ปีนัง ถึง สิงคโปร์
Chapter 4
KL (Karma is Lust,Karma is Love)
นั่งรถทัวร์ออกจากขนส่งปีนัง ดีใจที่คราวนี้ไม่หลับ จึงได้เห็นบ้านเมืองของเขาอย่างเต็มตา
ในตอนแรกตึกสูงเสียดฟ้ามีไม่เยอะมากพอจะเรียกว่าแออัด ยังพอมีวิวให้หายใจโล่งคอบ้าง ข้างทางมีต้นไม้สีเขียวขจีสดใสไม่ต่างจากตัวเมืองของที่อื่นเท่าไหร่นัก แต่พอรถเริ่มเข้าสู่กัวลาลัมเปอร์ ก็ทำให้ผมนึกถึงกรุงเทพฯขึ้นมา ตึกรามบ้านช่องเริ่มหนาแน่นขึ้น สองข้างทางมีตึกสามชั้นเรียงติดกัน พ่อค้าเรียกหาลูกค้า ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาราวกับสยาม
"ถึงแล้วมั้ง"
พี่นัทบอกเมื่อคนรถตะโกนว่าถึงเซนทรัลกัวลาลัมเปอร์แล้ว เอาจริงผมไม่นึกว่ารถจะพามาตรงนี้ มันทั้งขึ้นเนิน ทั้งผ่านโรงแรมหรูมาตลอดทาง แล้วโรงแรมกากๆของผมจะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง
"น้องไอซ์ครับอย่าเหม่อ"
"อ่า...พี่นัท ถึงแล้วจริงอ่ะ?!"
ถึงจะสงสัยแต่ก็ต้องลงจากรถมาก่อน เพราะคนเก็บตั๋วจะกินหัวเอา
ผมแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายหน้า ด้วยไม่รู้ว่าตัวเมืองของกัวลาฯจะมีมิจฉาชีพเยอะไหม เราก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
พี่นัทจูงมือผ่านประตู เข้าสู่อาคาร แล้วต้องยังไงต่อไม่รู้ ...ผมไม่รู้จริงๆ...มันไม่เหมือนในรีวิวนี่นา
"เดี๋ยวพี่แลกเงินแป้บนะ"
บริเวณที่เราอยู่มีแต่บู้ทแลกเงินของบริษัทต่างๆ ถ้าแลกเงินไทยเป็นริงกิตของที่นี่ จะแพงกว่าแลกที่ไทย ผมเลยไม่แลก ทั้งๆที่เหลือเงินแค่สองร้อยริงกิตเอง
"แล้วไปไหนต่อล่ะพี่?"
"ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่เคยมานี่นา ...ไหน เอาใบจองโรงแรมเรามาหน่อยซิ"
ผมรูดซิป หยิบใบจองโรงแรมที่แสนยับยู่ยี่ออกมา
"อืม...มันก็อยู่เซนทรัลนี่นา แต่ซอยอะไรวะอ่านไม่ออก"
ผมกับพี่นัทช่วยกันสะกดชื่อซอยอยู่นาน อาบูดาดี อาบีอะไรไม่รู้สิ
หลังจากเถียงกันสักพัก สุดท้ายผมก็ได้คำตอบว่าถามพี่ยามจะดีกว่า
เราเดินต่อเข้าไปในอาคารเรื่อยๆ จนเจอห้าง มีแบรนด์ทั่วไปเหมือนห้างบ้านเราจึงไม่ได้สนใจมากนัก
"พี่นัทดูสิ มีวิคตอเรีย ซีเคร็ทด้วย"
นี่ขนาดไม่ได้สนใจนะ
"อือฮึ"
"ที่นี่เหมือนมีรถไฟเลย"
เราหยุดนั่งพักในห้าง ผู้คนขวักไขว่ บนทางเดินมีลายนูนๆสีเงิน ลักษณะคล้ายโลหะมันวาว มันเรียงตัวกันคดเคี้ยวเป็นเส้นประ เหมือนกับว่านำเราไปไหนสักที่
"นี่จองโรงแรมมารู้อะไรบ้างเนี่ย"
"เขาบอกอยู่ใกล้แหล่งการค้า และสะดวกในการเดินทาง"
"เซนทรัลเคแอลนี่คือศูนย์กลางการคมนาคมเลยนะไอซ์..."
"แล้วพี่นัทจองที่ไหนไว้อ่ะ"
"ไม่ใช่ที่นี่ แต่ก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่เหมือนกัน"
"โรงแรมหรูอ่ะดิ"
"ไม่อ่ะ ธรรมดาๆ พี่ก็คนธรรมดา ใช้เงินเท่าที่ตัวเองหาได้"
"พี่ทำงานอะไรเหรอ"
"ขายนู่นขายนี่"
"ยาบ้า? ....โอ๊ย!"
โดนตบหัวไปสิ
"รุนแรงจัง"
นี่รู้จักได้แค่สองวันนะ ถ้าปีนึงจะขนาดไหน
"หึๆ....พี่เป็นเลขาของประธานบริษัทส่งออกอะไหล่รถน่ะ ไม่มีอะไรหรอก...ยิ้มอะไร? ดีใจที่พี่รวยว่างั้น?"
"ไม่ช่าย...แค่กำลังคิดว่าเราไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวกันเท่าไหร่.... พี่พูดงี้เหมือนดูถูกผมเลยนะ"
.ฮึ!..เหมือนว่าเราเห็นแก่เงิน
"ขอโทษๆ ..ป่ะ.. ไปถามยามกัน ยืนเมื่อยละ"
.
.
.
แท้จริงแล้วโรงแรมที่ผมจองนั้นเรียกได้ว่า'ติด'สถานีก็ว่าได้
เพียงแค่ต้องเดินข้าไปในตรอกเล็กๆ มืดๆ มีร้านอาหารอินเดียอยู่ข้างหน้าพอให้ใจชื้น และเป็นอย่างที่คิดไว้ว่าโรงแรมราคาถูก ก็น่าจะอยู่ในย่านอินเดียเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร แค่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศเท่านั้น เคราะห์ดีตรงที่หน้าโรงแรมมีมินิมาร์ท หรืออยากกินหรูหน่อยก็เข้าห้าง สะดวกสบายสมกับเป็นเมืองหลวงจริงๆเลยนะ
"อยากไปโรงแรมพี่มั้ย?"
พี่นัทเอ่ยเมื่อเห็นห้องของผม
ห้องเล็กเป็นส่วนตัว เตียงขนาดควีนไซส์ ห้องน้ำกว้างพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น เพียงแต่กระเบื้องหน้าห้องน้ำมันกระเทาะออก จึงดูไม่สบายตานัก
"ไกลหรือเปล่าพี่"
"น่าจะไกลกว่าที่นี่แหละ"
"งั้นผมนอนนี่แหละ มันใกล้รถไฟดีอ่ะ แล้วเราก็จ่ายเงินเขาไปแล้วนะ"
"โอเค"
"..แล้วพี่จะเอาไง?"
พี่นัทวางของลงข้างเตียง แล้วนั่งลงก่อนผมเสียอีก
"เหนื่อยละ เมื่อยตูด ง่วงด้วย ...ขอนอนนี่นะ ขอหารค่าห้องด้วย"
ไหนวะคนที่ชวนไปโรงแรมอื่น
นอนก่อนเจ้าของห้องเฉย
"แหงล่ะที่ง่วง เมื่อคืนกินไปตั้งกี่ขวด"
ผมนั่งลงข้างพี่นัท ควานหายาพาราในซอกกระเป๋า
"อ่ะพี่"
ยื่นยาสีขาวให้สองเม็ด คนรับรับด้วยรอยยิ้มหวาน
ตกกลางคืนก็ถึงเวลาท้องประท้วง คนตัวโตพาขึ้นรถไฟฟ้า ไอ้เส้นวาวๆที่เรียงตามพื้นนั่นพาเราไปสถานีจริงๆด้วย แต่ก็ค่อนข้างงงอยู่เหมือนกัน เพราะมีรถไฟให้เลือกสองสามแบบ ถ้าหากเราซื้อตั๋วผิด ก็จะหลงไปที่อื่นทันที แต่พี่นัทของผมแกเก่งไง ยืนอ่านแผนที่ไม่ถึงสิบวิก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
"ไปไหนดีพี่"
"ซื้อของฝากหน่อยมั้ย? พี่จะพาไป แล้วก็กินข้าวที่นั่นเลย"
ซ่า!!
หนีฝนจากเมืองไทย ก็มาเจอฝนมาเลย์ซะงั้น
เราสองคนรีบวิ่งเข้าไปยังตึกขายของฝากที่พี่นัทอ่านจากรีวิว ซึ่งจะอยู่ใกล้กับไชน่าทาวน์
"เปียกซ่ก"
กรอบหน้าถูกซับด้วยผ้าเช็ดหน้าสีดำลายปัก
"พี่นัทเช็ดหน้าตัวเองเถอะ"
"ไม่เป็นไร พี่ไม่ค่อยเปียก โทษที พี่ถือร่มเอียงหาตัวเองมากไปหน่อย"
"งั้นก็...ขอบคุณครับ"
รับผ้าเช็ดหน้าลายผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
สายตาพี่นัทไม่ได้ปกปิดว่ายั่ว และผมก็เริ่มปล่อยใจไปกับสถานการณ์มากกว่าเดิม เพราะไม่อยากคิดมากเวลาเที่ยว ได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมันก็คงสนุกไปอีกแบบ
ผมเลือกซื้อช็อกโกแลตไปกินที่ห้องได้ตั้งสองกล่องด้วยความหน้ามืดตามัว ก่อนจะเดินเล่นดูของฝากไปเรื่อย แต่กลับไม่ยักชอบใจสิ่งอื่นเลย พวกพวงกุญแจก็มีแต่ลายเดิมๆ อย่างอื่นก็แพงเกินไปอีก พี่นัทจึงชวนไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทก่อนกลับ
"ไอซ์ไปซื้อก่อนนะ เดี๋ยวพี่เฝ้าของเอง"
บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราโชคดีจัง เจอแต่คนดีๆ ตลอดเลยแฮะ
"ไอซ์สั่งข้าวผัดต้มยำไทยมา ...แต่หน้าตาไม่เหมือนข้าวผัดบ้านเรานะ"
จ้องมองข้าวผัดหน้าตาประหลาด สีคล้ำแทนที่จะเป็นสีส้มเหลือง มีเครื่องเคียงเป็นแผ่นแป้งกลมๆเล็กๆวางอยู่ หน้าตาคล้ายข้าวเกรียบกุ้งบ้านเรา แต่บางกว่า ลองกัดดูปรากฏว่าไม่มีรสชาติ และไม่กรอบเหมือนข้าวเกรียบ
"จะกินได้เหรอ?"
พี่นัทส่งสายตาเวทนามาให้ อุตส่าห์เลี่ยงอาหารอินเดีย แต่ก็เจอสไตล์อินเดียเต็มเปา
ผมลองตักขึ้นมาหนึ่งคำ
...กลิ่นเครื่องเทศอินเดียแท้ๆลอยวนในจมูก
ส่งเข้าปากโดยทำใจเสียแต่เนิ่นๆ แต่รสชาติของมันก็ทำเอากำลังใจถดถอย
"น่าจะสั่งแบบพี่บ้าง นี่มันอาหารไทยตรงไหน"
พึมพำ พลางมองก๋วยเตี๋ยว
"อ่ะ.."
พี่นัทเลื่อนชามตัวเองมาหาผม
"แบ่งกัน"
"ข..ขอบคุณครับ.."
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
"..เอ้อพี่ พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนเหรอ?"
"ตามกำหนดการณ์เราไปไหนล่ะ"
"ไปดูแค่ตึกปิโตรนาส"
"ฮึๆๆ...ไม่ค่อยได้ยินคนเรียกว่าตึกปิโตรนาสแฮะ"
"แล้วเขาเรียกอะไรกันอ่ะ ไอซ์ก็เรียกแบบนี้มาตลอดนะ"
"Twin towerน่ะ แต่พี่ก็ชอบเรียกว่าตึกปิโตรนาสเหมือนกัน มันดูใหญ่ๆดี"
"เนอะๆ มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ ดูรวย ดูปิโตรนาสมาก"
"เมื่อก่อนพ่อพี่ก็ทำงานที่นั่นแหละ"
"อ่าว...พ่อพี่เป็นคนสิงคโปร์ไม่ใช่เหรอครับ"
"มาทำงานมาเลย์ไง...ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ"
พี่นัทเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นผมซดน้ำจากชามแก
"มันอุ่นดี ตอนนี้ไอซ์หนาวด้วย"
"กลับไปต้องรีบอาบน้ำสระผมเลยนะ เดี๋ยวเป็นหวัด"
"เราจะไม่เดินไชน่าทาวน์สักหน่อยเหรอ"
"ถ้าไอซ์อยากเดิน พี่พาเดินก็ได้นะ"
"เย่!~"
"ว่าแต่เราเรียนอะไรนะ?"
"ไอทีครับ"
"...ชอบเล่นเกมป้ะ"
"ไม่ค่อยได้เล่นครับ เบื่อเวลาด่ากัน พวกเกมออฟไลน์ก็ไม่มันเท่าอีก"
"ในมือถือล่ะ?"
"ไม่ค่อยแตะอีกนั่นแหละ มีไว้โทรเข้าโทรออกเฉยๆ"
"อืม...ถ้าเรียนจบ สนใจทำงานอะไร?"
"ทั่วๆไป....ไม่รู้สิ ไอซ์ยังไม่คิด ขอแค่งานที่ไม่ต้องใช้วาทศิลป์ก็พอ"
"ว้า...งั้นก็อดทำงานกับพี่น่ะสิ"
ตาลุกวาว
"พี่จะให้ไอซ์ไปเป็นเซลส์เหรอ?!"
"เปล่าๆ...ให้ไปเป็นผู้ช่วยพี่ต่างหาก ก็ใช้วาทศิลป์นิดหน่อย แต่สำหรับตำแหน่งนี้ไม่หนักหรอก ผู้ช่วยปัจจุบันพี่ท้องน่ะ ไม่รู้จะลางานเมื่อไหร่ เพราะงานพี่ก็ตะลอนๆไปทั่ว..."
"ป่านนั้นไอซ์ก็เกือบเรียนจบแล้วน่ะสิ..."
"สนใจมั้ย? พี่เชื่อว่าเจ๊แกต้องลาออกไปเลี้ยงลูกแน่ๆ ถ้าไอซ์จบปีสี่พอดี ก็เข้ามาทำงานเลย ...ยิ่งอยู่ตลอดไปเลยยิ่งดี"
"เอ่อ...ขอคิดดูก่อนนะครับ"
"ได้..พี่รอได้"
โอย....มีวิธีลดแรงเต้นของหัวใจไหม กลัวตายก่อนเที่ยวจบว่ะ
สุดท้ายก็กินข้าวผัดพิสดารไม่หมด ผมต้องเปิดดิกชันนารีหาศัพท์คำว่าห่อกลับบ้านไปพูดให้พ่อครัวฟัง ถ้ามัวแต่ขอความช่วยเหลือพี่นัททุกเรื่องก็กลัวถูกมองว่าเป็นเด็กเหลาะแหละ หนักไม่เอา เบาไม่สู้
"เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินที่ไชน่าทาวน์ดีกว่า"
มือหนาจับมือเราพาข้ามถนนไปยังไชน่าทาวน์
โคมไฟสีแดงห้อยระย้าประดับตลอดทางเดิน ข้างทางมีร้านขายอาหารต่างๆมากมาย ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นหมู อารมณ์เหมือนหมูหัน หมูหวานบ้านเราล่ะมั้ง แต่ว่าราคาแพง เหมือนตกเบ็ดนักท่องเที่ยวมากกว่า พี่นัทที่คิดเหมือนกันจึงพาไปฟู้ดคอร์ทอีกแล้ว
"ดีอ่ะพี่"
ฟู้ดคอร์ทของไชน่าทาวน์เป็นห้องเปิดโล่ง ด้านหน้ามีกับข้าวใส่ถาดวางเอาไว้หลายอย่างเหมือนข้าวราดแกง พอเดินไปดูถึงรู้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ จ่ายแค่ครั้งเดียว แต่ตักมากเท่าไหร่ก็ได้ กี่รอบก็ได้
"กินไหมล่ะ?"
"ไม่เอาอ่ะ"
ส่ายหัวหงึกหงัก
"อยากกินหมี่เกี๊ยว"
พูดจบก็รีบซื้อทันทีด้วยความโหย คือมันหน้าตาเหมือนหมี่เกี๊ยวหมูแดงบ้านเราเด๊ะๆ
"อร่อยมาก"
"กินเยอะๆ"
พี่นัทซื้อเพียงกาแฟมานั่งเป็นเพื่อน
"เหลือเงินเท่าไหร่เรา เหลืออีกหลายสถานีนะ"
"ถ้ากินน้อยๆก็พอนะครับ เหลือแค่เที่ยวพรุ่งนี้ กับค่ารถไปมะละกา"
"...แล้วค่ารถไปสิงคโปร์?"
"โหยพี่ อย่าเพิ่งพาเครียดดิ"
"พี่ให้ยืมได้นะ ค่อยคืนตอนอยู่สิงคโปร์"
"เดี๋ยวดูก่อนนะครับ"
"เดี๋ยวดูก่อนอีกและ ..ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก"
"ทำไมพี่ชอบพาผมคิดมากเนี่ย"
"อ้าวไม่รู้เหรอ?...มันเป็นstrategy"
ผมหรี่ตามองหาคำตอบจากคนกะล่อน
กะให้เราหัวหมุนแล้วหลอกไปขายเหรอ ฮึ่มมมมม
"...ยอมๆๆ"
พี่แกยกมือสองข้างเหนือหัวยอมจำนน สงสัยกลัวผมละมั้ง
"ไว้มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแล้วกัน"
.........
ผมนั่งเขี่ยข้าวในกล่องที่ห่อมา ส่วนพี่นัทซื้อเบียร์มาจิบตั้งหลายกระป๋อง เราสองคนอยู่กับตัวเองจวบจนเที่ยงคืน พี่นัทถึงได้ลุกอาบน้ำ คราวนี้พี่แกไม่เซไม่มึน คงเป็นเพราะดื่มแต่เบียร์ ไม่ผสมกันมั่วอย่างคืนก่อน
"อาบด้วยกันมั้ย??"
ถามด้วยหน้าแดงแจ๋
"อาบก่อนเถ้อะ"
"โอเค"
ผมจัดการกับขยะยังไม่ถึงนาทีได้มั้ง เพื่อนร่วมทางก็ออกจากห้องน้ำ
ผมเลยอาบต่อพี่เขา แต่เพิ่งถูสบู่เอง จู่ๆเสียงเคาะเบาๆก็ดัง
โบราณว่าอย่าทักเสียงที่ไม่ชอบมาพากล ผมจึงไม่ตอบกลับ
"เสร็จยังครับ"
พอไม่ตอบ พี่แกก็ทักเองเลยแฮะ
"พี่ปวดฉี่เหรอ? อีกสองนาทีได้ไหมครับ"
"ก็ได้"
ก๊อก ก๊อก
เอาอีกแล้ว
ผ่านไปยังไม่ถึงนาทีเลยนะพี่ท่าน
"ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน฿%$€"
พร่วด!! ฮ่าๆๆๆ จู่ๆสุนทรภู่ก็สิงร่างคนเมา ผมได้ยินเสียงแกท่องกลอนวกไปวนมาไม่จบไม่สิ้น
"เฮ่ย!!"
เวรกรรมอะไรต้องมาเจอผู้ชายขี้อ่อยวะเนี่ย!?
สภาพพี่นัทบนเตียงไม่ได้ดูเหมือนคนเมาเละเทะ(อาจเพราะพี่เขาหล่อ)
แกนั่งพิงหัวเตียง มือกอดอก ปากพูดงึมงำ ส่วนสายตามองเราอย่างเยิ้ม ที่เด็ดกว่านั้นน่ะเหรอ....มีแต่บ็อกเซอร์ติดตัวครับท่าน!
"โห่ววว"
เสียงครางด้วยความเสียดายดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจ ผมรู้ดีว่าเขากำลังเซ็งที่เราดันออกมาพร้อมชุดนอนเต็มยศ
"พี่คิดว่าผมจะยอมง่ายๆหรือไง"
"ว่าไป...พี่ไม่ได้คิดเรื่องนั้นตลอดซักหน่อย"
"โกหกระวังผิดศีลนะครับ"
"ไปตั้งแต่สุราเมรัยแล้วน้อง"
"คิก...เวลาเมา พี่ตลกดี"
"ตอนอื่นล่ะไม่ดีเหรอ?....มานี่สิ นอนได้ละ พรุ่งนี้จะพาไปตึกปิโตรนาส"
"พี่ก็นอนสิ
ผมขยับตัวเปิดทางให้พี่นัทล้มตัวลงนอนได้ถนัด พลางเปิดเพลงที่เข้ากับความคิดช่วงนี้
"เพลงเพราะดีนี่"
"ชอบท่อน I live my day as if it was the last, live my day as if there was no past ได้แรงบันดาลใจดี"
"ชอบฟังเพลงแบบนี้นี่เอง ถึงได้กล้าออกเดินทางคนเดียว"
"ใครจะเหมือนพี่อ่ะ ท่องกลอนสุนทรภู่ซะอย่างนั้น"
หึ...
ได้ยินพี่นัททำเสียงกรุ้มกริ่ม
ผมไม่กล้ามองตาคนนอนข้างตั้งแต่ที่มือเขาวางลงบนสะโพกเรียบๆของเราแล้วล่ะ
ผมเงียบ... พร้อมกับเพลงที่จบลง
ได้ยินเสียงลมหายใจอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ ก่อนจะชัดเจนขึ้น ...สัมผัสใกล้ขึ้น
พี่นัทจับตัวเราให้นอนหงายเผชิญหน้ากัน ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มทั้งสองฝั่ง ขณะที่ผมยังคงไม่กล้าสบตา
"กลัวอะไร..."
"....."
"พี่ไม่ทำให้เราเสียใจหรอก"
"ไม่ได้หวังแค่เรื่องนี้หรือไงครับ"
"...ก็แค่ส่วนหนึ่ง"
เผลออมยิ้มเมื่อคิดว่าเขากล้าพูดดี
คนจริงใจแบบนี้หายากนะ ถ้าเป็นคนอื่น คงบอกว่าไม่เคยคิด พร้อมพร่ำคำรักเพ้อฝันเพื่อให้เราใจอ่อน และยอมมอบกายให้ง่ายๆ ย้อนแย้งกันชัดๆ
"อันที่จริง...ไอซ์ก็ไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอก"
หันมามองตาเขา มองแววตาสีเข้มทอประกายที่สะท้อนภาพเรา
"แต่พี่มีถุงยางหรือเปล่าล่ะ?"
.......
...ไม่น่าขี้เกียจบันทึกการเดินทางเลยเรา
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามันคือหมูหรือไม่ พอเห็นราคาก็เดินเลี่ยงทันที5555
-เพลง Lush Life by Zara Larsson
https://www.youtube.com/watch?v=tD4HCZe-tew