ตอนที่ 10
นับเป็นเรื่องที่เลนนี่ไม่คาดคิดมาก่อน
เรื่องราวระหว่างวัลดัสกับเขาเกิดขึ้นภายในช่วงคาบเกี่ยวฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงเพียงช่วงสั้นๆ และไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ควรกลายเป็นแบบนี้ไปได้เลยสักนิด
เลนนี่เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าที่ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเรียนต่อทางด้านไหนดี เขาชอบสัตว์นะ บางทีอาจจะเรียนสัตว์แพทย์
และเลนนี่รู้จักวัลดัสในฐานะเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ย้ายมาจากอังกฤษเพียงคนเดียว ไร้ความสามารถที่จะจัดบ้านให้เรียบร้อยได้ มีหนังสือมากกว่าห้องสมุดในนิวยอร์กหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบ
นอกจากนั้น…เลนนี่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวัลดัสเลย
แล้วฝ่ายนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเลนนี่สักเท่าไหร่ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ตรงจุดนี้ เลนนี่จะสำนึกได้ว่าตัวเองชอบวัลดัสจนหัวใจแทบจะหลุดจากอกเวลาอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ และเมื่อหลายวันก่อนวัลดัสก็ดันสารภาพรักกับเขาแล้วด้วย
…ยังไม่ทันเตรียมใจเลย…ตอนนั้นหัวสมองตื้อไปหมด ขาวโพลนเสียจนเบลอไปชั่วขณะ เลนนี่หาเสียงของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ หน้าของวัลดัสลอยอยู่ในทุกที่
อานุภาพความรักช่างน่ากลัว
สองสามวันมานี้ ริกเกอร์เอาแต่ถามถึงเรื่องระหว่างวัลดัสกับเขา เลนนี่ตอบไปเพียงว่า เขาบอกชอบฉัน แล้วเลนนี่ก็ลืมสิ่งที่ริกเกอร์บอกหลังจากนั้นไปเสียสนิท เข้าใจอยู่หรอกว่าหมอนั่นคงจะหวังดี แต่เลนนี่ไม่อยู่ในอารมณ์อยากรับฟังอะไรเท่าไหร่
เขายังไม่พร้อมจริงๆ นะ
“เลน! เปิดประตู!”
เสียงโวยวายของน้องชายที่ดังมาจากหน้าห้องทำให้เลนนี่ถึงกับฝังหน้าลงกับหมอนอย่างเบื่อหน่าย เช้าวันนี้เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ก้าวขาออกจากเตียงเด็ดขาด
“เลนนี่!”
“อย่ากวนเวลานอนฉันน่า!”
“นายต้องเปิดประตูให้ฉันเข้าไปนะ”
ริกเกอร์เกลี่ยกล่อม “นี่เรื่องใหญ่ แบบคอขาดบาดตายเชียวนะ”
“โลกแตกฉันก็ไม่สน”
เลนนี่กลิ้งตัวไปอีกฟากของเตียง เหม่อมอกออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มเหมือนอุณหภูมิข้างนอกกำลังต่ำลงเรื่อยๆ
“โอเค พนันว่านายคงไม่อยากรู้เรื่องที่วัลดัสจะกลับอังกฤษสินะ ก็อย่างว่า คนมันไม่ได้—”
ผัวะ!!“อะไรนะ?!”
มือซีดกระชับลูกปิดประตูที่กระชากเปิดออกอย่างแรง ใบหน้ายิ้มขันๆ ของริกเกอร์พาลให้อารมณ์หงุดหงิดยิ่งเพิ่มขึ้นสูง “นายไม่ต้องพยายามทำให้ฉันเหมือนไอ้โง่ได้มั้ย แค่รีบๆ บอกมา”
“ฉันนึกว่านายไม่อยากเจอหน้าวัลดัสซะอีก”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ”
“แต่การกระทำนายมันฟ้อง” ริกเกอร์พิงขอบประตู “อย่างน้อยบอกฝ่ายนั้นสักหน่อยว่าขอเวลา แต่นายเล่นไม่พูดอะไรเลย”
“หุบปากน่า ตกลงมันยังไงกันแน่” คิ้วเลนนี่กระตุกงึกๆ ไม่สบอารมณ์
“โอเค ฉันบอกแน่” ริกเกอร์ยอมแพ้ในที่สุด “ฉันเห็นวัลดัสขึ้นแท็กซี่ไปเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่าจะไปสนามบิน”
“แล้ว?”
“ฉันเลยคิดว่าเขาคงจะกลับอังกฤษน่ะ”
เลนนี่มองดูริกเกอร์ยักไหล่ในข้อสันนิษฐานของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าวัลดัสไปทำอะไรที่สนามบิน แต่มันก็ทำให้คิดไปอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเจ้าตัวจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
แล้วจะเป็นที่ไหนถ้าไม่ใช่บ้านเกิด
…ประเทศอังกฤษ
“เขาไม่เห็นบอกฉันเลย”
“นายยอมเจอหน้าวัลดัสที่ไหน จำได้มั้ย”ริกเกอร์เตือนความจำของพี่ชาย “แต่เขาฝากนี่มาให้นาย”
ซองจดหมายกับหนังสือเล่มหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เลนนี่รับเอาไว้ด้วยความรู้สึกวูบโหวงในท้อง
“อะไรน่ะ?”
“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นจดหมาย”
“เรื่องนั้นฉันพอรู้หรอก”
ในเมื่อเลนนี่ไม่ได้รับคำอธิบายจากน้องชาย หนทางเดียวที่จะรู้คือแกะดู กระดาษโน้ตด้านในมีเขียนไว้สามสี่ประโยค เลนนี่หยิบมันขึ้นมาอ่าน
‘ไม่รู้นายชอบอ่านหนังสือแนวไหน
แต่ฉันหวังว่านายคงจะชอบเล่มนี้อย่างที่ฉันชอบนะ เจ้าหนู’เลนนี่ขมวดคิ้ว ไม่ใช่จดหมายบอกลาหรืออะไรทำนองนั้นอย่างที่เจ้าตัวคิด แค่อยากแนะนำหนังสือ?
“เขียนว่าไง” ริกเกอร์พยายามชะโงกดูข้อความ
“วัลดัสบอกให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้”
“หา?” แม้กระทั่งริกเกอร์เองยังงงอยู่เหมือนกัน บางทีหนุ่มอังกฤษอาจจะมีนัยสำคัญแอบแฝงไว้ก็เป็นได้ “เขาจะบอกรักนายเหมือนในหนังสือหรือเปล่า แบบโรแมนติกลึกซึ้ง”
“ลึกซึ้งบ้าอะไร”
เลนนี่อยากจะเอาสันหนังสือเคาะหัวน้องชายเสียจริง
“เขาไม่ใช่คนโรแมนติกหรอก ตาลุงนั่นน่ะเหรอ คิดจะพูดก็พูด คิดจะถามก็ถาม คิดจะบอกก็บอก ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันสักคำ!”
“ก็เหมือนนาย”
ริกเกอร์ตบบ่าพี่ชายเบาๆ “ดีใจด้วย เลน นายเจอคนที่ปากตรงกับใจเหมือนกันแล้ว เว้นแต่เขามีเหตุผลมากกว่าล่ะนะ”
“นายอยู่ข้างใครกันแน่”
“ข้างนายสิ โธ่ แล้วนายไม่รีบไปสนามบินเหรอ ป่านนี้วัลดัสขึ้นเครื่องไปหรือยังก็ไม่รู้นะ”
เลนนี่ฉุกคิดได้ทันทีว่าเขาควรเปลี่ยนชุดแล้วออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ ลึกๆ แล้วก็อดโกรธอีกฝ่ายไม่ได้ที่คิดจะทำอะไรตามใจชอบ สารภาพรักเขาแล้วก็คิดจะชิ่งเลยหรือไง ไร้สำนึกที่สุด!
การโบกรถแท็กซี่จึงกลายเป็นเรื่องทรมานรองลงมาจากการดูหนังโดยไม่มีป้อปคอร์น และเลนนี่ก็ไม่ชอบทั้งสองอย่างที่กล่าวมา
กว่าล้อจะเคลื่อนออกสู่ท้องถนน กว่าแท็กซี่จะขับมาถึงหน้าสนามบินก็ทำเอาเลนนี่หวาดระแวงเสียเหลือเกินว่าเขาจะมาไม่ทัน ผู้คนจำนวนมหาศาลสัญจรไปมาจนตาลาย
ขนาดเบอร์ติดต่อก็ยังไม่มี นี่ตกลงพวกเขาชอบกับแบบไหนเนี่ย!
เลนนี่ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้ ถ้ามีโอกาสได้เจอวัลดัสอีกครั้ง เขาจะเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายไว้ทุก—
“เลนนี่!”
เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง เจ้าของชื่อหันขวับไปมองอย่างตกใจ วัลดัส ยืนอยู่ตรงนั้น…กับผู้ชายตัวเล็กอีกคนที่เลนนี่ไม่รู้จัก
“นายมาทำอะไรที่นี่ เลน?”
“มาตามหาคุณไง! ถามโง่ๆ” ขอบตาของเลนนี่ร้อนผ่าว และไม่เข้าใจว่าช่วงชีวิตที่เลนนี่เร่งรีบสุดป่วงเมื่อกี้กลายมาเป็นความโล่ง
ใจแค่ไหนที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย “จะไปอังกฤษทำไมไม่บอกกันสักคำ!”
“ฮะ?” ใบหน้าของวัลดัสเต็มไปด้วยคำถาม ไม่ต่างอะไรกับคนตัวเล็กข้างๆ เขา “ใครจะไปอังกฤษนะ?”
“ก็คุณไง!”
เลนนี่จิ้มหน้าอกวัลดัสแรงๆ อย่างเหลืออด “ไม่ใช่เหรอ?!”
“เปล่า…” วัลดัสกุมนิ้วที่จิ้มรัวๆ ใส่หน้าอกเขา “ใครบอกนาย ฉันแค่มารับญาติเอง นี่อีธาน…อีธาน นี่เลนนี่”
จบการแนะนำตัวแบบงงๆ ไปเถอะ เลนนี่ไม่ได้อยากรู้ว่าคนแปลกหน้าที่อยู่กับวัลดัสของเขา(?) เป็นใคร เป็นญาติฝ่ายไหน ช่างหัวสิ เด็กหนุ่มกระชากนิ้วที่วัลดัสกุมไว้ด้วยความหงุดหงิด
“ตกลงคุณไม่ได้ไปอังกฤษใช่มั้ย”
“ใช่…”
เลนนี่พึมพำกับตัวเอง “…ริกเกอร์” ไอน้องบ้าต้มเขาซะเปื่อย!
เลนนี่ไม่มีทางรู้หรอกว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร แต่วัลดัสที่เฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ กำลังพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้มขำกับท่าทางน่าเอ็นดูเหล่านั้น
“นี่นายกลัวฉันหนีกลับอังกฤษงั้นเหรอ”
“อะไร!” เลนนี่เกลียดสีหน้ารู้ทันของวัลดัสตอนนี้จริงๆ ให้ตาย
“อ่า…”
อีธานที่เงียบอยู่นานสองนาน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “จะเป็นไรมั้ยถ้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่ ขอบคุณ”
เหมือนรู้งานว่าตัวเองเป็นบุคคลที่สามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีธานจึงขอล่าถอยออกไปก่อน ปล่อยให้คู่พระ-นายเขาเล่นบทละครน้ำเน่ากันต่อไป
“นี่ผมมาทำบ้าอะไรที่นี่กัน”
ใบหน้ายับๆ ยู่ๆ ของเลนนี่ไม่ทำให้วัลดัสบอกกับตัวเองว่าเขาควรอดทนรอคำตอบจากอีกฝ่ายให้นานกว่านี้อีกสักนิด ตรงกันข้าม ดู
เหมือนเลนนี่เองก็มีใจให้เขาไม่มากก็น้อย
ต่อไปนี้…ลุย
“แต่ฉันดีใจที่นายมา”
“เออ!” เลนนี่กระชากเสียง “งั้นก็เสียใจซะ เพราะผมจะไปแล้ว”
“ใจเย็นน่า เจ้าหนู” วัลดัสเคลื่อนตัวไปโอบร่างบางไว้หลวมๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงก่ำที่คงไม่ใช่เพราะพิษไข้ น้ำเสียง
ละล่ำละลักว่ากลับมา
“คะ…คุณมียางอายบ้างมั้ยเนี่ย!”
วัลดัสฉวยโอกาสตอนลีเขิน ก้มลงประทับริมฝีปากแตะกันเบาๆ
“ฉันชอบนายนะ”ถ้าหากจะมีใครสักคนบนโลกที่ เลนนี่ เทอเนอร์ใจเต้นแรงด้วยที่สุด
คนผู้นั้นคงจะไม่พ้นมนุษย์หน้าบอกบุญไม่รับข้างบ้านที่ชื่อวัลดัส แมด…แมดาริน เอ่อ ไม่ๆ แมดารัสรึเปล่านะ อ่า แม้กระทั่งนามสกุลก็ยังทำให้เลนนี่เกิดความเครียดได้
ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ
THE END
คุยกันนิดนึงงงงเย้ๆๆ จบกันไปแล้วกับเรื่องสั้นเบาสมอง แต่รักไม่เบาเด้อออออ
มาถึงตรงนี้ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะะะ ทำให้เราเรามีกำลังใจเขียนมากจริงๆ
ยังไงก็อย่าลืมไปติดตาม
หลังสวนดอกท้อ กันน้าาา
เป็นนิยายที่เราแต่งจบแล้วจ้าาาา ขอขอบคุณทุกๆ คนเลยยย