ตอนที่ 11
มุมมองของซีเคร็ท
อาทิตย์นี้ตารางของผมแน่นเอี๊ยด เทคิวให้กับเช็กเมทตอนสิบหกทั้งหมด
เพราะตอนนี้จะเล่าในมุมมองของซีเคร็ท!!
เดิมทีซีรีส์นี้เล่าผ่านมุมมองของอัครเดชเป็นแกนหลัก แต่เนื่องจากทิศทางของซีซันสองเจาะลึกไปยังองค์กร และปริศนาของมิสเตอร์เอส ทำให้คนเขียนบทออกไอเดียว่าถ้าเปลี่ยนมาในมุมของซีเคร็ทบ้างก็คงจะดี
ผลคือ...ผมได้ค่าตัวเพิ่ม!
แต่ต่อให้ไม่ได้ค่าตัวเพราะคิวถ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วยการแบกบททั้งตอน ผมก็ยินดีรับงานเนื่องจากเป็นเรื่องราวต่อจากตอนสิบห้า จำได้รึเปล่าครับว่าตอนก่อนจบยังไง มา ผมจะช่วยเท้าความในสามบรรทัดเอง
ตอนสิบห้าซีเคร็ทถูกพวกพระเอกจับตัวมาเพื่อเปิดใบหน้าของมิสเตอร์เอส ทำให้เขากรีดร้องเสียงหลงปวดหัวแทบระเบิด ระหว่างนั้นองค์กรก็บุกเข้ามาโดยอาศัยจังหวะชุลมุนนั้นลักพาตัวซีเคร็ทกลับ!
ฉะนั้นฉากแรกในตอนสิบหก จึงเปิดมาด้วยตัวผม หรือซีเคร็ทที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวขององค์กร เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่หมดราวชุดคนป่วย ใบหน้าซูบซีดโรยแรง คล้ายจะมีอาการปวดศีรษะเป็นระยะ แต่พยายามเก็บอาการเพราะเบื้องหน้าคือชายชุดดำที่พร้อมจะจับผิดและคาดคั้นความจริง
“ผมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว” ซีเคร็ทเอ่ยเสียงเรียบ
“แน่ใจหรือว่าหมดแล้ว” ชายชุดดำถามย้ำ
“หมดแล้วครับ” ซีเคร็ทตอบ ก้มหน้าหลบสายตา เพราะชายตรงหน้าคือหนึ่งในสมาชิกหลักขององค์กรซึ่งมีอำนาจมากพอจะสั่งฆ่าได้ทันทีหากเผยพิรุธ “พวกเขาจับตัวผม และบอกว่าผมคือมิสเตอร์เอส เรื่องทั้งหมดมีแค่นั้นจริงๆ”
ความเงียบเข้าแทรกระหว่างทั้งคู่ ก่อนชายชุดดำจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกับการสอบสวนนักโทษ
“แล้วเธอคิดยังไง”
“ผมคิดว่า...เป็นเรื่องเหลวไหล” ซีเคร็ทตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยากจับผิดว่าโกหกหรือพูดความจริง “ผมคือซีเคร็ท”
ความเงียบเข้าแทรกอีกครา หากสังเกตดีๆ จะพบว่าแผ่นหลังของซีเคร็ทนั้นชื้นไปด้วยเหงื่อที่หลั่งออกมาจากความประหม่า โชคดีที่เขาหันหน้าเข้าหาชายชุดดำจึงปกปิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายได้อย่างปาฏิหาริย์
“ดี” ชายชุดดำพยักหน้าอย่างพอใจ กวาดตามองแฮกเกอร์เบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยทิ้งท้าย “เธอเพิ่งถูกจับตัวไป คงจะตกใจมาก หัวหน้าสั่งให้งดปฏิบัติภารกิจชั่วคราว ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสพักผ่อนและรักษาตัวให้ดี”
“ครับ”
แม้ตอบรับกับรางวัลปลอบโยน แต่ซีเคร็ทรู้ดี...
