Chapter 31 Mom
แม่เริ่มไม่พอใจที่ผมไม่ยอมไปหาสักที ถึงกับบ่นว่าผมไม่รักแม่แล้ว ผมรักแม่นะ...แต่ผมก็ไม่อยากให้พ่อลำบากใจเลย แม่ยังไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องแล้วมันก็เลยยิ่งอึดอัดเวลาแม่พูดเกี่ยวกับครอบครัวเรา
ผมก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ยุติธรรมเหมือนกันที่ผมพยายามปรับตัวเข้ากับแฟนพ่อ แต่ไม่ปรับตัวเข้ากับแฟนแม่ แต่ลุงหยางไม่ได้จะฆ่าแม่เหมือนที่คนนั้นเขาจะฆ่าพ่อนี่...
ความลำบากใจทำให้ผมไม่อยากจะรับโทรศัพท์แม่แล้วก็ไม่อยากเจอลุงหยางเพราะมันรู้สึกผิด ผมเลยเลือกจะอ้างว่าผมต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคหมกตัวอยู่ที่ช่อฟ้า
คิวมาช่วยติวให้ที่ช่อฟ้าเพราะผมไม่อาจสอบตกได้อีกแล้วไม่งั้นต้องติดเอฟแน่ๆ ยิ่งเรียนก็ยิ่งปวดหัวทำไมยากจังเลย แล้วก็เหมือนฝืนตัวเอง แต่ผมก็เลือกทางนี้แล้ว
ก็ต้องพยายามและสู้กับมัน...ผมต้องจบปริญญาตรีในสี่ปีให้ได้เพราะค่าเทอมแพงมาก ไม่อยากให้เจิ้นมาเสียตังค์กับความโง่ของผมแล้วอ่ะ
ก็แค่เรียนให้มันผ่านห้าสิบคะแนนทุกวิชา ต้องทำให้ได้!!!
บางวิชาถ้าถามเจิ้นหรือให้เจิ้นสอนมันจะง่ายมากเพราะธนาคารก็แทบจะครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเงิน แต่...เจิ้นเป็นคนที่อธิบายไม่เข้าใจที่สุดในโลกกกกกก จะการบ้านตอนผมประถม มัธยม หรือมหาลัย เจิ้นไม่สามารถทำให้ผมเข้าใจได้หรอก เจิ้นเลยไม่เคยรับเป็นวิทยากรพิเศษที่ไหนเลย เพราะเคยไปครั้งหนึ่งแล้วพี่เลขาบอกว่า....มันแย่มาก ถ้ายิ่งรับไปเป็นวิทยากรอีกคงไม่ได้สร้างหรอกภาพลักษณ์บริษัท สร้างความล่มจมแทน
ผมว่าผมก็ติดนิสัยพูดไม่รู้เรื่องมาจากเจิ้นหน่อยๆ คิวบอกบางทีผมก็ใช้คำแปลกๆ เจิ้นอ่ะแพร่เชื้อพูดไม่รู้เรื่องใส่ จะว่าไปก็แอบสงสัยว่าพี่เลขาเข้าใจเจิ้นได้ยังไง เพราะบางทีเจิ้นก็พูดน้อยมาก แล้วก็แค่สบตา
อาจจะมีเรดาห์บางอย่างบนหัวเจิ้นกับพี่เลขาที่ปรับๆจูนๆสัญญาณเข้าหากันได้เหมือนเทเลทับบี้...หรือผมยาวๆของเจิ้นอาจจะเป็นสายส่งข้อมูลเฉพาะตัวเหมือนปลาหมึกที่ต้องมีหนวดเยอะๆ
เจิ้นหัวปลาหมึก.... “คิก...”
“ขำไร สอบตกเรื่องนี้ยังจะกล้าขำอีก”
ง่ะ.....
การสอบดึงความสนใจเรื่องแม่ไปจนหมด ผมคิดว่าผมทำได้ผ่านครึ่งทุกวิชานะการอ่านหนังสือล่วงหน้าอันยาวนานน่าจะได้ผล ยิ่งคิวยิ่งสบายเพราะสอนผมก็เหมือนทวนซ้ำ เจิ้นชวนคิวไปกินข้าวด้วยกันอีกรอบเป็นการขอบคุณที่ติวหนังสือให้ผมเพราะเป็นสิ่งที่เจิ้นทำไม่ได้
เราวางแผนจะไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ร้านประจำกัน เจิ้นจองร้านไว้แล้ว แต่เท้าผมชะงักทันทีที่ลงมาจากตึกเพราะเจอแม่ แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะหนึ่งในบริเวณใต้คณะ...ลุงก็อยู่ด้วย
ผมอยากจะหลบแต่มันไม่ทันเพราะแม่โบกมือให้ แม่ยิ้มให้ผม แม่เหมือนเดิมทุกอย่าง...เหมือนจนผมเจ็บปวดหัวใจที่ไม่คิดว่าแม่จะรักเงินมากกว่าผม
ขาก้าวไปชิดตัวคิวทันที คิวเป็นอีกคนที่รู้เรื่องทุกอย่างเพราะผมเล่าให้ฟัง คิวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนอกจากเขยิบมายืนบังผมไว้นิดหน่อย
“จันทร์...เซอไพรส์ไหมจ๊ะ?”
แม่อยากให้ผมไปกินข้าวด้วยแต่ผมบอกแม่ว่ามีนัดกับเจิ้น และไม่อยากให้เจิ้นรอจะไปกับแม่ไม่ได้ ลุงหงุดหงิดที่ผมเลือกเจิ้น ผมพยายามอธิบายว่าก็นัดเจิ้นไว้ก่อน แม่ตัดพ้อที่ผมไม่ยอมไปกับแม่บ้าง
ผมเสนอให้ลุงกับแม่ไปกินข้าวกับเจิ้นด้วยกันแต่ลุงก็ไม่พอใจ แม่เองก็ไม่อยากไป แม่อยากให้เลื่อนนัดเจิ้นเพราะผมเจอเจิ้นได้ทุกวันแต่นานๆทีถึงเจอแม่
“จันทร์ไม่รักแม่แล้วหรอลูก?”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าผม...”
“อย่าทำให้จันทร์ลำบากใจเลยครับ เรื่องคำสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ จันทร์นัดเจิ้นไว้แล้วก็คงลำบากใจเพราะมีผมแล้วก็คนอื่นๆอีกที่นัดกินข้าวด้วยกัน คุณแม่ไม่อยากไปด้วยกันก็วันหลังดีกว่า”
มันไม่มีคนอื่นแต่พอคิวพูดผมก็เลยพยักหน้าหงึกๆ แม่เลยขอว่ากินข้าวเสร็จให้เจิ้นพาไปหาแม่หน่อย ผมรับปากว่าจะขอเจิ้นให้แม่กับลุงถึงยอมกลับไป ผมรู้สึกว่ามันแปลกที่แม่กับลุงหยางจะพาผมไปด้วย.... มันทำผมอึดอัดและระแวง
คิวกับผมไปถึงร้านอาหารญี่ปุ่นก่อนเจิ้นสักพัก ผมรีบเล่าเรื่องแม่ให้เจิ้นฟัง อธิบายว่าผมลำบากใจ เจิ้นบอกว่าจะให้พี่เลขาแจ้งไปให้ว่าให้มาหาที่ช่อฟ้า แต่จะไม่ให้ผมไป คิวเห็นด้วยกับเจิ้นเพราะมันดูอันตราย
ผมอยากเจอแม่แต่ผมไม่อยากให้ลุงทำร้ายคนรอบตัวผม ถ้าไม่เจอกันก็จะไม่มีโอกาสทำร้ายกัน ผมจะไม่ดื้อและไม่ดึงดันเพราะเรื่องชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
การคิดตื้นๆของผมทำเจิ้นไม่สบาย ถ้าผมคิดและตัดสินใจเองอีกแล้วมันผิดพลาดผมคงจะเสียคนอื่นหรือเสียเจิ้นไปจริงๆ ผมจะยอมรับความคิดของทุกคน
เจิ้นกังวลว่าแม่กับลุงจะมาเรียกร้องหรือใช้ความรักและความใจดีของผมเป็นเครื่องมือ ผมก็กลัวตัวเองจะใจอ่อนเพราะผมรักแม่ ผมไม่รู้จะทำยังไงมันสับสนแต่ผมรับปากเจิ้นว่าจะไม่ไปกับแม่
คิวบอกจะช่วยดูให้ถ้าแม่หรือลุงมาอีก ผมไม่รู้ว่าแม่ได้เงินปีละเท่าไหร่เจิ้นไม่ได้บอก ไม่มีใครบอกตัวเลขชัดๆ แต่ผมรู้ว่าเท่าไหร่เจิ้นก็ยอมจ่ายเพื่อผม
เจิ้นกับคิวคุยไปถึงว่าผมอาจจะถูกลักพาตัวได้ เรากินข้าวกันไปด้วยความเครียด คืนนั้นทั้งเจิ้น ลุงหยาง พ่อ และคิวก็มาสุมหัวกันที่ช่อฟ้า ทุกคนให้ผมร่วมฟังด้วยเพราะผมควรรับรู้ว่าจะต้องดูแลตัวเองยังไงในกรณีที่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น
“จันทร์ต้องใส่นาฬิกาตลอดเวลา เพราะมันมีจีพีเอสตามตัว พ่อไปติดมาให้”
นาฬิกาที่เจิ้นเคยซื้อให้ผมวันเกิด...
