Round 11 ครึ่งแรกผมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่หลังเบาะมาแล้วลงมือเช็ดคราบสีขาวขุ่นตามตัวผมและตัวมัน(เสียส่วนใหญ่) ไอ้ตัวแสบตอนนี้ก็นอนหอบหายใจรวยริน หน้าอกกระเพื่อมจากเร็วเป็นช้าตามแรงอารมณ์ที่มอดลง ผมมองคนข้างล่างที่ตอนนี้หน้าแดง เหงื่อโทรมกาย กับเสื้อเชิ้ตสีดำที่ถูกเลิกขึ้นสูงจนเผยให้เห็นหน้าท้องเนียนเรียบสีขาวนวล มีกล้ามเนื้อแต่พองาม
“มองอะไร” สงสัยผมจะเผลอใช้สายตาแทะโลมร่างกายมันนานไปหน่อย จนมันผิดสังเกต มองผมคิ้วขมวด
“…เปล่า อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวเช็ดให้” ผมเร่งมือเช็ดตามหน้าท้อง สายตาเหลือบไปเห็นบางส่วนที่ติดอยู่ตรงปลายคางอีกฝ่าย
“หึหึหึ โทษที นี่สงสัยของกู” ผมเอื้อมมือจะเช็ดคราบตรงหน้ามันให้ แต่ก็โดนปัดออกอย่างแรง
“ไม่ต้อง สาดดดเอ้ย แม่ง” มันเอามือตัวเองเช็ดหน้า เอาออกมาดูนิดหน่อยแล้วทำหน้าแหยง เอามือมาป้ายใส่เสื้อผมเฉย
“เฮ้ยๆ ไรวะ เปื้อนหมดเลย เช็ดดีๆ ไม่เอา”
“ลุกไปเลยมึง หนักจะตายห่า…แล้วก็…เก็บไอ้นั่นมึงด้วย ชี้หน้ากูอยู่ได้” ไอ้มาร์ชพูดหน้าแดงๆ แล้วผลักผมออก
อายดิครับ ยังมีอยู่นะยางอายเนี่ย ว่าแล้วผมก็ทำตามที่มันบอก ลุกขึ้นนั่งแล้วพยายามยัดไอ้ลูกชายที่ตอนนี้มันยังกรึ่มๆ อยู่ให้ลงไปใต้กางเกง แต่ไม่ทันจะทำอะไร ไอ้ตัวดีก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูรถออกไปยืดยัดลูกชายตัวเองเข้ากางเกง รูดซิปอย่างรวดเร็ว ออกแรงวิ่งหนีทันที เฮ้ยยยยย ให้กูพักหน่อยไม่ได้เหรอวะ แรงควายมาจากไหน วันนี้นี่กูตามมึงมาทั้งวันแล้วนะสาดดดดด
ทำเป็นบ่นไปงั้นแหล่ะครับ ยังไงผมก็ต้องรีบเปิดประตูรถแล้วตามมันไปทันที สงสัยมันจะได้ยินเสียงปิดประตูดังปังเลยหันขวับมาดู เห็นผมวิ่งตามไปติดๆ เลยยิ่งเร่งสปีด
แต่ไม่ทันไรเท้าของร่างโปร่งก็หยุดกึก เมื่อเผชิญหน้ากับคนร่างยักษ์ที่เปิดประตูออกมา
“ไอ้จัญไร!”
