หลังจากเจิ้นเติมน้ำเข้ามาในตัวผม ผมอธิบายความรู้สึกที่ผมคิดว่าตัวเองกลายเป็นคนหัวรุนแรงให้เจิ้นฟัง แต่เจิ้นบอกว่าไม่ใช่...มันไม่ได้แรงมากขนาดนั้น เราไม่ได้รุนแรงใส่กันมันเป็นแค่อารมณ์ที่เกิดจากการร่วมรัก
เจิ้นไม่ได้พูดคำว่าไนท์แคร์อีก...แต่เขาเปลี่ยนมาใช่คำว่า เมคเลิฟ หรือร่วมรัก...ไนท์แคร์จะเป็นแค่การที่เขาไม่ได้เข้ามาในตัวผม
“แต่จันทร์ชอบให้เจิ้นกัด...แล้วก็ตี...มัน มันไมเป็นไรจริงๆหรอ”
“ไม่...พี่ก็ชอบให้จันทร์กัด...การร่วมรักก็แบบนี้ อยากจะสร้างร่องรอยของความรักไว้บนตัวกันและกัน”
ร่องรอยของความรัก? ฟังดูเพราะจัง.... เจิ้นบอกว่าผมคิดมากไป เรารักกันและไม่ได้มีใครไม่พอใจที่จะมีร่องรอยพวกนี้ มันก็จริง...ผมแฮปปี้ที่มีรอยฟันของผมบนตัวเจิ้นด้วย
“พี่ก็ชอบรอยฟันของจันทร์บนตัวพี่”
“งั้น...จันทร์จะกัดบ่อยๆ”
เจิ้นแกล้งงับคอผมอีกเป็นการเอาคืนที่ผมกัดไหล่เขาอีกครั้ง มันจักจี้ไปหมด แล้วเสียงหัวเราะของผมก็หายไปเพราะเจิ้นจูบ....
แล้วเจิ้นก็ขอเข้ามาในตัวผมอีก...แต่ตัวผมเต็มไปด้วยน้ำแล้วนะ มันจะเข้ามาอีกได้หรอ ยังไม่ทันได้คำตอบเจิ้นก็พิสูจน์ด้วยการกระทำ
จะว่าไป...ผมก็ชักชอบที่เจิ้นเข้ามาในตัวผมหน่อยๆ
ความหึงของเจิ้นนั้นร้ายกาจพอผมเดินไหววันต่อมาก็บังคับให้ไปทำงานกับเขา ความอึมครึมแผ่ไปถึงพี่เอ็มทำให้ผมไม่กล้าคุยกับพี่เอ็มเลย เจิ้นหนีบผมมานั่งในห้องทำงานเพราะบอกว่าไม่อยากให้ผมคลาดสายตา
โต๊ะทำงานเจิ้นมีเอกสารกองโตอยู่ตลอด แม้ด้านหนึ่งของห้องทำงานจะเป็นกระจกทั้งบานที่เห็นวิวกรุงเทพมหานครชัดแจ๋วแต่เจิ้นก็แทบไม่เงยหน้าจากกองเอกสารเลยด้วยซ้ำ
ผมอยู่ว่างๆก็เบื่อเลยเดินไปหยิบพวกเอกสารมาดูมั่ง เจิ้นก็ไม่ได้ว่าอะไร... เอกสารของเจิ้นมีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเงิน การลงทุน โปรเจคที่เกี่ยวกับเงิน หรือพวกการดำเนินงานของธนาคาร
เรื่องที่ผมเรียนในมหาวิทยาลัยดูง่ายเหมือนเป็นวิชาเรียนของเด็กอนุบาลไปเลยเมื่อเทียบกับงานของเจิ้น แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาว่ามหาลัยก็แค่สอนทฤษฎี ส่วนการต่อยอดก็ต้องมาในชีวิตการทำงาน
รุ่นพี่คณะผมส่วนมากจบไปก็มาทำงานเกี่ยวกับสถาบันการเงิน ไฟแนนซ์ หรือเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนต่างๆ บางทีผมก็เริ่มคิดเหมือนกันว่าตัวเองควรจะเลือกไปทางไหน? ถ้าผมอยากทำงานกับเจิ้นผมก็น่าจะต้องเก่งทุกอย่างไม่อย่างนั้นคงมาช่วยเจิ้นไม่ได้
ในตู้เอกสารของเจิ้นมีเรซูเม่ของพี่ๆเลขาอยู่ด้วย รวมถึงผู้บริหารและหัวหน้าแผนกต่างๆ ส่วนพนักงานระดับอื่นๆไม่ได้ถูกเก็บไว้ อาจจะเพราะเจิ้นดูแลในระดับบริหารอย่างเดียว
แค่ประวัติพี่ๆเลขาก็ทำผมท้อใจ...เกียรตินิยมอันดับหนึ่งกันทั้งสี่เงิน พี่เอ็มก็จบมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ แล้วยังมีปริญญาโทอีก คะแนนโทเฟลของพี่เอ็มก็สูงจนไม่น่าต้องไปเรียนที่สิงคโปร์กับผมแล้ว
คงเพราะต้องไปดูแลผม...พี่เอ็มคงเบื่อแน่ๆที่ต้องไปลงเรียนอะไรที่ตัวเองก็ถนัดอยู่แล้ว แต่พี่เอ็มคงขัดไม่ได้ถ้าเจิ้นสั่ง ผมเลยทำพี่เอ็มลำบากแล้วก็เสียงานจนเกือบโดนเจิ้นดุ
ผู้บริหารคนอื่นๆก็โปรไฟล์ดีเยี่ยม คุณพ่อของเจิ้นก็จบปริญญาเอกสาขาการเงินแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยในไทย พอมาเปรียบเทียบกับผมที่เกรดสองนิดๆ...ผมจะเข้ามามีบทบาทในช่อฟ้าได้ยังไงกัน
ผมไม่ใช่คนเก่ง... เจิ้นเสียค่าเทอมแต่ละเทอมให้ผมแพงมากซึ่งผมก็ไม่ได้เรียนคุ้มกับเงินที่เจิ้นจ่ายสักบาท ไม่มีทางที่ผมจะสมัครตำแหน่งเลขาเจิ้นได้เลย หัวหน้าแผนกก็ไม่ได้....พนักงานธนาคารก็อาจจะต้องคิดแล้วคิดอีก ขนาดนับเลขผมยังนับผิดๆถูกๆแล้วถ้าไปนับเงินลูกค้าผิดขึ้นมา...ความเสียหายที่เกิดขึ้นผมจะแบกรับมันไหวได้ยังไง
หรือว่าผมอาจจะต้องพยายามเยอะหน่อย เอาให้พอสมัครเป็นพนักงานแบงค์ได้ก่อน อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก่อนก็ได้ หลายๆคนก็เริ่มจากตรงนั้น ทำไปเรื่อยๆก็คงได้เลื่อนตำแหน่ง ผมอาจจะได้เป็นหัวหน้าสาขาในอีกหลายๆปีต่อมา
แต่หัวหน้าสาขาก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้อยู่ที่ช่อฟ้ากับเจิ้น...ผมไม่มีทางเก่งกว่าอีกหลายๆคนที่จะได้ดูสาขาหลักอย่างที่นี่ ผมคงต้องดูแลสาขาเล็กๆที่ลูกค้าน้อยๆ
แต่ถ้าผมไม่เป็นหัวหน้าแต่เป็นหนักงานตัวเล็กๆอยู่ประจำสาขาช่อฟ้าไปตลอดล่ะ? ผมก็จะดูเหมือนภาระของเจิ้นไปตลอด เป็นเด็กฝากที่ไปไหนไม่รอด ไม่มีวันพัฒนาในสายตาคนอื่น แล้วมันก็เสียไปถึงเจิ้น
ทำไมเพิ่งมาคิดได้นะ...ว่าผมเหมือนพวกต้นไม้เล็กๆที่ต้องเกาะต้นไม้ใหญ่ๆอย่างเจิ้นไปตลอด ใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ค่อยได้ต้องพึ่งพาคนอื่น...กาฝากใช่ไหม?
ไม่อยากจะว่าตัวเองแบบนั้นแต่...ผมก็พึ่งพาเจิ้นฝ่ายเดียวจริงๆ ตลอดเวลาผมมีเรื่องปรึกษาเจิ้นเป็นร้อยๆอย่าง แต่เจิ้นปรึกษาผมไม่ได้สักอย่าง เจิ้นไม่เคยพูดเรื่องเครียดๆของงานให้ฟัง ไม่เคยเล่าว่ามันเหนื่อยแค่ไหน
เจิ้นอาจจะไม่อยากให้ผมเครียดตาม...แต่มันบ่งบอกว่าผมไม่ใช่ที่พึ่งของเจิ้น วันๆมีแต่หาเรื่องมาให้เจิ้นปวดหัวด้วยซ้ำ เดี๋ยวก็ไม่สบาย เดี๋ยวก็งอแงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ค่ายาผมคงเป็นล้านไปแล้ว แต่ละปีป่วยกี่สิบรอบก็ไม่รู้ แถมยังกินเยอะจนพุงป่อง กินก็ยาก ค่าของกินผมแพงหูดับแน่ๆอ่ะ
อีกเรื่องก็คือทุกวันนี้ยังต้องให้เจิ้นไปส่งที่มหาวิทยาลัยตอนเช้าเหมือนเด็ก ไม่เคยคิดว่าเจิ้นต้องตื่นแต่เช้าทั้งๆที่ไม่จำเป็น เจิ้นควรจะได้นอนเต็มอิ่ม...ผมเป็นเด็กไม่ยอมโตจริงๆ...ต่างจากคนคนอื่นก็ขับรถไปเอง หรือมากันเอง แต่ผมก็ขับรถไม่เป็นและไม่คิดจะเรียน ผมไม่มีความคิดจะพึ่งพาตัวเองเลยสักนิด แค่คิดว่าจะอยู่กับเจิ้น มีความสุขไปวันๆ
มันเป็นความคิดของคนเห็นแก่ตัว
เจิ้นอาจจะไม่คิดมากเพราะเรารักกัน แต่การรักกันมันก็ต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไม่ใช่หรอ? ทำไมผมเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวเลยล่ะ นอกจากการบอกรักเจิ้นผมทำอะไรให้เจิ้นได้บ้าง?
ก็ใช่...อาจจะพอทำกับข้าวได้ แต่คุณป้าแม่บ้านก็ทำได้เหมือนกัน มันไม่มีอะไรที่แบบว่า ‘ต้องเป็นผมเท่านั้นที่ให้เจิ้นได้’ ในทางกลับกัน มันมีหลายอย่างมากๆที่ ‘เป็นเจิ้นเท่านั้นที่ให้ผมได้’
ปีกไม่ใช่ของผม...แต่เป็นของเจิ้น...ผมมันก็แค่คนที่ถูกเจิ้นอุ้มไว้ทำให้หลงนึกไปว่าตัวเองมีปีกไม่ต่างกัน ถ้าวันหนึ่งเจิ้นบาดเจ็บ...ผมก็ไม่มีความสามารถจะประคับประคองเจิ้นได้เลย
หรือถ้าวันหนึ่งเจิ้นเบื่อจะโอบอุ้มผมไว้แล้ว และเขารู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากปล่อยมือ...ผมก็คงร่วงหล่นลงมาจากหอคอยช่อฟ้า...
ถ้าผมจะอยากมีปีกเป็นของตัวเองบ้าง แค่ปีกเล็กๆก็ได้ ไม่ต้องใหญ่เหมือนเจิ้นก็ได้...แค่ผมสามารถบินกับเจิ้นได้ เป็นคนที่ช่วยเหลือเจิ้นได้บ้างไม่ใช่เป็นภาระอย่างเดียว...
ผมอยากเป็นทุกอย่างของเจิ้น...เหมือนที่เจิ้นเป็นทุกอย่างของผม
...จะเป็นไปได้ไหม===============
ให้กำลังใจการเติบโตของเจ้าจันทร์ด้วยนะคะทุกคน
ส่วนเจิ้นก็ยุบยิบกับน้องจังโว้ย มายุบยิบกับเรานี่ เราพร้อม!!! น้องไม่พร้อมก็ให้น้องพักค่ะ!!!!

ขอบคุณทุกคอมเม้นจ้ะ