Round 18... “มึงเลิกหนีปัญหาได้แล้วมาร์ช!” ผมตะโกนตามหลังมันไปจนอีกฝ่ายสะดุดกึก
“หึหึ....หนีปัญหาเหรอ” มันค่อยๆ หันหลังกลับมาหาผม
“มึงกล้าพูดนี่ ในเมื่อมึงไม่ได้มาเจออย่างกู!” ไอ้ตัวแสบเดินดุ่มๆ เข้ามาหา ตะโกนเสียงดัง ชี้นิ้วใส่หน้าผม
“ก็ใช่ไงล่ะ! กูถึงอยากเจอพร้อมกับมึง!”
มาร์ชอึ้งเงียบไปชั่วขณะ...กัดริมฝีปาก กำมือแน่น
“…กูไม่ต้องการ”
“แล้วเมื่อคืนมึงมาหากูทำไม…”
“…..”
“มาร์ช…ถ้ามึงไม่ต้องการกูจริงๆ ทำไมมึงถึงเล่าเรื่องราวของครอบครัวมึงให้กูฟัง” ผมพยายามพูดไล่ต้อนให้อีกฝ่ายยอมรับความรู้สึกตัวเอง จะหาว่าหลงตัวเองก็ได้ที่คิดว่าไอ้มาร์ชมันเองก็แอบคิดแบบเดียวกับผม แต่ทุกอย่างมันส่อให้ผมคิดแบบนั้น และไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…ผมจะให้มันคิดแบบนั้นให้ได้
“…กูไม่รู้ มึงกลับไปเถอะ” มันหันหน้าเดินหนี พอดีกับที่สายตาผมเหลือบไปเห็นไอ้พี่แดนยืนกอดอกยิ้มเยาะอย่างสะใจอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน มันเดินเข้าไปหามาร์ช พูดอะไรกันสองสามคำแล้วก็โอบเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ
ภาพตรงหน้ายิ่งทำให้ผมเดือดดาล…หันซ้าย หันขวา…จึงตัดสินใจยกขาขึ้นปีนข้ามรั้วสูงนั่นเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งสองคนจะเห็น
“เฮ้ย! มึงจะทำอะไร!” เสียงไอ้พี่แดนตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นผมวิ่งเข้าไปจับตัวไอ้มาร์ชเอาไว้
“ซัน! ปล่อย!”
ผมไม่ฟังคำทัดทานของทั้งสอง ไอ้มาร์ชเองก็ดูตื่นตระหนกไม่แพ้กัน มันพยายามขืนแรงดึงไว้ โดยที่มีไอ้พี่แดนเข้ามาขวางกั้นกลาง แกะมือผมออกจากตัวไอ้มาร์ช มันทำท่าง้างหมัดจะชก แต่ก็ต้องลดมือลงเมื่อมีคนเข้ามาบังไว้
“มาร์ชหลบไป!”
“พี่แดน นี่เพื่อนผมนะ!” ไอ้ตัวแสบของผมหันหน้าไปประจันกับไอ้พี่แดนโดยที่มือยังจับกับผมอยู่
“เพื่อนรึอะไรกันแน่…เห็นตามตูดกันต้อยๆ ยังกับอะไรดี แล้วยังมาตามถึงที่นี่…อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนที่หายไปก็ไปอยู่กับมันมา”
“พี่แดน! พี่กำลังดูถูกผมและเพื่อนผมด้วย!”
“นั่นไง…แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย เพราะไอ้หมอนี่ใช่มั้ยมาร์ชถึงลังเลไม่ยอมจบเรื่องวุ่นวายนี่แล้วกลับอเมริกากับพี่สักที!”
“…เรื่องวุ่นวายงั้นเหรอ…สรุปทุกอย่างที่พี่ทำให้ผม มันคือเรื่องวุ่นวายสินะ..” ผมเห็นไอ้มาร์ชทำคิ้วขมวด แววตาเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดจนอดบีบมือมันแน่นขึ้นกว่าเดิมไม่ได้
“มาร์ช…คือ..พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วพี่หมายความว่ายังไง!” ไอ้มาร์ชเริ่มขึ้นเสียงดัง ผมมองดูมันท่าทางสติจะเริ่มหลุดลอย มันกัดฟันตัวเองจนสันกรามนูนเด่น…
ไอ้พี่แดนพยายามเดินเข้ามาประชิดตัวมาร์ช..แต่ผมรั้งตัวมันไว้กับอกตัวเอง จนสายตาของผมกับไอ้พี่แดนสบกัน จ้องกันอย่างเอาเลือดเอาเนื้อ…ผมไม่รู้ว่าระหว่าง 2 คนนี้มีความเป็นมาอย่างไร แต่เท่าที่ดูแล้วน่าจะสนิทกันพอสมควร แล้วเรื่องกลับอเมริกาอะไรนั่นอีก…จะกลับเหรอ มันจะกลับไปแล้วงั้นเหรอ..
แล้วการสนทนาของพวกเราสามคนก็หยุดลงพร้อมกับบรรดาเหล่าคนใช้ คนสวน 3-4 คนยืนมุงดูสถานการณ์ เสียงบีบแตรรถเสียงดังจากนอกประตูรั้วกระตุ้นให้คนเหล่านั้นรู้งานตัวเองอีกครั้ง สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกไปเปิดประตูรั้ว…รถเบนซ์คันใหม่เอี่ยมวิ่งเข้ามาในตัวบ้าน ประตูเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนสวมแว่นตากันแดดอันโต
“เกิดเรื่องอะไรกัน” เธอลดแว่นตาลงมองทีนึง
“แม่…ไอ้เชี่ยนี่มันจะมาเอาตัวมาร์ชไป” ไอ้ลูกแหง่แดนรีบฟ้องแม่ของมันทันทีจนผมหมั่นไส้
“พี่แดน…หมายความว่าไง ไหนจะไม่บอกอาทิพย์ว่าผมอยู่ที่นี่” ไอ้มาร์ชรีบเดินเข้าไปรั้งแขนไอ้พี่แดนเอาไว้ ทำหน้าตื่นตระหนก
“เงียบไปก่อนเรา พี่จำเป็นต้องทำ เรานั่นแหล่ะเรียกไอ้บ้านี่มาใช่มั้ย” ไอ้พี่แดนทำเสียงดุใส่
“เปล่า กูมาเอง” ผมรีบเสนอตัวบอกไอ้หมอนั่น..เรียกกูทั้งไอ้เชี้ยไอ้บ้า เดี๋ยวจะเจอดีนะมึง..
“เอาล่ะๆ บอกมาซิว่านี่มันอะไร เธออีกแล้วเหรอ…ไม่รู้จักเข็ดจักจำนะ มายุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่เรื่อย” อาทิพย์พูดขึ้นท่ามกลางการทะเลาะวิวาท แต่คำพูดของเธอเสียดแทงหัวใจผมซะจุก..
“แล้วก็เธออีกมาร์ช ก่อเรื่องไม่รู้จักจบจักสิ้นอย่างที่พ่อเธอบอกจริงๆ ด้วย…อาอุตส่าห์ให้ตาแดนเค้ามาช่วย จะได้ไม่ต้องโดนพ่อเธอทำโทษ ดูซิ ที่ไหนได้กลับพาเพื่อนมาโวยวาย อับอายขายขี้หน้าไปทั่ว เกรงใจอาบ้างมั้ย?” เธอโมโหฟึดฟัดแต่ยังคงวางมาดในแบบคุณนายเอาไว้พองาม
“ขอโทษครับ…” มาร์ชก้มหน้าก้มตาเอ่ย ดูท่าทางมันจะเกรงใจอาคนนี้ยิ่งกว่าพ่อมันเองเสียอีก
“เอาล่ะ จบเรื่องได้แล้ว” เธอเชิดหน้าขึ้น แล้วหันมามองผม
“ส่วนเธอ..ก็หมดธุระกับที่นี่แล้ว กลับไปซะ ไม่อย่างนั้นชั้นจะเรียกตำรวจ” แล้วเธอก็ชวนลูกชายสุดที่รักเข้าไปในบ้าน มันหันมายิ้มอย่างมีชัยให้ผมทีนึง ก่อนที่จะสั่งให้คนสวน 2 คน มาเชิญแขกออกจากบ้าน
“เดี๋ยว…” ไอ้มาร์ชพูดขึ้นห้ามชายสองคนนั้นที่มายืนค้ำหน้าค้ำหลังผมอยู่ให้ถอยออกไป สองคนนั้นยอมทำตามเพราะมันเองก็เหมือนเจ้านายคนหนึ่ง
“ไปเถอะ…เดี๋ยวส่งแขกเอง” มันพูดขึ้นแบบนี้ สองคนนั้นจึงยอมถอยออกไปทำงานของตัวเองตามเดิม
“มาร์ช…” ผมยกมือขึ้นจับต้นแขนมัน แล้วเรียกเบาๆ..
“กูขอโทษ” มันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผม …ขอร้องล่ะ..อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นได้มั้ย
“เรื่องอะไร”
“ทุกๆ อย่าง…เรื่องแก้ว เรื่องที่กูทำไม่ดีไว้กับมึง…หลายๆ อย่าง พูดวันนี้คงไม่หมด ฮะๆ” มันทำทีฝืนหัวเราะ ทั้งๆ ที่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้หัวเราะตามเลยสักนิด
“ขอโทษทำไม…กูไม่ได้ติดใจอะไรซักนิด” ผมบีบต้นแขนมันแน่นกว่าเดิม
“จริงอ่ะ…เห็นมึงตามกูเอาๆ กูนึกว่ามึงโกรธกูซะอีก ฮะๆๆ” มนยังพยายามหัวเราะอยู่แบบนั้น
“มาร์ช…” ตอนนั้นผมจุกจริงๆ ครับ ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้คุยกันแล้ว แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เรื่องที่อยากพูดอยากทำมันมีมากมายคับอก…แต่ทำไม…พออยู่ต่อหน้าคนๆ นี้แล้ว …คำพูดทุกอย่างกลับถูกกลืนกินไปหมด
“แล้วก็กูมีเรื่องจะสารภาพ…”
“เรื่อง?”
“กูไม่ได้มีอะไรกับแก้วหรอกนะ”
“หะ?” ผมเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่พูดขึ้นมาอีกที…
“กูพูดประชดมึงไปงั้นแหล่ะ มึงมันน่าหมั่นไส้ ไอ้ลักยิ้ม หึหึ” มันยิ้มซะน่ารักจนผมแอบใจเต้นแรงไม่ได้
“หึหึ หลอกกู” ผมอดหัวเราะตามมันไม่ได้ เพียงแค่มันยิ้ม..บรรยากาศรอบตัวก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เครียดมาแท้ๆ ส่วนเรื่องแก้ว ไม่อยากบอกว่าผมรู้นานแล้วล่ะว่ามันโกหก
“โง่..เชื่อกูเอง”
“ดูแลแก้วดีๆ นะ…แก้วเป็นคนดี…เพื่อนที่ดีคนเดียวที่ยอมมาคบกับคนเลวๆ อย่างกู…มึงก็หัดทำตัวให้มีน้ำยาซะบ้าง จะได้จีบแก้วได้ซักที” มันอมยิ้ม แต่น้ำตาคลอเบ้า
“กูคงจีบแก้วไม่มีวันติดแล้วล่ะ…” ผมพูดโดยที่มือละมาจากต้นแขนมัน เปลี่ยนมาเป็นจับมือนิ่มที่กำลังสั่นน้อยๆ นั่นแทน
“งั้นแดกแห้วไปละกัน หึหึ”
“คงงั้น…แต่กูจะไม่ยอมแดกแห้วอีกรอบแน่…” มันเงยหน้าขึ้นทำคิ้วขมวดแบบงงๆ น่ารักชะมัด…
“อะไร?” มันทำหน้ายุ่งเมื่อผมยกมือขึ้นลูบแก้มมันเบาๆ ผมหันซ้ายหันขวาดึงมันมาหลบตรงพุ่มไม้ใหญ่หน้าบ้าน…ใหญ่พอที่จะบังท่อนบนเราสองคนมิด
“มาร์ช เรื่องเมื่อคืน…”
“กูลืมไปแล้ว” มันรีบชิงพูดตัดหน้าผม
“มาร์ช…”
“กูตัดสินใจแล้ว…”
“เรื่อง?”
“กูจะจบเรื่องทุกอย่าง…ทุกอย่างที่มันวุ่นวายนี่เอง กูจะกลับวันมะรืนนี้” ผมแทบหยุดหายใจกับคำพูดนั้น…ไม่จริงใช่มั้ย
“ไหนบอกมาอยู่ 2 สัปดาห์…เวลาเหลืออีกตั้งเยอะ” ผมท้วง กำมือมันแน่น
“ช่วยไม่ได้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว…กูเหนื่อยแล้ว…เหนื่อย กูขอโทษที่ทำให้มึงวุ่นวายไปอีกคน…ขอโทษนะ” มันหรุบตาลงต่ำ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม ตาใสคู่นั้นมันคงแบกรับหยาดน้ำตาที่ไหลกลั่นออกมาเรื่อยๆ ไม่ไหว จนต้องปล่อยให้มันหยดลงมาเป็นสาย…รินตามแก้มขาวสองข้าง
“กูท้อ…กูทนไม่ไหวแล้วซัน…ปล่อยกูไปเถอะ”
“…กูไม่ให้มึงไป มึงเป็นของกูแล้วนะ” ผมแทบจะร้องไห้ตามมัน ยกมือสองข้างขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มแดงนั่นให้…
“เป็นได้ก็เลิกได้…กูก็ไม่รู้กูไปหามึงทำไม ถือซะว่าเป็นคู่นอนคั่วข้ามคืนละกัน ก็ดีนี่…ได้ประสบการณ์กับผู้ชายด้วยกัน มึงเองก็อยากไม่ใช่เหรอ…เป็นไงล่ะ ได้ปล้ำกูสมใจอยาก ชีวิตมีรสชาติดี ฮะๆ…แต่ชีวิตกูคงมีรสชาติไปมากกว่านี้มาได้แล้ว…ฮึก” มันหัวเราะไปพลางสูดน้ำมูกไปพลาง
“กูยอมรับว่ากูโกรธมึง โมโหมึงตอนแรกถึงบอกไปอย่างนั้น…แต่ตอนนี้…”
“พอเถอะ..ไม่ว่าจะเพราะอะไร มันก็ไม่มีความหมายสำหรับกูแล้ว”
“มาร์ช…”
“กูตัดสินใจแล้ว”
“มาร์ช…
กูรักมึง…
คำนี้ยังมีความหมายอยู่มั้ย”
คนตรงหน้าผมอึ้งไปชั่วขณะ…ผมก้มหน้าลงประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงสั่นนั่น…มันนุ่นนวลและเนิ่นนาน…แม้ว่าในตอนแรกอีกฝ่ายจะตกใจกับสัมผัสไปเล็กน้อย แต่ก็เริ่มเผยอริมฝีปาก ตอบรับแรงจูบของกันและกัน
นี่เป็นจูบแรกที่พวกเราได้ลิ้มรสและดื่มด่ำกับความหอมหวานของมันอย่างแท้จริง…
ผมยกมือขึ้นลูบคลึงท้ายทอยมันตามแรงจูบ…อีกมือก็โอบเอวให้มันเข้ามาชิดกันมากขึ้น ส่วนมาร์ชเองก็ยกสองมือขึ้นแนบแก้มผม…ไล้เบาๆ…เราจูบกันแล้วจูบกันเล่า เมื่ออีกฝ่ายจะผละออกจากกัน อีกฝ่ายก็ดึงกลับมาจูบกันอีกครั้ง…ราวกับว่าไม่ต้องการให้จากไปไหน
ทำไมกันนะ..ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาที่เราเจอกันมันช่างสั้น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเจอมันมานานแสนนาน เหมือนรู้จักกันมานานเป็นปี…และยังอยากที่จะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ผมอยากช่วยมัน ไม่ใช่เพราะความสงสาร ไม่ใช่เพราะความเห็นใจ แต่ผมทนเห็นมันเป็นแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากให้เรื่องราวของเราต้องจบทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
***TBC
ฟิตเข้าไป ฟิตเข้าไป
<< ตกใจตัวเอง 555555555555 (บ้า)
ย่องไปปั่นอีกตอน