พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง
มันช่างน่าโมโห
"เล่นรถไฟเหาะกัน"
"ไม่เอาอ่ะ กูกลัว"
"ยักษ์ตกตึก"
"กูต้องหัวใจวายตายแน่ๆ"
"งั้นไวกิ้ง"
"กูกลัวตก"
"บ้านผีสิง"
"กูกลัวผี"
"งั้นไปนั่งม้าหมุนมั้ยไอ้สัด อันนั้นก็ไม่เล่นอันนี้ก็ไม่เล่นแล้วมึงชวนกูมาทำส้นตีนอะไรเนี่ย"
ผมโมโห โคตรจะโมโห เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันชวนมาเที่ยวสวนสนุกในวันหยุดที่ผมตั้งใจจะนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่เพราะโดนรบเร้าเลยยอมมาด้วย แล้วเป็นยังไง โดนมันทิ้งเอาไว้กลางทางซะงั้น ถ้ามาแล้วไม่เล่นเครื่องเล่นอะไรสักอย่างมันจะชวนมาสวนสนุกทำซากอะไรวะ
"กูก็ไปนั่งรถดูไดโนเสาร์ เข้าพิพิธภัณฑ์ ท่องป่าแอฟริกากับนั่งแกรนด์ แคนยอนด้วยแล้วไง นี่กูยังกลัวไม่หายเลยเนี่ย เกร็งจนตะคริวจะกิน" มันเถียงหน้าตาเฉยอย่างไม่ยอมรับ แล้วทุกอย่างที่มันว่ามาเนี่ยเรื่องว่าเครื่องได้เหรอวะนอกจากแกรนด์ แคนยอน
"มีแต่ของเด็กๆ"
"ก็กูไม่ชอบพวกหวาดเสียวนี่หว่า ถ้าตกใจช็อคตายขึ้นมาทำไง"
ผมถอนหายใจใส่มันแรงๆ หนึ่งที ซึ่งมันเองก็น่าจะรู้ตัวว่าผมไม่พอใจอยู่เลยรีบอ้างเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบาย
"จริงๆ กูอยากมาเล่นน้ำอ่ะมึง แต่ทั้งกลุ่มมีมึงยอมมาด้วยคนเดียว กูก็บอกมึงไปแล้วนะว่าจะมาเล่นน้ำ"
"แต่กูไม่อยากเล่นน้ำ"
"ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ"
"แล้วทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ"
ผมกับมันจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละจนสุดท้ายในเมื่อไม่มีใครยอมใครเลยยอมแพ้กันทั้งคู่
สวนสนุกที่นี่มีทั้งสวนน้ำและเครื่องเล่น มันบอกผมไว้แล้วว่าอยากเล่นน้ำ ส่วนผมก็บอกมันเหมือนกันว่าไม่อยากเล่นน้ำ แต่กลายเป็นว่ายอมตกลงมาด้วยกันทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าผิดทั้งสองฝ่าย ทางแก้ที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็น...
"งั้นแยกกันไป" ผมเสนอ ทำเอามันอ้าปากค้างไม่คิดว่าผมจะใช้วิธีนี้
"มึงจะทิ้งกูเหรอ"
"เออ ถ้ามึงอยากเล่นน้ำก็ไป กูจะไปเล่นเครื่องเล่น"
มันฟังแล้วทำหน้าคิดหนัก ยังไงซะผมก็ไม่มีวันยอมไปเล่นน้ำกับมันแน่ๆ สามสี่อย่างที่เล่นไปวันนี้ยังไม่คุ้มค่าตั๋วเลย เครื่องเล่นทุกชนิดในสวนสนุกแห่งนี้ผมจะเล่นมันให้หมด
"เออๆ ตามนี้ก็ได้ งั้นกลับมาเจอกันสักบ่ายสาม โอเคมั้ย" นิ่งคิดอยู่สักพักกว่ามันจะยอมตกลง ซึงข้อเสนอนี้ผมก็...
"โอเค"
หลุดพ้นจากเพื่อนผู้ขี้กลัวมาได้ผมก็เดินตรงไปหาบ้านผีสิงเป็นอย่างแรก สวนสนุกที่นี่ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่งตอนมัธยมต้นเมื่อสองปีก่อน บ้านผีสิงเป็นอะไรที่เบสิคมากในตอนนั้น ไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด
เดินไปที่หน้าทางเข้าเจอคนคู่พ่อลูกยืนรอคิวอยู่ผมเลยเดินไปต่อหลังเขา ด้านหลังมีคนมาต่อหลังผมอีกสามสี่คนก่อนพนักงานจะปล่อยให้เราเข้าไปข้างใน
ชักจะตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ
สิ่งที่เจออย่างแรกเลยคือความมืด มืดจนมองอะไรแทบไม่เห็นนอกจากรูปหัวกะโหลกบอกทางที่อยู่ในระดับสายตา
ผมไม่กลัวอยู่แล้วแค่บ้านผีสิง หรืออาจจะระแวงอยู่นิดๆ เพราะมาคนเดียว ถึงแม้รอบข้างจะมีคนอื่นอยู่ด้วยแต่ไม่มีคนรู้จักเลยสักคน เลยไม่กล้าทำตัวเฮฮานัก เป็นการเดินบ้านผีสิงที่ทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยนหัวใจยังไงชอบกล
อย่างที่บอกว่าบ้านผีสิงทำหรับผมนั้นไม่มีความน่ากลัว มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนมาทัศนศึกษามากกว่า ผมเดินตามคู่พ่อลูกไปช้าๆ สะดุ้งเป็นพักๆ เวลาเอฟเฟคเสียงดังหรือตอนที่ไฟสว่างมาพร้อมกับผี ผิดกับคนที่มากันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มที่ร้องโวยวายอย่างกับมันน่ากลัวเสียเกลือเกิน แต่สิ่งเดียวที่ผมกลัวที่สุดในนี้คือความมืด มืดมากจนเกือบจะเดินชนกำแพงเลยคิดดู
"โอ้ย!"
คิดยังไม่ทันไรเสียงร้องจากคนข้างหลังผมก็ดังขึ้น มันมาพร้อมกับเสียงดังตุบแบบที่ไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในความมืดนั่น
แบบนี้เดินชนกำแพงชัวร์ๆ
ผมหลุดหัวเราะเบาๆ หันไปมองด้านหลังเห็นคนใส่เสื้อสีขาวเดินตามมา แสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดทำให้มองเห็นว่าคนคนนั้นกำลังจับหน้าผากตัวเองอยู่ ร้องเสียงดังซะขนาดนั้นคงจะเจ็บน่าดู
การทัศนศึกษาในบ้านผีสิงผ่านไปอย่างราบรื่นโดยที่ผมไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ออกมาสู่แสงสว่างได้ผมก็มองกลับไปด้านหลัง มองผู้ชายที่ไม่ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมาเช่นเดียวกับผมนอกจากเสียงร้อง 'โอ้ย' จากการเดินชนกำแพง เพราะเป็นคนผิวขาวแถมยังมัดจุกเปิดหน้าผากทำให้เห็นรอยแดงได้อย่างชัดเจน อีกไม่นานมันต้องปูดออกมาแน่ๆ
ผมยิ้มให้เขา เขาเองก็ยิ้มตอบแบบแหยๆ เป็นทักทายกันของคนไม่รู้จักเพียงเสี้ยววินาทีก่อนต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่รอยยิ้มนั้นชัดเจนอยู่ในความคิดของผม
นายเสื้อขาวคนนั้น...เวลายิ้มแล้วน่ารักชะมัด
ถัดจากบ้านผีสิงผมเดินไปต่อแถวล่องซุงมหาสนุกหรือล่องแก่ง คำนวณจากสายตาแล้วน่าจะรอราวๆ ยี่สิบนาที ระหว่างนี้เลยดูผู้เล่นที่กำลังท้าทายความหวาดเสียวของเครื่องเล่นนี้ไปพลางๆ ดูท่าแล้วเล่นอันนี้เสร็จคงได้ความสดชื่นกลับมา ถ้าหนักกว่านั้นหน่อยก็จะเรียกว่าเปียก
