ตอนที่ 14
เซียน
‘ไงเหี้ยกล้า’
‘บายเซียน กูไม่อยากเห็นหน้ามึง’
‘พ่อมึงตาย สาบานดิ๊ว่านี่คือคำทักทาย’
‘พ่อมึงนั่นแหละตาย ไอ้ห่า’
‘มีเรื่องสงสัยว่ะ’
‘ถ้าเป็นเรื่องของกู กูจะเรียกว่ามึงเสือก’
‘ก็ยอมรับ’
‘ไอ้เหี้ยนี่’
‘น้องนายท่านเด็กม. 5 ที่ตามจีบมึงต้อยๆ นี่กูเข้าใจนะ’
‘...’
‘แล้วไอ้เด็กโรงเรียนนานาชาติสองคนนี่ตามจีบมึงด้วยป่ะ เห็นชอบมาหามึงพร้อมไอ้นายท่านบ่อยจังเลย’
‘เพื่อนท่าน ท่านมันลากมาอ่ะ’
‘กูก็ว่า...คนอย่างมึงมีเสน่ห์กับแค่ไอ้นายท่านก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลกใบนี้แล้ว’
‘ไอ้เซียน ไอ้ห่า!’
เหี้ยกล้าแม่งหายจ๋อม
จะโทษมันคนเดียวก็ไม่ได้เพราะผมเห็นตอนที่มันโดนไอ้นายท่านฟัดท่ามกลางความมืดในโรงยิม ทุกคนลองคิดกันดูสิครับว่าในสถานการณ์ปกติแล้วพวกมันจะสามารถสวีตกันได้อย่างไหลลื่นหรือเปล่า สถานที่ตรงนั้นมีคนอยู่เยอะแยะมากมายมหาศาลเนื่องจากมันเป็นคอนเสิร์ตเฟรชชี่ไนต์
แน่นอนว่าไม่ได้
ถ้าไม่มีผม ไอ้ตง และก็ไอ้หมูหันคนบื้อคอยกันไม่ให้พวกเด็กปีหนึ่งเข้าไปใกล้ ไอ้สองคนนั้นก็คงไม่ได้สวีตกัน และก็คงไม่ได้ลากกันไปต่อแล้วล่ะ
กล้าแม่งต้องขอบคุณผม เพราะผมเป็นคนเห็นทุกอย่างก่อน นี่ถ้าผมไม่เห็น ป่านนี้ไอ้คู่รักบ้านมเปรี้ยวนี่คงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในชั่วพริบตา เนื่องจากสถานที่ที่มันนัวเนียกันอยู่นั้นมีคนอยู่จำนวนมาก พวกมันต้องดังมากขึ้นแน่ๆ ไม่ใช่เฉพาะไอ้นายท่าน แต่เป็นไอ้กล้าด้วย
ผมรู้ดีว่าเพื่อนผมมันเป็นยังไง เมื่อก่อนมันอาจจะชอบที่มันค่อนข้างป๊อบพอตัว แต่ตอนนั้นไม่ใช่เพราะหน้าตานะครับ เป็นเรื่องของการทำตัวเหี้ยล้วนๆ พอมันโตขึ้น ผมรู้สึกว่าไอ้กล้ามันไม่ชอบที่จะเป็นคนดังเท่าไหร่ มันเคยบอกผมว่าดังแล้วบางทีก็เป็นตัวของตัวเองไม่ค่อยได้เนื่องจากมีคนคอยจับตามอง เชื่อว่าเรื่องนี้แม่งต้องเกี่ยวกับไอ้นายท่านแน่ๆ ถ้าเมื่อก่อนมันไม่ได้ล่ะก็...มันคงกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองต่อหน้านายท่านมากกว่านี้
ผมลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อเซียนครับ เป็นเพื่อนรักเพื่อนชังของไอ้กล้า สถานะตอนนี้โคตรจะโสด และก็กำลังรู้สึกเหงานิดๆ เนื่องจากเห็นเพื่อนสนิทมันกำลังมีคู่
แต่เรื่องนั้นยังไม่ใช่ปัญหาของผมตอนนี้...
ปัญหาของผมในตอนนี้คือไอ้คนรวยที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ มันเป็นเพื่อนนายท่าน ซึ่งไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายถึงเรื่อง ‘ความรวย’ ที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านทางเสื้อผ้าหลากหลายแบรนด์บนร่างกายของมัน
มันชื่อว่าทิม และมันก็มีปัญหากับผมอยู่
ตั้งแต่เจอหน้ากันในเวลาเช้าจรดเย็น...มันยังไม่มองหน้าผมเลยแม้กระทั่งตอนนี้ มันกำลังนั่งดื่มกับพวกคณะนิเทศฯ ซึ่งผมรู้จักแค่มูมู่กับเพื่อนของเธอไม่กี่คน ส่วนโต๊ะของผมมีแก๊งชายโฉดเจ้าเก่าเจ้าเดิม (ยกเว้นไอ้กล้า) กับชาวตุ๊ดแห่งอีคอนที่มีทั้งไอ้เอ้และก็ไอ้อมร จะว่าไปโต๊ะมันกับโต๊ะผมนี่แบ่งแยกเป็นคณะได้ชัดเจนมากเลยนะนี่
ผมกับเพื่อนคนอื่น (ยกเว้นชาวตุ๊ด) ย่อมรู้ดีว่าไอ้กล้ามันหายไปไหนและหายไปกับใคร พวกเราถกเรื่องนี้กันจนเลิกพูดถึงไปนานแล้ว คราวนี้เรื่องที่เราพูดถึงจึงมีแต่เรื่องประสบการณ์การรับน้องที่ผ่านมา รวมไปจนถึงวันเปิดเทอมใหม่ซึ่งจะเริ่มทำการเรียนการสอนกันในอีกสองวันข้างหน้า
สายตาของผมเผลอเหลือบมองไปทางไอ้ทิมบ่อยเพราะผมรู้ว่าผมทำให้มันเคือง แต่หลังๆ ชักจะบ่อยไปจนรำคาญตัวเอง ปกติแล้วผมเป็นคนแคร์คนอื่นที่ไหน ขนาดไอ้เหี้ยกล้าที่ว่าเป็นเพื่อนรักแล้ว ผมยังชอบแกล้งเล่นหัวมันเป็นประจำ
“ไอ้น้องทิมลูกค่ายจีวายนี่คงงอนมึงจริงจังว่ะ” ตงตั้งข้อสังเกต “มันไหว้ทุกคน มันยิ้มให้ทุกคน ยกเว้นมึงคนเดียวเลยไอ้เหี้ยเซียน”
“อย่างกับกูจะแคร์” ผมยักไหล่ทำเหมือนไม่ยี่หระ
“ไม่แคร์จริงอ่ะ” หมูหันยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับจับคางผม “ดูจากองศาการนั่งและการตั้งของใบหน้า มึงมองไปทางนั้นบ่อยมากนะเว้ย”
“มันคงไม่อยากผิดใจกับใครล่ะมั้ง...เนอะ หมูหัน” ตงยิ้มเล็กๆ
“อะไรอีกอ่ะ” อมรโวยวาย “เหี้ยกล้าผัวกูก็ไปวอแวกับน้องนายท่าน แล้วนี่เซียนผัวกูก็ยังจะไปวอแวกับคนอื่นอีกเหรอ” มันเชิดหน้าก่อนจะทำหน้าอยากรู้อยากเห็น...ตกลงมึงซีเรียสกับเรื่องนี้มั้ยเนี่ย “เรื่องเป็นยังไง ไหนเล่ามาซิจ๊ะน้องหมูยอ”
“หมูหันเหอะ” เพื่อนผมภูมิใจกับชื่อตัวเองมาก “ไอ้เซียนไปด่าน้องในเกม น้องมันก็เลยไม่พอใจ”
“ปัญญาอ่อนป่ะ” ผมถามความเห็นอมรเพื่อหาพรรคพวก แต่มันไม่ได้ใส่ใจผมเลย
“น้องคนไหน คนตัวเล็กๆ ตาตี่ๆ หน้าขาวๆ หรือว่าคนตัวผอมๆ แต่งตัวฮิปฮอปหน่อย”
“กูให้มึงเดา”
“กูว่าคนตาตี่”
“ผิดฮะ” หมูหันตบโต๊ะอย่างออกรสชาติ “คนตัวผอมๆ ผิวเหลืองๆ แต่งตัวแพงๆ”
“อืมมมม” อมรจับคางตัวเองอย่างครุ่นคิด “ก็สมน้ำสมเนื้อกับเซียนมันดี ถ้ามันไปมีเรื่องกับน้องตาตี่นี่ กูว่ามันออกจะรังแกเด็กไปหน่อย”
ให้ตายเถอะ...นี่พวกมันคุยเรื่องเหี้ยอะไรกันอยู่เนี่ย ไม่เห็นจะต้องจับเอามาเป็นประเด็นเลย แค่ผมด่าเด็กคนหนึ่งในเกม แล้วมันก็ดันไม่พอใจผมในชีวิตจริง มันก็แค่นั้นเอง
ฟังดูมันก็ออกแนวปัญญาอ่อนนิดๆ ตามคำที่ผมพูด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เริ่มหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเพราะผมผิดใจกับคนที่ไม่เคยผิดใจ หรือเพราะมันทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในโลกใบนี้
กูหล่อที่สุดในอีคอนปีสองนะเว้ย...มึงเมินกูได้เหรอ
“เดี๋ยวกูมา” ผมหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นเชิงบอกเพื่อนว่าผมหายไปทำอะไร “มีใครจะไปด้วยป่ะ”
ทั้งโต๊ะไม่มีใครสูบบุหรี่ยกเว้นผมกับไอ้ตง แต่ไอ้ตงมันเพิ่งจะสูบไปมันก็เลยโบกมือปฏิเสธ ผมเดินผ่านโต๊ะของพวกนิเทศฯ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางไอ้ทิมเผื่อมันจะมองหน้าผมบ้าง แต่มันกลับมองไปอีกทางตอนที่ผมเดินผ่านพอดี
รู้สึกแห้วว่ะ
เฮ้ย เดี๋ยวดิ ทำไมต้องผิดหวังด้วย มึงบ้าป่ะเนี่ยเซียน
บุหรี่คงจะให้คำตอบผมได้ดีที่สุดในตอนนี้ ผมเดินออกมาข้างหน้าร้าน เห็นสิงรมควันเหมือนกันกับผมยืนออกันอยู่เต็ม ผมเลือกที่จะเลี่ยงมาสูบในมุมมืดๆ ของตัวเอง จากนั้นก็ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปพร้อมกันกับควัน
ผมกับตงไม่ใช่พวกสูบบุหรี่จัด เพราะเราทั้งคู่มีความเชื่อว่าถ้าสูบมากเดี๋ยวจะไม่หล่อแล้วก็แก่เร็ว แต่วันนี้ผมขออนุญาตตัวเองให้ได้สูบ เพราะผมรู้สึกเหนื่อยล้าสะสมมาอย่างยาวนานรวมไปจนถึงเรื่องราวระหว่างผมกับทิมที่ผมคิดว่าปัญญาอ่อนนี่อีก
จริงๆ แล้วมันมีอะไรที่ปัญญาอ่อนกว่าเรื่องที่ทิมโกรธผมเพราะผมด่ามันในเกม นั่นก็คือผมดันหงุดหงิดที่โดนมันเมินนี่แหละ สาบานได้ว่าโดนดาวคณะปฏิเสธไม่ยอมให้เบอร์ ผมยังไม่หงุดหงิดหรือเก็บมาคิดทั้งวันแบบนี้
ไอ้เด็กที่แต่งตัวฮิปฮอปนั่นมันมีดีอะไรให้แคร์วะ
กลุ่มคนที่เดินผ่านผมไปทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมาทักทาย ตอนนี้ผมเรียกพวกมันติดปากว่าพวกวิศวฯ ฝ่ายซีเคียวริตี้ ผู้นำกลุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คือไอ้เชน มันคนนี้สนใจเพื่อนผมอย่างไอ้กล้าอยู่ แต่เชื่อเถอะว่ายังไงก็แห้ว ไอ้กล้ากับนายท่านมันรักกันมากเกินกว่าที่จะยอมให้ใครไปแทรกกลาง แต่คนคู่นี้ต้องขอบคุณไอ้เชนมันนะ ถ้าไม่มีเชน...พวกมันคงไม่กลับมาคืนดีกันได้ไวขนาดนี้
ผมกับไอ้ตงเคยแอบเขม่นคนกลุ่มนี้กันเล่นๆ สาวๆ ส่วนใหญ่มักจะสนใจผู้ชายวิศวฯ ก่อนผู้ชายอีคอนอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของเราคุณหนูกว่า อีกทั้งยังไม่แมนเท่าวิศวฯ อีกด้วย ผมล่ะอยากจะให้พวกคุณเธอทั้งหลายที่มองผู้ชายวิศวฯ ก่อนมองผู้ชายอีคอนมาลองกับผมดู
...รับรองแซ่บจนเปลี่ยนความคิดไปเลย
“ไง...เซียน” วิศวฯ ที่ว่าแน่ยังแพ้ผู้ชายคณะนี้ครับ...แพทยศาสตร์ ยิ่งผู้ชายที่เป็นหมอแต่ดูเหมือนไม่ใช่หมอนี่สาวๆ ยิ่งชอบใหญ่ ไอ้นี่ชื่อไอ้ไตเติ้ลหรือที่สาวๆ เรียกหมอไตเติ้ล มันดังมากในโซเชียลและหมู่นักเที่ยวกลางคืน ผมกับมันรู้จักกันก็เพราะเจอกันในที่เที่ยวนี่แหละ
ควันบุหรี่จากปากมันลอยมากระทบใบหน้าของผมเต็มๆ
“ไงไตเติ้ล”
“กูเห็นมึงจากเต็นท์พยาบาล เป็นสวัสฯ นี่คงเหนื่อยเนอะ”
ไอ้เวรนี่กะจะมาข่มอะไรผมหรือเปล่า “มึงก็คงเหนื่อยเหมือนกัน ต้องปฐมพยาบาลดูแลน้องๆ”
“ก็ไม่ค่อยเหนื่อยหรอก ส่วนใหญ่พวกรุ่นพี่จะให้ยืนดูมากกว่า เพิ่งจะขึ้นปีสองเอง ยังไม่ได้เรียนตรวจเหี้ยอะไรเลย” มันยิ้ม ไอ้เติ้ลเป็นหมอที่ขี้โม้ แต่ถ้าตัดเรื่องขี้โม้ออกไป ไอ้นี่ก็เป็นคนที่คบได้คนหนึ่ง “กูว่าจะถามอะไรมึงสักหน่อย”
“ถามว่า...”
“มึงรู้จักกับพวกเด็กนิเทศฯ โต๊ะข้างๆ มึงป่ะ”
“สนใจมูมู่เหรอ กูมีเบอร์นะ” ใครๆ ก็สนใจมูมู่ พี่รหัสของไอ้นายท่าน แต่อาจจะยกเว้นตัวไอ้นายท่านเอง...
“ไม่ใช่ผู้หญิงดิ”
คำพูดของมันทำเอาผมต้องถลึงตามอง เดี๋ยว...ไอ้ไตเติ้ลมันสนใจผู้ชายด้วยเหรอ
“ลูกค่ายละครมั้ง” มันพูดสลับกับดูดบุหรี่
“มีสองค่าย” เสียงของผมเย็นชามากขึ้นแบบที่ผมไม่รู้ตัว
“ค่ายไหนไม่รู้...จำไม่ได้ว่ะ”
“...”
“แต่คนที่กูชอบคือคนที่แต่งตัวเท่ๆ หน่อย” แบบนี้แปลว่าเป็นทิมแน่นอน... ผมรู้สึกปวดมวนในท้องแบบแปลกๆ “มึงรู้จักป่ะ”
“รู้” ผมตอบเสียงแข็ง
“มีไลน์หรือเบอร์ของน้องมั้ย”
“ทำไมมึงสนใจคนนี้”
“เขายิ้มให้กูตอนเดินผ่านเต็นท์พยาบาลอ่ะ ยิ้มโดนใจกูดี กูติดใจเขามาตั้งแต่ตอนนั้นเลย”
ที่แท้ไอ้ลูกค่ายจีวายนี่มันก็เป็นเด็กขี้อ่อยดีๆ นี่เอง...
ผมมีไลน์ของมันอยู่ในไลน์กลุ่มกล้าหัวจวยครับแต่ผมไม่ได้แอดไป แต่ถึงผมจะมีไอ้ทิมอยู่ในรายชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมคิดว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะให้ไลน์หรือเบอร์มันกับใครคนไหนถ้าเจ้าตัวไม่อนุญาต
“กูคิดถึงหน้าเขาทั้งวันเลย มึงคิดว่ากูบ้าป่ะ”
“เออ บ้า” ผมโยนบุหรี่ลงพื้นแล้วเหยียบให้มันบี้ รู้สึกว่าตัวเองเหยียบแรงไปนิดเพราะไอ้หมอไตเติ้ลมันสะดุ้ง
“ตกลงจะช่วยกูมั้ยวะ”
“ไปขอเองดิ กูไม่อยากเสือกเรื่องนี้”
“น้องยังไม่มีแฟนใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
“นี่มึงรู้จักกับน้องจริงๆ มั้ยเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้ไตเติ้ลอีก...เท้าของผมรีบก้าวเข้าไปในร้านพลางรู้สึกว่าตัวเองคอแห้ง นึกอยากซดแอลกอฮอล์ลงคอไปอีกหลายๆ ขวด
โกรธตัวเองฉิบหาย...ที่หงุดหงิดห่าอะไรก็ไม่รู้
แปลกแต่จริงที่ต้นเหตุมาจากไอ้ทิมอันเดอร์สกอร์จีวายล้วนๆ
ตอนที่ผมเดินกลับมา ผมมองไปที่โต๊ะของพวกนิเทศฯ ก่อนอย่างอื่น แต่แล้วก็ช็อกแดกเมื่อเห็นว่าทั้งโต๊ะนั้นโดนพนักงานเก็บเป็นที่เรียบร้อย
แม่งหายกันไปหมดเลย...
เคยเล็งคนโต๊ะข้างๆ หรือเล็งอะไรสักอย่างมั้ยครับ พอกลับมาแล้วไม่เจอนี่มันโคตรเซ็งเลย ยิ่งผมเพิ่งจะคุยกับคนที่สนใจอะไรเหมือนกันกับผมมา ผมก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเซ็งขึ้นไปอีกแปดสิบระดับ
“หน้าหงอยเป็นหมาเหงาเลย” หมูหันพึมพำเมื่อเห็นหน้าผม “ใจเย็นน่า เดี๋ยวน้องก็หายโกรธ”
“มันอยู่ให้กูขอโทษมันมั้ยล่ะ” ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพื่อนผมหัวเราะร่วนขณะที่เอ้กับอมรก็พากันหัวเราะคิกคัก
“ปีนี้นิเทศฯ เขามาแรงจริงๆ เด็กอีคอนอย่างเราหลงเสน่ห์เด็กนิเทศฯ ไปกี่คนแล้ว” เอ้เอ่ย
“นับกูด้วยสิคะชีแม่เอ้”
“กูก็ต้องนับตัวเองเหมือนกันอ่ะอมร”
“พูดอย่างกับว่าถ้าน้องมันยังอยู่มึงจะไปคุยกับน้องอย่างงั้นแหละ” ตงกล่าวต่อ
“ก็...”
“ไอ้ขี้โม้เอ๊ย” ใครจะด่าผมก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ไอ้หมูหันครับ สำหรับผมไอ้นี่คือเด็กที่โตแต่ร่างกาย อย่างอื่นไม่ได้โตไปด้วย
“โทษนะครับ” เสียงที่ดังขึ้นหัวโต๊ะทำเอาพวกเราเงียบกริบ คนที่พูดก็คือไอ้คนที่ผมคิดว่ามันกลับไปนอนที่หอแล้วนั่นแหละ
เชี่ยยยย...ไอ้ทิมมันยังไม่กลับว่ะ
แล้วก็เป็นเหมือนอย่างเคยครับ...มันมองหน้าทุกคนยกเว้นผม
“มีใครเป็นเจ้าของรถป้ายทะเบียน มห 11XX มั้ยครับ พอดีจอดขวางรถผมแล้วไม่ปลดเกียร์ว่าง”
สายตาทุกคนจับจ้องไปที่หมูหัน ผมหัวเราะมันเบาๆ ขณะที่มันทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ขอโทษทีน้องทิม”
ผมยื่นมือขอกุญแจรถเพื่อน “เดี๋ยวกูไปเลื่อนให้”
หมูหันสบตากับตงอย่างทึ่งๆ ก่อนจะส่งกุญแจรถมันมาให้ผมอย่างว่าง่าย ทิมมองตามอย่างไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็คงไม่อยากเรื่องมาก สงสัยอยากกลับห้องไปนอนเต็มแก่แล้ว
ผมเดินตามหลังไอ้ทิมไป ไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับเพื่อนว่า... “เห็นมั้ยว่ากูไม่ได้โม้”
“ขอให้โชคดีครับเพื่อน”
“เสร็จเด็กนิเทศฯ ไปอีกหนึ่งแล้ว ผัวกู!”
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่ระยะทางก่อนไปถึงรถของทิมและรถของหมูหันจะไกลลิบขนาดนี้ ร้านนี้เป็นร้านดังของมอครับ ใครๆ ก็พากันบอกต่อกันไปว่าอยากเจองานดีให้มาดื่มร้านนี้ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่ลานจอดรถจะเต็มไปด้วยรถ บางคันก็ต้องจอดซ้อนคันอื่นแบบปลดเกียร์ว่าง ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงไม่มีที่จอดแน่ๆ
เราเดินมาถึงลานจอดรถแล้ว ทิมก็เอาแต่จ้ำอ้าว ไม่ยอมคุยกับผมเหมือนเดิม
“เฮ้” ผมเรียกลูกค่ายจีวาย “เฮ้ มึงได้ยินกูมั้ยเนี่ย”
มันหันขวับกลับมา จากนั้นก็ทำหน้าเซ็งๆ “มีอะไรครับ”
ไปต่อไม่ถูกเลย... “คือ...กูขอโทษ ตอนเล่นเกมกูอาจจะพูดแรงไปหน่อย”
“รู้สึกผิดจริงหรือเปล่า” ทิมขยี้ต่อ “หรือแค่ขอโทษไปงั้นๆ”
“หา”
“ถึงพี่จะขอโทษ แต่พี่ก็คิดว่าการพูดชื่อไอจีคนอื่นของผมมันปัญญาอ่อนอยู่ดี ผมพูดถูกมั้ยครับ”
เฮ้ยยยยยยยยยยย
“งั้นพี่ก็ไม่ต้องขอโทษหรอก”
มันกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตได้ไงวะเนี่ย กูยังงงมาจนถึงตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายมา” ผมยอมแพ้ ในเมื่อมันคิดถูกผมก็ไม่มีอะไรจะเอ่ยนอกจากถามเอาเหตุผล “ทำไมต้องชอบเรียกชื่อไอจีคนอื่นแทนที่จะเรียกชื่อเจ้าตัวไปเลย”
“ไม่เคยแคร์ใครสักคนแล้วตั้งฉายาให้คนคนนั้นเหรอ”
ผมนิ่งคิดตาม...
“ไม่เคยตั้งชื่อให้รถ ไม่เคยตั้งชื่อให้แมวเหรอ”
“...”
“พี่ไม่เคยเรียกเพื่อนคนอื่นด้วยฉายาหรือไง”
หน้าไอ้กล้าลอยมาเต็มๆ ผมแซะมันบ่อยจะตาย ส่วนใหญ่ก็เป็นฉายาที่มันไม่ชอบทั้งนั้น เตี้ยบ้าง ขาสั้นบ้าง...แต่เพราะผมสนิทกับมันและก็ชอบที่จะแกล้งมัน ผมก็เลยเรียกมันอย่างนั้น
“ผมแคร์ใครผมก็เรียกชื่อไอจีคนนั้น ผมก็เป็นของผมแบบนี้ ผมผิดตรงไหน” ทิมโวยวาย “ไอ้ท่านมันยังเรียกพี่กล้าของมันว่าเอลฟ์แคระเลย แทนที่จะเรียกคนอื่นแบบนั้นแต่ผมกลับเรียกชื่อไอจีแทน มันปัญญาอ่อนเหรอครับ”
“เอาล่ะๆ” เจ้าเด็กนี่มันกำลังหัวร้อน ผมต้องทำอะไรสักอย่างให้มันใจเย็นลงก่อน “กูเข้าใจแล้ว กูไม่ว่ามึงเรื่องเรียกคนอื่นด้วยชื่อไอจีอีกแล้ว”
“ไม่ทันแล้วมั้ง พี่ทำผมเสียเซลฟ์”
เป็นอีกครั้งที่ผมงงว่ามันกลายมาเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ได้ยังไง...
“กูให้มึงเรียกกูว่าเทพเซียนเอ็กซ์เอ็กซ์ก็ได้” ให้ตายเถอะ เปลี่ยนชื่อไอจีตอนนี้ทันมั้ย
“ผมไม่เรียกแล้ว จะไม่เรียกใครด้วยชื่อไอจีอีกแล้ว ผมเซ็ง”
“ความผิดกูเหรอ”
“เออ”
ยอม...นี่ผมผิดใช่มั้ยที่ไปก้าวก่ายการใช้คำพูดของคนอื่น จะว่าไปการเรียกชื่อด้วยชื่อไอจีมันก็ดูเป็นเอกลักษณ์ของไอ้ทิมดี ถ้ามันไม่เรียกอีกชาวเราก็คงจะเหงาหู ไม่มีอีกแล้วนายท่านอันเดอร์สกอร์แอลเคเอช กล้าหาญบอย หรือแม้กระทั่งเทพเซียนเอ็กซ์เอ็กซ์
แบบนั้นมันดีแล้วเหรอวะ
“กูไม่ด่ามึงแล้ว อยากเรียกใครยังไงก็แล้วแต่มึงเลย” ผมเริ่มรู้สึกผิดจริงจัง
“บอกมาก่อนว่าเข้าใจผมหรือเปล่า”
“เข้าใจแล้ว”
“แน่นะ”
“เออ”
“ถ้างั้นก็...”
“ขอโทษนะครับ” ไอ้หมอไตเติ้ลลลลลลล! มึงจะโผล่มาทำไมตอนนี้ “น้องทิมใช่ป่ะ”
ไอ้ทิมทำหน้าเหวอแดก ส่วนผมก็ได้แต่ตีอกชกหัวในใจเบาๆ
“ครับ” เชี่ยทิมแม่งก็เสือกเป็นเด็กที่ไม่หยิ่งด้วย
“น้องโสดอยู่หรือเปล่า พอดีพี่สนใจน้องอยู่น่ะ”
ทิมอ้าปากค้างเติ่ง ส่วนผมก็ได้แต่เดินเตะฝุ่นเตะดินเตะหินไปเรื่อย อีกนิดคงเตะไอ้หมอคนนี้แล้ว
อีกนิดนึง... “ตกใจเหรอ โทษทีนะ”
ไม่ตกใจบ้านเตี่ยมึงอ่ะดิ มึงก็ตรงเกิ๊น
“แต่พี่ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ”
“คือ...” ทิมเริ่มลังเล หันมามองผมราวกับต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเห็นสายตาอย่างนั้นของไอ้ทิมผมก็เลยมีความกล้าขึ้นมา จึงกอดคอไอ้หมอไตเติ้ลแล้วลากมันไปไกลๆ
“มึงไม่เห็นเหรอว่าน้องมันเมา วันหลังค่อยมาขอก็แล้วกันนะ” ผมบอกปัดแทนไปก่อน
“กูไม่เห็นว่าน้องเขาจะเมาตรงไหน”
“มันเมาจริงๆ ไม่เชื่อมึงดูดิ แค่ยืนยังเซเลย”
โชคดีที่ทิมได้ยิน มันแกล้งยืนเซไปเซมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ สมกับที่เป็นเด็กนิเทศฯ ที่กล้าแสดงออกจริงๆ
“พี่ชื่อไตเติ้ลนะ” มันยังคงไม่ละความพยายาม “ไว้วันหลังมาคุยกัน พี่ไปกดฟอลไอจีน้องเอาไว้แล้วล่ะ”
“มันฟังมึงไม่รู้เรื่องหรอก กลับไปได้แล้วไป”
“อะไรกัน”
“เถอะน่า”
ในที่สุดไอ้หมอไตเติ้ลก็เดินจากไป ผมยืนถอนหายใจแล้วหันกลับมามองไอ้ทิม มันทำหน้ากลั้นขำก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณครับพี่”
“เรียกเทพเซียนเอ็กซ์เอ็กซ์ดิ”
“ไม่เรียกแล้ว ไว้มีอารมณ์ก่อนเดี๋ยวค่อยเรียก”
จะต้องอับอายขายขี้หน้าไปอีกนานแน่ๆ ถ้าเพื่อนแก๊งชายโฉดโหดเยี่ยงหมามันรู้ว่าผมอยากให้ไอ้ทิมเรียกชื่อไอจีผมแทนที่จะเรียกชื่อผม
“รถมึงอยู่ไหนล่ะ เดินนำไปสิ”
มันบอกมันจะเรียกแบบนั้นเฉพาะคนที่มันแคร์
...ตอนนี้ผมเริ่มอยากเป็นคนที่มันแคร์ซะแล้วสิ
ความรู้สึกนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วมันมาได้ยังไง
งง ผมงงฉิบหายยยยย
[ มีต่อนะคะ ]