“แม่เขาไม่ทำร้ายลูกหรอก แต่คนรักของเขามันไม่แน่...เขาไม่ได้รักลูกเหมือนที่แม่รัก เขาอาจจะตามใจแม่ มารับลูก มาหาลูกแต่พ่อไม่อยากเสี่ยงกับความอดทนของคนที่เคยจะฆ่าพ่อมาก่อน”
“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เยว่จะจ่ายเงินให้ เงินมันแลกมากับเงื่อนไขที่แม่จะมาอยู่กับลูกบ้างและรับรองความปลอดภัยที่เขาจะไม่ทำอันตรายพวกเรา แต่ปีหน้าจันทร์ยี่สิบ บรรลุนิติภาวะแล้ว กฎหมายจะไม่คุ้มครองในฐานะเยาวชนอีกเขาจะฟ้องร้องเรื่องเลี้ยงดูไม่ได้... เรากังวลว่าเขาจะหวังเงินก้อนใหญ่”
ลุงหยางไม่ได้พูดจากวนอารมณ์แต่กลับทำเสียงเครียด ทุกคนเครียดกันไปหมดแม้แต่คิวก็คิ้วขมวดมุ่น ผมรู้สึกผิดที่ดึงคิวมาเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเรา
“เขาไม่เคยอยากให้แม่มาเจอจันทร์เท่าไหร่ แต่คราวนี้ไปถึงมหาวิทยาลัย...พ่อกลัวเขาคิดไม่ดี จันทร์อย่าไปกับแม่กับเขาเข้าใจไหม? ปฏิเสธทุกครั้ง อย่าใจอ่อน”
“ถ้าผ่านช่วงอายุยี่สิบไปได้...จันทร์ไปหาแม่ได้ใช่ไหม...”
ผมอยากเจอแม่จริงๆแต่ตอนนี้ผมกลัว...กลัวตัวเองจะถูกทำร้ายเพราะผมคงช่วยอะไรตัวเองไม่ได้เลย
“
พี่จะไม่เสี่ยงเรื่องจันทร์กับอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากมาต้องที่ช่อฟ้าหรือบ้านใหญ่ จันทร์จะไม่ไปค้าง ไม่ไปหา ไม่ไปกับเขาโดยไม่มีพวกเรา ถ้าผู้หญิงคนนั้นเขารักจันทร์เขาจะมาหาจันทร์”
“จันทร์กลัว”
เจิ้นรวบเอวผมไปนั่งชิดกอดปลอบให้ผมหายกังวล แต่เรื่องนี้มันไม่มีทางหายกังวลง่ายๆ
“พี่จะปกป้องจันทร์”
ทุกคนเห็นด้วยที่ผมจะงดไปบ้านใหญ่หรือคอนโดลุงหยางสักพัก การกลับมาอยู่ช่อฟ้าจะปลอดภัยกว่าเพราะมีการป้องกันที่ยอดเยี่ยมแถมเราก็อยู่ชั้นห้าสิบเก้า ลุงคงไม่ปีนขึ้นมาเหมือนสไปเดอร์แมนปีนตึก
ต่อไปพี่บอดี้การ์ดคนหนึ่งของเจิ้นจะไปรับผมหลังเลิกเรียนพร้อมลุงคนขับรถ ผมคิดว่ามันเยอะไปแต่เจิ้นบอกว่ากันไว้ดีกว่าต้องมานั่งเสียใจถ้าผมเป็นอะไรไป
เจิ้นเสนอให้แจ้งทะเบียนรถลุงกับทางมหาวิทยาลัยไว้ว่าห้ามเข้าแต่พ่อบอกมันจะเป็นการบีบทางนั้นเกินไป ในกรณีที่ทางนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายการถูกบีบอาจจะทำให้เขาโมโหจนขาดสติ และนำไปสู่การแจ้งความ
“ทำไมกลัวเรื่องแจ้งความกันล่ะครับ? ผมไม่คิดว่าทางเราจะแพ้เลยด้วยซ้ำ”
“
ความรู้สึกจันทร์จะแพ้ การแต่งงานที่ไม่มีทะเบียนสมรสสิทธิการเลี้ยงดูจะเป็นของฝ่ายแม่ ในตอนนั้นถ้ามันเป็นคดีความกันยังไงจันทร์ก็ต้องไปอยู่กับแม่ก่อน แล้วมันยากตรงที่....มันเข้าข่ายพรากผู้เยาว์ เราแพ้ทุกทาง แล้วถ้าเราปล่อยให้จันทร์ไปอยู่กับแม่เขา...เราไม่มีทางรู้เลยว่าทางนั้นรักจันทร์จริงไหม จะดูแลได้เท่าที่เราดูแลหรือเปล่า”
“แต่จากท่าทีก็คิดว่ายังไงเขาก็เอาจันทร์มาขู่เรียกเงินอยู่ดี สู้เรายอมจ่ายแต่แรกแล้วได้จันทร์มาเลยจะดีกว่า ทางนั้นไม่ได้ฉลาดนักหรอก แค่ได้เงินก็ไม่เข้ามายุ่ง นอกจากตอนที่ผู้หญิงคนนั้นจะมาหา ซึ่งช่วงแรกจันทร์ยังติดแม่ ผู้หญิงคนนั้นก็รักลูกก็อยากอยู่ด้วยนานๆ ตองเลยโดนหึงเกือบถูกยิง”
“อยู่กับเยว่จันทร์จะได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด ถึงมันจะดูเหมือนจันทร์ไม่ทันโลกเท่าไหร่ แต่แค่จันทร์มีความสุขไปทุกๆวัน นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องการ...จันทร์มีความสุขใช่ไหมลูก? พ่อทำลูกอึดอัดใจหรือเปล่า”
พ่อและลุงหยางตอบคิวด้วยเสียงที่ค่อนข้างเครียดแล้วหันมาถามผม....ผมรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ทำไมชีวิตมันสับสนจัง วุ่นวายทุกคนไปหมดเลย
“อื้อ จันทร์แฮปปี้ทุกวันเลย”
แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่เป็นอยู่ผมมีความสุขมาก เจิ้นดีกันผม พ่อก็ถึงจะไม่เจอบ่อยแต่ผมก็ชอบคุยกับพ่อมากกว่าคุยกับแม่...แต่ผมก็รักแม่นะ มันก็เลยอึดอัด
“ไปพักดีกว่าไหม...”
เจิ้นกระซิบถามคงดูไม่ค่อยจะโอเค
“มะ ไม่เป็นไร จันทร์อยากรู้”
“จันทร์...พ่อรู้ว่ามันกดดันลูกแต่อย่าเพิ่งเจอแม่เขาเลยนะ...แม่รักลูกแต่แฟนแม่เขาไม่ได้รัก ส่วนคุณสุริยะเขารักลูกเหมือนที่พ่อรักแม้จะอยู่ในสถานะเดียวกัน แต่คุณสุริยะไม่เคยถือปืนไปจะยิงแม่...”
“
ลุงหยางรักผมด้วยหรอ?”
ลุงหยางทำหน้าเหมือนกลืนน้ำลายขมๆ
“พี่ซัน...ว่าไง?”
พ่อจ้องเขม็งไปที่ลุงหยาง
“เออ ประมาณนั้นแหละ”
ผมมีลุงหยางมารักเพิ่มอีกคน เจิ้นหลุดขำออกมาบรรยากาศหายเครียดลงนิดหน่อย ผมพอจะเข้าใจปัญหามากขึ้นและสิ่งที่ผมย้ำกับตัวเองคือ...
ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ ก็อยู่นิ่งๆให้ทุกคนดูแลดีกว่าเคยดูละครกับคุณป้าแม่บ้านแล้วนางเอกชื่อคิดเอง ตัดสินใจเอง แล้วพระเอกก็เดือดร้อนอะไรทำนองนั้น คุณป้าแม่บ้านบอกว่าหมั่นไส้นางเอกแบบนี้ไร้ประโยชน์แล้วยังวุ่นวาย ผมเลยคิดว่ามันก็คล้ายๆกับตัวเองที่ทุกคนกำลังมีแผนการเยอะแยะเพื่อปกป้องผม ผมก็อยู่เฉยๆดีกว่า อย่าไปวิ่งเข้าป่าเข้าดงให้ตัวร้ายจับไปเรียกค่าไถ่เลย ถึงพระเอกจะโดนยิงนัดเดียวแต่ผู้ร้ายตายทั้งป่าก็เถอะ
การไปมหาลัยของผมมีคนเพิ่มขึ้นอีกสองคนคือคุณพี่บอดี้การ์ดของเจิ้น เราเลยไปรถตู้ที่เบาะหลังนอนสบายมากแถมในรถก็มีขนม เจิ้นก็บ่นว่าผมจะอ้วนอีกแล้ว ออกกำลังกายก็ไม่สำเร็จ
“เจิ้นก็อ้วนเป็นเพื่อนจันทร์สิ”
ผมงุบงับเยลลี่รสผลไม้รวม ส่วนเจิ้นนั่งกอดสินเชื่อ เขายึดของผมไปเพราะกลัวทำเยลลี่หกใส่สินเชื่อ
“พี่ตัวใหญ่ นอนทับจันทร์ จันทร์จะรับน้ำหนักพี่ไหว?”
“
จันทร์อยู่ข้างบนเอง”
“จันทร์อ้วนพี่ก็แบน”
“เจิ้นไม่ชอบที่จันทร์อ้วนหรอ”
ผมชักจะไม่มั่นใจ...เยลลี่ก็อร่อย แต่อ้วนแล้วเจิ้นก็ไม่ชอบ... ความกังวลผมชะงักเพราะเจิ้นเล่นบีบแก้มผมแถมดึงไปดึงมา
“อ้วนอีกหน่อยก็ดี...จะได้นิ่มแบบสินเชื่อ
ให้พี่กอด”
“เจิ้นก็กอดจันทร์ทุกวันแหละ นี่ก็กอดอยู่”
เจิ้นเขานั่งโอบเอวผมตลอดมันก็คือกอดใช่ไหมล่ะ ไม่เห็นมีตอนไหนเจิ้นจะไม่กอดเลย โธ่
“เบื่อให้พี่กอดยัง?”
“งื้ออออไม่เบื่อออ กอดอีก กอดเยอะๆ”
เจิ้นหัวเราะที่ผมอ้อน เขาเลยดึงผมไปนั่งตักแทนสินเชื่อที่เจิ้นโยนไปอีกมุม ผมบังคับให้เจิ้นกินเยลลี่ด้วยกันจะได้อ้วนไปกับผม เยลลี่อันนี้ไม่หวานมากเจิ้นเลือกให้ บอกว่าให้กินยี่ห้อนี้มันค่อนข้างจะออแกนิค สกัดจากผลไม้อะไรของเจิ้นไม่รู้ไม่ใส่น้ำตาลฟันจะได้ไม่ผุ
“เจอกันตอนเย็น”
ผมหอมแก้มเจิ้นก่อนลงรถ เจิ้นย้ำว่าถึงมหาลัยแล้วให้ไปนั่งรอในคณะจนกว่าจะเจอคิว อย่าไปไหนคนเดียวมันอันตราย เจิ้นเป็นห่วง...ผมก็ไม่อยากให้เจิ้นกังวล เจิ้นกินยานอนหลับน้อยลงแล้ว เขากำลังดีขึ้นผมก็ต้องเป็นเด็กดีไม่ให้เจิ้นเครียดอีก
วันนี้ไม่ได้มีสอบแล้วแต่ว่าต้องมามหาวิทยาลัยเพราะว่าจะมีกิจกรรมเปิดบ้านในเทอมสอง ปีสองเป็นคนรับผิดชอบหลักจัดบูทกิจกรรมของคณะ ผมกับคิวและทีมสันทนาการส่วนใหญ่ถูกมอบหมายให้เปิดร้านขายของเพราะช่วงรับน้องรูปพวกเราถูกโพสในเพจเยอะ ก็เหมือรกับสันทนาการคณะอื่นที่ค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักแม้ว่าผมจะไม่รู้จักใครเลย
คิวเสนอว่าเปิดร้านน้ำจะง่ายสุด แค่สั่งน้ำมาเทๆใส่แก้ว เพื่อนอีกคนเสนอให้เอามาชเมลโล่มาจิ้มไม้แล้วปักใส่แก้วไปด้วย ผมงงๆว่ามาร์ชเมลโล่กับเปปซี่หรือโค้กมันเข้ากันตรงไหนแต่ทุกคนว่าดี ผมก็ว่าดี...
เราจะตั้งชื่อร้านกันขำๆว่า ‘น้ำป่าไหลหลาก’ และยึดตีมสีส้มสดใสเหมือนกางเกงสันทนาการ ผมเสนอว่าเราควรมีชุดพนักงานที่เหมือนกัน เราเลยจะพร้อมใจใส่ชุดสันทนาการผูกจุกอีกรอบ ผมอยากจะค้านมากแต่ดันเป็นคนเสนอ ก็คิดว่าจะมีชุดเท่ๆแต่ดันได้ชุดสันทนาการอ้ะ
หลังจากแยกกลุ่มคุยงานกันก็มารวมกันเพื่อทำความเข้าใจในภาพรวมเสร็จตอนเที่ยงพอดี คนขับรถกับพี่บอดี้การ์ดก็มารอแล้ว ผมจะไม่ได้เจอคิวตลอดปิดเทอมเพราะคิวจะไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด
“เดี๋ยวซื้อผลไม้มาฝาก ปิดเทอมอย่าซ่าล่ะ”
ผมกระโดดเกาะคิวเป็นหมีโคอาล่า
“เดี๋ยวเอาเยลลี่มาแลกนะ”
“เยลลี่ซื้อเซเว่นก็ได้ปะวะ ไม่ลงทุนเลยอะไรเนี่ย ลงไปได้ละหนักว่ะ”
คิวย้ำกับผมอีกรอบแบบจริงจังว่าให้ระวังตัว แต่ปิดเทอมผมก็คงไม่ได้ไปไหนอ่ะมันเดือนเดียวเองด้วย คงอยู่ช่อฟ้า ดูการ์ตูน ทำกับข้าวให้เจิ้นเหมือนเดิม แล้วใกล้ๆเปิดเทอมก็มาเตรียมงานเปิดบ้าน
แม่ยอมมาหาผมที่ช่อฟ้า ลุงไม่ได้มาด้วย ผมรู้สึกได้ว่าแม่อึดอัดแต่แม่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไร ซื้อขนมของโปรดผมมาให้แล้วก็ทำกับข้าวให้กิน ทำเผื่อเจิ้นด้วย
ผมมีความสุขมากเพราะไม่ได้เจอแม่นาน แม่ทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิม มันน่าเสียดายที่เราเจอกันยากมากขึ้นผมพยายามตัดเรื่องปัญหาออกไปจากหัว ยังไงแม่ก็มาหาผมแล้ว
“ทำวุ้นกันไหม? แม่เห็นมีแม่พิมพ์อยู่”
แม่สอนผมทำวุ้นแบบง่ายๆใส่พิมพ์ลายหัวใจ ผมเล่าให้แม่ฟังว่าช่วงนี้เรียนทำอาหารอยู่ อยากจะทำหลายๆอย่างให้เก่งขึ้น เวลาผ่านไปรวดเร็วแม่ก็ต้องกลับแล้ว เจิ้นก็ใกล้เลิกงาน... เราเดินออกมาจากห้องกินข้าวและห้องครัวที่ใช้เวลาร่วมกันตลอดบ่าย พี่เลขาของเจิ้นคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะหน้าทีวี และพี่บอดี้การ์ดก็กำลังยืนอยู่หน้าฉากกั้นห้องทำท่าเหมือนสนใจของตกแต่งห้อง
แม่ชะงัก...และผมก็ดูออกว่าเจิ้นกังวลพี่สองคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ คุณป้าแม่บ้านเป็นคนเดียวที่ทำตัวปกติเดินมาถามแม่ยิ้มๆว่าจะกลับแล้วหรอ เราเดินไปส่งแม่ที่ลิฟต์กันทั้งหมด ผมตั้งใจจะลงไปส่งถึงข้างล่างแต่แม่บอกว่าไม่เป็นไร เพราะแม่คงรู้ว่าผมจะมีผู้ติดตามไปอีกสามคน
หลังจากแม่กลับไปสักพักพี่เลขากับพี่บอดี้การ์ดก็ลงไป คุณป้าก็กลับไปในครัวคงเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง ส่วนผมก็ชักกดดันเล็กๆเพราะรู้สึกได้ว่าเจิ้นจริงจังมากกับเรื่องนี้
สักพักพ่อก็โทรมาหา ทุกคนทำเหมือนแม่อันตรายจนผมชักหงุดหงิดแทนแม่ แม่ไม่ได้ชวนผมไปไหน ไม่ได้ชวนคุยเรื่องน่าอึดอัดเลย จริงๆทุกคนไม่ควรโทษแม่...แต่...มันก็เลือกไม่ได้
เฮ้อ...
คงต้องรอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน
แม่มาหาผมที่ช่อฟ้าบ่อยๆอีกหลังจากนั้น นอกจากทำกับข้าวเราก็เปลี่ยนกิจกรรมเป็นเย็บผ้า ปักผ้า แม่ผมสอนปักลายหมีบนปลอกหมอนแล้ว ผมตั้งใจว่าจะหัดไปทำให้เจิ้น ถึงหมีผมจะดูเบี้ยวๆต่างจากหมีของแม่ คราวก่อนที่ปักผ้าเช็ดหน้าให้เจิ้น เจิ้นก็ใช้อยู่บ่อยๆแม้พระจันทร์ผมจะเบี้ยว ๆ อันนี้เจิ้นก็น่าจะชอบนะ
ผมเอาสินเชื่อให้แม่ช่วยดูว่าด้ายมันจะหลุดหรือมีตะเข็บตรงไหนต้องซ่อมแซมหรือเปล่า สินเชื่ออยู่กับผมนานอาจจะต้องการการ Maintenance ซ่อมบำรุงแบบที่เขาซ่อมสะพาน ซ่อมถนน ผมขอให้แม่สอนทำโบว์ ผมอยากให้สินเชื่อผูกโบว์น่ารักๆ
ตุ๊กตาเน่าของผมยังคงสุขภาพดี แม่เลยทำโบว์เล็กๆให้ติดตรงหูสีฟ้า...ฮึ่ยยยน่ารักขึ้นเยอะเลย ค่อยเหมาะกับเป็นเด็กผู้หญิงขึ้นมาหน่อย
ผมค่อนข้างสบายใจขึ้นที่ได้อยู่กับแม่ พี่เลขาและพี่บอดี้การ์ดก็อยู่แต่เขาจะเลือกอยู่ในมุมที่ไม่รบกวนเรา ทำให้ไม่อึดอัด เขาจะมาปรากฏตัวตอนที่แม่จะกลับเท่านั้น เจิ้นก็ไม่ขึ้นมาเพราะไม่งั้นมันจะเกร็งไปหมด มีแค่คุณป้าแม่บ้านที่จะมาเติมนมให้ผมกับน้ำผลไม้ให้คุณแม่และขนมของพวกเรา
“เจ้าดอกเบี้ยตอนนี้ขาหักอีกแล้วนะ”
อ้ะ...ผมเกือบลืมไปเลยว่าดอกเบี้ยยังอยู่! ลุงหยางกับพ่อไม่ได้เอามาเลี้ยงมันก็เลยอยู่กับแม่กับลุง
“ทำไมล่ะครับ”
“ไปปีนโต๊ะม้าหินตกลงมา คราวนี้ขาหน้าข้างซ้ายจ้ะ ซนจริงๆ เดี๋ยวแม่เปิดรูปให้ดู”
แม่เปิดรูปเจ้าดอกเบี้ยหมาขาหัก ผมล่ะเบื่อมันจริงๆทำไมชอบปีนนั่นปีนนี่แล้วตัวเองก็ตัวนิดเดียว ขาหักกี่รอบก็ยังไม่เข็ด ไม่รู้จะทำยังไง
“มันซึมๆนะ คิดถึงจันทร์...ไม่เคยห่างกันขนาดนี้”
“จันทร์ก็คิดถึง...สงสารดอกเบี้ยจัง”
“ไว้ไปดูมันบ้างนะจ๊ะ มันได้เจอจันทร์คงดีใจ มันขาหักจะพามานี่ก็ลำบาก”
ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะไม่รู้จะพูดยังไงว่าผมไปกับแม่ไม่ได้หรอก...แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ชวนมาปักหมีแทน หมดวันผมก็ได้หมีหูเบี้ยวมาหนึ่งอัน ปลอกหมอนอีกอันแม่จะมาพาปักวันหลัง เรากอดกันแน่นมากก่อนแม่จะไป
“แม่รักจันทร์นะลูก”
“จันทร์ก็รักแม่”
เจิ้นคงดูออกว่าผมไม่ค่อยสบายใจเลยพาผมไปกินไอติมชิดลม ไอติมช่วยให้ผมหายเครียดมานิดหน่อยแต่ผมก็คิดถึงแม่อยู่ดี ผมอยากให้แม่เลิกกับลุง... ลุงใจร้ายคนนั้น
“เจิ้น...ถ้าแม่เลิกกับลุง...ให้อภัยแม่ได้ไหม”
“ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า”
เจิ้นไม่ได้รับปากอะไรแค่ตอบเป็นกลางๆ ผมอยากให้ทุกคนให้อภัยแม่จัง มันไม่ได้ผิดที่แม่ด้วยซ้ำแต่เพราะแม่คบกับลุง แม่อาจจะมีความลำบากใจเลยต้องทนคบกัน ถ้าเลิกกันก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเรื่องแม่แล้วนี่
“อย่าให้เขามาอีก”
เสียงต่ำพูดตอบคนในโทรศัพท์ การที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวบ่อยๆทำให้เจ้าจันทร์อ่อนไหวและกลายเป็นเห็นใจ ยังไงได้ชื่อว่าเป็นแม่...คนเป็นลูกแค่แม่ดีด้วยก็ใจอ่อน
“จะบอกปัดบ้างแล้วกัน....เขาไม่พอใจมากที่เราไม่ยอมให้ลูกไปกับเขาบ้าง”
“เขากำลังดึงจันทร์ไป ใช้ความสงสาร”
“อารู้....มันยากมากเจิ้น จันทร์ต้องการแม่ ถึงจันทร์จะรับรู้ได้...เขาบอบบางและใจดี เจิ้นดูออกใช่ไหมเขาดีใจที่แม่เขามาหา”
“ผู้หญิงทรยศ”
เจ้าบ้านช่อฟ้าไม่ได้อยากให้มาเจอคนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ คนทรยศก็คือคนทรยศ...แต่เพราะศศิมณฑลต้องการความอบอุ่นของครอบครัวมันเลยต้องเป็นเช่นนั้น
“เรื่องมันนานแล้วเจิ้น...เขาแค่ยังต้องทำหน้าที่แม่”
“แลกกับเงิน...อาน่าจะเล่าให้จันทร์ฟังว่าทำไมเขาถึงต้องไปจากเยว่...เล่าความจริง ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยู่กับเราไม่ได้”
เสียงทอดถอนหายใจดังมาตามสาย
“จันทร์รับไม่ไหวแน่ๆ....แล้วอาก็อายด้วย เหมือนเป็นผู้ชายขี้แพ้”
“อาเป็นสามีที่ดี....ที่โดนภรรยาสวมเขาทั้งๆที่ท้อง”
ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดจะยอมรับหน้าที่แม่ แถมยังแอบไปมีสัมพันธ์กับแฟนเก่าทั้งๆที่อุ้มท้องลูก มันอันตรายมากสำหรับอายุครรภ์ในตอนนั้น...แล้วยังทำแท้ง ถึงจะคลอดแล้วและให้สัญญาว่าจะมีครอบครัวร่วมกันก็ยังทรยศ
“เขาคงเห็นว่าอาไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าครอบครัว”
“อาทำดีแล้ว มิสเตอร์หยางอกหักไปเป็นปีเพราะอาเลือกบทสามีดีเด่น”
“ความรักคงไม่ใช่สิ่งตอบแทนของความดีมั้งเจิ้น”
ตองเคยคิดว่าตัวเองยอมได้ที่จะเป็นสามีที่ดีของผู้หญิงคนหนึ่ง มีลูกน่ารักมีครอบครัวที่อบอุ่นเล็กๆด้วยกันเพราะเขาเคยขาด...และไม่อยากให้ลูกตัวเองต้องซ้ำรอยเดิม เขาพยายามที่จะรักทั้งๆที่ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเลย ในความคิดที่ว่ามันจะดีขึ้นฟ้าก็ผ่าด้วยความจริงที่ได้เจอ จนแพ้ จนต้องหนีไปไกลๆ...จนกระทั่งพระอาทิตย์กลับมาหา
“ความอดทนผมมันต่ำลงทุกวัน อย่าให้ต้องพาจันทร์ไปขังไว้ที่ไกลๆ ถ้ามันปลอดภัยรู้ใช่ไหมว่าจะทำ”
“อีกแค่นิดเดียว”
“จัดการเรื่องผู้หญิงคนนั้นด้วย...เขาทำคนของผมหวั่นไหวมากเกินไปแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ ขนาดอายังไม่มีสิทธิ์อะไรมากมายเขาก็ควรรู้ด้วยว่ากำลังเล่นกับอะไร”
“เหอะ...แล้วไง จะฆ่ามันหรือไง?”
“
อาคิดว่าผมกล้าฆ่าคนไหมล่ะ?”
คำถามที่น้ำเสียงยังคงราบเรียบก่อเกิดความเงียบสนิทชั่วอึดใจ
“เจิ้น...”
เสียงงัวเงียจากด้านหลังทำให้เจิ้นเอ่ยตัดบทแล้ววางโทรศัพท์ เจ้าจันทร์เดินงัวเงียกอดกระต่ายออกมาจากตัวบ้าน สะลึมสะลือจนกลัวว่าจะเดินสะดุดต้องรีบเข้าไปกอดคนที่ลุกออกมาจากเตียงกลางดึก
“นอนไม่หลับอีกแล้วหรอ เจิ้นลุกไป จันทร์เป็นห่วง ฮ้าว...”
คนเป็นห่วงหาวแล้วพิงแหมะเข้ามาในอ้อมกอด กลิ่นนมผสมกลิ่นแชมพูอ่อนกำจายอยู่รอบตัวคนตัวเล็ก...ชวนเอ็นดูจนต้องหอมหัวหอมๆนั่นหลายที
“อืม...นิดหน่อย แต่ถ้าจันทร์กอดพี่คงนอนหลับ”
“งื้ออ กอด นอนนะจันทร์กอด”
แขนเหล็กสอดเข้ามากอดเอวทั้งๆที่ถือเจ้ากระต่ายติดโบว์มาด้วย เจิ้นหลุดยิ้มค่อยๆโอบประคองหมีโคอาล่ากลิ่นนมกลับเข้าไปด้านใน
เจ้าจันทร์กังวลมากเรื่องเขานอนไม่หลับ...ตอนนี้มันดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแค่เพราะเสียงเล็กๆสัญญาว่าจะอยู่ให้รักไปตลอดชีวิต จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก
“ความรักของพี่...ฝันดีครับ...”
เสียงกระซิบดังแผ่วเบาในความเงียบงัน
================================
เจิ้นหัวปลาหมึกสู้ๆนะคะ ฮือออออ มูนนี่ดีมากลูกหนูไม่ต้องไปซนนะ ให้คนอื่นเขาดูแลไป หนูเล่นอยู่กับสินเชื่อที่ช่อฟ้าดีแล้วจ้ะ
ปล. ใครสะดวกไปงานเจนวาย อย่าลืมไปซื้อหนังสือ The way a cat loves นะจ๊ะ อยู่บูทฟาไฉ มาเจอแบมด้วยยยย