ยืนรอได้ไม่นานนักก็ถึงคิวผม แต่จำนวนคนที่จะได้ลงเรือลำเดียวกันนั้นไม่พอดี เนื่องจากมีสามที่นั่งและจุได้ไม่เกินหกคน ซึ่งกลุ่มผมมีคู่พ่อลูกกับผม ส่วนคนที่ต่อหลังอยู่มากันเป็นผู้คณะสี่คนขึ้นไป พนักงานเลยต้องมาคนเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองคน
ไล่ถามอยู่ไม่นานผู้โชคดีที่ได้ลัดคิวแบบฟลุคๆ ก็เดินตามเจ้าหน้าที่ออกมา ผมถึงกับเลิกคิ้วมอง ก่อนริมฝีปากมันจะแย้มรอยยิ้มออกมาเอง
ผู้โชคดีคือนายเสื้อขาวคนนั้นนี้เอง แถมหน้าผากยังโนแบบชัดเจนเลยด้วย
เราสบตากับชั่วครู่ก่อนเขาจะส่งยิ้มกลับมาแล้วเดินไปลงเรือพร้อมกัน คู่พ่อลูกนั่งหน้า ผมนั่งกลาง ส่วนเขานั่งหลัง เป็นความบังเอิญที่โคตรจะบังเอิญ
เขาที่อยู่ข้างหลังผมอีกแล้ว
เมื่อถูกปล่อยจากท่าเรือก็ล่องไปตามลำน้ำที่ถูกสร้างขึ้น ไหลไปตามกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด ถูกดึงขึ้นที่สูงแล้วปล่อยให้ไหลลงมา สร้างความตื่นเต้นได้พอกอมปากหอมคอ ผมได้ยินเสียงร้องที่แสดงถึงความสนุกสนานจากคนข้างหลัง เราส่งเสียงแทบจะเป็นจังหวะเดียวกันอยู่หลายครั้ง บ่อยครั้งจนผมเอี้ยวตัวกลับไปมองแล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มน่ารักนั่น
เป็นรอยยิ้มที่ดูสว่างสดใสที่มองแล้วให้ความรู้สึกเจิดจ้าจนคิดว่าถ้าเผลอมองนานๆ อาจจะตาบอดเอาก็ได้
ปล่อยให้ชะล่าใจกับการหยอกล้อแบบเล็กน้อยได้ไม่นานเรือก็ถูกดึงขึ้นสู่จุดสูงสุดของเครื่องเล่นล่องซุกมหาสนุก เป็นอุโมงค์มืดที่เห็นแสงสว่างอยู่รำไรทำเอาใจเต้นตึกตัก ผมจับที่จับด้านข้างไว้แน่นเมื่อมันแล่นมาถึงจุดปลายสุดของแสงสว่างก่อนเรือจะทิ้งตัวลงมาตามรางน้ำด้วยความรวดเร็ว
"วู้ววว!!"
"วู้ววว!!"
ตู้ม!!
สายน้ำสาดกระเซ็นมาจากด้านหน้าตามแรงกระแทกจนเปียกหน้าเปียกตา ผมหัวเราะเสียงดัง ทั้งสนุกทั้งชอบ ไม่ต่างจากคนข้างหลังที่ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันตั้งแต่เรือถูกปล่อยให้แล่นลงมาตามรางน้ำ
สนุกใช่ไหมล่ะอันนี้ ผมก็ว่ามันสนุกเหมือนกัน
ลงจากล่องแก่งผมก็แวะซื้อไอติมกินพลางเดินดูเครื่องเล่นที่น่าสนใจชนิดต่อไป ผมเป็นคนไม่ชอบเล่นอะไรที่หมุนเยอะๆ เคยเล่นแล้วอ้วกแตกเลยฝังใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สุดท้ายเลยเดินมาหยุดอยู่หน้าเครื่องเล่นที่มีชื่อว่ายักษ์ตกตึก แค่มองก็รู้สึกเสียววูบ หรือบางทีอาจจะหัวใจวายเอาก็ได้
แต่เสียค่าเข้ามาแล้วยังไงก็ต้องเล่น
ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าแม้จะกลัวนิดๆ ผมจึงเดินขึ้นบันไดเพื่อไปหาเจ้ายักษ์ตกตึก เครื่องเล่นที่เป็นเสาสูงๆ ดึงผู้กล้าให้ขึ้นไปถึงยอดแล้วปล่อยให้ตกลงมา เป็นโชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่รอบนี้ไม่ต้องรอคิวแถมมีคนเล่นอยู่แค่สี่คน ผมเลยเดินเอาของไปวางตรงที่เก็บแล้วมานั่งตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ ซึ่งมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
ว้าเหว่ไปอีก
แต่เหมือนคนข้างบนจะเป็นใจส่งเพื่อนร่วมชะตากรรมมาให้ นายเสื้อขาวหัวโนที่เพิ่งจากกันที่ล่องแก่ง มาถึงยักษ์ตกตึกเราก็ยังกลับมาเจอกันอีกครั้ง คิดไปแล้วก็ตลกดี
อย่างกับ...พรหมลิขิต
บ้าบอชะมัด
นายเสื้อขาวนั่งลงข้างผม จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาเช็คตัวล็อคเพื่อความปลอดภัยทันที รอบนี้เราไม่ได้ยิ้มให้หรือทักทายอะไรกัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มีเวลาทักทายกันมากกว่า เพราะหลังจากที่ทำการเช็คความปลอดภัยเรียบร้อยแล้วการท้าทายก็เริ่มขึ้นทันที
น่ากวาดเสียวใช่เล่นเลยนะไอ้นี่
ที่นั่งถูกดึงขึ้นสูงเรื่อยๆ จนมองเห็นวิวโดยรอบสวนสนุก ไม่รู้ว่ามันจะดึงขึ้นไปสูงอีกแค่ไหนแต่ความกลัวที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจสั่งให้ผมหลับตา เผื่อถึงตอนที่มันทิ้งตัวลงไปด้านล่างจะได้ไม่กลัวมาก ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้สักแค่ไหน
"สูงมากเลยเนอะ" เครื่องเล่นยังคงถูกดึงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงคนข้างๆ ที่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้น
เขาพูดกับใครในเมื่อต่างคนต่างมาคนเดียว ตั้งแต่ที่บ้านผีสิง ล่องแก่งจนถึงตอนนี้ผมไม่เห็นใครอยู่กับนายเสื้อขาวเลย และที่นั่งตรงนี้ก็มีแค่เราสองคน หรือเขาจะพูดกับผม
"ใช่ สูงมาก" ใช่ไม่ใช่ไม่รู้แต่ผมตอบกลับไปแล้ว และตอนนี้เองที่เครื่องเล่นถูกดึงขึ้นจนสุด
"มันจะปล่อยแล้วนะ กลัวมั้ย"
"ก็นิดนึง นายอ่ะ"
"โคตรกลัวเลย"
ผมยกยิ้มกับตัวเอง รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ค้างอยู่ในความสูงระดับนี้มันนานชะมัด นานจนต้องหลับตาทำใจ นานจนความกลัวสั่งสมมากขึ้น
แต่ถึงแม้จะกลัว...ก็ยังอยากจะลอง
"ว้ากกกก!!"
"ว้ากกกก!!"
เสียงร้องของเราทั้งคู่อย่างกับวงประสานเสียง เครื่องเล่นทิ้งตัวลงเพียงครู่เดียวก่อนจะหยุดกึกห่างจากพื้นประมาณสองสามเมตรพร้อมกับเสียงร้องที่หายไป ราวกับหน้าถูกแรงปะทะตีจนแก้มไหลขึ้นไปถึงหน้าผาก ผมไม่รู้ว่าหน้าตากับเสียงร้องผมมันน่าตลกขนาดไหนคนที่มารอเพื่อนอยู่รอบๆ เครื่องเล่นถึงได้หัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องขบขันขนาดนี้ ซึ่งเขาก็คงหัวเราะญาติเขานั่นแหละ จะแปลกก็ตรงที่คนที่อยู่ข้างๆ ผมตอนนี้
ขำอะไรนักหนา
หลุดจากที่ล็อคผมก็ลุกไปหยิบกระเป๋า เดินออกจากเครื่องเล่นแล้วลงบันไดมามองหาเครื่องเล่นชนิดถัดไป ตอนนี้เองที่นายเสื้อขาวเดินแซงหน้าผมไปโดยที่เราไม่ได้ทักทายหรือหันมามองกัน อย่างกับว่าที่คุยกันข้างบนเมื่อกี้นี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า...คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เครื่องเล่นอย่างที่สี่ที่ผมเลือกคือเรือมังกรสองหัว หรือที่เรียกกันว่าไวกิ้ง เดินไปถึงเจอมันกำลังเริ่มเหวี่ยงคนเล่นไปมาพอดีผมเลยนั่งดูอยู่ที่ม้านั่งข้างๆ เมื่อหลายปีก่อนผมเคยเล่นมาแล้ว ความน่ากลัวให้เจ็ดเต็มสิบ แต่ตอนนี้ผมแข็งแกร่งขึ้นมาก อาจจะเหลือสักห้าเต็มสิบก็ได้
เสียงกรีดร้องของผู้คนสิ้นสุดลงเมื่อเรือลำใหญ่หยุดนิ่ง ระหว่างที่ผู้เล่นชุดเก่าทยอยกันเดินลงผมก็รีบวิ่งไปต่อแถว น่าแปลกที่รอบนี้คนไม่เยอะเท่าไร ผมเลยได้จับจองที่นั่งแถวสุดท้ายแบบคนเดียวชิลๆ แต่เมื่อมองไปยังแถวสุดท้ายฝั่งตรงข้ามนั้น...
ผมเจอนายเสื้อขาวอีกแล้ว
ถ้าคิดอย่างคนหลงตัวเองผมต้องคิดว่าเขาตามผมมาแน่ๆ ถึงได้เจอกันตลอดแบบนี้ แต่เมื่อลองคิดอีกทีไวกิ้งนี่เขาน่าจะมาถึงก่อนผม เพราะผมต่อแถวเป็นคนท้ายๆ และเมื่อนับรวมจำนวนคนเล่นในรอบนี้แล้วมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ
คนพร้อมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยพร้อมเรือมังกรสองหัวก็เริ่มออกตัว มันเหวี่ยงขึ้นลงเป็นครึ่งวงกลมสูงขึ้นเรื่องเรื่อยๆ แต่ใจผมกลับไม่ยักตื่นเต้นอะไรกับเจ้าเครื่องเล่นนี้เลย กลายเป็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ดึงความสนใจผมไปแทน
ความบังเอิญที่บ่อยเกินไปยิ่งความสร้างความประหลาดใจ เรามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ทุกครั้งที่เครื่องเหวี่ยงขึ้นลงเราจะหันมาสบตากันแล้วก็เผลอยิ้มให้กันทุกที
สบตา
ยิ้ม
หลบหน้า
แล้วก็หันมาสบตากันใหม่
เป็นแบบนี้วนลูปไปจนกระทั่งเครื่องหยุดสนิท
ผมที่อยู่ใกล้ทางออกมากกว่าเดินลงมาก่อน ทำทีเป็นหยุดคิดว่าจะเล่นอะไรต่อดีโดยมีแผนการอยู่ในใจ
มาถึงขนาดนี้แล้วเลยอยากทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อย แต่ความเป็นคนแปลกหน้าทำให้เกิดความกลัว
ถ้าหากผมลองทักไป เขาจะคุยด้วยไหมนะ
ยืนคิดและลังเลอยู่นานรู้ตัวอีกทีนายเสื้อขาวก็หายตัวไปแล้ว อาจจะเดินผ่านหน้าผมไปเหมือนตอนลงจากยักษ์ตกตึก หรือไม่ก็เดินหนีไปอีกทาง
เดินหนี...แค่คิดความกล้าที่อยากทักมันก็หดหายไปเกือบครึ่ง เพราะฉะนั้นก็ช่างมันเถอะ
ซะที่ไหนกันเล่า
คราวนี้ผมคิดแผนใหม่เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่อยู่ในใจลึกๆ ของผม ข้อสันนิษฐานที่ว่า...
นายเสื้อขาวนั่นเดินตามผมจริงหรือเปล่า
เริ่มแผนได้!
ไวกิ้งเป็นเครื่องที่อยู่ใกล้ประตูทางออก ผมจงใจเล่นเครื่องเล่นแต่ละชิ้นไล่ไปแบบนี้เพราะนัดเจอกับเพื่อนที่ม้าหมุน แต่เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานผมจึงเดินย้อนกลับไปที่วอร์เท็กซ์ รถไฟเหาะที่อยู่ด้านใน เครื่องเล่นที่ผมบังเอิญมองผ่าน และถ้าหากผมยังเจอนายเสื้อขาวอีกครั้งจะขอฟันธงเลยว่าผม...โดนอ่อย
การไล่เล่นเครื่องเล่นจากด้านสุดไปด้านนอกเป็นเรื่องปกติ และมีความเป็นไปได้ที่จะบังเอิญเจอกัน แต่การกลับไปเจอกันที่เครื่องด้านในสุดทั้งที่ตอนนี้อยู่ใกล้ประตูทางออกแล้วมันเป็นไปไม่ได้
พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามีจริง คงเป็นพรหมลิขิตที่อีกสร้างขึ้นมาเองมากกว่า
ผมเดินมาต่อคิวรถไฟเหาะที่คนเยอะพอสมควร ระหว่างยืนรอก็คอยมองหานายเสื้อขาวไปด้วย แต่เพราะยืนเป็นแถวตอนลึกเลยมองไม่สะดวกนัก ยืนบังกันไปบังกันมา สุดท้ายรันมาถึงคิวผมก็ยังมองไม่เห็นเขาอยู่ดี
หรือที่ผ่านมาจะบังเอิญจริงๆ
ผมเอากระเป๋าไปวาง กำลังลังเลว่าจะนั่งตรงไหนเสียงคุ้นหูก็ดังอยู่ใกล้ๆ เมื่อหันไปก็เจอกับคนที่มองหาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
"ไปนั่งหน้าด้วยกันมั้ย"
แค่เห็นรอยยิ้มผมก็พยักหน้ารับแบบไม่ต้องคิดก่อนเดินตามนายเสื้อขาวไปนั่งแถวหน้าสุด สมองยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร็วรวดเมื่อครู่อยู่เล็กน้อย แต่กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
มันดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
เรานั่งเงียบกันทั้งคู่หลังจากนั่งประจำที่ ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับมาเหมือนคนทำความผิด ผมว่าเขาน่ารักนะ อาจจะเป็นเพราะจุกบนหัวนั่นด้วยก็ได้ ขาวๆ ตัวบางๆ ไม่ถึงกับเตี้ย จัดฟันเสียด้วย จะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ พวกเน็ตไอดอลอยู่เหมือนกัน
หลังจากนั่งเงียบกันอยู่นานเราก็ได้หันมามองหน้ากันตรงๆ ตอนที่เจ้าหน้าที่บอกให้ดึงตัวล็อคลงและเข้ามาเช็คความปลอดภัยอีกรอบ แล้วเสียงใสๆ ก็เอ่ยขึ้นมา
"กลัวมั้ย"
"ไม่นะ"
"จริงอ่ะ" เขาหัวเราะเบาๆ เหมือนไม่เชื่อ แต่ผมพูดความจริงนะ ถ้าเทียบกับยักษ์ตกตึกแล้วผมชอบรถไฟเหาะกว่าเยอะ
"กลัวเหรอ"
"ไม่กลัวเหมือนกัน"
"จะรอฟังเสียงกรี๊ด"
"ไม่ได้ยินหรอก" เขาหัวเราะอีกครั้ง ส่วนผมได้แต่ยิ้มกับตัวเอง
เมื่อกี้เราต่างคนต่างพูดไม่มีใครเห็นหน้าใครเพราะโดรตัวล็อคบังไว้อยู่ แต่ผมกลับชอบความรู้สึกแบบนี้ชะมัด ไม่รู้ทำไมถึงชอบเหมือนกัน
มันก็แค่...ชอบ
ได้เวลาเคลื่อนขบวนรถไฟที่ขาถูกปล่อยให้ห้อยโต่งเต่งก็ถูกดึงขึ้นที่สูงช้าๆ การได้นั่งแถวหน้าสุดทำให้สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน แต่มันก็แลกมากับความหวาดเสียวที่มากกว่า
เสียวแต่สวย เรียกแบบนี้คงได้ล่ะมั้งนะ
ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดรถไฟก็ทิ้งตัวลงมาด้วยความเร็ว มันเหวี่ยงซ้ายขวาตีลังกาจนขาชี้ไปตามรางที่ขดเป็นเกลียว ผมร้องออกมาด้วยความสนุก คนที่นั่งข้างๆ ก็ไม่ต่างกัน ผ่านไปไม่ทันไรมันก็วนกลับมาจอดยังจุดเริ่มต้น เป็นเครื่องเล่นที่ผมคิดว่าสนุกที่สุดในวันนี้เลย
"โคตรเร็วเลย" เสียงใสๆ ดังขึ้นระหว่างรอเจ้าหน้าที่ปลดที่ล็อก ผมพยักหน้าเห็นด้วยแต่อีกคนคงไม่เห็น
"เร็วมาก"
"แต่สนุก"
"สุดๆ"
เราพูดคำตอบคำเหมือนพวกไม่มีอะไรจะคุย ก็แน่ล่ะ เราเพิ่งเจอกัน ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันด้วยซ้ำ เป็นเพียงคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
เป็นแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ
หลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระผมกับเขาต่างคนต่างเดินไปหยิบกระเป๋า เขาวางมันไว้ใกล้ทางออกพอคว้ามันมาสะพายได้ก็เดิมดุ่มๆ ตรงไปยังทางออกโดยไม่หันกลับมาสนใจผมที่อยู่ตรงนี้อีกเลย
ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ
ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าเจอกันอีกจะตีความว่าอีกฝ่ายอ่อย ซึ่งผลที่ออกมามันน่าพอใจอย่างมาก ผมโมเมไปแล้วว่าข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้มันถูกต้อง
พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะจงใจ
"นาย!" ผมวิ่งตามไปแล้วตะโกนเรียก ทุกคนรอบข้างหันมายกเว้นเขา
ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะฮะ จะอ่อยให้อยากแล้วจากไปหรือไง
ผมวิ่งแซงหน้าทุกคนไปจนประชิดตัว เอ่ยเรียกพร้อมกับรั้งข้อมืออีกฝ่ายไว้เพราะกลัวจะโดนทำเมินใส่ ซึ่งผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
"นาย! เดี๋ยวก่อน"
คนถูกเรียกหันกลับมามอง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ตีสีหน้าแปลกใจได้อยากแนบเนียน แต่ผมไม่ถือสาหรอก
"มีอะไรเปล่า"
"จะไปเล่นอะไรต่อเหรอ"
เขานิ่งคิดสักพัก มือผมยังจับแขนเขาไว้อยู่โดยที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะสลัดมันออก ไม่รู้ว่าไม่ได้สนใจหรือใจตรงกับผมอยู่กันแน่
ก็แค่อยากมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่ได้สัมผัสกัน
"ชมวิวมั้ง" เขาชี้ไปที่หอคอยสูงๆ ที่มีห้องกลมๆ หมุนช้าๆ ขึ้นไปตามแกนเสา มันคือไซ-แอม ทาเวอร์ มีไว้สำหรับชมวิวสวนสนุกและพื้นที่ที่อยู่รอบๆ
"ไปด้วยดิ"
พอผมถามเขาก็นิ่งไป ทำเอาความมั่นใจหดหายไปนิดหน่อย แต่เขาคงไว้ท่าไปอย่างนั้นล่ะมั้ง เล่นมาด้วยกันตั้งหลายอย่าง จะมาปฏิเสธเอาตอนนี้มันใช่เรื่องที่ไหน
"ได้เปล่า"
"ก็...ไปดิ" ตอบแล้วก็อมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องยิ้มตามไปด้วย
ตกลงกันได้ผมก็ปล่อยข้อมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ เราเดินอย่างไม่เร่งรีบไปด้วยกัน เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบเจอมาก่อน
จากคนแปลกหน้าที่คิดว่าจะปล่อยให้ผ่านไป กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่ปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้เสียอย่างนั้น ถ้าเขาอ่อนผมจริงก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ต้องขอบคุณไอ้คนที่อยากเล่นน้ำแล้วล่ะที่ชวนผมมาสวนสนุกคราวนี้
"ว่าแต่ชื่อไรอ่ะ" ผมถามระหว่างที่เรากำลังไปยังไซ-แอม ทาวเวอร์
เขาหันมายิ้มให้ผม เป็นอมยิ้มที่เห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ที่ได้เจอไม่กี่ชั่วโมง รอยยิ้มที่ผมชักจะชอบมันเสียแล้ว
"เราขื่อ..."
END
มาแบบลั่นๆ ค่ะ พอดีได้ไปเที่ยวสวนสยามมาแล้วบังเอิญเจอผู้ชายน่ารักๆ นั่งรถไฟเหาะคนเดียว
เห็นแล้วก็อยากไปนั่งด้วยแต่เกรงใจคนที่ไปด้วยเลยได้แต่แอบมอง ฮ่าๆๆๆ
ฝากนายเสื้อขาวกับใครไม่รู้ชื่อของเราด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า