ประโยคนั้นไม่ต่างกับคำสั่งขังคุก ชายตรงหน้าไม่เชื่อใจเขา ไม่เชื่อว่าเขาจะยังเป็นซีเคร็ทที่จงรักภักดีต่อองค์กร
เด็กหนุ่มรอจนฝีเท้านั้นเดินจากไป ใบหน้านิ่งสงบอยู่เสมอจึงค่อยๆ เผยความรู้สึกออกมา
สองมือสั่นระริกค่อยๆ ทาบทับดวงตาเพื่อเก็บกลั้นความในใจ
เขา...ได้ความทรงจำคืนกลับมาแล้ว
นับตั้งแต่เห็นใบหน้าของมิสเตอร์เอส ภาพความทรงจำก็แล่นริ้วพุ่งเสียดเข้ามาจนเจ็บร้าว ก่อนจะทะลักล้นเสียจนยากปะติดปะต่อ แม้ตอนนั้นจะหลุดร้องออกมาด้วยความทรมาน แต่ยามนี้...เขากลับใช้คำว่าทรมานมาบรรยายไม่ได้
ความทรงจำที่หวนคืน มาพร้อมความรู้สึกที่ท่วมท้นในอก
เพียงนึก...สองมือพลันกำแน่น ซุกหน้านิ่ง อยากจะร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตา
เพราะความจริงที่ปรากฏมานั้น...คือสิ่งที่เขาไม่ควรพูดออกไป!
ห้ามบอกใครเด็ดขาด
ห้ามบอกใคร...ว่าเขาคือมิสเตอร์เอส!
ถ้าพูด ตัวเองคงไม่พ้นถูกกำจัดทิ้ง ดีไม่ดี อาจจะถูกใช้เป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับสหาย เพราะจนถึงตอนนี้ สองคนนั้นก็พยายามจะควานหาตัวเขา ยอมเสี่ยงจนถูกองค์กรบุกบ้านหลังใหม่เสียจนราบเป็นหน้ากลอง
มันคุ้มแล้วหรือ...
ซีเคร็ท ไม่สิ มิสเตอร์เอสเผยยิ้มบางที่ขมขื่น เป็นยิ้มที่ควรเรียกว่าคือการแย้มยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่แฝงความประชดประชันตนเองและเผยความทุกข์ตรม หลังสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็ลองนึกทบทวนไปยังจุดพลิกผันของเรื่องราวทั้งหมด ว่าทำไมตนถึงมาอยู่ในองค์กร ถูกปลูกฝังถึงคำสั่ง ถูกสั่งให้จงรักภักดี
เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
น่าแปลก เพราะเขาไม่มีความทรงจำในช่วงนั้นเลย ไม่อาจรับรู้ว่าตนถูกพาตัวมาล้างสมองอย่างไร ราวกับว่าถูกสีขาวสาดเท ไม่เหลือร่องรอยให้สืบค้น
มิสเตอร์เอสจดข้อสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะค่อยๆ ไล่เรียงเรื่องราวนับตั้งแต่ความจำเสื่อมอย่างเชื่องช้า
เริ่มจากอัครเดชและธนัท...สองเพื่อนซี้ที่ถูกตัวเขาตอนเป็นซีเคร็ทเล่นงานไม่น้อย จนสุดท้ายต้องลากพายมาช่วย ถึงอย่างนั้นก็ทุลักทุเลเกินทานทน ต้องพ่ายแพ้ไปหลายครั้ง หลบหนีหลายครา บาดเจ็บบ้างประปราย หนักสุดคือเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง
ให้ตายเถอะ...
ส่วนลึกในใจอยากให้เพื่อนทั้งสองล้มเลิกการพาตัวเขากลับ แต่มิสเตอร์เอสรู้ดี ว่าหากเปลี่ยนเป็นอัครเดชหรือธนัทที่ถูกพาตัวไปล้างสมอง เขาก็ไม่มีวันอยู่เฉยเด็ดขาด
แต่ว่า...
