกทั้งยังทำให้ลูซัสตกลงไปในความมืดเรื่อยๆ

สุดท้ายตัวชายหนุ่มก็ตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งขึ้น  ลูซัสไม่ต้องการให้ใครมาแย่งชิงความรักของลูซิฟรานไปจากเขาได้อีก  และเพราะแบบนั้นเขาจึงคิดค้นคำสาปขึ้นมา

คำสาปที่ทำให้ลูซิฟรานถูกเกลียดชังจากคนรอบข้าง  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหันมารักพี่ชายตนเองได้เลยแม้แต่น้อย

ต่อให้พยายามไปมากเท่าไร  ลูซิฟรานก็ไม่ได้มีใจให้พี่ของตนเลยแม้แต่น้อย  ตอนแรกคิดว่าลูซัสจะตัดใจแต่เปล่าเลย  จนถึงตอนนี้สิ่งที่เขาได้ทำไปก็เป็นชนวนให้อีกฝ่ายทวีรุนแรงขึ้น

อาจจะบอกได้ว่าคนคนนี้วิปลาสไปแล้วก็ว่าได้

ส่วนตัวผู้วิเศษก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์นั้นได้แม้อยากจะช่วยลูซิฟรานสักแค่ไหน  เขาทำได้เพียงแค่เฝ้ามองจนถึงตอนนี้

ลูซัสกำลังจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว...  ผู้วิเศษสรุปในใจเช่นนั้น  การตายของลูซิฟรานเป็นชนวนใหญ่ที่ทำให้เขาบ้าคลั่งมากกว่าเดิม  ทว่าตัวผู้วิเศษเองนั้นก็ไม่ได้คิดห้ามแม้จะรู้แก่ใจดี

เหตุเพราะหนึ่งพันปีที่ผ่านมาลูซิฟรานทรมานมามากพอแล้ว  นี่ควรถึงเวลาพักผ่อนของชายคนนั้น

“ข้าจะทำลายทุกอย่าง  ทุกอย่างที่เขาสร้างมา!”  ลูซัสเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะใช้พลังเวทของตนโจมตีผู้วิเศษซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าจะป้องกันไว้แต่ก็มีบางส่วนที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บ

“อึก”  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดขณะยกมือขึ้นกุมแผลที่แขนซ้าย  ก่อนจะรีบยกมือขึ้นร่ายเวทป้องกันอีก

“เหอะ  เป็นอะไรไป  เจ้าดูอ่อนแอกว่าเมื่อพันปีที่แล้วอีกนะ”  ลูซัสแสยะยิ้มทำให้ผู้วิเศษชะงักไป  “ไม่สิ  ต้องบอกว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้วใช่ไหม?”

“อาจจะ...แต่ว่านะตอนนี้ข้าไม่อยากเสียเวลาคุยกับเจ้าแล้ว”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะขยับเท้าและกางมือออก  ทันใดนั้นเองรอบตัวของลูซัสพลันเกิดข่ายเวทที่ใช้ตรึงขึ้น  อีกฝ่ายชะงักไปทันทีก่อนจะตวาดกลับมา 

“แกคิดจะทำอะไร!”

“ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ก็จริง  แต่คนที่จะกำจัดเจ้าน่ะมีอยู่  ระหว่างนั้นก็คงต้องส่งเจ้าไปที่อื่นเสียก่อน”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้นก่อนจะร่ายคาถา  เกิดหลุมขนาดยักษ์ใต้เท้าลูซัสก่อนที่ความมืดในนั้นจะกลืนกินอีกฝ่ายหายไป  ขณะที่กำลังจมไปนั้น  อีกฝ่ายกลับไม่มีแววตาของผู้แพ้หนำซ้ำยังแสยะยิ้มขึ้น 

“น่าสนุกนี่  เด็กนั่นจะไปได้แค่ไหน  ข้าเองก็กำลังลุ้นอยู่เชียว”

“ไว้ใจได้เลย  เขาต้องฆ่าเจ้าสำเร็จแน่”  เขายกยิ้มขึ้นส่งท้ายก่อนที่หลุมเคลื่อนย้ายจะหายไป  แว่วเสียงปะทะกันยังแว่วมาเรื่อยๆ  ทำให้ผู้วิเศษรู้ว่าอีกฝั่งนั้นยังไม่จบ  “จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?”

อีกด้านหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น  โซแวนรุกไล่อสูรที่ท้าสู้ด้วยอย่างเอาเป็นเอาตาย  ขณะที่อีกฝ่ายเองก็ไม่อ่อนข้อให้  การต่อสู้ของทั้งคู่นั้นราวกับสัตว์ป่าด้วยสัญชาตญาณดิบที่ปล่อยออกมา  ดูสนุกสนานกับการห้ำหั่นกัน  และอาจไม่ใช่แค่โซแวน  แต่เป็นพวกเร็นด้วย

“อย่าประมาทเด็ดขาดนะ”  ทีอารีนร้องเตือนขึ้นด้วยความเป็นห่วง  แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังเขาเลยนอกจากคาร์ริต้าทำให้เจ้าตัวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้  “เจ้าพวกนี้นี่...”

“อย่ากังวลไปเลยเพคะฝ่าบาท  ยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางแพ้ให้แก่อสูรอยู่แล้ว”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่ยกมือขึ้นมากุมมือเด็กหนุ่มไว้  ทีอารีนเหลือบมองมาที่เธอ  เพราะไม่สามารถเดินได้คาร์ริต้าจึงต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลา  และอยู่ข้างเขาเสมอเพื่อปกป้องจากภัยร้าย 

“ต้องขอโทษทีนะที่ทำให้มาลำบากแบบนี้”

“ไม่หรอกเพคะ  การปกป้องฝ่าบาทคือหน้าที่ของหม่อมฉันอยู่แล้ว”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นพลางยิ้มหวาน  ก่อนที่จะหันไปมองตามต้นเสียงที่ดังขึ้น 

“ตายจริง  ยังมีตัวเกะกะเหลืออยู่อีกเหรอเนี่ย”

อสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผู้หญิงเอ่ยขึ้นพลางเหยียดยิ้มแล้วชี้นิ้วไปทางทีอารีน  “ส่งเด็กนั่นมาซะ  ยัยพิการ”

“ตายจริง”  แต่คาร์ริต้ากลับกุมมือเขาไว้แน่นกว่ากันแล้วส่งยิ้มหวานกลับไป  “ไม่มีใครสั่งสอนหรือคะว่าไม่ควรพูดแบบนี้กับคนอื่น”

“ว่ายังไงนะ”

“อ๋อ  ลืมไป  เพราะเป็นอสูรนี่นะ”  หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ยังเยือกเย็น  ผิดกับอีกฝ่ายที่เริ่มหน้าแดงจัดด้วยความโกรธจนใบหน้าสวยนั้นบิดเบี้ยวไป

“ยัยปากดีนี่  สงสัยคงต้องฆ่าแกก่อนเสียแล้ว”  อสูรตนนั้นแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะหยิบแส้ออกมาสะบัดแล้วเอ่ยขึ้นต่อว่า  “แค่ใช้แส้นี่กระชากแกออกมาจากรถเข็นนั่นก็เรียบร้อยแล้ว”

“วางใจได้เพคะ  หม่อมฉันไม่มีทางอยู่ห่างจากพระองค์แน่นอนค่ะ”  อสูรตนนั้นชะงักไปทันทีที่เห็นคาร์ริต้าไม่สนใจตัวเองแต่กลับหันไปปลอบทีอารีนที่อยู่ข้างๆ  ทำให้มันร้องเสียงสูงด้วยความโกรธแล้วฟาดแส้ใช่ทันที 

ตูม!

ทว่าแส้เส้นนั้นไปไม่ถึงเป้าหมายแต่กลับถูกกดลงบนพื้นด้วยเสาน้ำที่พุ่งลงมาใส่  อสูรสาวเบิกตากว้างทันทีก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า  คาร์ริต้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้า  เธอยกมือที่ร้อยเชือกหินสีฟ้าไว้ที่นิ้วมือทั้งห้าก่อนที่รอบตัวจะปรากฏสายน้ำลอยอยู่ในอากาศ

“ข้าน่ะไม่ได้เลือดร้อนแบบพวกผู้ชายหรอกนะคะ  แต่ว่า...ถ้าเจ้ายังยืนยันจะยุ่งกับฝ่าบาทอีกก็คงต้องเอาจริงเสียหน่อย”  หลังจบประโยคแล้ว  หญิงสาวก็กำมือข้างที่ยกขึ้น  ทันใดนั้นสายน้ำที่ไหลวนอยู่รอบตัวก็พลันรวมเป็นรูปร่างของเถาวัลย์เข้าโจมตีอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังตูมตามของการปะทะกับแส้

ทางคาร์ริต้าที่เพิ่งเริ่มสู้กันทำให้เร็นอดเหลือบสายตาไปมองไม่ได้  และนั่นทำให้เขาเกือบโดนเคียวยักษ์ฟันเข้ามาที่คอ  ชายหนุ่มรีบกระโดดถอยหลังหลบไปทันที  อีกฝ่ายเป็นอสูรที่ตัวใหญ่กว่าเขาประมาณหนึ่งเท่าและมีอาวุธใหญ่

“ดูเหมือนเจ้าจะหันไปสนใจทางนั้นบ่อยนะ”  อีกฝ่ายทักขึ้นทำให้เขาชะงัก  แต่ก็ไม่ปฏิเสธอะไร  “แล้วจะทำไมหรือขอรับ”

“กำลังสนใจใครอยู่งั้นเหรอ  แม่สาวสวยคนนั้น?  หรือพ่อหนุ่มนั่น?”    อีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ทำให้เร็นนึกสงสัยขึ้นมา 

“ไม่นึกว่าอสูรก็จะสนใจเรื่องรักๆ  ใคร่ๆ  ด้วยนะขอรับ”

“ไม่เอาน่า  อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”  อีกฝ่ายท้วงขึ้น  “ข้าชอบเรื่องความรักของหนุ่มสาวนะ”

อสูรร่างยักษ์ยกยิ้มเป็นมิตรขึ้น  ขณะที่เร็นกำลังเผลออยู่นั้นเองอีกฝ่ายก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับง้างเคียวขึ้น  “โดยเฉพาะตอนที่ได้พรากทั้งคู่ออกจากกันน่ะ  มันรู้สึกดีสุดๆ  เลย”

เร็นเบิกตากว้างก่อนที่จะรีบกระโดดออกมาแล้วกระชับด้ามสามง่ามของตนให้แน่นจากนั้นจึงเข้าไปต่อสู้กับอีกฝ่าย  อสูรสบถขึ้นทันที  “หลบได้ยังไง”

“น่าเสียดายนะขอรับ  แต่ว่าเรื่องความเร็วน่ะผมไม่แพ้ใครหรอก”  ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นแล้วใช้สามง่ามงัดเคียวอีกฝ่ายให้ลอยขึ้นจากนั้นรวบรวมพลังเวทไว้ที่มืออีกข้างต่อยเข้าที่ตัวมันจนอสูรล้มกลิ้งลงไป  “ผมน่ะ  จะไม่พ่ายแพ้อยู่ตรงนี้หรอกนะขอรับ”

อีกด้านหนึ่ง  ท่ามกลางลานโล่งของป่าต้องห้าม  ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน  อสูรตนที่นอร์ธวินด์และวารันต้องเจอนั้นเป็นชายร่างอ้วนที่ยังหัวเราะคิกคักไม่เลิก

“ไอ้หมอนี่มันร้ายกาจชะมัดเลย”  นอร์ธวินด์บ่นพึมพำขึ้นขณะง้างคันธนูอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อม  เมื่อปะทะกันมาสักพักเขาเองก็เริ่มเหนื่อย  แต่อีกฝ่ายยังคงดูร่าเริงจนพลอยทำให้คนข้างๆ  เขาหงุดหงิดเปล่าๆ

อสูรตนนี้ดูท่าจะถนัดการเล่นกล  ถึงขนาดปลอมเป็นใบไม้มาลอบแทงเขาได้  หรือหลอกให้วารันคิดว่านอร์ธวินด์เป็นศัตรูจนเกือบทำร้ายมาแล้ว

“เอ้า  เหลืออะไรที่ยังไม่งัดออกมาอีกล่ะ”  ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเหลืออด  เพื่อความปลอดภัยของพวกตนการดูท่าทีอีกฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ 

อสูรตนนั้นหัวเราะชอบใจก่อนที่จะบอกว่า  “ต่อไปเป็นอะไรดีนะ  ขา?  แขน?  หรือเป็นตาสีทองก็ดี”

“นี่ไม่ฟังกันเลยนี่นา”  นอร์ธวินด์ลอบถอนหายใจอย่างระอาก่อนที่จะเหลือบมองคนข้างๆ  วารันยังคงนิ่งเงียบ  ซึ่งนั่นก็เป็นท่าทางที่ดีกว่าตอนโกรธ  แต่อีกฝ่ายกลับทำในสิ่งที่เขาอดแปลกใจไม่ได้ 

“มาร่วมมือกัน”  วารันเอ่ยขึ้นเป็นเหมือนคำสั่งขณะขยับเข้ามาใกล้ 

นอร์ธวินด์ขมวดคิ้วขึ้นแล้วถามว่า  “ร่วมมือยังไง?”

“ใช้ความสามารถเจ้าให้เป็นประโยชน์สิ”  อีกฝ่ายหันมาตบไหล่เขาเบาๆ  ขณะนั้นเองที่อสูรส่งเสียงหัวเราะขึ้นแล้วร่างของมันก็ค่อยๆ  เลือนหายไป

“คราวนี้เป็นล่องหนเหรอ”  นอร์ธวินด์ขมวดคิ้ว  ตัวเขาเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว  แต่ก็ต้องสงบใจลงเมื่อวารันเตือน  ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อสัมผัสสายลมรอบกาย  เป็นความสามารถที่เขาได้รับจากการเป็นผู้ถูกเลือกเพื่อหาตำแหน่งของอสูร 

“อ๊ะ  ข้างหลังเจ้า”  นอร์ธวินด์รีบหันมาบอกวารันทันที  และด้วยความรวดเร็วนั้นชายหนุ่มอีกคนจึงรีบหันหลังกลับไปแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ได้ก่อนที่จะเตะออกไปเต็มแรง

“ว้าก!”  มันร้องลั่นด้วยความตกใจขณะกลิ้งไปบนพื้น  ร่างอ้วนนั้นค่อยๆ  ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ  “หน็อย  พวกแก...พวกแกจะต้องเจอดี”

อสูรตนนั้นพลันลุกขึ้น  ร่างของมันขยายมากกว่าเดิมจนมีขนาดตัวสูงกว่าสามเมตร  ทำให้นอร์ธวินด์อดสบถออกมาไม่ได้  “บ้าเอ๊ย  ยังมีลูกเล่นขยายร่างอีก  ข้ามันดวงซวยจริงๆ  ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”

“บ่นไปก็เท่านั้นล่ะน่า”  วารันสวนกลับไปเสียงเรียบก่อนที่จะผลักอีกฝ่ายไปข้างหลัง  “ตัวใหญ่แค่นี้น่ะไม่เท่าไรหรอก”

“หา?”  นอร์ธวินด์ขมวดคิ้วงุนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร  “หรือว่าเจ้า...”

“ถอยออกไปห่างๆ  หน่อยละกัน  ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะไม่โดนลูกหลง”  วารันเอ่ยเตือนขึ้นก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับอสูร  ร่างสูงโปร่งเรืองแสงสีขาวขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ  แปรเปลี่ยนรูปร่างกลับเป็นมังกรขนาดยักษ์  สยายปีกกว้างออกแล้วยืนเต็มความสูง

“จะว่าไปวารันร่างจริงก็สูงเกือบสี่เมตรนี่นะ...”  ขณะนั้นเองชายหนุ่มที่หลบมุมไปยืนมองอยู่พึมพำขึ้นและเกือบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ตอนที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของเจ้าอสูร  เขาตั้งใจว่าจะปักหลักรออีกฝ่ายแต่ก็อดห่วงไม่ได้  “อาคีรัสจะเป็นยังไงบ้างนะ  พักนี้เลือดขึ้นหน้าบ่อยด้วยสิ”

“แฮ่ก  แฮ่ก  แฮ่ก...”  ในป่าที่ลึกไปอีก  อสูรตนหนึ่งหยุดพักหอบหายใจหลังจากวิ่งต่อเนื่องมานานแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ใกล้ๆ  “บ้าเอ๊ย  แกเป็นตัวอะไรกันแน่”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วงุนงงกับคำพูดอีกฝ่าย  ก่อนที่จะชะงักเมื่อจู่ๆ  ก็ถูกปามีดมาปักลงที่กลางอกจนต้องกระอักเลือดออกมาคำใหญ่  แต่นั่นก็เป็นแค่อาการจากการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่

อาคีรัสดึงมีดที่ปักอกตัวเองออกแล้วขว้างทิ้งไป  “เปล่าประโยชน์  ยอมแพ้แต่โดยดีเถอะน่า”

“อย่ามาพูดเหลวไหลน่า”  อสูรตนนั้นตวาดลั่นก่อนที่จะแสยะยิ้ม  “เหอะ  ถ้าแกมีพลังฟื้นตัวเร็วล่ะก็  ลองแบบนี้ดูจะเป็นยังไง”

ทันใดนั้นรอบตัวของมันก็เต็มไปด้วยอสูรชั้นต่ำที่โผล่ออกมา

“ข้าจะรีบจัดการเจ้าแล้วพาเด็กนั่นไปหานายท่านสักที  เสียเวลามาพอแล้ว”  อสูรตนนั้นเอ่ยขึ้น  ทันทีที่ได้ยินคำว่าเด็กนั่นก็ทำให้อาคีรัสชะงักไป 

เขาสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “จะทำอะไรกับฝ่าบาทงั้นเหรอ”

“ก็คงถูกนายท่านใช้เป็นเครื่องมือล่ะมั้ง”  อีกฝ่ายตอบแบบไม่ใส่ใจ  “เหอะ  เจ้าเด็กนั่นจะเป็นยังไงต่อข้าก็ไม่ใส่ใจหรอก  ถึงจะถูกฆ่าก็ช่าง”

“แบบนั้นไม่ได้...”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นเสียงเบาจนทำให้อีกฝ่ายชะงัก  ดวงตาสีทองจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่อ่านไม่ออก...ราวกับว่างเปล่า  “จะให้ใครมาล่วงเกินฝ่าบาทไม่ได้”

เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น  บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจนน่าอึดอัดทำให้อสูรเริ่มไม่ชอบมาพากลและรีบสั่งการว่า  “จัดการมัน”

อสูรมากมายที่อยู่ตรงนั้นรีบพุ่งเข้าไปหาอาคีรัสทันที  แต่เด็กหนุ่มที่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วกลับพุ่งตัวสวนกลับมาหาศัตรูตรงหน้า  ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นขณะที่เอื้อมมือไปสัมผัสอีกฝ่าย

“ต้องกำจัด...”

ตูม! 

ฉับพลันนั้นอากาศรอบกายของเขากลับบิดเบี้ยวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโหมราวกับพายุหมุนแผดเผาอสูรทุกตัว

ประติมากรรมพายุเพลิงนั้นทำให้โซแวนชะงักไปด้วยเสียงที่ดังขึ้น  แม้จะรับรู้ว่าใครเป็นผู้ก่อแต่เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจเพราะกำลังต่อสู้กับอสูรตรงหน้า  ซึ่งพุ่งมาหาด้วยความรวดเร็ว

โซแวนรีบหลบออกทำให้การโจมตีไปโดนต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังจนหักโค่นลง  เขากระโดดหลบอีกครั้งก่อนที่จะยกดาบขึ้นตวัดใส่อีกฝ่ายซึ่งยังคงรับดาบของเขาไว้ได้  มันมีสีหน้าตึงเครียดและกระหน่ำเพลงดาบใส่ไม่ยั้ง

“ไม่เลวนี่”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะตวัดอีกฝ่ายออกด้วยดาบ  “แต่แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นอสูรก็กัดฟันกรอดทันทีก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง  “อย่าได้ใจไปไอ้หนู  ข้าจะเด็ดหัวเจ้าซะ”

โซแวนยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ขณะถอนหายใจกับคำพูดนั้น  เขายกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า  “นี่  ขอโทษทีเถอะ  แต่จริงๆ  แล้วข้าอายุเกือบสามร้อยปีแล้วนะ...”

อสูรเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะเข้ามาโจมตีด้วยดาบของตน  “สามร้อยปีแล้วอย่าได้ใจไปหน่อยเลย  ข้าจะจัดการเจ้าที่นี่แหละ”

“เรื่องนั้นก็คงไม่ได้หรอก”  โซแวนยกยิ้มเย็นขึ้นขณะปัดอีกฝ่ายออกให้ห่างตัวแล้วแผ่พลังเวทที่รวบรวมไว้มากดดันอสูรไว้  เขาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแล้วตวัดดาบฟันมันให้ขาดในทีเดียว  “อย่าดูถูกราชาของป่าต้องห้ามดีกว่าน่า  เจ้าหนู”

ร่างของอสูรร่วงลงสู่พื้นก่อนที่จะสลายไป  โซแวนถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกก่อนที่จะชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาหลายสิบคู่  “โอ๊ะ  มาดูกันด้วยเหรอ”

เขาเอ่ยทักทายกับเหล่าสัตว์วิเศษที่หลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้  “ขอโทษทีนะที่เล่นเอาซะป่าวุ่นวายไปหมด”

เสียงร้องของเหล่าสัตว์ดังขึ้นเพื่อยื้อให้เขาอยู่ต่อ  แต่โซแวนทำได้แค่ยกยิ้มจางๆ  “ไม่ได้หรอก  ตอนนี้น่ะยังกลับมาไม่ได้  มีบางอย่างที่ต้องทำ”

พวกสัตว์นั้นเงียบลงทำให้เขาหันไปมองทางทิศที่ยังคงมีการสู้กัน  “เอาล่ะ  รีบกลับไปดีกว่า”

ทีอารีนยังคงพยายามเสริมเวทให้พวกของตนอยู่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล  เพราะทั้งโซแวนและผู้วิเศษนั้นเขาไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ไหนหรืออาการเป็นอย่างไรบ้าง  แต่สถานการณ์ตรงหน้าเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย  คาร์ริต้ากำลังรับมือกับอสูรผู้หญิงที่โจมตีมาไม่ยั้งจนทำให้เธอตั้งรับทัน

“อึก!”

“คาร์ริต้า!”  แล้วการป้องกันของเงือกสาวก็พังลงเมื่ออสูรหาโอกาสจนสามารถกระชากเธอร่วงจากรถเข็นได้ทำให้ทีอารีนรีบเข้าไปหา  ทว่ากับถูกแส้รัดข้อมือจนล้มลงด้วย

“ฝ่าบาท!”  คาร์ริต้าร้องขึ้นด้วยความตกใจขณะพยายามเอื้อมมือมาหาสุดชีวิต  แต่เด็กหนุ่มกลับถูกลากไปใกล้อสูรมากขึ้น

“ฮ่าๆ  จับได้แล้ว”  มันหัวเราะขึ้นด้วยความพึงพอใจทันที

ฉับ!

ทว่าก็ไม่เป็นดังหวังเมื่อโซแวนกระโดดมาใช้ดาบตัดแส้ให้ขาดแล้วประคองทีอารีนขึ้นมาทันที  “ไม่เป็นอะไรนะ?”  ชายหนุ่มถามขึ้นก่อนจะตวัดสายตามามองอสูรด้วยความโกรธที่เจือปนมา

“หน็อยแน่  แก...”  มันกัดฟันกรอด  ก่อนที่จะชะงักแล้วพึมพำขึ้นมา  “สัญญาณถอย  เกิดอะไรขึ้น?  ช่างเถอะ  คราวหน้าข้าจะจัดการพวกแกแน่”

อสูรนั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหายเข้าไปในวงเวทสีดำทิ้งให้พวกทีอารีนงุนงงกันสักพักก่อนที่ผู้วิเศษจะเดินมา  “ไม่เป็นอะไรนะขอรับ  ฝ่าบาท”

“อื้ม  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมพวกมันถึงถอยไป?”  ทีอารีนถามขึ้นด้วยความสับสน

“ข้าส่งลูซัสไปที่อื่น  เขาคงรู้ว่าลำพังพวกอสูรคงพาท่านไปไม่ได้เลยส่งสัญญาณมาให้ถอยกลับไปก่อน” 

“แล้วทำไมเจ้าไม่จัดการเขาให้เด็ดขาดล่ะ?”  โซแวนถามขึ้นแทรกทำให้ผู้วิเศษนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะบอกว่า  “ข้าไม่สามารถจัดการเขาได้แล้วล่ะ”

“แม้แต่ท่านน่ะหรือ?”  เป็นคาร์ริต้าที่พึมพำขึ้น  เธอเข้าใจดีว่าผู้วิเศษแข็งแกร่งมากเพียงใดและอดกังวลไม่ได้ที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังมากกว่าคนตรงหน้า 

ในขณะนั้นเองที่พวกเร็นกลับมาสมทบด้วยความสับสนที่เห็นอสูรหนีไป  ฟ้าที่เริ่มมืดแล้วทำให้ผู้วิเศษตัดสินใจว่าควรออกไปจากที่นี่เสียก่อน  แต่ก่อนหน้านั้นก็มีสิ่งที่ต้องทำ

“ทำพิธีศพให้แก่ลูซิฟรานก่อน  จากนั้นกลับไปที่ปราสาทแล้วเราค่อยพูดกัน”
-----------------------------------------------
จะพยายามลงรัวๆ ช่วงกลางวันนะคะ จริงๆ ต้นฉบับเสร็จมาสักพักแล้ว

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 21
ยามลมสงบ
“เสด็จพี่!” 

ทันทีที่มาถึงหน้าปราสาทครีออนก็รีบวิ่งมารับพร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง  สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลจนข้าอดห่วงไม่ได้
 
“ครีออน  เจ้าไปรอในปราสาทก็ได้...”  เมื่อสัมผัสตัวเขาพบว่าเย็นเยียบเสียจนสะดุ้งเฮือกครู่หนึ่ง  ดูท่าเขาคงยืนตากลมรออยู่นานแล้ว

“ข้าเป็นห่วงท่านจนนั่งไม่ติดเลยมารออยู่ตรงนี้  ท่านไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”  เขาถามขึ้นพร้อมมองข้าอย่างพิจารณา  ถึงจะเปื้อนฝุ่นและเสื้อผ้ามีรอยขาดบ้างแต่ตัวข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรแล้ว

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  เพราะได้พวกเขาช่วยไว้ด้วยนั่นแหละ”  ข้ายกยิ้มบางๆ  ขึ้นก่อนจะหันไปมองผู้ติดตามที่เหลือ  ตอนนี้ด้วยเวทรักษาของข้าทำให้อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่หายไปหมดแล้ว  แต่ก็ไม่มีแรงกันอยู่  ครีออนเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีจึงให้พวกคนรับใช้มาดูแล

“ข้าจะให้พวกคนครัวเตรียมอาหารให้นะขอรับ”  สิ้นเสียง  ครีออนก็หันไปหาท่านเสนาที่อยู่ด้านหลัง  ฝ่ายนั้นโค้งตัวลงรับคำสั่งแล้วเดินเข้าไปก่อนเพื่อสั่งการกับคนรับใช้

ข้ากวาดสายตาไปมองรอบๆ  ผู้คนรอบข้างไม่ได้ส่งสายตาจงเกลียดจงชังแล้ว  และในทางตรงข้ามก็ไม่มีสายตาหมายปองอะไร  หากให้พูด  นี่ก็คงเป็นสายตาธรรมดาเวลามองคนอื่น  ข้าออกจะรู้สึกว่าพวกเขาเมินเฉยด้วยซ้ำ

“เสด็จพี่รีบเข้าไปในปราสาทเถอะขอรับ  อากาศเย็นมากแล้วด้วย”  ครีออนเอ่ยขึ้น  ข้าจึงเดินเข้าข้างในพร้อมกับเขา  เพราะรู้สึกว่าตัวเหนียวไปหมดเลยขอไปอาบน้ำก่อน  พวกผู้ติดตามคนอื่นก็เช่นกัน

“ข้าจะรีบกลับมานะ”  ข้าเอ่ยกับครีออนด้วยรอยยิ้มเพื่อทลายสีหน้าเศร้าหมองของเขาหลังจากถูกข้าปฏิเสธไม่ให้ตามไปตอนอาบน้ำ

“แล้วข้าจะรอนะขอรับ”  น้องชายของข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะถอยหลังออกไป  ข้าจึงเข้าไปยังห้องของตนเอง  พวกผู้วิเศษเองก็แยกย้ายไปอาบน้ำเหมือนกัน  เพราะพวกเขาทุกคนก็มอมแมมพอๆ  กัน

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วข้าก็รีบไปที่ห้องรับประทานอาหาร  มีครีออนนั่งรออยู่แล้วที่หัวโต๊ะใหญ่  ข้างซ้ายเป็นผู้วิเศษ  เมื่อไปถึงน้องชายข้าก็ลุกขึ้นพาไปนั่งที่เก้าอี้ด้านขวา  พวกโซแวนเองก็ค่อยๆ  เดินกันมาจนกระทั่งอาคีรัสมาถึงตอนสองทุ่มตรง  มื้ออาหารจึงได้เริ่มขึ้น

“ท่านครีออนทราบไหมขอรับว่าตอนนี้ท่านทีอารีนหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว”  ท่ามกลางเสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อย  จู่ๆ  ผู้วิเศษก็เอ่ยขึ้นทำให้ครีออนชะงักแล้วหันมามองข้า  เขายกยิ้มบางๆ  ก่อนจะแสดงความยินดี 

“จริงหรือขอรับ  ข้ายินดีจริงๆ”

“ใช่”  ข้ายิ้มตอบผู้เป็นน้องก่อนจะระบายออกมาว่า  “ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับพฤติกรรมสุดโต่งอะไรแล้ว  ข้าชอบธรรมดาแบบนี้มากกว่า”

“ท่านพี่ดูบ้านๆ  กว่าที่คิดอีกนะขอรับ”

“หมายความว่ายังไงกัน  ไอ้ที่พูดนั่นน่ะ”  ข้าหันไปตาขวางใส่  แต่ครีออนแค่ยิ้มกลับมาและเปลี่ยนเรื่อง  เขาให้ข้ากินอาหารอีกเยอะๆ  เพราะเกรงว่าจะหิว  แต่แค่หนึ่งจานข้าก็อิ่มแล้วจึงยื่นไปให้โซแวนที่ท่าทางเหมือนคนหิวโซ  กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม 

หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารนั้น  ผู้วิเศษชี้แจงว่าวันพรุ่งนี้จะให้ครีออนทำพิธีขึ้นครองราชย์ทันทีเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย  น้องชายข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่เขาขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อน  การพูดคุยต่อจากนั้นจึงเหลือแค่ข้า  ผู้วิเศษ  และพวกโซแวน

“ผู้วิเศษ  ท่านลูซิฟรานบอกกับข้าว่าข่ายสะกดประตูอสูรจะอยู่ได้อีกแค่เจ็ดวัน  มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นเมื่อแน่ใจว่าทั้งห้องเหลือกันอยู่แค่พวกเรา  ทุกสายตาหันไปมองผู้วิเศษทันที  เขานิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะยอมอธิบายออกมา

“จริงๆ  แล้วข่ายนั่นไม่ได้เป็นของพระเจ้า  แต่เป็นพลังของข้าที่ใช้หยุดยั้งพวกมันไว้  ข้าเคยเห็นการถูกทำลายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมาแล้วจึงไม่อยากเห็นเช่นนั้นอีก  ที่จริงมันก็ควรอยู่ได้อีกร้อยปี  แต่ตอนนี้ร่างกายของข้าเหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว”

“ผู้วิเศษ!?”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ  พวกเร็นเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้กัน  แต่คนต้นเรื่องกลับยกยิ้มแล้วบอกให้สงบลง

“ออกจะดูแย่ไปสักหน่อยที่มาบอกตอนนี้  แต่นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์มาสักพักแล้ว  เมื่อก่อนตัวข้าแค่ถูกสร้างมาเพื่อยับยั้งการเปิดประตูอสูร  สาเหตุเพราะครั้งนั้นเป็นฝีมือของพระเจ้า  แต่ครั้งนี้ท่านเห็นว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย”

“อะไรกัน  หมายความว่าพระเจ้าจะทอดทิ้งพวกมนุษย์งั้นหรือ?”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเครียดจัด  แม้จะไม่อยากได้ยินแต่คำตอบของผู้วิเศษนั้นก็เด่นชัดออกมา 

“ถูกต้อง  ท่านเล็งเห็นให้พวกมนุษย์จัดการกันเอง”

“จะปล่อยให้ลูซัสชนะหรือเจ้าคะ?”  คาร์ริต้าขมวดคิ้วถาม  ซึ่งข้าก็เห็นด้วย  หากไม่มีพลังของพระเจ้าแล้วจะกลายเป็นการยากที่จะชนะคนอย่างลูซัส

“ไม่หรอก  ข้าคิดว่ายังมีโอกาสอยู่”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้น  “ร่างกายของลูซัสเองก็คงแบกรับภาระมากอยู่เหมือนกัน  ยิ่งนานวันพลังจะยิ่งกัดกิน  เหมือนที่เกิดขึ้นกับข้าและลูซิฟราน  อีกอย่างปัจจัยที่พอจะให้ชนะก็ยังมีอยู่  ทั้งพลังของผู้ถูกเลือกที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาแข็งแกร่งขึ้น  สัตว์วิเศษที่ไร้เทียมทาน  และประตูแห่งอำนาจ...ข้าคิดว่าสามสิ่งนี้ก็พอจะโค่นล้มลูซัสได้แล้ว  โดยเฉพาะอย่างหลังสุด”

“แต่เราก็ไม่สามารถยืนยันได้นี่ว่าจะสามารถเปิดประตูแห่งอำนาจได้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน  ไม่มีสัญญาณอะไรที่พอจะเดาได้เลยว่าตอนนี้ประตูแห่งอำนาจนั้นถูกโอนสิทธิ์ไปอยู่ที่ใดหรือกับใคร

“ลูซิฟรานคงกำหนดไว้แต่แรกแล้ว  ข้าเองก็รับรู้ได้...”  เขาเกริ่นขึ้นก่อนจะเบนสายตาไปข้างตัวข้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งของโซแวนและหันกลับมาสบตาด้วยกันกับข้า  “ท่านและโซแวนคือคนที่ลูซิฟรานเลือก”

“เหลวไหลน่า  ข้าไม่ใช่คนของราชวงศ์อะไรนี่สักหน่อย”  โซแวนท้วงขึ้นแต่ก็โดนผู้วิเศษสวนกลับไป

“แต่เจ้าเป็นลูกของลูซิฟราน  การสืบทอดน่ะเขาเอาจากสายเลือดที่แท้จริงต่างหาก”

“แล้วต้องทำยังไงล่ะ?  ไม่เห็นรู้สึกได้ถึงประตูอะไรนั่นเลย”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  ทำให้ผู้วิเศษบอกว่า  “ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้สึกอะไร  แต่อีกสองวันข้าจะพาท่านกับโซแวนไปทำวิธีสืบทอดอำนาจต่อจากลูซิฟราน  คิดว่าวันนั้นพวกท่านคงต้องเตรียมตัวกันหนักเสียหน่อย”

“พวกข้าไปด้วยได้ไหม?”  นอร์ธวินด์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  ผู้วิเศษจึงหันไปบอกเขาว่า  “แน่นอนอยู่แล้ว  พวกเจ้ามีหน้าที่คุ้มกันทั้งสองคน”

“จะพยายามเต็มที่เลยครับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งขันแทรกขึ้น  ผู้วิเศษหันไปยิ้มชื่นชมเขาก่อนจะถามปนติดตลก

“มีใครมีคำถามอะไรไหม  ข้าแก่แล้วก็หลงๆ  ลืมๆ  บ้าง”

“นี่  เจ้าบอกมีเวลาแค่เจ็ดวันก่อนที่พลังของเจ้าจะหมดใช่ไหม”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะยิงคำถามไปว่า  “แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสักพัก  พวกข้ารอฟังคำตอบจากเขา  ผู้วิเศษเองก็ไม่ตอบในทันที  หลังจากชั่งใจอยู่นานในที่สุดก็เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่ชัดเจน

“ก็คงต้องหายไป...”

ข้ารับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งขึ้น  ในอกเองก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา  “โก...หก...ใช่ไหม”

“ข้าบอกแล้วนี่ว่านี่คือตัวตนที่สร้างขึ้นเพื่อหยุดยั้งเกมของพระเจ้า  เมื่อครั้งนี้ไม่มีพระเจ้ามาเกี่ยวข้องตัวข้าก็หมดหน้าที่  จริงๆ  แล้วย่อมดีด้วยซ้ำที่ตัวข้ายังมีเวลาอีกเจ็ดวัน”

“เดี๋ยว  เจ้าจะหายไปจริงๆ  น่ะหรือ?...แบบตาย...”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสนและไม่อยากจะเชื่อ  แต่ผู้วิเศษกลับตอบมาอย่างชัดเจนโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“เป็นเช่นนั้นแหละขอรับ  ฝ่าบาท”

“ไม่เอานะ!”  ข้าลุกขึ้นตะเบ็งเสียงไปเองราวกับเด็กเอาแต่ใจ  อาจจะเพราะข้ายังตัดเยื่อใยกับเขาไม่ขาดและช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมันมีค่ามากเสียจนน่าใจหาย

“ไม่เอาน่าฝ่าบาท  นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”  เขาเอ่ยขึ้นคล้ายปลอบใจแล้วยิ้มมาให้  ทั้งๆ  ที่หัวตาข้าเริ่มร้อนผ่าวแล้วมีน้ำเอ่อออกมาจนต้องปาดทิ้ง

“อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปหน่อยเลยน่า  ไม่ได้จากกันตอนนี้เสียหน่อย”  ทว่าโซแวนกลับแทรกแล้วยกมือขึ้นกดหัวข้าเบาๆ  ทำให้ชะงัก  แต่พอจะหันไปต่อว่าเขาก็พูดขึ้น  “แทนที่จะมานั่งเสียใจ  สู้ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าดีกว่า”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ  แต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างผ่านสายตา  นั่นทำให้ข้าชะงักแล้วนึกขึ้นได้  โซแวนเองก็เพิ่งสูญเสียท่านลูซิฟรานโดยที่ยังไม่ได้บอกลาเหมือนกัน

“ฝ่าบาทไม่ต้องร้องไห้  มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วตรงมากอดข้าจากด้านหลัง  จากนั้นวารันก็เข้ามากอดด้วย  รวมทั้งคนอื่นๆ  จนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

“พวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ  ข้าอึดอัด!” 

ข้าโวยวายลั่นทันทีทำให้พวกเขาแตกฮือกันออกไป  เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ  จากผู้วิเศษได้  แม้จะโมโหที่ถูกทำตัวเหมือนเด็กแต่ก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

“มีอะไรหรือเปล่า?  ฝ่าบาท”  ผู้วิเศษถามขึ้นหลังจากเห็นข้าจ้องเขาอยู่อย่างนั้น  พอถูกถามเข้าข้าก็เดินเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

“กอดกันหลายๆ  คนแล้วรู้สึกดี”

“ข้าด้วย”  พอได้ยินข้าพูดแบบนั้นแล้วอาคีรัสก็มาร่วมวงด้วย  คนอื่นๆ  จึงหันมากอดผู้วิเศษกันทันที  แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธเหมือนข้าซ้ำยังหัวเราะชอบใจด้วย

“แบบนี้มันเหมือนลัทธิอะไรสักอย่าง...”

“แค่กอดปลอบเท่านั้นล่ะน่า”  โซแวนแย้งขึ้นก่อนจะแยกตัวออกไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  รวมทั้งข้าด้วย 

"ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ  รู้สึกดีทีเดียว”  ผู้วิเศษยกยิ้มบางๆ  ขึ้นด้วยความรู้สึกยินดี

ข้าก้มหน้านิ่งไม่ได้พูดอะไรออกไป  อาจเพราะลึกๆ  แล้วยังทำใจไม่ได้ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ 

ผู้วิเศษเองก็เหมือนจะเดาได้แต่เขาก็ยกมือขึ้นช้อนใบหน้าข้าแล้วบอกว่า  “นี่ก็ดึกมากแล้ว  เชิญท่านไปพักผ่อนเถิด  สีหน้าดูเพลียมากแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปส่งฝ่าบาทเองขอรับ”  เร็นอาสาขึ้นก่อนจะผายมือรอให้ข้าเดินไป  ข้าล่ำลากับคนที่เหลือแล้วจึงตามเขาไปที่ห้องนอน  ระหว่างที่อยู่ในห้องก็เกิดคำถามขึ้นว่า

“เร็น  เจ้าคิดยังไงกับคาร์ริต้า”  มือที่กำลังชงชาร้อนหยุดชะงักแล้วหันมามองข้าด้วยแววตาตกใจ 

“เหตุใดจึงทรงถามเช่นนั้นล่ะขอรับ?”

“ตอนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องคำสาปอะไรแล้ว  เจ้ากับคาร์ริต้าเองก็คงรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ  สักที  นางรักเจ้ามากๆ  ข้าก็เลยอยากรู้ว่าเจ้าคิดยังไงกับนาง”  ข้าอธิบายขึ้นขณะที่เขายกถ้วยชาคาร์โมไมล์มาให้เลยเอ่ยเสริมไปว่า  “ขอบคุณนะ”

เร็นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง  พักใหญ่จนข้าจิบชาไปได้ครึ่งถ้วยแล้วเขาจึงตอบมาเสียงสั่น  “ข้า...ข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด”

“หา?  แล้วเงียบไปนานเนี่ยนะ”

“ก็ข้าไม่แน่ใจนี่น่าว่าความรู้สึกแบบนี้ควรจะเรียกว่ายังไง  ตอนนี้น่ะข้าคิดได้แค่ว่านางเป็นผู้มีพระคุณของข้าก็ควรดูแลนางให้ดี  แต่จะว่ามันมีแค่นั้นก็ไม่ใช่  แต่ก็ไม่รู้ควรจะเรียกว่ารักได้หรือเปล่า  ข้าเกรงว่าไอ้ที่กำลังรู้สึกอยู่นี้เป็นแค่ความเห็นใจแล้วจะไม่ได้รักนางจริงๆ  นั่นอาจทำให้นางเจ็บทีหลังก็ได้”

เร็นอธิบายด้วยสีหน้าสับสน  เขาเองก็อาจจะกำลังก้ำกึ่งว่าจริงๆ  แล้วนั่นคือความรักหรือแค่ความหวังดีจากการทดแทนบุญคุณอยู่ก็ได้  ข้าเองก็อยากเอาใจช่วยเขาเลยลองตั้งสถานการณ์สมมติดูว่า  “ถ้าระหว่างข้ากับคาร์ริต้าเจ้าจะเลือกใคร?”

“ข้าควงสองได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”  การตอบทันทีของเขาทำให้ข้าหงุดหงิดขึ้นมา  แม้จะรู้ว่านั่นเป็นคำล้อเล่นจากอีกฝ่ายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเอาจริงจนข้าอยากจะขว้างถ้วยชาใส่  เมื่อเห็นว่าคำถามไม่น่าได้ผลเลยบอกเร็นว่าจะนอนแล้ว

ข้าล้มตัวลงนอนหลังจากเก็บถ้วยชาและเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่เร็นจะออกจากห้องไปก็อดอวยพรให้เขาไม่ได้  “พยายามเข้านะ  เร็น”

“ขอรับ”  เขาส่งยิ้มให้ก่อนที่จะโค้งตัวขอออกจากห้องไป  “ราตรีสวัสดิ์ครับ  ฝ่าบาท”

ทั้งเมื่อวานและวันนี้ต่างมีเรื่องหนักหนาและเสียพลังงานไปเยอะ  ข้าจึงคิดจะหลับเพื่อให้ร่างกายพักฟื้น

ข้ายกมือขึ้นแตะที่หน้าอกพลางสูดลมหายใจเข้า  รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบของกล้ามเนื้อที่ฉีกออกจากกัน  มันเป็นเรื่องที่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจแต่หลังจากท่านลูซิฟรานถอนคำสาปออกไปให้ก็รู้สึกว่าแผลบนร่างกายหายไวขึ้นกว่าเดิม  ยกเว้นก็แต่ตรงนี้  ถ้าเปิดดูจะยังเห็นรอยแผลเป็นอยู่

หลังจากที่พวกอสูรไปหมดแล้ว  โซแวนกับผู้วิเศษเป็นคนจัดการเรื่องศพของท่านลูซิฟราน  ในป่าต้องห้ามมีสุสานเล็กๆ  ตั้งอยู่ในส่วนลึก  ที่นั่นเป็นที่พักผ่อนแห่งสุดท้ายของท่านปฐมกษัตริย์  ข้างๆ  นั้นเป็นหลุดศพของใครบางคน  โซแวนมาบอกข้าทีหลังว่าเป็นของอีกคนที่เขาเรียกว่าพ่อ

เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นโซแวนทำสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้นแม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนทุกทีก็ตาม  แต่ข้าเองก็ไม่สามารถช่วยปลอบอะไรเขาได้มากเช่นกัน

ข้าคิดวนเวียนอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดีเพราะยังไม่หลับ  ทั้งๆ  ที่รู้สึกเพลียแต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้  ทีแรกข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะชาที่ดื่มไปเลยรอสักพัก  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหลับได้  จนกระทั่งแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องข้าจึงลุกขึ้น  ดีที่ไม่มีอาการอ่อนล้าแต่อย่างใด 

เมื่อลองคิดๆ  ดูอาการเพลียก็หายไปแล้วด้วย

“ฝ่าบาท  อรุณสวัสดิ์ขอรับ!”  เสียงของอาคีรัสดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกทำให้ข้าสะดุ้งเฮือกเพราะยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสื้อผ้า  พอหันไปมองเขาก็พบว่ากำลังยิ้มอย่างสดใสและถือผ้าบางอย่างไว้

“อาคีรัส?  บาดแผลเจ้าเป็นยังไงบ้าง”  ข้าถามขึ้นขณะเดินเข้าไปหา  อาคีรัสยิ้มตาหยีขึ้นก่อนจะบอกว่า  “ข้าสบายม้ากมากขอรับ”

“งั้นก็ดีแล้ว  แล้วนี่เจ้าถืออะไรมาด้วย”  ข้ายิ้มอย่างโล่งอกก่อนที่จะก้มมองผ้าที่อยู่ในมือของเขาอย่างสงสัย  ปกติแล้วถ้าเป็นเสื้อผ้าใหม่คนที่ควรจะเอามาให้ควรเป็นพวกสาวรับใช้มากกว่า

“ครีออนฝากมาให้ท่าน  เขาบอกอยากเห็นท่านใส่ผ้าคลุมนี้ในวันนี้น่ะขอรับ  คงตั้งหน้าตั้งตารออยู่นะขอรับ”  อาคีรัสตอบด้วยรอยยิ้ม  คำพูดของเขาทำให้ข้าอดขมวดคิ้วไม่ได้ 

“นี่เจ้าสนิทกับครีออนแล้วหรือ?”

“อืม...จะเรียกสนิทดีหรือเปล่านะ  แต่ข้าก็เห็นเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งนะขอรับ”  อาคีรัสขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกออกมา  ข้าไม่ได้ถามว่าเริ่มสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

“ดีแล้วล่ะ  ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ค่อยคบหาใครเป็นเพื่อน  ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับเขาก็คงดีไม่น้อย  ขอฝากครีออนด้วยนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นจากใจจริง  เพราะว่าเสด็จพ่อไม่ชอบครีออนทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย  แม้ว่าจะมีข้าอยู่แต่ลึกๆ  เขาเองก็คงอยากได้เพื่อนมากกว่านี้

“ข้าจะพยายามขอรับ”  อาคีรัสกำหมัดแน่นก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้  “ถ้างั้นจะใส่เสื้อคลุมนี่เลยไหมขอรับ”

“ก็ถ้าเขาขอมาก็คงต้องใส่ละนะ”  พอข้าพูดจบ  อาคีรัสก็พยักหน้ารับคำแล้วช่วยแต่งตัวให้พร้อมกับเล่าว่าตอนนี้ข้างนอกกำลังยุ่งกันมาก  ทีแรกพวกขุนนางได้ลงความเห็นว่าจะเริ่มจัดพิธีเฉลิมฉลองพรุ่งนี้ยาวไปเจ็ดวัน  แต่ครีออนเห็นว่านานเกินไปจึงลดเหลือแค่สามวัน

“นี่เป็นชุดคลุมจากไหนกัน?”  ข้าพึมพำขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจก  เสื้อคลุมที่ครีออนให้มานั้นเป็นสีขาวปักลวดลายสีทองสวยงามและไข่มุก  มีหมวกติดอยู่ด้านหลังแต่ข้าคิดว่าในพิธีไม่ควรจะเอาขึ้นมาคลุมศีรษะ  ชุดที่ข้าตั้งใจใส่แต่แรกก็เป็นสีขาวทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าข้ารู้สึกกังวลว่าจะไปทำเปื้อนตรงไหนหรือไม่

“โอ๊ะ  ครีออน”  เสียงของอาคีรัสดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมอง  ครีออนเข้ามาในห้องเงียบๆ  คนเดียว  ส่วนพวกทหารที่ตามอารักขามารอกันอยู่หน้าประตู  พอข้าสบตาด้วยเขาก็ยิ้มขึ้น 

“เหมาะมากขอรับเสด็จพี่”  ครีออนเอ่ยชมหลังจากมองข้าแล้ว

“ขอบคุณ  เจ้าก็เช่นกัน”  ครีออนอยู่ในชุดพิธีการของราชวงศ์ซึ่งเป็นสีขาวน้ำเงิน  เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดรวบเป็นหางม้าอยู่ด้านหลัง  เครื่องแบบที่ดูภูมิฐานนั้นทำให้น้องชายข้าดูสง่างามขึ้นมามากกว่าเดิมเสียอีก

“เจ้าสง่างามมากจริงๆ”  ข้าชมเขาด้วยรอยยิ้มจากใจจริง  ครีออนเองก็ยิ้มตอบกลับมาแบบขัดเขิน 

“แต่ข้ายังด้อยกว่าท่านนัก  เสด็จพี่ให้ข้าจัดทรงผมให้เอาไหมขอรับ  เหมือนเมื่อก่อน...”  ครีออนอาสาขึ้นขณะลูบเส้นผมของข้า  สมัยเด็กเขาชื่นชมแม่นมคนหนึ่งเป็นเหมือนแม่  และนางมักจะสอนอะไรหลายอย่างให้เขา  ที่ครีออนชื่นชอบมากที่สุดน่าจะเป็นการถักเปีย  เพราะเขามักจะมาทำให้ข้าบ่อยๆ  “เสด็จพี่จะต้องดูดีขึ้นอีกแน่ๆ”

“ฮะๆ  ถ้าเป็นคำขอร้องของว่าที่ราชาก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”  ข้าอนุญาตปนหยอกล้อเขาแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ปล่อยให้เขาจัดการทรงผมของข้า  ระหว่างนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่า  “ครีออน  เจ้าไม่ต้องไปต้อนรับพวกคณะราชาที่จะเดินทางมาหรือ”

“ยังมีเวลาพอที่จะให้ข้าทำผมให้ท่านเสร็จน่ะขอรับ”  เขาตอบขึ้นขณะหวีผมให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า  “เสด็จพี่  ตอนงานพิธีข้าสามารถพาคนคนหนึ่งไปร่วมพิธีได้ไหมขอรับ”

“หืม?  มันเป็นสิทธิ์ของเจ้านี่  เจ้าจะพาใครมาก็ได้  แล้วคนคนนั้นเป็นใครกัน”  ข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ตอบไปแล้วถามกลับ

“เป็นคนที่ช่วยข้าไว้ตอนที่เสด็จพ่อคิดจะสังหารข้าขอรับ”  เขาตอบเสียงเรียบ  แต่นั่นทำให้ข้าตาลุกวาว 

“เป็นผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ  ข้าเองก็อยากพบเหมือนกันนะ”

“ท่านจะได้พบเขาแน่ๆ  ขอรับ”  ครีออนเอ่ยขึ้น  จากการมองในกระจกเขากำลังคลี่ยิ้มอยู่พลอยให้ข้ารู้สึกดีไปด้วย 

หลังจากที่ครีออนถักเปียผมข้าทั้งสองข้าแล้วรวบไปข้างหลังเหมือนคาดมงกุฎไว้เขาก็จุมพิตหลังมือและขอคำอวยพรจากข้าก่อนที่จะออกไป  พิธีในตอนเช้าคือการทักทายกับคณะทูตและราชาที่เดินทางมาจากต่างแคว้นและจัดเลี้ยงอยู่ในปราสาท  พวกเร็นตอนนี้ก็คงเตรียมความพร้อมคุ้มกันให้ครีออนอยู่แล้ว ส่วนตัวข้าก็คงออกไปทักทายแค่พอเป็นพิธีเพื่อป้องกันคำถามประมาณว่าเหตุใดจึงสละราชบัลลังก์

แต่พอข้าลุกจากเก้าอี้ก็เห็นอาคีรัสทำสีหน้ากังวลแปลกๆ  “เป็นอะไรหรือ?  อาคีรัส”

“ข้ารู้สึกแปลกๆ  แต่มันอธิบายยากจังขอรับ”  เขาบอกเสียงเบาด้วยสีหน้าสับสน  ข้านิ่งคิดไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “ลองพูดออกมาสิ”

“ข้าคิดว่า...ครีออนดูแปลกๆ  จากปกตินะขอรับ  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เขายิ้มบ่อยกว่าปกติ”  อาคีรัสบอกในสิ่งที่ตัวเองสงสัย  จะว่าไปก็รู้สึกว่าครีออนยิ้มบ่อยกว่าปกติจริงๆ 

“แต่นั่นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง  ในฐานะราชาคนต่อไปก็ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้มไว้บ้างสิ”  ข้าเอ่ยขึ้นตามความเป็นจริงทำให้อาคีรัสพยักหน้าเห็นด้วย  แต่เขาก็อดพึมพำออกมาไม่ได้

“ข้าแค่สงสัยว่าเขาดีใจเรื่องอะไรกัน  เมื่อวานซืนยังดูอารมณ์ไม่ดีกับงานพิธีอยู่เลย”  เขาพึมพำขึ้นทำให้ข้าชะงักก่อนที่จะลองคิดดู  “...ตอนนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้  พูดก็พูดเถอะ  พิธีแบบนี้น่ะยังไงก็ต้องทำตัวอารมณ์ดีเข้าไว้นะ”

ข้าบอกอาคีรัสไปเช่นนั้น  แต่ในใจกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หากชะตานำพาพวกเราไปพบสันติสุขก็คงดี...
--------------------------------------------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  22 
เงามืดที่เด่นชัด

ช่วงบ่ายนั้นเป็นพิธีที่ข้ายังคงเป็นกังวล  การกางข่ายเวทนั้นจำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล  ครีออนยังเด็กกว่าข้าและไม่ได้มีพลังเวทแข็งแกร่งขนาดนั้น  แม้ผู้วิเศษยืนยันจะช่วยแต่ข้าก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นก็รีบบอกเลยนะ  เข้าใจใช่ไหม?”  ข้าถามย้ำกับเขาก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มพิธี 

ครีออนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  แล้วเสริมท้ายด้วยความมั่นใจว่า  “ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ  หรอกขอรับ  เสด็จพี่”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี...”  ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่จะยกมือขึ้นตบแผงอกของเขาเบาๆ  “ข้ารบกวนเจ้ามามากพอแล้ว  เจ้าไปเตรียมตัวต่อเถอะ”

สำหรับเขายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ  ส่วนข้าในวันนี้มีหน้าที่อยู่บนลานพิธีเพื่อส่งมอบดาบแก่ครีออนเป็นการสืบต่ออำนาจไป  พวกเร็นรับหน้าที่คุ้มครองครีออน  ส่วนผู้วิเศษกับโซแวนเฝ้าอยู่บนลานพิธีเผื่อในกรณีฉุกเฉินหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ข้าจะรอนะ”  ข้าเอ่ยกับน้องชายก่อนที่จะหันหลังกลับไปเตรียมตัวในส่วนของข้าเอง

“เสด็จพี่”  ทว่าครีออนกลับเรียกข้าไว้ก่อนพร้อมกับดึงแขนไว้  พอหันไปมองด้วยความสงสัยเขาก็ถามขึ้นว่า  “ยังจำสัญญาของพวกเราได้หรือไม่?”

ข้านิ่งไปสักพักด้วยความงุนงงก่อนที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า  “แน่นอนสิ  ไม่ว่าเมื่อไรพวกเราพี่น้องก็จะอยู่เคียงข้างกัน”

ข้าได้ให้คำสาบานเช่นนั้นไปตอนที่สามารถช่วยครีออนออกมาจากห้องกักขังได้ 

เสด็จพ่อที่รักเสด็จแม่มากเกลียดชังครีออนตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดมา  กล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้เสด็จแม่ต้องตายจึงเลี้ยงไว้ในห้องที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน  และทำโทษยามที่ตัวเขาไม่พอใจ

ข้ารู้ว่าตนเองมีน้องชายอีกคนก็จากพวกคนรับใช้ที่คุยกันอยู่เลยแอบตามเสด็จพ่อไปตอนอายุห้าปี  คำขอร้องของข้าทำให้ครีออนได้เป็นอิสระ  แต่ยังคงไม่มีใครในปราสาทชอบเขา

ข้ารู้ว่านั่นเป็นแผลใจที่ใหญ่หลวงของครีออน  แต่ความสามารถของเขาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ทำให้หลายคนเริ่มยอมรับ

เพราะครีออนเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า  ดังนั้นแล้วข้าจึงให้ความสำคัญกับคำสาบานนั้น

“ข้าดีใจเหลือเกิน”  ครีออนสวมกอดข้าหนึ่งครั้งก่อนที่จะผละออกไปเพื่อเตรียมตัวต่อ  ข้าจึงได้มุ่งไปยังลานพิธี  ที่นั่นพบผู้วิเศษกับโซแวนกำลังรออยู่

“ท่านทีอารีน...”  ผู้วิเศษยิ้มต้อนรับข้าก่อนที่จะเข้ามาหา  “กำลังรออยู่เลยขอรับ”

เขาจับแก้มทั้งสองข้าอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเพิ่มแรงบีบมันโดยที่ไม่ให้ข้าพูดอะไร  “หายไปไหนมาขอรับ  รู้ไหมว่าทางนี้กังวลใจเป็นอย่างมาก”

“เอ๊บๆ  อังอ้าอ่อนอี่  (เจ็บๆ  ฟังข้าก่อนสิ)”  ข้าเปล่งเสียงอู้อี้ออกไปก่อนที่จะแกะมือของเขาออก  ผู้วิเศษจึงได้ปล่อยแต่ยังคงถามคาดคั้นอยู่

“ท่านหายไปไหนมา”

“ข้าแค่ไปคุยกับครีออนมาก็เท่านั้น  เจ้าก็น่าจะรู้นี่”  ข้าตอบไปตามความจริง  จริงอยู่ที่บอกไว้แล้วแต่ดันใช้เวลานานกว่าที่ควรจริงๆ

“ข้าเห็นว่ามันนานกว่าที่ท่านบอกเลยกังวลขึ้นมาน่ะขอรับ  เอาล่ะ  เตรียมตัวกันเถอะ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  ก่อนที่จะเดินนำข้าขึ้นไปยังลานพิธี  ตัวข้านั้นต้องทำหน้าที่ส่งมอบดาบให้แก่ครีออน

“นี่  ข้าขึ้นไปได้ด้วยเหรอ?”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่กำลังขึ้นบันไดด้านหลังลานพิธี  ผู้วิเศษเป็นคนที่หันมาตอบเพราะเขาเป็นคนกำหนดเอง  “ได้สิ  เพราะเจ้าเองก็มีเชื้อสายจากลูซิฟรานนี่นา”

“แต่ปกติข้างบนนั้นห้ามใครขึ้นไปนี่”  โซแวนถามต่อ  นั่นก็จริงอย่างที่เขาว่า  นอกจากผู้ที่ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป

“ก็ตอนนี้สถานการณ์มันไม่ปกตินี่  ข้าให้เจ้าขึ้นไปเพื่อคุ้มกันท่านทีอารีนกับท่านครีออนต่างหาก”  สิ้นเสียงผู้วิเศษโซแวนก็พยักหน้าเข้าใจและไม่ได้ถามอะไรต่อ

สัญญาณจากการบรรเลงเครื่องดนตรีดังขึ้นเป็นการเปิดฉากงานพิธีอันศักดิ์สิทธิ์  เพราะความสูงของลานข้าจึงไม่ได้เห็นงานเบื้องล่าง  แต่เมื่อครีออนขึ้นมาแล้วเขากลับดูสง่างามกว่าเมื่อครู่เสียอีก

น้องชายของข้าก้าวเข้ามาใกล้  ข้าจึงได้เอ่ยคาถาปลดปล่อยพันธนาการอาวุธออกแล้วยกยิ้มให้เขา

ครีออนยื่นมือมาจับด้ามดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าถืออยู่แล้วเอ่ยคำปฏิญาณ  “ข้า  ครีออน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  กษัตริย์คนที่  43  ของคาร์ไลน์  พลังเอ๋ย  จงสถิตแด่ดินแดนนี้ชั่วกาลนาน”

ดาบเปล่งแสงตอบรับกับคำปฏิญาณของเขา  ครีออนชูมันขึ้น  ข้าจึงได้ถอยห่างออกจากบริเวณพิธี  ในฐานะกษัตริย์แล้วเขาได้ปักดาบศักดิ์สิทธิ์ลงใจกลางพิธีเพื่อชำระดินแดน  แล้วใช้คทาที่สืบทอดต่อมากางข่ายเวทออก

มหาวงเวทสีทองบังเกิดขึ้นรอบตัวครีออน  ส่งพลังไปกางข่ายเวทคุ้มครองทั่วดินแดน  ผู้วิเศษที่อยู่ไม่ไกลได้ช่วยเสริมพลังให้เขาด้วย

เมื่อเวทมนตร์หายไป  ข่ายคุ้มกันก็กางเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับเสียงสรรเสริญที่ดังระงมทั่วทุกสารทิศ

ข้าเห็นครีออนเริ่มยืนโงนเงนจึงรีบเข้าไปประคองเขาไว้ก่อนที่จะล้มลงไปแล้วพาลงไปด้านล่าง  พิธีต่อจากนี้สำหรับกษัตริย์แล้วไม่มีอะไรสำคัญ  เป็นหน้าที่ของผู้ให้ความบันเทิงที่จะเริ่มบรรเลงดนตรีต่อหรือแสดงอย่างอื่น  งานเลี้ยงฉลองเองก็จะเริ่มจากคืนนี้เป็นต้นไป

มีกษัตริย์คนอื่นต้องการที่จะคุยกับครีออนเพื่อสร้างความสัมพันธ์แต่ข้าคิดว่าในเวลานี้ยังไม่เหมาะจึงได้ขอโทษพวกเขาแล้วพาครีออนไปพักผ่อน

“เจ้าไหวหรือเปล่า”  ข้าถามขึ้นเมื่อจับเขานั่งพักได้แล้ว  ครีออนหอบหายใจแรงเห็นชัดว่ากำลังเหนื่อยแต่เขากลับพยักหน้าตอบ 

“ข้าไม่เป็นไร  พักเดี๋ยวเดียวก็หาย”

“แน่นะ?”  ข้าถามไปด้วยความเป็นห่วง  เขายังคงยืนยันคำเดิมก่อนที่จะหลับตาลง  พวกคนรับใช้ต่างมาดูแลเขาทันทีทำให้ข้าต้องถอยออกมาชั่วคราว

“พิธีเสร็จสิ้นแล้วใช่ไหม”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นขณะที่ข้าถอยไปใกล้เขา  เมื่อลองไล่เรียงดูแล้วก็ถือว่าพิธีเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

“อื้ม  เหลือก็แค่งานเฉลิมฉลองเท่านั้นแหละ”

“ก็ดี แล้วเจ้าจะออกไปเดินดูงานไหม”  เขาถามขึ้นอีกครั้ง  ข้าหันไปมองครีออนที่ยังนั่งพักอยู่ก่อนที่จะปฏิเสธออกไป 

“ไม่ล่ะ  ข้าคิดว่าอยู่ดูแลครีออนจะดีกว่า”

“เป็นพี่ที่ดีจังนะ”  เขาเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวข้าพลอยทำให้รู้สึกสะดุ้งโหยง 

“อย่ามาลูบหัวนะ”

โซแวนเพียงแค่ยกยิ้มให้ทำให้ข้าชะงัก

“เสด็จพี่”  แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะครีออนลุกขึ้นเดินมาหา  ข้ารีบเข้าไปหาเขาพร้อมถามด้วยความเป็นห่วงว่า  “เจ้าลุกขึ้นไหวแล้วหรือ?”

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว  ท่านไม่ต้องห่วง”  เขายิ้มบางๆ  ให้ข้าก่อนที่จะเสริมว่า  “เดี๋ยวช่วงหัวค่ำก็คงไปร่วมงานเลี้ยงได้  ท่านจะมากับข้าด้วยไหม”

“ก็ถ้าเป็นคำสั่งของราชาก็คงปฏิเสธไม่ได้ละนะ”  ข้าเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ  ต่อให้เขาไม่ได้เป็นราชายังไงก็ต้องไปเป็นเพื่อนอยู่แล้ว  ครีออนเข้าสังคมไม่เก่งและติดนิสัยเสียที่ไม่เอาใครเสียด้วย

“แต่ก่อนหน้านั้นพวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ”  เป็นโซแวนที่เอ่ยขึ้น  ข้าพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะเสนอตัวพาครีออนไปพักผ่อน  เขาขอให้ข้าอยู่ด้วยในห้อง

“ให้ตาย  เจ้าไม่ใช่เด็กๆ  แล้วนะ”  ข้าบ่นพึมพำขึ้นอย่างเหนื่อยใจเมื่อเห็นเขาส่งสายตาขอร้องมา

“แต่เจ้าก็ยังนั่งด้วยอยู่นี่”  เป็นโซแวนที่แทรกขึ้นเสียงเรียบแต่ทำให้ข้าหงุดหงิดได้จึงสวนกลับไปทันทีว่า  “หนวกหูน่า”

เขาเลิกคิ้วอย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะบอกว่า  “เจ้าตามใจน้องชายมากเกินไปแล้ว  หัดเป็นพี่ที่ดีกว่านี้หน่อยสิ”

“แค่นี้เสด็จพี่ก็ดีพออยู่แล้ว”  ครีออนหันกลับมาสวนเขาแทนข้า  โซแวนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจเสียงดังออกมา 

“เฮ้อ  พวกเจ้าพี่น้องนี่มัน...”

“คนไม่มีพี่น้องอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกน่า”  ข้าลองตอกเขากลับไปทำให้โซแวนชะงัก  แต่ก็ยังสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ

“ลูกคนเดียวก็มีดีเหมือนกันล่ะน่า  ข้าไม่เคยต้องมาทะเลาะกับพี่น้องด้วย”

“แต่เจ้าไปทะเลาะกับคนอื่นบ่อยนี่  อีกอย่างข้าก็ไม่เคยทะเลาะกับครีออนเหมือนกัน”  ข้าสวนกลับไปอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด  ดวงตาของเขาจ้องเขม็งมาทางข้าแต่ก่อนที่เรื่องทะเลาะจะลามไปมากกว่านี้ครีออนก็ยกมือขึ้นห้าม

“พอแค่นี้เถอะขอรับ”  คำพูดของเขาทำให้ข้ารู้ตัวทันที 

“อ๊ะ  ขอโทษนะ  ทั้งๆ  ที่เป็นเวลาพักผ่อนของเจ้าแท้ๆ”

“ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกขอรับ”  ครีออนหันมาบอกข้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปพูดกับโซแวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย  “เจ้าออกไปได้แล้ว”

“ไม่ล่ะ  ข้ามีหน้าที่คุ้มครองพวกเจ้าสองคน”  โซแวนปฏิเสธเสียงเรียบ  ครีออนเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะหันกลับไปนั่งพัก

“แต่ว่า  ข้าขอคุยกับเจ้าหน่อย”  เขาหันมาหาข้าก่อนที่จะรีบคว้าข้อมือข้าเดินออกจากห้องทันทีสร้างความสับสนอย่างมาก

“เดี๋ยว  โซแวน  เจ้ามีเรื่องอะไร”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่เขาพามานอกห้องของครีออน  โซแวนยังไม่พูดอะไรจนกระทั่งพาข้ามายังมุมลับตาแล้วจับข้อมือข้าตรึงไว้กับกำแพงจนสะดุ้งเฮือก 

“โซแวน!?”

“กลิ่นของเจ้า...”  เขาพึมพำขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งทำให้ข้าไม่เข้าใจ  “กลิ่นของเจ้ามันรุนแรงแถมยังแปลกกว่าเดิมด้วย”

“หมายความว่ายังไง?”  ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแล้วลองหันไปดมแขนเสื้อตัวเอง  แต่ทำไปก็ไม่พบกับความแตกต่างจากปกติ  น้ำหอมที่ใช้ก็เป็นแบบเดียวกับเวลาปกติ

“ข้าได้กลิ่นแปลกๆ  ที่มันเกือบกลบกลิ่นเดิมของเจ้าหมด”  เขาพูดอย่างเดียวไม่พอแต่ยังยื่นจมูกเข้ามาดมใกล้ๆ  เพื่อหาไอ้กลิ่นแปลกๆ  ที่ว่า  เขาพยายามหาไปเรื่อยจนกระทั่งถึงช่วงลำคอที่ทำให้ข้าเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา

“นี่  พอได้หรือยัง”  ข้าลองถามขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาผละออกมาแล้วจับข้าถอดเสื้อทันทีโดยไม่พูดอะไร  “เดี๋ยว!  จะทำอะไร  โซแวน!?”

“เงียบๆ  น่า  อยากให้เจ้านั่นมาได้ยินหรือไง”  โซแวนกระซิบบอกเสียงเครียดทำให้ข้าเงียบปาก  เขาถอดไปแค่เสื้อคลุมที่ข้าสวมอยู่  “เจ้านี่เป็นต้นเหตุนี่เอง”

“เอ๊ะ?  หมายความว่ายังไง”

“มันมีพลังเวทบางอย่างที่ทำให้พวกข้าหาเจ้าไม่เจอ”  เขาตอบเสียงเรียบทำให้ข้าประหลาดใจ 

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  ก็นี่เป็นของที่ครีออนให้...”

“ครีออน?  ข้าจะบอกอะไรให้นะว่าอย่ายุ่งกับเจ้าเด็กนั่นอีกจะดีกว่า” 

“เจ้าจะบ้าหรือไง!?”  ข้าตวาดกลับไปทันทีเมื่อเขาพูดจบ  สีหน้าของเขาจริงจังมากจนข้าไม่คิดว่านั่นคือคำพูดอำเล่นของเขา

“ถึงผู้วิเศษจะเห็นว่ายังไม่ควรบอกเจ้าก็เถอะ  แต่ถ้าปล่อยไว้เจ้านี่แหละที่จะเป็นอันตราย”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะยื่นหน้ามากระซิบใกล้เพื่อให้ได้ยินแค่สองคน

“เกี่ยวกับประตูอสูรน่ะ  เจ้าไม่ฉุดใจคิดบ้างหรือว่าอีกคนที่ควบคุมจะเป็นใครถ้าไม่ใช่เจ้า”  คำพูดของเขาทำให้ข้าเบิกตากว้าง  ทุกอย่างมันเด่นชัดอยู่แล้วหากมาคิดถึงประเด็นนี้

แต่ข้าแค่พยายามไม่คิดและไม่ตัดสินเช่นนั้นด้วยความเชื่อใจ

เพราะพวกเราเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง...

“ไม่...ไม่มีทางเป็นไปได้”  ข้ายังคงโกหกต่อไป  แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยากยอมรับความคิดของข้าจึงออกอาการโมโห  โซแวนกระชากคอเสื้อข้าดันติดกับกำแพง 

“เลิกโกหกตัวเองสักที  ยอมรับความจริงซะ!”

“ไม่...ไม่ใช่ครีออนแน่ๆ”

“ทีอารีน!”

“ปล่อยมือจากเสด็จพี่เดี๋ยวนี้!!”  เสียงของครีออนดังขึ้นทำให้โซแวนที่เผลอตะคอกใส่ข้าหันไปมอง  เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความโกรธ  “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องเสด็จพี่”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”  โซแวนตอบกลับไปเสียงเรียบก่อนที่จะโยนเสื้อคลุมที่ถอดจากข้าไปให้ครีออน  “เจ้าเถอะ  เสื้อคลุมนี้หมายความว่ายังไง  ทำไมถึงคิดจะลบร่องรอยของทีอารีน”

“ครีออน  นี่มันหมายความว่ายังไง”  ข้าถามซ้ำไปเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบ  “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าแค่อยากช่วยเสด็จพี่เท่านั้น”  เขาหันมาตอบข้าก่อนจะยกยิ้มขึ้นแล้วยื่นมือมา  “คนพวกนี้น่ะไม่สามารถพาพี่ไปหาความสุขที่แท้จริงได้หรอก  มากับข้าสิ”

แต่โซแวนกลับยกมือขึ้นกันข้าไว้แล้วบอกว่า  “อย่าไปเชื่อเจ้าหมอนี่นะ”

“หนวกหูจริง  เพราะเจ้าเลยทำให้แผนของข้าผิดรูปไปหมด...แต่ไม่เป็นไร  แบบนี้ก็ดีแล้ว”  ครีออนยังคงเอ่ยทั้งๆ  ที่วาดรอยยิ้มบางๆ  บนใบหน้าแต่ข้ากลับรู้สึกไม่ดีอย่างน่าประหลาด  ขณะนั้นเองที่เขาหันมาทางข้าแล้วบอกว่า  “จริงสิเสด็จพี่  ข้าบอกว่ามีคนจะแนะนำให้รู้จักใช่ไหม  ตอนนี้เขามาถึงแล้ว”

สิ้นเสียงของครีออน  ระเบียงทางเดินที่ไม่มีใครพลันรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาและในตอนนั้นเองที่ข้างกายของน้องชายข้ามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น

ทั้งข้าและโซแวนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงทันที  โดยเฉพาะข้าที่เผลอเอ่ยนามของอีกฝ่ายออกมา 

“ลูซัส...”

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งขอรับ”  อีกฝ่ายเผยยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าเป็นมิตรแต่กลับแผ่จิตสังหารออกมาเต็มไปหมด

“ข้าพลาดช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการขึ้นเป็นราชาของท่านไปเสียได้  น่าเจ็บใจจริงๆ”  เขาหันไปพูดกับครีออนที่ยังคงทำสีหน้าเรียบนิ่ง  ลูซัสเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามว่า  “คงจะหงุดหงิดมากสินะขอรับ  มีอะไรให้ข้าจัดการไหมหรือไม่  ฝ่าบาท”

ครีออนยกนิ้วขึ้นชี้มาทางโซแวนก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า  “จัดการเขาซะ”

“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”  สิ้นเสียงของลูซัส  โซแวนก็รีบผลักข้าไปด้านหลังทันทีก่อนที่จะยกมือขึ้นป้องกันการโจมตีจากลูซัส  แรงปะทะนั้นทำให้กระจกหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ  แตกละเอียด

“รู้อะไรไหม  ข้าอยากฆ่าเจ้ามานานแล้ว”  เสียงของลูซัสดังขึ้นขณะที่เขาเตรียมจะกระหน่ำการโจมตีใส่โซแวนอีกรอบ  อาจเพราะเขาไม่อยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้เลยทำให้รับมืออีกฝ่ายได้ลำบาก

“โซแวน!”  ข้าตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นมือไปร่ายเวทป้องกันให้เขาแล้วเข้าไปหา  โซแวนกุมท้องด้วยความเจ็บปวดหลังจากถูกเวทมนตร์ดำของอีกฝ่ายจู่โจม  “ยืนไหวไหม”

“อืม”  เขาครางรับสั้นๆ  ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น 

ลูซัสผิวปากเบาๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ท่านทีอารีน  ทำแบบนี้ไม่คิดว่าจะทำร้ายจิตใจน้องชายของท่านหรือขอรับ”

ข้าหันไปมองครีออน  เขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งที่ยากจะเข้าใจ  “ครีออน  เหตุใดเจ้าถึงร่วมมือกับลูซัสกัน?”

“เพราะอุดมการณ์ของข้ากับเขาตรงกันน่ะสิ”  เขาตอบเสียงเรียบ  “เสด็จพี่  ทั้งๆ  ที่ท่านก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจถึงความน่ากลัวของมนุษย์มากที่สุดแต่ทำไมถึงยังช่วยพวกเขาอยู่ล่ะ  ทั้งๆ  ที่พวกเขาทำกับท่านถึงขนาดนั้น”

“ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชั่วร้ายหมดนี่”  ข้าตอบกลับไปสีหน้าจริงจังก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า  “ครีออน  ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่นะแต่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังเลือกทางผิดอยู่...”

“ไม่มีทางที่ผิดหรือถูกสำหรับข้าหรอกเสด็จพี่  ข้าแค่เลือกในทางที่เหมาะสมที่สุดต่างหาก”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร  “มนุษย์น่ะควรจะหายจากโลกนี้ไปเสียบ้างก็ดี”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”  ข้าถามย้ำด้วยความไม่พอใจ  “ทำไมเจ้าต้องร่วมมือกับลูซัส”

ครีออนยกมือขึ้นชี้มาก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย  “ตัวท่านไง  เสด็จพี่”

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”  ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  แต่เขากลับใช้โอกาสที่โซแวนซึ่งพัวพันกับการต่อสู้ห่างออกไปเข้ามาคว้าข้อมือข้าไว้ 

“ข้าก็ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องตลก”

ครีออนสวมผ้าคลุมที่เขาเอาให้ข้าก่อนที่จะคว้าตัวข้าเข้าไปใกล้  “มากับข้า”

“เดี๋ยว!  ครีออน”

“ทีอารีน!”  เสียงของโซแวนตะโกนดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาถูกโจมตีใส่จนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงจนทะลุไปในห้อง  สภาพนั้นทำให้ข้าหันกลับมาตวาดใส่ครีออนด้วยความโกรธ 

“ทำบ้าอะไร  หยุดเขาซะ  ครีออน!”

“คิดว่าข้าจะหยุดหรือ”  เขาหันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะบีบมือข้าแน่นเพื่อเดินไปต่อ  แม้จะขืนไว้แต่แรงของครีออนมีมากกว่าที่ข้าคาดไว้  ตามทางเดินตอนนี้ไม่มีใครเพราะต่างอยู่ในงานเลี้ยงไม่ก็เทศกาล  คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ข้ากัดฟันกรอดแล้วดึงมือกลับมาสุดแรงจนสลัดเขาได้  เมื่อครีออนหันกลับมาก็ต่อยที่แก้มไปเต็มแรง  “ครีออน  ข้าย้ำอีกครั้ง  ที่เจ้าทำอยู่นี่มันไม่ดีเลยสักนิด”

“ไม่ดีหรือ...”  เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะบีบคอข้าแล้วกระแทกเข้ากับกำแพง  “ทั้งๆ  ที่ข้าทำเพื่อท่านขนาดนี้  ให้ท่านได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของพวกเขาแต่ท่านก็ยังไปเชื่อใจพวกมัน  ทั้งพวกมนุษย์  ทั้งพวกสัตว์นั่น” 

“เจ้า...กำลัง...อึก  เข้าใจผิด”  ข้าพยายามเปล่งเสียงออกมาขณะคลายมือของเขาออกจากลำคอแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟัง  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

“ทั้งๆ  ที่ท่านควรจะรักข้าแค่คนเดียวเท่านั้น  แต่มันยังมาทำให้เสด็จพี่ไปมีใจให้คนอื่นอีก!”  ครีออนยังคงเอ่ยขึ้นด้วยความแค้น  ข้าไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรแต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวข้าจะตาย

“ครี...ออน  ครีออน!”  ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขาสุดกำลังทำให้ครีออนชะงัก  ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่จะปล่อยมือทำให้ข้าทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วไอโขลกออกมา

ครีออนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสองมือกุมหัวแน่นราวกับกำลังเจ็บปวด  ข้าจึงลองเอ่ยเรียกเขา  “ครีออน...”

“เสด็จพี่”  น้ำเสียงของเขาโอนอ่อนลงขณะเงยหน้าขึ้น  ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำไหลออกมา  ใบหน้าราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่

สายลมสีดำกับสีขาวพัดมาโอบล้อมพวกเราไว้คนละข้าง  ก่อนที่ร่างของข้าจะถูกอุ้มขึ้นไปด้วยฝีมือของใครบางคนที่เมื่อมองดูแล้วเป็นผู้วิเศษ  เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งแต่ลูซัสก็ไม่ได้สนใจใครนอกจากปิดตาครีออนไว้ 

“ฝ่าบาท  ท่านเหนื่อยพอแล้ว  พักผ่อนสักครู่เถอะ”

“เจ้าทำอะไรครีออน!”  ข้าตะโกนถามขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบ  หนำซ้ำผู้วิเศษยังรีบพาข้าหนีออกจากปราสาท  ขณะนั้นพวกทหารกรูกันเข้ามาโดยมีลูซัสเรียกให้จัดการพวกข้า

“ผู้วิเศษ  ปล่อยข้าก่อน  ครีออน..."
“เปล่าประโยชน์ขอรับ  เขาน่ะ...ตกลงไปในความมืดแล้ว”  ข้าที่พยายามขอร้องให้เขาช่วยครีออนหยุดชะงักเมื่อได้ยินผู้วิเศษพูดเช่นนั้น  ก่อนที่จะหันกลับไปมองครีออน

ดวงตาของเขากลับไปเย็นชาเช่นเดิมแล้วพร้อมกับหัวใจข้าที่คล้ายกับว่าถูกกรีดออกเป็นชิ้นๆ
-----------------------
ดราม่าเริ่มขึ้นแล้ว//สำหรับบางคนที่สงสัยครีออน มาตอนนี้คงกระจ่างแล้วนะคะ แฮร่ๆ ติดตามตอนต่อไปในเร็วๆ นี้ได้ค่ะ 5555

ออฟไลน์ asmar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
สนุกมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 23
จมดิ่งสู่ความมืด

ข้าถูกผู้วิเศษอุ้มออกจากปราสาท  เขาหลบพวกทหารด้วยการกระโดดออกทางหน้าต่าง  ทว่ากลับถูกลูซัสใช้จุดบอดโจมตีใส่จนเขากระอักเลือด  รวมทั้งพวกทหารเองก็เตรียมง้างคันธนูขึ้นเตรียมเล็งมา

กรร!!

ทว่าเสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน  เมื่อข้าหันไปก็พบมังกรสีดำตัวใหญ่กำลังบินมาทางนี้  เมื่อเห็นพวกทหารกำลังคิดจะโจมตีมาทางพวกข้าจึงบินโฉบไปหา  แรงลมที่พยุงกายนั้นไว้ราวกับพายุที่ทำให้พวกเขาล้มระเนระนาด  รวมทั้งสัตว์ยักษ์นั่นยังพุ่งเข้าไปโจมตีปราสาทจนทำให้ส่วนที่พลธนูอีกส่วนอยู่เสียหาย

จากนั้นมังกรนั่นก็ได้บินกลับมาทางพวกข้า  เงาร่างที่อยู่บนหลังมันคือนอร์ธวินด์  เขายื่นมือหนึ่งมาคว้ามือผู้วิเศษไว้แล้วดึงเข้าหา

“ผู้วิเศษ  ฝ่าบาท  บาดเจ็บตรงไหนไหมขอรับ”  เขาถามขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วง  มังกรที่โดยสารอยู่นี่ก็คือวารัน  ข้าพอจะจำตำหนิบางอย่างของเขาได้ 

วารันเร่งความเร็วขึ้นขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงเพื่อไม่ให้พวกนั้นตามทัน  ข้าหันกลับไปทางผู้วิเศษพบว่าเขายังคงไอโขลกเป็นเลือดอยู่  แถมพลังเวทยังคงลดน้อยลงเรื่อยๆ

“ผู้วิเศษ  ท่านไหวหรือเปล่า”  นอร์ธวินด์ถามขึ้นขณะที่ประคองเขาไว้  ผู้วิเศษเพียงขืนยิ้มก่อนจะตอบด้วยท่าทีลำบาก 

“ลูซัส...มันร่ายมนตร์ดำใส่ข้าด้วย”

“ว่ายังไงนะ”  ข้าขมวดคิ้วยุ่งอย่างกังวล  มนตร์ดำนั้นเป็นศาสตร์ต้องห้าม  จริงอยู่ที่ว่าข้าเองก็เห็นลูซัสใช้มาตั้งแต่แรก  ต่างกับข้าหรือผู้วิเศษที่ใช้มนตร์ขาวซึ่งเป็นเวทรักษาหรือเสริมพลัง  การถูกโจมตีด้วยมนตร์ดำนั้นจะทำให้บาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม  ซ้ำร้ายมันอาจแทรกซึมเข้าไปในร่างถ้ากรณีร้ายแรงก็จะทำให้เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งห้าได้

“แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับฝ่าบาท  ข้ายังไหว”  ผู้วิเศษหันมายิ้มให้ข้าทั้งๆ  ที่หน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ  เห็นท่าทีดื้อรั้นของเขาข้าเลยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของเขา  ไอเวทสีทองแผ่ออกมาจากฝ่ามือไหลไปหาอีกฝ่าย 

ถึงผู้วิเศษจะมีพลังเวทมหาศาล  แต่การถูกมนตร์ดำรบกวนนั้นจะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง  ข้าจึงจำเป็นต้องรักษาให้เขา

“เห็นๆ  อยู่ว่าเจ้าไม่ไหว”  ข้าตำหนิไปอย่างอ่อนใจแต่เขากลับหัวเราะขึ้น

“ขอบคุณท่านมาก”

“ฝ่าบาท  จะออกจากข่ายเวทแล้วนะขอรับ”  นอร์ธวินด์ร้องเตือนขึ้นก่อนที่จะขยับมาใกล้พวกข้าแล้วโอบไว้ก่อน  “ข้าเคยทดสอบดูแล้ว  ถ้าจะออกไปได้พวกข้าต้องออกแรงทำลายมันก่อน”

ทันทีที่เข้าใกล้ข่ายเวท  วารันก็คำรามขึ้นอีกก่อนจะหมุนตัวอย่างเร็วจนพวกข้าเกือบหงายหลัง  เขาใช้หางฟาดใส่จนทำให้ข่ายเวทแตกกระจายเป็นวงกว้างก่อนจะใช้โอกาสนั้นหนีออกมา

แต่ข่ายเวทเองก็ฟื้นตัวเร็วมากสวนทางกับความรวดเร็วของวารันจนเขาเกือบโดนหนีบหาง

“โธ่  เจ้าอืดอาด  ข้าบอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ  เจ้าหนักจนบินช้าแล้วนะ”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นพลางตบหนังของวารันสองสามที  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไหมเพราะลมแรงแต่การที่เขาคำรามกลับมาอีกถือเป็นคำตอบที่น่าจะไม่พอใจเท่าไร

วารันในร่างมังกรพาพวกข้าลงจอดที่ลานโล่งของป่าต้องห้าม  ที่นั่นมีอาคีรัสรออยู่  เขารีบวิ่งเข้ามาหาทันที  “ผู้วิเศษบาดเจ็บหรือ?  เดินไหวไหมขอรับ”

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว  เพราะได้ท่านทีอารีนช่วยเลยดีขึ้นมากเลย”  เขาหันมายิ้มให้ข้า  พอลงถึงพื้นแล้วข้าปล่อยมือจากเขาทันทีเพราะไม่สะดวก  แต่มนตร์ดำก็จางหายไปมากแล้วจึงไม่น่าเป็นอะไรมาก  วารันกลับเป็นร่างมนุษย์เหมือนเดิมแล้วตรงไปเขกศีรษะนอร์ธวินด์ทันที  ท่าทางเขาจะรับไม่ได้กับเรื่องที่บินช้า

“ตอนนี้ท่านเร็นกับท่านคาร์ริต้ากำลังอยู่ที่ใจกลางป่าต้องห้ามกับลูกพี่ครับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันมาหาข้าคนเดียว  “ข้าขอโทษที่ช่วยครีออนไม่ได้”

ข้าเลิกคิ้วอย่างสงสัย  นั่นทำให้อาคีรัสยอมอธิบาย  “ข้าได้รับคำสั่งให้เป็นเพื่อนกับครีออนเพื่อที่จะช่วยเขา  แต่ว่า...ข้าก็ทำไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“อาคีรัสมีร่างเดิมเป็นนกฟินิกซ์  ไฟของเขาสามารถชำระล้างจิตใจคนได้  แต่ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ท่านครีออนจะโดนลูซัสควบคุมอยู่ตลอดเวลา  ข้าผิดเองที่ตัดสินใจช้าไป”  ผู้วิเศษเป็นคนอธิบายต่อด้วยสีหน้าหม่นหมอง 

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือว่าครีออนกับลูซัสร่วมมือกัน”  ข้าถามขึ้นในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ  หากลองนึกดูผู้วิเศษเองก็มีบางทีที่ไม่ไว้ใจหรือครีออนหรือกีดกันข้ากับน้องไว้

“ในตอนแรกข้าแค่คาดการณ์ไว้เฉยๆ  เพราะยังไงลูซัสก็ต้องเล็งพวกท่านทั้งสองไว้อยู่แล้ว  แล้วมามั่นใจก็ตอนที่เจอเขาตรงๆ  นี่แหละขอรับ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  “บรรยากาศรอบตัวเขาเหมือนลูซัสในสมัยก่อนไม่มีผิด”

“เจ้ารู้แต่แรกแต่ไม่ยอมบอกกับข้า”  ผู้วิเศษชะงักไปทันทีที่ข้าพูดขัด  เขาเป็นคนที่รู้เรื่องแต่แรกแต่ไม่ยอมบอกอะไรเลย  ที่ผ่านมาขอทำเป็นเมินเฉยตลอดเพราะเขาเป็นคนบอกเองว่ายังไม่ถึงเวลา  ทว่าแม้แต่เรื่องนี้...

“ทำไมเจ้าไม่ยอมบอกกับตั้งแต่แรกเรื่องครีออน!”  ข้าขึ้นเสียงพร้อมกับตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อเขา  แต่ท่าทีของผู้วิเศษยังคงสงบนิ่งแล้วอธิบายอย่างใจเย็น

“เพราะท่านเองตอนแรกก็สุ่มเสี่ยงที่จะตกลงไปในความมืดเหมือนกัน...ดังนั้นแล้วข้าจึงได้รอเวลา”

“ขอขัดนิดหนึ่งได้ไหมขอรับ”  อาคีรัสยกมือขึ้นถามแทรกเข้ามา  “ที่ว่าตกลงไปในความมืดนี่มันหมายความว่ายังไงกันหรือขอรับ”

“เป็นสภาวะที่ผู้ที่สามารถใช้เวทได้มีจิตใจตกต่ำ  เป็นทุกข์  ถูกทำร้ายจิตใจ  หรือการมีจิตอาฆาตแค้นมากๆ  จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และเวทมนตร์เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ  ว่าง่ายๆ  จากดีกลายเป็นร้ายนั่นแหละ  ที่เห็นเด่นชัดก็ลูซัสขอรับ”  ผู้วิเศษหันไปอธิบายให้อาคีรัสฟังขณะแกะมือของข้าออก  “อย่างท่านทีอารีนเองก็เคยเกือบตกลงไปในสภาวะนั้นในช่วงที่ถูกขัง  แต่เพราะได้พวกเจ้าช่วยตอนนี้เลยไม่เป็นอะไรแล้ว”

ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง  ในสมัยที่ท่านพ่อปกครอง  ตัวข้าเองก็ถูกทำร้ายทางจิตใจบ่อยๆ  จนเกือบตกต่ำลงนับเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดก็ว่าได้

“เจ้าช่วยข้าได้  แต่ทำไมถึงไม่ช่วยครีออน”  ข้าถามเขาขึ้นอีกเมื่อคิดถึงครีออน  อย่างไรก็ตามผู้วิเศษก็คงสามารถหาตัวครีออนได้แน่นอนอยู่แล้ว  แต่เขากลับไม่ช่วย

“ท่านกับเขาต่างกัน  ตัวเขาตกต่ำลงไปนานแล้วและมีลูซัสอยู่ข้างๆ  คอยให้พลังความมืดแก่เขาตลอด  ในตอนนั้นข้าก็พยายามหาเขาแล้วแต่ลูซัสกลับขัดขวางมาตลอด”  ผู้วิเศษอธิบายก่อนจะเสริมขึ้นเมื่อเห็นข้าทำสีหน้าไม่ดี  “แต่ว่าพอเห็นเขาอยู่กับท่าน  ข้าเลยคิดว่าตอนนี้ก็ไม่สาย  ถ้าหากท่านอยากช่วยท่านครีออน”

“ข้าอยากช่วยเขา!”  ข้าตอบกลับไปทันทีเพราะเป็นจุดมุ่งหมายเดียวที่ข้าต้องการรู้  ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดข้าก็จะช่วยครีออนให้ได้

“ไว้เรามาคิดแผนกันขอรับ”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้น  ก่อนที่พวกข้าจะได้ยินเสียงม้าวิ่งเข้ามาใกล้  ยูนิคอร์นตัวหนึ่งออกมาจากป่าหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้วกลับคืนร่างเป็นคน

“ฝ่าบาท  อยู่ที่นี่จริงๆ  ด้วย!”  เร็นเอ่ยขึ้นทันทีพร้อมกับเข้ามาหาข้า  สีหน้าของเขาดูร้อนรนผิดปกติ  “รีบไปที่วิหารโบราณเถอะขอรับ  โซแวนกำลังแย่แล้ว”

“ว่ายังไงนะ!?”  ข้าหันไปหาผู้วิเศษ  ดูเหมือนเขาเองก็ตกตะลึงเหมือนกันก่อนจะรีบออกคำสั่งว่า  “เรารีบไปกันเถอะขอรับ”

ข้าถูกเร็นในร่างยูนิคอร์นบังคับให้ขึ้นขี่เขาไปเพราะไม่ทันฝีเท้าคนอื่น  พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงวิหารซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ  รายล้อมอยู่

คาร์ริต้านั่งอยู่หน้าทางเข้า  เธอมีสีหน้าโล่งอกขึ้นเมื่อเห็นพวกข้า  “ฝ่าบาท”

“ฝ่าบาท  โซแวนได้รับบาดเจ็บหนัก  ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องนั้น”  เร็นหันมาเอ่ยกับข้า  แต่พอจะก้าวเข้าไป  พวกสัตว์วิเศษตรงหน้ากับยื่นอาวุธมาขัดขวาง

“พวกเจ้า...”

“ห้ามเข้าไปใกล้นายเหนือหัวนะ!”  แฟรี่ตนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น  ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องจากรอบข้างเพราะเห็นด้วยนั่นทำให้เร็นรีบเข้ามาขวางข้าไว้ก่อนจะสวนกลับไป 

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปกันหมด  หลีกไป  ข้าจะพาเขาไปรักษาโซแวน”

“ไม่ได้!  เจ้าเองอยู่กับมันก็ระวังตัวไว้เถอะ  เจ้านี่ต้องเป็นตัวโชคร้าย!”  แฟรี่อีกตนโวยวายขึ้นพร้อมชี้มาที่ข้า  นั่นทำให้ในอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา  “เพราะมัน  เพราะนายเหนือหัวไปช่วยมันเลยบาดเจ็บปางตายแบบนี้!”

บาดเจ็บ...ปางตาย

“เราจะไม่ให้นายเหนือหัวไปยุ่งกับพวกมนุษย์อีกแล้ว”  เซนทอร์หนุ่มตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น  ก่อนจะยื่นหอกเข้ามาใกล้ตัวข้ามากกว่าเดิมจนต้องถอยหนีไปหนึ่งก้าว  “ไสหัวไปซะ  เจ้ามนุษย์”

“ไสหัวไป!  ไสหัวไป!  ไสหัวไป!”  เหล่าสัตว์ที่อยู่รอบข้างตะโกนขับไล่อย่างเซ็งแซ่ทำให้ทั้งเร็นและคนอื่นๆ  เข้ามาขวางข้าไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้าย

“เงียบนะ!!”  ทว่าเสียงหนึ่งตะโกนดังกึกก้องขึ้นทำให้พวกสัตว์ที่เหลือเงียบลง  คนที่ปรากฏตัวข้างคาร์ริต้าทำให้ข้าตะลึงค้าง

“นายเหนือหัว!?”

“โซแวน!!” 

พวกสัตว์ที่หันกลับไปเห็นว่าใครเป็นผู้ห้ามต่างเอ่ยเสียงหลงแล้วลงไปหมอบเคารพกับพื้นทันที  สภาพของโซแวนตอนนี้บาดเจ็บหนักเกินกว่าจะยืนไหว  แต่เจ้าตัวยังพอใช้เสาข้างๆ  ค้ำยันตัวเองได้  ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดแถมยังสูญเสียพลังเวทที่จำเป็นไปเรื่อยๆ

ข้ารีบวิ่งเข้าไปประคองเขาไว้ทันทีเพราะคาร์ริต้าคงไม่ไหว  ลมหายใจของเขาหอบหนักแต่ยังคงฝืนตัวเอ่ยออกมา  “พวกเจ้า...อยากเห็นข้าตายหรือไง”

“มะ...ไม่ใช่นะขอรับ”  เซนทอร์ตัวเดิมเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  โซแวนพยายามสูดลมหายใจเข้าก่อนขึ้นเสียงในประโยคถัดมา 

“ถ้างั้นก็ปล่อยมนุษย์นี่รักษาข้า!  แล้วขืนใครคิดขวางหมอนี่อีกล่ะก็  ข้าจะฆ่าให้ตาย...อึก!”

“โซแวน  เจ้าฝืนเกินไปแล้ว”  ข้าร้องออกไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นเขาเจ็บจนตัวงอขึ้น  ก่อนจะหันไปในห้องที่เขาออกมา  “กลับไปนอนพักซะ”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  คงเพราะหมดแรงแล้วข้าจึงพาเขาเข้าไป  พวกเร็นตามเข้ามาในห้องด้วยเพื่อช่วยวางโซแวนลงบนเตียงหินที่มีผ้าขนสัตว์ปูรองไว้อีกสองสามชั้น

รอบข้างเต็มไปด้วยกำแพงหินที่ฝังอัญมณีเวทไว้  พอจะช่วยดูดซับและปล่อยพลังเวทบริสุทธิ์ให้เขาได้

“ทำไมเขาถึง...”  ข้านั่งลงข้างเขาแล้วเอ่ยค้างอย่างไม่เชื่อสายตา  โซแวนหน้าซีดเผือดแถมเมื่อนอนไปสักพักลมหายใจก็อ่อนลงเรื่อยๆ  เมื่อข้าสัมผัสแขนเขาก็พบว่าตัวเย็นเฉียบ

“คงเพราะสู้กับลูซัส  เจ้านั่นกะจะฆ่าเขาให้ตายแต่พวกเร็นไปช่วยออกมาได้  แต่ก็แย่อย่างที่ท่านเห็น”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเบา  “หนำซ้ำยังใช้คำสาปให้พวกบาดแผลไม่สมานตัวเหมือนปกติด้วย”

“อะไรกัน?”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  หากยามปกติไม่ต้องพึ่งพลังรักษาอะไรมากโซแวนเองก็จะฟื้นตัวเองได้  แต่ตอนนี้แม้แต่แผลถลอกก็ไม่สามารถจางหายไปแม้แต่น้อย

สีหน้าของโซแวนเต็มไปด้วยความทรมาน  เพราะเขาอุตส่าห์มาบอกข้าเรื่องครีออน  ถ้าตอนนั้นเขาไม่อยู่กับข้าก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น

ข้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  ก่อนจะหยิบมีดที่อยู่ข้างๆ  กรีดนิ้วตัวเองให้มีเลือดออก  สั่งให้เร็นถอดเสื้อของโซแวนออกแล้วเขียนอักขระเวทลงบนแผ่นอกของเขาแล้วนำเลือดบางส่วนของเขามาผสม  ก่อนจะพึมพำร่ายคาถารักษาขึ้น

วงเวทสีทองปรากฏอยู่ด้านล่างโดยมีเตียงเป็นศูนย์กลาง  อณูแสงสีทองลอยขึ้นมาหาเขาเพื่อฟื้นฟูบาดแผล  อย่างที่ผู้วิเศษว่า  เพราะคำสาปทำให้แผลของเขาหายช้ากว่าที่ควรจะเป็นแม้จะใช้เวทขั้นสูงเพียงใด

“ผู้วิเศษ  ไม่มีวิธีแก้เลยหรือ?”  ข้าถามขึ้น  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเดินมาอยู่อีกข้างของเตียง 

“วิธีแก้มีขอรับ  แต่ว่า...”

“แต่ว่าอะไร?”

“จะทำให้เขาทรมานสักหน่อย  สภาวะตอนนี้สุ่มเสี่ยงที่เขาจะตาย”  ผู้วิเศษหลุบตาลงมองโซแวนที่นอนอยู่บนเตียง  หัวใจข้าหล่นวูบไปแต่แล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อเขาบอกว่า  “แต่ถ้าท่านกล้าที่จะใช้เวทรักษาขั้นสูงกว่านี้อาจจะช่วยยื้อให้เขาตอนที่ข้าถอนคำสาปออกก็ได้”

“ได้  ข้าจะทำ”  ข้าตอบตกลงไปในทันที  ก่อนจะหันไปมองโซแวน  อย่างที่พวกสัตว์วิเศษว่า  ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะช่วยข้าไว้ 

ผู้วิเศษพยักหน้ารับคำก่อนจะหันไปสั่งพวกคนที่เหลือ  “พวกเจ้ารีบไปเตรียมของมาถอนคำสาป  เร็นนำผงอวยพรของแฟรี่มา  วารันกับนอร์ธวินด์รีบไปตามหาขนนกยักษ์ทางตอนเหนือมา  อาคีรัส...เอาเลือดเจ้ามาแก้วหนึ่ง  ส่วนคาร์ริต้าช่วยเตรียมน้ำตานางเงือกให้ที”

“ขอรับ!/เจ้าค่ะ!”  พวกเขาขานรับพร้อมกันก่อนที่จะออกไปข้างนอก  ผู้วิเศษบอกให้ข้ารออยู่คอยดูโซแวนไว้ก่อนที่จะออกไปด้วย

เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  ข้าก็ได้มองโซแวนอีกครั้งแต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น  ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในอกจึงได้กุมมือของเขาไว้แล้วยกขึ้นแตะหน้าผากของตัวเองแล้วให้คำมั่นสัญญาไว้

“ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้  ข้าสัญญา”

มือของเขาขยับเล็กน้อยคล้ายกับพยายามจะตอบสนอง  แต่พอหันไปมองสีหน้าของเขาก็พบว่าเรียบเฉยสมกับเป็นเจ้าตัว  “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะคิดยังไง  แต่ว่าไม่ต้องห่วงไปหรอก  เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร”

ข้ารออยู่ราวครึ่งชั่วโมง  พวกผู้วิเศษก็กลับมาพร้อมขวดยาขนาดใหญ่  ผู้วิเศษแบ่งหนึ่งแก้วเล็กให้เร็นนำมาให้โซแวนดื่ม  ส่วนที่เหลือก็ราดลงบนแผลที่เห็นเด่นชัด  จากนั้นก็ร่ายคาถาบางอย่าง

“ฮึก  อ้าก!!”  ร่างของโซแวนกระตุกอย่างแรงแล้วดิ้นไปมาทำให้พวกเร็นต้องเข้ามาช่วยข้าจับไว้เพราะแรงของเขาเยอะ  มือที่ข้ากุมไว้อยู่ก็บีบแรงขึ้นจนคล้ายจะบดมือข้าให้แหลกไป

“ไม่เป็นไร  เจ้าจะไม่เป็นไร”  ข้าพยายามเอ่ยปลอบเขาขณะที่ยกมืออีกข้างลูบหัวไปด้วยพร้อมกับร่ายเวทรักษาขั้นสูงประคองอาการไว้  ตาของเขายังไม่ลืมขึ้นมา  แต่โซแวนก็สงบลงบ้างและนอนนิ่งเหมือนเดิมเมื่อผู้วิเศษถอนคำสาปเสร็จแล้ว

ทุกคนต่างปาดเหงื่อแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อจบลง  นอร์ธวินด์ถึงกับบ่นอุบ  “หมอนี่แรงเยอะเป็นบ้า”

“เขาเคยแข่งดึงเชือกชนะเลยนะขอรับ  คู่แข่งเป็นเซนทอร์สิบตัว”  เร็นคุยถมขึ้นทำให้นอร์ธวินด์ถึงกับตาค้าง 

“ข้าไม่กระเด็นไปก็ดีเท่าไรแล้ว”

“ถ้าหมอนี่ละเมอขึ้นมาต่อยจะทำยังไง”  วารันพึมพำขึ้นก่อนจะมองมาหาข้า  คงตั้งคำถามขึ้นเพราะเป็นห่วง  “เจ้าจะต้องอยู่กับโซแวนตลอด  ไม่เป็นอะไรหรือ?”

“ไม่เป็นอะไร  ไม่ต้องห่วง”  ข้าเอ่ยขึ้นพลางอมยิ้มจางๆ  “ข้าคิดว่าฤทธิ์เขาหมดแล้วล่ะ”

“ก็จริง”  วารันเห็นด้วย  พอคำสาปถอนไปแล้วแผลของเขาก็หายไวขึ้นแต่ก็ต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะรักษาเสร็จ  โดยรวมแล้วคงใช้เวลาทั้งคืนนี้

“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ  ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าเอ่ยขึ้น  ห้องนี้ที่จริงแล้วแคบพอให้อยู่แค่ไม่กี่คน  พอพวกเขาอยู่กันครบจึงชวนให้รู้สึกอึดอัดมากกว่าอุ่นใจ 

ผู้วิเศษเองก็เห็นด้วยก่อนจะบอกว่า  “มีคนอื่นอยู่ในห้องแบบนี้จะทำให้การทำงานของอัญมณีเวทมนตร์ทำงานผิดเพี้ยน  ให้ท่านทีอารีนอยู่กับโซแวนก็พอแล้ว”

“แต่ยังไงพวกเราก็อดห่วงไม่ได้  ถ้ายังไงให้เฝ้าหน้าห้องก็ยังดี”  เร็นต่อรอง  ทั้งข้าและผู้วิเศษก็ไม่ปฏิเสธ  กลับกันข้ายังรู้สึกอุ่นใจขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าจะมีคนเฝ้านอกห้อง

“ถ้ามีอะไรก็ตะโกนได้เลยนะขอรับ”  นอร์ธวินด์กำชับขึ้นก่อนที่จะออกไปทำให้ข้ายกยิ้มให้ 

“ได้  พวกเจ้าเองก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง  เงียบพอจะได้ยินพูดคุยงึมงำอยู่ด้านนอกคลอมากับเสียงของแมลงยามค่ำคืน  ข้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็กๆ  ที่มีเพียงเพื่อให้อากาศในห้องได้ระบายออกไปบ้าง  จากมุมนี้ไม่เห็นอะไรนอกจากท้องฟ้ามืดมิด

พอหันกลับมาหาคนที่นอนเจ็บอยู่ข้าก็อดเสียใจไม่ได้  หากตอนนั้นข้ายอมสู้กับครีออนเขาก็คงไม่บาดเจ็บขนาดนี้  แต่ถ้าให้สู้กับน้องชาย  ตัวข้าที่สับสนอยู่แบบนั้นคงไม่มีวันทำ

“บ้าเอ๊ย”  ข้าสบถด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ  ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างบนตัวโซแวนแล้วโน้มหัวลงไปซบเบาๆ  เพื่อคลายความรู้สึกที่อยู่ในใจ  ทั้งกังวล  เศร้าโศก  และทรมาน

หากหยุดอยู่เพียงแค่นี้  คนของข้าก็จะไม่ต้องทำอะไร  ไม่เจ็บปวดหรือทรมาน  ให้หนีไปสักที่ที่ปลอดภัยแล้วอาศัยอยู่ที่นั่น  เฝ้าดูมนุษย์ที่ถูกอสูรรุกราน  เพราะแต่เดิมเหล่าสัตว์วิเศษพวกนี้ก็ไม่มีส่วนเสียหายอะไรอยู่แล้ว  แต่นั่นหมายความว่าข้าจะไม่สามารถช่วยครีออนได้

ถ้าหากเดินต่อ...ด้วยพละกำลังเพียงเท่านี้  ไม่มีทางที่จะสามารถโค่นลูซัสลงได้เลย  และไม่สามารถจะช่วยชีวิตใครได้เลย

หากผู้วิเศษพูดเป็นความจริง  ตอนนี้ครีออนเองก็ยังพอมีโอกาสที่พ้นจากสภาวะตกต่ำได้  แต่ลูซัสเองก็คงไม่ยอมปล่อยน้องชายข้าง่ายๆ

เพื่อที่จะช่วยครีออน  และเพื่อจะปกป้องคนอื่น

ข้าจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งขึ้น...มากกว่านี้  และเหนือกว่าลูซัสให้ได้!

ข้าเอ่ยคำสาบานกับตัวเองในใจ  แรงปรารถนาที่ลุกโหมอยู่ในอกเป็นบ่อเกิดของพลังเวทที่สูงขึ้นโดยที่ข้าเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคือสิ่งใด

ราวกับได้ยินเสียงก้องกังวานของกระดิ่งที่ไพเราะแว่วมา

...

“นั่นอะไรน่ะ”  เสียงร้องแหลมของแฟรี่ดังขึ้นก่อนที่ทั้งฝูงซึ่งอยู่เฝ้าสวนด้านนอกจะแตกตื่นบินไปมา  ผู้วิเศษและพวกเร็นต่างรีบลุกขึ้นแล้วออกไปนอกวิหาร  เมื่อเงยหน้าไปทางทิศที่พวกสัตว์ตัวอื่นมองต่างก็ต้องตะลึงค้าง

ประตูสีทองลอยเด่นอยู่เหนือวิหารโบราณ  แรงลมในอากาศพัดผ่านส่งผลให้กระดิ่งสีเงินที่แขวนอยู่รอบๆ  ก้องกังวาน  แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็หายไป

ไม่มีใครรู้ว่ามันคือสิ่งใดเว้นแต่ผู้วิเศษ  ชายหนุ่มผู้ผ่านช่วงเวลาพันปีมาแล้วยกยิ้มขึ้นอย่างโล่งอก  ดูเหมือนสิ่งที่เขากังวลมาโดยตลอดจะได้รับการคลายออกแล้ว

...

“มีอะไรแปลกๆ  ลอยอยู่เหนือป่าต้องห้ามขอรับ”  เสียงของทหารนายหนึ่งดังขึ้นทำให้ลูซัสซึ่งอยู่ตรงระเบียงพอดีหันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตะลึง  ภาพลักษณ์อันแสนคุ้นตากระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นในอกให้ลุกโหม  แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้  แต่เสียงอันไพเราะยามมันปรากฏก็ยังติดค้างอยู่ในโสตประสาท

น่าเสียดายที่ผู้ที่เปิดมันไม่ใช่น้องชายของเขาอีกต่อไป

ลูซัสกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นก่อนจะเดินลับหายไปในความมืด

“สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว  น่าสนุกจริงๆ  ข้าตั้งหน้าตั้งตารอเลยนะ  ทีอารีน...”

--------------
คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันได้นะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
คำเดียวเลยค่ะ สนุก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  24
ผู้ส่งสาร

“ฟังนะ  เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้”  เสียงของพ่อคนที่สองดังก้องอยู่ในหัว  หวนให้นึกถึงสมัยก่อนยามที่อยู่กันพร้อมหน้าสามคน 


โซแวนในวัยเด็กนั่งอยู่บนหิน  ย่นคอหนีมือที่ยื่นมาป้ายยาใส่แผลถลอกบนหน้า  ลูซิฟรานย้ำกับเขาด้วยคำพูดนั้นเสมอ  ถ้าไม่แข็งแกร่งก็จะชนะพ่ออีกคนไม่ได้แล้วก็จะต้องทำแผลแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ตั้งแต่เกิดมาชีวิตเขาวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง  เล่น  กิน  ต่อสู้  ทำแผล  สองอย่างแรกนั้นเป็นสิทธิ์ที่ลูซิฟรานขอนาร์ลัคไว้เพราะเขายังเป็นเด็ก  แต่ช่วงนี้การเล่นของเขาส่วนใหญ่คือการต่อสู้กับพ่อ  แล้วก็จะได้แผลกลับมาตลอด


“ลูซิฟราน”  เขาเอ่ยเรียกคนตรงหน้า  “รักข้าหรือเปล่า?”


พ่อของเขานิ่งค้างไปพักหนึ่ง  จากนั้นก็ระบายยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร  เป็นท่าทีที่แสดงให้เห็นยามพูดถึงเรื่องนี้  ตั้งแต่โซแวนยังเด็กจนกระทั่งโตมา  เวลาหลายร้อยปีนั้นเป็นความสับสนที่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้


นาร์ลัคที่เป็นพ่อของเขาเหมือนกันเลี้ยงดูราวกับสัตว์ตัวหนึ่งเพราะตัวเขาก็คือคิเมร่า  แต่ลูซิฟรานกลับเลี้ยงดูในฐานะคนคนหนึ่ง  เป็นเรื่องขัดแย้งที่สองคนนั้นจะมีปากเสียงกันบ่อยๆ  แต่ก็เห็นพลอดรักกันตลอด  ทว่ากับตัวโซแวนนั้นไม่เคยได้ยินคำว่ารักที่พูดกับตัวเองเลย


แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของคนทั้งสองก็ไม่เคยพูดว่ารักกับเขาเลย


แท้จริงแล้วรักเป็นแบบไหน  การแสดงออกใดที่สามารถเรียกว่ารักได้  เขาเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน...


...


โซแวนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ยามได้สติและลืมตาขึ้น  เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าที่นี่คือห้องรักษาในวิหารโบราณ  เมื่อขยับตัวใครบางคนก็ตรงเข้ามาด้วยความเป็นห่วงทันที


“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”  ทีอารีนถามขึ้นน้ำเสียงเป็นกังวล  โซแวนกลอกตาไปมาเมื่อแน่ใจแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง


“ข้าไม่เป็นอะไร”


ทว่าทีอารีนกลับจ้องเขาด้วยสายตาไม่เชื่อแล้วถามย้ำ  “แน่ใจนะ”


“ไม่เจ็บตรงไหนแล้ว  เพราะงั้นก็คงไม่เป็นอะไร”  โซแวนตอบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง  เด็กหนุ่มยังคงปรี่เข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วงนั่นทำให้เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา 


“ข้าบอกว่าไม่เป็นอะไรก็คือไม่เป็นอะไรไง  อย่าคิดว่าข้าเป็นเหมือนเจ้าสิ”  ชายหนุ่มเชยคางอีกฝ่ายขึ้นทำให้เห็นว่าดวงตานั้นเริ่มทอความไม่พอใจออกมา 


“หมายความว่ายังไง”


“เจ้าชอบฝืน  แล้วยังดื้อด้วย”  โซแวนไม่อิดออดที่จะตอบอีกฝ่ายไปโดยไม่ต้องถนอมน้ำใจมากนัก  เป็นความรู้สึกอยากแกล้งที่พอเห็นทีอารีนทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาก็อดอมยิ้มไม่ได้


เขาผละจากอีกฝ่ายเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วใกล้เข้ามา


“นายเหนือหัวตื่นแล้ว!”  แฟรี่ทั้งหลายเกือบสิบตัวร้องตะโกนขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเป็นเสียงร้องระงมไปทั่วห้องจนหนวกหู 


โซแวนนิ่วหน้าทันทีแล้วออกคำสั่งอย่างระอา  “พวกเจ้า  เงียบๆ  หน่อย”


“ครึกครื้นกันดีนะ”  ทีอารีนพึมพำขึ้นขณะมองภาพฝูงแฟรี่และสัตว์เล็กที่แตกตื่นเมื่อทราบข่าว  มุมปากของเด็กคนนี้ขยับขึ้นทำให้โซแวนรู้สึกโล่งใจ


“เจ้ามนุษย์  เจ้าสุดยอดจริงๆ”  แฟรี่สาวตนนั้นลอยลงไปยืนข้างทีอารีนแล้วแตะแขนเบาๆ  แม้จะเป็นการชื่นชมแต่สีหน้าก็แฝงไปด้วยความหยิ่งผยองจนโซแวนอยากสั่งสอนมารยาทให้  แต่เหมือนทีอารีนจะไม่ถือสาอะไร


ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก  มีแฟรี่บางตัวออกไปแจ้งข่าวข้างนอกแล้ว  ผู้วิเศษและพวกเร็นจึงเข้ามาหาทันที  พวกเขาแสดงความโล่งออกมาเมื่อเห็นพวกเขาสบายดี


“ร่างกายมีอะไรผิดปกติไหมหรือไม่ขอรับ  ท่านทีอารีน?”  ผู้วิเศษเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มทันที  แต่ทีอารีนนิ่งคิดสักพักก็ส่ายหน้า  ออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่ถูกถามเช่นนั้น 


“ข้าสบายดี  ทำไมถึงมาถามข้า?”


“เมื่อคืนฝ่าบาทสามารถทำให้รูปลักษณ์ของประตูแห่งอำนาจปรากฏขึ้นมาได้  แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น  ผู้วิเศษบอกว่าเป็นเพราะประตูตอบรับเจตนารมณ์ของฝ่าบาทขอรับ”  เร็นเป็นคนอธิบายกับโซแวนด้วยเสียงที่เบากว่าปกติเพราะยังคงเป็นความลับ  คิเมร่าหนุ่มพยักหน้าเข้าใจช้าๆ  ก่อนจะหันไปมองกลุ่มที่จับตัวอยู่รอบๆ  ทีอารีน


“นี่เวลาเท่าไหร่แล้ว”  โซแวนเอ่ยถามขึ้น  ทำให้เร็นตอบว่า  “ตอนนี้กำลังจะได้เวลาอาหารกลางวันพอดี”


“ดีเลย  ถ้าหากนายเหนือหัวตื่นแล้วแบบนี้ก็ร่วมรับประทานอาหารกับพวกข้าได้สิ”  แฟรี่หน้าตาหยิ่งผยองนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแหลมก่อนจะบอกต่อด้วยรอยยิ้ม  “ได้เวลาอาหารพอดี  พวกท่านจะไปกินเลยไหม?”


โซแวนรู้ว่าตนกำลังถูกถามจึงหันไปมองรอบๆ  ก่อนที่จะพยักหน้า  “ดีสิ”


พวกแฟรี่ส่งเสียงด้วยความดีใจก่อนจะบินออกมาด้านนอก ผู้วิเศษเห็นทีอารีนมองตนอยู่นั้นก็ตัดบทเสียก่อนด้วยความเป็นห่วง  “ไปทานอาหารก่อนเถอะขอรับ  แล้วเราค่อยมาคุยกัน”


ทุกคนจึงออกไปข้างนอก 


วิหารโบราณที่โซแวนเคยอยู่ตอนนี้ถูกเสกสรรให้ตรงกลางเป็นลานรับประทานอาหารที่ยิ่งใหญ่  พวกสัตว์วิเศษที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีต่างออกมารอรับอยู่ด้านนอก


“นายเหนือหัวกลับมาแล้ว!  นายเหนือหัว!”  เสียงร้องเฮดังขึ้นทันทีที่โซแวนปรากฏตัว  พวกสัตว์ต่างๆ  นั้นยินดีอย่างมากที่ราชาของพวกตนกลับมา


“นายนี่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนดีนะ”  ทีอารีนที่ยืนอยู่ข้างๆ  เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาโหวงทำให้โซแวนหันไปหา  อีกฝ่ายกำลังระบายยิ้มแต่ดวงตานั้นคล้ายกับคิดบางเรื่องอยู่ทำให้เขานึกอะไรขึ้นได้


ที่ผ่านมาทีอารีนเองก็อยู่ในฐานะผู้ปกครอง  แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  แต่ความต้องการที่จะได้รับการนับถือจากผู้ที่ตนปกครองอยู่นั้นก็เป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของเด็กนี่


การได้รับความน่าเชื่อถือโดยไม่พึ่งคำสาปของผู้วิเศษ


“สังคมที่นี่เขานับถือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นใหญ่น่ะ  ในป่าแห่งนี้  ข้าชนะมาหมดแล้วทุกตัว  ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงนับถือข้า  การที่ข้ากลับมาเป็นสัญญาณว่าป่าแห่งนี้จะได้รับการคุ้มครอง”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  เขาไม่รู้ว่าเจตนาใดที่ทำให้พูดออกไปเช่นนั้น  แต่เห็นทีอารีนรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างก็ดีแล้ว


“นายเหนือหัว  เชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ”  แฟรี่พาเขาไปนั่งอยู่ด้านหน้าลาน  รอบข้างทั้งสองนั้นเป็นพวกเร็นและผู้วิเศษ  แต่พวกสัตว์วิเศษที่นี่นั้นเกลียดมนุษย์  ทีอารีนจึงเกือบถูกพาไปนั่งไกลๆ


“เดี๋ยว  เขาเป็นคนสำคัญของข้า  ต้องมานั่งใกล้ๆ  ข้าสิ”  โซแวนขัดขึ้นทำให้พวกสัตว์ทั้งหลายตาโตก่อนที่จะรีบพาทีอารีนมานั่งข้างๆ  ทันที 


เด็กหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดขึ้นก่อนที่จะกระซิบข้างหู  “เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้  ตรงไหนข้าก็นั่งได้”


“ไม่ได้หรอก  นั่งไกลไปเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาจะช่วยไม่ทัน”  เขาตอบไปตามสิ่งที่คิดก่อนที่จะหันไปหาคนอื่น  “เชิญกินกันได้เลย”


ทันทีที่มื้ออาหารเริ่ม  เหล่านางโลมที่เป็นบรรดาสัตว์วิเศษแปลงกายมาต่างก็เข้าปรนนิบัติโซแวนทันที  ความสวยงามและความใกล้ชิดนั้นทำให้ใครหลายคนต้องมอง  อย่างน้อยก็ทำให้นอร์ธวินด์ส่งสายตาอิจฉาตาร้อนมาได้


“บ้าเอ๊ย  จบงานนี้ข้าจะวิ่งไปหอนางโลมเป็นอันดับแรกเลย  สวรรค์น้อยๆ  ของข้า”  เจ้าตัวรำพึงรำพันออกมาพลางกัดใบไม้ที่ใช้เป็นจานรองด้วยความแค้น  แต่แล้วก็มีเสียงขัดขึ้นว่า  “ตราบใดที่ข้ายังอยู่  เจ้าไม่ต้องไปพึ่งหอนางโลมหรอก”


“หนวกหู!”  นอร์ธวินด์หันกลับไปตวาดใส่วารันที่ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาแล้วกัดเนื้อย่างก้อนโตต่อโดยไม่พูดอะไร  ทำให้เสียงเงียบลง  แต่เพราะมีคนอยู่เยอะ  ดังนั้นแล้วเสียงพูดคุยจึงดังต่อเรื่อยๆ


โซแวนยกมือขึ้นหยุดมือสาวสวยข้างๆ  ที่อาสาป้อนมาตั้งแต่แรก  แล้วเหลือบไปมองคนข้างๆ  “ดูเจ้าไม่ค่อยมีอารมณ์กินอาหารนะ?”


ทีอารีนชะงัก  แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  “ก็เจ้า...ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง”


โซแวนขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย  เป็นผู้วิเศษที่หัวเราะออกมาแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดู  “ก็เพราะท่านทีอารีนไม่เคยเห็นใครมีสาวมาบริการแบบนี้นี่นะ  ย่อมเคอะเขินธรรมดา”


“อย่างนี้นี่เอง  พวกเจ้าก็ไปดูแลเขาหน่อยสิ”  โซแวนพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยกับสาวงามทั้งหลายด้วยรอยยิ้มบางๆ  ด้วยคำสั่งของนายเหนือหัวเหล่าสาวจำแลงทั้งหลายจึงหันไปหาทีอารีนทันที


“ยะ...หยุดนะ  ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้”  เด็กหนุ่มร้องประท้วงขึ้น  แต่ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็เจอแต่กายเนื้ออ่อนนุ่มของหญิงสาวทั้งหลาย


“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ  หนูน้อย  พี่สาวจะสอนหลายๆ  เรื่องให้เอง”


“ตายแล้ว  ผิวเด็กคนนี้ดีเหลือเกิน”


“ข้าชักชอบเด็กคนนี้แล้วสิ”  พวกนางต่างพูดคุยกันพลางจับส่วนนู้นส่วนนี้ของเขาไปทั่ว  บางคนก็อาสาป้อนให้เขา  ทั้งอาหารและน้ำ  เรียกได้ว่าได้รับความประคบประหงมอย่างดี


จนกระทั่งพวกเขากินกันอิ่มแล้ว  เหล่าสาวรับใช้จึงได้เดินออกไปกัน  พอเห็นทีอารีนนั่งหน้างออยู่กับที่โซแวนเลยเขยิบเข้าไปหา  “เป็นยังไงบ้าง?  รู้สึกดีไหมล่ะ”


“ดีบ้าอะไร”  เป็นคำต่อว่าจากอีกฝ่าย  นานๆ  ทีจะได้เห็นเด็กตรงหน้าโกรธหน้าแดงแบบนี้นับว่าความตั้งใจของเขาประสบความสำเร็จ  “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบผู้หญิงก็ยังยัดเยียดมาอีก”


“ก็แค่อยากให้ลอง”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงรังสีทะมึนจากด้านหลังของตน  เร็นโผล่หน้ามานั่งใกล้ๆ  ก่อนจะลงหมัดใส่หลังเขา 


“อย่าคิดแกล้งฝ่าบาทอีกนะขอรับ”


แต่โซแวนก็ไม่ได้สนอะไร  ทีอารีนหันไปหาผู้วิเศษก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างสับสนที่เรียกความสนใจของพวกเขา


“ผู้วิเศษ  นี่มันหมายความว่ายังไง  ข้านอนไม่หลับมาสองวันแล้ว” 


คำถามนั้นแม้แต่ผู้วิเศษเองก็ยังขมวดคิ้ว  ขณะที่ทีอารีนพูดต่อด้วยความสับสน  “มันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่ข้าจะไม่หลับ  ตั้งแต่ได้รับพลังของท่านลูซิฟรานมาก็มีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติตลอดเวลา  ทั้งๆ  ที่ใช้เวทมนตร์ไปมากมาย  ร่างกายนี้สูญเสียพลังไปตั้งเยอะแต่เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกอยากนอนขึ้นมา”


“เป็นไปได้ยังไง”  ทุกคนต่างตั้งคำถามเช่นนั้น  เป็นไปไม่ได้ที่ทีอารีนจะไม่หลับ  ร่างกายของมนุษย์ต้องการพักผ่อน  และเด็กคนนี้ก็ใช้พลังงานมากจำเป็นต้องนอน


“ฝ่าบาท  ข้าขออนุญาต”  เมื่อครุ่นคิดดูแล้วผู้วิเศษก็เอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่ศีรษะของเด็กหนุ่ม  เขาหลับตาลงขณะที่ตรวจสอบบางอย่างด้วยเวทมนตร์


เมื่อผู้วิเศษลืมตาทุกคนต่างคาดหวังคำตอบที่จะช่วยไขปัญหานี้ได้  เมื่อเขาถอนหายใจก็ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย


“ว่าอย่างไร  ผู้วิเศษ”


“แย่แล้วสิ”  คำพึมพำแรกนั้นทำให้คล้ายกับจะทำให้หัวใจทุกคนหล่นไปที่ตาตุ่ม  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเอ่ยสาเหตุออกมา  “มันคือผลข้างเคียงของมนตร์อมตะ”


“หา?”


“มนตร์อมตะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น  ในกรณีของท่าน  อาจเพราะมีพลังเวทมากเกินไปจึงทำให้นอกจากจะฟื้นฟูได้เร็วแล้วยังทำให้การทำงานผิดพลาดด้วย”  ผู้วิเศษอธิบายอย่างใจเย็นแต่ทีอารีนกลับมีสีหน้าหวั่นวิตกมากขึ้น


“โกหก...ใช่ไหม”


ผู้วิเศษมองเด็กตรงหน้า  เนิ่นนานกว่าจะได้ตัดสินใจพูดออกมา  “อาจจะไม่ใช่เสียทีเดียวก็ได้  ผลของมันอาจมีแค่สองสามวัน  เราต้องรอดูไปสักระยะ” 


“แล้วถ้าหากมันไม่ใช่แค่สองสามวันล่ะ”  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงสั่น  “ถ้าผลของมันยังมีอยู่  ข้าก็จะไม่สามารถหลับได้อีกต่อไปใช่ไหม  ตลอดชีวิต...”


“เรื่องนั้น”


“แล้วข้าจะกลายเป็นอะไร  ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปหรือ!”  ทีอารีนแผดเสียงถามขึ้นด้วยความสับสน  ความกลัวในอกก่อให้ใจเขาร้อนรุ่ม  เป็นผู้วิเศษเองที่รีบคว้ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้แล้วกอดแน่นเพื่อให้เด็กหนุ่มสงบ


“โปรดใจเย็น  ใจเย็น  มันจะไม่เป็นอะไร  หลังจากสงครามสิ้นสุด  ทุกอย่างจะคลี่คลาย  ข้าสัญญา...ข้าสัญญา”  ผู้วิเศษปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยอ้อมกอดและคำพูดที่สามารถทำให้ทีอารีนสงบใจลงได้  ไม่นานเด็กหนุ่มก็ผละออก  สีหน้าดูหมดกังวลมากขึ้น


“รอดูไปอีกสักสองสามวันจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” 


ทีอารีนพยักหน้าตามที่ผู้วิเศษเสนอก่อนที่จะลุกขึ้น 


“อ้า...ใช่ๆ  ที่ฝ่าบาทนอนไม่หลับอาจเป็นเพราะเครียดมากเกินไปก็ได้นะขอรับ  ถ้ายังไงลองดื่มชาผ่อนคลายดู  แล้วก็ถ้าท่านสนใจ  ข้ามีสมุนไพรที่ทำให้หลับลึกด้วยนะขอรับ”  เพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด  นอร์ธวินด์ได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มทำให้ทีอารีนหันมาสนใจ 


“สมุนไพร?”


“เป็นสมุนไพรยานอนหลับชนิดแรงที่ไม่มีผลข้างเคียงมากนัก  และไม่มีรสชาติขอรับ  ข้าเคยลองใช้กับวารันแล้ว  หลับสนิทต่อให้หนีเที่ยวทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา”


“เฮ้ย”  น้ำเสียงต่ำของวารันที่ดังมาทำให้นอร์ธวินด์สะดุ้งเฮือก  สีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งทำความลับแตก  แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โดนมังกรที่ว่าลากไปสั่งสอนทันที


“พวกเขารักกันดีจริงๆ  นะ”  ทีอารีนมองภาพคนสองคนที่มีปากเสียงกันแล้วอดพูดออกมาไม่ได้  แม้จะดูไม่ถูกกันแต่ยามทั้งสองได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้วดูเหมาะสมกันดี  ซ้ำยังเป็นคนที่รู้ใจกันมากที่สุด


แต่คนอื่นกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ


“ฝ่าบาทชอบแบบนี้?”


“ไม่ใช่หรอก”


“อะแฮ่ม”  ผู้วิเศษกระแอมไอขึ้นขัดก่อนที่จะฉีกยิ้มแล้วสนับสนุนคนที่โดนลากไปซ้อม  “ตามที่นอร์ธวินด์เสนอ  ก็เป็นความคิดที่ดีนะขอรับ  หากฝ่าบาทสนใจ...”
---------------------------------------------
เนื่องจากจำนวนตัวอักษรเกิน ขอแบ่งเป็น 2 reply นะคะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 24 ครึ่งหลัง


“ลองดูก็ไม่เสียหาย  คืนนี้ลองดูแล้วกัน”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นทำให้นอร์ธวินด์คลานกลับมาชูมือร้องบอกด้วยน้ำเสียงสดใส  “ข้าจะหามาให้ฝ่าบาทให้เร็วที่สุดนะขอรับ”


“เช่นนั้น  ก่อนอื่นเลยฝ่าบาทเนื้อตัวมอมแมมแล้ว  หากไม่ว่าอะไรลองอาบน้ำผ่อนคลายดูไหมขอรับ”  เร็นเสนอขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว  อีกฝ่ายเสนอด้วยรอยยิ้ม  “ใกล้ๆ  วิหารนี้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่  ท่านสนใจจะไปแช่ไหมขอรับ”


“บ่อน้ำพุร้อนหรือ  น่าสนใจดีนี่”  ใบหน้าของทีอารีนดูสดใสทันที  เขาหันไปหาคนอื่นๆ  แล้วเอ่ยชักชวนขึ้น  “พวกเจ้าจะไปด้วยไหม”


“ข้าไปด้วยดีกว่า”  โซแวนว่าพร้อมกับลุกขึ้นเช่นเดียวกับอาคีรัสที่ตะโกนขึ้นว่า  ‘ข้าไปด้วยๆ’  ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ข้าก็ไปด้วย”  นอร์ธวินด์รีบยกมือขึ้นด้วยสีหน้าระรื่น  ก่อนจะหันไปถามวารันที่อยู่ข้างๆ  “เจ้าจะไปใช่ไหม  ไปใช่ไหม”


“ข้าไม่ไปล่ะ”  แต่วารันกลับปฏิเสธทำให้คนชวนตาโต  “ทำไมล่ะ?”


“วารันต้องออกไปกับข้าน่ะ  เราจะไปสำรวจกันแถวๆ  คาร์ไลน์”  ผู้วิเศษเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำให้นอร์ธวินด์หันไปด้วยความสงสัย 


“จริงเหรอ?”


“แน่สิ”  วารันเป็นฝ่ายตอบ


“ไปกันแค่สองคนจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”  ทีอารีนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง 


ผู้วิเศษพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยความมั่นใจว่า  “ไปกันแค่สองคนนี่แหละดีขอรับ  พวกเขาจะได้ตามหายาก  แล้วที่พาวารันไปเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะหนีทัน”


“งั้นเหรอ  ถ้างั้นก็ขอให้ปลอดภัยทั้งสองคนนะ”  เด็กหนุ่มอวยพรขึ้นทำให้ผู้วิเศษยกยิ้ม


“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่ะย่ะค่ะ  เดี๋ยวจะรีบกลับมา”


“เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก”  วารันเอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมยกมือขึ้นสัมผัสศีรษะของนอร์ธวินด์เบาๆ  ทันทีที่พูดจบ  อีกฝ่ายก็รีบผละออกทันที 


“บอกแล้วไงว่าอย่ามาลูบหัว  ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ!”


วารันเพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินออกไปพร้อมกับผู้วิเศษ  คาร์ริต้าบอกจะรออยู่แถวนี้  มีสาวๆ  อีกหลายคนที่อยากพูดคุยกับเธอ 


เร็นกับโซแวนเลยพาพวกเขาไปที่บ่อน้ำพุร้อนซึ่งไม่ไกลเท่าไหร่  ที่นั่นไม่มีใครอยู่เลยทำให้ทีอารีนรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว


ยกเว้นก็แต่การต้องถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกก่อนลงแช่นี่แหละ


“อายอะไร  ผู้ชายเหมือนกัน”  เป็นคำพูดเรียบๆ  ที่ออกมาจากปากโซแวนทำให้ทีอารีนสะอึกไปวูบหนึ่ง  แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจอะไรแล้วหันไปถอดเสื้อกับอาคีรัสก่อนจะตามหลังอีกฝ่ายลงไปในบ่อน้ำ


“ว้าว  รู้สึกดีสุดๆ  เลยนะขอรับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหลังจากได้ลงแช่น้ำ  ทีอารีนเองก็เห็นด้วย 


“นั่นสิ  ไม่เคยแช่น้ำพุร้อนมาก่อนเลย”


“ตรงนี้น่ะเป็นจุดแช่น้ำร้อนที่ดีมากๆ  เลยนะขอรับ  ผมกับโซแวนน่ะเมื่อก่อนก็มาที่นี่บ่อยๆ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ  “เป็นสถานที่พิเศษของพวกเราเลย”


“เพราะมาแช่แล้วรู้สึกว่าพวกแผลฟกช้ำจากการต่อสู้มันหายไวขึ้นด้วยน่ะนะ”  โซแวนบอกเสียงเบาก่อนจะเอนตัวพิงกับหินที่อยู่ขอบบ่อ


ทีอารีนมองรอบๆ  สักพักก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้เลยขยับเข้าไปใกล้นอร์ธวินด์แล้วเอ่ยเรียก  “นี่  นอร์ธวินด์”


“หืม?  มีอะไรหรือขอรับ”


เด็กหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายแล้วยกมือขึ้นชี้ที่ด้านหลังอีกฝ่าย 


“รอยแดงนั่นมันอะไรกัน”


คนถูกถามสะดุ้งเฮือกแล้วยกมือขึ้นตะครุบต้นคอทันทีด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ  ส่วนผู้ร่วมบ่อคนอื่นๆ  อย่างเร็นและโซแวนทำตาโตทันทีด้วยความใคร่รู้  ส่วนอาคีรัสแค่สงสัยเพราะทีอารีนพูดถึง


“อะ...เอ่อ  นี่...นี่แค่รอยโดนแมลงกัดนิดหน่อยน่ะขอรับ  แหะๆ”  นอร์ธวินด์แก้ตัวน้ำเสียงตะกุกตะกัก  แต่ถึงแม้ว่าทีอารีนจะพยักหน้าแล้วแต่สองคนด้านหลังกลับทำสายตาไม่ไว้วางใจทำให้เขาถลึงตาใส่


“ข้ารู้  เจ้ารู้  และเขารู้”  โซแวนหันไปพึมพำกับสหายที่อยู่ข้างๆ  ด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย  อีกฝ่ายก็หัวเราะเห็นด้วยไม่ชวนให้รู้สึกไว้วางใจเลยสักนิด  ก่อนที่คิเมร่าหนุ่มจะพึมพำบางอย่าง  “น่าคิดว่าเจ้านั่นเอาเวลาไหนไปทำกันนะ”


“พวกเจ้าถ้าไม่หยุดพูดล่ะก็เจอข้าฆ่าแน่”  คนที่โดนพาดพิงกลายๆ  รีบขู่ขึ้นทันที


ทีอารีนไม่ได้สนใจวงสนทนานั้นสักเท่าไร  เมื่อแช่จนพอใจแล้วก็ชวนอาคีรัสขึ้นจากบ่อแล้วสวมเสื้อผ้า  มีคนนำชุดใหม่มาให้เขาตามคำสั่งของผู้วิเศษเพราะชุดเก่านั้นค่อนข้างเตะตาเกินไป


ตกค่ำเมื่อถึงเวลาแยกย้าย  ผู้วิเศษและวารันยังไม่กลับ  ทีอารีนก็ได้กินยาที่นอร์ธวินด์นำมาให้ไปหนึ่งเม็ด  ส่วนอีกเม็ดเขาเก็บไว้ก่อน  มันไม่มีรสชาติเลยค่อนข้างสะดวกต่อการกิน


เขาไม่ต้องการรบกวนผู้อื่นนักจึงบอกให้ไปพักผ่อนไม่ต้องสนใจ  โซแวนให้ทีอารีนพักด้วย  แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ได้แต่นอนลืมตาไม่มีท่าทีหลับ


คนที่วูบหลับไปแล้วครู่หนึ่งลุกขึ้นมาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง  “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


“ข้าไม่ค่อยรู้สึกเพลียแล้ว”  ทีอารีนตอบเสียงเรียบ  เด็กหนุ่มเหม่อมองมือของตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ  ความอมตะเช่นนี้มันทำให้เขาแปลกแยกจากมนุษย์คนอื่น  เหมือนตัวประหลาด


“อยากออกไปเดินเล่นไหม”  สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถปล่อยให้เด็กคนนี้ทนทุกข์ได้  โซแวนจึงเอ่ยชวนขึ้น  โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คว้าตัวอีกฝ่ายออกมาจากวิหาร  พาไปยังสถานที่หนึ่งในป่าต้องห้าม


ทีอารีนขมวดคิ้วมองสถานที่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ  ทุ่งดอกหญ้าที่สูงประมาณน่องขากินอาณาเขตกว้าง  ต้นพลิ้วไหวไปตามสายลมเย็น  เขาหันไปมองคนที่พามาด้วยความรู้สึกสงสัย


โซแวนผิวปากขึ้น  ฉับพลันนั้นทุ่งดอกหญ้าที่ถูกความมืดปกคลุมพลันค่อยๆ  เกิดแสงดวงน้อยขึ้น  มากขึ้นและมากขึ้น  ล่องลอยไปสู่พื้นฟ้าขับทิวทัศน์งดงามด้วยแสงเล็กๆ  มากมาย


“สุดยอด”  เด็กหนุ่มอดอุทานออกมาไม่ได้ที่เห็นความตระการตาตรงหน้า  นั่นทำให้โซแวนยกยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้


“ยังไม่หมดแค่นี้นะ”  ชายหนุ่มพาอีกฝ่ายลงไปในทุ่งหญ้านั้น  ทุกการก้าวเดินมีแสงเล็กๆ  นั้นลอยขึ้นมาไปสู่พื้นฟ้า  เมื่อมองใกล้ๆ  แล้วทีอารีนจึงรู้ว่ามันเป็นแมลงชนิดหนึ่ง


แมลงที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้านี้นับพันตัวกำลังโบยบินอยู่รอบๆ  ย้อมกลางคืนให้กลายเป็นสีทองสวยงาม  เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงดาวมากมายที่อยู่เต็มผืนฟ้า  งดงามไม่แพ้กัน


“เป็นที่ที่ดีใช่หรือเปล่า”  อีกฝ่ายคว้าตัวเขาเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น  ทีอารีนไม่ปฏิเสธความสวยงามตรงหน้าจึงตอบไปด้วยรอยยิ้ม 


“มันวิเศษมาก” 


คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้โซแวนที่พามารู้สึกดีใจ  เขาคว้าเอวของอีกฝ่ายมาไว้แน่นๆ  แล้วช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้น  เพียงหมุนไปรอบๆ  แมลงที่ซ่อนตัวอยู่อีกมากมายก็พากันส่องแสงบินออกมาราวกับหยอกล้อ


ทีอารีนอดยิ้มออกมาไม่ได้  ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจและปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามอารมณ์  โซแวนต้องการให้เขาไม่ทนทุกข์


เขาอดปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องการอยู่ในช่วงเวลานี้ไปเรื่อยๆ 


เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินโซแวนหัวเราะสนุกสนานเช่นนี้


ทั้งคู่อยู่ในทุ่งหญ้านั้นอีกพักหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าทีอารีนเริ่มเหนื่อยโซแวนก็อุ้มกลับไปที่วิหาร  ในห้องที่อยู่กันเพียงสองคน  เขากอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนท่ามกลางความสับสนของอีกฝ่าย


“เผื่อเจ้าจะผล็อยหลับไปบ้าง”  โซแวนเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายงุนงง  “ผ่อนคลายก็แล้ว  กินยาก็แล้ว  เล่นจนเหนื่อยก็แล้ว  อยู่ในที่อุ่นๆ  แล้ว  เจ้าง่วงบ้างหรือยัง”


“ถ้าข้าตอบว่ายังล่ะ”  ทีอารีนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  เมื่อรู้จุดประสงค์แล้วก็อดพลิกตัวออกมาจากอ้อมแขนไม่ได้  “ข้าไม่เป็นอะไร  ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกเพลียหรือล้าอะไรด้วย  เจ้านอนเถอะ”


“จะให้ข้านอนได้ยังไงในเมื่อเจ้าต้องทนลืมตาอยู่เช่นนี้  ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”  โซแวนเอ่ยความตั้งใจขึ้นทำให้ทีอารีนถอนหายใจอย่างเอือมระอา


“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ดื้อเหมือนข้าไง”  เขารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร  โซแวนไม่ได้รับผลของความเป็นอมตะ  ถึงจะเป็นคิเมร่าแต่การอดนอนก็คงไม่ใช่เรื่องดี  เช่นนั้นแล้วทีอารีนจึงตัดสินใจทำให้อีกฝ่ายยอมนอน


โซแวนไม่ได้โต้เถียงอะไรเขา  และออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่อยู่ๆ  ก็ถูกสวมกอด  ครู่หนึ่งทีอารีนจึงผละออกแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


“เจ้าต้องพักผ่อนโซแวน  หากเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะได้ปกป้องข้าได้”  แม้จะเอ่ยไปเช่นนั้นแต่เขารู้ดีว่าโซแวนย่อมไม่ยอมด้วยดวงตาดื้อรั้นแบบนั้น  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้และมอบจูบให้


จูบที่เกิดโดยพลการและไม่ชำนาญ  แต่เพียงแค่สัมผัสโซแวนก็แทบจะตอบสนองด้วยอย่างดี  เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มคิดจะหยุดแค่สามวินาทีแรก  แต่กลับถูกรั้งไว้แล้วถูกรุกเข้ามาในโพรงปากจนเกือบคุมสติไม่อยู่  โชคดีที่นิสัยดื้อรั้นทำให้เด็กหนุ่มขืนและแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายได้


เนิ่นนานที่พวกเขาจูบกัน  ในที่สุดโซแวนก็สะดุ้งเฮือกแล้วกระชากเขาออก


ทีอารีนยิ้มขืนแล้วเอ่ยออกมาสั้นๆ  ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ


“ขอโทษนะ”


โซแวนกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ  เขาเสียท่าให้เด็กนี่เสียแล้ว  ขณะที่กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียง  สติก็พลันวูบหลับไป  ร่างสูงเอนล้มไปบนเตียง  เมื่อเห็นว่ายาออกฤทธิ์ดีแล้วทีอารีนจึงคลานลงจากเตียงไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้  เหม่อมองแสงเทียนที่วูบไหวจนพ้นคืนเหมือนเช่นเมื่อวาน


ในเช้าวันต่อมาโซแวนทำท่าไม่พอใจใส่เขา  แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น  หลังจากหายตัวไปพักหนึ่งก็กลับมาหา  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ก็ย้ำเตือนเขาสีหน้าจริงจัง


“ครั้งหน้าอย่าคิดวางยาข้าอีก”


“ข้าไม่ทำหรอก”  ทีอารีนยกนิ้วขึ้นคล้ายสาบาน  แต่ต่อมาก็ไขว้กันไว้  “ยกเว้นแต่เจ้าดื้ออีก”
โซแวนถลึงตาใส่  นับว่าการเอาคืนที่เคยถูกแกล้งเป็นผลสำเร็จดี


การโต้เถียงกันทั้งสองคนจบลงเมื่อผู้วิเศษและวารันกลับมา  พร้อมใครบางคนที่คุ้นตา  แต่ทีอารีนกลับนึกไม่ออก


เด็กหนุ่มรูปร่างสูงกว่าทีอารีนเล็กน้อย  แต่ทั้งใบหน้าและร่างกายทุกส่วนนั้นงดงามดังประติมากรรมชั้นเลิศ  น่าเสียดายที่มีบาดแผลบางจุด


ทันทีที่เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นทีอารีนก็รีบเข้ามาหาทันทีแล้วสวมกอดแน่น  “ฝ่าบาท  ทรงปลอดภัยดีนะพ่ะย่ะค่ะ”


ท่าทีนั้นทำให้ทั้งเขาและคนอื่นๆ  ตกตะลึง  โซแวนรีบแยกฝ่ายนั้นออกก่อนจะบอกว่า  “เจ้าเป็นใคร”


ฝ่ายนั้นตวัดสายตามามองด้วยความไม่พอใจแล้วหันกลับไปหาทีอารีนด้วยความเป็นห่วง  “ฝ่าบาทไม่บาดเจ็บตรงไหนข้าก็ดีใจมากแล้ว”


“ขอโทษนะ  แต่เจ้าเป็นใคร?”  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง  อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มเอ็นดูออกมา 


“แม้แต่ฝ่าบาทก็จำไม่ได้หรือนี่  ดูเหมือนข้าจะเป็นหญิงนานไปหน่อย”


“หรือว่าเจ้า...ซีวาล”  ทีอารีนลองเอ่ยทายคนที่มีใบหน้าใกล้เคียงออกมา  อีกฝ่ายกระตุกยิ้มขึ้นก่อนจะน้อมศีรษะลงอีกครั้ง


“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


พร้อมกับโน้มหน้าลงมาประทับจุมพิตที่ริมฝีปากของทีอารีนทันที  ทำให้พวกโซแวนที่อยู่รอบๆ  ตาโตแล้วแยกอีกฝ่ายออกไปทันที  “เจ้าทำเกินไปแล้ว”


“ข้าแค่ทักทายกันเฉยๆ”  ซีวาลในร่างชายหนุ่มซึ่งเป็นเพศที่แท้จริงเอ่ยกับโซแวนเสียงเรียบ  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเล่าขึ้น 


“ข้าพบท่านซีวาลที่ชายแดน  เห็นกำลังต่อสู้กับพวกทหารอยู่จึงรีบช่วยไว้แล้วพามาที่นี่  ท่านซีวาลมีเรื่องอะไรจะเอ่ยกับฝ่าบาทหรือขอรับ”


ซีวาลเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้น  “จริงสิ  ฝ่าบาท  ตอนนี้น่ะมีเรื่องสำคัญที่ข้าต้องนำมาบอกกับท่าน”


“อะไร?  ที่เมืองมีเรื่องอะไร”


“ครีออน...ครีออนกับชายที่อยู่กับเขากำลังโหมข่าวลือที่ว่าผู้วิเศษเป็นคนลักพาตัวท่านเพื่อโค่นล้มราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ  ตอนนี้ผู้ถูกเลือกทั้งหมดกำลังถูกตามล่าเพราะเป็นพวกของผู้วิเศษ  แถมยังบอกด้วยว่าผู้วิเศษเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดประตูอสูรด้วย”


“ว่ายังไงนะ?”  ทีอารีนอุทานขึ้นด้วยความตกใจ  ก่อนที่จะหันไปมองผู้วิเศษที่ตีสีหน้าเคร่งขรึมยากที่จะเดาออกว่ากำลังคิดอะไร


“พวกคนในปราสาทอยู่ในการควบคุมของครีออน  แถมเขากำลังจะทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  25
การแยกจาก

“ครีออนกำลังควบคุมทุกคนให้เชื่อฟังเขาและชายคนนั้น” 

สิ่งที่ซีวาลพูดนั้นทำให้พวกข้าตกตะลึง  ครีออนมีอำนาจในฐานะราชาอยู่แล้วจึงไม่แปลกอะไรถ้าคนในปราสาทจะเชื่อฟังเขา  แต่ที่น่าตกใจกว่าคือการใส่ความผู้ถูกเลือกทั้งหมดแล้วยังใช้เหตุการณ์ต่อสู้ในปราสาทมาว่าร้ายผู้วิเศษอีก

การที่ผู้วิเศษหลบหนีมาเช่นนี้ยิ่งเป็นการเกื้อหนุนคำพูดของอีกฝ่าย  และถ้าไม่ทำอะไรสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  กำลังถูกตามล่า  ใครที่ขัดขืนก็จะโดนฆ่า”  ซีวาลเล่าให้ฟังต่อ  เขาเองก็บาดเจ็บอยู่เหมือนกัน  “ตอนนี้พวกผู้ถูกเลือกกำลังสับสนอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าหันไปมองผู้วิเศษ  เขานิ่งเงียบคล้ายกับกำลังใช้ความคิดอยู่  ทุกคนไม่มีใครพูดอะไรเหมือนรอการตัดสินใจ

“ผู้วิเศษ  มีทางไหนพอจะช่วยพวกผู้ถูกเลือกคนอื่นได้บ้าง?”  ข้าถามขึ้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมา 

“ถ้าฝ่ายนั้นเล่นแรงขนาดนี้  เราคงต้องรีบตามหาผู้ถูกเลือกเท่าที่จะทำได้  หากไม่เช่นนั้นท่านเองก็จะเสียกำลังพลไปมาก”

“แล้วจะพาพวกเขาไปไว้ที่ไหน”  ข้าถามต่อ  ตอนนี้ที่คาร์ไลน์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป  หากเป็นอาณาจักรข้างเคียงก็อาจส่งผลกระทบถึงสงครามระหว่างอาณาจักรเอาได้

“ถ้าเป็นที่นี่จะได้หรือไม่?”  ผู้วิเศษถามขึ้น  สายตาของเขาจ้องไปที่โซแวน

ความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่โซแวนจะตัดสินใจตอบ  “ค่อนข้างลำบาก  พวกเขาไม่ชอบให้มนุษย์มายุ่งด้วย”

คำตอบนั้นราวกับดับความหวังที่ข้าตั้งไว้  นอกจากที่นี่แล้ว...คิดไม่ออกจริงๆ  ว่าจะรวมทัพได้ที่ไหน

“แต่ถ้าจำกัดพื้นที่ของพวกมนุษย์  ไม่ให้มายุ่มย่ามกับเหล่าสัตว์  พวกเขาก็จะไม่ว่าอะไร”  โซแวนเอ่ยขึ้นต่อทำให้ข้าโล่งอก  “ยังไงก็ขอให้ข้าคุยกับพวกเขาอีกทีหนึ่ง”

“ได้”  ผู้วิเศษพยักหน้าก่อนจะหันไปหาคนที่เหลือ  “เช่นนั้นข้าจะชี้แจงแผนขั้นแรกก่อน  รอบๆ  คาร์ไลน์ตอนนี้มีผู้ถูกเลือกที่หลบหนีออกมาอยู่  ขอให้พวกท่าน  ผู้ถูกเลือกระดับสีทองไปตามหาพวกเขาและทำการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด”

“ขอรับ”  พวกเร็นตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง  ผู้วิเศษหยิบลูกแก้วลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะกำมันแน่นแล้วหลับตาลง  กระแสเวทไหลผ่านเป็นเส้นสายไปรอบทิศออกสู่นอกป่า

เมื่อผู้วิเศษลืมตาขึ้นก็แจ้งว่า  “ข้าได้ทำการระบุตำแหน่งของผู้ถูกเลือกที่อยู่รอบๆ  แล้ว  ขอให้พวกเจ้าเร่งทำการช่วยเหลือโดยใช้ภูตพวกนี้เป็นตัวนำทาง”

ฉับพลันนั้นภูตสีฟ้าที่มีรูปร่างกลมๆ  ก็เกิดขึ้นในอากาศ  ลอยเข้าหาพวกผู้ถูกเลือกสีทองทุกคนรวมทั้งข้า  “มันจะเป็นตัวกลางสื่อสารให้แก่พวกเจ้าและนำไปหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ”

“ครับ”  พวกเขาขานรับอีกครั้ง  ก่อนที่จะแยกย้าย  ข้าให้คาร์ริต้าพาซีวาลไปพักก่อน  เพราะอย่างไรนางก็คงออกไปตามหาคนอื่นไม่ได้

“ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง  นางก็คงอยากช่วยมากกว่านี้

“ไม่เป็นอะไรหรอก  ทุกคนเข้าใจดี  อีกอย่างข้าไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายนะ”  ข้าพยายามปลอบนาง  คาร์ริต้ามีปัญหาที่ขาทั้งสองข้างใช้งานไม่ได้  เป็นเพราะแลกเปลี่ยนสิ่งสำคัญไป

นางยิ้มให้ข้าก่อนเอ่ยว่า  “ท่านเป็นห่วงข้า  ดีใจจริงๆ”

“ทุกคนก็ห่วงเจ้าทั้งนั้นแหละ”  ข้าตอบกลับไป  คาร์ริต้าเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม  ดังนั้นแล้วคนอื่นที่เป็นผู้ชายย่อมห่วงเป็นธรรมดา  ต่อให้เป็นสัตว์วิเศษแต่นางก็อ่อนแอกว่าพวกเขาจึงมักได้รับการดูแลเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเร็น  ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คาร์ริต้ายอมแลกหางของตัวเองและรับเงื่อนไขที่จะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อก็ปฏิบัติกับคาร์ริต้าอย่างดี  เขาเองก็ชอบดูแลคนอื่นดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ตามความคิดข้า  พวกเขาควรได้ครองคู่กันเหมือนเมื่อก่อน...

แม้ว่าข้าจะไม่ได้รังเกียจความรักที่พวกเขามีให้  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ  ตั้งแต่รู้ความจริงของพวกเขา  การแสดงความรักที่พวกเขามีให้ก็ทำให้รู้จักไม่สบายใจ

ข้าไม่ใช่คนใจร้ายใจดำถึงขนาดจะพรากทั้งสองคนออกจากกันได้  ถึงเร็นจะจำเรื่องของคาร์ริต้าไม่ได้  แต่สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นก็สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเก่า

และคาร์ริต้า  ข้านับถือความรักของนาง  จะมีสักกี่คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อคนที่รักได้ขนาดนี้ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจใหญ่

“ฝ่าบาท”  เสียงของเร็นดังขึ้น  เมื่อข้าหันไปมองก็พบเขายืนอยู่ด้านหลัง  สีหน้าดูตะลึงเล็กน้อย  “นึกว่าท่านจะอยู่กับท่านซีวาลเสียอีก”

“ข้าให้เขาพักก่อนน่ะ”  ข้าตอบก่อนจะลุกขึ้น  “นี่ก็จะไปแล้ว  ไม่กวนหรอก”

“ข้ามารบกวนท่านหรือเปล่า?  งั้นข้าจะออกไปก่อน”  เร็นขัดขึ้นพร้อมทำท่าจะออกไปทำให้ข้าต้องรีบรั้งเสื้อเขาไว้  “ไม่ได้กวนอะไรสักหน่อย  เจ้ามีธุระกับคาร์ริต้าใช่ไหม?”

ทันทีที่ถามออกไปทำให้เขาชะงัก  ท่าทางข้าจะเดาไม่ผิด  ดูจากการแต่งตัวแล้วเขากำลังจะออกเดินทางไปตามคำสั่งของผู้วิเศษ

สุดท้ายแล้วเร็นก็เลยขืนยิ้มแล้วตอบว่า  “ตามที่ท่านพูดนั่นแหละ  ข้าขอคุยกับนางสักครู่  แต่ท่านไม่ต้องไปก็ได้”

ข้าเลยถอยออกมาเล็กน้อย  เร็นก้าวเข้าไปหาคาร์ริต้าก่อนที่จะคุกเข่าลงแล้วเอ่ยออกมาเสียงเศร้า  “ขอโทษนะ”

คาร์ริต้ายกยิ้มขึ้นปลอบใจก่อนจะลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ  แล้วบอกว่า  “ข้าไม่ได้โกรธอะไรเจ้าสักหน่อย  ที่ข้าเป็นแบบนี้จนช่วยเหลืออะไรทุกคนไม่ได้ก็เป็นเพราะตัวข้าเองทั้งนั้น”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เร็นจะเอ่ยขึ้นต่อว่า  “ข้าต้องไปตามหาผู้ถูกเลือกที่อยู่รอบคาร์ไลน์  มันค่อนข้างอันตรายสักหน่อย  ถ้าข้าเป็นอะไรขึ้นมาช่วยดูแลฝ่าบาทด้วยน...”

เพี้ยะ!

ข้าตะลึงค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เร็นเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน  ใบหน้าของเขาหันตามแรงตบของคาร์ริต้าก่อนที่จะค่อยๆ  หันไปหาเจ้าตัวซึ่งทำสีหน้าไม่พอใจอยู่

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้า  ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาตามปกติ  “ไม่มีคำลาที่ดีกว่านี้แล้วหรือ?  เจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่แพ้โซแวน  เหตุใดถึงพูดอะไรพล่อยๆ  ออกมา  ฝ่าบาทข้าดูแลคนเดียวยังได้  แต่เจ้าต้องกลับมา  เข้าใจไหม”

เร็นนิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบรับสั้นๆ  ด้วยรอยยิ้ม  “เข้าใจแล้ว  งั้นจะกลับมาให้ได้แล้วกัน”

เขาลุกขึ้น  ทั้งคู่มองตากันก่อนที่เร็นจะหันมาทางข้า  แก้มข้างขวาเป็นรอยแดงห้านิ้วดูแล้วเจ็บแทน  เขายกยิ้มตามปกติแล้วบอกว่า  “ฝ่าบาท  พวกข้าอาจจะต้องไปนานเลยอยากจะมาลาก่อน  คิดว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาก็คงมาแล้ว  ยังไงท่านอยู่ทางนี้ก็รักษาตัวด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“อื้ม  เจ้าเองก็รักษาตัวด้วยเช่นกัน”  ข้าพยักหน้าตอบรับ  ก่อนที่เร็นจะเสริมขึ้นว่า  “พวกสัตว์ที่นี่ยังไม่ยอมรับมนุษย์เท่าไร  ถ้ายังไงอยู่กับโซแวนไว้จะดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“เขาไม่ได้ไปด้วยหรือ?”  ข้าขมวดคิ้ว  โซแวนเองก็เป็นคนเก่ง  ปกติก็น่าจะถูกส่งไป

“เขาเป็นผู้ครองของที่นี่  ถึงจะอยากไปมากเท่าไรแต่ภาระทางนี้เขาต้องเป็นคนดูแล”  เร็นอธิบายให้ข้าเข้าใจก่อนที่จะจูบลาข้าที่หลังมือ  “เช่นนั้นขอตัวก่อน”

“ข้าขอให้เจ้าปลอดภัย”  เมื่อข้ากล่าวจบ  เร็นก็เดินไปที่อื่น  ส่วนข้าเองก็ออกตามหาคนอื่น  แล้วก็เจอกับอาคีรัสที่นั่งเหม่ออยู่

“เจ้าไม่เตรียมตัวหรือ?”  ข้าถามไปด้วยความสงสัยทำให้เขาสะดุ้งโหยง  หันมามองตาโต 

“ฝ่าบาท  มาตั้งแต่เมื่อไรหรือขอรับ?”

“เมื่อกี้นี้เอง”  ข้าตอบไปก่อนจะนั่งลงข้างๆ  เขา  ตรงหน้าเป็นธารน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ 

“เจ้ากำลังทำอะไร”

“ข้าคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ  เดี๋ยวก็จะไปเตรียมตัวแล้ว”  เขายิ้มขึ้น  ความสดใสนั้นทำให้บรรยากาศของยามเย็นรอบๆ  ดูไม่มืดครึ้มเท่าไหร่ 

ข้าฟังคำพูดของอาคีรัสก่อนจะถามว่า  “คิดเรื่องอะไรอยู่”

“ท่านกับครีออน” 

ข้าเบิกตากว้าง  ก่อนจะถามกลับไปอย่างรวดเร็วว่า  “เจ้าคิดเรื่องครีออน?”

“ข้าสงสัยว่าอะไรทำให้เขาตัดสินใจทำแบบนี้กัน”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นขณะเหม่อมองไปบนท้องฟ้า  คำถามนั้นข้าเองก็คิดไม่ตก  แต่พอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง

“สมัยก่อน...ครีออนน่ะถูกทอดทิ้งมาตลอด  มีคนที่ไม่รักเขา  มีคนที่พยายามทำร้ายเขา  ถึงจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไร  แต่เด็กคนนั้นคงจะเจ็บปวดมาก”  ข้าบอกไปตามสิ่งที่เห็น 

“พวกท่านนี่โชคร้ายจริงๆ  นะ”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะเอนตัวลงมาพิงไหล่ข้า  “อายุเพียงเท่านี้ก็ต้องแบกรับภาระอะไรมากมายเหลือเกิน”

“มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้นี่นะ”  ข้าพึมพำขึ้นอย่างจนใจ  เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามบางอย่างออกมา

“ท่านเกลียดครีออนหรือเปล่า?”

คำถามของเขาถึงจะเบาโหวงแต่กลับมีน้ำหนักอย่างน่าประหลาด  ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบด้วยใจจริง  “ข้าเกลียดเขาไม่ลงหรอก”

ยังไงครีออนก็ถือเป็นน้องชายแท้ๆ  ของข้า  ต่อให้เขาไปอยู่ฝั่งลูซัสก็ทำใจเกลียดแต่แรกไม่ได้  ข้าต้องการฟังเหตุผลของเขา

“แต่ถ้าโกรธน่ะ  มันแน่นอนอยู่แล้ว”  ข้าเอ่ยต่อทำให้อาคีรัสหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย  ครีออนทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ชอบใจ

“ฝ่าบาทรู้ไหมว่าทุกหัวข้อการสนทนาของครีออนน่ะจะต้องมีท่านมาเกี่ยวเสมอ  เขาถามข้าเรื่อยว่าท่านเป็นยังไงบ้าง”  อาคีรัสเล่าให้ฟังก่อนจะเสริมด้วยรอยยิ้ม  “เขาถามเยอะมากโดยเฉพาะช่วงที่เขาไม่อยู่น่ะ  ว่ามีใครว่ายุ่งกับท่านไหม”

ข้าฟังเงียบๆ  ความรักของครีออนที่ไม่ค่อยแน่ชัดเริ่มชัดเจนขึ้นมา  แล้วเรื่องเมื่อหนึ่งพันปีก็ไหลย้อนกลับ

ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย?  ไม่มีทาง...

“ครีออนน่ะเหมือนกำลังสับสนอยู่  ถ้าได้ท่านเตือนสติสักหน่อยคงดี”  อาคีรัสทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะลุกขึ้น  แล้วบอกว่า  “ข้าต้องไปเตรียมตัวบ้างแล้ว  ขอตัวก่อนนะขอรับ  ฝ่าบาท”

ข้าลุกขึ้นก่อนจะอวยพรว่า  “ขอให้ปลอดภัยนะ  รักษาตัวด้วย”

“ท่านก็เช่นกัน”  อาคีรัสยิ้มร่าก่อนจะโน้มหน้าลงมาประทับจูบเบาๆ  บนริมฝีปากทำให้ข้าสะดุ้งเฮือก  เขาโบกมือลาแล้ววิ่งออกไปทิ้งไว้แต่ความงุนงง

เขาคงอยากจูบลา  และที่ข้าตกใจคือเขาทำแค่นั้น  ไม่ได้ใช้ลิ้นแบบคนอื่นนับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและพาลให้คิดได้ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมยังไง  เขาก็ไม่ทำอะไร

อาคีรัสสมกับเป็นคนที่ข้าไว้วางใจแล้วจริงๆ

ข้าลองเดินไปที่อื่นต่อ  แน่นอนว่าคือการตามหานอร์ธวินด์กับวารัน  มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าสองคนนั้นจะยังอยู่ด้วยกัน  ถึงนอร์ธวินด์จะทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอย่างยุ่งด้วยแต่ก็มีเหตุให้อยู่กับวารันบ่อยๆ

เมื่อคืนหลังจากทำให้โซแวนหลับไปแล้ว  สักพักข้าก็เดินออกมารับลมข้างนอก  และได้พบกับนอร์ธวินด์ที่มานั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนต้นไม้  เหมือนว่าจิตใจเขากำลังสับสน

ในตอนนั้นเขาไม่พูดอะไรเลยในช่วงแรก  ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงนั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ  สุดท้ายแล้วนอร์ธวินด์ก็ร้องไห้ออกมา

“ข้ารักท่านนะ...”  เป็นคำที่เขาสารภาพออกมาอย่างสั่นเครือ  “ข้าอยู่กับท่านแล้วสบายใจที่สุด  อยากอยู่กับท่านตลอดไป  แต่ว่า...แต่ว่า...”

“ข้าทิ้งเจ้านั่นไปไม่ได้  ข้า...ลืมเจ้านั่นไม่ลง”

นอร์ธวินด์ที่ร่าเริงมาตลอด  ร้องไห้ด้วยสีหน้าที่แสนจะปวดร้าวทำให้ข้าพูดอะไรไม่ออก  เมื่อยื่นมือไปหาเขากลับถูกกอดอย่างเต็มแรง

ข้าปล่อยให้เขาร้องไห้และกอดตามที่เขาต้องการอย่างไม่ขัดขืน  แต่ในใจกลับรู้สึกผิด  ทั้งที่นอร์ธวินด์กำลังทุกข์ใจแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้

เขาเงียบลง  แล้วค่อยๆ  ผละออกจากข้า  “ฝ่าบาท  ข้าขอโทษ...”

“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่จำเป็นต้องขอโทษนี่”  ข้าเอ่ยขึ้นแล้วยกยิ้มปลอบใจเขา  “ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าสบายใจข้าก็ยินดี”

“งั้นขอจูบ...”

“ขอกันง่ายๆ  แบบนี้ไม่ได้หรอก”  เขาหัวเราะกับคำพูดของข้าก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่  เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาแล้วชวนกลับไปพักผ่อน

“ถ้าข้าสามารถซื่อตรงกับความรู้สึกจริงๆ  ได้ก็ดีสิ”

ดวงตาของเขาตอนนั้นดูเศร้าอย่างน่าประหลาด  ข้าพยายามมองหารอบๆ  จนในที่สุดก็เห็นหลังนอร์ธวินด์อยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากอาคีรัสอยู่  และเป็นอย่างที่คาดสองคนนั้นกำลังอยู่ด้วยกัน

แต่แค่คุยกันเฉยๆ...ทั้งที่ข้านึกว่าจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้นิดหน่อย  ตามนิสัยของวารันแล้วเขาใจเร็วจะตาย

“ต้องแยกกันตามหาแล้ว  อย่าไปนอนกับคนที่ไว้วางใจไม่ได้ล่ะ”  วารันเอ่ยขึ้นทำให้ข้าที่กำลังเดินเข้าไปหาชะงัก  แล้วนอร์ธวินด์ก็เถียงกลับว่า  “ใครจะไปทำแบบนั้นกัน  อันตรายจะตาย!”

“ถ้ารู้จักป้องกันตัวเองก็ดี  มนุษย์น่ะถึงจะมีพลังไม่มากแต่เล่ห์เหลี่ยมเยอะนะ  ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนทีอารีน”  วารันเสริมต่อก่อนจะมองมาทางข้าที่ยืนอึ้งอยู่  “ใช่ไหม?”

“คนแบบข้าหมายความว่ายังไงกัน?”  ข้าขมวดคิ้วแล้วตรงเข้าไปหา  นอร์ธวินด์หันกลับมาก่อนจะยกยิ้มขึ้น 

“ฝ่าบาท  ข้ากำลังจะไปหาพอดีเลย”

“พวกเจ้าเตรียมตัวออกเดินทางเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”  ข้าถามขึ้น  นอร์ธวินด์พยักหน้าเต็มแรงก่อนจะเอ่ยว่า 

“แล้วก็กำลังจะไปขอกำลังใจจากท่านด้วย”

“ข้าเดินมาให้แล้วนี่ไง”  ข้ายิ้มขึ้นก่อนจะบอกว่า  “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ  รักษาตัวด้วย  ถ้ายังไงก็ขอให้รักกันไปนานๆ...”

“เดี๋ยวๆ!  ฝ่าบาท  ประโยคหลังนั่นมันอะไรขอรับ”  เขาท้วงขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากข้าแล้วเอ่ยเสียงโหยหวนว่า  “ข้ารักท่านน้า”

“แล้วเจ้าลืมใครไม่ลงล่ะ?”  ข้าถามย้ำพลางยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้นอร์ธวินด์ชะงักไปทันที  พอเห็นเขาทำหน้าเสียแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ  “ช่างเถอะ  เอาเป็นว่ากลับมาหาข้าด้วยล่ะ”

“แน่นอนขอรับ  ฝ่าบาท  ก่อนที่จะไป...”  นอร์ธวินด์พูดค้างไว้ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปากข้าไว้  มันเป็นจูบที่ลึกล้ำกว่าอาคีรัสและมาไม่ทันตั้งตัวข้าเลยรีบถอยหนี  จังหวะที่ออกมานั้นก็อดเหลือบมองวารันไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไง  แต่สุดท้ายก็ทำหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“งั้นข้าขอตัวก่อน”  พอละจูบแล้ว  นอร์ธวินด์ก็เดินไปด้วยสีหน้าเป็นสุข  ทิ้งข้าไว้กับวารัน  ระหว่างพวกข้ามีความเงียบเกิดขึ้นจนต้องหาเรื่องคุย 

“เจ้าไม่โกรธหรือ?”

“โกรธทำไม...นั่นเป็นนิสัยของเขา”  วารันเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินเข้ามาใกล้  “อีกอย่างเพราะเป็นเจ้า  ข้าเลยไม่ทำอะไร”

“เพราะเป็นข้า...”  ข้าไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด  จนสุดท้ายวารันก็ยอมอธิบายให้ฟัง 

“เพราะเจ้าไม่รักเขายังไงล่ะ  ไม่ใช่แค่เขา  แต่เป็นทุกๆ  คน”

ข้านิ่งเงียบไป

“เจ้าไม่เคยแสดงความรู้สึกว่ารักกับใครเลย  ปิดกั้นตัวเอง  เปิดใจให้แค่บางคนเท่านั้น  ถึงจะไว้วางใจพวกข้า  แต่หัวใจเจ้าไม่รักในแง่ของการคบหากับพวกข้าอยู่แล้ว  เพราะแบบนั้นข้าถึงปล่อยนอร์ธวินด์ไง  ยังไงเขาก็จะไม่ได้รับความรักจากเจ้ากลับมา”  วารันเอ่ยขึ้นก่อนจะเสริมว่า  “ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รักตัวเองสักนิดหรอกนะ”

“ฟังดูใจร้ายจังนะ”  ข้าสวนกลับไปเสียงเรียบ  และอดทึ่งไม่ได้ที่เขามองออก  ข้าพยายามจินตนาการเสมอว่าถ้าข้ารักกับพวกเขาจะเป็นยังไง  แต่ในอกก็ไม่มีความรู้สึกนั้นมากพอจะเห็นเป็นรูปร่างได้  ยกเว้นก็แค่บางคนจริงๆ  และถ้าวารันรู้แบบนี้แล้ว  คนอย่างเขาย่อมไม่ฝืนต่อกับคนที่รักเขาไม่ได้

“ข้าไม่ได้ใจดีเหมือนเจ้าหรือคนอื่นๆ”  วารันเอ่ยเสียงเรียบ  “แต่เพราะเขาเป็นอินคิวบัส  เรื่องบนเตียงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว  ภาวนาให้ได้แค่ว่าไม่ไปโดนคนไม่ดีทำร้ายเอาก็พอ  จริงๆ  ข้าคิดว่าแค่กับเจ้าเท่านั้นถึงจะยอม”

“เจ้าตัดใจจากเขาแล้วหรือ?”  ข้าเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  แต่เขากลับปฏิเสธ  “ตัดใจ?  ข้าทำแบบนั้นได้ที่ไหน  แต่เจ้าเป็นมนุษย์  อยู่ไม่นานเท่าข้าหรือนอร์ธวินด์  ถ้าพวกเจ้ารักกัน  ข้าแค่รอ  หลังจากเจ้าตายเขาต้องกลับมาหาข้าเท่านั้น”

“ถ้าเป็นแบบนั้น  เจ้าก็คงต้องรอนานหน่อยนะ  ข้าไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นสักเท่าไร”  ข้าลองพูดไปเช่นนั้น  เพราะได้รับพลังส่วนหนึ่งมาจากท่านลูซิฟรานทำให้อายุข้ายืนยาวขึ้นอีก  แต่วารันกลับไม่ใส่ใจ 

“ข้ารอได้”

“แต่อย่างที่เจ้าบอก  ข้ากับนอร์ธวินด์คงเป็นไปไม่ได้  ข้าไม่มีรสนิยมแย่งคนรักชาวบ้านหรอกนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นตามความจริง  ก่อนที่จะลองถามด้วยความสงสัยในใจ  นอร์ธวินด์แม้จะพอมีใจให้บ้างทว่าก็พยายามหลีกเลี่ยงวารันมาโดยตลอด  แต่คนคนนี้จะยังทำยังไงต่อ  “วารัน  ถ้านอร์ธวินด์ไม่ยอมเข้าหาเจ้าจะทำยังไง?”

“ข้าจะรอ”  เขาตอบง่ายๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ขืนใจไปก็ไม่ดี  ถ้าเจ้านั่นตัดใจจากข้าไม่ลงก็รอให้กลับมาเองดีกว่า”

ข้าขมวดคิ้วก่อนจะถามว่า  “เจ้าจะรอแบบนี้ไปเรื่อยๆ  เหรอ”

“ที่ผ่านมาก็รอมาตลอดแล้ว”  เขาเอ่ยขึ้น  “จะรอไปจนตายก็ไม่เห็นเป็นอะไร”

ข้าอดทึ่งในความตั้งใจของเขาไม่ได้  แล้วจึงภาวนาให้สมหวัง  อย่างน้อยถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมากกว่านี้ก็คงจะดี 

“แต่ถ้าเจ้าอยากจะร่วมวงด้วยข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ”  เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  แต่ดูก็รู้ว่าเป็นการหยอกเล่นจึงตอกกลับไปว่า 

“ไม่เอาล่ะ  เดี๋ยวนอร์ธวินด์ตกใจหนีไปอีก”

นั่นทำให้วารันชะงักกึกจนอดขำไม่ได้

“ว่าแต่ว่า  เจ้าบอกว่าข้าเปิดใจให้แค่บางคน  แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีใครบ้าง”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาเลยตอบทันที

“แน่นอนว่าคือน้องชายเจ้ากับผู้วิเศษ  แต่ผู้วิเศษเองเจ้าก็คงตัดใจจากเขาได้แล้ว  ส่วนอีกคน...”

“นี่!  ใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้วนะ  เจ้ามัวแต่ชวนฝ่าบาทคุยอะไรอยู่”  เสียงของนอร์ธวินด์แทรกขึ้นมาทำให้ข้าหันไปมอง  เขาเดินมาพร้อมโซแวนแล้วเร่งขึ้นว่า  “ไปรวมตัวกันได้แล้ว”

“ได้ๆ”  วารันตอบรับอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเดินตามไป  แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ข้าว่า  “อีกคนข้ารู้แล้วกันว่าเป็นใคร”

“เจ้ามันเก่งไปแล้ว”  ข้าพึมพำขึ้น  ก่อนที่จะเดินตามพวกเขาไป  ทุกคนรออยู่ที่ลานวิหารอยู่แล้ว  เมื่อมาถึงผู้วิเศษก็แจกถุงผ้าเล็กๆ  ให้นอร์ธวินด์กับวารัน

“นี่เป็นถุงใส่ของที่จำเป็นขอรับ  ทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยตามหาผู้ถูกเลือก  และยาสำคัญอื่นๆ  ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยรักษาไว้ให้ดีด้วยนะขอรับ”  ผู้วิเศษอธิบายของที่อยู่ในถุงทีละอย่าง  ก่อนจะอวยพรให้พวกเขาแล้วหันมาทางข้า

“เอ้า  ฝ่าบาท  ตาท่านอวยพรแล้วขอรับ”  ข้าก้าวไปตามเสียงเรียกไปหยุดยืนตรงหน้าเร็นที่อยู่ใกล้สุด  ยื่นมือออกไปจับใบหน้าเขาไว้แล้วอีกฝ่ายก็โน้มลงมา 

“ขอให้พรวิเศษปกป้องเจ้าให้พ้นภัย”

ข้าจุมพิตลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย  เวทมนตร์ไหลผ่านไปหาเขา  เป็นคำอวยพรจากข้า  อย่างน้อยถ้าเขาบาดเจ็บขึ้นมาก็จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ข้าไล่ไปทีละคน  อาคีรัส  วารัน  สุดท้ายก็นอร์ธวินด์ที่เรียกร้องว่า  “ขอเป็นที่ริมฝีปากไม่ได้เหรอขอรับ”

“ยุติธรรมหน่อยสิ  ต้องได้เท่าเทียมกัน”  ข้าตอบกลับไปด้วยอารมณ์ขันก่อนที่จะส่งผ่านเวทคุ้มครองเหมือนคนอื่นๆ  แล้วพวกเขาก็รีบแยกย้ายกันออกไปตามหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจึงหันกลับไปหาคาร์ริต้า  “ซีวาลล่ะ?”

“เขาหลับไปแล้วเจ้าค่ะ  บาดแผลทั้งหมดได้รับการรักษาแล้วและคงเพลียมากเลยหลับไป”  นางอธิบาย  ข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กลายเป็นตอนกลางคืนแล้วจึงหันไปหาผู้วิเศษ 

“แล้วพวกข้าต้องทำอะไร”

“คาร์ริต้ากับข้าจะดูแลคนที่บาดเจ็บที่พวกเร็นพามา  ส่วนท่านกับโซแวน...”  เขาพูดค้างไว้ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้  “พวกท่านต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประตูแห่งอำนาจ”

ผู้วิเศษยัดกระเป๋าใบหนึ่งให้ข้าแล้วบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “ในป่าต้องห้ามนี้มีเขตที่ลึกที่สุด  ไร้แสงเข้าถึงและเป็นอันตรายที่สุด  ไม่มีสัตว์ตัวไหนเข้าใกล้  ในนั้นมีวิหารของเทพเจ้าซ่อนอยู่  กุญแจของบททดสอบอยู่ที่นั่น”

“เข้าใจแล้ว  แล้วจะให้ข้าไปตอนไหน?”

“ตอนนี้”

“หา?”  ข้าร้องกลับไปด้วยความตกใจ  ก่อนที่ผู้วิเศษจะสวนกลับมาว่า  “โธ่  ฝ่าบาท  เราไม่มีเวลาแล้ว  ท่านต้องรีบนะ”

“...ขะ...เข้าใจแล้ว”  ข้าได้แต่พยักหน้าตามไปอย่างนั้น  ก่อนที่จะนึกอะไรได้จึงถามว่า  “เจ้าเหลือเวลาอีกกี่วัน”

“สามวัน”  ผู้วิเศษตอบกลับมาอย่างกับเป็นเรื่องธรรมดา  ทั้งๆ  ที่สามวันต่อจากนี้เขาจะตายไปแท้ๆ  ข้าเบิกตากว้างแม้จะรู้สึกหน่วงแต่ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรม

“ได้  ก่อนสามวันข้าจะกลับมา”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันไปหาโซแวน  “เจ้าจะไปแต่ตัวเหรอ?”

“มีของที่ผู้วิเศษให้มาแล้วนิดหน่อย”  เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าเรียบนิ่งก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินนำข้า  “ตามข้ามา”

ข้าหันไปลาคาร์ริต้าก่อนที่จะเดินตามเขาไป  อดแปลกใจไม่ได้ที่ขั้นตอนการเปิดประตูแห่งอำนาจจะเรียบง่ายแบบนี้  แต่ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้แน่นอน  ทางข้างหน้าเป็นอย่างไรต่อก็ไม่รู้

หนำซ้ำความลำบากคือการต้องวิ่งตามฝีเท้าคนชำนาญป่าให้ทันในยามวิกาลแบบนี้  แม้โซแวนจะเดินอยู่แต่ความเร็วของเขามากกว่าข้าอีก  สุดท้ายพอข้ามเนินชันมาได้ข้าก็ต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อน

“โซแวน  แค่ก...เดี๋ยวก่อน”  ข้าพยายามส่งเสียงเรียกเขา 

โซแวนเลยรู้ตัวแล้วหันกลับมา  “ไหวหรือเปล่า?”

เขาเดินมาหาแล้วพยุงข้าขึ้น  ในตอนนี้ข้ามั่นใจในการส่ายหน้าเป็นคำตอบมากว่าไม่ไหว  “พักหน่อยได้ไหม  แล้วกลางคืนแบบนี้เจ้ายังเดินอีกเหรอ?”

“ขอโทษที  ข้าชินกับการเดินในความมืดเลยคิดว่าเจ้าไม่มีปัญหา  อีกอย่างหนึ่ง...”  เขาพูดค้างไว้ก่อนที่จะบอกว่า  “เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่อยากกลับภายในสามวันน่ะ”

ข้านิ่งเงียบไปเพราะยังรู้สึกเหนื่อยจนหอบหนัก  ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาและคำพูดที่แสนเยือกเย็นว่า  “เตรียมใจซะ  ยังไงเจ้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว  ถ้าหมอนั่นตายก็มีแต่ต้องยืนส่งเท่านั้น”

“จะให้เตรียมใจยังไง  ผู้วิเศษก็เป็นคนสำคัญนะ  เจ้าไม่เสียใจเลยหรือถ้าเขาหายไป”  ข้าถามกลับไป  แต่โซแวนกลับตอบอย่างเย็นชา

“ไม่”

เพี้ยะ!

ข้าตบเขาก่อนจะตวาดซ้ำ  แม้ยังรู้สึกเหนื่อยจนแทบเวียนหัวแต่คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกโกรธขึ้นมา  “เจ้ามันคนไร้หัวใจ”

โซแวนไม่ได้พูดอะไร  หนำซ้ำยังไม่หันกลับมามองหน้าข้าตรงๆ  เขาลุกขึ้นก่อนจะกระชากแขนข้าขึ้น 

“เดี๋ยว...”

“งั้นก็ไปต่อ  ถ้าเจ้าอยากไปหาผู้วิเศษก่อนที่เขาจะตายก็ต้องเดินทางต่อ  แล้วต่อจากนั้นจะไปใช้ช่วงเวลาที่เหลือให้คุ้มค่าก็ทำไป”  เขาเอ่ยออกมาโดยไม่หันมามอง  หนำซ้ำยังออกแรงลากข้าที่ยังตั้งหลักไม่ดีให้เดินต่อ  ไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าข้ากำลังขัดขืนเขาอยู่

“เดี๋ยว  โซแวน...อ๊ะ!”  ข้าพยายามร้องเตือนเขา  แต่จู่ๆ  ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรได้  ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ  และไอโขลกไม่หยุด

ข้าล้มตัวลงกับพื้น  ยกมือปิดปากและรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวในปาก  เมื่อลดแขนลงก็พบว่าตัวเองไอออกมาเป็นเลือด

โซแวนที่อยู่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ขมวดคิ้วอย่างวิตกกังวล  ทั้งเขาและข้าต่างรับรู้ได้

การที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงจนไม่สามารถนอนได้เริ่มส่งผลกระทบแล้ว
---------------------
ต่อจากนี้จะพยายามมาลงเรื่อยๆ ทุกวันจนกว่าจะจบค่า ติดตามกันได้นะคะ


ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
น่าเป็นห่วงกับผลกระทบ
โซแวนหึงผู้วิเศษเหรอ 555

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 26
ผู้นำทาง

แย่ที่สุด...
มึนหัวเหลือเกิน

เพราะจู่ๆ  ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาแถมไอเป็นเลือดทำให้โซแวนตื่นตกใจอย่างมาก  เขาหายาในกระเป๋าที่ได้มาจากผู้วิเศษแล้วให้ข้าดื่มทันที  หลังจากนั่งพักแล้วจึงรู้สึกดีขึ้น

แต่โซแวนก็ไม่ยอมให้ข้าเดิน  เขาหันหลังให้แล้วทรุดตัวลงนั่ง  ยื่นมือทั้งสองข้างมาด้านหลังแล้วออกคำสั่งทนที  “ขึ้นหลังข้ามาซะ”

“ไม่เป็นไร  ข้าเดินเองได้”

“ขึ้นมา  หรือจะให้ข้าอุ้ม”  เขาบังคับและเมื่อข้าลองลุกขึ้นยืนก็พบว่าขายังไม่ค่อยไหวจึงจำใจขี่หลังเขาไป  พวกเราจึงได้เดินทางกันต่อ

รอบข้างเป็นป่าที่มืดสนิท  มองไปก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้ข้าจึงซบหลังเขาคิดจะหลับตาเพื่อพักผ่อน  แต่แล้วภูตสีฟ้าที่อยู่ในกระเป๋าของโซแวนก็ลอยออกมา

“ฝ่าบาท  ทรงดีขึ้นหรือยังขอรับ?”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้นจากตัวภูตที่เปล่งแสงออกมา  ดูเหมือนมันจะเป็นสื่อกลางสื่อสารของพวกข้าด้วย

“อืม  ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าตอบกลับไป  ก่อนที่ภูตตัวนั้นจะยืดตัวขึ้นหนึ่งครั้งแล้วเสียงที่ส่งมาก็เปลี่ยนไป 

“ค่อยยังชั่ว  ตอนแรกที่ได้ยินว่าฝ่าบาทสลบไป  ข้าตกใจแทบแย่” 

คราวนี้เป็นเสียงของเร็น  ดูเหมือนเขาจะโล่งใจขึ้นมาก  แล้วภูตก็ยืดตัวอีกครั้ง  เปล่งแสงอีกทีเสียงที่ส่งมาก็เปลี่ยนไปอีก 

“โซแวน!  เจ้าต้องดูแลฝ่าบาทให้ดีๆ  นะ  ข้าอุตส่าห์ไว้ใจเจ้า”

“ข้าก็ดูแลอยู่ที่ไง”  เป็นโซแวนที่สวนกลับนอร์ธวินด์ไปเสียงเรียบ  “อุตส่าห์ให้ขึ้นขี่หลังเลยนะ”

“อ๊า  ข้าก็อยากทำแบบนั้นบ้าง”  นอร์ธวินด์ส่งเสียงคร่ำครวญกลับมา  ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวังว่า  “ฝ่าบาท  ถ้ากลับไปแล้วมาขี่หลังข้าไหม”

“ต้องถามวารันก่อน”  ข้าแซวกลับไปสั้นๆ  อีกฝ่ายเลยโหยหวนใส่

“ช่างหมอนั่นไปสิฝ่าบาท  ขี่หลังข้านะๆ”

“เจ้านี่ทำตัวเหมือนเด็กเลยนะ”  เสียงของวารันดังแทรกขึ้นเรียบๆ  หลังจากภูตยืดตัวแล้ว  แล้วเขาก็ดุขึ้นอีกว่า  “เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว  ให้คนอื่นพูดบ้าง  ทีอารีนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว  รักษาสุขภาพด้วย”

“ขอบคุณเจ้ามาก”  ข้าเอ่ยกลับไป  ความเป็นห่วงของพวกเขาทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาจนอดยิ้มไม่ได้  ภูตสีฟ้ายืดตัวขึ้นอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นเสียงของอาคีรัส

“ฝ่าบาท  ค่อยยังชั่วที่ไม่เป็นอะไรมาก  ข้าเป็นห่วงแทบตายเลย”  น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคึกคักเหมือนเดิม  ก่อนที่จะกระอึกกระอักบอกว่า  “จริงสิ  ทุกคนฟังอยู่ใช่ไหม  คือตอนนี้ข้ามีเรื่องจะให้ช่วย”

“อะไรล่ะ?”  ข้าถามขึ้น  โซแวนแม้จะเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ  ยังตั้งใจฟังแม้จะไม่พูดอะไร  คนอื่นก็คงเช่นกัน

“ข้าหลงทาง”  ประโยคสั้นๆ  นั้นทำให้ทั้งข้าและคนอื่นๆ  เงียบไป  ขนาดโซแวนยังหยุดกึก  พอบรรยากาศเริ่มเงียบจึงได้ยินเสียงสะอื้นของอาคีรัส  “ข้าต้องไปทางไหนต่อขอรับ  ทางก็มืดแล้วยังน่ากลัวอีก”

“เจ้าเป็นนกฟินิกซ์นะ  จะกลัวอะไร”  โซแวนเป็นฝ่ายถามขึ้น  แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงคร่ำครวญออกมา

“ฮือ  ลูกพี่ไม่กลัวอะไรไม่เข้าใจหรอก  เมื่อกี้ข้าเห็นคนโบกมือไหวๆ  อยู่ข้างทางเลยเดินไปหา  พอไปถึงเขาก็ทำหัวตัวเองหลุดแล้วหายไปเลย  พูดแล้วก็ขนลุกขึ้นมา”

สิ้นเสียงของอาคีรัสข้าก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาแถวต้นคอจนเผลอบีบบ่าของโซแวนแน่น  แน่นอนว่าเขาสังเกตได้เลยถามว่า  “กลัวเหรอ”

ข้ากัดฟันแล้วเลือกที่จะไม่ตอบเขาก่อนจะหันไปดุอาคีรัส  “อาคีรัส  กลางป่ากลางเขาอย่าพูดเรื่องผีสิ”

“ปกติเขาเจอแล้วห้ามทักนะ  เจออีกก็อย่าไปสนใจล่ะกัน”  เร็นตอบกลับมาผ่านภูตสีฟ้าด้วยน้ำเสียงใจเย็น  ตามมาด้วยวารันที่บอกว่า  “ไฟเจ้าส่งพวกมันไปสู่สุคติได้  คราวหลังก็ฟันให้เกลี้ยงเลยนะ”

“จะว่าไปข้าก็เคยเห็นผีสาวสวยนะ  หน้าอกสุดยอด  แต่หน้านี่สยองจริงๆ  ขอผ่านเลย”

เจ้าคนพวกนี้ไม่กลัวผีกันเลยหรือยังไง

“รอบตัวเจ้าก็มีแต่สัตว์ประหลาด  ควรจะชินได้แล้วนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นอีกทำให้ข้าเผลอหันไปเถียงเขา

“พวกเจ้าไม่เหมือนกับผีสักหน่อย  พวกผีน่ะน่ากลัวจะตาย”

“ยอมรับแล้วสินะว่ากลัว”  เขาแค่นหัวเราะหึใส่อีกครั้งจนข้าชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆ  ติดที่ว่าต้องช่วยทางอาคีรัสเสียก่อน

“ข้าจะต้องทำยังไงดี  ให้ยิงพลุลูกไฟเลยไหมขอรับ”

“เจ้าบ้า  อย่าทำแบบนั้นนะ  เดี๋ยวพวกทหารรู้ตัว  เจ้าอยู่ที่ไหน  เดี๋ยวข้าไปรับเอง”  เสียงของนอร์ธวินด์ดังขึ้นผ่านภูตสีฟ้า  แล้วตามมาด้วยการสอบถามทางมากมาย  โซแวนเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ  พลางฟังเสียงคนอื่นจากภูตสีฟ้าไปพลางๆ  บางทีมันก็เกิดอาการดิ้นไปมาเพราะมีคนพูดแทรกพร้อมกันหลายคน

“พวกเจ้าถนอมภูตกันหน่อย”  เป็นผู้วิเศษที่ส่งเสียงเตือนมาทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดแทรกกัน  แต่ก็ยังคุยกันเรื่อยๆ  ทำให้ตลอดการเดินทางเหมือนอยู่กันครบ

“อยู่คนเดียวแบบนี้เหงานะขอรับ  หาเรื่องคุยหน่อย”  พอเงียบกันไปสักพักหลังจากที่นอร์ธวินด์เจออาคีรัสแล้วพาไปส่งเรียบร้อย  ทุกคนก็หมดเรื่องคุยเร็นเลยเริ่มหาเรื่องสนทนาอีกครั้ง 

เป็นวารันที่เสนอขึ้นว่า  “เรื่องผี”

“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องคุยเรื่องนี้กันตอนเดินทางกลางคืน?  ทุกทีไม่เคยมีใครสนใจนี่”  ข้าสวนกลับไปอย่างหมดความอดทน  พอรู้ว่ามีคนกลัว  พวกเขาที่เฉยๆ  ก็จะพยายามสอดเรื่องผีมาให้

“พูดถึงเรื่องผีข้าก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”  แล้วโซแวนที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  ข้าบีบบ่าเขาแน่นก่อนจะขู่ว่า 

“เจ้าน่ะหุบปากไปเลย”

“จริงๆ  แล้วข้าไม่รู้ทางไปวิหารเทพเจ้าอะไรนั่นหรอก  ส่วนที่ลึกที่สุดก็ไม่เคยเข้าไป  แต่ข้ามาถูกทางตลอด...”  เขาเริ่มเล่าโดยไม่สนใจคำสั่งของข้า  ทุกคนเองก็คล้ายจะตั้งใจฟัง  มีเร็นที่สงสัยเหมือนกับข้าจึงถามขึ้น

“แล้วเจ้ามั่นใจได้ยังไงว่าเดินมาถูกทาง”

“ก็เดินตามวิญญาณมาน่ะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแต่ชวนให้ข้ารู้สึกขนลุกขึ้นมา  และเผลอเหลือบไปมองข้างหน้า  นอกจากแสงไฟจากแมลงแล้วยังมีร่างหนึ่งเดินนำอยู่ชวนให้รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา

“เจ้าบ้า  แล้วจะพูดขึ้นมาทำไม!”  ข้าตวาดลั่นทันทีอยากจะกระโดดหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้  แน่นอนว่าเขาไม่สะทกสะท้านแถมยังขู่ต่ออีก

“ถ้าเขารู้ว่าเจ้ากลัวต้องเข้ามาใกล้กว่านี้แน่ๆ”

“ไล่ไปสิ!”  ข้าซุกหน้าลงกับหลังเขา  ปิดการมองเห็นทุกสิ่งอย่าง  ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากภูตสีฟ้า  แต่ข้าไม่มีสมาธิมากพอจะมาแยกว่าเสียงใคร

“โซแวน  เจ้าแกล้งฝ่าบาทเยอะไปแล้ว”  เร็นตำหนิขึ้น  ก่อนจะเสริมว่า  “แต่ฝ่าบาทอย่าเสียงดังจะดีกว่า  ถ้าผีเข้ามาใกล้จริงๆ  พวกข้าก็ไม่รู้วิธีไล่หรอกนะขอรับ”

ข้ากลั้นหายใจ  รู้สึกว่าคนที่สมควรหายไปไม่ใช่ผี  แต่เป็นเจ้าพวกนี้ที่รู้ว่าข้ากลัวแต่ก็ยังสรรหาเรื่องผีๆ  มาให้อีก

“เมื่อกี้ข้าเจอผีผู้หญิงควักไส้ออกมาให้ดูด้วย”  เสียงของวารันแทรกขึ้นอย่างเยือกเย็น  หนำซ้ำยังอธิบายให้เห็นเป็นฉากๆ  ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนพูดมากจนข้าอยากจะร้องไห้ออกมา

หายๆ  ไปซะให้หมด  ไอ้พวกบ้านี่!

“เดี๋ยวฝ่าบาทร้องไห้หรอก  พอกันได้แล้ว”  เป็นผู้วิเศษที่เตือนขึ้นมา  ความหวังดีของเขาทำให้ข้าอยากจะกลับไปโผกอดเสียเดี๋ยวนี้  คน...สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลัวผีหรอก!

“แต่ตรงหน้าเนี่ย  เจ้าไม่น่ากลัวนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้น  ก่อนที่จะยักไหล่เชิงให้ข้าเงยหน้าขึ้น  “ลองดูสิ”

“ไม่เอา...”

“จะขี้กลัวไปไหน...แล้วเจ้า...ผู้วิเศษ  ตรงหน้าพวกข้านี่เป็นสิ่งที่เจ้าทำไว้หรือเปล่า”  โซแวนถอนหายใจให้กับข้าแล้วหันไปคุยกับภูตสีฟ้า 

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “อะไรหรือขอรับ?”

“ถ้าเจ้าจงใจทำแบบนี้  กลับไปข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ”  น้ำเสียงของโซแวนเจือความขุ่นเคืองมา  แต่ผู้วิเศษยังคงถามอย่างใจเย็น

“ดวงวิญญาณตรงหน้าเจ้าเป็นใคร”

“ลูซิฟราน”  คำพูดของโซแวนทำให้ข้าชะงัก  และเงยหน้าขึ้นทันที  เมื่อพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงวิญญาณนั้นหยุดชะงักและหันมาส่งยิ้ม

ข้าเบิกตากว้าง มือที่จับไหล่ของโซแวนบีบแน่นขึ้นอัตโนมัติ  แม้รูปร่างจะเลือนรางในความมืดแต่ข้าย่อมจำได้ดีไม่ผิดเพี้ยน

ตรงหน้าคือท่านลูซิฟรานไม่ผิดเพี้ยน

“ข้าไม่ได้ส่งเขาไปนะ  จริงๆ  แล้วคิดว่าเจ้ารู้ทางเสียอีก”  ผู้วิเศษปฏิเสธกลับมา  ก่อนที่จะถามว่า  “พวกเจ้าถึงหรือยัง”

“คิดว่าใกล้แล้ว”  โซแวนตอบกลับไป 

“ถ้าเข้าไปในเขตป่าลึกแล้วมันจะเต็มไปด้วยพลังงานเวทมากมายรบกวนพลังของภูตนี้  ว่าง่ายๆ  คือจะไม่สามารถติดต่อพวกเจ้าได้”  ผู้วิเศษอธิบายก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า  “ถ้ามีอะไร...อะไรที่ไม่ชอบมาพากลให้หนีออกมาทันทีเลยนะ”

“เข้าใจแล้ว”  โซแวนตอบกลับไปแทนข้า  ก่อนที่ภูตสีฟ้าจะเปลี่ยนเป็นเสียงนอร์ธวินด์ที่พูดแทนทุกคน

 “ฝ่าบาท  ข้าเป็นกำลังใจให้นะขอรับ!  เจ้าก็ด้วยนะโซแวน  พาฝ่าบาทกลับมาอย่างปลอดภัยด้วย”

“ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ”  ข้าตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม  ขณะนั้นเองที่โซแวนหยุดยืนแล้ววางข้าลง 

“อยู่หน้าเขตลึกสุดแล้ว”

เขาเก็บภูตสีฟ้าลงกระเป๋า  ตรงหน้าข้าเป็นป่าทึบที่ดำมืดคล้ายกับมีม่านสีดำกั้นอยู่  กระแสพลังเวทมากมายพัดวนอย่างบ้าคลั่งเป็นสัญญาณว่านี่คือเขตที่ลึกที่สุด

ท่านลูซิฟรานยืนอยู่หน้าป่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปข้างในต่อ  โซแวนจึงจับมือข้าเดินตามไป  รอบข้างเริ่มมืดลงเรื่อยๆ  ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงเหยียบลงไปบนใบไม้และกิ่งไม้แห้งของพวกข้า

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ  แต่ข้ายังคงติดใจสงสัยกับน้ำเสียงของเขาตอนที่พูดชื่อของอีกฝ่าย  เขานิ่งเงียบมาตลอดแม้จะรู้ว่าวิญญาณตรงหน้าคือท่านลูซิฟราน  ข้าไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเลยไม่สามารถแน่ใจได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่กันแน่

พวกข้าเดินไปสักพัก  วิญญาณตรงหน้าก็หยุดแล้วเปลี่ยนไปชี้นิ้วแทนพร้อมกับหันมาให้พวกข้าเดินไป  โซแวนนิ่งสักพักก่อนจะพาข้าเดินไปตรงหน้า

“รู้สึกถึงอะไรไหม”  เขาถามขึ้น  ข้ามองตรงหน้าตัวเองอย่างถี่ถ้วนแล้วพบกับพลังเวทที่หนาแน่นกว่าตรงอื่น 

“มีกำแพงอยู่”

ข้ายกมือขึ้นลองแตะกำแพงที่มองไม่เห็นนั้นดู  ทันใดนั้นพลังเวทนั้นก็ปั่นป่วนขึ้นอีกแล้วสลายลงจนสามารถทะลุผ่านไปได้

กำแพงทลายลงอย่างรวดเร็ว  แสงสว่างสาดส่องออกมาทันทีจนข้าต้องยกมือขึ้นบังแสงไว้ชั่วคราว  เมื่อสายตาเริ่มชินจึงยกลงและพบว่าตรงหน้าคือวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า  แม้จะรกร้างแต่เต็มไปด้วยพลังเวทมหาศาล  เป็นที่ที่เดียวที่มีแสงสาดส่องลงมา

วิญญาณของท่านลูซิฟรานเดินนำเข้าไป  ข้ากับโซแวนลังเลสักพักก่อนที่จะเดินตาม  เมื่อเข้าไปในตัววิหารก็ไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากพืชพรรณที่แทรกตัวขึ้นมา  จนกระทั่งถึงห้องโถง

ท่านลูซิฟรานหยุดยืนแล้วหันมาหาด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะบอกว่า  “ยินดีต้อนรับ  ดีใจจริงๆ  ที่เจ้ายอมตามมาง่ายๆ”

“พูดได้...”

“เป็นท่านจริงๆ  เหรอ  ลูซิฟราน?”  ข้าแค่พึมพำออกไปแต่โซแวนนั้นถามไปตรงๆ  สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน  ท่านลูซิฟรานถอนหายใจขึ้นแล้วถามกลับ

“ทำไมทำหน้าเหมือนคิดว่าตรงหน้าเจ้าไม่ใช่ข้ากันล่ะ”  คำถามนั้นทำให้โซแวนเป็นฝ่ายชะงัก  ท่านลูซิฟรานยกมือขึ้นแตะแผงอกของตัวเองแล้วยืนยันขึ้นว่า  “ข้าคือลูซิฟรานตัวจริงเสียงจริง  แต่นี่เป็นร่างจิตที่หลงเหลือเพื่อถ่ายทอดอำนาจของประตู”

“ไม่ใช่วิญญาณหรอกเหรอ?”  ข้าพึมพำขึ้นด้วยความสงสัย  และเมื่อเขาได้ยินเขาก็หันมาตอบด้วยรอยยิ้มว่า 

“ไม่เชิงเสียทีเดียว  วิญญาณข้าไปสู่สวรรค์แล้วยังลงมาไม่ได้เลยต้องแบ่งจิตที่กุมอำนาจประตูไว้ลงมา  ส่วนวิญญาณจริงๆ  กำลังหวานกับสามีเก่าอยู่”

ข้าไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป  พอรู้ว่าตรงหน้าไม่เชิงว่าเป็นวิญญาณจริงๆ  ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้น  และแม้ประโยคหลังจะตอบแบบกวนๆ  แต่สีหน้าของเขาตอนนี้ก็มีความสุขดีจนข้าไม่อยากขัดอะไร

“พวกท่านดูมีความสุขกันดีนี่”  แต่โซแวนกลับแค่นเสียงขึ้นก่อนจะตรงเข้าไปหาท่านลูซิฟราน  “มีความสุขกันดีเหลือเกิน...”

“โซแวน  ไม่ได้เจอกันนานเลย  เป็นยังไงบ้าง”  ท่านลูซิฟรานถามขึ้น  ประกอบกับอารมณ์ที่สั่งสมมานานทำให้โซแวนฉุนจัด  เขาเหวี่ยงมือเอาไปแต่ย่อมทะลุผ่านตัววิญญาณก่อนที่จะตะคอกเสียงดัง 

“เป็นยังไงน่ะเหรอ  จะให้ข้าพูดว่ามีความสุขหรือยังไง!?”

“โซแวน...”  ข้าพยายามเข้าไปใกล้แต่เสียงที่ดังมากของเขายังคงระบายออกมาอย่างอัดอั้น

“ท่านใช้ข้าตามใจมาตลอด  เว้นระยะห่างของพวกเรา  ขนาดตอนท่านตายยังไม่มีโอกาสให้ข้าร่ำลา!  ท่านเห็นข้าเป็นแค่หุ่นเชิดหรือยังไง!!” 

ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไป  แม้แต่ข้ายังไม่กล้าพูดอะไร  โซแวนยังคงเอ่ยออกมาอีกทั้งที่น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น  “ทั้งๆ  ที่ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีกแท้ๆ  แต่ยังอุตส่าห์โผล่มานี่...ท่านคิดจะทรมานข้าไปถึงไหนกัน”

“โซแวน  เจ้าใจเย็นๆ  ก่อน”  เมื่อเห็นว่าโซแวนไม่มีท่าทีจะคุมความโกรธของตัวเองลงได้ข้าจึงลองเข้าไปปรามแต่กลับถูกสะบัดมือทิ้ง 

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

“ไม่ได้  ข้าไม่ยุ่งไม่ได้  จะปล่อยให้เจ้าอาละวาดไม่ได้  สงบลงก่อนเถอะ”  ข้ายืนยันก่อนจะทำใจแข็งตำหนิเขาไปหนึ่งครั้ง  “ถึงเจ้าจะโกรธยังไง  แต่ตรงหน้าเจ้าก็เป็นแค่วิญญาณนะ  เจ้าจะทะเลาะกับคนที่ตายไปแล้วต่อหรือ”

“แต่คนที่ตายไปแล้วคนนี้ทิ้งความเจ็บช้ำให้ข้า”  เขาหันกลับมาตะคอกใส่ข้า  แต่เพราะดวงตาทั้งสองข้างของเขารื้นไปด้วยน้ำ  ข้าจึงไม่สามารถจะพูดอะไรได้

“ถูกอย่างที่ทีอารีนว่า  ข้าตายไปแล้ว  แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้น  “ถ้าเจ้ายังอยากจะโหยหาความรักมากไปกว่านี้ละก็จะทำให้การรับบททดสอบของพวกเจ้าคลาดเคลื่อน  พอได้แล้ว”

“ท่านเห็นข้าเป็นลูกหรือเปล่า!?”  โซแวนตะคอกขึ้นอีกครั้ง  ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยด้วยสิ่งที่เย็นชามากที่สุด 

“สำหรับข้า  เจ้าก็เป็นแค่กาฝากที่อาศัยร่างกายข้าเติบโตเท่านั้นแหละ”

โซแวนเบิกตากว้างและก้มหน้านิ่งกัดฟันกรอด  เขากำหมัดทั้งสองแน่น  แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร  ท่านลูซิฟรานก็ยกมือขึ้นแตะที่แผงอกของอีกฝ่ายแล้วบอกว่า  “แต่ในฐานะคนที่เลี้ยงดูเจ้ามา  เจ้าเองก็ถือเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง”

เขาเงยหน้าด้วยความตกใจ  ดวงตาของท่านลูซิฟรานนั้นจริงจังจึงแน่ใจได้ว่าเรื่องที่พูดไม่ใช่การโกหกเพื่อเอาใจ

“แต่ข้าถูกเกลียดชังมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว  กว่าที่เจ้าจะเติบโตขึ้น  ข้าก็ลืมไปหมดแล้วถึงวิธีการแสดงความรักนอกจากการร่วมเตียง  แถมยังคิดแค่ว่าให้เจ้าเป็นเครื่องมือขัดขวางลูซัส  ข้าจึงไม่สามารถให้ความรักแบบที่เจ้าต้องการได้หรอก”

ท่านลูซิฟรานละมือจากโซแวนก่อนจะบอกว่า  “เอาล่ะ  การทดสอบของเจ้าจะยังไม่เริ่มจนกว่าเจ้าจะสงบสติอารมณ์ได้  แต่เจ้า...ทีอารีน”

ข้าชะงักตามเสียงที่เรียกขึ้น  เขาขยับตัวแล้วบอกว่า  “ตามข้ามา”

ท่านลูซิฟรานเดินเข้าไปยังประตูด้านหลังห้องโถงฝั่งซ้าย  ข้าคิดจะเดินตามไปในทันทีแต่ก็อดห่วงโซแวนไม่ได้  พอหันไปก็เห็นเขายืนนิ่ง  อีกฝ่ายนั้นหลับตาก้มหน้าหนีแล้วเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ

“แม้แต่ตอนนี้...ท่านก็ไม่เลือกข้า”

ข้านิ่งไปพักหนึ่ง  โซแวนที่เป็นแบบนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเท่าไร  และยังกังวลว่าคำพูดเหล่านั้นและความคิดของเขาที่มีต่อท่านลูซิฟรานจะทำให้เขาได้รับอันตราย  แต่ไม่รู้ว่าคำปลอบใดดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้

เขายังคงนิ่งเงียบ  ข้าจึงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้ววิ่งกลับไปกอดเขาทีหนึ่ง  โชคดีที่ไม่ถูกสะบัดออกมา  เมื่อสองแขนโอบกอดตัวเขาจนแน่นพอจึงได้กล้าพูดขึ้นว่า  “ข้าอยู่ข้างเจ้านะ  ทั้งเร็น...ทั้งทุกคนก็อยู่ข้างๆ  เจ้า”

โซแวนไม่ได้พูดอะไรออกมา  อาจจะเพราะยังตกใจ  ข้าละกอดจากเขาแล้วส่งยิ้มก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า  “แล้วเจอกันนะ”

จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปในประตูฝั่งซ้าย  เมื่อข้ามพ้นผ่านเขตประตูมันก็ปิดลง  ในห้องนั้นทั้งพื้นและกำแพงเป็นหินอิฐทั้งหมด  และไม่มีสิ่งใดอยู่  ท่านลูซิฟรานยืนอยู่ตรงกลางแต่ตอนนี้ราวกับว่าเขามีร่างเนื้อขึ้นใหม่

“ล่ำลากับโซแวนอยู่หรือไง  ถึงช้าแบบนี้”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะยืนดาบเล่มหนึ่งมาให้  “แต่ก็ดี  ยังไงซะเจ้าก็คงให้ความรักกับเจ้านั่นได้ดีกว่าข้า”

“ท่านนี่เป็นพ่อที่แย่จริงๆ”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะหยิบดาบนั่นขึ้นมา  เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกระชับดาบในมือแล้วตั้งท่าต่อสู้ 

“เห็นด้วย  แต่ว่า...ข้าก็เป็นครูฝึกที่ดีคนหนึ่งนะ”  มุมปากของอีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นเสริมความน่าเกรงขามในตัวของท่านลูซิฟรานมากกว่าเดิม  “จะขอบอกสักหน่อย  หากเจ้าอ่อนแอเกินไป...ก็คงต้องขอให้นอนตายอยู่ที่นี่ละนะ”
-------------------
TBC
โซแวนผู้น่าสงสาร แต่ตอนต่อไปคงต้องให้กำลังใจฝ่าบาทแล้วล่ะค่ะ เรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
โซแวนขี้น้อยใจ พระเอกเปล่านิ

ขอบคุณที่มาต่อค่ะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 27
การทดสอบของทั้งสอง

ในวิหารโบราณเหลือเขายืนอยู่เพียงผู้เดียว  โซแวนนิ่งค้างไปหลายนาทีแม้ทีอารีนจะเข้าไปในประตูนานแล้วก็ตาม  อ้อมกอดนั้นพอจะเรียกสติกลับมาได้บ้าง

ใช่แล้ว...ตอนนี้เขามีพวกพ้อง  มีคนที่อยู่เคียงข้างได้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ  ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นเดินเข้าไปในประตูที่เปิดรอรับอยู่  ในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงข้างๆ  กำแพง

โซแวนยืนนิ่งและระวังตัวรอบด้าน  มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาแต่ไม่สามารถจำแนกออกว่าจากทิศทางใดเพราะเสียงสะท้อนก้องไปหมด  น่าแปลกยิ่งกว่าคือตาสัตว์ของเขากลับใช้การได้ไม่ดีในนี้  ความมืดที่อยู่รอบๆ  ราวกับเป็นม่านสีดำกั้นไว้จนมองเห็นอะไรไม่ชัด

“นี่...”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมสัมผัสที่แขน  ฉับพลันนั้นโซแวนรีบสะบัดออกทันทีแล้วหันกลับไปก่อนที่จะเบิกตากว้าง

“เจ้าตกใจอะไรขนาดนั้น?  โซแวน”  อีกฝ่ายตั้งคำถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น  เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจนโซแวนจึงลดความระแวงลงเปลี่ยนเป็นความแปลกใจแทน 

“ทีอารีน  ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”  อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้างุนงง  “พอท่านลูซิฟรานมอบพลังมาให้ก็ถูกย้ายมาที่ห้องนี้เลย”

ตรงหน้าโซแวนคือทีอารีนที่ยังคงงุนงงอยู่  เด็กหนุ่มหันไปมองรอบๆ  ก่อนจะถามว่า  “เจ้าได้รับการยอมรับหรือยัง”

“ยอมรับ?”

“จากท่านลูซิฟรานไง  หรือว่าเขายังไม่มาเจอเจ้าอีก”  ทีอารีนถามขึ้นทำให้โซแวนชะงัก  คำพูดนั้นราวกับเข็มทิ่มแทงใจ 

เมื่อเห็นเขาไม่ตอบทีอารีนก็เดินเข้ามาใกล้แล้วปลอบขึ้น  “อย่าเศร้าใจไปเลย  ถึงเขาจะไม่รักเจ้า  แต่เจ้ายังมีข้าอยู่”

เรียวแขนขาวยกขึ้นโอบล้อมคอเขาไว้  ใบหน้าเยาว์วัยนั้นประดับรอยยิ้มชวนน่าค้นหาก่อนที่จะออกแรงโน้มเขาให้เข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า  แล้วแลกเปลี่ยนจูบซึ่งกันและกัน

จูบนั้นหวานล้ำแต่โซแวนกลับรับรู้ถึงความผิดปกติ  สองมือจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้บีบแน่นและผลักออก  ดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและแสดงความเจ็บปวดออกมาเด่นชัดเพราะเขาไม่ออมแรงให้  “ทำอะไรน่ะ  มันเจ็บนะ”

“เจ้าเป็นใคร  คิดว่าทำแบบนี้แล้วข้าจะไม่รู้เหรอ”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นเสียงขุ่น  แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ระบายยิ้มแล้วสะบัดมือเดินถอยห่างออกมา

ตรงหน้าเขาคือทีอารีนตัวปลอม  พอเข้ามาใกล้แล้วกลิ่นผิดแปลกยิ่งชัดเจน  และโซแวนก็มั่นใจได้ว่าตัวจริงนั้นจูบไม่เก่งแบบนี้

“แย่จัง  ความลับแตกแต่แรกแบบนี้ไม่สนุกเลย”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะขยับเข้ามาใกล้  “เกลียดใช่ไหมล่ะ?”

“หะ?”  เขาขมวดคิ้วและเอนตัวถอยหลังกลับมา  เจ้าตัวปลอมแสยะยิ้มยกมือแตะหน้าอกของตัวเอง  และชี้ย้ำให้เห็นใบหน้าของทีอารีน 

“เกลียดใช่ไหมล่ะ  เด็กคนนี้น่ะ  เขาแย่งความรักจากเจ้าไปจนหมด  เห็นไหม...ลูซิฟรานรักเด็กคนนี้มากกว่าเจ้าเสียอีก”

คำพูดนั้นราวกับโซ่รัดตรึงหัวใจของโซแวน  เขาชะงักไปหลายนาทีท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอีกฝ่าย 

“นี่  ทำไมเจ้าไม่ฆ่าเขาล่ะ  ถ้าเจ้าฆ่าทีอารีน  ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเจ้า”

โซแวนสบตาอีกฝ่าย  มองดูใบหน้าที่เป็นทีอารีนก่อนจะเข้าใจบางอย่าง  ในความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวล  เขาก็เคยอิจฉาและเกลียดทีอารีนจริงๆ  แต่แน่นอนว่าแค่เคย...

“น่าเสียดายนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นในมือปรากฏดาบคู่ใจออกมา  เขาตวัดหนึ่งทีแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย  “เจ้าใช้แผนนี้ช้าไปนิดเดียวเอง”

อีกฝ่ายเบิกตากว้างก่อนที่จะกระโดดหลบคมดาบนั้น  พื้นที่ยืนอยู่เมื่อครู่แตกแยกออก  โซแวนยืนขึ้นเต็มความสูงต่อหน้าตัวปลอมที่ยังสับสน 

“หมายความว่ายังไง!?”

ทั้งอ้อมกอดที่ให้กำลังใจนั้น  และความรู้สึกที่ถูกส่งมอบมาทำให้โซแวนเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

“ข้าเพิ่งรู้ตัวเองว่ารักทีอารีนจนแทบคลั่งน่ะสิ”  คิเมร่าหนุ่มแสยะยิ้มออกมาก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีใส่อีกฝ่ายทันทีจนตัวปลอมนั้นต้องเรียกอาวุธออกมาป้องกัน  “เพราะฉะนั้นคงทนเห็นคนอื่นแอบอ้างเป็นเขาไม่ได้หรอก”

โซแวนตวัดดาบอีกครั้งโจมตีร่างปลอมที่ยังตั้งตัวไม่ทัน  ฟาดฟันไม่ยั้งก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงความร้อนสูง  เขาเบิกตากว้างก่อนที่จะรีบกระโดดออกมาขณะที่ตรงที่ยืนอยู่เมื่อครู่เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่น

ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โซแวนรีบกระโดดหลบออกมาจนถึงกลางห้อง  ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วก่อนที่มันจะจางหาย  ร่างของทีอารีนตัวปลอมหายไปแล้วเหลือเพียงลูกไฟสีฟ้าอ่อนที่ลอยอยู่  และรอบๆ  ตัวเขาก็เต็มไปด้วยลูกไฟเช่นเดียวกัน

พวกมันพากันลุกโหมขึ้นและกลายสภาพเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ซึ่งสวมใส่ชุดเหมือนชนชั้นสูง

“เราคือเหล่าจิตวิญญาณของคาร์ไลน์”  วิญญาณตรงหน้าโซแวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนก้อง  “เจ้าผู้มีสายเลือดปฐมกษัตริย์เอ๋ย  หากอยากได้พลังที่ยิ่งใหญ่ก็จงเอาชนะกษัตริย์เหล่านี้ให้ได้สิ”

สิ้นเสียง  วิญญาณทั้งหลายก็พุ่งเข้าหาโซแวนทันที  เขารีบยกดาบขึ้นฟาดฟันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมด

สิ่งที่อยู่รอบตัวโซแวนคือจิตวิญญาณของกษัตริย์ผู้เคยปกครองคาร์ไลน์มาเนิ่นนาน  เมื่อสวรรคตไปแล้วจิตแห่งการปกปักรักษาก็มาอยู่ที่นี่  เฝ้ารอวันคืนที่จะมอบพลังให้แก่ผู้ที่สามารถผ่านบททดสอบไปได้

“อึก!”  โซแวนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้หลังจากถูกวิญญาณกษัตริย์ดวงหนึ่งลอบฟันไหล่จากด้านหลัง  ชายหนุ่มรีบตวัดตัวหันกลับไปแล้วฟันดาบใส่ก่อนจะกระโดดหนีออกมาจากวง  เขากำจัดไปได้แล้วสาม...สามจากสี่สิบดวง  แถมยังเป็นสี่สิบดวงที่เปี่ยมไปด้วยพลังต่อสู้ล้นเหลือสมเป็นกษัตริย์คาร์ไลน์

และยิ่งเขาได้รับบาดเจ็บเท่าไร  มันก็จะแข็งแกร่งขึ้น  เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเพื่อหลอกล่อ  “ยอมแพ้ดีกว่าน่า  แล้วเจ้าจะได้กลับออกไปแต่โดยดี”

“ยอมแพ้เหรอ?  ไม่มีทางหรอก”  เขาแสยะยิ้มก่อนจะยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง  “มีคนที่รอข้ากลับไป  เพราะฉะนั้นข้าก็จะต้องกลับไปอย่างเต็มภาคภูมิ”

วิญญาณที่ตายไปแล้วสี่สิบดวง  หากให้เทียบกับที่ต้องสู้กับพ่อแท้ๆ  ของตนแล้ว  แค่นี้ไม่คณามือนัก  “ก็แค่วิญญาณสี่สิบดวง  ข้าจะส่งไปสู่สุคติให้หมด!”

การทดสอบของประตูแห่งอำนาจนั้นคือการต่อสู้กับเหล่ากษัตริย์ของคาร์ไลน์ที่สืบทอดพลังต่อๆ  กันมา  แม้ว่าทีอารีนจะเป็นกษัตริย์คนที่  42  แต่ก็ยังไม่ถือว่าจะผ่านในทันที  เขาเองก็ต้องได้รับการทดสอบ  และบททดสอบของเขาก็คือการสู้กับปฐมกษัตริย์  ผู้มีพลังมากกว่ากษัตริย์ทั้งสี่สิบคนที่โซแวนกำลังต่อสู้อยู่อย่างเทียบไม่ติด

ตูม! ตูม! ตูม!

ทางด้านของทีอารีนเองก็เพิ่งหลบโซ่เวทมนตร์ที่มีอานุภาพระเบิดพื้นที่มันพุ่งเข้าใส่จนระเบิดออกได้พ้น  เด็กหนุ่มกลิ้งขลุกอยู่บนพื้นก่อนที่จะคว้าคทามาถือไว้อีกครั้ง  ตรงหน้าปรากฏร่างของลูซิฟรานที่ลอยลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

“ว้า  น่าเสียดายจัง  เมื่อกี้ถ้าหลบไม่พ้นจะเป็นการตายครั้งที่สามของเจ้านะ”

เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด  สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีความหมายตรงตัว  เขาตายไปแล้วสองครั้งเป็นความตายที่แสนเจ็บปวด  แต่ก็ฟื้นขึ้นมาได้  นั่นเพราะพลังผู้ถูกเลือกของเขาผสานกับพลังอมตะที่ลูซิฟรานมอบให้เมื่อครั้งถอนคำสาปทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว

แต่การตายมาแล้วสองครั้งนับว่าตัวเขายังแย่และอ่อนแอเกินไป  หนำซ้ำยังเสียพลังเวทไปมาก

ทีอารีนวาดคทาไปด้านข้าง  ลูกไฟน้ำแข็งก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้าโจมตีลูซิฟรานอีกครั้ง  อีกฝ่ายจึงลอยขึ้นเพื่อหลบ  เด็กหนุ่มตวัดคทาอีกครั้ง  รอบตัวเกิดวงเวทขนาดเล็กจำนวนมากและลำแสงสีทองก็พุ่งออกมาโจมตีไม่หยุด  เขาไม่อยู่เฉยและเริ่มออกวิ่งบ้างจึงสามารถหลบลูกไฟโจมตีของลูซิฟรานได้

ทีอารีนไม่ใช่สายต่อสู้โดยตรง  ที่ผ่านมานั้นก็มีแค่ใช้พลังรักษากับเพิ่มพลังให้คนอื่น  น้อยครั้งนักที่จะออกมาโจมตี  หากให้นับแล้วนี่อาจเป็นครั้งที่สองเห็นจะได้  เด็กหนุ่มกลิ้งหลบสายฟ้าขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงมาก่อนจะตวัดตัวกลับไปเผชิญหน้าลูซิฟราน  ปักคทาลงบนพื้นและสร้างวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกันลำแสงเวทยักษ์ที่พุ่งมาอีกรอบ

“อึก!”  ทว่าพลังนั้นรุนแรงเกินกว่าที่พลังเวทของเขาจะต้านไหวและพังไป  ร่างของทีอารีนกระเด็นไปติดกำแพง  เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้น  กระอักเลือดออกมาคำใหญ่  ตรงหน้าเขา  ลูซิฟรานกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมดาบเล่มหนึ่ง  เสียงถอนหายใจดังขึ้น

“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”  ลูซิฟรานตั้งคำถามขณะเงื้อดาบขึ้น  และเตรียมแทงลงมา  ทีอารีนเบิกตากว้างก่อนจะรีบยกคทาขึ้นป้องกัน

บททดสอบของเขาคือการเรียกประตูออกมาพร้อมๆ  กับที่สามารถโค่นลูซิฟรานลงให้ได้  แต่จนถึงตอนนี้ประตูแห่งอำนาจก็ยังไม่ตอบรับกับทีอารีน

“เจ้าสู้ไปเพื่ออะไร” 

คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงัก  แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น  ทีอารีนกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงผลักลูซิฟรานออกไป

สู้ไปเพื่ออะไร?  ใช่แล้ว  เขามาที่นี่ได้  มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเจตจำนงของตนเอง

เพื่อช่วยครีออน

เพื่อเป็นพลังให้แก่ผู้ที่เคารพเขา

เพื่อปกป้องทุกคน

และในตอนนี้มีคนที่เขาต้องไปรอรับอยู่ 

“ข้าจะ...ไม่ยอมแพ้ท่านเด็ดขาด!”  ทีอารีนกำคทาแน่น  สูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะปักคทาลงบนพื้นอีกครั้งเพื่อเรียกมหาเวทออกมา  ด้านหลังของเขาเกิดวงแหวนเวทขึ้นมากมาย  ลูซิฟรานเห็นดังนั้นจึงอดแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาไม่ได้

“ดีนี่  แบบนั้นแหละ” 

ลูซิฟรานหัวเราะขึ้นก่อนจะวาดมือทั้งสองออกไปด้านข้าง  วงเวทมากมายก็เกิดขึ้นด้านหลังของเขาเช่นเดียวกัน  ทั้งคู่ไม่มีใครคิดถอยและทุ่มให้กับการโจมตีนี้จนหมดหน้าตัก  โดยเฉพาะทีอารีนที่สละเวทที่แบ่งไว้ป้องกันตัวเองมาเพิ่มพลังให้กับมหาวงเวท  ทุ่มพลังที่มีทั้งหมดให้กับการโค่นอีกฝ่าย

เมื่อวงเวทสะสมพลังเรียบร้อยแล้วจึงปลดปล่อยออกมา  เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วเมื่อพลังของทั้งสองเข้าปะทะกัน  ทั่วห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด

คทาของทีอารีนแหลกสลายลงไปแล้วแต่เขาไม่ยอมแพ้  ใช้เพียงมือทั้งสองฝืนรับพลังไว้  ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องทุกคนทำให้แรงใจของเขาเพิ่มขึ้น  และถ้าหากไม่สามารถโค่นลูซิฟรานลงได้ก็ไม่สามารถจัดการลูซัสได้

เหนือวิหารขึ้นไปบนท้องฟ้า  เกิดเสียงดังครืนขึ้นเจือมาด้วยเสียงกระดิ่งก้องกังวาน  ประตูสีขาวบานยักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางการจับตามองของทุกคน

สัญญาณการตอบรับจากประตูเริ่มต้นขึ้น

“ดีมาก”  เมื่อการโจมตีครั้งใหญ่ของทั้งสองจบลง  ลูซิฟรานก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ร่างวิญญาณนั้นกำลังสลายไป  “จงทำตามเจตนารมณ์ของเจ้าเถิด  แล้วประตูจะมอบพลังอันมีค่าให้แก่เจ้า  ลูกหลานของข้า”

นั่นคือคำแนะนำของอีกฝ่าย  ก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปจนหมด  คำสั่งเสียสุดท้ายก็ดังขึ้น  “ฝากลาโซแวนแทนข้าด้วยล่ะ  ขอให้พวกเจ้าโชคดี”

“...ขอรับ”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นแม้จะยังรู้สึกเหนื่อยหอบ  เด็กหนุ่มพยายามหยุดร่างที่โงนเงนของตนให้ตรงก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “ข้าจะ...ปกป้องโลกใบนี้ให้ได้”

ลูซิฟรานยิ้มส่งทิ้งท้ายก่อนที่จะหายไปเพื่อกลับสู่สรวงสวรรค์อีกครั้ง  เมื่อทุกอย่างสงบลงทีอารีนก็ทรุดตัวลงกับพื้น  หอบหนักยิ่งกว่าเมื่อครู่  การโจมตีสุดท้ายเขาทุ่มเทพลังทั้งหมด  ตอนนี้ร่างกายไม่มีเวทหล่อเลี้ยงจึงรู้สึกกระหายขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”  เสียงคุ้นหูดังขึ้น  เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอโซแวนกำลังเดินเข้ามาใกล้  ทีอารีนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า 

“ไม่ไหว  พลังเวทหมดแล้ว”

“เจ้าฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่า”  ชายหนุ่มตั้งคำถามก่อนจะเข้ามาใกล้  สภาพของทีอารีนนั้นเรียกได้ว่าอ่อนปวกเปียกอย่างแท้จริง  เพราะที่ผ่านมาเด็กคนนี้ใช้พลังเวทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีสภาพเช่นนี้

เด็กหนุ่มหอบหายใจแรง  ใบหน้าแดงระเรื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “เจ้าไม่ได้เสียพลังเวทไปมากใช่ไหม”

“แทบไม่ใช้เลยมากกว่า”  โซแวนตอบตามความจริง  เขาใช้ทักษะด้านกายภาพมากกว่าเวทจริงๆ

เมื่อได้ยินดังนั้นทีอารีนจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับแก้มของโซแวนแล้วโน้มเข้ามาใกล้  อีกฝ่ายนั้นตกใจเล็กน้อยแล้วยอมถูกจูบแต่โดยดี  คราวนี้เขาจึงแน่ใจว่าตรงหน้าคือทีอารีนอย่างแน่นอน  เพราะถึงแม้จะเป็นจูบที่ตะกละตะกลามเพียงใดแต่ทักษะนั้นห่วยสมกับเป็นเด็กไร้ประสบการณ์

รสจูบนั้นหอมหวานและให้ความรู้สึกลึกล้ำ  โซแวนเป็นฝ่ายตวัดลิ้นไล่จูบอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องขณะกดอีกฝ่ายลงนอนบนพื้น  เด็กหนุ่มกำเสื้อแน่นทำให้เขาถอนจูบออก

“สีหน้าดีนี่”  โซแวนยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ  ทีอารีนไม่อาจปิดบังสีหน้าขัดเขินของตัวเองได้  แม้จะได้รับจูบไปแต่พลังของเขายังไม่คืนกลับมา

“ยัง...ไม่พอ”  ทีอารีนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า  โซแวนได้ยินดังนั้นจึงโน้มตัวลงมาใกล้แล้วกระซิบถาม 

“ถ้างั้นให้ข้ามอบพลังให้มากกว่านี้ไหม...”

นิ้วมือเรียวลูบไล้ลงมาตามทรวดทรงจนหยุดลงที่ส่วนน่าอาย  “ถ้ามีเพศสัมพันธ์กันจะช่วยเพิ่มพลังให้เจ้าเร็วขึ้น”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง  อยากจะร้องห้ามแต่ร่างกายของเขาตอนนี้มันย่ำแย่ลงถ้าไม่ได้รับพลังเวทเพียงพอ  แต่ก็ยังต้องการถามเพื่อความแน่ใจ  “เจ้าจะทำงั้นเหรอ?”

“แน่สิ  ถูกเจ้าจูบขนาดนั้นมีใครจะทนไว้”  โซแวนตอบอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะเลิกเสื้อของทีอารีนขึ้นเผยให้เห็นร่างกายที่ปิดซ่อนไว้  “ถ้าเจ้าไม่ห้ามตอนนี้ข้าจะไม่หยุดมือแล้วนะ”

ชายหนุ่มสบตากับอีกฝ่าย  ไม่มีเสียงร้องห้ามออกมานับว่าเป็นการเชิญชวน  สำหรับคนที่ต้องการพลังเวทอย่างรวดเร็ววิธีนี้ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว

บนผิวเนื้อเนียนขาวนั้นปรากฏรอยแผลเป็นจากการถูกเฆี่ยนตีนับสิบแผล  แม้จะจางลงตามกาลเวลาแต่ยังติดตรึงอยู่  ชี้ชัดให้เห็นถึงความทรมานที่เด็กคนหนึ่งเคยข้ามผ่านมา 

“นี่  แค่ตอนนี้  ลืมไปให้หมดทุกสิ่งอย่าง...ความทรมานทั้งหมดที่เจ้าแบกรับไว้”  โซแวนกระซิบขึ้นข้างหูอีกฝ่ายก่อนที่จะขบกัดเบาๆ  หนึ่งครั้งแล้วเลื่อนลงมาต่ำลงเรื่อยๆ  ประทับจูบลงบนรอยแผลทุกแผลอย่างอ่อนโยน

“ฮึก...”  ทีอารีนสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกขบที่หน้าอกทำให้เกิดความเสียวซ่าน  ภูษาด้านล่างถูกปลดออกจนหมดเผยให้เห็นส่วนน่าอายที่ตื่นตัวอยู่  โซแวนไม่พูดพร่ำทำเพลงถอดชุดของตัวเองออกและจัดการให้อีกฝ่ายซึ่งไม่มีประสบการณ์  ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นเกร็งด้วยความกังวลจนเขารับรู้ได้

“ไม่ต้องกลัว  ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า”  โซแวนพูดปลอบด้วยรอยยิ้มขณะเลื่อนมือลงต่ำไปที่ช่องทางด้านหลัง  เพราะทีอารีนไม่เคยทำอะไรแบบนี้เขาจึงต้องเตรียมพร้อมให้อีกฝ่ายด้วยนิ้ว

“อ๊ะ...”  เสียงกระเส่าหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่พยายามสะกดกลั้นเสียงไว้แม้จะรู้สึกดีมากเท่าไรก็ตาม  เพราะตัวเขายังเขินอาย  แต่การทำแบบนั้นโซแวนรู้ดีว่ามันทรมานและค่อนข้างทำให้เขาเสียอารมณ์จึงใช้มืออีกข้างง้างปากออก 

“ไม่ต้องกลั้นสิ  ร้องออกมาให้เต็มที่เลย”

“บ้าสิ”  แต่ทีอารีนดันต่อว่ากลับมาเพราะยังไม่กล้า  โซแวนกระตุกยิ้มก่อนที่จะถอนนิ้วออกเมื่อร่างกายของอีกฝ่ายพร้อมแล้ว  ชายหนุ่มโน้มตัวลงจูบที่ริมฝีปากเด็กหนุ่มเบาๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ไม่ต้องห่วง  เพราะต่อจากนี้เดี๋ยวเจ้าก็อยากร้องออกมาเอง”

เขาจับขาทั้งสองข้างของทีอารีนแยกออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอย่างช้า  เด็กหนุ่มตัวสั่นเกร็งด้วยความเจ็บเป็นความเจ็บปวดที่ปนไปด้วยความสุข  เสียงครางหวานหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่กับการร่วมรักครั้งนี้  แม้ช่วงแรกนั้นโซแวนพยายามอ่อนโยนกับเขา  แต่ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้ชายหนุ่มมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้  และกระทำรุนแรง  ขบกัดตามร่างกายด้วยตัณหา  ลุ่มหลงไปในความสุขของกามารมณ์  เพื่อครอบครองร่างกายนี้ไว้แต่เพียงคนเดียว

ทีอารีนเองก็ไม่ได้ขัดขืน  เป็นความยินยอมแต่แรก  หนึ่งคนที่วารันดูออกนั้นก็คือคนตรงหน้านี้  เขาตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัวและกลายเป็นความโหยหา  คนที่จงใจเริ่มชักชวนก่อนก็คือเขา  และยอมตามมาโดยตลอด  ลืมทุกความทรมานที่แบกรับไว้

แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทีอารีนไม่สามารถสะบัดออกจากหัวได้

หากเขามีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว  ครีออนจะตัดใจได้หรือเปล่า...เขาอยากให้เด็กคนนั้นมีความสุข  มีความสุขกับคนที่รักครีออนอย่างแท้จริง

...

ห่างออกไป  ปราสาทคาร์ไลน์ยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบยิ่งกว่าทุกที  บัดนี้มีห้องห้องหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้ยกเว้นก็แต่ลูซัส  ห้องนั้นมีเพียงแสงเทียนจากตะเกียงที่ให้ความสว่างสลัวๆ  ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง  เช่นเดียวกับลูซัสที่ยืนอยู่ที่ระเบียง  สายตาจับจ้องไปยังจุดที่เคยมีประตูสีขาวซึ่งแสดงออกมาครู่หนึ่งก่อนจะหายไป

ร่างสูงกระตุกยิ้มก่อนจะหันมาหาเด็กหนุ่มที่นั่งเก้าอี้อยู่  “ฝ่าบาท  ถึงเวลาที่ท่านจะออกโรงแล้วขอรับ”

ครีออนไม่ได้พูดอะไรแต่การลุกจากเก้าอี้คือสัญญาณตอบรับ  รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยควันสีดำลอยเอื่อยอยู่รอบๆ  บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากตัวเขา  ดวงตานั้นราวกับไร้ซึ่งชีวิตพอๆ  กับใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา  เด็กหนุ่มจับดาบราชาที่อยู่บนโต๊ะมาเหน็บไว้ข้างเอวก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไปกันเถอะ”

“น้อมรับคำสั่งขอรับฝ่าบาท”  ลูซัสโค้งตัวลงน้อมรับคำสั่งของอีกฝ่าย  แล้วเดินตามหลังไป  ใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้นแสยะยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีใครเห็น

-----------------
ฝั่งตัวร้ายออกโรงแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ชอบวิธีมอบพลัง 555

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  28
จงลงดาบนั้นเสีย
“นี่ข้า...ทำอะไรลงไป”

เป็นคำแรกที่ข้าเริ่มเอ่ยขึ้นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าหลังจากได้สติ  แม้ว่าข้าจะไม่สามารถหลับได้ก็จริง  แต่เมื่อครู่นี้ก็ราวกับตนเองไม่มีสติจริงๆ  ถึงจะไม่ได้รังเกียจแต่ก็รู้สึกอายขึ้นมา

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเมื่อจอมเวทสูญเสียพลังจนถึงจุดอันตรายก็จะเกิดอาการกระหายจนไม่มีสติ  ต้องการจะสูบพลังคืนมาให้เร็วที่สุดโดยไม่เลือกวิธีการ

แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่มีสติจนทำอะไรเตลิดแบบนี้!

“ถ้ารออีกสักพักพลังเวทก็คงฟื้นกลับมาแล้วแท้ๆ”  ข้าปิดหน้าพึมพำขึ้นอย่างละอายใจ  พยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ยังสลัดไม่ออกจากหัว

“ถึงขั้นนี้ไม่ต้องเขินอายแล้วน่า”  โซแวนเอ่ยเสียงราบเรียบขณะลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย 

“อย่างน้อยก็ให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ”  ข้าเอ่ยกลับไปในสิ่งที่ต้องการ  อย่างน้อยการนอนร่วมรักกันก็ต้องเป็นความยินยอมทั้งสองฝ่ายสิ

“หืม?  แต่คนที่เรียกร้องมาก่อนก็คือเจ้านะ”  เขาหยอกเย้ากลับมาเสียงเรียบ  แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั้นทำให้ข้าถึงกับสะอึกแล้วรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม  จริงๆ  ตอนที่ได้สติขึ้นมานั้นก็เห็นโซแวนกำลังเช็ดทำความสะอาดให้ข้าอยู่  แต่เขากลับไม่ยอมสวมเสื้อผ้ากลับให้ข้าสักชิ้น

“ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?”  เขาถามขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่ด้านหลัง 

ข้านิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อตรวจดูอาการของตัวเองก่อนจะตอบ  “ไม่เป็นอะไรแล้ว  ไม่เจ็บตรงไหน”

“เวทฟื้นฟูของเจ้าดีกว่าที่ข้าคิดนะ  เราเพิ่งทำกันเสร็จไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วเอง  ครั้งแรกเห็นว่าจะเจ็บระบมเอามากๆ  แต่เห็นเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”  โซแวนยังไม่หยุดพูดเรื่องนั้นแม้จะรู้ว่าข้าอาย  หนำซ้ำยังยกมือขึ้นมาโอบเอวไว้แล้วกระซิบขึ้นข้างหู  “งั้นก็ทำครั้งที่สองต่อได้น่ะสิ”

“หยุดเลยนะ  เจ้าบ้า”  ข้ารีบร้องปรามก่อนที่จะเลยเถิดไปกันใหญ่พร้อมกับผลักตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา  ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ดีเท่าไร  “โซแวน  เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เจ้าสูบพลังข้าไปเยอะ  เลยเพลียนิดหน่อยน่ะ”  เขาพึมพำขึ้นพลางถอนหายใจ  แม้ว่ามันจะดูคล้ายกับพูดเล่น  แต่นั่นย่อมเป็นความจริงที่โกหกไม่ได้  ข้าคงเผลอสูบพลังของเขามาเยอะเกินไป

“ไหวหรือเปล่า?”  ข้าถามย้ำขณะเดินเข้าไปใกล้  ยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ  แต่กลับถูกดึงตัวเข้าไปกอดแน่น

“อ๊ะ...นี่”

“ขอพักสักครู่หนึ่งสิ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะซุกหน้าลงบนไหล่ของข้าแล้วนิ่งอยู่แบบนั้น  ข้าเองก็ทำตัวไม่ถูกเลยปล่อยไปเลยตามเลย  ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เป็นอะไรหรือเปล่า”  ข้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากยืนเกร็งอยู่พักหนึ่ง 

เขาเงียบไปสักพักก่อนจะถามกลับ  “เจ้าได้รับพลังของประตูแห่งอำนาจแล้วใช่ไหม”

“ใช่  แล้วเจ้าล่ะ”

“ไม่รู้สิ”

“หา?”  ข้าขมวดคิ้วให้กับคำตอบของเขาแล้วละกอดจากเขา

สีหน้าโซแวนดูมีความสับสนก่อนที่เขาจะบอกว่า  “ข้าไม่รู้สึกถึงพลังอะไรเลย”

“ทำไมล่ะ  ทีข้ายังรับรู้ได้เลยนะ  ตอนที่สู้กับท่านลูซิฟรานสำเร็จ”  ข้าเองก็เป็นฝ่ายสับสนด้วย  แม้จะไม่ชัดเจนจนเป็นรูปร่าง  แต่ร่างกายย่อมรับรู้ได้ถึงพลังเวทใหม่ที่เข้ามา  ข้ารับรู้ถึงพลังของประตูแห่งอำนาจได้  โซแวนที่ถูกวางตัวไว้ก็น่าจะได้รับเหมือนกัน

เขาเงียบไปสักพัก  ก่อนที่จะพึมพำบางอย่างขึ้นมา  “ผู้ถือประตูทั้งสองคน...พลังจะถ่ายทอดไปสู่คนอื่นได้ก็ต่อเมื่อสิ้นชีพ...”

“หากเจ้าได้รับพลังจากลูซิฟรานแล้วก็หมายความว่าข้าก็ต้องได้รับพลังจากอีกคนหนึ่ง...และอีกคนที่ว่าก็คือเจ้าใช่ไหม  ผู้วิเศษ”  ดวงตาของโซแวนไปจดจ้องอยู่ที่ด้านหลังของข้าแทน  เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้วิเศษที่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะชมขึ้น  “ถูกต้อง  เพราะข้ายังอยู่เจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ทำอะไรกับประตู  เข้าใจง่ายดีนี่”

“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร?” 

ข้าเดินไปหาและถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาหันมาหาก่อนจะบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า  “ไม่ต้องห่วงขอรับ  มาหลังจากที่ท่านกับโซแวนร่วมรักกันเสร็จแล้ว”

ฉับพลันนั้นหน้าข้าถึงกับชาวาบ  มือทั้งสองข้างตรงเข้ากระชับที่คอของเขาทันที  “บอกข้าสิว่าเจ้าไม่ได้แอบดู!”

“วางใจได้  ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก”  เขาตอบขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

“แล้วที่สู้กับราชาของคาร์ไลน์เมื่อครู่นี้คืออะไร?”  โซแวนถามขึ้น  “เมื่อกี้ไม่ใช่การทดสอบหรอกหรือ?”

“เป็นหนึ่งในการทดสอบขอรับ  เพราะผู้ที่จะถือครองประตูได้นั้นจะต้องสัมผัสกับศาสตราเทพเจ้าได้เสียก่อน  ปัจจุบันมีเพียงกษัตริย์ของคาร์ไลน์เท่านั้นที่ทำได้  เพราะฉะนั้นการทำให้สิทธิ์ขั้นต้นของเจ้าสมบูรณ์ก็ต้องได้รับการยอมรับจากวิญญาณกษัตริย์เสียก่อน”  ผู้วิเศษอธิบาย 

นั่นหมายความว่าโซแวนยังไม่เข้าบททดสอบจริงๆ  แล้วบททดสอบจริงๆ  จะเป็นแบบไหน?

“แล้วเขาต้องทำอะไรต่อล่ะ?”  ข้าถามขึ้น  ผู้วิเศษเมื่อหันมาหาข้าอีกรอบก็ยกยิ้ม  ก่อนจะยื่นมือมาแตะแก้มของข้า  ในช่วงที่กำลังมึนงงอยู่นั้น  ผู้วิเศษก็เริ่มหยิกแก้มของข้า

“ถึงจะดีใจที่ท่านสามารถผ่านการทดสอบของลูซิฟรานก็เถอะ  แต่เล่นใช้  ‘มหาเวท’  แบบนั้นมันอันตรายนะขอรับ”  เขาตำหนิก่อนจะปล่อยแก้มของข้าแล้วถอนหายใจออกมา  ยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองของข้าอีกครั้งแล้วเตือนว่า  “คราวหน้าอย่าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าอีกนะขอรับ  ครั้งนี้ท่านแค่สูญเสียพลังเวทไปเกือบหมด  แต่ปัญหาร้ายแรงของมันไม่ได้หมดแค่นั้น  ท่านอาจจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปเลยก็ได้ถ้าฝืนใช้อีก”

“เข้าใจแล้ว  ข้าจะพยายามมันใช้อีก”  ข้ารับปากขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบแก้มที่โดนหยิกจนแดง

“ไม่ใช่จะพยายาม  ต้องไม่ใช้เด็ดขาด”  ผู้วิเศษท้วงขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังทำให้ข้าชะงักแล้วยอมพยักหน้าตกลง

“ได้  ข้าจะไม่ใช้อีก”

“เชิญฝ่าบาทพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ  ข้ามีเรื่องจะพูดกับโซแวนก่อน  ไม่ทราบว่าจะขอไปตรงนู้นกันแค่สองคนได้หรือไม่”  ผู้วิเศษดันข้าลงนั่งกับโขดหินแล้วขออนุญาต  ท่าทีแปลกใจของโซแวนทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้เรื่องนี้ด้วย  แต่ดูท่าจะเป็นเรื่องสำคัญข้าเลยไม่คัดค้าน

“ได้สิ”

“ขอบพระคุณฝ่าบาท”  เขายกยิ้มขึ้นแล้วจับมือทั้งสองข้างของข้าไว้  “จงแข็งแกร่งขึ้น.มากขึ้นและมากขึ้นนะขอรับ”

ข้าขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา  แต่ยังไม่ทันถามอะไรผู้วิเศษก็ผละจากไปพร้อมกับโซแวน  ข้าเลยต้องนั่งรออยู่ที่โขดหินเพื่อพักฟื้น  ทว่าครู่หนึ่งกลับรู้สึกผิดแปลก

ข่ายเวทที่ป้องกันวิหารไว้อยู่กำลังสั่นคลอน  ข้ารีบยันตัวลุกขึ้นแต่กลับช้าไป  เมื่อตรงหน้าปรากฏร่างของคนที่คุ้นเคยขึ้น  ข้ารีบผลักตัวเองไปด้านหลังแต่ไม่ทันและล้มลงไปเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าคอไว้

“ไม่ได้เจอกันนานนะ  องค์ชาย”  ลูซัสแสยะยิ้มน่าขนลุกขึ้น  แม้ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่กลับดูเย็นยะเยือกจนน่าหวาดกลัว  ข้าพยายามแกะมือของเขาออกจากลำคอแต่ไม่ได้ผล

“อึก...ปะ...ปล่อยข้า”

“ไม่ได้หรอก  ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังกลางป่าแบบนี้เป็นอันตรายนะ  รู้ไหม”  เขาแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะออกแรงกระชากข้าให้ลุกขึ้น  และพันธนาการด้วยโซ่ไว้

“แต่ถ้าต้องอยู่กับเจ้า  ข้าขออยู่คนเดียวดีกว่า”  ข้าสวนกลับไปขณะใช้เวทคลายมนตร์โซ่  แต่เพราะพลังยังไม่ฟื้นตัวดีเลยไม่สามารถทำได้  ลูซัสหัวเราะเย็นๆ  ออกมาก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างตรึงข้าเอาไว้ 

“เอาล่ะ  เดี๋ยวข้าจะพาไปดูอะไรดีๆ  เอาไหม”

ข้าเบิกตากว้างด้วยความสับสน  ขณะนั้นเองที่ลูซัสใช้พลังเคลื่อนย้ายโผล่มาในสถานที่แห่งหนึ่ง  ยังคงเป็นป่าต้องห้ามส่วนลึก  ตรงหน้ามีร่องรอยการต่อสู้อยู่  ทุกอย่างดูเงียบชะงักลงก่อนที่เสียงของผู้วิเศษจะดังขึ้น

“ฝ่าบาท!?  เจ้า...ลูซัส”  ผู้วิเศษทำท่าจะวิ่งเข้ามาหา  ทว่ากลับถูกใครบางคนโผล่เข้ามาขวางแล้วฟาดดาบใส่เขาอย่างรวดเร็วโชคดีที่สามารถป้องกันไว้ได้  แต่ตัวของเขานั้นก็ไถลจนไปอยู่ข้างๆ  โซแวน

ผู้ที่โผล่มายืนตรงหน้าทำให้ข้าเบิกตากว้างแล้วเผลอตะโกนเรียกออกมา  “ครีออน!”

น้องชายของข้าเหลือบสายตามามอง  ในดวงตาที่เยือกเย็นคล้ายกับอยู่อย่างโดดเดี่ยวและตัดขาดจากทุกสิ่งทำให้ข้าชะงักไป

นี่ไม่ใช่น้องชายที่ข้ารู้จัก...แต่เป็นครีออนจริงๆ  เขาที่เปลี่ยนไปมาก

“ไม่เลวเลยนี่  คิดจะมาหาสถานที่ที่ห่างตาจากเขา  แต่ว่านะ...อย่าคิดว่าข้าเดาความคิดของเจ้าไม่ออกล่ะ”  ลูซัสเอ่ยขึ้นกับผู้วิเศษ  ก่อนจะขยับมือที่ปรากฏมีดเล่มเล็กขึ้นมาใกล้ลำคอของข้า  “วางใจเถิด  รอบนี้ข้าเป็นแค่คนดูเท่านั้น”

“ปล่อยเขาซะ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ 

แต่ลูซัสกลับไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “ฝ่าบาท  เชิญทำตามที่ท่านต้องการเถิด”

“ไม่ต้องมาสั่งข้า”  ครีออนสวนกลับไปเสียงเรียบ  ก่อนจะกระชับดาบในมือ  ซึ่งทำให้ข้าอดกังวลใจไม่ได้เพราะมันคือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังทำลายล้างสูง  เขาย่อตัวลงก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีทั้งสองคน  ผู้วิเศษรีบกางเวทป้องกันก่อนที่โซแวนจะเรียกอาวุธของตนออกมาโจมตีสวนกลับ

ทั้งสองคนเข้าฟาดฟันกันโดยมีผู้วิเศษและลูซัสสนับสนุนฝ่ายของตนอยู่  แต่อาวุธของโซแวนนั้นไม่ได้ทนทานต่อพลังของศาสตราเทพเจ้าสักเท่าใด  ไม่กี่นาทีก็เริ่มร้าวและแตกออก  ผู้วิเศษต้องขยับเข้ามาช่วยขณะซ่อมแซมดาบของอีกฝ่ายไปด้วย  กลายเป็นสองคนรุมหนึ่ง

แต่ครีออนตอนนี้ไม่เหมือนกับคนที่ข้ารู้จักเลยสักนิด  เขาเยือกเย็นขึ้นคล้ายกับไร้หัวใจไปเสียแล้ว  รอบข้างเต็มไปด้วยไอมืดของการตกต่ำลง  แต่พลังของเขากลับแข็งแกร่งขึ้น  ทั้งยังได้กลิ่นของอสูรเข้มข้นขึ้น

ในตอนนี้แม้แต่ผู้วิเศษกับโซแวนเองยังมีสีหน้าตึงเครียด  แต่เดิมนั้นพวกเขาใช่ว่าจะรับมือลูซัสไม่ไหว  แต่ทว่าเมื่อมีครีออนมาช่วยตัวแปรกลับทำให้ผลลัพธ์อาจผันผวนไป

ทุกย่างก้าวและการตวัดดาบฟาดฟันของครีออนทำให้ข้ารับรู้ได้

เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว

“หากท่านสามารถโค่นผู้วิเศษลงได้  สิทธิ์ประตูแห่งอำนาจครึ่งหนึ่งจะเป็นของท่าน  ราชาครีออน”  ลูซัสเอ่ยขึ้นกับครีออน  นั่นทำให้ข้ารู้ถึงจุดประสงค์ของเขา  และเมื่อเงยหน้ามองคนที่จับกุมข้าไว้อยู่  เขาก็กำลังแสยะยิ้มออกมา

“ผู้ที่ถือครองทั้งสองประตูในคราเดียว  ข้าอดใจรอชมผลลัพธ์ไม่ไหวแล้วสิ”

นี่มันแย่มาก...แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องการถือประตูมากนัก  แต่การที่ได้รับสิทธิ์ประตูมาย่อมรับรู้ได้ว่าการถือครองนั้นมันใช้พลังมหาศาลและสูญเสียพลังกายไปมากเท่าไร  หากพลังเวทไม่แข็งแกร่งพอก็ยากที่จะต้านทานอำนาจที่คล้ายกับเครื่องประหารของประตูได้  เพราะเหตุนั้นผู้วิเศษถึงบอกให้ใช้ผู้ถือสิทธิ์สองคน

คนหนึ่งคนถือสิทธิ์สองประตู...แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันอันตรายเพียงใด

“อึก!” 

ขณะที่ข้ากำลังกังวลเกี่ยวกับคำพูดของลูซัส  โซแวนที่ผลัดเปลี่ยนการโจมตีครีออนต่อจากผู้วิเศษก็เสียหลักล้มไป  น้องชายข้าเตรียมง้างศาสตราเทพเจ้าขึ้นสูงเตรียมฟาดฟันลงมา  ผู้วิเศษเองก็อยู่ห่างเกินไปที่จะช่วยได้ทัน  หัวใจของข้าคล้ายกับหล่นวูบลงไปทันที

“ครีออน  หยุดเดี๋ยวนี้!!”  ข้าตะโกนออกไปทันทีเสียงสั่นเครือ  ทั้งจากความหวาดกลัวและความโกรธจนอยากจะร้องไห้ออกมา  “หยุดสักที!  พอได้แล้ว!!”

ร่างของครีออนชะงักไปคล้ายกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  โซแวนใช้จังหวะยันตัวลุกขึ้นแล้วถีบไปที่หน้าท้องของเขา  ใช้กำลังแย่งศาสตราวิญญาณมาอยู่ในมือสำเร็จ

ครีออนซวนเซจะล้ม  ใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมศีรษะคล้ายกับกำลังเจ็บปวด  ลูซัสเห็นดังนั้นจึงผละจากข้าไปประคองเขาไว้

ข้าที่พลังกลับมาจนสามารถคลายมนตร์โซ่ได้แล้วจึงรีบสลายมันออกแล้วหันไปทางพวกโซแวน  คิดจะวิ่งไปหาทว่าพวกเขากลับทำให้ข้าเบิกตากว้าง

โซแวนที่ได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาแล้วหันเข้าหาผู้วิเศษ  กระชับดาบแน่นและใช้มันโจมตีใส่อีกฝ่ายทันที

ฉึก!

เสียงนั้นไม่ได้ดังกังวานแต่มันกลับสะท้อนอยู่ในหูของข้าที่ยืนตัวแข็งค้าง  ภาพของผู้วิเศษที่ถูกโซแวนแทงหน้าอกจนทะลุไปด้านหลังกลายเป็นภาพติดตาที่ไม่อยากจะเชื่อ  ใบหน้านั้นไร้ความเจ็บปวดและคล้ายกับยอมรับชะตากรรมนี้

ข้าไม่เห็นใบหน้าที่ก้มนิ่งอยู่ของโซแวน  แต่ในวาระสุดท้ายของผู้วิเศษเขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ข้า  ดวงตาแสนวิเศษนั้นค่อยๆ  หลับลงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ  ที่มุมปากก่อนที่จะเอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมา

“หน้าที่ของข้าจบลงแล้ว  ลาก่อน...”

“ฮึก...ไม่!!” 

ร่างของผู้วิเศษกำลังเลือนหายไปพร้อมกับแสงสีทองที่ค่อยๆ  ออกมาจากร่างของเขาลอยขึ้นสู้ฟ้า  ข้ากรีดร้องเสียงดังลั่นขณะวิ่งไปหาเขา  พยายามคว้าเอาไว้อย่างไร้ความหมาย  สุดท้ายได้แต่ความว่างเปล่า

ข้าล้มลงนั่งกับพื้นข้างๆ  โซแวนที่ค้างอยู่ในท่าสังหารผู้วิเศษไปเมื่อครู่  เขายืดตัวขึ้นช้าๆ  ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า

เสียงก้องกังวานของกระดิ่งลมดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงอึกทึกที่มาจากการปรากฏตัวของประตูแห่งอำนาจ  มันกำลังตอบสนองต่อโซแวนซึ่งมีสิทธิ์ต่อจากผู้วิเศษ

ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้กัน...การรับสิทธิ์ต่อจากผู้ถือครองประตูนั้น  มีแค่การสืบทอดจากความตาย

ข้าได้รับสืบทอดจากท่านลูซิฟรานด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์  และหากต้องการให้โซแวนมาช่วยข้าถือครองประตูก็ต้องกำจัดผู้ถือประตูคนก่อน...ซึ่งก็คือผู้วิเศษ

ผู้วิเศษย่อมรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก  นั่นหมายความว่าเขายินยอมให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว  ตั้งแต่แรก...แต่ข้าไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อน

ทั้งโซแวนและผู้วิเศษต่างเป็นคนที่ข้า  ‘รัก’  แต่กลับต้องมาสังหารกันเองเพื่อสนับสนุนให้ข้าจบสงครามครั้งนี้ให้ได้

ความรู้สึกมากมายเอ่อล้นออกมาจากในอกจนทำให้ข้าหายใจไม่ออก  หยดน้ำมากมายไหลรินออกมาจนห้ามไม่อยู่  ข้าไม่กล้าแม้จะขยับไปไหน  ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาโซแวน

ข้ากลัว...กลัวที่จะเห็นใบหน้ายินดีกับพลังใหม่ของเขา  กลัวว่าจะเห็นใบหน้าที่ไม่ได้รู้สึกรู้สากับการตายไปของผู้วิเศษ  ข้าไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้สิ่งใด

กลายเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่อยากยอมรับความจริงในตอนนี้...

ข้าที่ได้ยินเสียงโซแวนสูดลมหายใจเข้าเจือมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ  ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงที่คล้ายกับกำลังสั่นอยู่

“แบบนี้...สาแก่ใจเจ้าหรือยัง...”

...

ช่วงก่อนหน้านั้น

“เป็นเรื่องที่พูดให้เขาฟังไม่ได้เหรอ”  เมื่อเดินห่างออกมาจนแน่ใจว่าทีอารีนจะไม่ได้ยินแล้วเขาก็เอ่ยถามขึ้น  ทำให้คนที่เดินนำอยู่หยุดชะงักแล้วหันมายิ้มให้

“ถูกต้อง”  ผู้วิเศษส่งสายตาชื่นชมให้  อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ยังคิดถึงทีอารีนมากกว่าใคร  “หากรู้ความจริง  เขาในตอนนี้จะต้องขัดขวางเป็นแน่”

โซแวนขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับด้วยความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี  “หมายความว่ายังไง  เจ้าจะส่งทอดประตูด้วยวิธีไหน”

“อย่างที่เจ้าเข้าใจ  ประตูจะถูกส่งผ่านเมื่อผู้ถือสัญญาสิ้นอายุขัยไป  หรือถ้าจะให้พูดให้เข้าใจ”  ผู้วิเศษกล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้  ยกมือแตะหน้าอกของตัวเองไว้แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ฆ่าข้าซะ”

“อย่าพูดบ้าๆ!”  ชายหนุ่มสวนกลับไปทันที  นี่มันเกิดการคาดการณ์ของเขาไปอย่างมาก  ดวงตาสีทองเหลือบแดงนั้นมองไปทางทีอารีนครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสบกับอีกฝ่าย  “เจ้าควรคิดถึงจิตใจของทีอารีนมากกว่านี้”

“ข้าคิดถึงอยู่เสมอ”

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้!  เจ้ารู้ว่าเขารักเจ้า  รักเจ้ามากกว่าใคร  มากกว่าข้า  แต่เจ้าก็ยังกล้าที่จะ...ทำร้ายความรู้สึกของทีอารีน”  โซแวนโวยวายด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งสับสน  โกรธ  และเจ็บปวด

เขารู้ตัวมาตลอดว่ายังไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของทีอารีน

เพราะอีกฝ่ายรักผู้วิเศษ  ยังมีเยื่อใยให้อีกฝ่ายอยู่

ผู้วิเศษยกยิ้มขืน  ก่อนจะสารภาพออกมา  “ข้าเสียใจ  จริงอยู่ว่าอาจจะทำให้ท่านทีอารีนเสียใจ  แต่ว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”  โซแวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านครีออนกำลังมุ่งมาที่นี่พร้อมศาสตราศักดิ์สิทธิ์  อาวุธที่สามารถสังหารข้าได้  หากเขาทำสำเร็จสิทธิ์การถือครองประตูจะเป็นของเขาทันที”  ผู้วิเศษอธิบายขึ้นทำให้โซแวนเข้าใจในทันที

หากเขาไม่ฆ่า  ครีออนก็จะเป็นคนฆ่าผู้วิเศษเอง  ไม่ว่าหนทางไหนอีกฝ่ายก็ต้องหายไป  ตอนนี้สิ่งที่ต้องเลือกคือทางใดจะทำให้ทีอารีนเจ็บน้อยกว่ากัน

“เป็นไปไม่ได้  คนเดียวถือสิทธิ์สองประตูมัน...”  โซแวนกัดฟันกรอด  รู้ถึงจุดประสงค์ของผู้วิเศษทันที  หากถือสองประตูนั่นหมายความว่าภาระก็จะเพิ่มขึ้น  ร่างกายจะรับสภาพไว้และแตกสลายไป  เช่นนั้นแล้วการตัดสินใจต่อจากนี้มีผลกับสภาพจิตใจของทีอารีน

ในฐานะสายเลือดเดียวกันแล้วทีอารีนย่อมรักครีออนมากกว่าใคร  หากทั้งครีออนและผู้วิเศษตายไปจะไม่เหลือแสงแห่งความหวังอะไรแล้ว  เด็กคนนั้นจะตกสู่ความมืดด้วยความทุกข์ทรมาน

“เป็นแผนการของลูซัสหรือ”  โซแวนเอ่ยถามขึ้น  อีกฝ่ายเองก็คงรู้อยู่แล้ว

“ถูกต้อง” 

“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือ”  โซแวนถามย้ำเพื่อค้นหาความหวัง  ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย

“ไม่มีแล้ว”  ผู้วิเศษเอ่ยออกมาเสียงเรียบ  นั่นทำให้โซแวนรู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา  เขาไม่ต้องการเห็นทีอารีนทรมานไปมากกว่านี้  แต่หากทำตามสิ่งที่ผู้วิเศษบอกย่อมถูกเกลียดได้

“หากข้าตายไปแค่คนเดียวเขาคงไม่ทรมานเท่าสูญเสียครีออนไปด้วย”

“เจ้าจะทำให้ข้าถูกเกลียด”

“จะยอมถูกเกลียดหรือเห็นเขาทรมานจนลงไปสู่ความมืดล่ะ  เจ้าเป็นคนเลือกเอง”  ผู้วิเศษตั้งคำถามทำให้โซแวนกัดฟันกรอด  ชายหนุ่มกำหมัดแน่น  นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมา  แม้ใบหน้าจะยกยิ้มเหมือนปกติแต่ดวงตาทอความเศร้าอย่างปิดไม่มิด 

“บางทีข้าคงเป็นคนเลวที่สุดที่ไม่สามารถให้อภัยได้”

โซแวนไม่ได้ปริปากตอบโต้  เขามองคนตรงหน้าซึ่งยังคงมีแววตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยน  แต่แฝงไปด้วยการเตรียมใจเรียบร้อยแล้ว  ทุกการตัดสินใจของอีกฝ่ายผ่านการตระเตรียมมาแล้ว  ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธหรือห้าม

ฉับพลันนั้น  โซแวนก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์ประหลาดกำลังพุ่งมาทางพวกเขา  มันน่าขนลุก  แต่เคยพบมาก่อนจึงแน่ใจว่าไม่มีเวลาอีกแล้ว

ผู้วิเศษยกยิ้มแล้วเอ่ยออกมา  “ถึงเวลาแล้วสิ”

------------------
ไม่ได้ลงมาหลายวัน เพื่อเป็นไถ่โทษขอลงรวดสามตอนเลยค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  29
กรีดร้องไร้เสียง

ข้าปล่อยให้ตัวเองนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมแม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายดี  แต่ตอนนี้ราวกับว่าไม่มีใครขยับตัว  จนกระทั่งได้ยินเสียงไอโขลกขึ้น  ข้าจึงได้รีบหันไปมอง

ครีออนทรุดตัวลงอยู่ที่พื้นและยังไอเอาเลือดสีดำออกมาไม่หยุด  นั่นทำให้ข้าชะงักและปวดร้าวอยู่ในอก  ความตายเมื่อครู่ของผู้วิเศษยังคงไม่จางหายไปจากความคิด  ข้าจึงไม่ต้องการเห็นคนที่รักเป็นอะไรอีก

“ครีออน!”  ข้ารีบเอ่ยเรียกเขา  ลุกขึ้นคิดจะเข้าไปหา  วินาทีที่น้องชายได้ยินเสียงก็เงยหน้าซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวดขึ้นมา  ทว่าครู่เดียวเขาก็ถูกหิ้วให้ยืนขึ้นพร้อมกับลำแสงสีดำที่พุ่งตรงเข้ามาหาข้า

เคร้ง!

แต่โซแวนเองก็ไวเช่นกัน  เขารีบวิ่งมาขวางหน้าข้าไว้แล้วใช้ดาบกันลำแสงของลูซัสออกไป  เมื่อสลายแล้วจึงตวัดดาบลง  ข้าขยับตัวเล็กน้อยไปยืนอยู่ข้างๆ  เขาเพื่อมองครีออน  สีหน้าของน้องชายข้าไม่สู้ดีนักจนอดเป็นห่วงไม่ได้  แม้รู้ว่าจะอยู่ในอ้อมกอดลูซัสแต่ข้าก็ยังคิดหาทางจะช่วยเขาออกมา

“เจ้าควบคุมเขาอยู่ใช่ไหม?”  คำถามหนึ่งดังขึ้นจากโซแวน  ข้าจึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าที่เรียบเฉยของเขา  ดวงตานั้นพุ่งตรงไปยังลูซัสคล้ายกับคาดคั้น

“หึ  ทำไงได้  ถ้าไม่ทำเขาก็จะวิ่งไปหาพี่ชายสุดที่รักน่ะสิ”  ลูซัสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชวนมอง  เมื่อรู้ว่าเขาจงใจกักขังครีออนไว้ก็ทำให้ข้ารู้สึกโกรธขึ้นมาแต่โซแวนกลับห้ามไว้

ในวันนี้พอได้เห็นครีออนแล้วข้าจึงสัมผัสได้  เขากำลังถูกควบคุมและถูกกัดกินจากกลุ่มไอหมอกสีดำที่อยู่รอบๆ  จนทำให้ร่างกายย่ำแย่  เพราะเราเกิดจากมารดาคนเดียวกัน  ข้าจึงรู้ดีว่าร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าข้าสักเท่าไร

“คืนเขามา  เดี๋ยวนี้” 

ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ  แต่ลูซัสกับหัวเราะในลำคอ  “คืน?  อย่ามาพูดตลกๆ  น่า  เด็กคนนี้เลือกที่จะมาทางนี้เอง  แต่ดันโลเลเพราะเจ้าเสียได้  อย่างกับคนที่ไกวชิงช้าอยู่ท่ามกลางสีขาวและสีดำ  จะตกไปทางไหนก็ได้  ข้าก็แค่ดึงเขามาทางสีดำเท่านั้นเอง”

“เจ้า!  ปล่อยครีออนเดี๋ยวนี้!?”  ข้าย้ำขึ้นอีกพลางเรียกวงเวทออกมา  แต่ลูซัสกลับไปไม่รู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใดแถมยังเย้ยหยันด้วยการใช้มือข้างหนึ่งบีบเข้าที่ลำคอของครีออน  สีหน้าที่ทรมานของน้องชายทำให้ข้าชะงัก 

“อย่าคิดทำร้ายข้าดีกว่า  ไม่งั้นฝ่าบาทคนนี้จะเป็นยังไงข้าก็ไม่รู้ด้วยนะ”

ข้ากัดฟันกรอด  พยายามคิดหาทางให้ลูซัสปล่อยครีออนให้ได้  แต่จู่ๆ  โซแวนก็พูดขึ้นว่า  “จะต้องทำยังไงให้เจ้ายอมปล่อยเขา”

“หืม?”  ลูซัสเลิกคิ้ว  ก่อนจะยกยิ้มขึ้น  “งั้นเอาดาบศักดิ์สิทธิ์คืนมาสิ  ข้าอาจยอมมอบตัวเขาให้ก็ได้นะ” 

“อย่ามาตลกน่า  ดาบนี่มีแต่คนที่เป็นกษัตริย์เท่านั้นที่จะถือครองไว้ได้  ข้างเจ้าก็มีแค่เขาเท่านั้น”  โซแวนสวนกลับไปเสียงเรียบ 

แต่ลูซัสกลับหัวเราะขึ้น  “หึๆ  น่าขำจริงๆ  ที่ได้ยินเจ้าพูดแบบนั้นออกมา  อย่าลืมสิว่าเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นกษัตริย์ของคาร์ไลน์เหมือนกัน” 

“แต่ก็ไม่เหมือนเจ้าที่ถือไม่ได้นี่”  เขายังคงสวนกลับไปอย่างไม่ยี่หระ  เมื่อลูซัสรู้ว่ายังไงโซแวนก็ไม่ยอมส่งดาบศักดิ์สิทธิ์ให้ไปเป็นกำลังเสริมของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนข้อแลกเปลี่ยน

“ถ้างั้น...องค์ชาย  ท่านจะยอมแลกตัวเองเพื่อช่วยน้องชายหรือไม่”  คำเสนอของเขาทำให้ทั้งข้าและโซแวนชะงักไปชั่วขณะ  แต่ชายข้างๆ  ข้าก็ปฏิเสธในทันที 

“นั่นไม่ได้เด็ดขาด”

“อะฮะ  กะไว้แล้ว  แต่ข้าคิดว่าข้ากำลังถามเจ้าชายทีอารีนอยู่นะ  เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตอบแทนกันล่ะ?  เจ้าคิเมร่า”  ลูซัสหรี่ตาลงมองคล้ายกับกำลังจับข้อสงสัยบางอย่างจากคนที่ไม่แสดงอารมณ์บนใบหน้าตอนนี้อย่างโซแวน  ข้าเตรียมจะแก้ต่างทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นแทรกมาก่อน

“อ้อ  เข้าใจล่ะ  เจ้าได้ร่วมรักกับเจ้าชายทีอารีนแล้วใช่ไหม  น่าอิจฉาจังน้า”  เขาเอ่ยขึ้นในสิ่งที่ข้าและโซแวนยังไม่ได้บอกใคร  แต่ท่าทีของพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนอกเสียจากจะแปลกใจที่จู่ๆ  ลูซัสก็พูดขึ้นมา

ข้าพลันนึกถึงบางเรื่องได้จึงรีบร้องห้ามไปในทันที  “อย่าคิดเอาเรื่องนั้นมายุยงครีออนเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ  นี่เป็นวัตถุดิบชั้นดีที่จะผลักเขาให้ตกไปในความมืดเชียวนะ  พี่ชายอันเป็นที่รักร่วมรักกับสัตว์ประหลาดที่ไม่ชอบหน้า  ใครๆ  ก็เจ็บปวดทั้งนั้น”  ลูซัสแสยะยิ้มราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า  คำพูดของเขาทำให้ข้ากัดฟันกรอดแล้วยกมือขึ้นร่ายเวทโจมตีใส่เขา  แต่ก็ถูกห้ามไว้

“ใจเย็น  เจ้าอย่าลืมสิว่าน้องชายเจ้ากลายเป็นตัวประกันอยู่”  โซแวนรีบจับข้อมือข้ายั้งไว้แล้วเตือนขึ้นด้วยความเป็นห่วง  เพราะคนที่จะเจ็บปวดมากที่สุดหากครีออนเป็นอะไรไปก็คือข้า  ข้าจึงได้ลดมือลงท่ามกลางเสียงหัวเราะของลูซัส

“ฮะๆ  แย่จังน้า  องค์ชาย  ที่ท่านไม่สามารถทำอะไรข้าได้”  เขายิ้มเย้ยขึ้นก่อนที่จะกวาดมืออีกข้างที่ว่างอยู่ไปด้านข้างแล้ววงเวทอัญเชิญมากมายก็ปรากฏขึ้นพร้อมร่างของอสูรที่ค่อยๆ  คลานออกมา  “แต่ว่าทางนี้น่ะ  จะทำอะไรก็ได้  ก็ถือว่าเปิดตัวอสูรที่ข้าเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งไปในตัวละกัน  ต่อให้เป็นพวกท่านที่ได้รับสิทธิ์ประตูแห่งอำนาจมาก็คงฝืนกันอยู่ดี”

“เจ้า!”  ข้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  แต่ลูซัสกลับยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะพาครีออนหันหลังกลับไปยังประตูเวทที่อยู่ด้านหลัง 

“ลาก่อน  ไม่ต้องห่วงหรอก  น้องชายของท่าน  เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาจะเป็นปีศาจที่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า  ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแล้ว”

“ไม่...หยุดนะ  อย่าทำอะไรเขา!”  เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูซัสพูดข้าก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดมากไปกว่าเดิม  พยายามวิ่งเข้าไปหาเขาแต่ถูกอสูรห้อมล้อมไว้ 

ก่อนที่เขาจะหายไปในประตูก็ได้พูดขึ้นมาว่า  “ลาก่อน  แค่สองคนคงเป็นได้แค่เหยื่อของเจ้าพวกนี้เท่านั้นแหละ”

“แล้วถ้าไม่ได้มีกันแค่สองคนล่ะขอรับ?”  เสียงหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้น  พร้อมกับที่อสูรตรงหน้าข้าจะถูกฟันขาดครึ่ง  ร่างหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้าอย่างองอาจ  และรอบๆ  ก็ล้อมไปด้วยผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา

เร็น  อาคีรัส  วารัน  นอร์ธวินด์  และคาร์ริต้า  แม้กระทั่งซีวาลเองก็มาด้วย  พวกเขาพร้อมด้วยอาวุธคู่กายยืนประจันหน้ากับอสูร  ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นมามากทำให้ลูซัสเองก็แปลกใจ  แต่เขาก็ไม่ได้สนอีกต่อไปและหายไปในวงเวท

เร็นที่ยืนอยู่หน้าข้าหันมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะบอกว่า  “ฝ่าบาท  พระองค์เหนื่อยมามากพอแล้ว  พักสักหน่อยเถิดขอรับ  แล้วเจ้าพวกนี้พวกกระหม่อมจะเป็นคนจัดการเอง”

สิ้นเสียงที่เขากล่าว  เจ้าตัวก็หันไปฟันอสูรด้วยสีหน้าจริงจังต่างกับตอนที่พูดเมื่อกี้ลิบลับ  เมื่อหันไปมองรอบๆ  คนอื่นๆ  ก็เริ่มจัดการอสูรแล้ว  แม้จะลำบากกว่าการกำจัดอสูรทั่วๆ  ไปแต่ทุกคนก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากหลังจากจัดการอสูรตัวสุดท้ายได้แล้ว

เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่ต่างคนต่างทรุดนั่งลงไป

“เฮ้อ  เหนื่อยชะมัด  รีบมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุดเลย”  นอร์ธวินด์บ่นพึมพำขึ้นมา  ก่อนที่จะลุกพรวดขึ้นมาหาข้า  “ฝ่าบาท  บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าขอรับ”

“ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าตอบไปโดยที่ไม่คิดจะสำรวจตัวเองว่ามีส่วนไหนบาดเจ็บไหม  เพราะดูแล้วแผลทุกอย่างก็สมานตัวเองเรียบร้อยแล้ว  ข้าสบตากับทุกคนก่อนจะพูดว่า  “ข้าจะรักษาให้พวกเจ้านะ”

ไม่พูดเปล่า  ข้ากางมือออกทั้งสองข้างและร่ายคาถารักษาพวกเขาทุกคน

แสงสีขาวทองสว่างวาบก่อนที่จะหายไปพร้อมกับร่องรอยบาดแผลบนตัวพวกเขาที่ได้รับการรักษา  ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งข้าถามขึ้นว่า  “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“พวกข้าได้รับการติดต่อจากผู้วิเศษขอรับ  ว่าเมื่อเห็นประตูแห่งอำนาจเปิดแล้วให้มุ่งมาที่นี่ทันที”  เร็นตอบขึ้น  เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงก็ทำให้ข้ารู้สึกหน่วงในอก  และเมื่อได้ยินอาคีรัสถามถึงก็ยิ่งรู้สึกปวดมากขึ้น

“จะว่าไป…ผู้วิเศษไปไหนหรือขอรับ”

“ไม่อยู่แล้ว…”  เสียงราบเรียบดังขึ้นจากโซแวน  ข้าเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นว่าเขาที่เป็นคนพูด…ไร้ความรู้สึกใดๆ

หนำซ้ำยังยอมรับสิ่งที่แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าบอก  “ข้าเป็นคนสังหารเขากับมือ”

“เจ้า!”  เสียงซีวาลตวาดลั่นขึ้นทำให้ข้ารีบเงยหน้าขึ้น  เขาทำท่าจะพุ่งเข้าหาโซแวนแต่ถูกวารันยั้งไว้

“เจ้าไม่น่าจะทำอะไรแบบไม่คิด”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นก่อนจะถามว่า  “เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ”

ข้าหันไปทางโซแวน  เขายังคงยืนนิ่งสู้กับสายตาของทุกคนที่จ้องมองเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ข้าแล้วโค้งตัวลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า  “ขอโทษ...”

ข้าเบิกตาที่ร้อนชื้นกว้างกว่าเดิมด้วยความตกใจ  การที่เขาเอ่ยขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกทรมานกว่าเดิม

ข้ารักผู้วิเศษ...แต่เพราะไม่สามารถก้าวล้ำความสัมพันธ์ไปได้มากกว่านี้จึงยอมถอยออกมา  ถ้าหากให้พูดในบรรดาคนที่ข้ารู้จักทั้งหมด  เขาเป็นคนที่ข้าต้องการร่วมหลับนอนมากที่สุดแม้มันจะไม่มีทางเป็นไปได้  ทว่าตัวข้าก็ไม่กล้าพูดว่าไม่รักโซแวนจริงๆ

ในสถานการณ์ที่ข้ากำลังสับสนหรือทรมานใจ  เขาก็มักจะอยู่ข้างๆ  เป็นหลักพิงให้ข้า  เป็นความสัมพันธ์ที่ข้ากับเขาสามารถพัฒนาไปเรื่อยๆ  ได้

แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะฆ่าคนที่ข้ารักมากที่สุดไป  ทั้งๆ  ที่เขาเองก็น่าจะรู้...ว่าข้าจะทรมานกับการจากไปของผู้วิเศษ

โซแวนเงยหน้าขึ้นมองข้าทำให้ข้าเห็นแววตาที่กำลังลำบากใจ  และอ้อนวอนขอให้เข้าใจ  ข้ากำหมัดแน่น  ไม่ใช่ว่าแค้นเคือง  แต่เป็นเพราะเกลียดตัวเองที่ไม่พยายามเข้าใจเขา  ไม่พยายามเข้าใจเจตนาของผู้วิเศษ

“เก็บคำขอโทษไปบอกเขาที่หลุมศพเถอะ”  ข้าดันศีรษะเขาให้ยืดตัวตรงขึ้นแต่ก็ไม่กล้าสบตา  ข้าปาดน้ำตาที่ล้นออกมาแล้วสูดลมหายใจเข้าพยายามทำจิตใจให้สงบก่อนจะถามขึ้นว่า  “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคุยกันอยู่  เล่ามาสิว่าผู้วิเศษบอกอะไรเจ้าบ้าง”

โซแวนนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง  แต่ในที่สุดก็กล้าเอ่ยขึ้นมาว่า  “เจ้าเองก็น่าจะรู้  การสืบทอดประตูจำเป็นจะต้องสังหารผู้มีสิทธิ์เปิดประตูคนเก่าเสียก่อน  ผู้วิเศษอธิบายหลายๆ  อย่างให้ข้าฟังก่อนจะบอกให้ข้าฆ่าเขา”

“แล้วทำไมต้องฆ่า  ผู้วิเศษเคยบอกว่าเวลาเขาเหลืออยู่อีกสามวัน  ถ้าตัดช่วงที่เราแยกออกมานี่เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียว”  ข้าถามสวนกลับไป

“เรื่องนั้นเป็นเพราะน้องชายเจ้า”  เมื่อรับรู้ว่าคนที่โซแวนกล่าวถึงคือครีออนก็ทำให้ข้ายิ่งแปลกใจ  ยังไม่ทันถามอะไรต่ออีกฝ่ายก็เล่าออกมา  “ลูซัสรู้เรื่องการรับสิทธิ์ดี  ดังนั้นแล้วเขาจึงยุยงให้ครีออนฆ่าผู้วิเศษเพื่อที่จะทำให้เจ้าหนูนั่นเป็นผู้ถือครองประตู  แต่ถ้าเป็นแบบนั้นร่างกายของครีออนจะทนไม่ไหวและอาจตายได้”

ข้านิ่งเงียบไป  เรื่องนี้ทราบตั้งแต่ที่ลูซัสบอก

“เพราะแบบนั้นผู้วิเศษเลยบอกให้ข้าชิงตัดหน้าฆ่าเขาก่อนที่ครีออนจะทำได้สำเร็จ”  โซแวนสรุปสั้นๆ  ขณะที่ข้ากล้าเผชิญหน้ากับเขา  พวกข้าทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะยื่นมือทั้งสองข้างมาดึงข้าไปกอด  กระซิบข้างหูขณะที่ซุกหน้าลงมาบนไหล่ว่า

“ขอโทษนะ  จะเกลียดข้าไปเลยก็ได้  แต่อยากให้รู้ไว้ว่าที่ข้าทำไปเพราะไม่อยากให้เจ้าทรมานไปมากกว่านี้”

ครีออนเป็นคนสำคัญ...เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของข้า  แล้วเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา  เขาถูกความมืดหล่อเลี้ยงมาจนแยกแยะดีชั่วไม่ออก  แม้ว่าเขาจะเป็นสาเหตุของความวุ่นวาย  แต่ข้าก็ทำใจเกลียดเขาไม่ลง

ทั้งครีออนและผู้วิเศษต่างเป็นคนสำคัญ  ไม่ว่าจะเป็นการตายของคนไหนก็ทำให้ข้าทรมาน  โซแวนแค่พยายามเลือกทางที่ทำให้ข้าทรมานน้อยลงก็เท่านั้น

เขาที่เหมือนจะไม่สนใจอะไร  กลับใส่ใจข้าแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้มีความสุขในตอนนี้  แต่ในใจนั้นก็สัมผัสได้ว่าความทรมานทั้งหมดจะถูกปลดเปลื้องออกในเร็ววันหากมีโซแวนอยู่เคียงข้าง

เขายอมให้ข้าเกลียดเพื่อปกป้องตัวข้าและครีออน  ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ข้าก็ไม่อยากเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว

“พูดอะไรน่ะ...”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ  โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อและมีท่าทีราวกับยอมรับชะตากรรมที่เขาคิดเอง  “ถ้าเกลียดเจ้าไปแล้วจะได้อะไรคืนมาล่ะ  มีแต่สูญเสียไม่ใช่หรือ  พอแล้ว...ข้า...ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว”

ข้ากำมือทั้งสองข้างแน่นก่อนจะเริ่มปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร  ในตอนนี้ข้าแค่อยากปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่อัดอั้นในใจมาออกไปบ้าง 

“ฝ่าบาท...ฮึก...ฝ่าบาทยังมีพวกข้าอยู่ด้วยนะ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ก่อนที่เขาจะมาโผกอดข้าด้วยคนทำให้ข้าตกใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ส่วนคนอื่นๆ  เมื่อเห็นว่าทำได้ก็เข้ามากอดด้วย

“ใช่แล้ว  ฝ่าบาทยังมีพวกเราอยู่นะขอรับ”  นอร์ธวินด์เสริมคำพูดของอาคีรัสขณะที่แทรกตัวมากอดแนบชิดกับข้า  พวกเขาพากันพูดปลอบใจข้าจนทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นได้

หลังจากที่ข้าหยุดร้องไห้และขอร้องให้พวกเขาถอยห่างออกไป  เร็นเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นว่า  “แล้วต่อจากนี้จะให้พวกข้าทำอย่างไรหรือขอรับ”

เขาจั่วเข้าประเด็นสำคัญทันที  ทำให้ข้ารีบตั้งสติและเก็บปัญหาส่วนตัวต่างๆ  ไปก่อน  ข้าเหลือบมองโซแวนก่อนที่จะบอกว่า  “กลับไปที่วิหารก่อนเถอะ”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ”  พวกเขาขานรับพร้อมกันก่อนที่จะรีบออกเดินทาง  วารันแปลงร่างเป็นมังกรตัวขนาดมหึมาโดยให้พวกข้าขึ้นไปเพื่อเร่งเวลาเดินทาง

เขาใช้เวลาไม่นานในที่สุดก็บินมาถึงวิหารอันเป็นจุดรวมพลชั่วคราวของพวกข้า  ที่แห่งนั้นนอกจากสัตว์ตัวอื่นๆ  ที่แห่งนั้นนอกจากสัตว์บริวารของโซแวนก็ยังมีผู้ถูกเลือกคนอื่นอยู่ด้วย

“นั่น...ฝ่าบาท!  ฝ่าบาทใช่ไหม”  เสียงร้องของชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ถูกเลือกดังขึ้นทันทีเมื่อข้าลงจากหลังมังกร  เขาไม่ใช่คนเดียวที่จำข้าได้  ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือเหมือนกับคนอื่น  “ขอบคุณพระเจ้า  ท่านยังปลอดภัย  ตอนนี้ในเมืองมีแต่เรื่องบ้าอะไรเต็มไปหมดก็ไม่รู้”

“ข้ายินดีที่พวกเจ้าทุกคนปลอดภัย”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่ใบหน้าของพวกเขากลับหมองลง  ชายที่วิ่งออกมารับหน้าข้าเมื่อครู่เป็นคนพูดขึ้นเสียงเศร้า

“ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนพวกข้าหรอก”

“หมายความว่ายังไง...”

“น้องชายของท่าน...ราชาครีออนเข้าข้างพวกอสูร  สั่งกวาดล้างผู้ถูกเลือกทั้งหมด  คนที่หนีรอดมาได้ก็มีแต่กระจัดกระจายกันไปหมด  ที่พวกข้ามาอยู่ที่นี่เพราะได้ท่านผู้ถูกเลือกระดับสีทองช่วยไว้  แต่สหายหลายคนก็...”  เขาเว้นช่วงไปในประโยคท้าย  แววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด  ดูจากท่าทีของพวกเขาแล้วก็พอเข้าใจได้

“จริงสิ  แล้วผู้วิเศษล่ะ  ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนสั่งให้พวกท่านนอร์ธวินด์ไปรวบรวมผู้ถูกเลือกที่เหลือรอดมา”  หญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นถามด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง  สวนทางกับข้าและพวกโซแวนที่รู้ความจริงอยู่แล้ว  แวบแรกข้าคิดจะไม่พูดออกไปแต่ชายที่ยืนอยู่เคียงข้างข้าก็บอกทันที

“เขาตายแล้ว”

“โซแวน!”  เร็นตวาดขึ้นแต่เพียงครู่เดียวเสียงของเขาก็ถูกกลบไปในบรรดาเสียงเซ็งแซ่ของผู้ถูกเลือกเมื่อรู้ว่าเสาหลักของพวกเขาได้หายไปแล้ว  แววตาของพวกเขาสิ้นหวังอย่างชัดเจน  บางคนถึงกับกรีดร้องตะโกนออกมา  “จบสิ้นแล้ว  โลกนี้ถึงการอวสานแล้ว”

“ไม่มีผู้วิเศษแบบนี้แล้วเราจะทำยังไง”

“หรือว่า...พลังจะหายไป”

“อ๊า  ข้าไม่อยากตาย”

สิ้นหวัง...คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวข้า  ที่ผ่านมาผู้ถูกเลือกล้วนได้รับการชี้นำการผู้วิเศษ  ไม่สิ  โลกนี้เคยได้รับการชี้นำจากผู้วิเศษจนสามารถลุกขึ้นต่อกรกับอสูรได้

แสงสว่างที่เคยส่องทางพวกเขาไปสู่ความหวัง  บัดนี้ดับมอดลงจนทำให้คนพวกนี้มองไม่เห็นทาง

ข้าเองก็เคยได้รับการชี้นำจากผู้วิเศษ  เคยทำใจได้บ้างยามเขาออกปากว่าจะตายในไม่กี่วัน  แต่การจากไปกะทันหันแบบนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ 

“นี่...”  โซแวนเอ่ยเรียกขึ้นก่อนที่จะกระซิบถาม  “ไม่คิดจะทำอะไรหรือ  หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป  เราจะสูญเสียความเชื่อใจและกำลังรบไปมากกว่านี้นะ”

“เรื่องนั้นข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกัน”  ข้าตอบเขาไปแล้วยิ้มบางๆ  ให้  อาจเพราะความเหนื่อยล้าทำให้ข้าไม่สามารถยิ้มอย่างเต็มที่ให้ได้  ก่อนที่จะหันไปหาผู้ถูกเลือกที่ยังโวยวายไม่เลิก  เมื่อสูดลมหายใจเข้าจนพอจะคิดคำพูดได้บ้างแล้วจึงตะเบ็งเสียงออกมา

“เงียบซะ!”  สิ้นเสียงคำสั่งของข้า  ราวกับทุกสิ่งหยุดชะงัก  เสียงทุกเสียงพากันเงียบลง  ทุกสายตาจ้องมองมาที่ข้า  ข้าจึงเริ่มพูดทันที

“ถึงแม้ผู้วิเศษจะจากไปแล้วแต่เขาไม่ได้ดับความหวังของพวกเราไปเสียหน่อย  หากเจ้ารู้จักผู้วิเศษก็น่าจะรู้  คนคนนั้นไม่เคยไม่เตรียมการใดๆ  ไว้  เขารู้ว่าตัวเองจะต้องตาย  ดังนั้นแล้วจึงเตรียมความพร้อมให้พวกเราอย่างสุดความสามารถ  เท่าที่เขาจะทำได้”

ข้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ  ทั้งอยากแก้ต่างให้เขาที่ล่วงลับไปและทิ้งความสับสนให้คนพวกนี้กับต้องการปลุกกำลังใจพวกเขา  “ทั้งข้าและโซแวน  ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ  นี้ได้รับสิ่งที่เขาเตรียมการให้แล้ว  พลังอำนาจที่จะนำไปสู่ชัยชนะของมนุษย์อยู่กับพวกเราแล้ว  ดังนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล”

เป้าสายตาของพวกเขาตกไปอยู่ที่โซแวนครู่หนึ่ง  แต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้มาสนใจอะไรมากนัก  และยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิมเพื่อรอข้าพูดต่อ

“เหล่าผู้ถูกเลือกระดับสีทองที่ยืนอยู่ด้านหลังข้านี้ก็ล้วนแต่เป็นบุคลากรชั้นดีที่เขาเตรียมไว้ให้  และที่สำคัญที่สุดคือพวกเจ้า  พวกเจ้าที่ผู้วิเศษเชื่อว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้สันติสุขคืนได้”  ข้าจ้องมองไปที่พวกเขาทุกคนอย่างเชื่อมั่น  พยายามทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง  “เพื่อให้เหล่าผู้ที่เสียสละเพื่อกอบกู้โลกนี้ได้หลับอย่างสงบ  โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า  ข้า...ทีอารีนผู้นี้แม้จะไม่ได้เป็นราชาแล้วแต่จะกอบกู้โลกนี้ให้ได้”

ข้ายกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตนเองก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแน่วแน่ว่า  “พวกเจ้าจงลืมความหวังเก่าไปเสีย  และยอมรับข้าเป็นความหวังใหม่ของพวกเจ้า  ไม่ใช่แค่ข้า  แต่ทั้งโซแวน  ทั้งผู้ถูกเลือกระดับสีทอง  และพวกเจ้า  พวกเราทุกคนคือความหวังที่จะกอบกู้โลกนี้จากเงื้อมมืออสูร  หากต้องการโลกที่สงบสุขคืน  จงลุกขึ้นสู้เสีย!”

ดวงตาของพวกเขาค่อยๆ  แจ่มใสขึ้น  เต็มไปด้วยความหวังและประกายไฟ  ชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดจะลุกขึ้นแล้วกำหมัดแน่นชูขึ้นพร้อมตะโกนว่า  “กอบกู้โลก!”

“กอบกู้โลก!!”  พวกเขาทุกคนต่างกู่ร้องขึ้น  ราวกับความหวังได้จุดประกายขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้เสียเปล่าก็ทำให้ข้าโล่งใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ดีแล้ว  สมเป็นเจ้าจริงๆ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วยิ้มชม  “รู้ไหมว่าเมื่อกี้เจ้าดูเท่มากๆ  เลยนะ”

“ก็ดีสิ  เอ๊ะ...”  ข้าชะงักไปก่อนที่จะได้เห็นชอบคำพูดเขาไปมากกว่านี้เพราะใบหน้าเขาเลื่อนมาใกล้พร้อมกับที่มือที่พาดอยู่บนไหล่ขยับมาเชยคางข้าขึ้น  ให้เด็กมองก็รู้ว่าโซแวนคิดจะจูบทำให้ข้าเบิกตากว้าง

ข้าไม่ได้รังเกียจจูบจากเขา  แต่นี่คือที่สาธารณะ!  กลางลานที่มีทั้งคนและสัตว์อยู่เยอะ!

“อื้มๆ  พอจะรู้ว่าเพิ่งข้าวใหม่ปลามันแต่อย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าธารกำนัลได้ไหมขอรับ”  ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้จูบ  เร็นก็โผล่เข้ามาแทรกกลางจงใจใช้มือดันหน้าโซแวนออกไปแล้วบังตัวข้าไว้  ดูจากน้ำเสียงแล้วก็รู้ว่าคงหงุดหงิดอยู่กลายๆ

แว่วเสียงโซแวนสบถออกมาเพราะขัดใจดังขึ้น  แต่ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเร็นมากกว่าจึงกระตุกเสื้อคนที่อยู่ด้านหน้า  “เดี๋ยว  ที่เจ้าพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง”

“ก็...”  เร็นหันมาพูดค้างไว้  เขากวาดตาหาอะไรบางอย่างก่อนที่เจ้าภูตหยดน้ำสีฟ้าที่พวกเขาใช้ติดต่อกันจะลอยมาหา  “ตอนที่พวกท่านร่วมรักกันไม่ได้ปิดเสียงสัญญาณจากเจ้าตัวนี้ก็เลยมีได้ยินบ้าง...”

น้ำเสียงเขาเบาลงเมื่อพูดประโยคท้าย  ผิดกับหัวใจข้าที่เต้นโครมครามหนักขึ้น  เร็นยิ้มเขินก่อนจะรีบแก้ตัว  “อ๊ะ  แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ  พอได้ยินเสียงท่านครางมาข้าก็รีบปิดแล้ว  ไม่ได้รบกวนอะไรท่านเลย  เนอะ  ใช่ไหมทุกคน”

“ใช้ได้นี่  เจ้าหนู”  วารันแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย  ข้างๆ  เป็นนอร์ธวินด์ที่ยืนปาดน้ำตาป้อยๆ 

“ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้เลยถ้าครั้งแรกของท่านเป็นข้าไม่ใช่โซแวนก็คงทำให้ข้าตายตาหลับแล้ว”

“อ๊ะ  ข้าเองก็ปิดทันทีเลยนะขอรับ”  แม้แต่อาคีรัสเองก็ยังตะโกนแก้ตัวแม้ใบหน้าจะขึ้นสีแดง  ทว่าคนที่อายกว่าเขาคือข้า  ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าของข้าแดงเถือกยิ่งกว่าอะไร  รู้สึกเลือดในตัวมันพุ่งมาสูบฉีดอยู่ที่หน้าอย่างเดียว  แถมก้อนเนื้อในอกก็เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดมาอยู่ข้างนอก

ถึงพวกเขาจะแก้ตัวว่าปิดเสียงไปทันที  แต่แค่ได้ยินว่าพวกข้าจะทำอะไรกันก็น่าอายมากพอแล้ว

แต่คนที่อายกลับมีข้าอยู่เพียงคนเดียว  โซแวนเพียงแค่มองพวกเขานิ่งๆ  และยกมือขึ้นลูบหัวปลอบข้า  “ไว้คราวหน้าข้าจะตรวจสอบให้ดีก่อนล่ะกันว่าไม่มีใครแอบดู”

“คราวหน้าอะไร!  ไม่มีอีกแล้ว!  ไม่มีเด็ดขาด!!”  ข้าหันไปตะคอกใส่เขาก่อนที่จะเดินหนีกลุ่มคนประหลาดพวกนี้  ตั้งใจจะฝ่ากลุ่มผู้ถูกเลือกออกไปแต่กลับผิดสังเกตบางอย่าง

ข้าหันไปมองรอบๆ  ก่อนที่จะเข้าไปถามซีวาลที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด  “ท่านพี่กับพวกเด็กๆ  ล่ะ”

“เรื่องนั้น...”  ชายตรงหน้าข้าไม่ตอบในทันที  แต่ผู้ถูกเลือกที่ได้ยินพอดีก็ตอบให้แทน  “พวกเขาเป็นกลุ่มที่โดนเพ่งเล็งแต่แรก  พระราชาจับพวกเขาไปขังไว้ในปราสาท  จนตอนนี้ไม่มีใครทราบชะตากรรมขอรับ”

ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ผู้ถูกเลือกคนเดิมยังเสริมขึ้นด้วยว่า  “มีผู้ถูกเลือกบางคนที่ยอมจำนนแต่แรกและถูกขังไว้ในปราสาทด้วยขอรับ”

“ยังงั้นหรือ...”  ข้าหลุบตาลงเพื่อใช้ความคิดก่อนที่ซีวาลจะถามขึ้นว่า  “ฝ่าบาท  ท่านจะทำเช่นไรหรือ?”

“ข้าจะไปช่วยพวกเขา”  ข้าตอบซีวาลแทบจะทันทีทำให้เขาหน้าซีดลง  “แต่ฝ่าบาท...ปราสาทตอนนี้มีแต่พวกของครีออน  เขาเป็นศัตรูไปแล้ว...”

“แล้วไงล่ะ  คนที่รู้เรื่องในปราสาทดีที่สุดในหมู่พวกเราตอนนี้ก็คือข้า  และหากปล่อยไว้นานๆ  มีสิทธิ์ที่ลูซัสจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องต่อรองแผลงๆ  อีก  อีกอย่างหนึ่งมีของที่ข้าต้องไปนำมาด้วย”

ข้าหันหลังเดินกลับไปยังทางเดิม  ซีวาลรีบร้องเตือนผู้ถูกเลือกสีทองที่เหลือทันที  “พวกเจ้าเองก็ห้ามฝ่าบาทไว้สิ” 

ข้าหยุดยืนตรงหน้าพวกโซแวน  ก่อนจะเงยหน้าถามเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนรออยู่  “พวกเจ้าจะไปกับข้าด้วยไหม”

“บ้าหรือเปล่า...”  โซแวนแค่นยิ้ม  “เรื่องอะไรจะปล่อยให้เจ้าไปคนเดียวกันล่ะ” 


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  30
แผนบุกปราสาท

ข้าตัดสินใจจะบุกเข้าไปในปราสาทเพื่อช่วยผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  หลังจากพักฟื้นกำลังและรอจนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนกำลังพล

ในตอนนี้ที่ปราสาทคงไม่ได้มีแค่พวกทหารอย่างเดียว  ลูซัสอาจส่งลูกน้องของตัวเองมาแทรกซึมด้วย  และนั่นจะทำให้การบุกเข้าไปยากขึ้นด้วย

เพราะข้าคุ้นชินเส้นทางในปราสาทมากกว่าใครในที่นี้จึงต้องเป็นคนวางแผนการทั้งหมด  เส้นทางหลังปราสาทไม่ค่อยมีใครใช้ผ่าน  และมีทหารเฝ้ายามอยู่น้อยจึงเหมาะที่จะเป็นทางเข้าไป  ซ้ำยังใกล้กับทางไปคุกใต้ดินมากที่สุด  ผู้ที่จะร่วมบุกกับข้าในครั้งนี้มีแค่พวกโซแวน  คาร์ริต้ากับซีวาลทำหน้าที่เฝ้าอยู่ที่นี่ 

แผนการคือแบ่งคนเป็นสามฝ่าย  ข้า  โซแวน  และเร็นเป็นคนบุกเข้าไปก่อน  นอร์ธวินด์จัดการดึงความสนใจจากทหารด้านนอกกับวารันที่รอทำหน้าที่เป็นพาหนะ  ส่วนอาคีรัสนั้นเป็นกำลังเสริมที่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อใครคนหนึ่งเจอปัญหาที่คาดไม่ถึง

“เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม”  โซแวนถามข้าขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลา  ข้าที่ยืนคิดแผนการอื่นอยู่จึงได้หันไปมองก็พบความประหลาดอย่างหนึ่ง

เขาไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์  เป็นสัตว์ประหลาดที่รูปลักษณ์เป็นสิงโตผสมแพะ  และมีหางเป็นงู  สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคิเมร่า

“แปลกตาจัง”  ข้าพึมพำขึ้นพลางส่งยิ้มให้  แล้วเดินเข้าไปลูบแผงคอของเขา  ความอ่อนนุ่มของมันทำให้รู้สึกหลงใหลขึ้นมา  เจ้าตัวพอโดนลูบแล้วก็ส่ายศีรษะไปมา 

“อย่าลูบสิ”

“แย่จัง  ขนเจ้าออกจะนุ่มแท้ๆ”  ข้าเอ่ยอย่างเสียดายก่อนที่จะหันไปมองตามเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้ามา  พวกนอร์ธวินด์ก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว  และเดินเข้ามาสมทบ

อีกคนหนึ่งที่ข้าแปลกใจก็คือเร็น  เคยรู้มาว่าเขาเป็นยูนิคอร์นแต่ก็เพิ่งเคยเห็นตอนเขาแปลงกายอย่างนี้

เร็นเป็นม้าขนสีขาวสะอาดทั้งตัว  แผงคอเป็นสีทองสวย  ดวงตาสีทอง  แต่เขาบนหัวกลับหายไปหรือแต่ตอทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ 

“เร็น  เขานาย...”

“หักไปตอนโดนทำร้ายน่ะขอรับ  แต่ก่อนมีความเชื่อว่าเขาของยูนิคอร์นสามารถนำไปปรุงยาอายุวัฒนะได้”  เขาตอบเสียงเรียบ  ข้าอดลูบหัวเขาด้วยเป็นห่วงไม่ได้แต่เจ้าตัวก็ยืนยันกลับมาว่า  “แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  เสียพลังไปส่วนหนึ่งแต่ข้าเชื่อว่าถ้าอยู่กับท่านก็ไม่เป็นอะไรแน่นอน”

“ข้าจะพยายามไม่ทำให้เจ้าผิดหวังนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มให้ม้าตรงหน้า  ก่อนที่จะถูกคิเมร่าตัวหนึ่งเดินเข้ามาชนแขนแล้วออกคำสั่งใส่

“รีบไปได้แล้ว”

“อื้ม”  ข้าตอบรับแล้วขึ้นขี่หลังเร็น  ทั้งโซแวนและเร็นต่างก็เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้เร็วและไม่ได้เป็นจุดสนใจบนท้องฟ้ามากนัก  เพราะซีวาลบอกว่าหลังจากวารันไปอาละวาดทำลายปราสาทในครั้งนั้น  พวกทหารก็เพิ่มความระวังในส่วนของท้องฟ้ามากขึ้น

ข้าขี่หลังเร็นไปพร้อมกับอาคีรัส  ส่วนนอร์ธวินด์กับวารันขี่โซแวนไป  จริงๆ  แล้วสองคนหลังไม่ค่อยพอใจเท่าไรโดยเฉพาะโซแวน  แต่เร็นให้เหตุผลว่าตามธรรมเนียมแล้วยูนิคอร์นนั้นยอมให้ขี่แต่ผู้บริสุทธิ์เท่านั้น  อาคีรัสนั้นถึงจะมีอายุหลายช่วงคนแต่ตอนนี้ก็นับว่าไร้เดียงสากว่าคนอื่น  ส่วนข้า...ตอนที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา  คิดว่าจะต้องขี่โซแวนแต่เขาบอกว่าให้ข้าขี่ได้  พอถามเหตุผลก็ตอบแค่ว่า  “เพราะเป็นฝ่าบาท  ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือเปล่าข้าก็เต็มใจให้ขี่”

“ไอ้ม้าสองมาตรฐาน”  เป็นคำสรรเสริญจากโซแวนและวารัน  แต่ดูแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

เมื่อพร้อมแล้วทั้งสองก็ควบทะยานออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ออกจากป่าต้องห้ามมุ่งสู่ป่าหลังปราสาท  แสงไฟวูบไหวและเงาร่างของสิ่งก่อสร้างที่คุ้นตาทำให้ข้ารู้สึกคิดถึงขึ้นมา  ข้าลงจากหลังเร็น  แล้วทั้งสองคนก็แปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์

“ดูเหมือนวันนี้เวรยามจะน้อยเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ”  วารันเอ่ยขึ้นขณะทอดสายตามองไปยังปราสาท  ประตูเล็กด้านหลังนั้นมีทหารยามแค่สี่คนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่  และไม่มีคนอื่น 

“ถ้างั้นตามแผนเลยไหมขอรับ”  นอร์ธวินด์ถามขึ้น  ข้าเลยพยักหน้าเป็นคำตอบ  เขาจึงได้เตรียมนำผงเวทมนตร์ออกมา  เจ้าตัวถนัดเวทสายลมอยู่แล้วจึงสามารถนำผงยาสลบพวกนั้นไปหาทหารได้อย่างง่ายดาย

ฤทธิ์ของยานั้นเพียงแค่สูดดมก็จะทำให้รู้สึกวิงเวียนและหลับไป  พวกข้ารอไม่นานในที่สุดทหารยามคนสุดท้ายก็หมดสติไปจึงรีบออกมาจากที่ซ่อน  ประตูล็อกไว้อย่างแน่นหนาแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไรเมื่ออยู่กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ที่จัดการพังได้ในลูกถีบเดียว

ข้าสามคนรีบเข้าไปข้างในทันที  ทหารยามแถวนี้มีน้อยจึงอาศัยหลบตามมุมอับสายตาได้  แต่ทางลงไปยังคุกใต้ดินนั้นมีกำลังทหารอยู่เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา

“เอายังไงดี”  ข้าหันมาพึมพำกับคนที่เหลือหลังจากโผล่หน้าไปสังเกตการณ์จากที่ซ่อนตัว  เร็นกับโซแวนรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย  แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารในปราสาทแต่ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ผงยาสลบใช้การไม่ได้หรือ”  โซแวนถามขึ้น 

“ข้าควบคุมลมไม่เก่งเหมือนนอร์ธวินด์  อีกอย่างที่นี่เป็นที่ปิด  แน่นอนว่าฤทธิ์ยามันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่พวกเราก็จะโดนไปด้วย”  ข้าอธิบาย  โซแวนเลยกลับไปครุ่นคิดเหมือนเดิม  ตอนนั้นเองที่มีทหารคนหนึ่งโวยวายว่าเจอพวกที่สลบอยู่ด้านนอกทำให้พวกข้าตื่นตระหนก

ทหารที่เฝ้าอยู่ต่างตกใจแล้วรีบตรวจสอบกันทันที  เร็นกับโซแวนเห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะพาข้าหนี  แต่จู่ๆ  ตรงหน้าก็มีทหารนายหนึ่งมาดักไว้

“ผู้บุกรุก!”  เขาตะโกนขึ้นทำให้ทหารคนอื่นมาล้อมดักทางพวกเราไว้  ข้ายืนนิ่งแต่ในใจยังคงกังวลอยู่  เพราะก่อนจะเริ่มแผนได้บอกไว้  จะทำร้ายพวกทหารได้ก็ต่อเมื่อเข้าตาจนเท่านั้น

แล้วดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีทางเลือกอื่น...

“ฝ่าบาท...ไม่สิ  องค์ชายทีอารีน...”  ทว่าทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้ากลับเบิกตากว้างเมื่อเห็นข้า  คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหยุดชะงักแล้วมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่ต่างกัน  ก่อนที่จะรีบคุกเข่าลง

“ค่อยยังชั่ว  ท่านยังปลอดภัย  พวกกระหม่อมดีใจจริงๆ”  น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื้นตันทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้  จนกระทั่งนายทหารคนเดิมพูดขึ้นมา  “ตอนนี้ข้าหลวงคนคนสำคัญต่างถูกผู้ชายคนนั้นควบคุมหมด  พวกข้าแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะเป็นเพียงผู้น้อยเท่านั้น ดีจริงๆ  ที่ท่านมาที่นี่”

“ผู้ถูกเลือกที่ถูกจับมาขังอยู่ที่ไหน”  โซแวนเอ่ยขึ้นทันทีทำให้พวกทหารเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พวกข้ามา 

“ท่านมาช่วยพวกเขาใช่ไหม  พวกเขาถูกขังไว้ที่ชั้นใต้ดิน”

“นำทางข้าไปหน่อยได้ไหม”  ข้าลองเอ่ยถามขึ้น  ทหารผู้นั้นพยักหน้าด้วยความยินดี  หันไปสั่งนายทหารให้เฝ้าสังเกตการณ์ไว้แล้วนำทางลงไปชั้นใต้ดิน  โซแวนเดินตามลงไปก่อนที่เร็นจะให้ข้าเดินต่อแล้วเขาปิดท้าย  ระหว่างนั้นข้าก็ได้ถามชื่อนายทหารคนนั้น  “เจ้าชื่ออะไร”

“เอ็ดมอนต์ขอรับ”  เขาหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม  ดูแล้วก็ยังคงเป็นหนุ่มที่ดูกระตือรือร้น

“ท่านมาช้าไปสักหน่อย”  เอ็ดมอนต์พึมพำขึ้นขณะที่ลงมาถึงชั้นที่เขาบอกว่าเป็นชั้นที่ไว้ขังพวกผู้ถูกเลือก  “เมื่อวาน  ชายคนที่อยู่กับพระราชาครีออนกลับมาแล้วมีสีหน้าโกรธใหญ่  เขาเลยสั่งพวกทหารให้จับผู้ถูกเลือกบางส่วนไป  ข้าไม่แน่ใจนักแต่ได้ยินเขาบอกว่าเอาไปให้พวกอสูรกิน”

ข้าชะงักไปวูบหนึ่งทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น  นั่นหมายความว่ามีบางส่วนที่ถูกสังหารไปแล้ว  และตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ลูซัสพาครีออนกลับมา  เพราะพวกข้า  เขาระบายความแค้นใส่ผู้ถูกเลือกที่เหลือ

“เจ้าสารเลวนั่น”  ข้ากัดฟันกรอดแล้วกำหมัดแน่น  หากสามารถช่วยคนที่เหลือได้เรียบร้อยแล้วจะกลับมาจัดการลูซัสอย่างแน่นอน

“ทางนี้ขอรับ”  เอ็ดมอนต์พาข้ามาหยุดอยู่หน้ากรงขังใหญ่กรงหนึ่ง  ในนั้นค่อนข้างมืดสลัวแต่ยังพอเห็นเงาร่างของคนอยู่บ้าง  เมื่อนายทหารจุดคบเพลิงที่อยู่ริมกำแพง  ทั่วทั้งบริเวณก็สว่างขึ้นมา  ภายในกรงนั้นมีทั้งชายและหญิงนั่งอยู่ร่วมกัน  เมื่อพวกเขาเห็นแสงสว่างก็หันมามองแล้วมีสีหน้าตกตะลึง

“ฝ่าบาท!?”  พวกเขาอุทานขึ้นเสียงเบาก่อนจะถลามาข้างหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ 

ข้าเข้าไปหาแล้วบอกกับพวกเขาเสียงเบา  “ไม่ต้องกังวลนะ  จะช่วยพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้แหละ”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นเสร็จ  ข้าก็ถอยห่างออกมา  โซแวนก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าข้าแทนแล้วบอกให้พวกผู้ถูกเลือกที่ถูกขังอยู่ถอยห่างออกไป  จากนั้นก็เรียกดาบออกมาฟันประตูจนซี่กรงเหล็กขาดออกจากกัน  เมื่อมีช่องกว้างพอจะให้เดินออกได้แล้ว  พวกเขาก็ทยอยเดินกันออกมา

เร็นกับทหารส่วนหนึ่งนำทางพวกเขาออกไปข้างนอกทันที  เอ็ดมอนต์บอกว่าผู้ที่ถูกจับมาขังไว้ในคุกใต้ดินหมดแล้ว  โซแวนจึงคิดจะกลับไปข้างบน  แต่เพราะข้ายังยืนนิ่งเขาจึงเดินเข้ามาถาม  “เป็นอะไรไป”

“ท่านพี่กับพวกเด็กๆ  ล่ะ”  ข้าหันไปถามเอ็ดมอนต์  อีกฝ่ายจึงนึกออก  “จริงด้วย...ปกติแล้วพวกเด็กๆ  กับท่านหญิงอีกท่านหนึ่งจะถูกขังแยกอยู่ที่ด้านบนขอรับ”

“ว่ายังไงนะ”  ข้าชะงักก่อนที่จะขมวดคิ้ว  มีที่ไหนที่จะใช้ขังพวกเขาได้บ้าง  แต่ระหว่างนั้นเอ็ดมอนต์ก็พูดขึ้นมาทันที

“ห้องที่อยู่ในสุดของปีกปราสาทฝั่งตะวันตกขอรับ”

“ข้าจะไปที่นั่น  โซแวน...จะมากับข้าใช่ไหม”  ข้าตัดสินใจในทันที  แล้วถามความเห็นกับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า  การมีเขาไปด้วยจะทำให้ข้าอุ่นใจมากขึ้น  แต่หากโซแวนปฏิเสธข้าก็คิดจะไปคนเดียว  เพราะยังไงก็ต้องช่วยพวกเด็กๆ  หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว  เมื่อลูซัสรู้ความจริงก็จะฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วน่ะสิ”  โซแวนตอบก่อนที่จะเข้ามาจับมือข้าไว้แล้วหันไปบอกอ็ดมอนต์  “ไปหาผู้ชายที่มากับพวกข้าซะ  แล้วบอกเขาว่าให้พาคนไปส่งก่อนแล้วรีบกลับมาที่นี่”

“ขอรับ”  เมื่อเอ็ดมอนต์รับทราบแล้วโซแวนก็พาข้าวิ่งขึ้นไปข้างบน  ปีกปราสาทฝั่งตะวันตกนั้นอยู่ไม่ไกลจากประตูด้านหลังปราสาทเท่าไรจึงวิ่งไปไม่นานก็ถึง  แต่ที่แปลกใจคือบริเวณนี้ไม่มีทหารยามเลย

“เกิดอะไรขึ้น”  ข้าชะลอฝีเท้าลงเพื่อดูสถานการณ์รอบๆ  ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งที่พื้นด้านหน้า

ร่างไร้ลมหายใจของทหารหลายคนนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น  คราบเลือดสดใหม่ชโลมไปทั่วจนกลิ่นเหม็นคาวจนแทบจะอาเจียน  ข้ารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้มีเสียงร้องเมื่อเห็นสภาพตรงหน้าครั้งแรก  จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ลดมือลง

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”  ข้าถามขึ้นด้วยความแปลกใจ  ก่อนที่จะมองไปที่โซแวน  เขาทำสีหน้าเครียดจัดก่อนที่จะวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว  ข้าจึงรีบวิ่งตามไป  ตามทางยังคงมีศพของทหารอยู่เรื่อย  ล้วนแล้วแต่ถูกสังหารด้วยอาวุธที่มีความคม

ขณะที่ใกล้ถึงด้านในสุดของทางเดิน  เสียงหวีดร้องของเด็กๆ  ดังขึ้นจึงเข้าใจว่าทำไมโซแวนถึงได้รีบวิ่งมา  เขารีบพังประตูเข้าไปด้านในทันที

ข้าชะงักไปทันทีเช่นเดียวกับโซแวน  ภาพเบื้องหน้าคือครีออนที่กำลังเงื้อดาบขึ้น  แม้จะกระตุกไปครู่หนึ่งเพราะโซแวนพังประตูเข้ามาแต่ก็เตรียมลงดาบใส่เด็กๆ  ที่นั่งกอดกันอยู่ตรงหน้า

หัวใจข้าพลันหล่นวูบไป  เพราะไม่ต้องการให้ครีออนฆ่าคนไปมากกว่านี้  ข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางทันที  “ครีออน  หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ทีอารีน  อย่า!”

ฉัวะ!

โซแวนพยายามตะโกนร้องห้ามและจะคว้าตัวข้าไว้  แต่ข้าวิ่งเข้าไปรับคมดาบแทนพวกเด็กๆ  ได้เสียก่อน  แม้ความเจ็บจะแล่นไปทั่วแต่ข้าก็กัดฟันฝืนใจยืนขวางไว้อยู่  สองมือกางออกเผื่อปกป้องพวกเด็กๆ  และท่านพี่  เมื่อเห็นดวงตาของครีออนก็คล้ายจะวูบไหวอยู่

“ครีออน  เลิกทำอะไรบ้าๆ  แบบนี้เสียที!”  ข้าตะโกนขึ้นจากความโมโหที่เก็บอยู่ข้างใน  ตัวเขาตรงหน้าข้าราวกับไม่ใช่น้องชายที่ข้ารู้จัก  ไอหมอกสีดำที่ลอยอยู่รอบๆ  คล้ายจะเข้มขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เจอกัน  เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด  ดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าพวกทหารที่อยู่ด้านนอกนั่น 

“ทีอารีน  เจ้าทำบ้าอะไร  แผลเจ้า...”  โซแวนรีบเข้ามาอยู่ข้างข้าแล้วตำหนิขึ้น  แผลที่ถูกครีออนฟันจากไหล่ขวาลงไปถึงเอวซ้ายไม่ใช่ตื้นๆ  มันลึกพอจะทำให้ตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหล  แต่สำหรับข้าแล้วมันไม่เป็นไร  ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการคุยกับคนตรงหน้าจึงหันไปบอกเขาว่า  “ไม่ต้องห่วง  เจ้าดูแลพวกเด็กๆ  กับท่านพี่ไปก่อน”

ข้าลดแขนทั้งสองข้างลงแล้วเดินเข้าไปใกล้ครีออน  เขาชะงักไปในทันที

“ครีออน  ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน  เขายังคงจับดาบแน่นเหมือนพร้อมทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ได้ทุกเวลา

“ทำไม...ทำไม...ท่านถามว่าทำไมงั้นหรือ”  เขาเริ่มเอ่ยขึ้น  ดูแล้วน่าจะยังมีสติพอที่จะคุยด้วยได้อยู่  ครีออนกัดฟันแน่นก่อนจะแผดเสียงออกมา  “เพราะข้าอยากช่วยท่านน่ะสิ!”

ข้าชะงักไปชั่วขณะ  ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีก  “ทั้งๆ  ที่ข้าทำให้ท่านเห็นตั้งหลายครั้ง  แต่ท่านก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกนี้เสียจริง...”

“เจ้าจะพูดอะไร”

“มนุษย์ทุกคนล้วนโหดร้าย  ไม่ควรค่าแก่การปกป้องสักนิด  ท่านก็เห็น  ยามที่ท่านถูกคำสาปไม่มีใครเห็นหัวท่านสักคน  แต่ท่านก็ยังก้มหน้ารับมันต่อไป  ยังยืนยันจะปกป้องพวกมัน  ยังรักพวกมัน  ทำไม...ทำไมถึงไม่เกลียดพวกมัน!”  เขาเอ่ยถามขึ้นราวกับอัดอั้นตันใจมานาน  ข้ายังไม่ทันได้ตอบอะไรเขาก็แผดเสียงขึ้นมา  “ทั้งๆ  ที่ข้าอยากปกป้องท่าน!  ทั้งๆ  ที่ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น  แต่ท่านก็ยังไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนี้  ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ทุกคน  คิดว่าตัวเองประเสริฐมาจากไหนกัน!”

“ครีออน...เจ้า”  ข้ามองคนตรงหน้านิ่งเมื่อทำอะไรไม่ถูก  เขากำลังสับสนและร้องไห้ออกมา 

“ท่าน...ท่านเกลียดข้าสินะ  เพราะท่านเกลียดข้าใช่ไหมถึงได้หนีออกไป”

ครีออนเงยหน้าขึ้นมาถามข้าแบบนั้นขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง  ก่อนที่เขาจะร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วกุมศีรษะแน่น

  ครีออนกำลังสู้กับตัวเอง  ตัวเองที่ถูกลูซัสควบคุม  เขาเองแม้จะถูกสังคมรอบข้างทำร้ายมาตั้งแต่เด็กๆ  จนเกลียดมนุษย์ไปก็ยังไม่ได้ทิ้งความเป็นมนุษย์ไปเสียทั้งหมด  และความเป็นมนุษย์นั้นจะช่วยผลักดันเขาขึ้นมา

“โซแวน  พาพวกเด็กๆ  กับท่านพี่ออกไปก่อน”  ข้าเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันไปบอกโซแวนที่อยู่ด้านหลัง  เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะยอมตอบรับในที่สุด

“ข้าจะรีบกลับมา”

“ไม่ต้องกลับมา  ข้าจะเป็นคนออกไปพบเจ้าเอง”  ข้ายิ้มให้เขาก่อนที่จะปล่อยให้โซแวนแปลงร่างเป็นคิเมร่าแล้วพาพวกเด็กๆ  ออกไป

“หยุดนะ!”  ครีออนที่ยังมีท่าทีปวดหัวอยู่กัดฟันเงยหน้าขึ้นมาตะโกนสั่งแล้วทำท่าจะวิ่งตามไป  แต่ข้าก็รีบใช้เวทแสงยิงดักหน้าเขาไม่ให้วิ่งออกไปและกลับมาสนใจข้า

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา  ครีออนชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่นอย่างบ้าคลั่ง 

“อย่าเข้ามา”  เขากัดฟันแน่น  เอ่ยซ้ำๆ  อย่างคนหวาดกลัว  “อย่าเข้ามา  อย่าเข้ามา  อย่าเข้ามา!!”

“ทำไมล่ะ?”  ข้าถามขึ้นเสียงเรียบ  ครีออนกระชับดาบในมือแน่นก่อนที่จะบอกด้วยแววตาสับสน

“ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้  ข้าต้องการที่จะสังหารทุกคน  ถ้าท่านเข้ามา...”

“ต่อให้เจ้าสับร่างข้าเป็นชิ้นๆ  ข้าก็จะไม่ตาย”  ข้าบอกกลับไปเสียงเรียบ  เพราะได้รับพลังของท่านลูซิฟรานมาทำให้ข้าตายไม่ได้  เขาชะงักไปครู่หนึ่ง  เนื่องจากเขาพยายามสู้กับตัวเองอย่างหนักทำให้ร่างกายของเขาเริ่มไม่ไหวและทรุดลงนั่งกับพื้น

“เจ้าคิดว่าข้าเอาแต่หนีเจ้าใช่ไหม  ไม่ว่าจะพยายามจับข้าไว้มากเท่าไร  ข้าก็จะเดินหนีเจ้าไปมากยิ่งขึ้นใช่ไหม”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ  ข้าเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นและเอ่ยต่อ  “ถ้าทำให้เจ้ามีความสุขได้  งั้นข้าก็จะเดินกลับมาหาเจ้าก็ได้”

ข้าหยุดลงตรงหน้าเขาแล้วคุกเข่าลงนั่ง  ดวงตานั้นวูบไหวไปชั่วขณะ  “แล้วจะทำอะไรข้าต่อล่ะ?  จะใช้ดาบนั้นฆ่าเลยไหม”

“อึก”  เขากัดฟันแน่นคล้ายกับฝืนตัวเองอยู่  ข้าจึงเริ่มพูด

“งั้นก็ฟังข้าซะครีออน  ก่อนอื่น  เจ้าเองก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกใบนี้”  ข้ามองเขา  มองลึกไปในดวงตาที่น่าสงสารนั้น 

“เติบโตมาโดยรู้จักโลกเพียงด้านเดียว  จริงๆ  แล้วเจ้าก็คือคนโชคร้ายคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ดีสำหรับเจ้า  เสด็จพ่อทำร้ายเจ้า  ทุกคนทำร้ายเจ้า  เจ้าถึงได้กลายเป็นแบบนี้”

เขาชะงัก  แต่เหมือนกับว่าจะไม่มีใจจะสังหารข้าแล้ว  “ตั้งแต่จำความได้  ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นน้องชายที่น่าสงสาร  ‘จะทำยังไงให้เจ้ายิ้มได้’  ข้าตั้งคำถามนี้กับตัวเองทุกเช้า  ข้าอยากช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากความมืด  แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งทำให้เจ้าก้าวล้ำมันไปสินะ...”

ข้าไม่ได้คำนึงถึงความคิดที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็กมา  ยิ่งข้าทำดีกับเขามากเท่าไร  ครีออนก็ยิ่งอยากจะครอบครองข้า  และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาตกไปอยู่ในความมืดมากขึ้น

“เจ้าทำให้คนทั้งโลกเกลียดข้า  แสดงให้ข้าดูว่ายามที่ตกต่ำก็ไม่มีใครมาช่วย  แต่ข้าก็ยังช่วยพวกเขา  รักพวกเขา  เจ้าคิดอย่างนี้ใช่ไหม?”  ข้าถามเขากลับไป  ครีออนไม่ตอบอะไรกลับมาซึ่งก็เป็นส่วนที่ข้าก็คิดไว้แล้วจึงได้พูดต่อ  “ทั้งหมดที่เจ้าคิดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว  ไม่รู้ทำไม  แต่ก่อนอื่นข้าก็ไม่ได้รักมนุษย์เสียเท่าไร  จะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะไม่ต้องการเห็นใครเดือดร้อนก็ว่าได้”

ข้ามองเขาอีกครั้ง  ครีออนกำลังหลบตาอยู่  แต่เขาไม่ได้ลุกหนีหรือคิดจะทำร้ายข้าแล้ว  อาจจะยังสับสนอยู่  “แต่เจ้ารู้ไหม  ข้าไม่ไว้ใจมนุษย์คนไหนเลยหลังจากที่โดนคำสาปมา”

ข้าหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะสวมกอดเขา  อ้อมกอดนั้นออกจะกะทันหันจนครีออนเองก็ไม่ทนตั้งตัว  เขานิ่งค้างไปขณะที่ฟังข้าพูด  “มนุษย์คนเดียวที่ข้าเคยไว้วางใจก็คือเจ้า...ครีออน  ต่อให้เจอกับสถานการณ์แบบไหน  แต่ถ้ามีเจ้าอยู่ข้างๆ  ก็จะไม่มีปัญหาอะไร  ข้าเคยคิดแบบนั้น”

ข้าละกอดจากเขาขณะสูดลมหายใจเข้า  น้ำเสียงของข้าเริ่มสั่นเมื่อคิดถึงความรู้สึกที่มากมายในอกนี้  ครีออนเองก็มีท่าทีตกใจและสับสน  เขาก็คงรู้ดีในสิ่งที่ข้าจะสื่อ

ข้าพยายามทำให้ตัวเองไม่แสดงความรู้สึกที่เก็บอยู่ออกมา  แต่ไม่เป็นผล  เมื่อน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาก็ยากที่จะห้ามหยดน้ำตาอื่นๆ  ให้ไหลออกมาด้วย

“ข้าเคยไว้ใจเจ้า  แต่ตอนนี้เจ้าเป็นคนทำลายความเชื่อใจนั้นไป”  ข้าสะอื้นไห้ตรงหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว  ความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ด้านในมันเต็มไปด้วยความเสียใจ  “แต่ว่า...แต่ว่า...ต่อให้เจ้าทรยศข้า  ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ลงดาบใส่ข้า  ข้าก็เกลียดเจ้าไม่ลงเลยสักครั้ง  ไม่เคยเลย”

ครีออนยังคงเงียบอยู่  แต่แววตาที่สับสนนั้นคล้ายจะทอความเจ็บปวดมาด้วย

เมื่อตัวข้าเองเริ่มควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้วจึงถามต่อแม้เสียงจะยังสั่นเครือ  “ครีออน...เจ้าอยากนำความเชื่อใจนั้นกลับมาหรือเปล่า”

เขาเบิกตากว้างทันทีด้วยความตะลึง  ข้าอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัวนั้นมอบจูบไปหนึ่งครั้ง  แม้จะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่ตอนนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่จะปลอบใจเด็กคนนี้ก็มีเพียงแค่นี้

เมื่อคิดว่าเหมาะสมแล้วข้าจึงถอนจูบนั้นออกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน  “กลับมาสิ  กลับมาเป็นครีออนที่ข้ารู้จัก  กลับมาเป็นน้องชายของข้า  ให้ข้าได้ปกป้องเจ้าในฐานะพี่ชาย”

“เสด็จ...พี่...”  เขาเอ่ยออกมาสั้นๆ  ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาในที่สุด  เขาระเบิดอารมณ์ผ่านน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา  “เสด็จพี่...ฮึก...ข้าอยาก...อยากอยู่เคียงข้างท่าน  แบบนี้มัน...ฮึก  ทรมาน  ทรมาน  ข้า...ช่วยข้าด้วย”

“ครีออน”  ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยความใจหาย  ดูเหมือนว่าเขาจะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่สับสนได้แล้ว  ข้าจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเขาออกแล้วกอดปลอบไว้  “ไม่เป็นอะไรแล้ว  ไม่เป็นอะไร  ข้าจะอยู่ข้างๆ  เจ้า  ปกป้องเจ้า”

ครีออนยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากอดปลอบข้า  ข้าคิดจะพาเขาหนี  ทว่าเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างหนักแน่นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง

“เป็นละครชีวิตที่น่าประทับใจจริงๆ  พี่น้องกลับมาอยู่พร้อมหน้า  น่าประทับใจจริงๆ  หึๆ”  เสียงหัวเราะอันแสนเยือกเย็นดังขึ้นจากลูซัสที่ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  ข้ารีบดึงครีออนให้ลุกขึ้นแล้วยืนขวางหน้าเขาไว้

“ลูซัส”

“กล้ามากที่เข้ามาในปราสาท...ไม่สิ  กล้ามากที่มาคนเดียวแบบนี้”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะผายมือมาข้างหน้าแล้วมองไปทางครีออน  “ฝ่าบาท  มาหาข้าสิ”

ครีออนชะงักไปชั่วขณะ  ข้ารีบยกมือขึ้นปกป้องเขาไว้ก่อนที่จะบอกกับลูซัสว่า  “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายครีออนไปมากกว่านี้แล้ว”

“โอ้  ช่างเป็นคำพูดที่สมกับฐานะพี่ชายจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยิ้มเยาะออกมา  ก่อนที่กระแสพลังรอบตัวเขาจะเริ่มก่อตัวขึ้น  “งั้นก็แสดงพลังในฐานะพี่ชายดูสิ”

เขาปลดปล่อยพลังเวทออกมาอย่างมหาศาลทำให้ข้าเองยังขนลุกขึ้นมา  ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้  ต้องหาทางหนี

ลูซัสพุ่งเข้ามาทันทีในขณะที่ข้ายังตั้งตัวไม่ได้  แต่ขณะนั้นภูตสีฟ้าที่ไว้ใช้ติดต่อกันก็เด้งตัวขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อของข้าแล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น

“กำลังไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับ!”

ตูม! 

โครม!

เสียงคล้ายระเบิดดังกึกก้องขึ้น  ก่อนที่ลูซัสจะกระเด็นไปติดกำแพงอีกฝั่ง  ข้ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเศษอิฐที่ปลิวมาทำให้ต้องรีบกดครีออนลงนั่งเพื่อหลบมัน  ฝุ่นสีน้ำตาลลอยคลุ้งไปทั่วห้อง

ข้าเงยหน้าขึ้นมองตามที่มาของเสียง  พบว่ากำแพงของห้องนี้กลายเป็นรูกว้างจนเห็นทิวทัศน์ข้างนอก  เมื่อฝุ่นจางลงไปแล้วจึงได้เห็นคนที่ยืนตรงหน้า

เด็กหนุ่มผู้มีเปลวไฟลอยวนอยู่รอบๆ  บนแผ่นหลังของเขาปรากฏปีกเพลิงขนาดยักษ์อยู่  อาคีรัสรีบหันมากลับมาหาพวกข้าแล้วร้องถามว่า  “ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะขอรับ”

“อื้ม  ไม่ได้เป็นอะไร”  ข้าตอบกลับไปแม้จะยังอึ้งอยู่  จริงๆ  ตอนแรกก็เตรียมอาคีรัสไว้ช่วยในกรณีฉุกเฉินข้างนอกถ้าถูกไล่ตาม  จึงกำหนดให้เขาอยู่ไกลจากปราสาทเสียหน่อย  ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาด้วยการพุ่งมาทำลายกำแพงแบบนี้

“ถ้างั้นหนีกันเถอะขอรับ”  เขาเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงมาโอบกอดข้าไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็คว้าเอวครีออนไว้  จากนั้นก็ยกขึ้นอุ้มพวกข้าอย่างง่ายดาย

“หึ  ฝ่าบาท”  เสียงเย็นเยือกของลูซัสดังขึ้น  เมื่อข้าหันไปมองก็เห็นเขายืนนิ่งอยู่ตรงจุดที่อาคีรัสต่อยส่งไป  แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากกว่าปกติ  “ถ้าเจ้าคิดจะหนีไป  เจ้าจะต้องพบกับความเจ็บปวดถึงที่สุด”

ครีออนกับข้านั้นงุนงงกับคำกล่าวนั้น  หากเป็นคนทั่วไปอาจจะคิดว่านี่เป็นประโยคตัดพ้อ  แต่ถ้าออกมาจากปากลูซัสก็อาจแฝงความหมายอะไรไว้  แต่ตอนนั้นอาคีรัสก็กระโดดออกมาจากปราสาท  กางปีกเพลิงที่แผ่สยายไปกว้างกว่าเดิมแล้วโผบินออกไปท่ามกลางราตรีที่ปราสาทเริ่มวุ่นวาย

เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดรวมตัวที่ที่อยู่ในป่าต้องห้าม  อาคีรัสวางข้ากับครีออนลง  ข้ารีบเข้าไปหาน้องชายทันที  แต่ตอนนั้นเองที่คล้ายกับตัวเขาแข็งค้างไปชั่วขณะแล้วทรุดลงกับพื้น  ไอโขลกออกมายกใหญ่จนมีเลือดสีดำออกมา

ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ร่างกายของเขาตอนนี้โดนความมืดกัดกินไปมากจนมีอาการย่ำแย่  และตอนนี้เหมือนกับว่าไอความมืดที่ลูซัสมอบให้ครีออนเองก็เริ่มทำร้ายเขา

น้องชายของข้าไอโขลกด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะล้มลงไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนโดยเฉพาะข้าที่คล้ายกับถูกบีบหัวใจให้แหละละเอียด

“ครีออน!  ครีออน!”


ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
หูยย นางเองก็เจ็บไม่น้อยนิ ยังห่วงน้อง
ถ้าหาย ควรส่งครีออนไปบวช
ความมืดจะได้หมดไป

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 31
เพลิงขจัดมาร

“ครีออน!”

เมื่อเห็นครีออนล้มลงไป  หัวใจข้านั้นก็เหมือนจะถูกบีบให้แหลกลง  ข้ารีบวิ่งเข้าไปหาเขา  แล้วประคองขึ้นมาท่ามกลางความตกใจของทุกคน

ครีออนมีสีหน้าซีดเผือดดูทรมาน  มือของเขาเย็นจัด  และหอบหายใจถี่  เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า  “ครีออน  ทำใจดีๆ  ไว้  จะรีบช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”

“เดี๋ยวก่อนทีอารีน  เจ้าจะใช้พลังเวทของเจ้าไม่ได้นะ”  ทว่าโซแวนกลับหยุดมือที่เตรียมจะร่ายเวทของข้าไว้  ก่อนที่เขาจะเสริม  “พลังของเจ้าจะเข้าไปตีกับมนตร์ดำพวกนั้นแล้วทำให้ร่างกายของเขายิ่งแย่ไปกันใหญ่”

“แต่จะให้ทำยังไงล่ะ!”  ข้าร้องตะโกนขึ้นด้วยความสับสน  ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมา 

“อึก...อ้าก!”  ครีออนร้องขึ้นอย่างทรมาน  ร่างกายของเขาบิดไปบิดมาด้วยความเจ็บปวด  ดูแล้วยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเจ็บหัวใจไปด้วย  ข้ากุมมือของเขาไว้เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย  อีกฝ่ายบีบมือแน่นยิ่งรับรู้ได้ว่าเขาเจ็บปวดมากเท่าไร

“ฝ่าบาท  ให้ข้าช่วยนะ”  ข้าหันไปตามเสียงก็เห็นอาคีรัสกำลังนั่งลงอยู่ข้างๆ  เขามีสีหน้ากังวลและเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด  เพราะเห็นข้ามีท่าทีสับสนเขาเลยบอกต่อว่า  “ข้าคิดว่าข้าจัดการได้”

“เจ้าจะทำอะไร”  ข้าถามขึ้น  เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย 

“ไฟของข้าสามารถกำจัดความมืดได้...ผู้วิเศษเคยบอกเช่นนั้น  ถึงข้าจะยังควบคุมมันไม่ค่อยเก่งเท่าไรแต่เพื่อช่วยเขาล่ะก็  ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

แม้ว่าจะมีท่าทีไม่แน่ใจแต่ดวงตาของอีกฝ่ายมุ่งมั่นกับสิ่งที่จะทำอย่างมาก

“เจ้าช่วยเขาได้หรือ”  ข้าถามย้ำอีกครั้งด้วยความดีใจ  เขาพยักหน้ายิ่งทำให้ข้าใจชื้นรีบขอร้องอาคีรัสว่า  “ขอร้องล่ะ  ช่วยเขาด้วย  ได้โปรด”

“ข้าทราบแล้ว”  อาคีรัสพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาประคองครีออนไปจากข้าแล้วบอกว่า  “ท่านต้องไปอยู่ห่างๆ  ก่อน  ข้าไม่แน่ใจว่าไฟจะไปทำร้ายคนอื่นไหม”

“ได้  แต่เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  ข้ามองหน้าครีออนก่อนจะถามอาคีรัส  เขาพยักหน้าตอบรับทำให้ข้าพอจะเชื่อใจได้ 

“ถอยออกมาก่อนเถอะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนจะจับข้าให้ลุกขึ้นแล้วถอยห่างออกมาเหมือนคนอื่นๆ  เมื่อคิดว่าจะไม่มีใครได้รับอันตรายแล้วอาคีรัสจึงยกครีออนขึ้นมากอดไว้  รอบๆ  ตัวพวกเขามีไฟลุกขึ้นมาจากพื้น  บ้างก็ก่อตัวในอากาศ  หมุนวนไปรอบๆ

“อ้าก...ฮึก  อ้าก!!”  ครีออนกรีดร้องขึ้นเมื่อร่างกายของเขาถูกเผาด้วยไฟ  ร่างนั้นพยายามดิ้นไปมาแต่ถูกอาคีรัสกอดรั้งไว้เลยสลัดไปไม่ได้  เวลาผ่านไปราวสามสิบนาที  ในที่สุดไฟของอาคีรัสก็ดับมอดลงพร้อมกับเสียงของครีออนที่เงียบลง

อาคีรัสปล่อยให้ครีออนล้มไปนอนกับพื้น  น้องชายของข้าสลบไปแล้ว  ส่วนเขาก็ใช้แขนยันพื้นไว้แต่ดูท่าทางแล้วก็คงเหนื่อยเอาการ  ข้ากับโซแวนจึงเข้าไปหาพวกเขา

“ไหวหรือเปล่า”  โซแวนหันไปถามอาคีรัสขึ้น  ฝ่ายหลังขืนยิ้มให้ทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อแล้วขยับถอยไปจากครีออน 

“สบายมาก...ขอรับ”

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามโกหกแบบนั้นแต่สุดท้ายร่างของอาคีรัสก็โงนเงนแล้วล้มลงไป  แต่ดีที่โซแวนคว้าไว้ได้  เขาสลบไปแล้ว  พวกข้าจึงรีบพาทั้งสองคนไปพักผ่อน

อาคีรัสนั้นว่ากันจริงๆ  แล้วแค่หลับไปเพราะใช้พลังเยอะ  คาร์ริต้าบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องเป็นกังวล

ก็มีเพียงแค่น้องชายของข้า  แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว  แต่ดูเหมือนว่ายังต้องพักฟื้นอีกสักพัก

จนกระทั่งผ่านมาสองวันแล้วก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา  ข้าที่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดก็อดเป็นกังวลไม่ได้

“เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ”  ข้าพึมพำขึ้นขณะที่ลูบแก้มของเขา  สีหน้าครีออนดีขึ้นมากกว่าตอนแรก  แต่คงเพราะเหนื่อยมากเลยยังหลับอยู่

“เจ้านี่แข็งแกร่งอยู่แล้ว  ไม่เป็นอะไรหรอก”  เสียงหนึ่งดังขึ้น  ข้าจำได้อยู่แล้วว่าเป็นโซแวน  เพราะนี่เป็นที่พักพิเศษของเขาจึงมีแค่พวกข้าที่เข้ามาได้ 

ข้าต้องขอร้องเขาอยู่พักหนึ่งถึงจะยอมให้ครีออนมาพักได้โดยมีข้อแลกเปลี่ยน

สาเหตุที่ข้าอยากให้เขาพักที่นี่นั้นเพราะกังวลว่าลูซัสจะตามหาจนเจอ  ที่นี่มีผนังเวทมนตร์ที่ต้านทานการค้นหาทุกอย่างทำให้ปลอดภัยกว่าข้างนอก

“แล้วทำไมเขายังไม่ฟื้นล่ะ”  ข้าหันไปถามเขา  ยังไงก็ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบอยู่แล้ว  โซแวนเดินเข้ามาใกล้แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ข้า

“ไม่รู้สิ  เจ้าหนูนี่อาจจะอยากให้ข้าทำกับเจ้าก็ได้”  เขาว่าพร้อมกับแสยะยิ้มเล่นเอาข้าชักสีหน้าออกมา  จะว่าไปแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดกับนิสัยแบบนี้ของโซแวนขึ้นมา  แต่คนที่ผิดก็คงเป็นข้าที่ไปรับปากแบบนั้นกับเขา

จนกว่าครีออนจะฟื้น  ข้าจะต้องยอมนอนกับเขาทุกวัน  สองคืนที่ผ่านมาข้าก็อยู่กับเขาจนเช้า  พอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วข้าก็คิดว่าโซแวนเป็นผู้ชายที่หิวกระหายแถมหน้าไม่อาย เหมือนเช่นตอนนี้...

“เอามือออกไป”  ข้าสั่งเสียงเรียบขณะจับมือที่ยื่นมาโอบเอวข้าไว้  ถ้าแค่โอบก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่การเลื่อนต่ำลงไปกว่านั้นก็รู้แล้วว่าไม่มีเจตนาดีอยู่เลย

“มาเขินอายอะไรตอนนี้  ที่ผ่านมาเจ้าก็ทำหน้าที่ได้ดีเลยนี่”  เขาบอกพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม  หากว่าไม่ลงมือหยิกไปก็คงไม่ชักมือกลับ 

ข้าถอนหายใจออกมาก่อนจะบอกว่า  “ไม่ได้อายแต่นี่ยังไม่ถึงกลางคืนสักหน่อย”

“ใครบอกว่าข้าจะทำแต่ตอนกลางคืน”  เขาเลิกคิ้วใส่แล้วถามเช่นนั้นทำให้ข้าชะงัก  นั่นเป็นความจริงที่เขาไม่เคยบอก 

“แต่มันควรรู้ได้ด้วยตัวเองนี่”

“หนุ่มน้อย  การร่วมรักกันไม่เคยมีข้อจำกัดว่าต้องเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นนะ”  เขาว่าพร้อมขยับมือกอดข้าไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงที่ไหล่ขวา  “อยากเมื่อไรก็ทำ”

“ข้าว่านั่นเป็นตรรกะของเจ้าคนเดียวมากกว่า”  ข้าย้อนกลับไปแล้วดันเขาออก  ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ถ้าอยู่แบบนั้นไปนานๆ  ก็คงจะไม่ได้จบที่กอดเป็นแน่

โซแวนมีท่าทีหงอยไปทันทีแล้วถอยออกไป  แต่ข้าพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปเฝ้าครีออนต่อ  เขายังคงหลับอยู่เหมือนเดิม

“หรือว่า...ครีออนจะไม่อยากตื่นมาเห็นหน้าข้ากันนะ”  ข้าพึมพำขึ้น  ถ้ามาลองคิดดู  ตัวข้าก็มีส่วนเต็มๆ  ในการทำให้เขาต้องมาทรมานแบบนี้  หากว่าข้าไม่ทำให้เขายึดติดมากขนาดนี้...ครีออนก็จะไม่เจ็บปวดอะไร

“มีหรือที่เจ้าคนแบบนี้จะไม่ตื่นมาหาคนที่รัก”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้  แม้ว่าจะมีท่าทีหงุดหงิดทุกครั้งที่เข้ามา  แต่เขาก็มักจะมานั่งอยู่ข้างหลัง  คอยช่วยข้าเฝ้าครีออนอยู่เสมอ  แม้ว่าเจ้าตัวจะอ้างจุดประสงค์ว่ารอตกกลางคืนเพื่อที่จะได้นอนกับข้าก็เถอะ

ข้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  ขณะที่เขาเข้ามาใกล้เพื่อโอบไหล่แล้วถามว่า  “นี่  ขอจูบได้ไหม”

“หา?”  ข้าร้องขึ้นด้วยความสงสัย  แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรโซแวนก็ฉวยโอกาสนั้นจับใบหน้าแล้วก้มลงมาจูบทันที

จูบนั้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่พวกข้าเคยทำกัน  ยิ่งเนิ่นนานเพียงใดก็ยิ่งทำให้ลุ่มหลง  ยิ่งตวัดพันลิ้นกันมากเท่าใดไฟราคะในอกก็ยิ่งลุกไหม้  ข้าเกร็งตัวจนเผลอบีบแขนทั้งสองข้างของเขาแน่น  นิ้วมือเรียวนั้นลูบต่ำลงอยู่ในสาบเสื้อยิ่งทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด

ข้าฝืนตัวดันเขาออกก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น  “บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ได้”

“หืม?  ทำไมล่ะ”  โซแวนเลิกคิ้วถามย้ำ  “หรือเพราะอยู่ตรงหน้าน้องชายเจ้าเลยไม่อยากทำงั้นเหรอ  ไม่เอาน่า  สองคืนที่ผ่านมาเราก็ทำกันที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

“แล้วเจ้าคิดว่าที่ผ่านมาข้าเต็มใจหรือเปล่าล่ะ”  ข้าถามกลับ  สองคืนที่ผ่านมา  เพราะข้าไม่ยอมออกจากห้องนี้  เขาก็เลยร่วมรักกับข้าในห้องนี้  ข้าทั้งกังวลทั้งอายว่าถ้าเกิดครีออนตื่นขึ้นมาเห็นภาพแบบนั้นจะเป็นยังไง  นั่นทำให้ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมเลย

“ให้ตายสิ  ข้าชักหึงเจ้าขึ้นมาทุกทีแล้ว”  เขาว่าเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางครีออนแล้วบ่นพึมพำ  “ดูสิ  เพราะเจ้าไม่ยอมตื่นมา  ทีอารีนเลยไม่ยอมทำตัวดีๆ  กับข้าเลย”

“เจ้าพูดไปเขาก็ไม่ได้ยินหรอก  หืม?...”  ข้าบอกกับเขาก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างได้  นิ้วมือของครีออนกระตุกครั้งหนึ่งขณะที่หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทำให้ข้าเบิกตากว้าง

“ครีออน!”  ข้าแทบจะพุ่งตัวไปหาน้องชายที่นอนอยู่ทันที  เขาค่อยๆ  ลืมตาขึ้นมา  สีหน้าดูสบายดีไม่เจ็บปวดตรงไหนก็ทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก  ครีออนมองข้าโดยไม่พูดอะไรก่อนจะกวาดสายตาไปมองรอบๆ  แล้วตาของเขาก็กระตุกเมื่อเห็นโซแวน

“เจ้า...”  เขาเอ่ยค้างไว้  สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามแต่ไม่ได้พูดออกมา  ข้าประคองครีออนให้นั่งแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า  “ครีออน  เจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม?”

“...ขอรับ”  ครีออนขานรับเสียงแหบแห้ง  เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นคลำลำคอตัวเองก็ทำให้ข้านึกได้แล้วรีบวิ่งไปหยิบแก้วรินน้ำใส่มาให้ทันที 

“ค่อยๆ  จิบนะ”

ข้าค่อยๆ  ประคองแก้วน้ำให้อีกฝ่ายจิบไปเรื่อยๆ  ขณะที่โซแวนก็พูดแซะขึ้นมา  “โห  ตื่นมาได้ขัดจังหวะพอดีเลยนี่  น่าเสียดายจัง  ถ้าเจ้ายังหลับอยู่  ทีอารีนก็คงเสร็จข้าไปอีกรอบแล้ว”

“โซแวน!” 

“อึก...แค่ก”  เพราะฟังที่โซแวนพูด  ครีออนเลยสำลักน้ำทันทีข้าเลยหันไปตวาดใส่โซแวนยกใหญ่  แต่ก่อนหน้าที่จะลุกไปหาเขา  ครีออนก็ดึงข้าไว้แล้วมองลอดคอเสื้อข้าเข้าไปแล้วก็ไอออกมาอีกเฮือกหนึ่งยิ่งทำให้ข้าตกใจมากกว่าเดิม  โซแวนเลยหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

พอหายไอแล้วครีออนก็ลุกขึ้นมาทะเลาะกับโซแวนต่อส่งผลให้ห้องเกิดเสียงอึกทึกวุ่นวายจนข้างนอกเข้ามาดู  น้องชายข้าโมโหอยู่ยกใหญ่ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“เจ้าไหวหรือเปล่า”  ข้าถามด้วยความเป็นห่วงขณะนั่งข้างเขา  แต่ครีออนก็มิวายโดนโซแวนแซะต่อว่า  “ลุกขึ้นมาทะเลาะได้ขนาดนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะมั้ง”

“หุบปากเจ้าคนชั้นต่ำ...ข้าไม่เป็นอะไร  เสด็จพี่  แค่เวียนหัวนิดหน่อย”  ครีออนเค้นเสียงตะคอกใส่อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วหันมามองกับข้าด้วยน้ำเสียงปกติ  ข้าพยายามจะไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนในเวลานี้แล้วยิ้มอย่างโล่งอก 

“ค่อยยังชั่ว  เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“เสด็จพี่ต่างหาก  ไม่เป็นอะไรใช่ไหม  ไม่ได้ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดบ้านี่ทำร้ายใช่ไหม”  ครีออนถามข้าด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะหันไปมองโซแวนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ข้าไม่เป็นอะไร  สบายดี”  ข้าตอบเขาไปเช่นนั้นแต่ครีออนกลับทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ สายตาของเขาหยุดมองที่คอข้าทำให้รู้สึกตัวแล้วหันไปมองโซแวนตาขวาง

เขาชอบทิ้งรอยไว้บนตัวข้า  แล้วกำชับว่าห้ามลบออก  ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  แต่พอเห็นเขาทำสีหน้าสะใจใส่ครีออนก็พอจะเดาสาเหตุได้แล้วเลยลุกขึ้นไปตีเขาหนึ่งครั้ง 

“หยุดแกล้งน้องชายข้าได้แล้ว”

“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย...”

“โกหกชัดๆ”  ข้าสวนกลับไปก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันไปหาเร็นที่ยืนรออยู่ที่ประตู  “เร็น  ขอโทษนะ  ช่วยเตรียมอาหารให้หน่อยสิ”

“รับทราบขอรับ  รอสักครู่นะขอรับ”  เร็นก้มหัวลงน้อมรับคำสั่งแล้วเดินออกไป  กลุ่มที่ยืนมุงอยู่ก็สลายไปทำหน้าที่ของตน  ข้าชะโงกหน้าออกมาดูก็พบคนบางคนอยู่

เขามักจะมาเฝ้าอยู่ข้างนอกเสมอตั้งแต่รู้สึกตัว  อาคีรัสนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ  ประตู  ดูแล้วคงเพลียจัดจนผล็อยหลับไป  ข้าเลยลองเดินเข้าไปปลุกดู

“งืม...ฝ่าบาท”  เขางึมงำขึ้นเมื่อลืมตามาเห็นข้าก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงไปอีกรอบทำให้ข้านึกขำ 

“ตื่นได้แล้ว  ถ้าเจ้าเหนื่อยมากก็กลับไปพักผ่อนเถอะ  ครีออนตื่นแล้ว  ไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้ว”

“ขอรับ...หืม?  ครีออนตื่นแล้วหรือขอรับ?”  อาคีรัสดีดตัวขึ้นมายืนด้วยสายตาประหลาดใจ  พอข้าพยักหน้าเป็นคำตอบดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีแล้วพุ่งตัวไปดูหน้าห้องแล้วร้องขึ้นด้วยความดีใจ  “ตื่นแล้วจริงๆ  ด้วย!”

อาคีรัสนั้นแสดงความดีใจออกมาอย่างล้นพ้น  เขาที่เคยปฏิบัติตามกฎที่ว่าห้ามเข้าไปในห้องตอนนี้ก็ไม่สนใจอะไรแล้วพุ่งเข้าไปทันทีท่ามกลางความตกใจของครีออนจากนั้นก็กระโดดกอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจ

“ฟื้นแล้ว!  มันได้ผล!  ฮะๆ”

“เฮ้ย  อาคีรัส  เดี๋ยวคุณหนูผู้อ่อนแอก็กระดูกหักหรอก”  โซแวนเตือนขึ้นทำให้อาคีรัสได้สติ  เขารีบละกอดครีออนแล้วก้มลงไปขอโทษขอโพยใหญ่ 

“ขอโทษนะ!  ข้า...ลืมตัวไปหน่อย  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่หรอก”  ครีออนตอบเสียงเรียบ  ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ  “เจ้าคือคนที่เข้ามาคุยกับข้าบ่อยๆ  ใช่ไหม”

“อาคีรัสเป็นคนที่ช่วยเจ้าไว้น่ะ  จำได้หรือเปล่า”  ข้าเสริมขึ้นทำให้ครีออนนึกอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า 

“ข้านึกไม่ออกว่าก่อนที่จะหมดสติไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“งั้นเหรอ”  ข้าพึมพำเบาๆ  ก่อนที่ครีออนจะหันไปถามอาคีรัสว่า  “เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้งั้นสินะ  ทำไมล่ะ?”

“ก็...”  อีกฝ่ายกลอกตาไปมาหลังจากถูกถามแบบนั้น  “ก็คงเพราะเจ้ายอมรับข้าเป็นเพื่อนนี่  อีกอย่าง...ฝ่าบาทก็ไม่อยากเสียเจ้าไป  ข้าก็ไม่อยากเสียเจ้าไปด้วย”

อาคีรัสพูดเช่นนั้นพร้อมกับที่ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ  ครีออนเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเช่นนั้น  เขาเงียบไปสักพักก่อนจะยิ้มบางๆ  ออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง  “ขอบใจนะ”

นั่นทำให้อาคีรัสเผยยิ้มไร้เดียงสาออกมา  ข้ามองดูครีออนอย่างพิจารณา  ดูเหมือนตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นคนเดียวที่ครีออนยอมเข้าหาอย่างเต็มใจ

บรรยากาศในห้องตอนนี้เลยดูเหมือนมีดอกไม้เล็กๆ  บานอยู่...พอเห็นครีออนอยู่กับเพื่อนแล้วข้าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ขอโทษที่ทำให้รอขอรับ  อาหารพร้อมแล้ว”  เร็นเอ่ยขึ้นขณะนำถ้วยใส่ซุปเดินเข้ามาในห้องแล้วยื่นให้แก่ครีออน  อีกฝ่ายรับไปถืออยู่พักหนึ่ง  เหมือนเขาอยากจะมั่นใจว่าไม่มีพิษก่อนแล้วค่อยกิน

“ถ้างั้นพวกข้าออกไปดูข้างนอกสักครู่นะ  อาคีรัส  เจ้าอยู่กับครีออนที่นี่เถอะ”  โซแวนเป็นคนเอ่ยขึ้นขณะเดินมาลากข้ากับเร็นออกไปข้างนอกทิ้งให้ครีออนอยู่กับอาคีรัส

“ฝ่าบาท”  และเมื่อข้าออกมาข้างนอกก็พบผู้ถูกเลือกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทันทีด้วยสีหน้าเครียดจัด 

“ข้าได้ข่าวว่าครีออนฟื้นแล้ว”

“ใช่”  ข้าตอบไปสั้นๆ  และสังเกตดูท่าทีของเขา  อีกฝ่ายไม่รอช้ารีบพูดต่อทันที 

“แบบนี้อันตรายนะขอรับ  ทางที่ดีเราควรรีบกำจัดเขา”

“ทำไมล่ะ?”  ข้าถามกลับเสียงเรียบ  “เคยบอกไปแล้วนี่ว่าก่อนหน้านี้เขาถูกควบคุมอยู่”

“แต่เขาก็เป็นต้นเหตุให้มันเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้นนะขอรับ  ท่านจะทำเมินไม่เห็นความผิดเพราะเขาเป็นน้องชายของท่านไม่ได้นะ”  เขาเอ่ยขึ้นโดยมีผู้ถูกเลือกคนอื่นเห็นด้วย  พวกโซแวนเองก็ยังไม่ได้พูดอะไร  ไม่มีท่าทีเห็นด้วยกับเขาแต่ก็ไม่ได้จะเข้าข้างข้า

ครีออนเป็นหนึ่งในต้นเหตุของหายนะครั้งนี้ก็จริง  แต่สาเหตุหลักนั้นหากมองให้ลึกกว่านั้นก็เป็นเพราะลูซัสหว่านล้อมชุบแนวคิดแบบนั้นให้เขาตั้งแต่เด็กจนแยกแยะผิดถูกไม่ออก

“ข้าไม่ได้เข้าข้างเขาเพราะเขาเป็นน้องชายของข้า”  ข้าตอบกลับไปเสียงเรียบ  “ข้าแค่เห็นว่าเขาเป็นเด็กไร้เดียงสาที่แยกแยะผิดถูกไม่ออก  ลองให้การอภัยดูก็ไม่เสียหาย”

“แต่ว่า...”

“ถ้าครีออนทรยศเจ้าขึ้นมาอีก  เจ้าจะทำยังไงล่ะ”  จู่ๆ  วารันก็ถามขึ้น  ทำให้คนที่พยายามพูดอยู่เงียบลง  ทุกสายตาหันมามองข้าคล้ายกับรอคำตอบ  “เจ้าจะฆ่าเขาไหม”

“ถ้าวันนั้นมันมีจริง  ข้าจะเป็นคนลงมือปิดปัญหานี้เอง”  ข้าตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเดินไปทางอื่น  พวกโซแวนเดินตามมาห่างๆ  พอพ้นระยะสายตาพวกผู้ถูกเลือกแล้วข้าก็เลือกที่จะนั่งบนโขดหินรอพวกเขาพูด

“ข้าบอกแล้วว่าครีออนจะไม่ได้รับการยอมรับ”  โซแวนเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะตำหนิ  “แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีเจ้าก็ดันเอาตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีก”

“เจ้าหมายถึงที่ข้าพูดเมื่อกี้น่ะเหรอ”  ข้าถามกลับ  เขาจึงพยักหน้าตอบกลับมาแล้วบอกว่า  “ใช่  ถ้าครีออนมาได้ยินเข้าจะไม่ทำให้เขาอยากกลับไปร่วมมือกับลูซัสชิงตัวเจ้าไปหรือไง”

“ถึงเมื่อกี้ข้าจะบอกว่าเขาเป็นเด็กไร้เดียงสา  แต่ข้าคิดว่าครีออนก็โตพอจะแยกแยะเรื่องแบบนี้ออกนะ”  ข้าบอกกับเขาเช่นนั้นก่อนที่จะส่งยิ้มให้  “ไม่ต้องห่วง  เขาจะไม่มีวันกลับไปร่วมมือกับลูซัสแน่นอน  เพราะทางนี้น่ะมีข้าอยู่  แล้วถ้าพวกเจ้าต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นล่ะก็  เด็กคนนั้นต้องประทับใจแน่ๆ”

“เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีบางคนไปชวนคุณชายนั่นทะเลาะอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”  วารันพึมพำขึ้นทำให้โซแวนสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองตาขวาง 

“ก็นะ  โซแวนน่ะเป็นข้อยกเว้น  ต่อให้ผ่านไปสักกี่ร้อยปีท่านครีออนก็ไม่มีทางญาติดีกับโซแวนแน่นอนขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงมั่นใจจนทำให้เพื่อนที่อยู่ข้างๆ  หันมามองแล้วโดนทำตาขวางใส่ไปอีกคน

“แต่ข้าคิดว่าแค่ให้เขาอยู่กับพี่ชายอันเป็นที่รักแล้วก็คงไม่ทรยศกลับข้างอีกหนหรอก”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นหลังจากวิเคราะห์อยู่นาน  ซึ่งคาร์ริต้าเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็มั่นใจเช่นนั้น”  ข้าตอบกลับไปก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วบอกว่า  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปดูอาการของเขาหน่อย  ถ้าหากหน่วยสอดแนมที่ส่งไปกลับมาก็บอกข้าด้วยละกัน”

“ขอรับ”

สภาพร่างกายของครีออนกลับมาเป็นปกติแล้ว  ไม่ถึงครึ่งวันดีเขาก็สามารถเดินออกมาข้างนอกได้  แม้ว่าพวกเร็นจะปฏิบัติอย่างดี  แต่สายตาของผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  ที่มองครีออนนั้นก็รับรู้ได้ชัดเจนว่ารังเกียจ  น้องชายข้านิ่งเงียบขึ้นมากกว่าปกติจนข้าคิดว่าให้เขาอยู่ตรงลานที่ชุมนุมต่อไปคงไม่ดีเลยพาแยกออกมาทางป่า

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  ข้าถามขึ้นหลังจากห่างพวกผู้ถูกเลือกมาแล้ว  ครีออนที่ก้มหน้ามาตลอดจึงเงยหน้าขึ้นแล้วตอบเรียบ

“ข้าไม่เป็นอะไร”

“งั้นเปลี่ยนคำถาม  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”  ข้าไม่ใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ  ครีออนเงียบไปอยู่นานจนในที่สุดก็พูดขึ้นมา

“ท่านคิดดีแล้วหรือที่จะให้ข้ามาอยู่ที่นี่  ร่วมมือกับพวกท่านปราบลูซัส”  เมื่อได้ยินครีออนพูดแบบนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้คิดกังวลไปถึงขนาดไหน

“คิดดีแล้วสิ  เจ้าเองก็แข็งแกร่ง  ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ามาร่วมรบด้วยต้องชนะลูซัสอย่างแน่นอน”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แต่พวกเขาไม่ต้อนรับข้า”  ครีออนพึมพำขึ้น  นั่นคงหมายถึงผู้ถูกเลือกคนอื่น 

“ไม่ต้องห่วง  ถ้าพวกเขาคิดจะทำอะไรเจ้า  ข้าจะปกป้องเอง”

“ท่านพี่...”

“หากว่าพวกเขาไม่ยอมรับเจ้าล่ะก็  พิสูจน์ตัวเจ้าเองสิ  ว่าเจ้าต้องการอยู่ข้างนี้  ต้องการเคียงคู่กับข้า”  ข้าบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ครีออนพยักหน้าตอบรับ  ดูเหมือนเขาจะตัดปัญหาเรื่องนี้ไปจากใจแล้ว  แต่ต่อว่าก็ถอนหายใจอีกทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้  “เป็นอะไรไป”

“ข้าทำใจไม่ได้”  เขาเอ่ยขึ้นทำให้ข้าขมวดคิ้ว  “เรื่อง?”

“เรื่องที่ท่านไปลงเอยกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น”  เขาบอกขึ้นน้ำเสียงเจือไปด้วยความเจ็บใจแล้วดึงข้าไปกอดไว้  “มันดีกว่าข้าตรงไหน”

“จะให้ข้าบอกไหมล่ะ?”

“อย่า”  เขาร้องห้ามเสียงเบาทำให้ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้  ครีออนยังคงกอดข้าไว้ข้าจึงลูบหลังเบาแล้วบอกว่า  “ครีออน  เพราะเจ้าเป็นน้องชายที่น่ารักข้าเลยไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น  อย่ามายึดติดกับข้าเลย  ข้าไม่เหมาะกับเจ้าหรอก  หาคนที่เหมาะสมและพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมไปกับเจ้าเถอะ”

“จะมีจริงๆ  เหรอ?”

“มีสิ  อย่างน้อยข้าก็คิดว่าคนหนึ่ง  เราเป็นพี่น้องกันย่อมสื่อกันได้เข้าใจใช่ไหม?  คนที่เข้ามาในใจเจ้าได้ก็ย่อมพัฒนาเป็นคนรักได้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ครีออนละกอดจากข้าแต่เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  ดูเหมือนว่าจะใช้ความคิดอยู่  ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง

“สัมผัสนี้...อึก!”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะเบิกตากว้างแล้วคว้ามือของข้าไว้ก่อนที่จะบอกว่า  “เสด็จพี่  รีบกลับเร็ว!”

ท้องฟ้ารอบข้างแปรปรวนเปลี่ยนเมฆเป็นสีดำครึ้มปกคลุมไปทั่ว  เส้นทางที่ครีออนจะพาข้าหนีกลับไปยังจุดรวมพลพลันมีคลื่นแสงสีดำก่อตัวขึ้นทำให้พวกข้าต้องหยุดชะงัก  ไอเวทนั้นแปรเปลี่ยนเป็นประตูมิติเพื่อให้ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา

“สวัสดี  องค์ชายทั้งสอง”  น้ำเสียงอันคุ้นหูนั้นทำให้ทั้งข้าและครีออนเบิกตากว้าง  ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของท้องฟ้า  ลูซัสคลี่ยิ้มเย็นเยือกขึ้น  “ข้ามารับกลับแล้ว  ครีออน”

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือหนึ่งมาหาครีออน  น้องชายของข้าชะงักไปทันที  มือที่กุมมือข้าไว้อยู่บีบแน่นด้วยความกังวล  พอเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้วข้าถึงสัมผัสได้  ลูซัสยังสามารถควบคุมครีออนได้อยู่  เวทมนตร์ของเขาไม่ได้จางหายไปด้วยไฟของอาคีรัส  นั่นทำให้ตอนนี้ครีออนแสดงสีหน้าทรมานจัดเพราะสู้กับตัวเองขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยื่นไปหาอีกฝ่ายด้วยความสั่นเทา

เพี้ยะ!

มือที่ยื่นไปหาอีกฝ่ายของครีออนปัดเต็มแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น  ก่อนที่เขาจะประกาศกร้าว 

“ข้าไม่มีวันกลับไปให้เจ้าทำร้ายเสด็จพี่อีกแล้ว”
-----------------------
TBC

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ครีออน คู่ของเจ้า คือคนที่ช่วยเจ้านะ
มิใช่พี่ชายของเจ้า

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 32
ปฏิเสธความมืด

“ข้าไม่มีวันกลับไปให้เจ้าทำร้ายเสด็จพี่อีกแล้ว”

ครีออนตะเบ็งเสียงดังลั่นส่งผลให้ลูซัสนิ่งไป  ชั่วอึดใจหนึ่งเสียงระเบิดหัวเราะก็ดังก้องขึ้นจากอีกฝ่าย 

“หึๆ  ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ข้ากับครีออนชะงักไป  ไม่ใช่เพราะเสียงของลูซัส  แต่กระแสเวทที่อยู่รอบตัวของอีกฝ่ายนั้นกำลังผันผวนดูแล้วไม่ใช่ลางที่ดีสักเท่าไร

เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยกับพวกข้าพร้อมรอยยิ้มน่าขนลุก  “น่าเสียดายนะ  ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้เสียอีก”

“หา?”  ครีออนขมวดคิ้ว  อีกฝ่ายจึงพูดต่อ 

“รักพี่ชายของเจ้าไม่ใช่เหรอ  ครอบครองเขาสิ  กักขังเขาไว้  อย่าได้ให้ใครมาแตะต้อง  ให้โลกนี้เป็นโลกที่มีเพียงเจ้าและเขา”

“หยุดกรอกความคิดประหลาดให้ครีออนได้แล้ว”  ข้าตวาดขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นก่อนจะก้าวมากันครีออนไว้  “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามายุ่งกับเขาอีกแล้ว”

“หึๆ  คุณพี่ชายที่แสนดี  เพราะแบบนี้ครีออนถึงรักเจ้าหัวปักหัวปำไง  ข้าล่ะอิจฉาจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโทนนุ่มลื่นแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด 

“ถ้างั้นข้าจะสนองให้เอาไหม”  เขาเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือมาข้างหน้า  กระแสเวทสีดำเริ่มรวมตัวที่ปลายนิ้วของลูซัสขณะที่ฝ่ายนั้นเปล่งเสียงพูด  “ให้ตายไปพร้อมกันเสียเลย!”

ลูซัสยิงลำแสงเวทออกมา  ข้ารีบกางข่ายเวทป้องกันไว้  เพียงครู่เดียวลำแสงนั่นก็หายไปแต่ร่างของลูซัสพุ่งตรงมาโจมตีแทน  ข้าไม่ทันได้ตั้งหลักดีจึงถูกต่อยกระเด็น  ครีออนตะโกนเรียกด้วยความตกใจ  ขณะที่ข้าหันกลับไปก็เห็นเขาชักดาบออกมาสู้กับลูซัสอยู่

แต่เพราะตอนนี้พลังของครีออนยังเทียบกับลูซัสไม่ติดเขาจึงยื้อไว้ได้ไม่นาน  แต่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะฟันดาบใส่น้องชายข้า  ร่างหนึ่งก็พุ่งมาตั้งรับไว้ได้

เคร้ง!

“โซแวน” 

ข้าเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความดีใจ  โซแวนใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ป้องกันการโจมตีของลูซัสได้ก่อนที่จะผลักเขาออกไป  ข้ารีบลุกขึ้นไปหาโซแวนกับครีออนทันที

“ให้ตายสิ  เจ้านี่มันตัวอิจฉาที่เห็นพี่น้องเขารักกันแบบธรรมดาไม่ได้เลยนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะกระชับดาบในมือ  “แต่มาก็ดี  จะได้ตัดสินกันตรงนี้”

“ไม่เอาน่า  อย่าใจร้อนสิ”  ทว่าลูซัสกลับแย้งเช่นนั้นพลางยกยิ้มแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นคล้ายยอมแพ้  “สู้กันตอนนี้ข้าก็เสียเปรียบกันหมด  ไม่เอาน่า”

“เกรงว่าจะไม่ได้”  ชายหนุ่มตรงหน้าข้าเอ่ยขึ้นแล้วพุ่งตัวไปโจมตีลูซัสทันที  แต่เมื่อฟันโดน  ร่างนั้นก็สลายกลายเป็นหมอกไปทันที

“อีกไม่นานหรอก  ศึกครั้งสุดท้ายจะได้เริ่มต้นขึ้น  เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนำกองทัพอสูรมาถล่มพวกเจ้าให้สิ้นซาก”  เสียงของลูซัสดังก้องขึ้น  ก่อนที่กระแสเวทของอีกฝ่ายจะหายไป

เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไรแล้ว  โซแวนก็เก็บดาบทันที  แล้วหันมาหาข้า 

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ถูกต่อยนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรหรอก”  ข้าเอ่ยขึ้นขณะลูบคลำแก้ม  พลังฟื้นตัวของข้าไม่ได้แย่ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไร

“ถูกต่อยที่หน้าหรือ?  ไม่เป็นแผลใช่ไหม”  โซแวนถามย้ำขณะเดินเข้ามาเชยคางขึ้นแล้วยื่นหน้ามาตรวจสอบดูใกล้ๆ  ทำให้ข้าชะงัก  ไม่รู้ทำไมหน้าถึงร้อนวูบขึ้นมา

“เสด็จพี่ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่เป็นอะไร”  แต่แล้วครีออนก็เอ่ยขึ้นขณะเลื่อนตัวเองมาแทรกกลางระหว่างข้ากับเขา  จากนั้นก็เอ่ยขึ้นช้าๆ  อย่างไม่สบอารมณ์  “อย่าหาเรื่องมาแตะต้องตัวเสด็จพี่นะ”

“หา?  คนรักกันแตะตัวกันย่อมเป็นธรรมดานี่”  โซแวนเลิกคิ้วถามสวนกลับไปด้วยแววตาเย้ยหยันทำให้ครีออนกัดฟันกรอด 

“เจ้าเป็นข้อยกเว้น  ห้ามแตะต้องเสด็จพี่ต่อหน้าข้า”

“หืม  แสดงว่าลับหลังก็ได้สิ”

“เจ้า!”

“พอกันได้แล้ว  ทั้งคู่นั่นแหละ”  ข้าเอ่ยห้ามขึ้นขณะแยกพวกเขาที่พร้อมจะโจมตีใส่กันออกไปห่างๆ  ทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่  “นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ”

“นั่นสินะ”  โซแวนพึมพำขึ้นก่อนที่จะบอกว่า  “รีบกลับไปรวมพลเถอะ  ดูเหมือนว่าเรามีเรื่องที่จะต้องทำอีก”

“ได้”  ข้าตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่จะเดินตามโซแวนไปพร้อมกับครีออน  เมื่อมาถึงลานของวิหารโบราณแล้วก็พบว่าผู้ถูกเลือกทุกคนกำลังล้อมวงกันอยู่  ทุกสายตาหันมามองที่พวกข้าเป็นจุดเดียว

“ทั้งสองท่าน  ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”  เร็นรีบเข้ามาถามด้วยความกังวล  ข้ากับครีออนแทบจะส่ายหน้าช้าๆ  เป็นคำตอบพร้อมกันทำให้พวกเขาโล่งใจ

“เมื่อครู่ที่จับสัญญาณของลูซัสได้  พวกข้ากังวลแทบตาย”  หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอกไปแล้วเร็นก็เอ่ยขึ้นทำให้ข้าชะงัก  เขาพูดขึ้นต่อน้ำเสียงหดหู่  “แต่ตัวข้าในตอนนี้ไปช่วยท่านก็มีแต่เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ  โซแวนเลยอาสาไปคนเดียว”

“ไม่เป็นอะไรหรอก  ลูซัสก็ถอยทัพไปแล้ว”  ข้าพยายามเอ่ยขึ้นให้กำลังใจเขากับคนอื่นๆ

“ถึงคราวนี้จะถอยไปแล้วแต่ก็มีโอกาสที่จะกลับมาอีกไม่ใช่หรือขอรับ”  เร็นท้วงขึ้น  “เจ้านั่นจ้องจะเล่นงานท่าน  เล่นงานท่านครีออน  ท่านทั้งสองนั้นเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของโลกใบนี้  แม้ว่าตอนนี้พวกข้านั้นจะอ่อนแอกว่าท่าน  แต่ข้าอยากปกป้องท่านให้ได้  อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านสามารถปกป้องโลกนี้ตามความตั้งใจของท่าน  เพราะฉะนั้นฝ่าบาท...”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจบางอย่าง  ชายหนุ่มตรงหน้าข้านั่งคุกเข่าลงก่อนที่จะขอร้องว่า  “ได้โปรดให้ข้าได้เป็นพลังหนึ่งของท่านด้วยเถิด  ให้ข้าได้ติดตามปกป้องท่านไปจนถึงวาระสุดท้าย”

“เร็น...”

“ข้าด้วยเจ้าค่ะ”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นขณะพยายามลุกจากรถเข็นมานั่งอยู่บนพื้นโดยมีซีวาลช่วยประคอง  “ข้าไม่อยากเป็นภาระไปมากกว่านี้  อยากช่วยท่าน  ช่วยทุกคน”

“ฝ่าบาท  ข้าก็ด้วยขอรับ”  ซีวาลเองก็เสริมด้วย  ก่อนที่อาคีรัสเองก็คุกเข่าตามลงไป 

“ข้าเอง...แม้ว่าพลังในตอนนี้จะยังไม่แข็งแกร่งพอ  แต่ก็อยากจะติดตามช่วยท่านกับครีออนไปตลอดนะขอรับ”

“ข้าก็ด้วย!  ข้าน่ะ...ไม่อยากเห็นท่านต้องทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้แล้ว  แล้วก็อยากเป็นกำลังให้ท่านมากกว่านี้ด้วย”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตามคนอื่น  วารันที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามองข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

“เจ้าเด็กไม่รู้จักโต  ข้าเป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ...และเจ้าก็เป็นคนที่ทำให้มังกรอยู่ใต้บังคับบัญชาได้  หัดใช้ข้าให้คุ้มกว่านี้หน่อยสิ  อย่าทิ้งพวกข้าไว้เบื้องหลังแล้วไปต่อสู้กันไม่กี่คน  เข้าใจไหม”  เขากล่าวเชิงตำหนิแล้วคุกเข่าลงไปเช่นเดียวกับคนอื่น 

ผู้ถูกเลือกที่เหลือเองก็คุกเข่าและกล่าวคำขอเช่นเดียวกัน 

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถช่วยโลกนี้ได้

“จะทำยังไงดีล่ะ  ดูท่าแล้วลูซัสคงใช้เวลาไม่นาน  อีกเดี๋ยวก็คงยกทัพกองอสูรมาแล้ว  พวกเร็นน่ะยังพอว่า  แต่มนุษย์ที่เหลือ...ข้าคิดว่าเวลาระยะสั้นแบบนี้คงหาวิธีมาเพิ่มพลังให้ไม่ได้”  โซแวนเอ่ยขึ้นหลังจากพิจารณา  ข้าเองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด

“จริงๆ  แล้วก็มีอีกวิธีหนึ่ง”  ข้าเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง  “ประตูแห่งอำนาจสามารถมอบพลังที่จะสามารถกำจัดอสูรได้  ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือครอง  แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่ภักดีต่อผู้ถือประตูด้วย”

“หมายความว่า...”

“เราจะเปิดประตูแห่งอำนาจกัน”  ข้าเอ่ยความตั้งใจขึ้น  “อย่างไรเสียก็ต้องใช้ประตูแห่งอำนาจต่อกรกับอสูรอยู่แล้ว”

“เข้าใจแล้ว”  โซแวนตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่จะถามว่า  “งั้นจะเริ่มเลยไหม”

“ยัง”  ข้าตอบสั้นๆ  ก่อนที่จะหันไปหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

“ทุกคนฟังข้า”  ข้าเอ่ยเรียกพวกเขา  “ในตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าประตูแห่งอำนาจนั้นจะมอบพลังให้เพียงใด  แต่ว่า...จงน้อมรับพลังนั้น  จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ในสงครามกับพวกอสูรที่กำลังจะมีขึ้น  ข้าขอชื่นชมในความมุ่งมั่นของพวกเจ้าเมื่อครู่นี้  แต่ว่า...นี่คือสงครามครั้งใหญ่  มีสิ่งที่ต้องเสียสละแลกมา  ขอให้พวกเจ้าคิดดูให้ดี  ว่าเจ้าต่อสู้ไปเพื่ออะไร  ใครที่คิดว่าไม่พร้อมให้อยู่ที่นี่  ส่วนใครที่คิดจะเข้าร่วมสงครามสุดท้ายนี้ให้มาเจอกับพวกข้าที่ริมทะเลสาบในเย็นวันนี้”

เสียงของข้าดังก้องไปทั่วบริเวณ  พวกเขาต่างนิ่งชะงักไป  เมื่อสิ้นสุดการประกาศแล้วข้าก็หันหลังเดินตรงไปที่ทะเลสาบทันที  มีเสียงฝีเท้าเดินตามมาพอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพวกโซแวน

เมื่อมาถึงทะเลสาบข้าก็นั่งลงบนโขดหินมนๆ  ที่คล้ายเก้าอี้  ส่วนคนอื่นๆ  กระจัดกระจายกันอยู่รอบๆ  เหมือนว่าบางคนเองก็กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองสู้ไปเพื่ออะไร

และในตอนนี้แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงทางไหนก็คล้ายจะเห็นคนมีความรักกำลังเข้าหากันอย่างสนิทสนม  สำหรับข้านับว่าเป็นเรื่องดี  ตำแหน่งคนรักมีแค่โซแวนคนเดียวก็พอแล้ว

“เจ้ามองเหมือนจะอิจฉาพวกเขา”  โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าหลุดหัวเราะออกมา 

“ไม่ได้อิจฉาสักหน่อย  ชื่นชมต่างหาก”

“งั้นเหรอ”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  “ถ้าเจ้าอิจฉา  ข้ายินดีทำให้เจ้าพวกนั้นหันมาอิจฉาความรักของเราได้เลยนะ”

“ขอปฏิเสธ”  ข้าตัดบทและตีมือที่ยื่นมาอย่างไม่ไยดีก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองรอบๆ  “ข้าคิดถูกหรือเปล่านะ”

“เรื่องอะไร?”  โซแวนเลิกคิ้วถาม  ข้าจึงบอกสิ่งที่กังวลอยู่ 

“เรากำลังจะทำสงคราม  สงครามย่อมมีการสูญเสีย  ข้าไม่อยากพรากใครออกจากกัน”

“อย่าแช่งคนอื่นไปทั่วสิ”  กลายเป็นว่าโซแวนตำหนิข้าแทนก่อนที่จะบอกว่า  “พรรคพวกของเจ้าตอนนี้น่ะแข็งแกร่งจะตาย”

“หืม?”

“ข้าคิดว่า  พอได้ร่วมสนามรบกับคนรักแล้วล่ะก็  ความอยากจะชนะ  อยากจะปกป้องคนที่รักมันจะเพิ่มขึ้นนะ”  เขาบอกเสียงเรียบแม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ดูดีก็ตาม  “ข้าเชื่อว่าทั้งเร็น  คาร์ริต้า  อาคีรัส  นอร์ธวินด์  วารัน  ซีวาลหรือแม้กระทั่งครีออนต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะชนะสงครามและมีชีวิตรอดต่อไปแน่ๆ”

“ข้าก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น”  ข้าพึมพำขึ้นขณะมองรอบๆ  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ข้านับถือ  เคารพ  และเชื่อมั่น  พวกเขาต่างเป็นคนที่ต้องมาเผชิญกับปัญหาสงครามนี้  ข้าเองก็อยากให้พวกเขาได้มีความสุขหลังจากชัยชนะมาถึง

ข้ายินดีทำทุกอย่าง  เพื่อให้พวกเขาได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามปกติ

“นี่  ทีอารีน”  ข้าตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองตามเสียงเรียกของโซแวน  อีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดข้าทันทีทำให้ข้าตกใจเล็กน้อย 

“เดี๋ยวสิ  ทำอะไรของเจ้า”

“แค่อยากกอดน่ะ”  โซแวนเอ่ยเสียงเรียบทำให้ข้าเกือบโวยวายให้เขาปล่อย  แต่เจ้าตัวกลับพูดขึ้นต่อว่า  “อย่าฝืนตัวเองเลยนะ”

“หา?”

“ข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ  อยู่นานแล้ว  คนอย่างเจ้า...ถ้าได้ทำเพื่อคนอื่นแล้วชีวิตตัวเองจะเป็นยังไงก็ไม่สน  ข้าล่ะกังวลจริงๆ”  เขาพึมพำขึ้นเสียงอ่อนทำให้ข้าชะงัก  “อย่าลืมว่ายังมีข้าอยู่ล่ะ  ยังมีข้าที่ต้องการใช้ชีวิตเคียงข้างกับเจ้าอยู่”

“ข้าไม่ลืมหรอก  ข้าไม่บ้าพอจะเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นหรอก”  ข้าบอกกับเขาขณะเลื่อนมือไปกุมไว้  “ข้าจะกลับมา...”

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ  ระหว่างพวกเราพลันเกิดความเงียบขึ้น  ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง  จวบจนกระทั่งเร็นกับคาร์ริต้าเดินเข้ามาจึงทำตัวตามปกติ  คนอื่นๆ  ก็ทยอยเดินกันเข้ามาเพื่อพูดคุยตามปกติเพื่อคลายความตึงเครียด  โซแวนกับครีออนก็เริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว  แถมครั้งนี้น้องชายข้าก็มีนอร์ธวินด์เป็นลูกผสมคอยตีกับอีกฝ่าย

เพราะนอร์ธวินด์มาเอี่ยวด้วย  คนห้ามทัพรอบนี้จึงเป็นวารัน  ดูเหมือนว่าครีออนเองก็ยังมีความเกรงใจมังกรตัวนี้บ้างเลยเลิกตี  ทำให้ข้าโล่งใจขึ้นมา

“ฝ่าบาท  หลังจบสงครามแล้วก็ช่วยสะสางเรื่องนี้ด้วยนะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นพลางอมยิ้ม  แม้ท่าทีจะพูดเล่นแต่ก็ทำให้ข้าหนักใจอยู่เหมือนกัน

ครีออนตอนนี้ก็ยังคงตั้งแง่กับโซแวนอยู่  ดูแล้วเกรงว่าถ้าให้โซแวนไปอยู่ในปราสาทต้องได้เกิดเรื่องทะเลาะกันแน่  หรือข้าควรออกมาอยู่กับเขา...ไม่ดีกับครีออนแน่ๆ  ในปราสาทเขาอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้

เสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา  พวกผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  ทยอยกันเข้ามาใกล้ทำให้ข้าหยุดคิดเรื่องไร้สาระแล้วลุกขึ้นจากโขดหิน  แต่ตอนนั้นเองที่มีเสียงดังก้องขึ้นทั่วฟ้า  เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่าข่ายเวทที่กั้นประตูอสูรไว้สลายไปแล้ว  อสูรกำลังออกมาจากประตูนั้นเพิ่ม  เป็นสัญญาณของสงคราม

“ฝ่าบาท!”

อาณาจักรที่อยู่ใกล้ที่สุดคือคาร์ไลน์  ซึ่งในตอนนี้ไร้ผู้นำยิ่งจะทำให้อาณาเขตอ่อนแอ  ไม่รอช้าข้ารีบแจ้งทันทีว่า  “รีบไปที่คาร์ไลน์  ตอนนี้ลูซัสคงไม่อยู่ในปราสาทแล้ว  เมื่อไร้ผู้นำข่ายเวทจะยิ่งอ่อนแอลง  ต้องปกป้องเมือง”

“ขอรับ!”  พวกเขาต่างขานรับก่อนที่จะรีบวิ่งไปทันที  จากตรงนี้ไปถึงประตูที่ใกล้กับประตูอสูรก็ไม่ไกลเท่าไร  วารันเปลี่ยนเป็นร่างมังกรพาพวกข้าไปก่อน  อสูรต่างกรูกันมาที่อาณาจักรราวกับถูกเชื้อเชิญ

ร่างที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกนั้นก็คือลูซัส  รอบๆ  ข้างเขายังมีอสูรรูปร่างมนุษย์อยู่อีกหลายตน 

“ข้าเริ่มสงครามไวไปหรือเปล่า  องค์ชาย  แต่ขอโทษทีนะ  เจ้าพวกนี้ไม่ยอมรอนานไปมากกว่านี้หรอก”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่คำรามดังกึกก้องจากพวกอสูรจะดังไปทั่ว

“ต่อให้เริ่มไวกว่านี้  หรือช้ากว่านี้  พวกข้าก็พร้อมขยี้พวกเจ้าให้หายไปเสมอ”  ข้าสวนกลับไปก่อนที่จะชูมือขึ้นข้างหนึ่ง  เพียงหลับตาครู่เดียวเสียงกระดิ่งก็ก้องกังวานเป็นการตอบรับ  สัมผัสได้ถึงพลังเวทอันมหาศาลที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ  เมื่อข้าลืมตาขึ้น  ประตูแห่งอำนาจก็ปรากฏขึ้น

ทั้งประตูอสูรและประตูแห่งอำนาจหันหน้าชนกัน  คล้ายกับมีพลังงานบางอย่างไหลวนอยู่รอบ

“พวกเจ้าจงฟัง  นี่เป็นพลังที่ข้าจะบอกให้  อำนาจของพระเจ้า  จงใช้มันเพื่อต่อกรกับอสูรตรงหน้านี้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังเพื่อให้พวกผู้ถูกเลือกที่มาถึงแล้วได้ยิน  ก่อนที่โซแวนจะยกมือขึ้นมาประสานกับมือที่ข้าชูไว้  เมื่อผู้ถือครองสิทธิ์ทั้งสองอยู่ครบ  ประตูจึงเปิดออก  แสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นไหลย้อมผู้คนที่เข้าร่วมสงครามนี้  แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่เสริมให้แก่ตัวพวกเขา  ทั้งร่างกาย  และพลังต่างก็แข็งแกร่งขึ้น

อาการบาดเจ็บต่างๆ  พลันหายไป  ประตูแห่งอำนาจเองก็มีผลทำให้คำสาปต่างๆ  หายไป  ข้าเห็นผลของมันก็เมื่อคาร์ริต้าสามารถกลับมายืนด้วยขาของตัวเองได้อีกครั้ง

ลูซัสที่ยืนอยู่ตรงหน้ายกยิ้มขึ้น  ก่อนที่จะวาดมือมาข้างหน้า  พวกอสูรก็กรูกันเข้ามาทันที  ข้าทิ้งแขนลงมาตั้งฉากกับพื้นดินก่อนที่จะออกคำสั่ง

“โจมตี!”

เหล่าผู้ถูกเลือกจึงได้โห่ร้องเรียกขวัญกำลังใจแล้วตรงเข้าต่อสู้กับอสูรทันที

----------------------------
ใกล้ถึงจุดสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ มาเป็นกำลังใจให้ฝ่าบาทกันนะคะ

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
อยากได้กำลังเสริมบางจากประตูแห่งอำนาจ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  33
สงครามอสูร
บรรยากาศนอกกำแพงเมืองคาร์ไลน์คุกรุ่นไปด้วยจิตสังหาร  เพื่อป้องกันประชาชนไม่ให้โดนลูกหลง  เหล่าทหารของคาร์ไลน์จึงต้องออกมาต้านทัพอสูร  เพราะถือว่าเป็นข้างเดียวกันจึงได้รับผลของประตูแห่งอำนาจไปด้วย

เหล่าอสูรและมนุษย์ต่างรบราฆ่าฟันกัน  หนึ่งโดยสัญชาตญาณและความกระหายอันไร้ที่สิ้นสุด  อีกพวกหนึ่งต่อสู้เพื่อทวงคืนความสงบสุขและความอยู่รอด

ในวงสงครามนั้น  มีจุดต่อสู้ที่เกิดการปะทะรุนแรงอยู่ไม่กี่จุด  ล้วนแล้วแต่เป็นการปะทะกันของเหล่าสัตว์ประหลาดผู้ภักดีต่อทีอารีนกับเหล่าอสูรรูปร่างมนุษย์

แม้ว่าจะเคยสู้กันมาก่อนในตอนที่ลูซัสบุกเข้าไปในป่าต้องห้าม  แต่ครั้งนี้เหล่าอสูรพวกนั้นกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

“อะไรกัน  ยัยพิการเดินได้ด้วยเหรอ”  อสูรสาวตนหนึ่งเอ่ยขึ้น  เธอเคยเจอกับคาร์ริต้ามาแล้วเพราะฉะนั้นจึงแสยะยิ้มสะใจ  ผู้หญิงตรงหน้าคงมีดีแค่หน้าตาเหมือนเดิมต่อให้จะเดินได้แล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่าง  “คราวนี้ข้าจะฉีกหน้าสวยๆ  ของแกให้เสียโฉมไปเลย”

คาร์ริต้ายกยิ้มบางๆ  ขึ้นก่อนที่จะเอียงหัวไปข้างๆ  “ตายจริง  ให้ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ”

“หนวกหู!”  อสูรตนนั้นแผดเสียงขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาโจมตีคาร์ริต้าทันที  หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่คิดหลบหลีก  ในขณะที่ปลายเล็บอันแหลมคมนั้นใกล้เข้ามา  ม่านน้ำพลันปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังของเงือกสาวห่อหุ้มร่างของเธอเพื่อปกป้องเอาไว้

ทันทีที่ร่างของอสูรสัมผัสโดนม่านนั้น  น้ำที่ไหลวนอยู่ก็เคลื่อนย้ายมาห่อหุ้มตัวของมันไว้ทันทีโดยไม่มีทางหลีกหนีไปไหนได้  อสูรสาวนั้นเบิกตากว้างพยายามขัดขืนดิ้นรนหนี 

“ยัยพิการนี่  ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

“คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”  คาร์ริต้าเอ่ยพลางแย้มยิ้ม  “ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ  ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน  ข้าจะเลือกวิธีการตายที่ทำให้เจ้าดูสวยที่สุดเอง”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นจบร่างของอสูรสาวก็จมหายไปในกรงน้ำนั่น  แต่ยังมิวายดิ้นรนขัดขืน  สีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ  คาร์ริต้าไม่คิดจะสนใจและใช้เวทเยือกแข็งสังหารอีกฝ่ายทันที

จากลูกบอลน้ำเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นน้ำแข็งสี่เหลี่ยมคล้ายโลงศพที่ผนึกร่างอสูรนั้นไว้ข้างใน  มันแน่นิ่งไปด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวจนน่าเกลียด

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง  ก่อนจะพึมพำอย่างเสียดาย  “ไม่สวยงามแล้ว  มีตัวตนไปก็เปล่าประโยชน์นะคะ”

คาร์ริต้ากางมือออกแล้วบีบลูกแก้วที่ซ่อนไว้ในฝ่ามือ  เมื่อมันแตกออก  โลงน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าก็พลันแตกสลายตามไปด้วย  เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ  ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย  หญิงสาวก้าวเดินต่อไปด้วยท่าทีที่งดงาม

“เอาล่ะค่ะ  ใครจะเป็นรายต่อไปดีเจ้าคะ”



“ตรงนู้นมีผู้หญิงท่าทางน่ากลัวอยู่ด้วยล่ะ”  นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นหลังจากเหลือบไปเห็นสถานการณ์ทางฝั่งคาร์ริต้าเพราะอสูรตนเมื่อครู่แม้จะจัดได้ว่าหุ่นดีแต่เสียงแหลมดังมาไกล  และจากความสนใจนั่นก็ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ต่อจากนั้น  ดูแล้วยังเสียวแทน  นี่ถ้าสาวเจ้าจับได้ว่าเขาเคยแอบมองหน้าอกจะโดนแบบนั้นหรือเปล่านะ

“คนที่ควรกลัวคือข้าสิ”  เร็นพึมพำขึ้นจนเกือบจะไม่ได้ยิน  เจ้าตัวก็เห็นเหมือนที่นอร์ธวินด์เห็น  และมีความรู้สึกกลายๆ  ว่านอกจากความรักแล้ว  คาร์ริต้าก็คงมีความโกรธต่อตัวเขาปนอยู่ด้วย

“นายกลัวเหรอ  แบบนี้จะยิ่งคบหากันลำบากก็ได้”

“ไม่หรอก...”  เร็นปฏิเสธเสียงเรียบขณะปัดศัตรูให้ออกไป  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่เห็นทำเรื่องน่ากลัวทั้งที่ยังยิ้มอยู่แล้วใจเต้นดีไม่หยอก  “อาจจะไม่เลวก็ได้”

“หา?”  อีกฝ่ายที่กำลังตั้งรับอสูรตัวใหญ่ที่พุ่งเข้ามาถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ  เพราะต้องการคลายความข้องใจเลยรีบจัดการล้มอสูรยักษ์นั่นแล้วหันมา  “หมายความว่ายังไง”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  แต่ว่าคุณน่ะ  ไม่ไปดูทางวารันจะดีจริงๆ  เหรอ”  เมื่อถูกถามแบบนั้น  นอร์ธวินด์ก็หน้าบูดไปทันที  ขณะที่ปัดอสูรที่พุ่งมาออกไปก็พูดขึ้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ 

“เจ้านั่นก็ไล่ข้ามาทางนี้  เจ้ายังจะไล่ข้ากลับไปอีกเหรอ!”

เร็นเหลือบไปมองทางวารันซึ่งอยู่ในร่างมังกรขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับอสูรที่ขนาดตัวพอๆ  กันแล้วไม่สามารถพูดอะไรได้  รอบๆ  ตัวมังกรนั่นไม่มีใครอยู่ในรัศมีหางที่ฟาดไปมาเลย  ดูท่าอีกฝ่ายจะไล่ทุกคนออกไปให้ห่างจริงๆ

ตอนนั้นเองที่เสียงกรีดร้องของผู้ถูกเลือกคนอื่นดังขึ้น  เมื่อเร็นและนอร์ธวินด์หันไปมองก็เห็นควันดำมืดพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว  จัดการผู้ที่ต่อสู้อยู่ไปหลายคนและคิดจะเข้ามาทำร้ายพวกเขา

เร็นรีบตั้งท่าป้องกันไว้ทันทีแต่ความแรงจากการปะทะทำให้ตัวเขาไถลไปด้านหลังก่อนจะถูกถีบจนเสียหลักล้มไป

“เร็น!”  เมื่อเห็นท่าไม่ดี  นอร์ธวินด์ที่ยืนอยู่จึงวิ่งเข้าไปหาแล้วรีบหยิบดาบที่ตกอยู่มากั้นคมเคียวของอีกฝ่ายไว้ให้เร็น  อีกฝ่ายเป็นอสูรรูปร่างดำคล้ำที่มีแขนทั้งสองข้างเป็นอาวุธเคียว  มันแสยะยิ้มก่อนที่จะกระโดดออกไป  เร็นใช้ช่วงเวลานั้นในการพลิกตัวกลับขึ้นมายืน

อสูรตนนั้นพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง  คราวนี้เร็นจึงโจมตีสวนกลับไป  แต่เพราะอีกฝ่ายรวดเร็วราวสายลมทำให้ชายหนุ่มได้บาดแผลมาขณะเข้าปะทะ  และยิ่งเขาบาดเจ็บเท่าไรอีกฝ่ายก็ยิ่งได้ใจมากเท่านั้น

เร็นกัดฟันกรอด  ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนที่ทำได้แค่ป้องกันการโจมตีไว้ให้ได้  แต่เดิมตนนั้นก็ไม่ถนัดการต่อสู้กับคนที่มีความเร็วเป็นหลักอยู่แล้ว  เพราะแบบนั้นเขาเลยค่อนข้างเสียเปรียบถ้าจับคู่ฝึกซ้อมกับนอร์ธวินด์

ชายที่สามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนกับสายลม

“เร็น  ตอนนี้แหละ!”  นอร์ธวินด์ตะโกนขึ้นทำให้เร็นที่มีสีหน้าเครียดจัดอยู่แสยะยิ้มได้เสียที  เขากำดาบในมือแน่นและปล่อยพลังออกมาผลักอีกฝ่ายออกไป  จากนั้นก็อาศัยเวทของตนกระโดดกลับไปด้านหลังของเพื่อนที่ยืนโก่งคันธนูไว้อยู่

เพราะเวทนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการร่ายทำให้เร็นต้องคอยถ่วงเวลาไว้  แต่ในตอนนี้มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว

นอร์ธวินด์ปล่อยศรสีฟ้าออกไป  เพียงแค่แหวกผ่านอากาศไปมันก็เริ่มแตกกระจายออกไปหลายร้อยลูก  กลายเป็นห่าฝนธนูที่โจมตีใส่เป้าหมายซึ่งไม่มีทางหลบหนี

แต่ขณะที่เขากำลังดีใจที่สามารถจัดการศัตรูไปได้แล้ว  ตรงหน้ากลับปรากฏอสูรอีกตนหนึ่งขึ้นซึ่งแข็งแกร่งกว่าตนแรก  นอร์ธวินด์เบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายง้างดาบเตรียมจะฟันมาแล้วในระยะที่ไม่สามารถหลบได้

ฉัวะ!

เสียงดาบกรีดแทงเนื้อเข้าไปทำให้นอร์ธวินด์เบิกตากว้าง  ร่างของเขาถูกกระชากออกมาอย่างรุนแรงจนล้มกลิ้งอยู่บนพื้น  พอยันตัวลุกขึ้นมาเห็นร่างของใครบางคนยืนรับคมดาบแทนที่อยู่

“วารัน!”  นอร์ธวินด์เรียกชื่อของอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกใจ  สภาพของมังกรหนุ่มนั้นเรียกได้ว่าสะบักสะบอมจากการต่อสู้กับอสูรยักษ์ที่ตอนนี้ล้มไปแล้ว  เลือดสีแดงไหลออกมาจากปากแผลที่ถูกฟันตั้งแต่ไหล่ซ้ายยาวไปจนถึงหน้าท้องขวา  แม้จะกระโดดถอยออกมาแล้วแต่ก็ไม่เหลือแรงที่จะลุกขึ้นยืนจนคุกเข่าลง

เร็นรีบเข้าไปขวางอสูรตนนั้นไม่ให้เข้ามาทำร้ายซ้ำสองได้อีก  ส่วนนอร์ธวินด์ก็เข้าไปดูแลวารันทันที

“เจ้าทำบ้าอะไร!”  นอร์ธวินด์ตะเบ็งเสียงสั่นด้วยความตกใจ  แต่วารันกลับถอนหายใจเฮือก 

“อย่าห่วงสิ  ไม่เป็นอะไรมากหรอก  แผลตื้นแค่นี้  หนังข้าหนาจะตาย”

“ไอ้เจ้าบ้า  ใครใช้ให้เจ้ามาขวางแบบนี้”  นอร์ธวินด์โวยวายด้วยความตื่นตระหนก  อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงเรียบ 

“พอดีคิดได้น่ะว่าถ้าเจ้าโดนคงเจ็บกว่าโดนเองเยอะ”

แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืน  ทิ้งให้นอร์ธวินด์ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห  วารันซึ่งรู้วิธีรับมือดีอยู่แล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ  “ไม่ต้องห่วง  สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะไม่ตายไปก่อน”

เพียงวารันยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผล  เลือดก็ค่อยๆ  หยุดไหลแม้จะยังไม่สมานดี  แต่ก็พอจะทำให้เขาไปร่วมมือกับเร็นจัดการเจ้าอสูรตนนั้นต่อ  ด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายคิดจะทำร้ายคนที่รัก  การโจมตีทุกกระบวนท่าจึงหนักหน่วงและทำให้เป็นฝ่ายได้ชัยในที่สุด

“ทั้งสองคน  อยู่ช่วยกันตรงนี้นะขอรับเดี๋ยวข้าไปช่วยทางคาร์ริต้าก่อน”  เร็นเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่าทั้งสองคนพอจะรับมือกับอสูรทางนี้ได้จึงวิ่งไปช่วยหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังจับศัตรูแช่แข็งไปเรื่อยๆ  อย่างน่ากลัว

สนามรบฟากหนึ่งกลายเป็นน้ำแข็งเพราะคาร์ริต้า  แต่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นกำลังร้อนระอุไปด้วยเปลวเพลิงของนกฟินิกซ์  อาคีรัสใช้ไฟพวกนั้นแผดเผาอสูรที่เข้ามาต่อสู้กับครีออนและซีวาล  เพราะเขาไม่ต้องออกแรงอะไรมาก  อสูรพวกนี้แพ้ไฟของเขาอยู่แล้วจึงมีเวลายืนดูอยู่เฉยๆ  และพบว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าสองคนนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้พวกตนเลย

ที่ผ่านมาเขามักจะอยู่คลุกคลีกับสัตว์ประหลาดตนอื่นๆ  ไม่ค่อยได้มารวมกับมนุษย์เพราะพื้นฐานแล้วพลังของพวกเขาต่างกันมาก  แต่มนุษย์สองคนนี้แม้จะมีพลังเวทไม่เท่าทีอารีน  แต่ด้านกำลังรบนั้นจัดได้ว่าเป็นปีศาจ

ซีวาลนั้นนับถือทีอารีนสุดใจ  เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าให้ใช้ประโยชน์จากพลังของประตูแห่งอำนาจให้ได้มากที่สุดก็ทำ  บัดนี้ตัวเขาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเทพร้อยศาสตราตอนนี้สามารถเรียกอาวุธออกมาได้ราวห้าร้อยอัน  และควบคุมมันโจมตีอสูรได้เป็นอย่างดี

ส่วนครีออนนั้นเพราะเป็นคนสนิทของซีวาลจึงสามารถหยิบยืมอาวุธบางอย่างได้  จริงๆ  ซีวาลอนุญาตให้ใช้ได้ทุกอัน  แต่เขาเลือกที่จะใช้ดาบอันหนึ่งซึ่งมีความทนทานสูง  ศิลปะการใช้ดาบของเด็กหนุ่มนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยม

ทุกท่วงท่าที่โจมตีอสูรนั้นราวกับกำลังร่ายรำ  เป็นการร่ายรำที่ทั้งแข็งแกร่งและน่ามอง  ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอสูรระดับไหนก็สามารถจัดการได้  เห็นแล้วอาคีรัสเองก็มีความรู้สึกอยากจับดาบมาสู้บ้าง  ตอนนั้นที่เห็นอสูรตนหนึ่งกระโดดเข้ามาคิดจะทำร้ายครีออนที่ถูกอสูรอีกตนล็อกไว้ไม่ให้หันหลังไปได้ทำให้เขารีบเข้าไปช่วย 

ดาบยักษ์ซึ่งเป็นของถนัดของอาคีรัสปรากฏขึ้นมาจากเปลวเพลิง  เขาใช้มันจัดการอสูรตนนั้นเพื่อปกป้องครีออนซึ่งก็สามารถจัดการอสูรอีกตนได้แล้วและหันมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ 

“ขอบคุณ”

เมื่อถูกชมอาคีรัสก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างอย่างดีใจแล้วอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายช่วยกันปราบอสูรที่เหลือ

ท่ามกลางการต่อสู้จากทุกสารทิศ  ตรงกลางระหว่างประตูทั้งสองนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างลูซัสกับทีอารีนและโซแวน  ทีแรกพวกเขานั้นค่อนข้างได้เปรียบเมื่อได้รับพลังของประตูแห่งอำนาจแล้ว  แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาท”  ลูซัสเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  “ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ  ว่าทำไมถึงทำเพื่อมนุษย์ขนาดนี้”

ทั้งๆ  ที่เคยถูกเกลียด  ทั้งๆ  ที่ถูกหักหลัง  แต่กลับเลือกที่จะปกป้องมนุษย์ 

“ไม่รู้สิ”  ทีอารีนตอบสั้นๆ  ก่อนที่จะขยายความในสิ่งที่ตนเชื่อ  “คงเพราะข้าสืบนิสัยมาจากท่านลูซิฟรานกระมัง”

เพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น  ลูซัสก็กัดฟันกรอดทันทีด้วยความเจ็บใจ  ก่อนที่จะฟาดดาบใส่เด็กหนุ่มทันทีแต่เขาสามารถป้องกันแล้วถามกลับไปด้วยความสงสัย

“เหตุใดถึงโกรธขนาดนั้น”

“หึ  น่าสมเพช  ทั้งเจ้า  ทั้งลูซิฟราน  ต่างก็เห็นแล้วนี่ว่ามนุษย์ไม่ได้น่าปกป้องเลยสักนิด”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเสกมนตร์ดำเข้าโจมตีทีอารีน  เด็กหนุ่มสามารถปัดมันไปได้

“จริงอยู่ที่ว่ามีมนุษย์ที่ชั่วร้ายอยู่  แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่ดี  มีคนเกลียดก็ย่อมมีคนรัก  มีคนที่พร้อมเคียงข้างเรา  มีคนที่เคารพ  มีคนที่ต้องการปกป้อง  ข้าเลือกที่จะปกป้องพวกเขา  ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นขณะเรียกคทาออกมาต่อสู้กับอีกฝ่าย  โซแวนเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยเมื่อเห็นลูซัสโจมตีรุนแรงขึ้น 

ด้วยพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่โซแวนถืออยู่ทำให้สามารถสร้างรอยแผลให้แก่ลูซัสได้  อีกฝ่ายรีบถอยไปตั้งหลักทันที  ก่อนจะไอเอาเลือดออกมาเป็นกองหย่อมๆ

“แค่ก  พวกแก”  ลูซัสสบถออกมาด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาล 

“ดูเหมือนร่างกายของแกจะมาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ”  โซแวนเอ่ยขึ้น  ในฐานะคนที่อยู่มาหลายร้อยปีย่อมสามารถจำอาการได้  ยิ่งมีอายุยืนเท่าไร  ร่างกายก็ยิ่งผุพังง่ายขึ้นเท่านั้นแม้ภายนอกจะไม่แสดงอาการใดๆ

“ประตูอสูรก็ค่อยๆ  สูบพลังแกไปเรื่อยๆ  ถ้าพวกข้าถ่วงเวลาไว้  แกก็ยิ่งสูญเสียพลังไปจนหมด  ใช่ไหม?”  เขาเฉลยกึ่งถามกลับอีกฝ่าย  ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นลูซัสก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะแสยะยิ้ม

“หึ  สูบพลังยังงั้นหรือ”  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองประตูอสูรที่ลอยอยู่เหนือศีรษะแล้วผายมือออกทั้งสองข้าง  “ไม่จำเป็นแล้ว...”

“หืม?”  โซแวนขมวดคิ้วเมื่อคล้ายจะได้ยินอีกฝ่ายพึมพำอะไรออกมา  ทีอารีนขยับมายืนข้างเขาคล้ายจะจับสังเกตได้เช่นกัน

ลูซัสยกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “อสูรพวกนี้  ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”

ทันใดนั้นเขาก็ร่ายมนตร์บางอย่างออกมา  เมื่อเห็นกระแสไอเวทแล้วทีอารีนถึงกับชะงัก  รอบข้างเกิดเสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นจากทุกหนแห่ง  ร่างของอสูรพวกนั้นค่อยๆ  บิดเบี้ยวแล้วแปรสภาพเป็นพลังงานเวทส่งมาหาลูซัสทันที

“เขากลืนกินอสูรเพื่อเพิ่มพลังของตนเอง”  ทีอารีนตีสีหน้าเครียดจัดเมื่อเห็นเช่นนั้น  “ขัดขวางเขา!”

โซแวนรีบพุ่งเข้าไปคิดจะใช้ดาบขัดขวางอีกฝ่าย  ทว่าม่านพลังสีดำก็ก่อตัวขึ้น  ปกป้องลูซัสจากทุกสรรพสิ่งที่เข้าใกล้ 

อสูรทุกตนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างถูกพลังไปเพิ่มให้แก่เขาเรื่อยๆ  จนกระทั่งตนสุดท้ายล้มลง  ที่ที่ลูซัสยืนอยู่ก็ระเบิดพลังออกแผ่กระจายเป็นคลื่นอากาศไปรอบๆ  โซแวนรีบกอดทีอารีนไว้ไม่ให้ไถลออกไปไกล  ร่างของอีกฝ่ายนั้นคล้ายกับมีปีกสีดำแผ่สยายออกมาแล้วโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ฝ่าบาท  โซแวน  เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”  เร็นตะโกนถามขึ้นขณะวิ่งเข้ามาใกล้เหมือนกับพวกครีออน  ทีอารีนมองพวกเขาก่อนที่จะหันกลับไปบนท้องฟ้า  กระแสเวทที่กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เขาเบิกตากว้าง

“โก...หกน่า”  ทีอารีนอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาทำให้ทุกคนหันมามองเขา  “ลูซัสคิดจะใช้มหาเวทสูงสุด”

“มหาเวทสูงสุด?”

“เป็นพลังเวทที่ใช้ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมี  ความจริงแล้วเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่ไม่ควรใช้  มันเป็นอันตรายต่อทั้งคนอื่นและผู้ใช้เอง  อาจถึงแก่ความตายได้  แล้วยิ่งเป็นมนตร์ดำของลูซัสแล้ว  อานุภาพการทำลายมันคงสูงจนเรียกว่าฝันร้ายเลยทีเดียว”  ทีอารีนอธิบายขึ้นด้วยสีหน้าเครียดจัด  กระแสเวทพวกนั้นเป็นตัวยืนยันได้ว่าที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“แล้วเราจะทำยังไงดีขอรับ”  อาคีรัสเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล 

ทีอารีนเงียบไปสักพักก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว  “อพยพคนอื่นเข้าไปในเมืองก่อน  ข้าจะขึ้นไปจัดการเขา”

“ฝ่าบาท...”

“ไม่ต้องกังวล  ข้ามีพลังอมตะอยู่  ไม่ตายหรอกน่า”  ทีอารีนหันมาแล้วยกยิ้มให้ทุกคน  เพื่อหวังคลายความกังวลที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนเหล่านั้น 

เมื่อเห็นคนรักคิดจะไปสู้  โซแวนก็รีบเอ่ยขึ้นทันที  “งั้นข้าจะช่วยเจ้าด้วย”

“ข้าจะไปคนเดียว”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้อีกฝ่ายเบิกตากว้าง  ครู่หนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแล้วตรงเข้ากระชากแขนคนตัวเล็กกว่าทันที 

“ทีอารีน!”

“มีเพียงข้าที่จะหยุดเขาได้  โซแวน  ขอร้องล่ะ  เจ้าไปก็มีแต่ต้องตาย  ข้ายังมีร่างเนื้ออมตะอยู่  ไม่ต้องห่วง”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยสายตาเว้าวอน  นิ้วมือเรียวสวยยกขึ้นดึงอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลง  “ข้าจะกลับมา  ข้าสัญญา”

แล้วมอบจูบอันแผ่วเบาให้  “รอรับข้าด้วยนะ”

โซแวนไม่ได้ตอบอะไร  เพียงแค่ก้มหน้านิ่งขณะที่อีกฝ่ายก้าวถอยหลังไป 

“ไม่มีเวลาแล้ว  พวกเจ้า  ฝากที่เหลือด้วยนะ” 

ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันหลังไป  ประตูแห่งอำนาจทอดบันไดแสงลงมาให้เขาขึ้นไป  เมื่ออยู่ใกล้ประตูมากเท่าไร  พลังที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้น

ทีอารีนอ่านกระแสเวทของลูซัสแล้วถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ  ศึกนี้ยากลำบากเหมือนที่เขาคาดไว้จริง 

เด็กหนุ่มมองลงไปเบื้องล่าง  พวกโซแวนเริ่มอพยพคนอื่นไปแล้ว  เขาจึงได้วางใจ

‘...อย่าฝืนตัวเองเลยนะ’ 

จู่ๆ  คำอ้อนวอนของโซแวนก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทดื้อๆ  ทำให้ทีอารีนอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ทำไม่ได้  จะว่าไปแล้วหวนนึกถึงคำต่อว่าด้วยความเป็นห่วงของผู้วิเศษเหมือนกัน 

‘อย่าฝืนใช้มหาเวทอีก’

“ขอโทษนะ”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา  แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินแต่ก็อยากจะเอ่ยออกไปเพื่อความสบายใจ  “ดูเหมือนว่าข้าจะทำตามที่พวกเจ้าขอไว้ไม่ได้แล้วล่ะ”

ทีอารีนสลายคทาที่ถือไว้เพื่อเพิ่มพลังของตนเอง  ร่ายเวทรักษาพวกคนที่อยู่ด้านล่างระดับหนึ่งแล้วปลดเวทเสริมทุกอย่าง  ก่อนที่จะร่ายคาถาหนึ่งขึ้นมาแข่งกับเวลา

เวทมนตร์ชนิดเดียวที่จะต่อกรกับลูซัสได้

มหาเวทสูงสุด...

--------------------
TBC

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
มหาเวทสูงสุด ...
ต้องปลอดภัยนะทีอารีน

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 34
แด่ผู้ที่เสียสละ

ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มและปั่นป่วน  เสียงกรีดร้องของมวลเมฆดังก้องไปทั่ว  มองไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์หรือดวงจันทร์  ไม่อาจทราบได้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

แม้ว่าอสูรที่อยู่ในสนามรบจะไม่มีแล้ว  แต่ด้านหลังประตูอสูรนั้นยังมีเงามืดจำนวนมหาศาลวูบไหวอยู่คล้ายกับรอโอกาสที่จะลงมา 

โซแวนและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  รับหน้าที่ป้องกันอาณาจักร  ชาวเมืองและทหารต่างวิ่งวุ่นไปหมด  จอมเวทของทุกอาณาจักรเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าล้วนแล้วแต่อยู่ไม่สุขและเริ่มร่ายเวทป้องกันเมืองไว้

กระแสเวทที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านั้น  หากให้ประเมินคร่าวๆ  แล้วอานุภาพของมันสามารถทำลายอาณาจักรให้ย่อยยับไปในพริบตาได้  นั่นคือพลังทำลายล้างระดับปกติของมหาเวทสูงสุด

แต่ในตอนนี้  มหาเวทมนตร์ดำที่ดูดกลืนพลังชีวิตไปมากมายนั้น  ขอบเขตการทำลายล้างมันจะเท่าไรก็ไม่มีใครทราบได้  หากปล่อยให้มหาเวทตกลงสู่พื้น  โลกก็คงถึงจุดจบ  ยกเว้นแต่จะมีพลังมาหักล้างกัน

มหาเวทเจอกับมหาเวท  เป็นเรื่องน่าตื่นตาที่จะได้เห็น  เพราะจำนวนคนที่สามารถใช้มันได้นั้นมีน้อยมาก

แสงสีขาวสว่างตัดกับสีดำมืดของท้องฟ้ารอบๆ  ปรากฏอยู่หน้าประตูแห่งอำนาจ  จากกระแสเวทนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นทีอารีนทำให้พวกโซแวนเบิกตากว้าง

“เจ้าบ้านั่น!”  ชายหนุ่มสบถขึ้น  น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ  ในใจเริ่มร้อนรน  เขาย่อมรู้ดีว่าทีอารีนคิดจะทำอะไร  แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

วงเวทค่อยๆ  ปรากฏขึ้นรอบๆ  ตัวของทีอารีนอย่างรวดเร็วเพื่อแข่งกับเวลา  ลูซัสเองก็ใกล้จะร่ายมหาเวทเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

 “มหาเวทงั้นหรือ  องค์ชาย  เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยที่พลังเวทยังไม่สมบูรณ์  ไม่มีทางทำอะไรข้าได้หรอก”  ลูซัสเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าอภิรมย์เลย  ทีอารีนไม่มีท่าทีตื่นกลัวหรือคล้อยตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด

เขาแค่มุ่งสมาธิไปที่การทำลายอีกฝ่ายลงไปพร้อมๆ  กับประตูอสูร  หากไม่ทำเช่นนั้น  หลังการยิงมหาเวทของลูซัส  อีกฝ่ายคงปล่อยให้อสูรที่อยู่ด้านหลังลงมาทำลายโลกอีกแน่นอน

“จะทำได้หรือไม่ได้  เดี๋ยวเจ้าก็เห็นอีก”  ทีอารีนแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง  เขายกมือทั้งสองข้างไปด้านหน้า  เพิ่มพลังของมหาเวทให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

จะไม่มีการผ่อนเบา  ไม่มีการลังเล  ต่อให้ร่างเนื้อนี้แหลกไป  สิ่งที่จะต้องทำคือการปกป้องผู้คนที่อยู่ด้านหลัง

เขาตั้งปณิธานเช่นนั้นขณะรวบรวมพลังเวทไว้  เพราะต้องการทุ่มพลังทั้งหมดไว้ที่การโจมตีนี้  แขนและขาจึงเริ่มชา  ประสาทสัมผัสเริ่มไม่ตอบสนองต่อการสั่งการ  เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดนึกบอกตัวเองให้อดทน 

“อวดดีนักนะ!”  ลูซัสสวนกลับคำพูดของเขาด้วยความโกรธก่อนที่จะเริ่มโจมตีด้วยมหาเวทมนตร์ดำ  ทีอารีนจึงโจมตีสวนกลับไป  นับว่ายังดีที่มหาเวทของเขาสมบูรณ์พอดี

ลำแสงสีขาวและสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้าปะทะกัน  เกิดเสียงดังกึกก้องจนแผ่นดินและท้องฟ้าสั่นไหว  อานุภาพของมันทำให้เกิดคลื่นอากาศแผ่ขยายเป็นวงกว้าง  และลำแสงนั้นก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้า

ทีอารีนกัดฟันกรอด  รับรู้ได้ว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว  พลังเวทของเขาค่อยๆ  หมดลงไปเรื่อยๆ  แต่ยังไม่สามารถทำให้ประตูพังไม่ได้

“พยายามเข้า”  จู่ๆ  เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาใกล้  พร้อมกับมือของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาใกล้  เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นร่างวิญญาณของลูซิฟราน  พอเห็นใบหน้าที่ตกใจของเขาอีกฝ่ายก็หัวเราะขึ้น  “เจ้านี่จะทำให้ข้าพักผ่อนอยู่บนสวรรค์นานๆ  ไม่ได้เลยหรือไง”

“ท่านลูซิฟราน...”

“เอาเถอะ  ข้าก็สนับสนุนเจ้ามาตั้งนานแล้ว  เอ้า  จะบอกอะไรดีๆ  ให้  เจ้าปลดการเสริมพลังของประตูแห่งอำนาจซะ  ให้มันส่งผลแค่เจ้าคนเดียว”

“ถ้าทำแบบนั้นแล้ว...คนที่เหลือก็...”

“ถ้าเจ้าคิดจะทำลายประตูแล้วล่ะก็  คนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีพลังเสริมอะไรแล้ว”  ลูซิฟรานตอบเช่นนั้นก่อนที่จะหายไป  ทิ้งให้เขาตัดสินใจต่อ

จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า  ถ้าประตูอสูรถูกทำลายไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้พลังของประตูแห่งอำนาจแต่อย่างใด  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจตัดพลังของประตูแห่งอำนาจที่เสริมให้ทุกคนออกแล้วนำมาเสริมให้แก่ตน  ลำแสงมหาเวทของเขาจึงขยายตัวออก  และมีอานุภาพมากขึ้น

“จบกันสักที  ลูซัส!”  ทีอารีนตะโกนขึ้นขณะอัดพลังเฮือกสุดท้ายโจมตีใส่อีกฝ่าย  ลำแสงมหาเวทสีดำค่อยๆ  ถูกสีขาวกลืนหายไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดมหาเวทของเขาก็เข้าปะทะกับลูซัสและประตูอสูร

เกิดเสียงพังครืนดังก้องขึ้น  ประตูอสูรพังทลายลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปพร้อมกับมหาเวท  ท้องฟ้ากลับมาสงบอีกครั้ง  มวลเมฆเริ่มหายไปปรากฏให้เห็นแสงจันทร์และดวงดาวที่เปล่งประกาย  ราวกับทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหวไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมา

ประตูแห่งอำนาจค่อยๆ  จางหายไปพร้อมกับเสียงกระดิ่งแห่งชัยชนะ  เมื่อนั้นเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของมนุษย์ก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง

ทุกคนต่างร้องยินดีออกมาจากใจ  บ้างร้องไห้  บ้างหัวเราะ  เป็นภาพที่น่าประทับใจหลังจากเผชิญสงครามกันมานาน

ทีอารีนลืมตาขึ้น  ตัวเขาเองยังอยู่บนท้องฟ้า  ตรงหน้าไม่มีทั้งประตูอสูรแล้ว  เช่นนั้นศึกครั้งนี้มนุษย์เป็นฝ่ายชนะ

ทำสำเร็จแล้ว...

รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหนื่อยล้าของทีอารีน  เปลือกตาปิดลง  ก่อนที่ร่างนั้นจะเอนไปข้างหลังและถูกแรงดึงดูดให้ร่วงหล่นลงมาพื้นดินอย่างรวดเร็ว  พลังเวทที่เหลืออยู่น้อยนิดช่วยให้เขาไม่ตกกระแทกพื้น  แต่ร่างกายก็ไม่สามารถขยับได้

เด็กหนุ่มนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นหญ้า  ข้างหน้าปรากฏร่างหนึ่งที่เดินโงนเงนใกล้เข้ามา  อีกฝ่ายกัดฟันกรอด  สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ

ลูซัสที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลยังคงเหลือเวทมนตร์ดำมาโจมตีได้อยู่  เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าทีอารีนยังมีชีวิตจึงคิดจะสังหารด้วยความแค้น

“แก...เจ้าเด็กโอหัง...”

ฉึก!

เสียงของมีคมแทรกแทงผ่านเนื้อดังขึ้นก่อนที่ลูซัสจะเบิกตากว้าง  ที่หน้าอกนั้นมีดาบเล่มหนึ่งทะลุมาจากด้านหลัง  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจนั้นเหลือบมองไปหาผู้ที่ลงมือ

“กลับลงนรกไปซะ”

โซแวนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธเคืองและชักดาบออก  ร่างของลูซัสกระตุกเฮือกก่อนจะล้มลง  กายนั้นกลายเป็นสีดำไหม้และสลายไป

เมื่อศัตรูหายไปหมดแล้ว  โซแวนก็รีบวิ่งเข้าไปประคองทีอารีนทันที 

เมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเห็นอีกฝ่ายก็อดยกยิ้มไม่ได้

“มารับจริงๆ  ด้วย”  แว่วเสียงแผ่วเบาดังออกมาริมฝีปากที่แห้งผาก  โซแวนยังไม่พูดอะไรได้แต่มองเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนทุกที  แต่ดวงตานั้นทอความเศร้าโศกออกมาจนน่าสงสัย 

“ทำไมล่ะ  ยิ้มหน่อยสิ  เราชนะ...ใช่ไหม”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย  ครั้งจะมองไปรอบๆ  ศีรษะก็หนักเกินกว่าจะเคลื่อนไหวใดๆ

“ใช่  เจ้าทำได้  เราชนะ”  อีกฝ่ายตอบเขาเสียงเรียบ  ก่อนที่จะจัดท่าให้หนุนตักอยู่บนพื้น  เขาคล้ายจะได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายก่อนที่โซแวนจะเผลอบีบแขนเขาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 

“เจ้าผิดคำสัญญา  ไหนบอกข้าว่าจะไม่ฝืนตัวเองไง”

“ข้าจำได้...ว่าบอกไปแล้ว...ว่าถ้าไม่จำเป็น...ก็จะไม่ฝืน”  เขาเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าฝืนกับการหายใจที่ทำได้อย่างยากลำบาก  “นี่จำเป็น...”

หลังจากพูดออกไปประโยคหนึ่งก็เว้นช่วงเพื่อพักหายใจ  เหนื่อยเหลือเกิน...แต่ไม่อยากหลับไป  หากหลับไปแล้วเขาคงไม่ได้ตื่นมาอีก 

อีกฝ่ายคล้ายจะจำได้แล้วจึงเบิกตากว้างแล้วกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  แล้วถามเขา  “เจ็บมากไหม  ทรมานหรือเปล่า”

“ไม่...คิดว่าสบายดี”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มบางๆ  ไม่รู้ว่าตนเองกำลังโกหกหรือพูดความจริง  ความรุนแรงของการสูญเสียของพลังเวททั้งหมดยังส่งผลต่อเขาอย่างต่อเนื่อง  แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บตรงไหน  อาจเป็นเพราะความดีใจที่สามารถจบสงครามนี้ลงได้  หรือเป็นเพราะร่างกายไร้การตอบสนองจนไม่รู้สึกเจ็บอะไร

“โซแวน  ข้ายินดีเหลือเกิน  ยินดีที่สงครามนี้จบลงเสียที  ยินดีที่ได้พบกับทุกคน  ยินดีที่พวกเขาปลอดภัย  และ...ยินดีที่ได้เจอกับเจ้า”  ทีอารีนยกมือที่ชาอยู่สัมผัสเขาอย่างอยากลำบาก  รู้สึกเหมือนการรับรู้ค่อยๆ  เสื่อมลง  แต่ภาพความทรงจำที่เคยอยู่ร่วมกับคนอื่นค่อยๆ  ย้อนกลับมา

“พวกครีออนมาที่นี่ไหม”

“มา  ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว”  โซแวนเอ่ยตอบในขณะที่พวกครีออนวิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้พอดี  ผู้เป็นน้องชายเมื่อเห็นสภาพไร้เรี่ยวแรงของพี่ชายแล้วถึงกลับทรุดตัวลงนั่ง  ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและโศกเศร้า

“งั้นเหรอ  ครีออน...”  เมื่อได้ยินว่าทุกคนอยู่ที่นี่  ทีอารีนก็เอ่ยเรียกน้องชายก่อน  เขาไม่กล้ามองไปที่ไหน  ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง  แต่ดวงตากลับเริ่มพร่าเลือนจนไม่เห็นสิ่งใด

ฝ่ายครีออน  เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของตนก็รีบเข้าไปกุมมือที่ยกขึ้นทันที  น้ำตาเริ่มรินไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเรียกอีกฝ่าย  “เสด็จพี่”

“ไม่...ร้อง  ต่อจากนี้...เจ้าจะต้องปกป้องบ้านเมืองนะ  จงเข้มแข็ง  อย่ายอมแพ้  ถ้าเป็นเจ้า...ต้องทำได้แน่ๆ  เจ้าแข็งแกร่ง...และยิ่งใหญ่ได้มากกว่าข้า”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  เขารับรู้ได้ว่าครีออนกำลังจำมือตนเองจึงบีบแน่น  “อนาคตของคาร์ไลน์  ข้าขอฝากเจ้าด้วยนะ”

“ข้าจะไม่ทำให้เสด็จพี่ผิดหวัง  ข้าสัญญา  ท่านต้องอยู่ดูความสำเร็จของข้า”  ครีออนเอ่ยคำมั่นสัญญา  เมื่อได้ยินเช่นนั้นทีอารีนก็อดยกยิ้มไม่ได้ 

น้องชายของเขาเติบโตได้มากกว่านี้  และมากกว่าเขาอย่างแน่นอน

“อาคีรัส”  เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกชื่ออีกคนที่ได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายมาสักพัก  อาคีรัสรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาก่อนจะถามเสียงสั่น

“ขะ...ขอรับ”

“เป็นเพื่อนกับครีออนด้วยนะ”  หากเป็นอาคีรัส  เขาก็วางใจ ว่าครีออนจะไม่กลับไปเดินทางที่ผิดอีก  เมื่อได้ยินคำไหว้วานนั้นอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทันที

“เร็น  คาร์ริต้า” 

เจ้าของชื่อขานรับเบาๆ  เป็นสัญญาณรับรู้  พวกเขารู้แล้วว่าทีอารีนมองไม่เห็นรอบข้างแล้ว

ทั้งคู่สำหรับทีอารีนแล้วเป็นคู่รักที่ดีคู่หนึ่ง  ต่างเสียสละและแบ่งปัน  เกื้อหนุนกัน  สามารถแลกชีวิตเพื่อให้อีกฝ่ายปลอดภัยได้  “ข้านับถือพวกเจ้านะ  รักไปนานๆ  ล่ะ  และจริงๆ  ข้าคาดหวังบางอย่างกับพวกเจ้า...”

“อะไรหรือขอรับ”

“ข้าอยากมีหลาน”  มุมปากของทีอารีนยกยิ้มขึ้นเมื่อพูดประโยคนั้น  ส่วนคนฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่งเพราะทำตัวไม่ถูก  ทำให้เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา  “คิดซะว่าข้าพูดเล่นสิ...”

“ฝ่าบาท...”

ยังไม่ทันที่เร็นจะได้พูดอะไร  ทีอารีนก็ไอโขลกออกมาครู่หนึ่งทำให้แต่ละคนล้วนตกใจ  รอสักพักเด็กหนุ่มก็กลับมาเป็นปกติและสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเรียกหาสองคนสุดท้าย

“วารัน  นอร์ธวินด์” 

“ฝ่าบาท  ข้าอยู่นี่”  นอร์ธวินด์รีบเข้าไปคุกเข่าข้างทีอารีนและจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้  ส่วนวารันยืนเงียบๆ  ไม่พูดอะไร  เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้นก่อนจะถามเชิงขอร้อง  “สัญญากับข้าสิ  ปรับความเข้าใจกันซะ  ข้าว่า...หัวใจพวกเจ้าก็เรียกร้องหากัน...”

“ได้  ข้าสัญญา  ฝ่าบาท  ข้าจะไม่ทะเลาะกับหมอ...วารันอีกแล้ว”  อินคิวบัสหนุ่มให้คำสัญญาทั้งน้ำตา  เขาอยากจะเอ่ยต่อ  แต่เสียงสะอื้นก็ตีขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ได้

ทุกคนไม่อยากร้องไห้  ไม่อยากให้เห็นด้านอ่อนแอ  แม้แต่คนที่ดูทรมานที่สุดอย่างทีอารีน  ก็ไม่อยากมีน้ำตาให้คนเหล่านี้ทุกข์ใจ

“โซแวน...”  ท้ายที่สุดทีอารีนก็เบนสายตากลับมาหาคนที่ประคองตนเองไว้ในอ้อมกอด  แม้จะไม่เห็นแล้วแต่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่  เขานิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่อยากบอกมากที่สุด 

“ข้า...อยากอยู่...กับเจ้า”

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่ง  พวกเขาเป็นคนรักกัน  และทีอารีนเชื่อว่าตัวเองเป็นคนรักที่แย่  แทบไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่คิด  ซ้ำยังมาทำให้อีกฝ่ายเสียใจอยู่แบบนี้

“ให้...นานกว่านี้”

เขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะได้ตื่นมาอีกไหม  จึงพยายามที่จะไม่หลับไป  อยากจะมีเวลาร่วมกับโซแวนมากกว่านี้

โซแวนไม่ได้พูดอะไร  เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเริ่มหายใจหนักและช้าขึ้น  แต่นั่นเป็นเพราะสูญเสียพลังเวทไป  ชายหนุ่มพอเห็นทีอารีนเป็นเช่นนั้นจึงจับใบหน้านั้นยกขึ้น  เพราะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดีเลยรีบห้ามไว้ 

“อย่า  ข้าจะทำให้เจ้าตายได้”

“ใครสนกัน  ให้เจ้าปลอดภัยก็พอ”

“ข้าสน”  ทีอารีนตอบกลับไปเสียงเรียบ  ก่อนที่จะยกยิ้มปลอบ  “ไม่ต้องกังวลไป  อีก...ไม่นานก็หายแล้ว”

“จริงเหรอ”  คำพูดนั้นคล้ายกับจะประชดปนค้นหาความจริงด้วยเสียงสั่นเครือ  โซแวนกอดเขาไว้อย่างทะนุถนอมกลัวว่าจะอีกฝ่ายจะหายไป

“จริงสิ  ข้าไม่โกหกหรอก”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนจะบอกต่อ  “แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน  โซแวน”

โซแวนกัดฟันกรอด  อยากจะดื้อรั้งไว้แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายทรมานไปมากกว่านี้  เขารับรู้ถึงผลเสียของการใช้มหาเวทผ่านความทรงจำของผู้วิเศษที่ส่งต่อมาให้ยามสืบทอดพลังของอีกฝ่าย  ถ้าร่างกายไม่สูญสลายไปก็มีแต่เป็นเจ้าชายนิทรา  หลับไปนานร้อยปีหรือพันปี  หรือจนกว่าจะตาย

เขาอยากอยู่กับทีอารีนให้นานกว่านี้  ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน  อยากพาอีกฝ่ายไปให้รู้จักโลกกว่านี้  โลกที่ไม่ได้เวียนวนแค่การต่อสู้และสงคราม  ไม่มีการทรยศหักหลัง

แต่ก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายต้องฝืนทรมานเช่นนี้อีก

“เช่นนั้นก็หลับก่อนเถอะ”  เนิ่นนานกว่าที่โซแวนจะกล้าพูดออกมา  พร้อมกับยื่นมือลูบไล้แก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

“แต่ข้า...ยังมีเรื่องที่จะบอกเจ้า”  ทีอารีนยังคงคิดจะฝืนร่างกายตัวเองไว้  นั่นทำให้โซแวนรีบยกนิ้วมือขึ้นปิดริมฝีปากของเด็กหนุ่มไว้

“เจ้ายังไม่ต้องบอกตอนนี้  อีกกี่สิบกี่ร้อยปีข้าก็รอได้  แต่หลับพักผ่อนก่อนเถอะ  ข้าจะอยู่ข้างเจ้า  แต่สัญญาสิ...สัญญาว่าจะตื่นมาหาข้า”

ทีอารีนมองเขาที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ  ก่อนที่จะหลับตาลง  “ข้าสัญญา”

น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนลมที่พัดผ่านไปวูบหนึ่ง  ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดไม่สามารถรับรู้ถึงเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นตลอดจนกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง  หรือน้ำตาของชายหนุ่มที่ไหลออกมา

ฝูงแมลงเรืองแสงสีทองลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเคล้าคลอไปกับสายลมที่พัดมา  ทอแสงแข่งกับหมู่ดาวบนท้องฟ้าในยามมืดมิด  หวนให้นึกถึงวันคืนในอดีต  วันคืนที่ได้หัวเราะและมีความสุขอย่างเต็มที่ในทุ่งแห่งนี้ด้วยกันสองคน  แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มนั้นไม่สามารถชมความสวยงามนี้ได้ 

ทีอารีนเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนยาวนาน  เสียสละพลังทั้งหมดเพื่อปกป้องผู้คนและโลกใบนี้

สงครามอันยาวนานนี้จึงได้ปิดฉากลงในค่ำคืนอันหนาวเย็นและแสนเศร้า
---------------------------
ก็จบแล้วนะคะสำหรับเนื้อเรื่องหลัก วันพรุ่งนี้จะมาลง True End อีกสองอันให้ค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็จะจบสมบูรณ์ ยังไงก็ขอฝากและขอบคุณที่ติดตามกันมาค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด