|| THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **  (อ่าน 18924 ครั้ง)

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ใจสลายอีกรอบ

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เสียใจ ฮือ  :m15:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เป็นเริ่องที่เดาอะไรไม่ได้เลย และไม่ควรเดาด้วย เบฟคือเด็กก็คือเด็กจริงๆ เสียสติสุดก็เบฟนี่แหละ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เบฟทำใจอยู่สักพักใหญ่ นั่งจดๆ จ้องๆ โทรศัพท์มือถืออยู่นานสองนานจนในที่สุดก็ตัดสินใจกดโทรหาผู้เป็นพ่อด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ มือไม้สั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย

// เจออุลแล้วเหรอ //

“เอ่อ… ครับ เจอแล้วครับ”

// อุลเป็นยังไงบ้าง ขอแด๊ดคุยหน่อย //

คำนี้แหละที่เบฟกลัว

“เอ่อ… แด๊ด ทำใจดีๆ ไว้นะ”

// เกิดอะไรขึ้นกับอุล เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม //

“เอ่อ… ป๊ะป๋าจากไปแล้วครับ”

// พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า อุลเนี่ยนะจะจากไปแล้ว มันหมายความว่ายังไง อย่ามาพูดจาติดตลกกับแด๊ดนะ //

เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ เบฟไม่กล้าจะเอามาเป็นเรื่องล้อเล่นได้หรอก ไออุ่นจากไปแล้วนั่นคือสิ่งที่เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมตั้งสติเตรียมรับมือกับคำต่อว่าที่อาจจะบั่นทอนจิตใจ

“ผมหมายความตามนั้นเลย ลานในตัวของป๊ะป๋ามันหยุดเดินไปแล้ว”

// โกหก! แกโกหกใช่ไหม! แกยังไม่เจอเขาแต่แกอ้างว่าเขาจากเราไปแล้วใช่ไหม! แกเห็นแด๊ดเป็นอะไร! //

“ผม… ไม่ได้โกหก”

// แกโกหก!! //

“ผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องโกหกแต่มันคือความจริง ถ้าแด๊ดไม่เชื่อก็มาดูให้เห็นกับตาตัวเองที่ร้าน”

ปลายสายเงียบไปสนิทจนเบฟใจคอไม่ค่อยดี

“แด๊ด อยู่หรือเปล่า”

ปลายสายก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบแต่เพียงไม่กี่อึดใจ เบฟถึงเพิ่งจะได้ยินเสียงตอบกลับ น้ำเสียงฟังไม่สู้ดีเท่าไรนัก

// ตั้งแต่เมื่อไร อุลจากเราไปตั้งแต่เมื่อไร //

“เมื่อวานครับ”

// เมื่อวาน? //

“ครับ”

// อุล… ได้พูดอะไรไหม //

“ไม่ครับ บอกแค่ว่ามันถึงเวลาแล้ว และก็ลาก่อน”

เป็นอีกครั้งที่สเตซี่เงียบไป

“แด๊ด…”

// อืม พรุ่งนี้จะเข้าไปหานะ //

“แล้วต้องบอกย่าไหม”

// เดี๋ยวแด๊ดบอกเอง //

“ครับ”

หลังจากที่วางสายจากสเตซี่ไป พีทก็แวะเข้ามาที่ร้านพร้อมด้วยของกินมากมาย เขาหวังจะเอามาปลอบใจให้หายเศร้าแต่ก็พอรู้ว่ามันคงจะไม่ได้ผลสักเท่าไร

“เบฟ เป็นยังไงบ้าง”

“พีท”

น้ำเสียงของเบฟฟังดูก็รู้ว่ามีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่เมื่อวานนี้ แถมขอบตายังดำคล้ำ บวมเป่งบ่งบอกถึงว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง

“เกิดอะไรขึ้น”

“กูได้กุญแจมาแล้วนะ แต่อุ่น… ไปแล้ว”

พีทวางของที่ถือมาลงบนโต๊ะทำงานของไออุ่น

“ไปแล้ว?”

“เมื่อคืนไวน์เอาสร้อยของอุ่นมาให้ ลองไขแล้วแต่ลานมันฟรี มันไขไม่ได้อีกแล้วว่ะ อุ่นไม่กลับมาแล้ว”

พอพูดถึงไออุ่นอีกครั้ง น้ำตาก็พานจะไหลลงมาอีกรอบ เมื่อคืนเบฟก็เสียน้ำตาไปทั้งคืนแล้วจนตอนนี้มันไม่เหลือให้แสดงถึงความเสียใจได้อีก

ไร้ซึ่งคำพูด มีเพียงอ้อมกอดจากพีทเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงคำปลอบใจ

“แต่กูจะพาเขากลับมา กูต้องพาเขากลับมา มึงต้องช่วยกูนะ พีท”

พีทอยากจะบอกให้เข้าใจถึงความจริงที่ว่าต่อให้พาไออุ่นกลับมาได้ บางทีอาจจะได้มาแค่ตัวแต่จิตวิญญาณที่เป็นไออุ่นอาจหายไป ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของอีกฝ่ายได้

“อืม แต่มีข้อแม้นะ นายต้องเรียนให้จบก่อน เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะช่วยทุกอย่าง”

“รอให้จบ!? อีกตั้งหลายเดือน ไม่ไหวว่ะ”

“อยากให้พี่อุ่นตื่นขึ้นมาแล้วเจอว่านายกลายเป็นศพไปแล้วเหรอ หรืออยากให้พี่อุ่นไม่ภูมิใจว่าคนที่เขารักมากที่สุดไม่ได้คว้าเกียรตินิยมมาให้น่ะ หรือ… บางทีนายอาจจะน็อคตายไปก่อนจะพาพี่อุ่นกลับมาก็ได้”

คำสันนิษฐานของพีทแต่ละอย่างสยดสยองต่อใจทั้งนั้น จะทำอะไรทีมีผลกระทบต่อไออุ่นทุกอย่าง เขารีบส่ายหน้า ให้ตายก็ยังไม่อยากทำให้ไออุ่นผิดหวังหรือทำให้ตัวเองหมดโอกาสก่อนที่จะพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้

“จะให้กูทนถึงตอนนั้นเลยเหรอวะ มึงคิดว่าใจกูเข้มแข็งมากเลย?”

“เปล่า แต่ถ้านายตั้งใจเรียนจนจบมันจะเป็นผลดีกับตัวนายมากกว่า”

“มึงต้องการทรมานกูระหว่างนั้นเหรอ ให้กูเห็นเขานอนนิ่งๆ ตั้งหลายเดือนโดยที่รู้ว่ากูมีโอกาสทำให้เขากลับมาได้แต่กูต้องรอจนกว่าจะถึงเวลา”

พีทหลุดขำนิดหน่อยก่อนจะทำเสียงเข้มเหมือนเดิม

“ไม่ได้จะทรมานแต่เพื่อตัวนายเองต่างหาก ใช่ว่าจะมีนายคนเดียวที่ทรมานนะ”

เบฟเลิกพูด เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองจะพ่ายแพ้ เถียงไปก็เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ สู้เอาเวลานั้นไปจัดการของกินที่พีทหอบหิ้วมาให้จะดีกว่าจึงคว้าเอาถุงของกินหลายถุงบนโต๊ะทำงานของไออุ่นแล้วเดินเข้าข้างหลังร้านไป

“สรุปยังไง! เบฟ!”

“ตามที่มึงว่านั่นแหละ! กูยังตายไม่ได้จนกว่าอุ่นจะกลับมา เพราะงั้นมึงไม่ต้องห่วง!”

เบฟตะโกนกลับไปแล้วชูให้เห็นว่าเขาจะเอาของที่อยู่ในมือไปทำให้ตัวเขามีชีวิตอยู่ต่อ

เห็นแบบนั้นพีทก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยๆ เขาก็ได้รู้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ทรมานตัวเองหลังจากนี้ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมามันจะพังทลายลงไปเมื่อไร เช่นเดียวกับที่เขาต้องข่มใจไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดกับการจากไปของไออุ่นเวลาที่อยู่ต่อหน้าเบฟ แม้เขาอยากจะร้องไห้ทันทีที่ได้ยินข่าวร้ายก็ต้องกล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้ไหลกลับไป


------------------------------------------------


หลังจากที่พีทออกจากร้านไปได้ไม่นาน สเตซี่ก็เข้ามาพร้อมกับรุ้ง สีหน้าของเขาดูอิดโรยเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ร่างกายซูบผอมลงถนัดตา

“อุลล่ะ”

“ข้างบนครับ”

เบฟปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเดินขึ้นไปข้างบนเพียงลำพัง ในช่วงเวลาแบบนี้คนเรามักต้องการพื้นที่ที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับตุ๊กตาไขลานอันเป็นที่รักแค่สองคน

“ลูกดูโทรมไปเยอะเลยนะ”

รุ้งเอื้อมมือออกไปลูบโครงหน้าลูกชาย จับไปแล้วเจอแต่กระดูกทั้งนั้น ขอบตาทั้งช้ำทั้งดำคล้ำดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงอีกทั้งยังคงอดหลับอดนอนด้วยล่ะมั้ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไออุ่นยังอยู่ด้วย ตอนนั้นลูกชายของเธอดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าแถมใบหน้ายังแจ่มใสสดชื่น ดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่าตอนนี้เป็นไหนๆ

“นิดหน่อยครับ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย”

“อย่าหักโหมมากล่ะ แม่มีลูกชายอยู่คนเดียวนะ”

“ครับ รู้ครับ”

“แม่ตุ๋นน้ำแกงฟักมาให้ลูกด้วย เดี๋ยวแม่เอาไปอุ่นให้กินสักหน่อยดีกว่า”

ในขณะที่รุ้งกำลังจะเดินเข้าครัวที่อยู่ข้างหลังก็ถูกใครคนหนึ่งโอบกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง เธอยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น

“แม่ครับ ถ้าป๊ะป๋าไม่กลับมาแล้วแด๊ดจะโกรธไหม”

“เด็กโง่! แด๊ดจะโกรธทำไม”

“เพราะเบฟทำให้ป๊ะป๋าตาย เบฟดูแลเขาไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่ป๊ะป๋าเป็นสิ่งสำคัญของทุกคนในครอบครัว เบฟกลับปล่อยให้ป๊ะป๋าหายไป พอได้เขากลับมาก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

“ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของลูกทั้งนั้น อุ่นน่ะถึงจะเป็นตุ๊กตาไขลานแต่เขาก็มีอายุขัยนะ เขาจะมีชีวิตที่ยืนยาวหรือสั้นแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับสภาพอะไหล่ในร่างกาย ลูกลองนึกถึงสภาพรถยนต์สิ ครั้งแรกที่ใช้งาน ทุกอย่างยังดูใหม่เอี่ยมไม่มีอะไรเป็นปัญหา แต่พอผ่านไปหลายปีก็จะต้องมีการสึกหรอไปตามการใช้งาน สุดท้ายแล้วเมื่อนานวันเข้ารถคันนั้นก็จะกลายเป็นเพียงเศษเหล็กที่ใช้งานไม่ได้อีก ชีวิตของไออุ่นก็เป็นแบบนั้นแหละ”

รุ้งเอี้ยวตัวกลับมาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยนเป็นเชิงปลอบใจไม่ให้คิดมาก ชีวิตคนเรานั้นย่อมเป็นไปตามวัฏสงสาร แม้แต่ตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นก็ยังหนีไม่พ้น 

“แม่…”

ไม่รู้เมื่อไรที่เบฟกลายเป็นเด็กบ่อน้ำตาตื้น เขาร้องไห้ไม่หยุด คำปลอบโยนของผู้เป็นแม่แม้จะไม่อ่อนหวานเท่าไรนักแต่ก็ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ที่กองสุมกันจนล้นใจ

“ลูกแม่เป็นเด็กขี้แยเหรอเนี่ย หืม…?”

“แม่…”

ริมฝีปากบางถูกขบเข้าหากัน โดนแม่ล้อแบบนี้ น้ำตาเขาเลยหยุดไหลเสียดื้อๆ

“แม่ไปอุ่นน้ำแกงให้ดีกว่า”

เบฟปล่อยให้ผู้เป็นแม่นำน้ำแกงฟักที่นำมาไปอุ่นร้อน ส่วนเขาได้แต่นั่งรอนั่งเล่นอยู่ตรงที่ที่ไออุ่นมันจะนั่งประจำ ภาพความทรงจำเก่าๆ ตอนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในป่าชื้น


“ป๊ะป๋า กินติม กินติม!”
เด็กตัวน้อยวัยห้าขวบกระโดดหย๋อยๆ อยู่ในร้านพลางชี้ออกไปข้างนอกเมื่อเห็นรถเข็นไอศกรีมแล่นผ่านไป
“ออกไปซื้อสิ แล้วค่อยมาเอาเงิน ถามเขาด้วยนะว่าเท่าไร”
เด็กน้อยคนนั้นเมื่อได้รับคำอนุญาตก็วิ่งโร่ออกจากร้านไปด้วยความดีอกดีใจ ปืนขึ้นรถขายไอศกรีมเพื่อเลือกอันที่อยากกินแต่ไม่ลืมที่จะหยิบเผื่อป๊ะป๋าด้วย พอกลับเข้ามาในร้านพร้อมไอศกรีมสองแท่ง รับเงินไปจ่ายให้คนขาย ป๊ะป๋าของเขาก็อมยิ้ม
“เบฟซื้อให้ป๊ะป๋าด้วย”
เด็กน้อยยื่นไอศกรีมแท่งหนึ่งไปให้กับป๊ะป๋า
“ป๊ะป๋ากินไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นของเบฟสองอันเลยนะ”
“เด็กเจ้าเล่ห์เอ๊ย!"


เบฟหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกย้อนถึงตอนตัวเองยังอยู่อนุบาล ตอนนั้นอยากกินไอศกรีมมากแถมยังตื่นเต้นไปหน่อยเลยลืมไปว่าไออุ่นกินไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเวลาที่ได้ออกไปซื้อไอศกรีมข้างนอกก็มักจะชอบทำเป็นลืมทุกครั้ง เพราะเขาจะได้กินไอศกรีมในส่วนของไออุ่นด้วย

“ป๊ะป๋า!! เบฟเก่งไหมๆ”
หลังจากได้รับสมุดพกจากทางโรงเรียน เบฟก็รีบกลับบ้านเอาเกรดสวยๆ มาอวดด้วยความตื่นเต้นดีใจที่คราวนี้ได้เกรดดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ไออุ่นรับสมุดพกไปเปิดดูแล้วลูบหัวชื่นชม
“เอาแรงฮึดมาจากไหนเนี่ยเรา ได้เกือบสี่เชียว”
“ก็ป๊ะป๋าบอกอยากได้เกรดดีๆ ให้รางวัลเบฟด้วยครับ”
“แล้วเราอยากได้อะไรล่ะ”
เด็กน้อยวัยสิบขวบทำแก้มป่อง เอียงข้างเล็กน้อยพร้อมกับเอานิ้วจิ้มแก้มตัวเองไปมา ไออุ่นโน้มตัวลงประทับรอยจูบลงบนแก้มกลมๆ ของลูกชาย
“เอาอีกๆ ตรงนี้ด้วย”
นิ้วกลมๆ จิ้มไปที่ปากของตัวเอง ได้คืบจะเอาศอก… แน่นอน! ก็เพราะเขาตั้งอกตั้งใจเรียนจนได้ดีขนาดนี้ รางวัลเดียวสำหรับเด็กคนนี้มันยังน้อยเกินไป
“แหนะ! ป๊ะป๋าจุ๊บแก้มอีกข้างแทนได้ไหม”
“ไม่ได้ ต้องตรงนี้เท่านั้นครับ”
เด็กน้อยช่างเอาแต่ใจ จิ้มที่ปากของตัวเองเรื่อยๆ จนไออุ่นถึงกับต้องยอมตามใจ ไม่อย่างนั้นก็คงร้องโยเยไม่เลิก เมื่อริมฝีปากถูกสัมผัสเพียงแผ่วเบาก็เหมือนกับจะมีสายฟ้าแล่นผ่านเข้าร่าง ถึงเบฟจะอายุแค่สิบขวบแต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ กับรอยจูบนั้น เขาอยากได้มันอีก


นึกถึงตอนนั้นแล้วก็เผลอเอามือลูบปาก จูบครั้งนั้นแม้จะแผ่วเบาเหมือนแค่แตะโดนธรรมดาแต่กลับเปลี่ยนความรู้สึกของเบฟไปจนหมด และตั้งแต่วินาทีนั้นเขาก็มองไออุ่นด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเคยอีก

“เบฟ”

“คะ… ครับ”

เบฟหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วหันไปมองผู้เป็นพ่อที่เดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ขอแด๊ดคุยด้วยหน่อย”

“ครับ”

“แกคิดจะเอายังไงต่อจากนี้”

“ผมจะอยู่ที่นี่ จะพาป๊ะป๋ากลับมาอยู่กับเราอีกครั้งให้ได้”

“เบฟ… อุลไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว”

สเตซี่ไม่อยากทำลายความฝันของลูกชาย แต่สิ่งที่เขาพูดคือความจริง ไออุ่นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยปาฏิหาริย์ทั้งที่เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดา และตอนนี้ปาฏิหาริย์นั่นจากไปแล้ว

“ทำได้ ต้องทำได้”

ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้นแต่ทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกว่าวันนั้นจะไม่มาถึง

“แกตั้งใจฟังให้ดีนะ อุลไม่กลับมาแล้ว มันคือความจริง”

“ไม่!! ป๊ะป๋าต้องกลับมา! ยังไงก็ต้องกลับมา!”

เบฟระเบิดเสียงดังลั่น ความรู้สึกของเขาเหมือนก้อนกลมๆ ที่พร้อมจะเปราะแตกและตอนนี้มันก็กลายเป็นเสี่ยงๆ ความหวังกับความเป็นจริงที่สวนทางกันตอกย้ำความเจ็บปวดให้ลึกลงไปในใจ หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายท่วมท้น ร่างกายอ่อนแรงฉับพลัน ทรุดลงกับพื้น

“อุลไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว ต่อให้แกใช้ทั้งชีวิตก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้”

“เราซ่อมได้ มัน… ฮึก! ต้องซ่อมได้”

“จะซ่อมอะไร แกจะซ่อมตุ๊กตาไขลานหรือซ่อมชีวิตของอุล”

นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่ไหลรื้นออกมาจากดวงตาสีฟ้าคราม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเอาไว้ แหงนหน้ามองผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่สูงกว่า

“ซ่อมป๊ะป๋า… ถ้าซ่อมได้ ป๊ะป๋าก็ต้องกลับมา”

“แกตอบไม่ตรงคำถามนะ”

“ซ่อมป๊ะป๋า” เบฟยังคงยืนกรานอยู่เช่นนั้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“แกฟังให้ดีนะ ต่อให้แกซ่อมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าป๊ะป๋าได้ แล้วชีวิตของอุลล่ะ แกจะตามหามันมาจากที่ไหน มันก็เหมือนกับแกยื้อร่างนั้นทั้งๆ ที่เขาจากไปนานแล้ว สิ่งที่แกจะได้ก็มีแค่ร่างกายเท่านั้น”

“ม่ายยยย แด๊ดไม่เข้าใจ!!!”

“ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ เข้าใจดีกว่าแกด้วย”

สเตซี่ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้าน ทอดสายตาที่เจ็บปวดมองร่างลูกชาย “แกคิดว่าฉันไม่เสียใจเหรอที่อุลจากไป คิดว่าฉันไม่อยากได้อุลกลับมาเหรอ แกคิดว่าฉันไม่พยายามทำอะไรเลยเหรอ”

ความเงียบเข้าครอบงำอยู่เพียงชั่วอึดใจ สเตซี่ก็พูดขึ้นมาต่อ “แต่แค่ฉันยอมรับความจริงได้เร็วกว่าแก”

“ผมจะพาป๊ะป๋ากลับมา! ต่อให้มันต้องใช้ทั้งชีวิตของผมเพื่อแลกกับเขาก็จะทำ! เพราะอย่างน้อยผมก็ได้พยายามแล้ว ไม่ใช่เอาแต่พูดว่ายอมรับความจริงเหมือนที่แด๊ดพูดแล้วไม่พยายามอะไรเลย”

“แกคิดว่าฉันไม่พยายามอย่างนั้นเหรอ!! ฉันพยามรอ อดทนรอ!! แกรู้ไหมว่ามันแย่แค่ไหนที่ทำได้แค่รอ! ทั้งที่ฉันอยากจะออกไปตามหาแต่มันต้องไปเริ่มที่ไหนล่ะ! แกรู้งั้นเหรอ! แกเองก็ทำได้แค่รอเหมือนกัน!”

“แต่แด๊ดไม่ทำอะไรเลย ป๊ะป๋าอยู่นี่แล้วแต่แด๊ดก็ยังเฉย”

เสียงเบฟฟังดูอ่อนลง ประโยคก่อนหน้านี้เขาไม่เถียงหรอกเพราะมันคือความจริง แต่คงไม่อยู่เฉยแล้วปล่อยให้คนที่รักจากไปทั้งๆ อย่างนี้แน่ เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแม้ว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะสุดท้ายแล้วเขาไม่อยากนึกเสียใจในภายหลังว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะพยายาม หากสักวันหนึ่งไออุ่นรับรู้ถึงมันได้ก็อาจจะกลับมาหาเขา

“นี่! แกเข้าใจคำว่าความจริงบ้างไหม”

“ก็นี่ไง ความจริง ความจริงที่เราควรพยายามเพื่อป๊ะป๋าไง”

“ฉันเบื่อจะเถียงกับแกแล้ว! อยากทำอะไรก็เชิญ”

สเตซี่พูดอย่างตัดรำคาญ เถียงกันเรื่องความจริงกับความพยายามที่ดูท่าว่าถกกันทั้งวันคงหาทางจบไม่ได้ง่ายๆ

“รุ้ง! กลับกันได้แล้ว! เราต้องไปหาเฮเลนอีกนะ” สเตซี่ตะโกนเรียกหาภรรยาที่คงจะหลบฉากไปตอนที่เขากำลังถกกับลูกชายอยู่

“แต่ยังไง… ฉันก็ดีใจนะที่แกรักอุลมากขนาดนั้น เขาเองก็รักแกมาก ถ้าแกได้เขากลับมาก็ถนอมเขาดีๆ ล่ะ”

สเตซี่รีบรุดออกจากร้านไปทันทีที่พูดจบ เขากลัวลูกชายจะตอบอะไรกลับมา ปล่อยให้มันเป็นคำพูดดีๆ สักประโยคสองประโยคที่เขาจะได้มีโอกาสพูดกับลูกชายที่ความสัมพันธ์ห่างเหินอย่างเบฟบ้าง

“ขอบคุณครับ แด๊ด”

คำขอบคุณที่พ่ออย่างสเตซี่คงไม่ได้ยินแต่รุ้งที่เดินออกมาทีหลังได้ยินเต็มสองหู เธออมยิ้มเล็กน้อยอย่างสบายอกสบายใจ ต่อให้สองพ่อลูกดูจะไม่ค่อยถูกกันแต่สายสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นตัดไม่ขาด

“ออกไปบอกแด๊ดข้างนอกสิ พูดในนี้มันจะไปได้ยินอะไร”

“แม่~ ไม่เอาหรอก ใครจะกล้าพูด”

“ให้แม่อัดเสียงไปให้แด๊ดฟังไหม”

“ไม่เอาแล้ว ผมไปนั่งซดซุปฝีมือแม่ดีกว่า”

เบฟบอกพร้อมกับหันหลังเดินเข้าข้างหลังร้านไป ไม่รอให้ผู้เป็นแม่เดินลับสายตาไปก่อน




** ติดตามตอนต่อไป **

กลับมาแล้วค่ะ หายหน้าไปหนึ่งเดือนเต็มเลย
งานนี้.... จะช่วยไออุ่นกลับมาได้ไหม คงต้องคอยลุ้นกันต่อไปนะคะ
ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนตัวเองจะเขียนมันออกมาได้ไม่ดีเท่าไรเลยค่ะ
ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันขัดๆ อยู่บ้าง
และใกล้จะจบแล้วล่ อีกไม่กี่ตอนเองค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่คอยติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ 


++++++++++++++++++++++++++++++++


areenart1984
ขอบคุณนะคะ

KARMI
ขอบคุณค่ะ

alternative
ขอบคุณนะคะ ปลอบๆ

shoky_9
ขอบคุณนะคะ โอ๋ๆ ปลอบๆ ค่ะ

JustWait
ขอบคุณค่ะ

larynx
ขอบคุณค่ะ เราก็ว่าถึงยังไงเบฟก็ยังเด็กอยู่ดีนั่นแหละค่ะ แต่ที่เสียสติขนาดนั้นคงเป็นเพราะรักมากด้วยแหละค่ะ


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
รอจ้า

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เบฟรีบ ๆ ไปเรียนให้จบ ๆ จะได้มาปลุกอุ่นให้ตื่น  :กอด1:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ถ้าไวน์คือคุณทวดกลับมาเกิดจริงๆ น่าจะคืนจิตวิญญาณให้ร่างอุ่นได้นะ ... เราคิดว่างั้น  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
รอไออุ่นกลับมานะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เบื่อจะเถียงกับเบฟ แบบที่สเตซี่บอกเลยค่ะ  :z3: พี่ไวน์ค่าตัวแพงแน่ๆ นานน๊านน จะออกมาสักที  :laugh:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 15



หลังจากวันที่สเตซี่กับรุ้งแวะมาที่ร้าน เบฟตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือตามที่รับปากไว้กับพีทและเขาก็ไม่เห็นไวน์แวะมาที่ร้านอีกเลย จนกระทั่งถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ คนที่คิดว่าน่าจะหายไปจากวงจรชีวิตแล้วดันมายืนกดกริ่งเรียกอยู่ที่หน้าร้าน เบฟที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับร่างของตุ๊กตาไขลานอยู่บนห้องค่อยๆ เดินอย่างอ้อยอิ่งลงมาข้างล่าง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เดินไปเปิดประตูให้โดยไม่คิดพูดจาหาเรื่องอีก

“อุ่นเป็นยังไงบ้าง พอซ่อมได้ไหม”

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย รอให้ผมเรียนจบก่อนได้ไหม อีกไม่นาน แล้วพอถึงตอนนั้นผมจะลงมือซ่อมเขาอย่างจริงจัง คุณค่อยมาอีกทีตอนผมซ่อมก็ได้”

ในหัวของไวน์ตอนนี้มีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าจะปล่อยให้เวลาที่มีอยู่นั้นสูญเปล่าไปเพื่ออะไร “แล้วทำไมไม่ทำตอนนี้”

“จะซ่อมตุ๊กตาไขลานที่พังไปแล้วมันต้องใช้เวลา แล้วอีกอย่างไหนๆ ก็จะซ่อมแล้วก็คงต้องเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นที่มันดูน่าจะไม่รอดด้วย ผมไม่อยากซ่อมตอนเขาตื่นน่ะ”

แน่สิ! ซ่อมตอนไออุ่นกลับมามีชีวิตแล้ว เบฟทำใจไม่ค่อยได้ อย่างน้อยในช่วงเวลาแบบนี้เขายังพอใช้คำว่าตุ๊กตาไขลานตอกย้ำความรู้สึกตัวเองได้อยู่

“อืม… ถ้างั้นผมจะมาอีกทีตอนเริ่มซ่อมก็แล้วกัน ยังไงตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

ไวน์ไม่เคยเรียนทางด้านวิศวะมา ฉะนั้นเขาจึงทำได้แค่ให้กำลังใจ ถ้าต้องมานั่งเป็นลูกมือช่วยซ่อมก็คงได้ทำมันพังก่อนที่ไออุ่นจะได้ฟื้นกลับมา หรือบางทีอาจเป็นเขาที่ทำโอกาสที่แทบจะไม่เหลืออยู่เลยนั้นพังลงไปด้วยมือของตัวเอง

“จะมาเมื่อไร”

“อีกสองเดือนแล้วกัน ขอผมไปเรียนรู้วิธีการซ่อมก่อน”

“อ้าว~ นี่คุณซ่อมไม่เป็นเหรอ”

สีหน้าของเบฟแสดงความประหลาดใจออกมาไม่น้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าไวน์จะไม่รู้เรื่องการซ่อมเครื่องกลอะไรพวกนี้เลย

“ผมจบบริหารเอ็มบีเอ โทการตลาด ไม่เคยเรียนพวกช่างกลอะไรนี่หรอก”

คำอธิบายของไวน์พอจะช่วยให้เด็กหนุ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะทำอะไรไม่ได้เลยแต่ก็ยังแสดงความมีน้ำใจอยากช่วยเหลือออกมาให้เห็นบ้าง อันที่จริงแล้วในสายตาของเขาตอนนี้ไวน์ก็เป็นผู้ชายที่ไม่ได้แย่เท่าไรนัก เสียก็แต่เรื่องที่ชอบแย่งไออุ่นไปจากเขานี่ล่ะที่ทำยังไงก็ยังยอมรับไม่ได้

“งั้นเอาเป็นว่า... ไว้เจอกันอีกทีก็แล้วกัน”

“ผมรู้ว่าคุณคงไม่ชอบใจแต่ขอผมไปเจออุ่นหน่อยได้ไหม”

“ครั้งเดียวนะ ผมให้คุณได้เจออุ่นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จนกว่าจะถึงเวลาซ่อม ตอนนั้นคุณค่อยมาเจอเขาอีกครั้งก็แล้วกัน”

ไวน์ตอบรับในลำคอ แค่ครั้งเดียวก็ดีสำหรับเขามากแล้วเพราะอย่างน้อยๆ อีกฝ่ายก็ยังเปิดโอกาสให้ได้ไปเจอไออุ่น คนที่เขารักแต่ในขณะเดียวก็ได้ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไป

หลังจากที่เบฟอนุญาติให้เขาไปพบกับไออุ่นได้ หัวใจที่เคยสูบเลือดหล่อเลี้ยงร่างกายให้ยังอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ก็พลันจะหยุดเต้นไปอีกครั้ง ภาพที่ไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงสะท้อนเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เขาได้ตระหนักว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดบางอย่างลงไป การจากไปของตุ๊กตาไขลานตัวนั้นโดยที่ไม่ได้บอกให้ใครได้รับรู้เป็นดั่งสิ่งที่พรากเอาหัวใจของเขาจากไปด้วย

“อุ่น... ผมขอโทษนะ”

ไวน์ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ เพราะร่างนั้นกำลังทิ่มแทงความรู้สึกของเขาอยู่ แววตาในวันนั้นที่อีกฝ่ายมองตรงมาที่เขาในขณะที่เอ่ยคำขอโทษไร้ซึ่งความเกลียดชัง มีแต่ตัวเขาเองที่เกลียดตัวเอง เกลียดที่ทำได้แม้กระทั่งทำลายความรู้สึกของคนที่รัก

บางทีความรักก็ทำให้คนเราหน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นชอบ

 

ถ้าหากเขาไม่เป็นฝ่ายเริ่มพาตัวไออุ่นมา

ถ้าหากวันนั้นเขามีความพยายามที่จะพูดคุยมากกว่านี้อีกสักนิด

ถ้าหากวันนั้นเขาได้บอกกล่าวอะไรก่อนที่จะบินไปสิงคโปร์

ไออุ่นคงไม่จากเขาและทุกคนไปแบบนี้

 

“ทั้งที่คุณควรจะโกรธผม เกลียดผม ทำไมคุณถึงได้ให้อภัยในทุกสิ่งที่ผมทำลงไป”

คำถามที่ไร้คำตอบ คำถามที่ไวน์รู้แก่ใจว่าถ้าหากไออุ่นยังไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้ ความผิดบาปที่อยู่ในใจคงไม่จางหายไปได้ง่ายๆ

“ผมไม่กล้าเข้าใกล้คุณเลย ผมกลัวว่าถ้าผมยืนใกล้กับคุณมากกว่านี้ ผมอาจจะเห็นสายตาของคุณที่มองมาแล้วมันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปอีก ผม... ผมขอโทษนะที่ทำอะไรหลายอย่างโดยพละการ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะทำความรู้จักกับคุณใหม่ จะไม่บังคับฝืนใจอีกและจะบอกคุณอย่างตรงไปตรงมาว่าผมรักคุณ”   

ไวน์รู้ว่าวันเวลาไม่เคยหวนกลับ เรื่องที่ผ่านไปแล้วคืออดีต ปัจจุบันคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่อนาคต

“ผมกลับก่อนนะ ไว้ผมจะมาหาใหม่”

ก่อนที่จะทันได้ก้าวเท้าออกจากห้องไป เสียงหัวใจกลับเรียกร้องให้อยู่ก่อนอีกสักเสี้ยววินาทีก็ยังดี แต่ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจอะไร ปลายเท้าก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างนั้นอยู่ ดวงตาสีอำพันทอดมองร่างที่ไม่ไหวติง สองมือเอื้อมออกไปลูบไล้โครงหน้านั้นอย่างแผ่วเบา

 

เคยมีคำกล่าวว่า ‘ห้ามอะไรนั้นห้ามได้ แต่ห้ามใจนั้นยากยิ่ง’ เห็นท่าว่าจะจริงก็คราวนี้

 

ขนาดไวน์ตั้งใจจะเดินออกจากห้องไปแล้วกลับกลายเป็นว่าตอนนี้มาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียงเสียอย่างนั้น

“ขอโทษ ผมจะไม่แตะคุณอีกถ้าคุณไม่ชอบนะ”

ไวน์บอกเพียงเท่านี้ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป คราวนี้เขาออกไปจริงๆ ต่อให้หัวใจยังคงเรียกร้องให้อยู่ต่ออีกสักนิดก็ต้องทำเป็นกัดฟันทนต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น ยังไม่ทันจะพ้นขอบประตูก็เหลียวกลับไปมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำว่าขอโทษ

 

ชั้นล่างของร้านมีเพียงเบฟเท่านั้นที่นั่งอยู่ เขาปล่อยให้ไวน์ขึ้นไปข้างบนคนเดียวเพราะรู้ว่าถ้าหากตัวเองตามขึ้นไปด้วยคงทนเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างบนนั่นไม่ได้ เขากลัวว่าจะสติหลุดแล้วเผลอตัวออกหมัดทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งแค่คราวนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับโทษที่ควรได้รับ

ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวในแจกันใบใหญ่ถูกหยิบรวบออกมากองรวมกันเอาไว้ นานมากแล้วที่เบฟเอาแต่จมปลักกับความรู้สึกแย่ของตัวเองจนลืมใส่ใจที่จะดูแลสภาพแวดล้อมรอบกาย ปล่อยให้มันสกปรก มีฝุ่นเกาะไปทั่วแม้กระทั่งดอกไม้แห้งกรอบที่ตายไปนานแล้ว

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักได้ปิดตัวลงไปตั้งแต่วันที่ไออุ่นกลับมาในสภาพที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบกาย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะทิ้งดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่ในร้านไว้อย่างนั้นเพื่ออะไร สู้เก็บกวาดให้มันสะอาดตารอรับวันที่ไออุ่นจะฟื้นกลับมาอีกครั้งจะดีกว่า

“ทำอะไรน่ะ”

เสียงของไวน์ดังขึ้นไม่ไกล เรียกให้เบฟหันไปมองแต่ก็กลับมาสนใจกับดอกไม้แห้งจนกรอบ แตะนิดหน่อยก็ทำท่าจะแตกหักคามือ เขาไม่ตอบอะไรเพราะเห็นว่าก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ คำถามโง่ๆ แบบนั้นตอบไปก็เปลืองแรง

“ให้ช่วยไหม”

เห็นว่าเบฟไม่ตอบ ไวน์เลยทำตัวเป็นคนดีมีจิตอาสา เสนอตัวช่วยเหลือ

“ทำเป็นเหรอ”

“ไม่อ่ะ คิดว่าถ้ายอมให้ช่วย จะไปโทรเรียกลูกน้องมา”

“อืม... ดีเนอะ! ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องเสียเวลาถามได้ไหม อยู่เฉยๆ หรือไม่ก็ออกไปจากร้านเลยก็ได้”

“งั้นไปนะ เจอกันวันนั้นเลยแล้วกัน”

เบฟหยักหน้าตอบรับแล้วโกยกองดอกไม้แห้งใส่ถุงขยะสีดำ เขาไม่มองหน้า ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว สนอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือทำยังไงก็ได้ให้ไวน์ออกจากร้านไปให้เร็วที่สุดก่อนที่สติเขาจะแตกกระเจิงแล้วเผลอประเคนหมัดใส่หน้าด้วยความโมโหอีกระลอก

“ไม่ต้องมาเลยก็ได้!!!”

คนที่อยู่ในร้านตะโกนไล่หลังกลับไปทันทีที่ฝ่ายนั้นเปิดประตูเดินออกไปแล้ว แต่ไม่ทันได้หายใจหายคอให้คล่อง ร่างของใครบางคนก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้านเสียก่อน ประตูนั้นถูกผลักเข้ามาอย่างช้าๆ มีเพียงหัวที่โผล่เข้ามาในร้าน ส่วนตัวนั้นอยู่ข้างนอก ดูเหมือนว่าคนๆ นั้นจะไม่ค่อยอยากก้าวเข้าไปสักเท่าไรนัก

“เบฟ เป็นยังไงบ้าง”

“ตามที่เห็นนั่นแหละ มึงจะเข้ามาช่วยไหม”

“ไม่ล่ะ แค่แวะมาดูเฉยๆ”

“มึงโคตรใจร้ายเลยว่ะ ถ้าอุ่นตื่นมาเมื่อไรกูจะเอาไปฟ้องให้หมดเลย แล้วคอยดูนะ! ความดีความชอบที่มึงมีอยู่ก็เอามาลบล้างความผิดไม่ได้หรอก อุ่นจะต้องโกรธมึงมากแน่ คอยดูๆ”

พีทถึงกับหลุดขำออกมาเล็กน้อยที่เบฟอยากได้คนช่วยแต่กลับทำเป็นปากแข็ง ทั้งที่แค่พูดขอร้องนิดหน่อย เขาก็ยอมแล้วแท้ๆ

“ขำอะไร!”