มือขาวยกมือป้องตาจากแสงไฟในห้อง ใบหน้าเผยความกลัดกลุ้มจนรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“เครื่องติดตามตัวบัดซบ”
นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในฐานะของซีเคร็ท เขาไม่เคยได้รับความไว้ใจจากองค์กร เครื่องติดตามตัวถูกฝังในร่างโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่อาจรู้เลยว่าตำแหน่งใด และมีลูกเล่นซ่อนไว้หรือไม่ หากผ่าตัดออกมาไม่ถูกวิธี จะรับประกันได้หรือว่าตัวเขาจะปลอดภัย
มิสเตอร์เอสไม่กลัวความตาย
แต่ที่กลัว...คือการพาพวกพ้องตกตายตามกัน!
ตัวเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากระเบิดเวลา
ไม่สามารถกลับไปที่แห่งนั้นอีกแล้วในที่สุด มิสเตอร์เอสก็ตัดสินใจได้
หลังทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด เข้าใจและรับรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป มิสเตอร์เอสพลันกดปุ่มติดต่อภายในเพื่อขอคุยกับชายชุดดำ
“มีอะไร ซีเคร็ท”
เดิมทีมิสเตอร์เอสไม่ใช่คนชอบพูด แต่กับซีเคร็ทนั้นถูกสั่งให้ตอบทุกคำถาม และรายงานทุกอย่างแก่องค์กร
“ผมนึกเรื่องสำคัญออกครับ แฮกเกอร์ของฝ่ายนั้น ผมรู้ว่าเขาคือใคร”
จุดแข็งของพวกอัครเดชในตอนนี้คือพาย เพราะแม้จะเสียท่าให้ซีเคร็ทหลายครา แต่การมีแฮกเกอร์มือฉมังรวมกลุ่มด้วยย่อมทำให้เส้นทางการหลบหนีและขอความช่วยเหลือเป็นไปได้ง่ายดาย ทางองค์กรจึงพยายามจะเล่นงานพายหลายครั้ง ทุกครั้งฝ่ายนั้นมักไหวตัวทันและเป็นฝ่ายถอนตัวไปก่อน ประวัติความเป็นมาของพายลึกลับไม่ต่างกับมิสเตอร์เอส แฮกเกอร์ทั้งสองแฮกข้อมูลตัวเอง ลบรูป ลบตัวตน ลบทุกสิ่งทุกอย่างในโลกออนไลน์
ฉะนั้นการที่ซีเคร็ทพูดประโยคนี้ออกมา จึงไม่ต่างกับการหักหลังพวกพ้อง ทำลายข้อได้เปรียบนั้น
นี่คือการวัดใจ คือการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนจากคนในองค์กร คือการขายคนเพื่อแลกกับอิสรภาพ
ชายชุดดำเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะบอกให้เตรียมตัว เพราะกำลังส่งคนไปรับมายังห้องประชุม
เสียงปลดล็อกดังขึ้น ประตูเปิดออกเชื่องช้า มิสเตอร์เอสค่อยๆ เงยหน้า มองเส้นทางที่เลือกเดินด้วยความมุ่งมั่นอย่างเตรียมใจ
คราวนี้ล่ะ...เขาจะ...
“คัต!”
ผมสะดุ้งเฮือกอย่างรุนแรงเมื่อถูกขัดอารมณ์กะทันหัน ต้องหลับตาทำสมาธิเสียใหม่จึงจะกลับเป็น ‘จิระ’ ไม่ใช่ ‘ซีเคร็ท’ แต่พอหันไปมองผู้กำกับ ผมก็ลอบผวาในใจ เพราะฉากเปิดตัวของตอนสิบหกนี้เทคใหม่เป็นรอบที่เจ็ดเข้าไปแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ถ่ายฉากอื่นตามกำหนดการเลยด้วยซ้ำ
กับซีรีส์ที่ถ่ายไปฉายไปโดยมีตุนล่วงหน้าเพียงสี่ถึงห้าตอน การถ่ายทำล่าช้าคือความหายนะอย่างแท้จริง
“จิระ เราเผยแววตาพร้อมทรยศองค์กรมากเกินไปแล้ว ในฉากนี้ต้องเก็บสีหน้าแววตาให้ดีเพราะกำลังหลอกศัตรูอยู่นะ เราจะต้องเล่นเป็นซีเคร็ทเพื่อให้ได้รับความวางใจจนได้ปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง ฉันหมายถึง เราต้องเล่นเป็นมิสเตอร์เอส ที่สวมหน้ากากของซีเคร็ทอีกชั้น เพื่อแอบเอาข้อมูลขององค์กรส่งให้เพื่อนๆ และแอบเปิดทางให้พวกเขาโจมตีองค์กร”
“ผมรู้ครับ...” ผมรับยาดมจากพี่ช่างแต่งหน้ามาดมเพื่อเสริมสร้างพลังใจ “แต่ฉากนี้มิสเตอร์เอสไม่มีคำพูดเลย ผมกลัวว่าหากไม่แสดงออกชัดเจนจะทำให้คนดูเข้าใจผิดว่ามิสเตอร์เอสคิดเข้าพวกกับองค์กรเพื่อเอาตัวรอด...”
“ตัวบทน่ะจงใจทำให้ดูสับสนแบบนั้นอยู่แล้ว แต่การกระทำหลังจากนั้นของมิสเตอร์เอสจะค่อยๆ ทำให้คนดูเข้าใจเอง เราไม่ต้องยัดเยียดคำตอบที่เป็นรูปธรรมลงไปมากนักหรอก ทำแบบนั้นไม่ต่างกับการแปะป้ายบนหน้าผากว่า ‘ฉันจะทรยศแล้วนะทุกคน’ คนดูเขาคิดเองได้”
“ครับ...”
“แล้วอย่าลืมใส่ความลำบากใจของมิสเตอร์เอสลงไปด้วย หนักแน่นแต่เปราะบาง ไม่เผยพิรุธแต่คนดูอยากเอาใจช่วย ใส่ความอ่อนแอลงไปแต่ไม่มาก ขมขื่นอยู่ในอก จุกปากแต่ไม่แสดงออกมา เป็นทั้งมิสเตอร์เอส และเป็นทั้งซีเคร็ท”
“...”
ใครเข้าใจคำพูดของผู้กำกับผมให้ล้านหนึ่งเลยเอ้า!!
ผมดมยาดมเพื่อบรรเทาอาการปวดตุบของขมับ ตั้งแต่เข้ากองมานี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมตีความไม่ตรงตามความต้องการของผู้กำกับจนต้องเทคใหม่หลายครา จะบอกว่าผมไม่เข้าใจในตัวซีเคร็ท...ก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจในตัวมิสเตอร์เอสถึงจะถูกกว่า
ก็ซีซันแรกจิตรินเป็นคนแสดง
แล้วผมจะไปตีความได้ยังไงกันล่ะปัดโธ่!
ความจริงข้อนี้ไม่สามารถระบายออกมาให้ใครฟัง มองไปมองมาก็คล้ายกับสถานการณ์ของมิสเตอร์เอสในเรื่องไม่เลว เสียก็ตรงที่ผมต้องรับบทเป็นเขา แล้วเล่นเป็นซีเคร็ทอีกต่อ ซ้อนในซ้อน ซวยในซวย ผมล่ะกลุ้มแท้
“ลองอีกครั้งนะจิระ”
“ครับ!”
ผมเริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่ตอนกดปุ่มติดต่อกับชายชุดดำ โดนคัตแล้วคัตอีก จะไม่ว่าเลยหากทั้งหมดเป็นเพราะผมเล่นไม่ดี แต่มันไม่ใช่ เพราะผู้กำกับบอกว่าผมเล่นดี แต่ไม่ลึกพอ!!
แล้วต้องให้ลึกขนาดไหน...ต้องดำน้ำชมปะการังเลยมั้ย ขนาดตัวเขาเองยังหาคำจำกัดความเหมาะๆ ไม่ได้เลย!!
“ผมนึกเรื่องสำคัญออกครับ แฮกเกอร์ของฝ่ายนั้น ผมรู้ว่าเขาคือใคร”
“ดีมากซีเคร็ท ฉันจะให้คนไปรับนายมาเดี๋ยวนี้”
เสียงปลดล็อกดังขึ้น ประตูเปิดออกเชื่องช้า มิสเตอร์เอสค่อยๆ เงยหน้า มองเส้นทางที่ทอดยาวด้วยความนิ่งสงบ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางที่เลือกเดิน...
“คัต!”
ทั้งกองพร้อมใจกันเงียบเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้กำกับ
“ดีมากจิระ ผ่านแล้ว เตรียมฉากต่อไปได้เลย!”
“ครับ!” เสียงขานรับดังจากหลายทิศทาง ทั้งจากทีมงานเบื้องหลังรวมทั้งตัวนักแสดงอย่างผมซึ่งหลุดพ้นอาถรรพ์การเทคสักที ทุกคนในกองพากันวิ่งวุ่น เพราะกำหนดเวลานั้นเลยจากที่ควรจะเป็น ในเมื่อไม่มีใครได้พัก แม้ผมจะเหนื่อยล้าแสนสาหัสจากการเคี่ยวกรำจนหดหู่ไปทั้งใจ ก็ได้แต่นั่งท่องบทเพื่อเตรียมถ่ายต่อทันที
“ไหวนะ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว” ผมตอบเตโชที่สบโอกาสเข้ามานั่งใกล้ผมพร้อมยื่นช็อกโกแลตแท่งให้ สล็อตผู้หิวโหยนั้นนอกจากจะรู้ว่าตัวเองชอบกินอะไรแล้วยังเผื่อแผ่มาถึงผมด้วย เขามักจะซื้อของกินที่ชอบในช่วงเวลาที่ใช่เสมอ
เพราะตอนนี้ผมเครียดจนจุกไปหมด ให้กินข้าวคงไม่ไหว แต่ของหวานคือยอดเยี่ยม!
ความจริงแล้วกองเช็กเมทไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา เพราะกลัวว่าจะมีการหลุดสปอยเข้า แต่เตโชถือสิทธิ์นักแต่งเพลงจากโปรเจ็กต์ใหญ่ของบริษัท อีกทั้งสงบปากสงบคำ เดินเอื่อยไปเฉื่อยมาเหมือนวิญญาณเร่ร่อนไร้ตัวตน ทุกคนจึงพยายามมองข้ามเวลาเขาชวนผมคุยทั้งที่เป็นช่วงซ้อมบท
เมื่อเห็นฉากใกล้พร้อม ผมก็รีบกินช็อกโกแลตแท่งจนหมดก่อนจะยิ้มยิงฟันให้เตโชดูว่ามีเศษขนมติดรึเปล่า คนหน้ามึนไม่ตอบอะไรนอกจากยกนิ้วโป้งให้ ผมเลยพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่น
“พร้อมนะจิระ”
“พร้อมครับ”
การเผยข้อมูลของพายทำให้มิสเตอร์ได้รับความไว้วางใจอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้รับภารกิจนอกสถานเหมือนเคย คล้ายยังต้องการคุมตัวให้อยู่ในสายตา แต่การให้แฮกเกอร์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นถือเป็นโอกาสชั้นเยี่ยม เรื่องดำเนินไปโดยที่มิสเตอร์เอสพยายามสวมบทบาทของซีเคร็ทที่จงรักภักดีต่อองค์กร ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็ปฏิบัติตามคำสั่งไม่บกพร่อง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าทุกครั้งที่มิสเตอร์เอสได้แตะคอมพิวเตอร์ในองค์กรนั้นแอบสร้างไวรัสที่ค่อยๆ แพร่กระจายในระบบอย่างเชื่องช้า
ทุกการกระทำไม่รีบร้อนและรีบเร่ง เพราะมิสเตอร์ไม่มีความคิดที่จะกลับไปหาพวกพ้องแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่ง...ได้รับภารกิจนอกสถานที่อีกครั้ง!
“คัต!”
การถ่ายทำในวันนี้จบลงจนได้ บทซีเคร็ทนั้นยังไม่สู้มิสเตอร์เอสที่วางกับดักใต้จมูกคนทั้งองค์กร บรรยากาศในตอนสิบหกจึงเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกน่าหวาดหวั่น และไอ้ความตึงเครียดแสนหนักหน่วงนี้ย่อมส่งผลกระทบกับนักแสดงอย่างผมโดยตรงจนเหมือนเปื่อยไปทั้งตัวทั้งใจทั้งที่ไม่ได้เล่นบทบู๊ล้างผลาญอะไรเลย
ซีรีส์เช็กเมทเป็นแนวสืบสวนแอคชั่นแท้ๆ แต่ไหงพอผมรับบทนำถึงกลายเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญซะได้!!
คำถามที่ไม่มีใครตอบ ผมได้แต่ลากสารร่างไปเปลี่ยนเสื้อเตรียมกลับห้องอันแสนสุข เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า รีบเข้ากองเพื่อถ่ายทำฉากเผชิญหน้ากับอัครเดช ธนัท และพาย
ก็หวังว่าการมีนักแสดงหลักมาร่วมด้วยจะทำให้ผมได้พักบ้างอะไรบ้าง
“เหนื่อยโคตร” ผมบอกกับเตโชทันทีที่เรานั่งอยู่ในรถ พอไม่ต้องระวังสายตาใครก็ทำตัวเปื่อยเหลว ไหลไปพิงกับไหล่ของเขาอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะบังคับคอให้ตั้งตรง “ขอพักสายตาหน่อย”
เตโชนั่งนิ่งอย่างว่าง่าย แถมยังถดตัวลงจากเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อให้ผมพิงสบายๆ แต่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศและเสียงเครื่องยนต์ทำให้ผมไถศีรษะตัวเองบนบ่าเขาไปมาอย่างนึกรำคาญ
“ชวนคุยที”
“อยากกินทอดมันกุ้ง”
ผมลืมตาข้างหนึ่งเพื่อเหล่มองคนหน้ามึนโดยเฉพาะ
“เล่นมุก?”
“ทอดมันปลาก็ได้”
...บางทีก็ยากจะแยกแยะจริงๆ ว่าเตโชกำลังพูดเล่นหรือพูดจริง
“ชวนคุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ของกินสิ” ผมหลับตา ขยับตัวขยุกขยิกอีกครั้งก่อนจะหาตำแหน่งเหมาะๆ ในการหนุน
เตโชตัวอุ่นมากๆ เลยผมเริ่มเคลิ้มกับความเงียบ กับความสบาย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆ คนหน้ามึนพูดแทรกขึ้นมา
“แต่งเพลงไม่ออก”
แถมยังเป็นหัวข้อชวนหนักอก!
ผมผละจากไหล่เขา เงยมองเตโชว่าพูดจริงหรือโกหก
“พูดจริง” เตโชอ่านใจผมได้ดีเยี่ยมจนน่าขนลุก แต่ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก เพราะที่กำลังอึ้งทึ่งอยู่นี้คือประโยคน่าตะลึงก่อนหน้านั้นต่างหาก
“ทำไมล่ะ ปกตินายแต่งเพลงเร็วจะตาย” ผมถามสงสัย ยังจำเรื่องราวสุดรันทดของแชมปิญองและเข็มทองได้แม่นไม่มีวันลืมชั่วชีวิต “เจออะไรก็แต่งได้ทันทีไม่ใช่เหรอ”
“นั่นอยากเล่า อยากร้อง”
“แล้วไม่อยากร้องเพลงของฉันรึไง”
ผมถลกแขนเสื้อขึ้นเตรียมลุย ก็ฟังที่เขาพูดสิ นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ!
“เพราะอยากร้องถึงรับงาน” เตโชอธิบายเสียงเอื่อยไม่รู้สา ราวกับว่าอารมณ์เกรี้ยวกราดของผมเป็นเพียงลมพัดมาและผ่านไป
“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน” ผมถกแขนเสื้อลงเพราะเริ่มหนาว ก็เล่นจอดรถแช่นิ่งๆ ไม่ได้ขับไปไหนนี่หว่า
“แต่งเพลงตามคำสั่งไม่เป็น”
“แล้ว?” คุยกับเตโช ต้องคอยถามคอยจี้ประเด็นตลอดเขาถึงจะยอมเปิดปาก
“ค่ายเคยกำหนดหัวข้อให้ แต่ทำไม่ได้”
วินาทีนั้น ผมได้แต่มองเขาด้วยสายตาเวทนาอาดูร
โธ่...พ่อหนุ่มน้อย ความอินดี้ของนายทำพิษแล้วสินะ“แล้วรับงานทำไม เพลงของฉันจะเสร็จมั้ยเนี่ย” เพิ่งมาตระหนักว่าความซวยมันตกที่ตัวเองนี่หว่า หากเตโชแต่งไม่เสร็จตามกำหนด เห็นทีโปรเจ็กต์นี้คงตัดเพลงของมิสเตอร์เอสออก...ไม่นะ!!!
“เสร็จสิ”
“งั้นเสร็จถึงไหนแล้ว” ผมถามสวนทันควัน ขมวดคิ้วเคร่งเครียด แถมกระชากคอเขาแกมขู่กรรโชกด้วย
“30%”
...มือที่ขยำคอเสื้อตกแผละกับตักของเตโช หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะคาดหวัง
เดดไลน์ใกล้เข้ามาทุกที แต่หมอนี่กลับแต่งได้ไม่ถึงครึ่งเพลง
จบกัน!!
“เสร็จทันแน่” เตโชจับมือผมบังคับให้กำเป็นหมัดหลวมๆ “สู้”
“สู้อะไรของนาย” ผมมองเขาอย่างละเหี่ยใจ สิ้นหวังขนาดชวนต่อยกันเลยเหรอ ถ้าต่อยเขาฝ่ายเดียวน่ะยินดี แต่เตโชดันกำหมัดยื่นมาข้างหน้าด้วย ผมไม่อยากมีรอยช้ำบนหน้าตอนเข้ากองวันพรุ่งนี้นะ!
“สู้ด้วยกัน”
ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ต้องพยายามตีความอยู่นานก่อนจะถึงบางอ้อ
สู้ด้วยกันของเตโชไม่ใช่การชวนไปต่อยตีหาเรื่อง แต่คือคำให้กำลังใจ เพราะผมกับเขาในตอนนี้...ต่างตกในสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนที่มีเวลาบีบคั้น
มองหมัดที่ยกค้างของเตโช มองหมัดหลวมๆ ของตัวเอง ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะชนหมัดเบาๆ พร้อมกล่าวในใจว่าสู้โว้ย
พอได้ทำอะไรบ้าๆ ความหนักอึ้งในใจคล้ายจะเบาลงชอบกล
เหมือนแบ่งให้เตโชแบกรับ ไม่สิ เหมือนพวกเราต่างช่วยกันประคับประคองต่างหาก
“ฉันน่ะไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ” ด้วยบรรยากาศพาไป ผมเลยถือโอกาสระบายความในใจซะเลย “ตอนแรกที่รับเล่นเรื่องนี้นึกว่าเป็นสายลับเท่ๆ แต่ไหงกลายเป็นแนวดราม่าหน่วงหนึบซะเฉย จะบ้ารึไง เปลี่ยนอารมณ์เรื่องไม่บอกกันก่อนเลย!”
“จิระเก่ง”
“ขอบใจที่ชม” ผมไม่ลืมที่จะยกยอตัวเอง เพราะพอได้พูด ทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาทันที “อารมณ์ของมิสเตอร์เอสมันลึกเกินไป ตีความหลายตลบจนฉันเองก็เริ่มงงว่าควรจะแสดงออกแบบไหน ตอนเล่นเอ็มวีของนายยังมีหัวข้อกำหนดมาว่า ‘คนอกหัก’ สามคำ เข้าใจง่าย และตรงประเด็น แต่เรื่องนี้มัน...”
ผมยิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออกเมื่อกล่าวประโยคต่อไป
“ให้ตายสิ นายทำตามสั่งไม่ได้ ส่วนฉันดันอยากได้คำที่มันชี้ชัดแจ่มแจ้ง!”
ชักจะปวดหัวขึ้นมาตุบๆ พวกเราสองคนจะแตกต่างกันเกินไปมั้ย ถ้าพระเจ้าแบ่งความอินดี้ของเขาให้ผมสักหน่อย แล้วแบ่งความเอาจริงเอาจังของผมให้เตโชบ้าง พวกเราคงเป็นมนุษย์ที่สมประกอบกว่านี้
“จิระทำได้”
“ได้กับผีน่ะสิ” คำพูดพ่นออกจากปากก่อนความคิดซะอีก ผมถลึงตาใส่เตโช มองคนหน้ามึนที่ยกหมัดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้คงไม่ได้จะท้าต่อยหรอกใช่มั้ย...
“ชนหมัดแล้ว ห้ามกลับคำพูด”
“รู้แล้วน่า” ผมดีดนิ้วใส่กำปั้นของเตโชเพราะหมั่นไส้ ผลคือทำเอง...เจ็บเอง...จนต้องกุมนิ้วน้ำตาซึม “สู้ให้ตายกันไปข้าง”
“ดีเลย ตายด้วยกัน”
“ใครจะไปอยากตายกับนาย ไอ้บ้า” ผมผลักไหล่เขา ก่อนจะคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยจะได้รีบกลับห้อง เตรียมทำทอดมันให้ใครบางคนสักที
เห็นผมยุติบทสนทนากะทันหันด้วยความเกรี้ยวกราดเบาๆ เตโชเลยกลับไปตั้งใจกับการขับรถ บรรยากาศตกในความเงียบโดยที่ผมขยับตัวขยุกขยิกไม่ยอมหยุด
มันไม่ควรจะจบเอาดื้อๆ อย่างนี้สิสุดท้ายก็ทนความอัดอั้นใจของตัวเองไม่ไหว เอ่ยออกมาเสียงเบาหวิวปานกระซิบ
“สู้ๆ นะเตโช”
คนหน้ามึนเงยมองผมอย่างประหลาดใจ แต่แล้วไงผมไม่หันไปสบตาเขาซะอย่าง ดูข้างทางสิ ดูต้นไม้สิ ดูท้องฟ้าสิ อา...วันนี้อากาศดีจังเลย
คล้ายจะเห็นเงาสะท้อนจากกระจกรถว่าคนหน้ามึนกำลังคลี่ยิ้มจาง
“สู้ๆ จิระ”
ผมแสร้งเป็นไม่ได้ยิน
และแน่นอนว่าทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มของตัวเองบนกระจกด้วย
--------
เตโชเป็นคนมึนที่น่ารักมั้ยคะ
เราว่าถ้าเตโชไปอยู่กับจิตรินเนี่ยก็คงไม่รอด คงโดนแย่งพูดหมดจนถูกลดบทให้จืดจางเหมือนเสี่ย (ฮา) แต่พอมาอยู่กับจิระแล้ว ได้เถียงกัน โต้กัน เฮฮากันอย่างพอเหมาะพอดี ทั้งคู่มีส่วนที่ต่างกันมาก แต่เพราะอย่างนั้นถึงอยู่ด้วยกันได้ เราชอบความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้นะคะ มันซึมซาบทีละนิดดี ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เพจนักเขียนที่รู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนสิบสี่อีกครั้ง #จิระผู้เกรี้ยวกราด