สิ้นเสียงคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ทั้งคู่ก็พุ่งเข้าใส่หากันทันทีแลกหมัดแลกเท้ากันอย่างหนักหน่วง ผมรีบวิ่งเข้าไปล็อกไอ้ยักษ์จากด้านหลังเมื่อท่าจะไม่ดีเพราะตอนนี้คนตัวเล็ก(กว่า)โดนเสยคางจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น
“เฮ้ย! เดี๋ยวมึงโดนจับแน่ กูเป็นตำรวจนะเว้ย!” ผมตะโกนบอกหมายจะให้มันหยุดลงมือ
“กูไม่เสียค่าโง่ซ้ำสองหรอกไอ้สัตว์! พวกมึงรวมหัวมาหลอกกูใช่มั้ย กูถามคนข้างในมาแล้ว แน่จริงมึงเอาตราตำรวจมาให้กูดูอีกทีเลย เชี้ยเอ้ยยย”
เวรละกู ความแตกแล้วโว้ยยย …มันไม่ทันด่าเสร็จก็ใช้แรงควายๆ สะบัดผมจนหลุดจากตัวม หันมาปล่อยหมัดใส่แต่ผมหลับทัน แต่หมัดสองนี่สิเข้าเต็มๆ ท้อง ผมล้มตัวลงกุมท้อง จุกจนตาเหลือกตัวงอ กะว่าตายแน่งานนี้ไอ้ซัน มันมากระทืบผมซ้ำตายคาตีนแน่ๆ …แต่ปรากฏว่ามีเสียง อั่กกก โครมมม แทน
ผมลืมตาขึ้นมามอง อ่าวววว ไอ้ถึกนั่นล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ซุกกองขยะ หน้าคว่ำนอนร้องโอดโอยกุมหัวตัวเองที่มีเลือดอาบ ผมเสสายตาไปมองข้างๆ…ไอ้มาร์ช! ในมือมันกำไม้ที่ขนาดพอๆ กับไม้หน้าสาม มีของเหลวสีแดงติดที่ปลาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาจากที่ไหน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ถูก
ในขณะที่ผมกำลังนั่งงงอยู่นั้น ไอ้มาร์ชก็เดินเข้าไปยำตรีนไอ้ยักษ์นั่นซะเละ คาดว่ามันคงหน้ามืดอย่างแรงแล้วครับ เพราะผมตะโกนบอกมันให้หยุด มันก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน จนกระทั่งผมได้ยินเสียงโวยวายจากอีกฝั่งของลานจอดรถ ตายห่ะ กลุ่มผู้ชายราวสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งไม้ มีด และปืน…ตอนแรกก็เดินมาทางพวกผม สักพักมันก็เริ่มเร่งฝีเท้า คงเห็นชัดแล้วว่าเกิดไรขึ้น
ผมตกใจขีดสุด ถ้าปล่อยให้พวกนั้นมาถึงตัวนี่ ต่อให้เป็นแมวเก้าชีวิตก็ไม่รอดครับ เลยตัดสินใจวิ่งไปล็อกตัวไอ้มาร์ชจากด้านหลังแล้วดึงมันออกมา กว่าจะห้ามมันได้ผมก็โดนลูกหลงจากศอกมันฟันเข้ามาเต็มๆ ที่คิ้วไปหนึ่งดอก รู้สึกปวดหนึบๆ จนชา แต่ไม่สนแล้วครับ ล็อกคอมันได้ก็ลากไปที่รถทันที ผมลนลานควานหากุญแจในกระเป๋าท่ากลางเสียงโห่ร้องให้ไล่ตามไอ้สองตัวนั้นไป พอเจอกุญแจก็รีบกดปลดล็อก เปิดประตูหลังผลักไอ้มาร์ชเข้าไปอย่างไม่ใยดีว่ามันจะหัวทิ่มหัวตำมั้ย แล้วก้าวขาพาตัวเองขึ้นรถ ปิดประตูกดล็อกรถ แล้วสตาร์ทวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนล้อเบียดคอนกรีตเป็นเสียงดังเอี๊ยด
“เฮ้ออออออ” ผมถอยหายใจยาวหลังจากที่มองดูกระจกหลังว่าไม่มีใครตามมาแล้ว
“แม่ง ลากกูมาทำไมวะ กำลังมันส์เลย” เสียงไอ้คนข้างหลังครับ มันน่าหมั่นไส้นัก รู้งี้กูน่าจะปล่อยให้โดนรุมตายซะตรงนั้น(แค่คิดครับ แค่คิด ยังเป็นคนดีอยู่)
“มึงไม่เห็นเรอะไง พวกมันมากันเป็นสิบ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเหอะวะโดนแบบนั้น”
“เหอะ…ใจเสาะว่ะมึง แค่นี้จิ๊บๆ”
มันลุกตัวขึ้นนั่งบนเบาะ ผมเงยหน้ามองกระจกส่องหลังดูมัน โห…หน้าเละเชียว ทั้งเบ้าตา ทั้งมุมปากเป็นสีแดง เสื้อเปื้อนฝุ่นยับยู่ยี่ ท่าจะเจ็บไม่น้อย มันหันหน้ามาส่องกระจก สายตาเลยพลันมาบรรจบกับผมพอดี
“มองไร” ผมทำหน้ากวนส้นใส่
“…ไปโรงบาลมั้ย”
“ไปทำไมฟะ แผลแค่นี้ เอาเบตาดีนหยอดเดี๋ยวก็หาย” เอิ่มมม คิดได้เนอะ ถ้ากระดูกส่วนไหนมึงเปราะเดี๋ยวกูช่วยเอาเบตาดีนหยอดปาก มันจะได้ซึมเข้าไปในเส้นเลือด แล้วไปช่วยเสริมสร้างกระดูกดีมั้ย (เกี่ยวกันตรงไหนวะ-*-)
“ตามใจ”
“มึงล่ะ เป็นไง คิ้วแตกเลือดอาบเชียว ฮ่าๆ” มันขยับตัวขึ้นมานั่งตรงกลาง แล้วยันตัวขึ้นมานั่งเอาแขนพาดเบาะหน้าไว้ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พอมันพูดผมเลยเอามือปาดของเหลวเหนือตาด้านซ้ายของตัวเองมาดู เฮ้ย เลือดจริงด้วย กูนึกว่าเหงื่อ ถึงว่าแสบตา ปวดหนึบๆ ชะมัด
“สาดดด ไม่ต้องมาหัวเราะเลยมึง เนี่ยฝีมือมึงล้วนๆ” ผมด่ามันแล้วหยิบทิชชู่ข้างประตูรถมาเช็ดเลือดออกเพราะมันเริ่มไหลมาเข้าตาจนมองไม่ค่อยเห็น
“อ่าวเหรอๆ ฮ่าๆๆๆ โทษทีว่ะ”
“แม่ง…”
มันยังหัวเราะไม่หยุด ท่าจะบ้า เกือบตายแล้วยังจะมาหัวเราะอารมณ์ดีซะขนาดนี้ เสร็จแล้วมันก็ล้มตัวลงพิงเบาะหลังยืดแขนยืดขาอย่างสบายใจจนผมเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
“มานั่งหน้านี่เลยมึง ทำเหมือนกูเป็นคนขับรถอยู่ได้” ฮึ่ย ยิ่งมันอารมณ์ดีผมยิ่งอารมณ์เสีย หงุดหงิด
“แล้วไม่ใช่เรอะไง คุณแท็กซี่”
“ห่านี่ เดี๋ยวกูจอดให้ลงตรงนี้ซะเลย” ผมขู่มันเพราะตอนนี้กำลังขึ้นทางด่วนครับ มึงลงได้ลงไป
“โอยยยย ใจร้อนจริง ชอบทิ้งกูให้ลงระหว่างอยู่เรื่อยเลยนะ”
มันพูดหยอกๆ แล้วลุกขึ้นข้ามมานั่งเบาะหน้าอย่างทุลักทุเลเพราะรถกำลังวิ่งเร็วและตัวมันก็คงช้ำอยู่ไม่น้อย ผมหันหน้ามามองมันทีนึงว่านั่งได้รึยัง ไอ้มาร์ชเลยหันกลับมามองแล้วยิ้มให้ …ใจผมหล่นวูบ ไม่รู้ทำไม…มันเหมือนสะดุดอะไรสักอย่าง ต้องรีบหันหน้าหนีเก็บอาการตัวเองทันที
“แล้วนี่จะไปไหน” มันถามหลังจากที่จัดแจงท่านั่งสบายๆ เรียบร้อยแล้ว
“กินข้าว หิว” ผมตอบตามความเป็นจริง ก็ในเมื่อมันไม่ไปโรงพยาบาล กูก็ขอไปเติมพลังงานหน่อยเหอะวะ ไม่ไหวแล้ว
“เฮ้ยๆ กูกินข้าวไม่ได้นะมึง เจ็บปากชิบหาย ไปกินข้าวต้มกันเหอะ” เวรนี่ เดี๋ยวนี้กล้าออกความคิดเห็น แต่ก็จริงครับ ท่าทางปากจะแตกไม่ใช่น้อย กินอะไรแข็งๆ ไม่ได้ไประยะนึงเลยล่ะ
“ร้านไหน” เฮ้ย แล้วทำไมตูต้องทำตามมันด้วยวะ
“เดี๋ยวกูบอกทางเอง”
เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาทีก็มาถึงร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ไอ้มาร์ชมันบอกว่าแนะนำ เพราะเป็นเจ้าประจำ ไอ้ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเป็นร้านข้าวต้มไฮโซชามละ 300 บาทตามสไตล์คุณชายใช้เงินมือเปิบอย่างมัน แต่ที่ไหนได้กลับเป็นร้านข้าวต้มธรรมดาข้างถนน ที่มีโต๊ะตั้งอยู่เพียง 5-6 โต๊ะ คนขายก็เป็นลุงกับป้าแก่ๆ สองคนเท่านั้น
“เอ้าๆ ไอ้ตี๋เอ้ยยย มาๆ หายไปนานเลย นั่งๆ” คุณลุงหรืออาแปะ(ตามที่ไอ้มาร์ชเรียก)ถือตะหลิวกวักมือชวนผมทั้งสองเข้าไปนั่งโต๊ะตัวในสุด
“ดีครับแปะ ผมเพิ่งกลับมาไทยน่ะ คิดถึงข้าวต้มฝีมือแปะสุดๆ” ไอ้มาร์ชยกมือไหว้แล้วเดินปรี่เข้าไปทักทายอย่างสนิทสนมจนผมแปลกใจ
“แล้วหน้าเอ็งไปโดนอะไรมากัน บวมเละจนปูดซะขนาดนั้น” เอ่อ แปะครับ พูดซะยังกะเป็นศพ - -
“ไม่มีไรแปะ เรื่องของลูกผู้ชายยยยย” ไอ้มาร์ชทำท่าจิ๊กโก๋หัวเราะเอิ้กอ้ากกับแปะสองคน ซึ่งบางครั้งผมว่าไม่ได้เข้ากับหน้าตามันเล้ยยย
แล้วเราสองคนก็เดินไปหย่อนตูดลงบนโต๊ะแบบพับสีแดงตัวเล็กคนละฝั่ง ไอ้มาร์ชลงมือสั่งเมนูอาหารอย่างเชี่ยวชาญโดยที่ไม่รอฟังความเห็นจากผมสักนิด แต่ก็เอาเถอะ ปล่อยมันไปครับ เพราะเป็นร้านที่มันแนะนำนี่ คงมีเมนูที่น่ากินไม่น้อย
ไม่นานเมนูอาหารกับข้าวต้มร้อนๆ ก็เสริฟพร้อมรับประทานบนโต๊ะครับ แต่ละอย่างถึงจะดูธรรมดาๆ ไม่หวือหวาแต่ก็ดูสะอาดน่ากิน อาจจะเป็นเพราะร้านเล็กๆ ดูอบอุ่นเป็นกันเองเลยทำให้บรรยากาศมันดูแช่มชื่นไปด้วย
“อะ...โอ๊ยย” ไอ้ตัวแสบร้องตอนตักข้าวต้มเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“กินระวังหน่อยสิ ควันฉุยขนาดนี้ก็รู้อยู่ว่าร้อน ไหนจะแผลในปากอีก” ผมหันไปหยิบทิชชู่มายื่นให้มัน
“โอยย ร้อน …เจ็บโว้ย ห่าเอ้ย” เอาเข้าไป กับถ้วยข้าวต้มมันยังด่าได้ - -
แล้วมันก็เห่าหอนทุกคำที่ตักข้าวต้มเข้าปาก เฮ้อออ บอกให้กินช้าๆ ก็โดนตะคอกกลับมาว่า คนมันหิว! เออ กูผิดอีก เวรของกรรม…ผมก็จ้วงๆ เอาเร็วไม่แพ้กันเพราะวันนี้เสียพลังงานไปเยอะ
หลังจากที่กินกันไปสักพัก ผมมองดูเศษที่เหลือในจานกับข้าว แล้วก็มองหน้าไอ้มาร์ช….จังหวะเดียวกับที่มันเงยหน้าจากชามข้าวต้มขึ้นมามองผมพอดี
เราสองคนตาประสานตา…
มันเองก็จ้องผมไม่ละ
จนผมอึดอัด….ทนไม่ไหว
วางช้อนลงกับถ้วยข้าวต้ม
แล้วพูดขึ้นมาว่า…
“ทำไมมึงไม่กินผัก”***TBC Tonight