“ขำคนปากแข็ง ทำไมนายไม่พูดมาตรงๆ ล่ะว่าอยากให้พี่ช่วย กลัวหลุดฟอร์มหรือไง”

“ใครกลัวหลุดฟอร์ม ไม่มีเถอะ กูแค่โวยวายไปตามเรื่อง ถ้ามึงยอมช่วยแต่แรก กูก็ไม่โวยวายแล้วไง”

“เอ๊า! ช่วยก็ช่วย”

บานประตูถูกผลักเข้ามามากขึ้น พีทที่พอจะคุ้นชินกับร้านดอกไม้นี้อยู่บ้างจึงเดินไปเปิดตู้แช่ หยิบเอาดอกไม้ที่อยู่ในนั้นทั้งหมดทิ้งลงในถังขยะ ถอดปลั๊กจ่ายไฟให้กับตู้พวกนั้นออกทีละเส้น เบฟไม่ได้พูดอะไรที่ดอกไม้ในตู้แช่ถูกโยนทิ้งลงถุงเหมือนมันไม่มีค่าอะไรแล้ว

“เออ… พีท กูว่าถ้าเรียนจบเมื่อไร กูจะปิดร้านนี้แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“ย้าย? ย้ายไปไหน”

“กูอยากไปที่ที่มันสงบกว่านี้ แด๊ดพอจะมีบ้านพักตากอากาศอยู่บนเขา แถวนั้นบรรยากาศดีใช้ได้เลยล่ะ แล้วก็คิดว่าพออุ่นตื่นขึ้นมาได้เห็นธรรมชาติบ้าง มันคงจะดีกว่าถ้าอยู่ที่นี่อ่ะนะ แต่เรื่องนี้กูยังไม่ได้บอกแด๊ดเลย”

พีทไม่คิดไม่ฝันว่าวันที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักจะปิดตัวลงจะมาถึงจริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งคนที่เขารักดั่งครอบครัวมีความคิดจะย้ายจากที่นี่ไป สีหน้าที่แสดงออกมานั้นจึงดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“เบฟ… พี่คิดว่าพี่อุ่นรักร้านนี้มากนะ แต่ถ้านายตัดสินใจดีแล้วก็ไม่เป็นไร”

“ก็เพราะกูก็คิดแบบนั้นด้วยนั่นแหละเลยต้องย้าย มึงลองคิดดูนะ ถ้าสมมติว่าอุ่นรักที่นี่มากแล้วรู้ว่าร่างตัวเองถูกย้ายที่ก็จะต้องรีบกลับมาใช่ไหมล่ะ กูเลยคิดว่ามันอาจจะช่วยให้อุ่นกลับมาได้เร็วขึ้น”

“ตรรกะบ้าอะไรของนายเนี่ย”

“ตรรกะมั่วๆ ของกูนี่แหละ ถ้ามันเวิร์คก็ดีไปแต่ถ้าไม่เวิร์คก็ถือว่าไปอยู่ที่นั่นเอาสมาธิก็แล้วกัน”

พีทเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงจะเริ่มปลงได้แล้วเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตาช่วยเก็บกวาดร้านแถมด้วยการปัดกวาดเช็ดถูเอาคราบสกปรกและฝุ่นผงที่มันเริ่มเกาะกันเป็นก้อน

“พีท มึงเคยคิดไหมว่าเราอาจจะพาอุ่นกลับมาไม่ได้”

พีทเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนถามก่อนที่จะพูดออกไปว่า “อะไรดลใจให้นายถามแบบนั้น”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่อยากรู้เฉยๆ ว่ามึงเคยมีความคิดแบบนี้บ้างไหม”

“ไม่เคย พี่คิดว่าจริงๆ แล้วพี่อุ่นไม่ได้หนีเราไปไหนด้วยซ้ำ เขาแค่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ เราก็แค่ตามเขากลับมาแต่มันก็ต้องใช้เวลา”

“กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่… จนกูได้ยินคำพูดของแด๊ดบางประโยค มันเลยทำให้กูกลับมานั่งคิดทบทวนดู แด๊ดบอกว่าอุ่นเกิดขึ้นจากปาฏิหาริย์และตอนนี้ปาฏิหาริย์นั่นก็หมดไปแล้ว ถึงจะพาเขากลับมาได้ก็ได้แค่ร่างกายเท่านั้น”

พีทเดินเข้ามาลูบหัวเป็นเชิงปลอบแล้วพูดให้กำลังใจ “นายคิดมากไปแล้ว ถ้าเชื่อว่าพี่อุ่นจะต้องกลับมา ยังไงพี่อุ่นก็ต้องกลับมา จริงไหม”

“มันก็จริง… แต่บางทีมันอดคิดไม่ได้”

“ขอให้นายทำมันให้เต็มที่ สักวันปาฏิหาริย์ก็คงเกิดขึ้นอีกครั้ง”

คำพูดปลอบใจของพีทพอจะช่วยบรรเทาความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวลงได้บ้าง อย่างน้อยมันก็เบาบางเสียจนเกือบจะหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เขากลัวคือปาฏิหาริย์อาจไม่เกิดขึ้นกับคนเดิมซ้ำสอง

 

ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่าจะเก็บกวาด เช็ดถูให้สะอาดเรียบร้อยด้วยแรงงานของคนสองคน พีทกลับไปแล้วเมื่อไม่มีอะไรให้เขาต้องช่วยอีก ในขณะที่เบฟยังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิม ทอดสายตามองตรงไปข้างหน้า ที่ที่ควรจะมีของของไออุ่นอยู่นั้นตอนนี้ว่างเปล่าเช่นเดียวกับคนที่มักจะยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นด้วย

เบฟนั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่กว่าจะเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อหาคนที่เขารักสุดหัวใจ

ร่างของไออุ่นยังคงอยู่ในท่าเดิมเหมือนวันแรก ไม่ได้ถูกขยับเขยื้อนไปไหน เบฟเดินเข้าไปใกล้แล้วทิ้งตัวลงนอนในพื้นที่ว่างข้างกันเหมือนทุกครั้ง เขาชอบที่จะใช้เวลาว่างอยู่กับไออุ่นแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถตอบสนองอะไรกลับมาได้เลยก็ตาม

“อุ่นรู้ไหม วันนี้ไวน์แวะมาหาด้วยนะ”

“.........”

“เขาคุยอะไรกับอุ่นบ้างหรือเปล่า ผมไม่กล้าขึ้นมาดูเลยกลัวทำใจไม่ได้ตอนที่เห็นเขากับอุ่นอยู่ด้วยกัน”

“.........”

“ผมว่าถ้าผมเรียนจบจะพาอุ่นไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศบนเขาดีไหม อุ่นจะได้ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วยเลย ตื่นขึ้นมาก็เห็นสีเขียวของธรรมชาติ ได้รับลมธรรมชาติ ไม่ต้องกลัวว่าฝุ่นผงมันจะเข้าไปทำให้ภายในของอุ่นสกปรกอีก แต่พี่พีทบอกว่าอุ่นรักร้านนี้มากคงไม่อยากจากไป อุ่นคิดว่ายังไง”

“.........”

“อุ่นยังจำคำพูดของแด๊ดที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”

“.........”

ความเงียบของไออุ่นที่สะสมมาตลอดเป็นเวลานานเริ่มสะท้อนผลของมันแล้ว

“อุ่น... ถ้าปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ผมควรจะทำยังไงดี แล้วถ้าผม... พาอุ่นกลับมาไม่ได้ล่ะ ผมจะอยู่ได้ยังไง อุ่นคิดบ้างหรือเปล่าว่าการที่ไม่มีอุ่นอยู่แบบนี้ผมทรมานแค่ไหน อุ่นจะทรมานผมไปจนตายเลยเหรอ ต้องให้ผมตายจากอุ่นไปก่อนเหรอ อุ่นถึงจะยอมกลับมา.... อุ่น! ตอบผมสิ ตอบผมได้ไหม”

ถึงจะพูดออกมาอีกสักร้อยพันคำ ไออุ่นก็ทำได้แค่นิ่งเฉยเป็นหุ่นยนต์ที่ยังไม่ได้เปิดเครื่อง

“อุ่นครับ ถ้าอุ่นไม่ตอบ ผมจะร้องไห้แล้วนะ”

“..........”

“ผมร้องจริงนะ”

เบฟอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ร้องไม่ออก เขาเพียงแค่ต้องการให้ไออุ่นตื่นขึ้นมาปลอบใจ เช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะข้างแก้มให้เหมือนทุกทีที่เขาร้องไห้ เพียงแค่นิ้วเรียวเล็กข้างหนึ่งแตะสัมผัสลงมาบนใบหน้า เขาก็จะหยุดร้องทันที ไม่รู้ว่าทำไมถ้าไม่ใช่ไออุ่นคอยปลอบ ถึงจะหยุดร้องไห้ได้แต่ใจมันไม่เคยสงบลงเลย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

“ผมต้องซ่อมอุ่นจริงๆ ใช่ไหม ไม่มีทางอื่นเลยเหรอที่จะพาอุ่นกลับมาได้”

เบฟได้แต่นอนกอดร่างที่เย็นเฉียบจนเหมือนกับจะแล่นผ่านมาถึงหัวใจเขาได้อย่างง่ายดาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาเริ่มตระหนักได้ว่าคนเรามีความหวังได้แต่อย่าหวังมากเกินไป เพราะถ้าวันหนึ่งที่สิ่งหวังไว้ไม่ได้เป็นไปตามคาด คนที่จะเสียใจที่สุดก็คือตัวเอง แต่จะไม่หวังเลยก็ไม่ได้ ถ้าหากอยากจะให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปก็ย่อมต้องหวังไว้บ้าง เผื่อใจไว้บ้างทว่าสำหรับเขานั้นไม่อยากจะเผื่อใจไว้สำหรับอะไรเลย





<< ต่อข้างล่างค่ะ >>

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>




วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งเบฟใกล้เรียนจบ ไวน์ไม่ได้แวะมาหาอีกเลยหลังจากนั้นตามที่ได้รับปากไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีเพราะอย่างน้อยๆ เขาจะได้ใช้เวลาที่มีอยู่ไปกับไออุ่นเพียงสองคนแต่ทว่าความสุขก็อยู่กับตัวได้ไม่นาน

เสียงกริ่งของร้านดังขึ้นสามครั้งและอีกสามครั้งในเวลาต่อมา คนที่อยู่บนห้องออกอาการหัวเสียเล็กน้อยแต่ก็ยอมทิ้งร่างที่แน่นิ่งไว้บนเตียงนอนแล้วลงมาเปิดประตูต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ

ทันทีที่ประตูร้านถูกเปิดออก เบฟไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดหรือถามอะไรก่อน

“มาทำไมอีก”

“นี่คือคำทักทายเหรอ”

เบฟส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความขัดใจแต่ก็ยอมเปิดประตูร้านออกกว้างต้อนรับ มีหรือที่เขาจะไม่รู้เหตุผลของการที่ไวน์มาที่นี่อีกครั้งคงหนีไม่พ้นเรื่องของไออุ่น

“อุ่นอยู่ข้างบน จะขึ้นไปหาเขาก็ได้ ผมอนุญาต”

ไวน์ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีโอกาสได้พบกับไออุ่นอีกเป็นครั้งที่สอง ที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะถามข่าวคราวและวันที่จะเริ่มลงมือซ่อมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าไออุ่น แต่อีกฝ่ายกลับยื่นข้อเสนอนั้นให้เขาเอง จะไม่รับไว้ก็ดูจะเป็นการกระทำที่หักหาญน้ำใจกันเกินไป

“แปลกนะ”   

“หรือจะไม่อยากขึ้นไปหาอุ่น ก็ได้นะ งั้นก็กลับไปเลย”

ผู้มาเยือนอย่างไวน์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปข้างบนโดยไม่ได้พูดตอบอะไร 

มีเพียงเบฟที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังแต่หลังจากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงวิ่งตามไปข้างบนด้วยฝีเท้าที่คล้ายกับนักย่องเบา หลบฉากผ่านหน้าประตูห้องของไออุ่นไป ทำทีเหมือนว่าต้องการแค่ขึ้นมาหยิบของบางอย่างเท่านั้นแต่พอผ่านเลยประตูห้องไม่กี่ก้าว เขากลับพลิกตัวให้หลังพิงกับกำแพงเอาไว้แล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาเพียงฝ่ายเดียวที่จะเกิดขึ้นในห้องนั้น

“อุ่น ผมขอโทษนะที่แวะมาหาอีกแล้ว แต่ผมจำเป็นต้องมา คุณรู้หรือเปล่าว่าผมไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลย ขนาดจับปากกาเซ็นชื่อรับทราบในเอกสาร ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองรับทราบเรื่องอะไรเพราะในหัวผมมันมีแต่เรื่องของคุณ”

เสียงในห้องเงียบลงเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะดังขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาโกรธผมมากเลยนะ ไม่ได้จะมาฟ้องหรอกแต่แค่อยากบอกให้รู้ จริงๆ แล้ว... ผมเองที่เป็นฝ่ายผิด ถ้าวันนั้นไม่คิดจะพาตัวคุณมาจากเขา คุณคงไม่จากไปแล้วบางทีผมกับเขาอาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ถ้าคุณฟื้นขึ้นมาก็ฝากบอกเขาด้วยนะว่าจะโกรธผม เกลียดผม โทษว่าผมเป็นคนทำให้คุณจากไปก็ได้ เพราะผมรู้ว่าผมผิดและผมยอมรับผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

คำพูดของไวน์แม้จะเบาแค่ไหนแต่มันกลับฟังชัดถ้อยชัดคำ คำขอโทษสำนึกผิด เบฟได้ยินแล้วและเขาก็ยินดีที่จะให้อภัยด้วยเพราะไออุ่นมักสอนเสมอว่าหากคนทำผิดรู้จักยอมรับผิดและได้รับผลของการกระทำนั้นไปแล้วก็จงให้อภัยเขาเสีย ไม่มีใครบนโลกใบนี้ไม่เคยทำผิดและเช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดในโลกใบนี้ที่ไม่เคยทำดี หากแต่ต่างกันที่ปริมาณเท่านั้น

 “อุ่น ขอบคุณที่ให้ผมได้ยืนมองดูหน้าคุณอยู่อย่างนี้... ผมกลับก่อนนะ”

เบฟขยับตัวให้ห่างออกมาจากบานประตูห้อง ทำทีเป็นว่าเพิ่งเดินออกมาจากห้องของตัวเองแล้วบังเอิญมาเจอกันเข้าแต่ใช่ว่าไวน์จะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ยืนแอบฟังบทสนทนาที่เขาพูดกับไออุ่นอยู่ในห้อง เขาทำเพียงแค่ปล่อยไปตามน้ำ ให้รู้สึกว่าการเจอกันที่หน้าประตูห้องนั้นเป็นแค่ความบังเอิญอย่างที่อีกฝ่ายตั้งใจอยากให้เป็นจริงๆ

“อ้าว~”

“มีไปไหนต่อไหม” เบฟชิงถามขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ขอตัวกลับออกไป

“ก็ว่างอยู่ มีอะไร”

“กินข้าวเย็นกันหน่อยไหม มีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องของอุ่นน่ะ”

ไวน์พยักหน้าตกลง พวกเขาจึงลงไปข้างล่างพร้อมกัน



ทั้งที่ชวนกินข้าวเย็นแต่ดูเหมือนว่าในห้องครัวที่อยู่ด้านหลังจะไม่มีอะไรเลย เว้นเพียงแค่โต๊ะเปล่าๆ หนึ่งตัวกับผู้ชายสองคนที่นั่งเผชิญหน้ากัน บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไม่อาจเรียกได้ว่าผ่อนคลายแต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พอมีจังหวะให้หายใจหายคอได้คล่องขึ้นกว่าแต่ก่อน

“ไหนล่ะข้าวเย็น หรืออยากให้ผมเลี้ยง” ไวน์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

“คุยก่อนแล้วค่อยกิน”

“งั้นก็ว่ามา”

“ผมเหลือสอบตัวสุดท้ายวันพรุ่งนี้เลยคิดว่าอาทิตย์นี้แหละผมจะเริ่มลงมือซ่อมอุ่นอย่างจริงจัง ถ้าคุณอยากจะมาช่วยก็มาแต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ใช่ที่นี่ ผมจะย้ายเขาไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศบนเขา”

ไวน์ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักกับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยิน นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้บริหารอย่างเขามากเลยทีเดียว และไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะต้องย้ายไปอยู่บนเขาอะไรเทือกนั้นมาก่อน ถ้าหากต้องไปกลับระหว่างภูเขากับที่ทำงาน เห็นทีว่าคราวนี้อาจจะได้ตามไออุ่นไปติดๆ

“ทำไมต้องย้ายเขาด้วย”

“ผมไม่สะดวกที่จะซ่อมเขาที่นี่น่ะ มันวุ่นวายเกินไป”

“ถ้าอย่างนั้น...” ไวน์ทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง ถ้าเหตุผลของการต้องย้ายไออุ่นไปจากที่นี่มีเพียงแค่นั้น เขาก็พอจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าการที่ต้องไปอยู่บนเขานั่น “ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ริมทะเล พาเขาไปที่นั่นแทนได้ไหม”

“ถามจริง นี่คุณคิดอะไรอยู่ ให้อุ่นไปอยู่ใกล้ทะเลแบบนั้นเดี๋ยวขี้เกลือก็ได้เกาะกันพอดี”

“ถ้าเป็นบ้านในสวนล่ะ พอจะเป็นไปได้ไหม” 

บ้านในสวนดูเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถึงอย่างไรเบฟก็ยังอยากสบายใจว่าที่แห่งนั้นจะสงบเงียบจริงๆ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่มีเสียงจอแจอึกทึกครึกโครมให้รำคาญใจ หรือบางทีสุดท้ายแล้วการปล่อยให้ไออุ่นอยู่ในร้านดอกไม้อุ่นไอรักเหมือนที่พีทเคยบอกจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

“ผมว่า... สรุปแล้วให้อุ่นอยู่ในที่ที่เขารักมันน่าจะดีกว่า”

ไวน์พยักหน้ารับแต่เมื่อไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรต่อจึงคิดที่จะขอตัวกลับก่อน

เบฟไม่ได้รั้งเอาไว้ เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกจากร้านไปเพราะถึงยังไงอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะต้องกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งอยู่ดี แต่เพียงไม่นานนักเสียงกระดิ่งตรงประตูก็ดังกรุ๊งกริ๊ง เขาจึงชะโงกหน้าออกไปดูให้แน่ใจว่าใครเป็นคนเปิดมัน คนที่เดินเข้ามาในร้านคือคนที่เพิ่งจะเดินออกไปเมื่อสักครู่พร้อมด้วยพี่ชายข้างบ้านอย่างพีท

“พี่เอาข้าวมาให้น่ะ พอดีเจอเขาอยู่หน้าร้านเลยชวนมากินด้วยกัน”

เบฟถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาเดินไปรับถุงกับข้าวมาจากมือพีทเพื่อมาเทใส่จานด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับอย่างที่สุด

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ได้ข่าวว่าเมื่อกี้คนแถวนี้ชวนเขากินข้าวอยู่ไม่ใช่เหรอ”

เบฟปฏิเสธไม่ออกเลยจำต้องเดินเข้าไปยังหลังร้าน แสร้งทำเป็นว่าจะเอาถุงกับข้าวพวกนี้ไปใส่จาน

ในระหว่างที่รอให้เจ้าบ้านที่ดีอย่างเบฟจัดการเตรียมกับข้าวมื้อเย็น พีทจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาคิดว่าควรจะรับรู้ไว้เสียหน่อย “ว่าแต่คุณรู้หรือยังครับว่าเดี๋ยวเบฟจะย้ายพี่อุ่นไปอยู่ที่อื่นน่ะ”

“อ๋อ รู้แล้วครับ เขาบอกแล้ว”

“หืม? บอก?”

เอาเข้าจริงๆ พีทก็ไม่ได้คิดว่าเบฟจะบอกเรื่องนี้กับไวน์ด้วยซ้ำเพราะดูจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เด็กคนนั้นลึกๆ อาจจะยังคงกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของไวน์ที่ทำให้ไออุ่นจากไป แต่เขานึกไม่ถึงว่าเลยทั้งสองคนนี้จะดูเข้าขากันมากกว่าที่คิดอยู่สักหน่อย

“ครับ เขาบอกแล้วแต่ว่าสรุปแล้วก็ไม่ได้จะย้ายไปไหน เห็นเขาว่าอยากให้อุ่นได้อยู่ในที่ที่รักมากกว่าน่ะ”

“แล้ว... ไปคุยกันดีๆ ตอนไหนเหรอครับ เห็นทุกทีดูเหมือนเบฟจะไม่ชอบหน้าคุณเอามาก”

ไวน์หัวเราะเล็กน้อย “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมคิดว่าเขาจะเกลียดผมมากกว่านี้ซะอีก”

“เขาเกลียดแน่ครับ แต่เบฟไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลขนาดที่จะเกลียดใครไม่ลืมหูลืมตา คุณคงเผลอไปทำอะไรสักอย่างเข้าให้เขารู้สึกว่าการให้อภัยมันดีกว่าจะเกลียดกันไปตลอดชาติล่ะมั้ง” พีทเหลือบมองไปทางหลังร้านก่อนจะพูดสำทับขึ้นมาต่อ “ผมจะบอกอะไรให้ฟังอีกอย่างนะ เด็กคนนั้นน่ะถ้าเป็นเรื่องของอุ่นล่ะก็ไม่มีวันให้อภัยได้ง่ายๆ หรอก”

“งั้นก็แปลว่าจริงๆ แล้วเขายังไม่ให้อภัยผม”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก บอกแล้วว่าเขาเป็นคนมีเหตุผล ส่วนเหตุผลที่ว่านั่นน่ะคุณอาจจะยังไม่รู้แต่ผมรู้ เราทุกคนรู้”

ยิ่งฟัง ไวน์ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ปะติดปะต่อเรียบเรียงคำพูดที่อยู่ในหัวสมองไม่ถูกว่าสรุปแล้วความจริงที่พีทต้องการจะสื่อให้เขาฟังนั้นคืออะไร ถึงกับต้องนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทวนทุกสิ่งเสียใหม่

“คุณรู้หรือเปล่าว่าความจริงแล้วพี่อุ่น...”

ยังไม่ทันที่พีทจะได้พูดจนจบ เบฟก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังร้านแล้วตะโกนใส่เสียงดังลั่น “ถ้าว่างขนาดนินทาคนอื่นระยะเผาขนขนาดนี้ได้ล่ะก็มาช่วยจัดโต๊ะกินข้าวกันดีกว่าไหม!!”

เสียงหัวเราะของพีทดังพอๆ กับเสียงที่เบฟตะโกนใส่ เขาตั้งใจที่จะพูดให้ได้ยินตั้งแต่แรกอยู่แล้วถึงได้คอยมองว่าฝ่ายนั้นจะอารมณ์เสียจนโผล่หน้าออกมาเมื่อไร แต่พอได้เห็นเข้าจริงๆ ก็ถูกอกถูกใจไม่น้อย คราวนี้อะไรหลายๆ อย่างที่ดูเป็นความลับหรือเรื่องที่ยังมีความแคลงใจหลงเหลืออยู่ก็คงจะได้จบลงที่โต๊ะอาหารมื้อนี้แน่ เขามั่นใจแบบนั้น

“หัวเราะอะไร! พีท ตลกมากเหรอ ระวังเถอะ!  ไว้อุ่นตื่นมาเมื่อไรจะเอาไปฟ้องให้หมดเลย”

ยิ่งเห็นสีหน้าที่มีอารมณ์โกรธของเบฟอยู่มากขนาดนี้ พีทก็ดูจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่จึงหันไปหาไวน์ที่ดูจะเงียบลงถนัดเมื่อเห็นเด็กคนนั้นหัวเสียได้ขนาดนี้

“นี่! จริงๆ แล้วพี่อุ่นน่ะ...”

“พีท! บอกให้หยุดไง หยุด! หยุดไปเลย ข้าวน่ะจะกินไหม”

พีทแกล้งทำเป็นเงียบแล้วพยักพเยิดให้ไวน์ตามเข้าไปนั่งกินข้าวด้วยกันถ้าอยากจะฟังหรือเห็นอะไรดีๆ ต่อจากนี้ ไวน์ไม่ปฏิเสธอาหารมื้อนี้แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“แถวนี้มีคุณชายด้วยเหรอวะ”

คำพูดลอยๆ ที่ดังออกมาจากปากเบฟ เรียกเสียงหัวเราะจากพีทได้อีกครั้ง เขาเลยทำท่าบอกใบ้ไม่ให้ไวน์ใส่ใจอะไรมาก ก็แค่เด็กคนนี้พูดจาไพเราะกับแค่กับคนในครอบครัวเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ความสำคัญรองลงมาแม้จะไม่ได้โกรธเกลียดกันแต่ชาติปางไหน ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร เด็กคนนั้นก็มักจะพูดด้วยคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้เสมอ

“พีท หัวเราะอีกที ออกจากร้านไปเลยนะ”

“อ้าว~ พี่แค่หัวเราะเฉยๆ ก็ผิดด้วยเหรอ”

เบฟไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินไปตักข้าวใส่จานแล้ววางไว้ที่หน้าไวน์เป็นจานแรก และตักให้กับพีทเป็นรายถัดมา ส่วนของตัวเขาเองเป็นจานสุดท้ายก่อนที่จะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับไวน์โดยมีพีทนั่งคั่นกลางระหว่างคนสองคน

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วพี่อุ่น...”

พีทยังพูดย้ำเรื่องเดิมไม่เลิกราแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นช่วง รอดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของเขาจากเบฟ ปรากฏว่าคราวนี้กลับผิดคาดไปไหล ไม่เพียงแต่ฝ่ายนั้นจะนิ่งเฉยแล้วยังเป็นคนพูดต่อจากนั้นเอง “อุ่นใกล้พังมานานแล้ว”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไวน์เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ผมโกรธคุณไม่ใช่เพราะคุณทำให้อุ่นจากไป แต่ผมโกรธคุณที่คุณพาตัวอุ่นไปโดยที่ผมไม่ได้ทันพูดแม้แต่คำลา โกรธที่คุณเอาเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากของผมกับอุ่นไป โกรธที่คุณเอาเขาไปแล้วไม่ดูแลเขาให้ดี”

ไวน์นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ความรู้สึกในเวลานี้ของเขามันตีรวนอยู่ในหัวใจจนมั่วไปหมดแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะไขความกระจ่างอะไร เบฟก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาต่อ “หยุดขอโทษอุ่นได้แล้ว คนที่คุณควรขอโทษจริงๆ น่ะคือผมนี่”

คำพูดไม่แรงแต่สะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

“แต่ช่างเถอะ ผมให้อภัยคุณไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษหรอก”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทีอึกอักเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็เลือกที่จะเงียบไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ให้อภัยกันง่ายดายถึงขนาดนั้นทั้งที่ควรจะโกรธ เกลียดเขามากกว่านี้จนความรู้สึกที่มีอยู่ภายในถูกแสดงผ่านออกมาทางสีหน้าและแววตา

เบฟรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้อภัยใครสักคนที่พรากคนรักของเขาไป แต่ด้วยเพราะคำสอนของไออุ่น ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่จะต้องร่วมงานด้วยในอนาคต ถ้าหากว่ายังมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ การทำงานร่วมกันคงจะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก เขาจึงเลือกที่จะตัดใจจากความโกรธและให้อภัยในการกระทำนั้นเสียดีกว่า

“ผมไม่อยากทำงานกับคนที่เอาแต่พูดว่าขอโทษโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย... เอาล่ะ! กินข้าวเถอะ จะได้กลับไปได้แล้ว”




** ติดตามตอนต่อไป **


ใกล้แล้วนะคะ ใกล้ได้เวลาจะซ่อมไออุ่นแล้ว
มาคอยลุ้นกันในตอนต่อๆ ไปนะคะว่าไออุ่นจะสามารถกลับมาได้ไหม

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณทุกคำคอมเม้นท์มากๆ นะคะ



+++++++++++++++++++

KARMI
ขอบคุณค่าาาา

numay
ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณค่ะ ใกล้แล้วค่ะ เบฟใกล้จะเรียนจบแล้วค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เราเองก็อยากให้ไออุ่นกลับมาเหมือนกันค่ะ

shoky_9
ขอบคุณค่ะ เราเองก็รออยู่เหมือนกันค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณค่ะ ค่าตัวไวน์แพงมหาศาลเลย นานๆ ออกที เป็นพระเอกที่ไม่เหมือนพระเอกเลย 555+

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่รู้ทำไม อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า ไวน์จะคู่กับเบฟนะ  :confuse:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ู^
^
^
แอบเห็นด้วยค่ะ รู้สึกถึงอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อยู่เหมือนกัน ฮา

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ไม่รู้ทำไม อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า ไวน์จะคู่กับเบฟนะ  :confuse:
แอบคิดเหมือนกันค่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เออเนอะ สิ่งที่ถูกพรากไปไม่ใช่อุ่น แต่เป็นเวลาของไวน์กับอุ่น อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาไหล

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
^
^
^
เราก็นึกว่าคิดไปเอง 5555 มันดูมีซัมติง เจอเรือเดี่ยวพายอยู่ไกลๆ แต่ไม่ชัวร์ 555555 :a5:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
​ตอนที่ 16

ก่อนที่จะทำการซ่อมแซมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าอุล บรอมฟอร์ดหรือที่รู้จักกันในชื่อของไออุ่น ไวน์ได้แวะกลับมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักอีกครั้ง เขาอยากทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับเบฟเสียแต่เนิ่นๆ เพราะคงต้องแวะมาอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น หากไม่ทำความสนิทสนมกันเอาไว้บ้างก็คงจะกลายเป็นว่าได้เขม่นกันทุกครั้งแน่

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดตัวลงไปแล้วตั้งแต่วันนั้น บานประตูด้านหน้าจึงล็อคอยู่เสมอ เสียงกริ่งดังขึ้นสามครั้งติดกันและเว้นช่วงไว้ก่อนดังขึ้นอีกสามครั้งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไวน์ เบฟลงมาข้างล่างเมื่อได้ยินเสียง เขาไม่ได้แสดงท่าทีปั้นปึ่งหรือโมโหใดๆ ที่ถูกรบกวนเวลาระหว่างเขากับไออุ่น

“มาหาอุ่นใช่ไหม”

“เปล่า มาหานาย”

เบฟทำท่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทุกครั้งที่ไวน์มาที่นี่ก็มักจะมาหาไออุ่นเสมอ แต่คราวนี้กลับบอกว่าเป็นตัวเขาเอง ขั้วโลกเหนือคงได้ย้ายไปอยู่ขั้วโลกใต้แล้วล่ะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ถูกไวน์ถามแบบนี้ เบฟก็ยิ่งหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ท่าทางอึกอักของเขาทำให้ไวน์หลุดขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะเฉลยให้ฟังว่าแท้จริงแล้วเขามาหาเบฟเพราะเรื่องอะไรกันแน่ก่อนที่จะถูกคิดเตลิดไปไกลจนกู่กลับมายาก “ที่มาหาก็เพราะเรื่องของอุ่นนั่นแหละ”

“อ้าว~”

“คิดว่าจะมีเรื่องอื่นหรือไง ก็แค่อยากจะมาพูดให้เคลียร์เพราะเราคงต้องทำงานร่วมกันไปอีกสักพัก อะไรที่มันค้างคาใจก็อยากให้จบลงในวันนี้”

เบฟอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บแต่อันที่จริงแล้วความผิดนั้นก็ควรเป็นเพราะไวน์มากกว่าที่ทำให้เข้าใจผิดไป เขาชี้เชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิมที่อยู่ในร้าน ส่วนเขานั้นลากเก้าอี้บาร์ที่อยู่ด้านหลังเค้าท์เตอร์ออกมานั่งเผชิญหน้ากัน พวกเขานิ่งเงียบอยู่สองสามอึดใจก่อนที่สุดท้ายแล้วเบฟจะเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวและเอ่ยถามจุดประสงค์ของการมาที่นี่

“สรุปคุณอยากจะพูดเรื่องอะไรกันแน่”

“ก็อย่างที่บอก นายไม่พอใจอะไรผมตรงไหนก็พูดมา ไม่ชอบให้ผมทำอะไรก็บอกมาตรงๆ ได้ เพราะจากนี้ไปเราต้องร่วมมือกันซ่อมอุ่น ผมไม่อยากให้เรื่องพวกนั้นมาเป็นปัญหาทำให้มันไม่ราบรื่น”

เบฟจ้องมองหน้าไวน์แน่นิ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องไหนที่ไวน์ทำแล้วรู้สึกไม่ชอบใจมันคงมีเยอะจนพูดออกมาได้ไม่หมดแต่แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับว่าพยายามจะปลงกับเรื่องบางเรื่อง “มันเยอะมาก อยากฟังไหมล่ะ”

“อืม ผมมีเวลาว่างทั้งวันหรือถ้ามันไม่จบวันนี้ก็นัดวันเพิ่มได้นะ”

“โอ๊ย! วันเดียวก็พอ ไม่อยากเจอหน้าบ่อยๆ”

ไวน์อมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่เบฟจะพูด

“ผมไม่ชอบที่คุณพาเขาไปจากผม ผมไม่ชอบสายตาคุณเวลาที่มองเขา ผมไม่ชอบการกระทำของคุณแต่เอาเถอะ! ผมเคลียร์ความรู้สึกตัวเองไปแล้ว” เบฟเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณชอบเขา ผมเองก็ชอบเขา แต่ถ้าเขากลับมาได้ล่ะก็ผมจะใจดีเปิดทางให้คุณได้เดินหน้าจีบเขาได้เต็มที่”

“ทำไม...”

ยังไม่ทันที่ไวน์จะได้ถามออกมาจนจบประโยค เบฟก็ตอบมาทันทีราวกับว่าเขาต้องการอธิบายมันอยู่แล้ว “ก็เพราะสายตาเวลาที่อุ่นมองคุณมันต่างออกไป ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แบบเดียวกับที่เขาใช้มองผมหรือคนอื่น ผมหวง... ผมอิจฉา อยากให้เขามองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักแบบนั้นบ้างแต่อุ่นก็ไม่เคยมอง เขา... เขามองแค่กับคุณคนเดียวเท่านั้น ทั้งที่ผมมาก่อน...” เบฟเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องมองมา รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพูดมันต่อไม่ได้ก่อนจะย้ายที่นั่งไปยังม้านั่งตัวเดียวกับที่ไวน์นั่งอยู่ ชันเข่าขึ้นมาแล้วซุกใบหน้าลงไป หลบซ่อนอารมณ์ ความรู้สึกที่น่าอายของตัวเองในเวลานี้เอาไว้

ไวน์ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไรขึ้นมาสักอย่างแต่ก็เงียบไป เขาหันไปมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ และรับรู้ว่ามันทรมานมากกับการที่ต้องปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักเพื่อความสุขของอีกฝ่าย

“ผมอยู่กับเขามาตลอดทั้งชีวิต ผมมีแค่เขาและเขาก็สำคัญกับผมมาก แต่พอวันที่คุณเดินเข้ามาในชีวิตเขา ผม... ผมถึงได้รู้อะไรบางอย่าง ผมไม่อยากโต ผมอยากเป็นแค่เด็กคนหนึ่งในสายตาของอุ่น ผมแค่อยากเป็นเด็กที่เอาแต่ใจเก็บเขาไว้คนเดียวโดยไม่แบ่งใคร อยากให้เขาเป็นแค่ตุ๊กตาไขลานที่ทำได้แค่อยู่ในร้านรอผมกลับมา ผมอยากเป็นคนที่เห็นแก่ตัวแต่คนเราสักวันก็ต้องโต ไม่ช้าก็เร็วเราจะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเพราะผมกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้...”

ในขณะที่เบฟเงียบไปและไวน์กำลังยกมือขึ้นเพื่อจะลูบหัวปลอบ ไวน์รีบชักมือกลับเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เบฟอาจแค่ต้องการให้รับฟังแต่ไม่ได้อยากได้คำปลอบใจ เพียงไม่นานนักเบฟก็พูดขึ้นต่อราวกับว่าที่หยุดไปเมื่อครู่นั้นแค่พักหายใจเท่านั้น

“ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ว่าตอนที่อุ่นมีคุณแล้วผมกับเขาจะเป็นเหมือนเดิมได้อีกไหม ผมไม่รู้ว่าถ้าผมปล่อยเขาไปให้คุณแล้วคุณจะรักเขามากกว่าหรือเท่ากับที่ผมรักหรือกเปล่า ผม... ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”

“เบฟ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดี”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองไวน์ครู่หนึ่งก่อนกลับไปซบกับเข่าที่ชันขึ้นมา สีหน้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเห็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเต็มไปด้วยความจริงใจที่ไม่เสแสร้งยามพูดประโยคนั้นออกมา เบฟไม่อยากปล่อยมือจากไออุ่นแต่ในขณะเดียวกันด้วยคำยืนยันนั้นเขากลับเชื่อมันเกินครึ่งว่าไวน์จะดูแลไออุ่น ตุ๊กตาไขลานที่เขารัก ถนุถนอมและหวงแหนได้เป็นอย่างดี

“ผมปล่อยเขาให้คุณไม่ใช่เพราะว่าผมไม่รักแต่เพราะผมยังรักและรักมาก ผม... ผมนอนคิดมาตลอดหลายคืน ผมพูดกับเขา คุยกับเขาแต่เขาก็ไม่ตอบสนองอะไร มันเลยทำให้ผมเริ่มคิดได้ ความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ตัวเองนั่นแหละ”

น่าแปลกที่พอเบฟได้ใช้เวลาอยู่กับไออุ่นมากเข้ากลับทำให้เขาคิดได้ ตระหนักได้ หากเป็นเมื่อก่อนก็คงทำตัวดื้อแพ่ง ขวางโลก หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยกไออุ่นให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้แต่ไวน์เองก็จะไม่ได้ไป ทว่าพอมาตอนนี้ นึกจะปล่อยก็ปล่อยอย่างง่ายดายราวกับว่าวันเวลาที่ผ่านมาช่วยไขคำตอบให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง

“ขอบคุณนะ”

“แค่ขอบคุณไม่พอหรอก”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่กลับไม่ทำให้ไวน์รู้สึกหวั่นใจอะไรเลยสักนิด

“จะเอาอะไร”

“ขอจูบทีได้ป่ะ”

ตอนนั้นไม่หวั่นใจแต่ตอนนี้... ไวน์ขนลุกไปทั่วทั้งร่างเหมือนเจอสิ่งที่สยองขวัญ สั่นประสาทที่สุดในโลกเข้าให้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางขยับไปมาราวกับว่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดมันไม่ออก หัวใจของเขาใกล้จะหยุดเต้นเข้าไปทุกที ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้จากผู้ชายคนนี้มาก่อนในชีวิต

“นาย... นาย... อย่าบอกนะว่า...”

“อำเล่น เห็นทำหน้าแบบนี้แล้วมันตลกว่ะ ขอขำเถอะนะ กลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้ว”

เบฟหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจและไม่คิดจะเกรงใจ เขาเห็นไวน์ทำหน้ามึนตึงก็พยายามรีบกลั้นหัวเราะแต่กว่าจะหยุดได้ก็เล่นเอาเหนื่อยจนเกือบจะหมดแรง

“มันไม่ตลก!”

“โอ๊ย~ ขอโทษ ก็แค่อยากลองดูเฉยๆ ใครจะบ้าไปนึกพิศวาสคนที่ชอบปั้นหน้ายักษ์ตลอดเวลาแบบคุณ”

เบฟยกมือกุมท้องที่ขำจนท้องคัดท้องแข็งไปหมดเอาไว้ ตัวงอเป็นกุ้งต้ม ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะไม่ยิ้ม ท่าทางถูกอกถูกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เห็นไวน์ในมุมอื่นบ้าง ถือเป็นการแก้เผ็ดเอาคืนในส่วนเรื่องของไออุ่นที่เคยทำเอาไว้กับตัวเขาก่อนหน้านี้เสียเลย แต่พอถูกไวน์มองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกที่จะมาหัวเราะกันไม่หยุด เบฟจึงได้รีบปรับสีหน้าของตัวเองให้ดูจริงจังขึ้นอีกเล็กน้อย

“ก็รู้ว่ามันไม่ตลก แต่ช่วยลดความจริงจังในชีวิตลงหน่อยก็ดีนะ”

“ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“เหรอ? ไม่คุยด้วยล่ะ เลี้ยงพิซซ่าด้วยนะ ผมจะไปหาพีทแปปนึง คุณจะขึ้นไปหาอุ่นก็ได้ เดี๋ยวกลับมา”

เบฟลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเปิดประตูเดินออกไป ไม่รอให้ไวน์ได้ปฏิเสธหรือรับคำใดๆ จนกระทั่งเบฟลับสายตาไปแล้วไวน์จึงเดินขึ้นไปบนห้องเดิม ห้องนอนของไออุ่นที่ทำเอาเขาปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็นแต่ในวันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความยินดีและมีความหวัง

บานประตูห้องนอนถูกผลักเข้าไป ไออุ่นยังคงนอนนิ่งอยู่ใต้ผืนผ้าห่มเหมือนเช่นทุกครั้งที่ไวน์ได้แวะเข้ามา ร่างนั้นเพียงแค่หลับลึกจนปลุกเท่าไรก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาแต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี ดวงหน้าเรียวงามที่เย็นเฉียบยังคงเปล่งประกายงดงามเสมอในสายตาของเขา

ไวน์หยุดลงแค่เพียงที่หน้าประตู

“อุ่น วันนี้เขาทำผมแปลกใจมากนะ” ไวน์เว้นช่วงเอาไว้เล็กน้อยราวกับอยากจะได้ยินอีกฝ่ายถามว่ามันเป็นเรื่องอะไรแต่เขารู้ดีว่าไออุ่นในตอนนี้ตอบสนองอะไรไม่ได้แม้เพียงอย่างเดียว “ผมรู้ว่าเขาน่าจะยังไม่ชอบผมอยู่บ้าง แต่การที่จู่ๆ มาบอกผมว่าเปิดโอกาสให้ผมได้เดินหน้าจีบคุณ ผมว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย คุณคิดแบบนั้นไหม”

“......”

ไวน์เดินเข้าไปใกล้เตียงนอนของไออุ่นแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เอนหัวพิงซบลงบนฟูกนอน

“เขายอมถอยให้ขนาดนี้ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย... เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ยอมปล่อยคุณไปง่ายๆ แต่เขายอมเจ็บเพื่อคุณ ยอมปล่อยมือจากคุณเพราะอยากให้คุณได้มีความสุข อุ่น... รีบกลับมาเร็วๆ นะ ผมรอคุณอยู่ เขาก็กำลังรอคุณอยู่ เราทุกคนรอคุณกลับมาอีกครั้งนะ มาทำให้ร้านดอกไม้อุ่นไอรักของคุณกลับมามีชีวิตชีวา กลับมาทำให้ใจของผมเข้มแข็งขึ้น กลับมาฟังคำขอโทษและคำบอกรักจากปากของผมเถอะนะ ผมอยากให้คุณได้ยินมันแล้ว”

ไวน์ทอดสายตามองนิ้วมือที่เกี่ยวประสานกันไปมา เขาเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เป็นความเงียบที่ทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองชัดเจนมากขึ้น “อุ่น... ผมทรมาน ผมเห็นคุณอยู่ตรงหน้าแต่ผมก็ทำได้แค่ยืนมอง จะเข้าไปช่วยซ่อมร่างกายของคุณก็กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้คุณกลับมาไม่ได้อีก ผมนี่มัน... เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม เบฟยังดีกว่าผมเยอะ เพราะอย่างน้อยๆ ในหัวของเขาก็มีแต่เรื่องของคุณเต็มไปหมด เขาพยายามเพื่อคุณโดยที่เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผม...”

ราวกับมีก้อนความรู้สึกบางอย่างจุกแน่นอยู่ตรงหน้าอก เขาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อที่จะระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ความทุกข์ทรมาน การกล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมากับเรื่องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดที่ตนเป็นคนก่อ มันไม่เคยจางหายไปไหนจนกระทั่งวันนี้ที่น้ำตาคือสิ่งที่อธิบายสิ่งที่เก็บเอาไว้ภายใน

“ขอ... ขอโทษที่ร้องไห้ต่อหน้าคุณ”

มือแกร่งยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะสองแก้ม เก็บเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ไม่ให้มันได้เล็ดลอดออกมาให้ไออุ่นได้ยินแล้วเกิดความไม่สบายใจ

“ผม... ทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลย จะซ่อมร่างกายของคุณก็ทำไม่เป็น ได้แต่อยู่เฉยๆ แล้วมองคุณอยู่อย่างนี้ มันอึดอัดมากนะ อุ่น แต่ผมก็ดีใจนะที่เขายอมให้ผมได้จีบคุณ จากนี้มันก็เหลือแค่ว่าคุณจะตอบรับความรู้สึกของผมไหม แต่ก่อนอื่นก็ต้องพาคุณกลับมาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางได้คำตอบจากคุณ”

ความเงียบก็ยังคงเป็นคำตอบของไออุ่น

“อุ่น ขอผมนั่งอยู่แบบนี้สักพักได้ไหม ให้ผมได้อยู่กับอุ่นแบบนี้สักพักนะ”


-----------------------------------

 

เบฟออกมาจากร้านได้ก็รีบตรงดิ่งไปหาพีททันที ท่าทางอารมณ์ดีเหมือนได้ปลดปล่อยพันธนาการอะไรบางอย่างออกไปจากใจเสียที พอมาถึงร้านก็พบว่าพีทนั่งอยู่หน้าร้านราวกับล่วงรู้ว่าเขาจะมาหา เบฟพุ่งตรงเข้าไปพร้อมกับตบลงบนโต๊ะจนเสียงดังลั่นร้าน ชามะนาวที่กำลังจะเข้าปากพีทกลับพุ่งออกมาใส่ร่างคนที่มาเยือนจนเสื้อเป็นด่างเป็นดวง

“พีท! ทำบ้าอะไรวะ!”

“แล้วตบโต๊ะทำไม ตกใจหมด”

เบฟเดินเข้าไปใกล้ จับเสื้อของตัวเองที่เปรอะนำชามะนาวเช็ดไปบนเสื้อของอีกฝ่าย พีททำแค่ขมวดคิ้วมองแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรก่อนจะย้ำถามอีกครั้งด้วยความสงสัยในความอารมณ์ดีเกินพิกัด “มีอะไร ทำหน้าระรื่นขนาดนี้”

“ไปกินพิซซ่ากัน มีคนเลี้ยง”

“พิซซ่าฟรีแค่นี้ทำให้อารมณ์ดีได้เลยเหรอ อยากกินก็บอก พี่เลี้ยงก็ได้”

“มันเหมือนกันที่ไหน นี่น่ะ! พิซซ่าไวน์”

พีทเบิ่งตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ พิซซ่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้ตกใจแต่เป็นชื่อของไวน์มากกว่า อีกทั้งอารมณ์ของเบฟยังดีเกินคาดนั่นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างวันก่อนก็ยังเห็นเบฟทำหน้าป่วยเหมือนคนใกล้ตายเข้าไปทุกทีแต่พอมาวันนี้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนจากหลังมือกลายเป็นหน้ามือได้อย่างง่ายดาย

“ขอคำอธิบาย”

“คือ...” เบฟไม่รู้จะไปเริ่มที่ตรงไหน เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างพีท คว้าชามะนาวที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วขึ้นมาดูดแต่ยังถูกพีทจ้องเขม็งคล้ายว่าจะพยายามคาดคั้นความจริงจากปากของเขาให้ได้เดี๋ยวนี้ “อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิวะ ไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหนเลย”

“ตรงที่ทำไมอารมณ์ดีขนาดนี้ หาทางซ่อมพี่อุ่นได้แล้วเหรอไง”

“เปล่า แค่เคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้ มันเหมือนนกที่หลุดจากกรงขังเลยว่ะ”

“คือ...?”

“กูปล่อยมือจากอุ่นแล้ว กูจะให้เขาได้มีอิสระ กูจะไม่เอาตัวเองไปผูกมัดเขาไว้ กูรู้ว่าที่ผ่านมา... กูทำตามใจตัวเองโดยไม่เคยสนเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง ที่ผ่านมากูไม่เคยรู้อะไรเลยจน...” เบฟนิ่งเงียบไปแล้วแกล้งหยิบแก้วน้ำของพีทมาดื่มไปอีกหลายอึก รอดูปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นของพีทแต่เขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย นอกจากคำว่า “แล้วยังไงต่อ”

“ช่วยอินกับที่กูเล่าไม่ได้เลยเหรอ”

“จะเล่าไหม กำลังตั้งใจฟังอยู่”

“เออๆ” เบฟออกอาการหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะยอมเล่าต่อ “จนกูได้อยู่กับตัวเองลำพัง หลายวันเข้า กูถึงเพิ่งเข้าใจว่าสายตาที่เขามองไวน์มันไม่เหมือนที่เขามองกู เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมันเหมือนกูกลายเป็นส่วนเกิน กูเป็นฝ่ายบอกรักเขาก่อนมาตลอด ถ้ากูไม่ถามเขาว่ารักกูไหมก็คงไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากของเขา แล้วแบบนี้จะให้กูยึดเขาไว้กับตัวเพื่ออะไรวะ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขด้วยกันทั้งคู่”

“คิดได้แล้วสินะ”

“พูดอะไรแปลกๆ ทำตัวก็แปลกๆ โกรธที่กูเอาเสื้อไปเช็ดเหรอ”

“พี่ถามจริงๆ นะ ที่บอกว่าปล่อยมือจากพี่อุ่นแล้วเป็นเพราะนายชอบไวน์ใช่ไหม”

ถ้าตอนนี้ในปากของเบฟมีอะไรสักอย่างอยู่ มันคงพุ่งออกมาหมด เขากรอกตาไปมาด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของพีท ถ้าเขาชอบไวน์จริงก็คงไม่บอกให้จีบไออุ่นได้ตามสบายแต่พีทคงยังไม่รู้เลยเข้าใจไปผิดๆ แบบนั้น

“ถามจริง ทำไมถึงคิดว่ากูชอบเขา”

“ไม่รู้ แล้วชอบเขาหรือเปล่าล่ะ”

“เปล่า ไม่ได้ชอบ”

“อืม”

“แล้วยังไง จะไปด้วยกันไหม ไวน์เลี้ยง”

พีทนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับแต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นยิ่งทำให้เบฟรู้สึกว่ามันแปลก มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ท่าทีของพีทยังมึนตึงใส่เขาทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น เบฟจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปยืนด้ายหลัง ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดใส่พีทที่นั่งอยู่จนหน้าเกือบทิ่มลงบนโต๊ะ สองแขนโอบรอบคอ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วจึงกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่ว “พีท มึงโกรธกูเหรอ”

“เปล่า จะให้พี่โกรธเรื่องอะไร”

“ไวน์ไง แล้ว... มึงชอบกูใช่ไหม”

“......”

ยิ่งพีทไม่ตอบก็ยิ่งทำให้เบฟคิดว่ามันใช่ เขาทำท่าจะถามย้ำอีกครั้งแต่ก็เงียบไปเมื่อได้ยินพีทพูดขึ้นมา “ถ้าเรารู้ว่าเขาไม่ได้รักเรา ยิ่งตัดใจได้เร็วเท่าไรมันก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเราเอง แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย นานวันเข้ามันจะถลำลึกจนหันหลังกลับมาไม่ได้อีกแล้ว”

“มึง... ต้องการพูดอะไรกันแน่ พีท”

“จริงๆ แล้วนายยังรักพี่อุ่นอยู่ นายรักเขามาทั้งชีวิต พอมาวันนี้กลับบอกว่ายอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ การกระทำของนายน่ะปล่อยแล้วก็จริงแต่ใจนายปล่อยเขาด้วยหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ยังเจ็บก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือตัวนายเองนะ เบฟ”

 เบฟนิ่งชะงักก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่แทบจะจับใจความไม่ค่อยได้สักเท่าไร “กูยังรักเขาแต่จะให้ทำยังไง...”

ไม่มีคำปลอบใจใดจากพีท นอกจากความอบอุ่นจากมือข้างหนึ่งที่กำลังลูบหัวอย่างเบามือและอ่อนโยนมากที่สุด แต่นั่นกลับทำให้เบฟร้องไห้ไม่หยุด

“ทำไมกูไม่รักมึงวะ พีท”

มือที่กำลังลูบหัวอยู่หยุดค้างกลางอากาศ

“พะ... พูดอะไร เบฟ”

“ถ้ากูชอบมึงตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บขนาดนี้ไง”

“.......”

พีทพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขานั่งอยู่แบบนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้เบฟได้ซบไหล่ ถ้าหากคำพูดของเบฟเป็นคำสารภาพที่มาจากใจจริงๆ ไม่ใช่ความต้องการเพื่อที่จะให้เขาไปแทนที่ใครสักคนก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาตอบได้ง่ายกว่านี้

“แต่กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบกูหรอก มึงชอบอุ่นมาตลอดเหมือนอย่างกู”

“.......”

“ไปเถอะ ไปดูกันดีกว่าว่าจะสั่งพิซซ่าหน้าอะไรมากินกันดี”

เบฟขยับตัวออกมาแต่กลับถูกพีทรั้งเอาไว้จนขยับออกไปได้ไม่ไกล พีทไม่ได้หันหน้าไปหาแต่มือที่จับอยู่นั้นแน่นถึงขนาดที่เบฟสะบัดไม่ออกราวกับว่าไม่อยากให้เขาจากไปไหนไกล พวกเขาอยู่ในสภาพนั้นเนิ่นนานโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวจนกระทั่ง... “ขี่หลังพี่ไหม เบฟไม่ได้ขี่หลังพี่นานแล้วนะ”

เบฟทิ้งตัวลงใส่พีทอีกครั้ง ทำตัวเหมือนพวกงูไร้กระดูกสันหลัง สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอเป็นที่เรียบร้อย กำลังจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดเอวแต่ถูกปรามเอาไว้ก่อน “ให้พี่ลุกก่อนได้ไหม แบบนี้เดี๋ยวได้ล้มหงายหลังด้วยกันทั้งคู่หรอก”

“ถ้าล้ม มึงก็ฉุดกูขึ้นมาสิ พีท”

“ถ้าพี่ฉุดแล้วนายไม่ยอมตามขึ้นมาล่ะ”

“ไม่มีทาง! ลุกได้แล้ว พีท”

เบฟตบลงบนหน้าอกของพีท เร่งเร้าให้เขาลุกขึ้นทั้งที่ตัวเองทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไป ดูยังไงก็รู้ว่างานนี้คือการแกล้งกันแต่ใช่ว่าพีทจะโวยวายออกมา ในเมื่อเบฟบอกให้ลกขึ้นยืนทั้งอย่างนี้และเจ้าตัวดูเหมือนจะกลายร่างเป็นลูกตุ้มถ่วงน้ำหนัก เขาก็จะทำแม้ว่ามันอาจทำให้เราทั้งคู่ต้องล้มลงไปพร้อมกันก็ตาม

ร่างของเบฟดูเหมือนจะเบาแต่พออยู่ในลักษณะท่านั่งทำให้พีทแบกร่างนั้นยากขึ้น กว่าจะลุกขึ้นได้ก็ใช้แรงไปเยอะและต้องพยายามอยู่หลายครั้งกว่าจะแบกขึ้นหลังและลุกยืนได้สำเร็จ ไม่มีคำพูดบ่นใดๆ ให้ได้ยินจากคนทั้งคู่นอกจากคำว่า “คิดถึงเนอะ” และตามด้วยเสียงหัวเราะที่ดังลั่นร้าน

“ตอนนั้นนายขอพี่อุ่นออกไปเล่นข้างนอกกับพี่ จำได้ไหม แล้วนายก็งอแงเพราะว่าล้มจนได้แผลที่เข่า นายกลัวเจ็บแล้วก็กลัวพี่อุ่นจะดุเอา พี่เลยอาสาจะให้นายขี่หลังกลับ นายถึงยอม”

“ตอนนั้นกูเก้าขวบ ส่วนมึงสิบสี่”

“แต่ตอนนี้พี่ยี่สิบห้า เบฟยี่สิบแล้ว นานมากจริงๆ”

“อืม ว่าแต่จะกินหน้าอะไร จะได้โทรไปสั่ง” เบฟแกล้งกระซิบข้างหูในขณะที่ถูกแบกกลับ

“ฮาวายเอี้ยนกับซีฟู๊ดค็อกเทล หน้าโปรดนาย พี่จำได้”

“แต่ตอนนี้ไม่อยากกินหน้านั้นแล้ว พีท”

“เป็นอะไร เบื่อแล้วเหรอ”

“ไม่เบื่อแต่อยากกินหน้าที่มึงชอบบ้าง ทุกทีที่สั่งก็เป็นมึงที่กินตามใจกูตลอด กูแค่อยากตามใจมึงบ้าง”

เท้าที่ก้าวอยู่หยุดชะงักไปชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะพยายามก้าวให้เป็นจังหวะปกติพร้อมกับบังคับการเต้นของหัวใจให้คงเส้นคงวา เมื่อก่อนอาจจะทำไม่ยากแต่ตอนนี้สำหรับพีทมันเริ่มยากขึ้นมาบ้างแล้ว ตั้งแต่ที่เขารู้จุดยืนของตัวเอง

“ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย ยังไงพี่ก็ตามใจนายอยู่แล้ว”

“ถ้างั้นก็ตามใจอีกนิดได้ไหม”

“ได้ อะไรล่ะ”

“ให้กูได้เป็นคนเดียวที่ขี่หลังมึงแบบนี้ได้ไหมวะ”

“ทำไมจะไม่ได้”

ระยะทางระหว่างร้านของพีทกับอดีตร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่ได้ไกลกันมากนักแต่จนถึงตอนนี้แล้วพวกเขาก็ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางสักที

“กูรักอุ่นนะ พีท แล้วกูก็คงทนไม่ได้ถ้ากูยังรักเขาอยู่แล้วเห็นเขาอยู่กับใครที่ไม่ใช่กู”

พีทหยุดเดินเมื่อยินประโยคนั้นจากปากของเบฟ ความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจ

“เบฟ...”

“หืม?”

“เรามาลองคบกันไหม”

“ห๊ะ!!”

เบฟเกือบจะร่วงตกลงมาเมื่อได้ยินพีทที่จู่ๆ ก็ขอให้คบกันเสียอย่างนั้น ถึงแม้เขาจะเคยพูดออกไปว่าถ้าตนได้รักกับพีทตั้งแต่แรกก็คงจะไม่เจ็บเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะต้องมาคบกันเพียงเพื่ออยากตัดปัญหา

“ลองคบกันดู มันก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ”

“ตะ... แต่... มึงก็รู้ว่ากูยังรักอุ่นอยู่”

“ก็เพราะรู้เลยบอกว่าให้ลองคบกันดูไง ไม่อย่างนั้นนายจะตัดใจจากเขาได้ยังไง พี่อุ่นน่ะเป็นรักทั้งชีวิตของนาย จู่ๆ จะให้เลิกรักทันทีมันไม่ใช่เรื่องง่าย และพี่ก็ไม่ได้บอกว่าให้นายต้องมารักพี่”

“.......”

เอาเข้าจริง เบฟไม่เข้าใจการกระทำของพีทเลยสักนิด

“เพื่ออะไรวะ คบกันแต่ไม่ได้รักกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนจากลองคบกันมาเป็นลองรักกันไหม”

“พูดบ้าอะไรวะ!! พีท!!”

เบฟทุบเข้าที่กลางหลังของคนที่เขากำลังเกาะอยู่ไปหนึ่งครั้ง ขยับตัวทำท่าจะลงแต่พีทยังคงยึดเอาไว้แน่นกระชับ ต่อให้อยากจะลงก็ลงไม่ได้ เขาทำได้แค่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น สองมือที่คล้องคออยู่คลายออกเล็กน้อย ถ้าเพียงแต่พีทหันกลับมาก็คงเห็นใบหูที่แดงเถือกเป็นลูกเชอรี่เข้าแน่







<< ต่อด้านล่างค่ะ >>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>





“พูดจริง”

“บะ... บอกเลยนะว่าไม่ตลก”

“ก็ไม่ตลกเหมือนกัน ว่ายังไงล่ะ ตกลงไหม”

“.......”

“ถ้าไม่ตอบ พี่ก็จะยืนแบกนายอยู่แบบนี้”

“ปะ... ปะ... ปล่อยลงก่อนสิ แล้วจะตอบ”

พีทปล่อยเบฟให้ลงยืนกับพื้นตามคำขอ และทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นก็ราวกับว่าได้ติดจรวดเอาไว้ เบฟวิ่งกลับเข้าร้านไปอย่างไม่คิดชีวิตแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาตอบคำถามด้วยท่าทางเขอะเขินอยู่เล็กน้อย “คำตอบน่ะ รอไปก่อนนะ แต่เมื่อไรไม่รู้!”

พีทไม่รีบร้อนเดินตามไป เขาปล่อยให้เบฟกลับเข้าร้านไปได้สักพักแล้วจึงเข้าตามไปทีหลัง ให้เบฟได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักนาทีสองนาทีเพื่อค้นหาคำตอบให้กับคำถามที่เขาได้ถามไป แต่พอเข้าไปในร้าน เบฟกลับทำเป็นเหมือนเรื่องเมื่อครู่มันไม่เคยได้เกิดขึ้น

“กูโทรไปสั่งแล้วนะ พิซซ่าอ่ะ”

“อืม”

พีทตอบรับเสียงเบา แต่ในสายตาของเบฟแล้วนั่นเป็นการกระทำที่แสนเย็นชา

“พีท มึงโกรธกูจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”

“เปล่า ลืมที่พี่ถามไปเลยก็ได้นะ”

“พีท~”

“ไวน์อยู่ข้างบนกับพี่อุ่นใช่ไหม พี่จะขึ้นไปหาเขาหน่อย”

แค่เพียงพีทก้าวเท้าจะเกินจากไปก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้ เขาไม่หันกลับไปเผชิญหน้าแต่ยืนนิ่งรอฟังสิ่งที่เบฟจะพูดออกมาอยู่ตรงนั้น อันที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะเริ่มต้นพูดเรื่องนั้นด้วยซ้ำ เพราะคำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องตอบ เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร

“พีท... มึงชอบกูเหรอ”

“อืม”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่เมื่อไรมันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าอีกฝ่ายจะตอบรับความรู้สึกของเราหรือเปล่า”

เบฟปล่อยมือจากพีทแล้วเดินอ้อมไปข้างหน้า ท่าทางของเขาดูจริงจังขึ้นมากกว่าปกติ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่ใช่ใครจะเอามาพูดกันเล่นๆ และดูแล้วพีทเองก็ไม่ได้พูดเล่นด้วยเช่นกัน

“พีท... ถ้ามึงถามกูหลังจากนี้ คำตอบมันอาจจะเปลี่ยนไปเพราะตอนนี้กูก็ไม่รู้ว่ากูควรทำยังไง กูยอมรับนะว่ากูปล่อยอุ่นให้ไวน์ไปแล้วแต่ก็ยังรักอยู่ ความรักที่กูมีให้เขามันไม่ใช่แค่วันสองวันหรือเดือนสองเดือนก็จางหายไป อย่างที่มึงบอกนั่นแหละว่ากูรักเขามาทั้งชีวิตแล้วจะให้เลิกรักเลยมันคงทำไม่ได้ และที่กูปล่อยเขาไปก็เพราะอยากเห็นเขามีความสุข อยากเห็นเขาทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ขอเวลาให้กูสักพักนะ พีท ให้ความรู้สึกของกูมันคงที่กว่านี้หน่อยแล้วกูจะตอบคำถามนั้นของมึง รอกูหน่อยนะ”

“อืม จะรอจนกว่าจะตอบรับ”

“เฮ้ย! ไม่ได้บอกว่าจะตอบรับ แค่จะตอบคำถามเฉยๆ”

พีทยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบหัวกลมๆ ที่ไม่ได้สูงไปกว่าเขาด้วยความเบามือและอ่อนโยนจนเบฟสัมผัสถึงมันได้ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ถูกพีทลูบหัวอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยรู้สึกได้เหมือนกับวันนี้

“คำตอบที่เบฟจะให้พี่ได้ก็มีแต่คำว่าตกลง”

“เฮ้ย! มัดมือชกเหรอ!”

“พี่เสียเวลารอได้แล้วทำไมถึงตอบตกลงไม่ได้ล่ะ”

“เดี๋ยว! อะไรคือรอ เพิ่งพูดจบไปยังไม่ถึงสิบนาที จะให้ตอบตกลงได้ยังไง ขอเวลาสักปีสองปีไม่ได้เหรอไง ให้ได้ทำใจให้มันคงที่ก่อนไม่ได้เหรอ อย่าขี้โกงไปหน่อยเลย”

เบฟชี้หน้าพูดปาวๆ ท่าทางไม่ยอมความกันง่ายๆ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบอยู่

“ถ้าคำตอบคือตกลงอยู่แล้ว จะตกลงตอนนี้หรืออีกปีสองปีข้างหน้ามันก็ยังคือคำว่าตกลงไม่ใช่เหรอ แล้วจะรอไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ”

“พีท! ถ้ากูรู้ว่ามึงเป็นคนแบบนี้นะ กู... กูขึ้นไปหาอุ่นดีกว่า”

เบฟหันหลังให้ รีบสาวเท้าก้าวจากไปแต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไวน์ก็ลงมาจากข้างบนพอดี เห็นพีทยืนอยู่จึงเข้าไปทักทายตามมารยาท พีทจึงคว้าตัวเบฟเข้ามากอดคอเอาไว้และแนะนำสถานะใหม่ให้รู้จักเสียเลย “ไวน์ ผมกับเบฟคบกันแล้วนะ จากนี้ไปก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วว่าเด็กคนนี้จะไปเป็นมารขวางความรักอีกแล้ว”

“พีท! ปล่อยสิโว้ย! ใครคบใคร! กูไม่ได้คบมึง! อย่าเพิ่งมโน!”

พีทหัวเราะหึๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ไวน์ เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแต่ที่จะเข้าใจไม่ตรงกันก็เห็นจะมีแค่เบฟเท่านั้น เบฟยังแสดงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง พอเห็นว่าพิซซ่าที่สั่งเอาไว้มาส่งแล้วก็รีบแกะมือที่ล็อคคอตัวเองออก หมุนตัวพริ้วไปรับของจากพนักงานโดยปล่อยพีทกับไวน์เอาไว้ตรงนั้น

ไวน์เดินแทรกออกมาพร้อมกับจ่ายเงินให้พนักงานส่งพิซซ่าแล้วขอตัวกลับในทันที

เบฟรับพิซซ่าที่สั่งเอาไว้ วางมันลงบนโต๊ะว่างๆ เปิดฝาถาดออกมา หนึ่งถาดเป็นหน้าฮาวายเอี้ยน ส่วนอีกหนึ่งถาดเป็นหน้าซีฟู๊ดค็อกเทล ขอบชีสด้วยกันทั้งคู่ ชิ้นแรกที่เขาหยิบมาเป็นหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลแล้วจึงเดินไปนั่งบนม้านั่งเพียงตัวเดียวในร้าน จ้องมองพีทที่เลือกหยิบหน้าฮาวายเอี้ยนออกมา “ตั้งแต่เมื่อไร มึงชอบกูตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ที่พี่อุ่นฝากให้พี่ดูแลนายแทนเขา”

“แล้วมึงไม่ได้ชอบอุ่นแล้วเหรอ”

“ชอบสิ แต่พี่รู้ว่าพี่ควรอยู่ตรงไหน ความรักของพี่มันไม่สมหวังตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาพี่จึงพยายามตัดใจจากเขามาตลอดแล้วยืนอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเอง”

“พีท...”

เบฟเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า จ้องมองพิซซ่าชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก่อนจะงับตรงปลายชิ้นที่มีสัปปะรดอยู่

“มึงไม่กินสัปปะรดแล้วทำไมถึงหยิบหน้านี้”

“ก็เพราะนายชอบกินหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลไง พี่ไม่อยากไปแย่ง”

“แล้วมึงชอบกินหน้าอะไร”

“ซีฟู๊ดค็อกเทล แต่ไม่เป็นไร พี่กินหน้านี้ได้”

เบฟยื่นพิซซ่าหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลที่ตัวเองกัดไปแล้วเกินครึ่งไปตรงหน้าพีทจนมันแทบจะเข้าปาก พีทจึงต้องกัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เบฟเห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบหันไปทางอื่นก่อนจะพูดอ๋อมแอ้มเสียงเบา “คราวหน้า ถ้าสั่งพิซซ่าอีก กูจะสั่งซีฟู๊ดค็อกเทลมาสองถาด ของมึงถาดนึง ของกูถาดนึงนะ”

พีทยกยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งก่อนที่จะตบลงบนพื้นที่ว่างข้างตัว เรียกให้เบฟลงมานั่งข้างกัน เบฟเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เรื่องที่มึงขอน่ะ รอก่อนนะ กูยังให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้”

“อืม พี่รู้อยู่แล้วว่ามันอาจต้องใช้เวลา แต่อยากให้เข้าใจว่าบางทีเวลามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ ถ้าใจของนายมันไม่คิดจะตัดใจจากเขาจริงๆ วันเวลามันไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรแค่มันอาจทำให้นายลืมแต่ความจริงแล้วมันไม่ได้หายไปไหนเลย”

“แล้วกูต้องทำไง”

“มารักกับพี่ไง”

“.......”

เบฟทำหน้าเหวอ พิซซ่าที่ถืออยู่ในมือเกือบจะร่วงตกพื้น แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพีทที่ไม่ได้ดังมากและไม่ได้เบามาก แต่น้ำเสียงนั้นทำให้เขารู้ได้เลยว่าคนหัวเราะนั้นอารมณ์ดีแค่ไหน

“กูบอกว่าขอเวลา!! You know? I need time. Ok?”

“ไม่โอเค”

“ไอ้พี่พีท!! โอ๊ย!! นี่กูต้องพูดกับมึงภาษาไหนเนี่ยถึงจะเข้าใจ jikan ga hoshii! wakatta?”

“พูดภาษาญี่ปุ่นใส่พี่ พี่ก็ไม่เข้าใจหรอก”

“งั้นกูไม่พูดแล้ว มึงก็ไม่ต้องมาแย่งซีฟู๊ดค็อกเทลของกูด้วยล่ะ”

เบฟย้ายที่ไปยืนอยู่หน้าถาดพิซซ่า หยิบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วยัดใส่ปาก ระบายความโมโหที่เริ่มจะสุมเป็นไฟกองโตอยู่ในใจ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของพีทดังอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องบอกว่าฝ่ายนั้นคงกำลังยิ้มน่าระรื่นอยู่แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห พอโมโหเข้าก็รีบกินจนจุก แต่เสียงหัวเราะนั่นก็ยังดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระรอก

“รอให้อุ่นฟื้นก่อนเถอะ!! กูจะไปฟ้องให้หมดเลย!!”   




** ติดตามตอนต่อไป **

สำหรับตอนนี้เบฟก็คิดได้ คิดตกแล้วนะคะ
ใกล้แล้ว... ใกล้ความจริงแล้วค่ะ ใกล้จะได้ซ่อมไออุ่นแล้วนะคะ


++++++++++++++++++++++++++++++++++


areenart1984, sirin_chadada, rockiidixon666, Nekosama

ขอบคุณนะคะ ขอตอบรวมกันเลยนะคะ ว่า... เราคว่ำเรือไวน์เบฟเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ คว่ำกันง่ายๆ งี้เลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ
คือ... ยังอยากให้ไวน์ได้คู่กับไออุ่นอยู่นะ เลยไม่อยากให้ไวน์ปันใจไปให้ใคร
แต่ตอนนี้ก้าวขึ้นเรือพีทเบฟยังทันนะคะ เรือกำลังจะออกจากท่าแล้วค่ะ

alternative
ขอบคุณนะคะ ใช่แล้วค่ะ เบฟสูญเสียเวลาที่อยู่กับไออุ่นไป เขาถึงได้ยังโกรธไวน์ แต่ตอนนี้เคลียร์กันแล้วน๊าาาาา


ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
55555 เห็นคนเขียนชัดเจนขนาดนี้เราก็วางใจค่ะ จะได้เชียร์เต็มที่หน่อย ตอนแรกรู้สึกคลุมเครือนิดนึงค่ะ มันเหมือนมีเคมีอะไรบางอย่างระหว่างพี่ไวน์กับเบฟ เลยทำให้มโนไปว่าหรือจะหักมุมคู่เบฟแทน  :laugh: ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยค่ะ  คราวนี้จะได้เชียร์พี่ไวน์-อุ่นได้อย่างสบายใจสักที แอบโดดลงเรือพีทเบฟด้วยคนน555555

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เราบอกแล้วว่าเราเห็นเรือนี้ตั้งนานแล้ว 5555 พีทเบฟอิสเรียลจริงๆ เห็นเบฟเป็นฝั่งเป็นฝาเราก็ดีใจแล้วค่ะ ((เช็ดน้ำตา)) ต่อไปก็ต้องมาลุ้นมาจะซ่อมอุ่นสำเร็จมั้ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โอเค ไวน์คู่กับอุ่น  :hao3:
คิดเสียว่าตอนที่แล้ว เป็นการปรองดองระหว่างพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง (หรือเปล่าหว่า)  :laugh:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เรือใหม่ไฉไลมาก

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ตามมมมม

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
​ตอนที่ 17


พีทกลับมาที่อดีตร้านดอกไม้อุ่นไอรักอีกครั้งพร้อมด้วยอะไหล่สองสามชิ้นในซองพลาสติกสำหรับซ่อมร่างกายของไออุ่นแต่กลับถูกเบฟต้อนรับด้วยการปรายตามอง ไม่เพียงเท่านั้นยังแอบเหน็บเขาเบาๆ ด้วยคำพูดคำจาเสียดแทงความรู้สึกให้ได้รู้สึกแสบๆ คันๆ

“พี่เอาอะไหล่มาให้”

“วางไว้บนโต๊ะนั่นล่ะ”

พีทวางซองใส่อะไหล่ที่ตนหามาได้ลงบนโต๊ะแล้วเดินไปชะโงกหน้าดูบทเรียนที่แฟนแบบมัดมือชกกำลังอ่านมันอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ เขาไม่มีทางเข้าใจภาษาที่เขียนอยู่ในนั้นได้เลย แม้จะเป็นภาษาไทยแต่ก็มีศัพท์เฉพาะทางที่เขาไม่รู้จักอยู่หลายคำ

“ทำไมถึงได้ดูเย็นชากับพี่จัง”

“ก็ปกติ”

หนังสือเรียนถูกปิดลง เบฟลุกจากที่นั่งพร้อมกับชำเลืองมองร่างข้างๆ ด้วยสายตาไม่ค่อยพออกพอใจแล้วจึงวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะว่าง เขาเอ่ยชวนพีทขึ้นไปหาไออุ่นด้วยกันโดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าหรือสบตาด้วย “จะไปหาอุ่น ไปด้วยกันไหม” อีกทั้งยังไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับมาก็เดินลิ่วนำหน้าไปก่อนแล้ว

คนทั้งคู่เดินขึ้นไปหาไออุ่นที่นอนอยู่ในห้องด้วยกัน แม้เบฟจะเคยเห็นภาพของไออุ่นที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาหลายครั้งจนกลายเป็นภาพที่ชินตาไปแล้วแต่ใจนั้นยังรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ พีทเองก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก แม้เขาจะไม่ได้มีโอกาสขึ้นมาหาไออุ่นบ่อยนักแต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้นึกย้อนไปถึงวันที่ไออุ่นยังเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต

“พี่มีเรื่องอยากบอกให้พี่อุ่นรับรู้”

“เรื่อง?”

พีทเดินเข้าไปใกล้เบฟมากขึ้นจนร่างของทั้งคู่เกือบจะชิดติดกัน ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังสงสัยว่าเรื่องที่เขาจะพูดบอกนั้นเป็นเรื่องอะไรก็เอื้อมมือออกไปโอบไหล่นั้นเอาไว้ กระชับร่างนั้นให้เข้ามาอยู่ภายใต้วงแขน แนบชิดกันมากขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งชำเลืองมองดูปฏิกิริยาของร่างข้างๆ ที่ยังคงขมวดคิ้วคิดสงสัยก่อนจะเฉลยมันออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมกับเบฟ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ พี่อุ่น”

“ห๊ะ! ใครบอก”

เบฟยกมือดันร่างที่สูงกว่าออกไปแต่มือข้างที่เกาะไหล่เขานั้นแน่นเสียยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจนต่อให้ออกแรงผลักมากเท่าไรก็ดูท่าว่ามันจะไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนเลย

“พี่บอก”

“คิดเองเออเอง! กูจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอุ่น คอยดูเถอะ”

“ครับ พี่จะรอดู แล้วพอถึงวันนั้นพี่กลัวว่าเขาจะเอ่ยคำยินดีกับเรามากกว่าน่ะสิ”

“ปล่อยได้แล้ว! อึดอัด!”

เบฟค่อยๆ แกะนิ้วที่เกาะไหล่อยู่ออกทีละนิ้วแต่มันก็ยังกลับมาอยู่บนไหล่เขาตามเดิมจนสุดท้ายก็จำต้องพูดออกมาอย่างเหลืออดเหลือทน แต่พีทกลับยังยิ้มหน้าระรื่น ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคำพูดนั้นด้วยซ้ำไป เขาถอนหายใจคล้ายว่าจะปลงแล้วแต่ก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับนึกแผนการอะไรดีๆ ออกมาได้

“พีท มึงขยับแขนเข้ามาคล้องคอกูเอาไว้สิ แตะแค่ไหล่แบบนี้ อุ่นมองไม่เห็นหรอก”

“อ้อ!”

พีทไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดของเบฟเลยสักนิด เขาขยับแขนเข้าคล้องคอตามนั้น เบฟจึงรีบหันกลับไปงับเข้าตรงท่อนแขนแกร่งนั้นเต็มแรงจนฝ่ายนั้นรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน ส่งเสียงร้องโอดโอย มองเห็นรอยฟันเกือบจะทุกซี่เด่นชัดเป็นร่องบนแขนของตัวเองแล้วจะโกรธก็โกรธไม่ลงก็เพราะคนทำให้เจ็บเป็นคนที่เขาเพิ่งจะแนะนำตัวกับไออุ่นว่าเป็นแฟน

“ไอ้พี่พีท! ไอ้คนขี้มโน! ไม่เคยรับปากตกลงเป็นแฟนด้วยเลย!”

เบฟพุ่งตัวถอยห่างออกไปยืนอยู่ข้างไออุ่น ทำท่าจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วที่พีทไม่เข้าใจว่าเขาต้องการเวลาเพื่อที่จะถอยหลังกลับออกมาจากความรู้สึกรักที่มีต่อไออุ่น ตุ๊กตาแสนวิเศษแต่พีทกลับไม่ให้แม้แต่เสี้ยววินาที เขายืนชี้หน้าพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเชิงตัดพ้อ แต่เมื่อพีทไม่ตอบโต้อะไร เขาจึงพูดต่อไปว่า “แค่รอกูตัดใจจากอุ่น แค่รอเขากลับมาแล้วให้กูได้เคลียร์กับเขาก่อน ทำไมมึงรอไม่ได้วะ”

“เบฟ พี่ขอโทษ ไม่ใช่พี่รอไม่ได้แต่พี่เห็นนายจนกับความทุกข์มานานแล้ว พี่แค่อยากเห็นนายยิ้มบ้าง”

“อุ่นเป็นแบบนี้ มึงจะยังยิ้มได้อีกเหรอ”

“พี่อุ่นเป็นแบบนี้ พี่เองก็ยิ้มไม่ออกแต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาตื่นมาแล้วเห็นนายยิ้ม”

เบฟไม่ตอบคำ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักเช่นเดียวกับพีทที่ไม่พูดอะไรออกมา เขาคิดว่าเด็กคนนั้นอาจกำลังโกรธเลยไม่ยอมพูดจาด้วย แต่แล้วเมื่อเบฟเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจจนกระทั่งมือคู่หนึ่งจับแขนเขายกขึ้น

“เจ็บไหมวะ”

“ไม่เจ็บเท่าไรหรอก ไม่เป็นไร”

“งั้นกูกัดอีกรอยน่าจะดีเนอะ”

เพียงแค่เบฟชำเลืองมองรอยฟันของตัวเองที่ไม่ได้ตั้งใจกัดลงแรงให้มันลึกขนาดนั้น แขนอีกข้างที่ไร้รอยฟันก็ถูกยื่นมาตรงหน้า เตรียมพร้อมให้ลงรอยเป็นที่ระลึกอีกข้าง เบฟจึงก้มลงงับแขนข้างนั้นทันทีโดยไม่มีความลังเล แต่แทนที่จะมอบรอยฟันเป็นที่ระลึกให้อีกข้าง เขากลับงับมันเบาๆ ให้แขนข้างนั้นเปรอะน้ำลายแทน

“แถมน้ำลายให้”

พีทก้มลงมองดูแขนข้างนั้นของตัวเอง โดยไม่พูดไม่จาอะไร เขายกมันขึ้นเช็ดกับเสื้อของเบฟทันทีและเอ่ยขอบคุณที่แถมของให้ตัวเขา “ขอบใจนะ แต่พี่อยากแบ่งมันให้นายบ้าง คงไม่ว่ากันนะ”

“พีท! มันสกปรก!!”

“พี่ไปแล้วดีกว่า ไม่อยากกวนนายอ่านหนังสือ ไว้สอบเสร็จแล้วพี่จะแวะมาหาใหม่”

พีทโบกมือลาแต่ก่อนที่เขาจะได้เดินออกไปก็ถูกเบฟรั้งเอาไว้ก่อน “เดี๋ยว! พีท! อีกสองวันกูจะสอบเสร็จ มึงโทรตามไวน์ให้กูด้วยนะ กูว่าจะลงมือซ่อมอุ่น”

“อืม ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ”

เบฟพยักหน้ารับ หลังจากนั้นพีทจึงเดินออกไป 

 

--------------------------------------

 

ในที่สุดวันที่เบฟเรียนจบ ไม่มีตารางสอบใดๆ ให้เขาต้องสนใจไปกับมันอีก เขาเอาแต่นั่งอยู่บนเตียงนอน จ้องมองใบหน้าของตุ๊กตาไขลานราวกับว่าถ้าหากละสายตาจากแม้เพียงเสี้ยววินาทีอาจจะพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไป ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกทำใจได้ยากเมื่อสุดท้ายแล้วต้องรื้อร่างของไออุ่นออกมาเพื่อซ่อมแซม

“อุ่น วันนี้ผมจะเริ่มซ่อมแล้วนะ”

แต่ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น เขาก็ยังคงทำแค่มองดูร่างที่ไม่ไหวติงใดๆ ของตุ๊กตาไขลานตัวนั้น จดๆ จ้องๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่คล้ายว่าจะจรดมีดกรีดลงบนผิวหนังแต่ก็กลัวที่จะเห็นเลือด ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ เขากลัวว่าการซ่อมในครั้งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ ไออุ่นจะไม่ตื่นขึ้นมาเจอหน้าเขาอีก

พอตั้งท่าจะจัดการกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกริ่งที่ดังขึ้นมาข้างบนก็พาให้สติเตลิด

ครั้งนี้เบฟไม่ได้ออกอาการหัวเสียหรือหงุดหงิดแม้แต่น้อยกับเสียงกริ่งที่พรากเอาช่วงเวลาระหว่างเขากับไออุ่นไป อีกทั้งยังนึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่มีผู้ร่วมชะตากรรมบั่นทอนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจยามต้องเปิดร่างของไออุ่นออกมาเพื่อซ่อมแซมสิ่งที่อยู่ภายในนั้นให้กลับมาสมบูรณ์เท่าที่จะทำได้

ทันทีที่เบฟเดินมาเปิดประตูต้อนรับ เขาก็เห็นทั้งไวน์และพีทยืนรออยู่คู่กันที่ด้านนอกร้าน ไม่มีใครพูดคุยอะไรในเรื่องไร้สาระและดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกับเดินขึ้นไปหาไออุ่นที่อยู่ข้างบนห้อง

“พีท ได้ลานใหม่มาหรือเปล่า”

“อืม แต่ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่านะ พี่พยายามหาอันที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”

ลานสองชิ้นในถุงพลาสติกใสแบบมีซิปล็อคถูกยื่นไปตรงหน้าเบฟ เขารับมันมาไว้ในมือแล้วถึงกับต้องขมวดคิ้ว แค่สองชิ้น... พวกเขามีโอกาสแค่เพียงสองครั้งเท่านั้นในการจะพาไออุ่นกลับมา

“ช่วยพลิกตัวอุ่นให้หน่อย ผมจะเปลี่ยนลานให้อุ่น”

ไวน์กับพีทช่วยกันจับร่างของไออุ่นให้พลิกคว่ำลงบนเตียงนอน ก่อนจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เบฟก็อยากจะแน่ใจว่าลานชิ้นใหม่ที่ได้มาจะเข้ากันได้ดีกับร่างกายนี้จนสามารถทำให้ตุ๊กตาไขลานตัวนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่

“ทำไมไม่ซ่อมเขาก่อน”

เบฟก็อยากจะซ่อมไออุ่นก่อนเป็นอันดับแรกเหมือนที่ถูกพีทถามขึ้นมาแต่ทว่าความอยากเจอ อยากพูดคุย อยากโอบกอด อยากให้อีกฝ่ายตอบรับทุกการกระทำ ทุกความรู้สึกของเขามันมีมากกว่าอะไรทั้งปวง

“ถ้าซ่อมเขาก่อนแล้วเกิดลานที่ได้มามันใช้ไม่ได้ล่ะ ที่ซ่อมไปก็สูญเปล่าน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เบฟจึงเริ่มลงมือกดลงไปยังบริเวณรอบๆ กลางหลังทั้งหมดจนเผยให้เห็นกลไกต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย กลไกที่ปรากฏแก่สายตาไม่ได้ดูสลับซับซ้อนอะไรสำหรับเขาเลย มันง่ายพอๆ กับการกะเทาะเปลือกเม็ดกวยจี๊แล้วโยนมันเข้าปาก เขาถอดชิ้นส่วนสำคัญในร่างกายที่จำเป็นต้องเปลี่ยนออกมาอย่างเบามือที่สุดโดยมีพีทและไวน์คอยให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆ

“ไหนคุณบอกว่าจะไปเรียนซ่อมมาไง ทำไมถึงเอาแต่ดู”

“ไม่ว่าง ผมรีบเคลียร์งานทุกอย่างในบริษัทเพิ่งจะเสร็จถึงได้มาช่วย”

“ไม่ว่างหรือไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรกันแน่”

เบฟอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ไวน์ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาจึงแก้เขินด้วยการหลบฉาก เดินไปอยู่ด้านหลังพีทแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างจับผิด

“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยนะ” พีทเป็นฝ่ายเอ่ยห้ามออกมา

“พูดตรงๆ ว่ามัวแต่เอาเวลาไปคิดถึงอุ่นก็ได้ ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย”

ไวน์ไม่ได้ตอบและเขาก็ไม่ยิ้มไปกับคำพูดนั้น เบฟพูดถูก เขาคิดถึงไออุ่นเสมอแม้กระทั่งเวลาเข้าประชุม ครึ่งหนึ่งของความคิดของเขาก็ยังมีไออุ่นอยู่ในนั้น เขาทำงานช้าลง เขาคิดช้าขึ้นแม้ว่าจะมีหลายคนบอกว่าการทำตัวให้ยุ่งมักจะทำให้เราลืมได้ชั่วขณะ แต่เขากลับลืมไออุ่นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อมีลานใหม่ก็ย่อมต้องใช้กุญแจดอกใหม่ที่มาคู่กันเพื่อทำให้ชิ้นส่วนที่อยู่ในร่างกายกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่ทว่าเพียงแค่เสียบกุญแจลงไป ความไม่ปกติก็เกิดขึ้น ลานถูกหมุนทวนเข็นนาฬิกาจนครบรอบแล้วแต่ทุกอย่างกลับนิ่งสงัด ไร้การตอบสนองเคลื่อนไหวใดๆ แต่เบฟยังไม่ยอมละความพยายาม ในเมื่อไขลานด้วยสองมือของตัวเองแล้วไม่ได้ผลจึงยื่นกุญแจดอกนั้นไปให้ไวน์ได้จัดการ แต่ไม่ว่าจะหมุนมันอีกสักกี่รอบกี่หน ตุ๊กตาไขลานตัวนั้นยังคงไม่ขยับเขยื้อน 

ไม่มีใครคาดคิดว่าแม้จะเปลี่ยนลานตัวใหม่แล้วแต่ไม่สามารถช่วยชีวิตของไออุ่นเอาไว้ได้

“เป็นไปไม่ได้... เป็นไปไม่ได้” เบฟพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว สายตายังคงจ้องมองดูกุญแจที่ปักคาอยู่กลางหลัง ความหวังที่ไออุ่นจะได้กลับมาอยู่กับพวกเขาอีกครั้งเริ่มริบหรี่ลงแล้ว

พีทจึงรีบเสนอลานอีกอันที่เขาควานหามาได้ “ลองอีกอันดูไหม”

เบฟรีบคว้าลานชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ในตอนนี้มาและภาวนาขอให้มันได้ผล

ในขณะที่กำลังแกะเอาชิ้นที่ใช้งานไม่ได้ออกมาจากร่างของไออุ่น มือเบฟก็สั่นเทาไม่หยุด ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ห้ามไม่อยู่ ยิ่งรู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ก็ยิ่งทำให้เขาคาดหวังกับมันมากกว่าปกติ

 ทุกคนในห้องต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ทุกลมหายใจที่ใช้ไปในแต่ละวินาทีนั้นคอยภาวนาให้ไออุ่นกลับมาอย่างปลอดภัย ขอให้ลานชิ้นนั้นได้ผล ขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตุ๊กตาไขลานตัวนี้อีกครั้ง

“เบฟ” พีทเอ่ยเรียก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นกำลังจะไม่ไหวแล้ว มือที่สั่นเทาคู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะนั่งลงเลยทำให้เขาเป็นห่วง “เดี๋ยวพี่ทำเอง”

“ไม่ ไม่”

“นายไม่ไหวแล้ว”

ริมฝีปากบางเฉียบถูกขบกัดแน่นจนเกือบจะห้อเลือด เบฟเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมปล่อยมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่

“เบฟ วางมันลง พี่จะทำต่อให้เอง”

ดวงตาสีฟ้าครามสบประสานกับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นนั้นทำให้พีทยอมถอยออกมาอยู่ห่างๆ เขายืนมองดูเด็กคนนั้นอยู่ข้างไวน์อย่างเอาใจช่วย แม้จะเห็นว่ามือที่ถืออะไหล่ชิ้นสุดท้ายที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวกับอนาคตข้างหน้าแต่ทว่ากลับไม่ยอมแพ้ต่อความรู้สึกของตัวเอง

ใช้เวลาอยู่นานกว่าลานชิ้นนี้จะถูกต่อเข้ากับแผงวงจรจนเสร็จเรียบร้อย

“พีท กุญแจ”

กุญแจที่เข้าคู่กับลานอันนั้นถูกส่งไปให้กับเบฟแต่เจ้าตัวกลับมีความลังเลใจที่จะหมุนมันจึงส่งต่อไปให้กับไวน์อีกที เขารับมันเอาไว้เหมือนครั้งแรก และในจังหวะที่เสียบกุญแจลงไปยังช่องกลางหลัง ความรู้สึกหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามายังหัวใจ มันกำลังร่ำร้องบอกว่าไออุ่นจะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วตราบนานเท่านานหากปาฏิหาริย์ไม่เกิด

ลานที่หมุนทวนเข็มนาฬิกากำลังเดินไปข้างหน้า พวกเขาจึงช่วยกันพยุงร่างของตุ๊กตาไขลานขึ้นมาพิงกับหัวเตียง เสียงลานที่เดินอยู่ลั่นร้องเบาๆ แต่ทว่าตุ๊กตาตัวนั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไร้การเคลื่อนไหว เพียงเท่านั้นราวกับความหวังที่มีอยู่อันน้อยนิดหนึ่งเดียวถูกโค่นล้มลงอย่างไม่เป็นท่า หัวใจเจ็บแปล๊บแทบเจียนตาย

ร่างของเด็กหนุ่มทรุดลงข้างเตียงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาสีฟ้าครามไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาเอ่อคลอไปด้วยหยาดหยดน้ำใสที่พร้อมใจกันไหลลงมาเป็นสายเปรอะพวงแก้มสีชมพูอ่อน

ในช่วงเวลาแห่งความเศร้าเข้าปกคลุมทุกสิ่งภายในห้อง พระเจ้าไม่ทรงใจร้ายเกินไปที่จะปล่อยให้พวกเขาทั้งสามทนกับความทุกข์ที่กัดกินหัวใจได้นาน เปลือกตาบางของตุ๊กตาไขลานตัวนั้นกระพริบขึ้นลงถี่ๆ

“อุ่น!”

ไวน์เป็นคนแรกที่เห็นการเคลื่อนไหวนี้จึงร้องเรียกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆ ทั้งพีทและเบฟต่างหันมามอง ตุ๊กตาไขลานตัวนั้นกำลังขยับ

“อุ่น!! ได้ยินไหม” อีกครั้งที่ไวน์ร้องเรียก

ตุ๊กตาไขลานกลับมากระพริบตาตามปกติ หันหน้าอย่างช้าๆ ไปหาไวน์แล้วส่งยิ้มให้เหมือนทุกครั้งก่อนจะหันกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ยกมือข้างซ้ายขึ้นโบกไปมาเพื่อทักทายแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ดวงตาสีหยกคู่นั้นกำลังจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย มันเอียงคอเล็กน้อยในจังหวะที่หันไปมองหน้าเบฟก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำทุกครั้งเมื่อยามที่ถูกเด็กๆ วิ่งเข้ามาห้อมล้อมเล่นด้วยมากมาย

“พี่อุ่น...”

มือแกร่งยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้ที่อาจจะเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เขารีบหันหลังให้กับภาพตรงหน้าที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานถูกระบายออกมาเป็นหยาดหยดน้ำตาหลั่งรินไหลอาบสองแก้มซึมลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

“อุ่น! ตอบสิ... ตอบ...”

ไวน์ย้ำถามอีกครั้ง เสียงที่ควรจะได้ยินจากตุ๊กตาไขลานถูกใครบางคนพรากมันไปพร้อมกับจิตวิญญาณของไออุ่นราวกับจะตอกย้ำว่าคนที่พวกเขารักจะไม่มีวันได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกแล้ว เฉกเช่นเดียวกับตัวเขาที่เหมือนมีคนกำลังแยกร่างกับความรู้สึกของเขาให้ขาดออกจากกัน

“พี่จะไปหาลานอันใหม่... มันต้องมีสักอันที่ทำให้พี่อุ่นกลับมา”

“พีท... มันไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะพาอุ่นกลับมาได้อีกแล้ว มัน... ไม่เหลือแล้ว”

“มันต้องมี! เบฟ! มันต้องมี! พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้”

เบฟลุกขึ้นไปยืนประจันหน้ากับพี่ชายข้างบ้าน ถึงแม้จะเสียใจและอยากให้ไออุ่นกลับมามากแค่ไหนแต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาประจักษ์แล้วว่าไม่ว่าจะหาอะไหล่ที่ดีที่สุดมาเปลี่ยนให้กับไออุ่น สิ่งที่จะได้กลับมาก็จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดาที่ขยับเขยื้อนร่างกายไปตามคำสั่งที่ถูกตั้งค่ามาเท่านั้น

“ปาฏิหาริย์มันหมดไปนานแล้ว พีท”

เบฟพุ่งตัวเข้ากอดร่างตรงหน้าเอาไว้ ซบลงกับแผงอกกว้าง ปล่อยให้น้ำตาที่มีอยู่ไหลออกมาให้หมดเผื่อว่าจะนำพาความเศร้าเสียใจจากตัวเขาไปด้วย

“แล้วใครกันที่บอกพี่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่อุ่นกลับมา อย่าเอาความล้มเหลวแค่ครั้งสองครั้งไปตัดสินอนาคตเลยนะ ขอให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อพี่อุ่นบ้างเถอะ”

“พอแล้ว พีท”

“ไม่ อยู่นี่นะ พี่จะไปหามาให้ ยังไงก็ต้องพาพี่อุ่นกลับมาให้ได้”

พีทดึงมือที่กอดเขาเอาไว้อยู่ออกแล้วเดินจากไป เบฟยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน กว่าจะได้สติก็ตอนที่ไวน์เดินมายืนอยู่ข้างๆ แตะมือลงมาบนไหล่หนักๆ ราวกับจะปลอบใจในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้

“ไวน์ รู้หรือเปล่าว่าแด๊ดเคยพูดกับผมประโยคหนึ่ง ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงจนได้มาเจอกับตัวเอง แด๊ดถามว่าผมจะซ่อมตุ๊กตาไขลานหรือซ่อมชีวิตของอุ่น ผมเพิ่งรู้ว่าชีวิตมันซ่อมกันไม่ได้”

ไม่มีคำปลอบใจใดจะดีเท่ากับอ้อมกอด ไม่จำเป็นต้องประดิดประดอยคำพูดสวยหรูดูดีก็รู้ได้ว่านี่คือคำปลอบใจที่ดีที่สุด

“ถ้าอุ่นเกิดมาจากปาฏิหาริย์ก็ต้องรอแค่ปาฏิหาริย์เท่านั้น”

ไวน์ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาปลอบใจ เขาพูดได้เท่านี้และหวังพึ่งได้เท่านี้จริงๆ ถ้าเพียงแค่มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้ง ถึงคราวนั้นไออุ่นอาจจะได้กลับมา

“แด๊ดเคยบอกว่าเราอาจจะซ่อมตุ๊กตาไขลานได้แต่จะหาชีวิตของอุ่นกลับมาไม่ได้ ปาฏิหาริย์มันไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำๆ หรอก”

อ้อมกอดของไวน์แนบแน่นขึ้นกว่าเดิมแต่เบฟกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ราวกับจะผ่อนคลายมากกว่าแต่ก่อน เขาอยากจะทำใจยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ยังคาดหวังว่าไออุ่นจะได้กลับมาอยู่กับพวกเขาอีกครั้ง

“เชื่อมั่นในตัวอุ่นหน่อยสิ”

ไม่รู้ทำไม... คำพูดของไวน์ทำให้เขายิ้มได้ อาจเป็นเพราะเขาเลิกถืออคติ เลิกมองว่าไวน์เป็นศัตรูของหัวใจไปแล้ว

“ปล่อยได้แล้ว อึดอัด”

เมื่ออ้อมกอดถูกคลายออก เบฟจึงได้เดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างตุ๊กตาไขลานที่ทำเพียงแค่ขยับเขยื้อนร่างกายไปมาซ้ำเดิมอยู่หลายครั้ง เขาตัดสินใจหมุนลานกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเพียงเพราะทนเห็นสภาพแบบนี้ของไออุ่นไม่ได้

“ทำไมคุณถึงชอบเขา”

ไวน์เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน ข้างตุ๊กตาไขลานอีกฝั่งหนึ่ง “ผมชอบสีตาของเขา มันแปลกดี ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล”

นั่นคือเรื่องจริง... ไม่ว่าใครต่างก็หลงใหลดวงตาสีหยกคู่นั้นดั่งต้องมนต์ ชมชอบรอยยิ้มหวานที่ไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างเสแสร้ง ความใจดี มีน้ำใจให้กับทุกคน

“ไม่แปลกใจเลย ใครๆ ก็มักชอบอุ่นเพราะสีตาแปลกๆ นั่นแหละ”

เบฟกอบกุมมืออันเย็นเฉียบของตุ๊กตาไขลานแล้วเอนกายซบพิงไหล่ด้วยความโหยหา คำนึงถึง

“แล้วคุณล่ะ ชอบอุ่นที่ตรงไหน”

“ไม่ต้องอยากรู้ได้ป่ะ”

เสียงหัวเราะหลุดเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อย ถึงไวน์จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาใดๆ ของอีกฝ่ายแต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงอาจจะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้วแต่เขาก็รู้ว่าลึกๆ แล้วไม่มีใครทำใจได้กับการจากไปของไออุ่นแม้แต่ตัวเขาเอง ถึงจะหัวเราะออกมาแต่ทว่ามันก็มาพร้อมกับน้ำตา





<< ต่อข้างล่างค่ะ >>

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>





“ชีวิตของอุ่นน่าอิจฉามากเลยนะ ว่าไหม”

เบฟทำแค่พยักหน้ากับคำพูดที่ได้ยินแล้วเอี้ยวตัวฝังใบหน้าซุกลงกับท่อนแขนเล็กที่เยียบเย็นราวกับถูกแช่ไว้ในช่องแช่แข็ง เมื่อยามที่ความเย็นแล่นริ้วผ่านผิวกาย มันตรงดิ่งเข้าสู่ขั้วหัวใจจนแทบจะเกาะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง หนาวเสียจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“มีคนรักเขามากมาย ถึงขนาดเขาจากไปแล้วก็ยังพยายามหาทางทำให้เขากลับมา ถ้าไม่ใช่เพราะความรักแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีก”

“ความเห็นแก่ตัว”

ร่างที่นอนอยู่ทางด้านขวาของตุ๊กตาไขลานถึงกับสะดุ้งเฮือก ตัวเขาพลาดไปแล้วที่ตอบออกไปแบบนี้ บรรยากาศที่ควรจะดีขึ้นอย่างที่ไวน์พยายามสร้างมันเป็นต้องพังครืนลงมาเพราะตัวเขาเองที่ตอบไม่คิด

“แต่ผมกลับคิดว่าเพราะนั่นเป็นไออุ่น”

เบฟไม่ได้ตอบอะไรแต่ภายในใจลึกๆ แล้วเขารู้สึกเห็นด้วยกับคำตอบนี้ เพราะเป็นไออุ่น ทุกคนจึงพยายาม

“ผมกลับก่อนดีกว่า ยังมีงานรอให้ผมไปสะสางอยู่อีกเยอะ”

“ไหนว่าเคลียร์งานหมดแล้วไง”

“ก็เสร็จในส่วนของอดีตกับปัจจุบัน แต่อนาคต งานก็กลับมากองพะเนินไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี ทำให้ตายทั้งชีวิตมันก็ไม่มีวันหมดหรอก ไปนะ ได้ข่าวอะไรก็บอกกันด้วย”

ในขณะที่ไวน์กำลังจะลุกลงจากเตียง ขาข้างหนึ่งของเขาแตะถึงพื้นแล้ว คำพูดของเบฟกลับทำให้ชะงักไปชั่วครู่ “ไม่คิดถึงอุ่น ไม่เป็นห่วงอุ่นบ้างเลยเหรอวะ”

ไม่ใช่ไม่คิดถึง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงแต่ในขณะนี้ไวน์ทำอะไรไม่ได้และเขาก็เพียงแค่หาเหตุผลให้กับตัวเองเพื่อไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน การกลับไปนั่งหมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม จมจ่อกับกองงานเอกสารที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยในแต่ละวันจะทำให้ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้น ความคำนึงถึงตุ๊กตาไขลานตัวนั้นถูกซ่อนเอาไว้ได้บ้าง

“ไม่อยากอยู่กับอุ่นอีกสักนิดเหรอวะ”

ไวน์รู้สึกแปลกที่เบฟเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับไออุ่นโดยที่ไม่ได้ร้องขอ

“ผมจะออกไปรอข้างนอก อยู่กับเขาจนกว่าคุณจะกลับก็ได้”

ไวน์ไม่คาดคิดว่าเบฟจะใจดีกับเขาขนาดนี้จนอดที่จะแปลกใจไม่ได้แม้จะรู้ว่าเบฟปล่อยมือจากไออุ่นไปแล้วแต่ใช่ว่าตัวเขาจะถูกยอมรับได้ง่ายๆ โดยไร้ข้อกังขาใดๆ ยังไม่ทันจะได้ถามให้หายสงสัย อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วสาวเท้าอย่างรวดเร็วออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมาอีก ทิ้งให้เขากับไออุ่นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แต่ทว่าเพราะการอยู่ด้วยกันในสถานการณ์แบบนี้ อนาคตที่ไม่แน่ไม่นอน ปัจจุบันที่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากรอคำว่าปาฏิหาริย์ กับอดีตอันเลวร้ายที่เขาสร้างไว้กับไออุ่นพาให้หยาดหยดเม็ดเล็กไหลกลิ้งไปรอบดวงตาสีอำพันก่อนที่จะไหลร่วงลงมาราวกับเขื่อนที่แตกร้าว

“ผม... จะไม่พูดนะว่าผมไม่เสียใจ ผมเชื่อว่าคุณยังไม่ได้จากไปไหน... กลับมาเร็วๆ นะ ผมสงสารเด็กคนนั้น”

“.........”

“ถึงเขาจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่ผมก็รู้เพราะผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เขาเสียใจที่พาคุณกลับมาไม่ได้ ผมก็เสียใจที่ทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลย ช่วยกลับมาฟังคำขอโทษจากปากของผม  ผมอยากให้คุณได้ยินมันด้วยตัวเองนะครับ รีบกลับมานะ อุ่น ทุกคนกำลังรอคุณอยู่”

“.........”

“ตลกดีนะ” ใบหน้าคมคายแหงนมองเพดาน กล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้ไหลย้อนกลับ “เหมือนผมกำลังเป็นบ้าเลย พูดอยู่คนเดียวแล้วก็คิดไปเองว่าคุณจะได้ยิน ผม... ผมอาจจะพูดเรื่องนี้มากไปหน่อยแต่ช่วยทนฟังเถอะนะ ถ้าตัวคุณเกิดมาจากปาฏิหาริย์ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยปาฏิหาริย์แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่คุณจะกลับมาเพราะปาฏิหาริย์เหมือนกัน ถ้ามันเป็นแบบนั้น... ผมก็ยินดีที่จะรอ แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น ยังไงผมก็ยังจะรอ”

ดวงตาสีหยกยังคงมองตรงไปข้างหน้าในขณะที่มันหยุดนิ่งไปแล้ว ภาพที่ไออุ่นเป็นแบบนี้สร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับไวน์ไม่น้อย เขาจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อปิดเปลือกตาบางนั้นลงด้วยตัวเอง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสะท้อนเงาเบาบางไปยังหัวใจที่เริ่มจะตายลงไปอย่างช้าๆ ทุกเสี้ยววินาทีที่เห็นไออุ่นในสภาพแบบนี้มันบั่นทอนความรู้สึกที่มีอยู่ไปทีละเล็กทีละน้อย จนท้ายที่สุดแล้วหยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสายอีกครั้ง เพียงเพื่อบรรเทาความทุกข์เศร้าที่กำลังถาโถมอยู่ในใจ

“ผมไปก่อนนะ นั่งมองคุณนานๆ แล้วรู้สึกเหมือนจะตายตามคุณไปด้วย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่รอเจอคุณอีกครั้งนะ อุ่น”

ดวงตาสีอำพันจดจ้องใบหน้าอันแสนงดงามนั้นอีกครั้งราวกับจะบันทึกมันเอาไว้ในความทรงจำให้ได้นานที่สุด มองริมฝีปากบางเฉียบสีกลีบกุหลาบที่เอิบอิ่มแล้วนึกถึงวันที่ตัวเขาได้เผลอล่วงเกินร่างกายนั้น เก็บทุกรายละเอียดของตุ๊กตาไขลานไว้ให้ได้มากที่สุดอยู่เนิ่นนานจนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินออกจากห้อง

ในขณะที่เท้าข้างซ้ายก้าวพ้นขอบประตูห้อง เสียงสะอื้นไห้ก็ดังเข้ามากระทบโสตประสาทจนเท้าอีกข้างที่ควรจะก้าวออกมาชะงักไปกลางคัน ถ้าไม่ฉุกคิดได้ก่อนว่าที่นี่มีใครอีกคนนอกจากเขาและไออุ่นอยู่ อาจได้เปิดแนบเผ่นออกจากร้านไปทันที แต่เพราะรู้ว่ามีคนอยู่ เท้าคู่นี้จึงมุ่งหน้าตามเสียงที่ได้ยิน

ไวน์หยุดอยู่หน้าประตูห้อง ยกมือขึ้นเตรียมเคาะเรียกแต่เสียงร้องไห้กลับทำให้มือข้างนั้นชะงักไป เขายกมันค้างไว้กลางอากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนปล่อยลง บางทีเด็กคนนั้นอาจกำลังต้องการเวลาและเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำนั้นเอง เขาเพียงแค่ก้าวถอยออกมา และเช่นเดียวกันทุกคนย่อมมีวิธีการจัดการกับความรู้สึกของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป

 



ผ่านไปหลายวันหลังจากนั้น พีทเฝ้าเพียรเสาะหาชิ้นส่วนอะไหล่มาเปลี่ยนให้กับไออุ่นหลายต่อหลายชิ้นแต่มันไม่เคยพาไออุ่นกลับมาอยู่กับพวกเขาได้เลยแม้สักครั้ง และทุกครั้งที่มีการซ่อมแซมตุ๊กตาไขลานตัวนั้น ไวน์จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วมาคอยให้กำลังใจเสมอ

วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน พวกเขาลองทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้อย่างสุดความสามารถแล้วแต่ปาฏิหาริย์กลับไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งนานวันเข้า... แม้จะพยายามแค่ไหนแต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่พ้น

 


ท้ายที่สุด... บางทีวิคเตอร์อาจมารับไออุ่นไปอยู่ด้วยกันแล้ว





** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้มันยังไม่จบนะคะ.... ยังมีตอนต่อไปอีกค่ะ ให้ลุ้นๆ กันว่าสุดท้ายแล้วจริงๆ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกครั้งไหม


-*-*-*-*-*-*-

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ ขอสารภาพค่ะว่าเคยอยากเปลี่ยนคู่จากไวน์อุ่นเป็นไวน์เบฟเหมือนกัน แต่สงสารไออุ่นอ่ะค่ะ ทำไม่ลงจริงๆ  ส่วนเรือพีทเบฟนี่อาจจะออกไม่ค่อยบ่อยนะคะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เห็นเรือพีทเบฟจากไกลๆ ใช่ไหมคะ 555+

areenart1984

ขอบคุณค่ะ จะว่าไปก็... ประมาณนั้นค่ะ ถ้าเบฟไม่ปล่อยอุ่นไป สงสัยงานนี้สำหรับไวน์จะไม่หมูเลย

alternative
ขอบคุณนะคะ

GBlk
ขอบคุณนะคะ เรื่องนี้ใกล้จะถึงตอนจบแล้วค่ะ



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนนี้อุ่นไม่ฟื้น ตอนหน้าค่อยฟื้นก็ได้นะ เบฟไม่ต้องคิดมากนะลูก  :กอด1:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทีมซ่อมอุ่นสู้ๆนะ คนอ่านจะคอยเป้นกำลังใจอยุ่ห่างๆอย่างห่วงๆ อุ่นต้องกลับมาแน่ เพราะเรื่องนี้ต้องมีนายเอกค่ะ 55555 #ผิด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด