หลังวันที่พระจันทร์แตกสลาย
บทที่ 1
Unfortunately Events
เรื่องแย่ๆของผมเริ่มขึ้นช่วงพักเที่ยงของเช้าวันจันทร์ หลังเสียงกริ่งบอกหมดชั่วโมงเรียนคณิตศาสตร์สุดทรมานดังขึ้นนักเรียนทุกคนในห้องก็แทบจะไหลตายไปกับโต๊ะเรียน
“การบ้านหน้ายี่สิบสี่ ข้อหนึ่งใหญ่ สองใหญ่ ส่งพรุ่งนี้ก่อนเข้าแถว ใครมาไม่ทันไม่รับส่งแล้วนะคะ”
ครูเนตร ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์ที่สอนห้องพวกผมดันแว่นตาอันใหญ่ที่ทำให้เธอดูเหมือนนกฮูกขึ้นไปจนชิดดั้งจมูก ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูแย้มรอยยิ้มประหารส่งให้นักเรียนแต่ละคน
“ครูหวังว่าพวกเธอจะส่งงานตรงเวลา”
เหล่านักเรียนผู้แทบจะต้มหนังสือเรียนกินแทนข้าวกลางวันตอบรับเสียงยานคาง หลังได้ยินเสียงอ่อยๆ จนพอใจคุณครูสาวก็หันหลังเดินออกจากห้องตามติดด้วยหัวหน้าห้องที่หอบหิ้วกระเป๋าใส่หนังสือและอุปกรณ์การสอนของครู
“ติ ตายยัง”
เสียงใสดังอยู่เหนือหัวพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดมาแรงๆ ที่หลังจนผมสะดุ้ง รีบกระเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วส่งสายตาฟาดฟันให้คนทำทันที
“ยังไม่ตายแต่กำลังจะตายเพราะโดนคนมือหนักฟาดเนี่ยแหละ”
“เอ้าเหรอ โทษทีไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ฟาดแรงขนาดนั้นนะ เป็นผู้ชายแค่นี้ทำสำออย”
“โธ่ป้า ประมาณแรงควายตัวเองบ้างเถอะ”
เชื่อไหมครับถ้าผมจะบอกว่าเจ้าของแรงโคแรงกระบือที่ฟาดหลังผมแทบหักตะกี้เป็นผู้หญิง แถมยังเป็น ‘สาวสวย’ เสียด้วย
“เรียกป้าอีกคำตบหน้าคว่ำนะจ๊ะติชิลา”
ครับ ตรงหน้าผมคือสาวน้อยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสุกใสรับกับจมูกและปากได้รรูป พวงแก้มซับสีแดงของเลือดฝาดแบบคนสุขภาพดี
ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ธารทิพย์’ คนนี้สวยสดใสสมวัยและมีเสน่ห์น่าเข้าหา
ใช่...ทุกคนยกเว้น ‘ผม’
ทำไมน่ะหรือ? ก็ถ้าคุณเป็นเพื่อนกับสาวสวยคนนี้มาตลอดชีวิต รู้ว่าบ้านเธอเปิดโรงฝึกคาราเต้และเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของหัวหน้าโรงฝึกที่คว้าแชมป์คาราเต้ระดับประเทศได้ตั้งแต่อายุยังน้อย รู้ว่าพี่ชายห้าคนและพ่อของเธอดุอย่างกับร๊อตไวเลอร์ผสมพิตบูล รู้ว่าเธอเคยเตะก้านคอผู้ชายที่ตรงมาจะลวนลามจนสลบไป...
ถ้าคุณรู้เหมือนที่ผมรู้มาตลอดชีวิตคุณจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าไอ้ภาพลักษณ์นางฟ้านี่น่ะแม่งโคตรหลอกตา!
“ทำหน้าทำตา...นินทาธารในใจล่ะสิ หน้าโง่ๆ แบบนี้เดาง่าย”
แถมมันยังปากหมามากด้วย! ให้ตายเหอะ!
“เป็นสาวเป็นนาง ทำไมพูดไม่เพราะ”
“เป็นแม่เหรอ ทำไมพูดเหมือนแม่ธารเมื่อเช้าเลย”
“เราเข้าใจหัวอกแม่ธารต่างหาก หน้าตารึก็ดี เสียของ”
“เหอะ”
ธารกลอกตา ถ้าเอามือแคะหูตัวเองได้คงทำไปแล้ว “จะพูดล่ะสิว่านิสัยแบบนี้เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้”
“ก็รู้นี่หว่า”
“ไม่เห็นอยากมี ถ้าไม่มีใครมาขอธารอยู่เป็นโสดก็ได้ มีเงินซะอย่าง” มันหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวานให้ผม ร่างโปร่งบางของเพื่อนสนิทรี่เข้ามาคล้องแขนผมไว้ก่อนจะเอนหัวซบไหล่ผมอย่างออดอ้อน “แต่ถ้าแม่บังคับแต่งธารจะบอกแม่ว่าจะแต่งกับติ”
“ถามความเห็นเราก่อนได้หรือเปล่า”
“ยกสินสอดไปขอด้วยก็ได้เอ้า ทำไม แต่งกับสาวสวยแบบเรานี่ไม่ชอบหรือไง อีกอย่างป๊าก็ฝากธารไว้กับติด้วยจำไม่ได้เหรอ”
ผมหัวเราะเหอะๆ ในลำคอระหว่างปลดแขนมันออกแล้วเริ่มต้นเก็บหนังสือกับกล่องดินสอลงใต้โต๊ะ ผมบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าผมกับธารรู้จักกันมาทั้งชีวิต นั่นเพราะบ้านเราอยู่ติดกัน พ่อแม่เราสนิทกัน ช่วงท้องที่ท้องผมแม่ผมกับแม่ธารยังไปร่วมโปรแกรมคนท้องด้วยกันอยู่เลยและผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่พี่ๆ ห้าคนรวมถึงพ่อแม่ธารอนุญาตให้เข้าถึงตัวลูกสาวเขาได้
“หิวแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่า”
ผมเปลี่ยนเรื่องธารก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เธอกลับไปบ่นหงุงหงิงเรื่องอาจารย์สอนคณิตปล่อยช้าและการบ้านมหาโหดที่รุมเร้า
ผมพลิกข้อมือดูนาฬิกา ก็ปล่อยช้าจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว โรงอาหารคนเต็มแล้วแน่ๆ
“โอ๊ยยย ราดหน้าที่อยากกินหมดแล้วแน่ๆ”
“ซื้อขนมปังไปนั่งกินที่อื่นดีไหม”
ผมเสนอความเห็นระหว่างมองไปรอบโรงอาหารที่แน่นขนัด ธารทิพย์กัดริมฝีปาก เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จำใจพยักหน้า พวกเราสองคนเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ร้านสะดวกซื้อในโรงเรียนแทน ธารกับผมหยิบชาเขียวติดมือกันมาคนละขวดก่อนเดินไปที่ร้านขายขนมปัง ธารหยิบโดนัทเรียงใส่กล่องในขณะที่ผมหยิบเอแคลร์กับคุกกี้มาสองสามถุง เราหารครึ่งกันเสมอเวลาซื้อขนมแบบนี้
“ไปกินที่ไหนดี”
หลังได้ขนมเราสองคนเดินวนไปรอบๆ โรงเรียน ตามโต๊ะม้าหินอ่อนและศาลามีคนจับจองอยู่เต็มแล้วและเราไม่อยากหอบขนมขึ้นไปกินบนห้องเรียนเท่าไหร่ หลังเดินวนไปวนมาจนเหงื่อซึมผมก็นึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้ ผมดันแว่นขึ้นก่อนจะเสนอว่า
“ไปกินบนโรงยิมกันไหม ตอนนี้นอกจากพวกที่ขึ้นไปเล่นบาสก็ไม่น่ามีใคร”
“หืม เอาสิ”
ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเข้าเรียนแล้วแต่เหล่าเด็กม.ห้าผู้มีพลังงานเหลือล้นยังคงวิ่งไล่ตามลูกบาสเก็ตบอลอยู่แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากบันไดที่ผมกับธารนั่งอยู่เราได้ยินเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นโรงยิม เสียงลูกบาสกระทบพื้นและเสียงตะโกนโหวกเหวก ผมกับธารไม่ได้เข้าในสนามแต่เรายึดบันไดเป็นที่กินข้าวกลางวัน โชคดีที่ที่นี่ไม่มีคนเดินขึ้นเดินลงบ่อยนัก
“เจอป้าเนตรก่อนกินข้าวนี่หายนะชัดๆ”
ธารถอนหายใจระหว่างที่ส่งโดนัทเข้าปาก ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ได้ข่าวว่าอาจารย์คนนี้ดุแถมยังออกข้อสอบยากสุดๆ
“อยากปิดเทอมแล้ว”
“เพิ่งเปิดเทอมมาสองอาทิตย์เองไหม”
“เป็นเด็กม.หกนี่ยากชะมัด อยากเข้ามหา’ลัยแล้ว”
“ถอนคำพูดเถอะ เดี๋ยวพอเข้ามหา’ลัยแล้วจะเสียใจ”
ธารหัวเราะคิก เธอเป็นคนเดียวที่เข้าใจมุกตลกหน้าตายของผม เพื่อนส่วนใหญ่ในห้องไม่ค่อยมีใครเข้าใจผมนัก พูดไปแล้วเรียกได้ว่าไม่มีใครสนใจจะเข้าใจผมเลยดีกว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่เฉยๆ กับผมก็คือชอบแกล้งผมเอาสนุก ธารเคยบอกว่าเพราะผมดูไม่สู้คน แถมยังเป็นไอ้แว่นเนิร์ดอีกถึงได้เป็นเป้าสังหาร
แต่ผมคิดว่ามีบางคนที่แกล้งผมเพราะไม่ชอบหน้าผมจริงๆ แบบ...เกลียดขี้หน้ากันเลย สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากธาร ผมเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย หาคนสนิทด้วยจริงๆ ยากดังนั้นตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมมาคนที่สนิทกับผมที่สุดก็คือธาร เราตัวติดกันจนโดนเข้าใจผิดบ่อยๆ ว่าเป็นคู่รัก พออยู่กับผมธารเองก็มักเผลอเล่นถึงเนื้อถึงตัวแบบเวลาเราอยู่ที่บ้านทำให้ผู้ชายที่เล็งธารไว้เกลียดขี้หน้าผม และผู้หญิงที่เกลียดธารก็มักนินทาลับหลังว่าธารแรด ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าด่าเราทั้งคู่
แม้หลายคนในโรงเรียนจะพูดกันสนุกปากว่าธารกับผมเป็นคู่ที่ดูเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดแต่เราทั้งคู่รู้ดีว่าไม่ใช่และไม่มีวันเป็นไปได้
ผมชอบธารในฐานะเพื่อนและไม่มีวันมากไปกว่านั้น เพราะว่า...
ผมไม่สนใจผู้หญิง ครับ ผมชอบผู้ชายด้วยกัน
ผมเริ่มรู้ตัวเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองก็ตอนอยู่ม.1 เพราะเผลอไปชอบรุ่นพี่คนหนึ่งเข้า ตอนนั้นผมกังวลแทบบ้า รู้สึกสับสนและคิดตลอดเวลาว่าตัวเองแปลกแยก
ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายแล้วทำไมผมถึงชอบผู้ชายด้วยกันได้ล่ะ
โอเค ผมรู้ว่าตอนนี้เราเปิดกว้างเรื่องนี้มาก โลกพัฒนาจนส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ได้และหลายประเทศคู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมาย แต่พอมาเกิดกับตัวเองจริงๆ ผมก็ไปไม่เป็นอยู่ดี
ปรึกษาที่บ้าน?
ตัดทิ้งไปได้เลย
แม่ผมวุ่นวายอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนพ่อก็วุ่นวายกับการบริหารธุรกิจของเขา ผมกับน้องอีกสองคนถูกเลี้ยงมาโดยพี่เลี้ยงและเมื่อผมโตพอจะดูแลตัวเองได้แม่กับพ่อจึงฝากฝังน้องไว้กับผม
ติชิลา ลูกเป็นพี่คนโตนะ ดูแลน้องๆ แค่นี้ทำได้ใช่ไหม
ดูแลบ้านกับน้องด้วยนะพี่ชายคนเก่ง ประโยคทำนองนี้ผมได้ยินบ่อยจนเบื่อ สุดท้ายคนที่ดูแลบ้านก็เป็นผม ส่วนพ่อกับแม่ก็ยังคงยุ่งวุ่นวายต่อไป ผมได้คุยกับพวกท่านน้อยมากและจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเรากินข้าวพร้อมหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เพราะเหตุนี้ผมถึงสนิทกับครอบครัวของธาร พ่อกับแม่ของธารมีความรักมากล้นให้ลูกๆ ของพวกเขาและแน่นอนว่าเผื่อแผ่มาถึงผมด้วย หลายครั้งที่ผมจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านของเพื่อนสนิทแล้วก็ค้างที่นั่น ทำตัวเหมือนว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพวกเขา
ไม่ใช่พี่ชายคนโตที่ต้องกลับไปอยู่ในบ้านกว้างๆ มืดๆ และหงอยเหงาพร้อมแบกภาระไว้เต็มบ่า
“เออติ ธารว่าจะไปลงเรียนพิเศษเพิ่มล่ะ”
“เราก็ด้วย”
ผมพยักหน้ารับ นี่แหละชะตากรรมเด็กมัธยมศึกษาปีที่หก วนเวียนอยู่กับบ้าน โรงเรียนและสถาบันกวดวิชา เพิ่งเปิดเทอมมาได้สองอาทิตย์ผมสมัครเรียนพิเศษไว้จนตารางเต็มแน่นทั้งสัปดาห์
“รู้สึกเหนื่อยยังไงไม่รู้” ผมพึมพำ ธารทิพย์ยิ้มให้ก่อนจะเอนศีรษะมาซบไหล่ผม “ว่าที่คุณหมอก็แบบนี้แหละ” เธอแซว
ผมแค่นหัวเราะ...คุณหมอ...นั่นสินะ
“สอบเข้าให้ได้ก่อนเถอะ”
“สู้ๆ”
ใจผมมันไม่สู้เลยสักนิด
การที่มีแม่เป็นคุณหมอในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังทำให้ใครๆ ก็คาดหวังว่าคุณจะเจริญรอยตามแม่ ญาติๆ ทั้งหลายจับตามองผมด้วยสีหน้าคาดหวังปนทึ่งเมื่อแม่กับพ่ออวดเกรดแต่ละภาคเรียนของผมให้พวกเขาดู
‘เกรดดีแบบนี้สงสัยจะได้เป็นหมอเหมือนแม่ เอ หรือจะอยากเป็นนักธุรกิจแบบคุณพ่อกันครับน้องติ’
ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนี้ ไม่ถามความเห็นผมสักคำว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร
ผมไม่เคยอยากเป็นหมอ
แต่ถ้าถามผมว่าผมอยากเป็นอะไร...ผมก็ตอบคุณไม่ได้หรอกเพราะผมไม่รู้ ชีวิตผมที่เจอแต่กองตำรามาทั้งชีวิต ถูกผู้ใหญ่ขีดทางในอนาคตไว้ให้ พอคิดจะเดินออกนอกกรอบก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากเป็นอะไรสุดท้ายก็จำต้องกลับไปที่ทางเก่า ชีวิตแบบนี้มันน่าหงุดหงิด ผมเคยคิดจะแหกคอกอยู่สองสามหนแต่พอเห็นสีหน้าของพ่อกับแม่ตอนคุยกันเรื่องอนาคตของผมแล้วก็ทำไม่ลง
‘น้องติจะต้องเป็นหมอที่เก่งมากแน่’
‘แต่งงานแล้วก็มีหลานให้แม่อุ้มสักสามคน’
‘น้องติเป็นความหวังแล้วก็ความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่นะ’
สุดท้ายผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มให้พวกเขาแล้วก็ตอบรับความคาดหวังหนักอึ้งพวกนั้น
ผมถูกบีบอยู่ในกรอบ...ไม่ใช่ด้วยคำขู่เข็นหรือการบังคับที่รุนแรง
ผมถูกบีบอยู่ในกรอบ...ด้วยความภาคภูมิใจของพ่อแม่
“ติ...ติ...ติชิลา!”
ผมสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อธารทิพย์ตะโกนเสียงดังอยู่ข้างหู “ทำอะไรเนี่ย”
“ได้เวลาเรียนคาบบ่ายแล้ว มัวแต่เหม่ออยู่นั่นเดี๋ยวก็เข้าเรียนสาย”
จริงด้วย เสียงกริ่งดังแล้ว ผมรีบช่วยธารเก็บกวาดเศษขยะใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่จากนั้นก็มัดปากถุงแล้วพูดว่า “เดี๋ยวเราขึ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแล้วจะเอาขยะไปทิ้งให้ด้วยเลย ธารรอนี่”
ผมรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามซึ่งมีห้องน้ำอยู่ทันที
บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบ ด้วยความกลัวว่าธารจะรอนานทำให้ผมรีบผลักประตูเข้าไปข้างในทันที
“เชี่ยแม่ง!” แต่แล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ผมต้องสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตามปกติแล้วผมไม่ใช่คนพูดจาหยาบคายอะไรนักหรอกนะครับแต่หนนี้มัน...มันห้ามไม่ได้จริงๆ ถุงขยะในมือผมตกลงพื้น แข้งขาพันกันจนล้มก้นจ้ำเบ้า
“พ..พี่เสือ...มีคนมา”
เสียงแหบพร่าที่ติดจะเซ็กซี่เล็กน้อยดังมาจากเด็กหนุ่มผิวขาวซึ่งแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของผู้ชายร่างใหญ่นามว่าเสือ เสื้อผ้าของเขายับย่น ชายเสื้อหลุดจากกางเกงแต่ดูทรงแล้วคงยังไม่มีอะไรเกินเลย ตอนผมเข้าไปสองคนนี้กำลังจูบกันอย่างดุเดือดแล้วเสือก็กำลังเลาะกระดุมเสื้อนักเรียนของอีกฝ่ายอยู่พอดี
แบบนี้แปลว่าผมโผล่เข้ามาขัดจังหวะเขาใช่ไหมนะ
เวรละ
ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกไม่ควร แต่ผมก็ดันรู้สึกว่าตัวเองโผล่มาแบบโคตรจะผิดเวลา ไม่รู้ว่าในใจผู้ชายตัวใหญ่ที่ชื่อเสือจะนึกอยากฉีกผมเป็นชิ้นๆ หรือยัง
“ข..ขอโทษครับ”
ผมลนลานคว้าถุงขยะขึ้นมา มือไม้สั่นโดยเฉพาะตอนสบดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย
สายตาของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความตกใจ “นาย...” แค่เขาเผยอปากพูดผมก็รู้ทันทีว่าตัวเองควรทำอะไร
“ต่อเลยตามสบายครับ!”
ผมจะทำอะไรได้นอกจากหันหลังแล้วก็วิ่งหนีออกมาแบบโคตรไวไงเล่า!
สีหน้าของผมคงดูแย่มากและอาจมีอาการประหนึ่งไปเจอผีแปดป่าช้ามาก็เป็นได้ธารถึงได้ถามอย่างเป็นห่วงว่า ‘เจอดีแล้วใช่ไหม เขาบอกห้องน้ำโรงยิมชั้นสามผีดุ’
เออ เจอเลยแหละ เจอเต็มๆ ทำยังไงก็สลัดออกจากหัวไม่ได้เลยโว้ย
ใครจะไปรู้ว่าการเจอช็อตคนจูบกันแค่ช็อตเดียวจะทำให้สมองผมลัดวงจรขนาดนี้ ให้ตายๆๆ
สุดท้ายในเมื่อเรียนไม่รู้เรื่องผมก็ตัดสินใจฟุบมันเสียเลย แต่พอหลับตาภาพคนที่ชื่อเสือกับใครสักคนก็แวบเข้ามาหัวผมอีกครั้ง
ผมจำหน้าคนที่ชื่อเสือไม่ได้ เด็กอีกคนยิ่งไปกันใหญ่ สิ่งเดียวที่ผมจำได้เกี่ยวกับเขาคือรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูล้ำหน้าเด็กวัยเดียวกันและดวงตาคมกริบคู่นั้น
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก
ตาเขาเป็นสีอะไรนะ...สีดำหรือเปล่า ใช่..สีดำ
เหมือนกับหลุมดำลึกล้ำในอวกาศที่ดูดสิ่งทุกอย่างหายไปรวมถึงสติและลมหายใจของผม
เสือ
ชื่อเรียบง่ายที่ดูเหมาะกับเขา ตัวใหญ่ ตาดุ เหมือนเสือเวลาล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
พอคิดถึงตรงนี้มุมปากของผมพลันยกขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเสือร้ายนั่นจับเหยื่อได้แล้วนี่นา แล้วก็กำลังจะ ‘กิน’ ด้วย กระต่ายร่างเล็กเนื้อขาวตัวนั้น...
ถ้าไม่ใช่เพราะผมเข้าไปขัดจังหวะคู่นั้นคงได้เสียกันในห้องน้ำไปแล้ว นี่ถ้าเจอหน้ากันอีกผมควรเดินไปบอกทั้งคู่ไหมว่าที่แบบนั้นมันไม่ถูกสุขอนามัยน่ะ
จะว่าไปเด็กอีกคนที่อยู่กับเสือรูปร่างเป็นยังไงนะ
ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงรายละเอียดที่พลาดไปในตอนแรก ถ้าผมจำไม่ผิดเสือเป็นผู้ชาย ส่วนเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็เป็นผู้ชาย
ดูเหมือนว่าผมจะเผลอไปรู้ความลับของใครบางคนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้วสิ
คาบบ่ายที่เหลือผ่านไปโดยที่สติผมไม่จดจ่ออยู่กับเนื้อหาเลยแม้แต่น้อย หลังเลิกเรียนผมบอกให้ธารกลับบ้านไปก่อนเพราะวันนี้ผมเป็นเวรทำความสะอาดห้อง
“ให้อยู่ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร”
ผมถอนหายใจขณะที่มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว น่าทึ่งจริงๆ ที่เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนสามารถเก็บกระเป๋าออกจากห้องเรียนได้ไวขนาดนี้
แม้แต่เพื่อนผู้ชายคนอื่นที่เป็นเวรทำความสะอาดร่วมกับผมก็สะบัดก้นหายไปแล้วเหมือนกัน
“ดูเหมือนนายต้องการความช่วยเหลือนะ”
“เราก็ว่างั้น”
ผมถอนหายใจ รบกวนธารอีกจนได้
เด็กสาวที่วิ่งร่าเริงไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาจากหลังห้องยิ้มกว้างให้ผม “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า พอถึงตาฉันทำเวรนายก็แค่อยู่รอไง แบบทุกทีนั่นล่ะ”
“การตั้งความหวังว่าพอขึ้นม.หกแล้วเพื่อนๆ จะมีน้ำใจช่วยทำเวรนี่มันมากไปสินะ”
“คราวหลังก็สู้เขาสิ ตะโกนใส่หน้าเลยว่าไอ้พวกเวร รู้จักทำความสะอาดซะบ้าง”
“หามเราไปส่งโรงพยาบาลด้วยแล้วกันนะ” ขืนพูดแบบนั้นผมคงโดนชกจนปากแตก
โชคร้ายที่ปีนี้อาจารย์ประจำชั้นจัดเวรทำความสะอาดให้ผมอยู่วันเดียวกับเตโช หัวโจกของพวกเด็กเกเรทั้งหลาย เตโชเป็นคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภทเกลียดขี้หน้าผมอย่างจริงจังเพราะเขาชอบธารทิพย์
พอได้อยู่เวรทำความสะอาดวันเดียวกันแค่อาทิตย์แรกอีกฝ่ายก็แผลงฤทธิ์ใส่ผม เตโชพูดว่า ‘จะช่วยทำความสะอาด’ แต่จริงๆ คือทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิม เขากวาดพื้นแรงๆ จนฝุ่นกระจายทั้งห้อง ชนโต๊ะจนเบี้ยว ลยกระดานไวท์บอร์ดยังไงไม่รู้แต่หมึกสีน้ำเงินเลอะเป็นคราบ แถมก่อนไปยังแกล้งเดินสะดุดถังขยะจนล้ม สรุปคือผมต้องอยู่เย็นเพื่อเก็บกวาดทั้งหมดนั่นคนเดียว
พอมาอาทิตย์นี้เขาพาเพื่อนคนอื่นหนีกลับก่อน คงคิดว่าการทิ้งให้ผมทำความสะอาดคนเดียวจะทำให้ผมเจ็บใจและหงุดหงิด
“เขาทำแบบนี้ทำให้งานเราง่ายขึ้นเยอะ” ไม่มีใครถ่วงแข้งขาเวลาทำความสะอาดงานก็เสร็จเร็วจนน่าทึ่ง “เตชน่าจะไสหัวไปเร็วๆ แบบนี้ทุกสัปดาห์”
ดวงตากลมของธารมองผมอย่างอึ้งๆ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“บางทีเราก็คิดนะว่าติเป็นคนด่าเจ็บ”
“คิดไปเอง เราด่าใครเป็นที่ไหน”
ผมยิ้มให้เธอแล้วลงมือผูกถุงดำใส่ขยะด้วยตัวเอง เอาล่ะ ตอนนี้เหลือแค่เอาเจ้านี่ไปทิ้งก็กลับบ้านได้
ผมให้ธารทิพย์ยืนรออยู่ที่บันไดทางขึ้นตึกระหว่างที่ตัวเองเดินอ้อมไปด้านหลังตึกเรียนเพื่อทิ้งขยะจากนั้นก็แวะเข้าห้องน้ำไปล้างมือ ตอนนั้นเองที่ประตูห้องน้ำบานหนึ่งเปิดออกก่อนที่ร่างของผู้ชายสองคนจะเดินออกมา
ผมชะงัก เขาสองคนก็ชะงัก ผมกระแอมเบาๆ เมื่อเห็นว่าสภาพของคนทั้งคู่ดูยุ่งเหยิงเพียงไร เสื้อผ้ายับย่น ชายเสื้อหลุดจากกางเกง แถมผมเผ้าก็ดูไม่เรียบร้อย
คนตัวเล็กที่เดินนำหน้าเม้มริมฝีปาก แก้มขาวแดงเรื่อ เขาก้าวฉับๆ มาคว้ากระเป๋าที่วางทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาข้างหลังว่า
“พี่เสือ แทนไปก่อนนะ”
เสือ...ชื่อนี้อีกแล้ว...หรือว่า...
ผมถูมือตัวเองจนหนังแทบหลุดขณะที่แอบมองคนชื่อเสือผ่านกระจก หลังเด็กชื่อแทนออกไปเขาก็หันมาหาผมเราประสานสายตากันครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินช้าๆ มาหยุดที่อ่างล้างหน้าข้างๆ ผมแล้วเริ่มล้างมือ
ถ้าเทพเจ้าแห่งความโชคดียังเมตตาผมอยู่ก็ขอให้เขาจำไม่ได้ทีเถอะ
“ดูเหมือนว่าเราสองคนจะชอบเจอกันในสถานการณ์แปลกๆ นะ” ประโยคนั้นทำให้ผมสะดุ้ง หันขวับไปหาเขาทันที “นาย...จำได้เหรอ”
“จำได้สิ คนเมื่อตอนกลางวันใช่ไหมล่ะ”
ท่าทางของเขาดูผ่อนคลาย เสือยิ้มให้ผม รอยยิ้มกว้างอวดเขี้ยวเล็กๆ ทำให้ไหล่ที่เกร็งอยู่ของผมผ่อนแรงลง
“เราไม่ได้ตั้งใจ”
“เรารู้”
น้ำเสียงของเขาห้าวลึกแต่ไม่ได้กระโชกระคายหู กลับกันท่าทีของเขาดูสุภาพมากด้วยซ้ำ
“เอ่อ ขอโทษอีกครั้งที่ขัดจังหวะแล้วก็...คือ...ครั้งหน้าพวกนายอย่าทำที่ห้องน้ำเลย มันไม่ถูกสุขอนามัย”
เงียบ...ระหว่างเราเหลือแค่ความเงียบ เสือทำหน้าแปลกๆ ส่วนผมนึกอยากเอาหัวฟาดขอบอ่างตาย
ไอ้แว่นติชิลา พูดอะไรออกไปวะ!
ผมปิดก๊อกน้ำ เช็ดมือกับกางเกงลวกๆ ตัดสินใจได้ทันใดว่าควรหายตัวไปจากตรงนี้ได้แล้ว “เราไปก่อนนะ อืม สวัสดี”
ผมหัวเราะแห้งๆ แถมท้ายก่อนจะก้าวไวๆ ไปที่ทางออกแต่ยังไม่ทันได้ไปไหนมือใหญ่ของเสือก็คว้าแขนผมไว้แล้วดึงกลับมาอย่างแรง
“เฮ้ย!”
เขาแรงเยอะมากจนผมแทบปลิว แต่ที่ผมร้องเพราะแว่นตาราคาหกพันของผมกระเด็นตกไปที่พื้น
“เฮ้ย ขอโทษ”
น้ำเสียงของเสือดูตกอกตกใจเช่นเดียวกัน เขาจับผมให้ยืนตรงๆ มือใหญ่ลูบรอยแดงตรงต้นแขนผมเบาๆ จากนั้นเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปหยิบแว่นตาของผมมาเช็ดๆ ปัดๆ แล้วสวมคืนให้อย่างนุ่มนวล
สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังโลกกลับมาชัดเจนอีกครั้งคือดวงตาสีนิลสวยซึ้งที่อยู่ในระยะประชิด
ขนตาเขายาวมากเลยแถมดวงตาคู่นั้นก็สวยกว่าที่คิดไว้
“ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะจับแรงแบบนั้น คือฉันกะแรงไม่ถูก” เขาถอยออกไปแล้วพึมพำขอโทษด้วยสีหน้าเสียใจ ผมมีโอกาสได้สังเกตเขาชัดๆ ก็ตอนนี้ เขาหล่อมาก เป็นผู้ชายที่รูปร่างดีและหน้าตาดีหาตัวจับยากคนหนึ่ง เขามีผิวสีน้ำตาลอย่างพวกชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง เครื่องหน้าของเขารับกันไปหมด แถมพอยิ้มดวงตาสวยๆ ของเขาก็หยีลงจนเป็นเส้นโค้งอีกด้วย
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก” ผมถอดแว่นมาสำรวจ จดจ่อกับมันมากเกินความจำเป็นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียสมาธิไปมองผู้ชายตรงหน้า เมื่อเช็คจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหายผมก็สวมแว่นกลับตามเดิม “แว่นเราไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ต้องทำหน้าเหมือนนายเป็นคนเหยียบแว่นเราแหลกคาเท้าแบบนั้น”
เขาหัวเราะ ยิ้มกว้างอีกแล้ว ให้ตาย บทสนทนาพิลึกบ้าบอในห้องน้ำนี่มันอะไรกัน
แต่ก็ดีแล้ว
ผมโล่งอกที่เขาดูไม่ติดใจอะไรกับการที่ผมโผล่มาตอนเขากำลังกินเหยื่อถึงสองครั้งสองครา เอาล่ะ ได้เวลาถอยออกจากถ้ำเสือแล้ว
“งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เอ่อ อย่าลืมนะว่าห้องน้ำมันไม่สะอาด”
เป็นคำบอกลาที่ห่วยแตกที่สุดแต่เชื่อเถอะว่าผมแม่งนึกอะไรไม่ออกจริงๆ ผมรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ ไม่เปิดโอกาสให้เขาคว้าตัวได้อีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะเลี้ยวตรงมุมตึกผมเหมือนได้ยินเสียงของเสือเรียกชื่อผมแว่วๆ แต่คงหูฝาด เขาจะไปรู้ชื่อผมได้ยังไงกัน
...ไม่ต้องรู้ชื่อ ไม่ต้องจำหน้าได้ ไม่ต้องเจอกันอีกเป็นครั้งที่สองนั่นแหละดีที่สุดแล้ว...
เสือมองตามเด็กหนุ่มสวมแว่นที่วิ่งหัวซุกหัวซุนประหนึ่งกำลังหนีการไล่ฆ่าไปอย่างงุนงง โอเค เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจกลัวที่เขาตัวใหญ่ แถมยังมาเจอกันในสถานการณ์พิลึกๆ ที่ชวนกระอักกระอวนอีกจะรีบหนีหน้าก็ไม่แปลก แต่ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าหวาดผวาเหมือนเห็นผีแบบนั้นเลยนี่นา เขาไม่ได้จะจับหักคอจิ้มน้ำพริกเสียหน่อย
“ยังไม่ทันได้พูดเรื่องสำคัญเลย หนีกันไปเสียแล้ว”
เสือถอนหายใจก่อนจะก้มลงมองบัตรนักเรียนที่อยู่ในมือ ใบหน้าคุ้นตาของคนสวมแว่นจ้องตอบกลับมา เสือเลื่อนสายตาลงมาดูชื่อจริงที่เขียนไว้
ติชิลา
ชื่อเพราะ
นึกชมในใจระหว่างเก็บบัตรนักเรียนลงกระเป๋าแล้วหันไปจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ที่เขาเรียกอีกฝ่ายไว้เมื่อกี้ก็เพราะบัตรนักเรียนนี่แล้วก็มีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดด้วยอีกเรื่อง แต่ในเมื่อหนีกันไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปตามหาที่ห้องของอีกฝ่ายก็แล้วกัน โชคดีที่บนบัตรเขียนชั้นเรียนเอาไว้ด้วย
ในขณะที่ติชิลาคนดวงซวยภาวนาให้ไม่เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง เสือก็หมายมั่นปั้นมือว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเข้าไปคุยกับอีกฝ่ายที่ห้องเรียนให้จงได้
**********************************************
ตอนแรกจบไปแล้วววว โอ๊ยยย รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ ห่างหายจากการเขียนอะไรใสๆ แบบนี้ไปนานมากกก
ได้กลับมาเขียนวัยมัธยมกุ๊กกิ๊กแล้วรู้สึกดีเหมือนกัน ฮ่าๆๆ
ตอนแรกยังไม่มีอะไรมากนอกจากพูดถึงน้องเสือกับน้องติ อยากจะบอกว่าคาร์พระนายคู่นี้เป็นอะไรที่เบลอมาก
เบลอเหมือนสมองคนเขียนช่วงนี้เลยค่ะ 555 น้องติก็ดูป้ำๆ เป๋อๆ หนูลูกกก เขียนไปก็ขำนางไป รู้สึกเอ็นดู
ส่วนน้องเสือ...ถึงจะชื่อเสือเป็นสัตว์กินเนื้อแต่นิสัยน้องจริงๆ น้องกินพืชนะคะ (มีกินเนื้อแค่บางเวลา แค่ก)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งและขอฝากน้องติกับน้องเสือไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ 