วันนี้มีผู้อ่านท่านหนึงPMมาว่าหนังสือเยินแล้ว เพราะอ่านเยอะ แอบดีใจนะเนี่ย เลยคิดถึงพี่ต่ายกับโอม เอาเรื่องวันตรุษจีนบวกวาเลนไทน์มาฝาก หวังว่าคงไม่ช้าเกินไปนะคะ
*************************************
อีกสองวันเป็นวันตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ผมเองโดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับว่าเราต้องไหว้หรือต้องทำอะไรบ้าง รู้แต่ว่าช่วงก่อนตรุษจีนแม่จะเกณฑ์คนในบ้านมาทำความสะอาด ซึ่งหน้าที่นั้นแน่นอนว่าไม่มีผมอยู่แน่ๆ แค่เอาตัวเองให้สะอาดก็แย่แล้วครับ หน้าที่พวกนี้ผมจึงไม่เสนอตัวเข้าไปช่วยอะไรได้หรอกครับ แล้วอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่อยากไปยุ่งกับพิธีการของแม่ก็เพราะผมรู้ว่าถึงไม่เสนอตัว ยังไงผมก็โดนครับ หึหึ
ผมจะหนีไปไหนรอด พี่อิงกับพี่กุ้งยังพอมีข้ออ้างที่ต้องดูแลลูก ส่วนพี่อั้มแกทำงานอยู่กรุงเทพฯกลับมาก็ไหว้บรรพบุรุษเลย แต่ผมที่อยู่บ้านหัวโด่เดินไปเดินมาให้แม่เห็นก็ต้องได้รับสิทธินั้นครับ
ใช่ครับผมต้องพาแม่ตระเวนไหว้เจ้าตามบรรดาศาลต่างๆที่มีอยู่ในอำเภอบ้านผม ปกติการไหว้เจ้าจะเริ่มในวันที่13เช้า แต่เพื่อความสะดวกคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคร่งครัดธรรมเนียมมากก็มักจะไหว้กันคืนวันที่12 ของที่ไหว้ก็มี หมูไก่ ผลไม้5อย่าง ชา ขนมเทียนขนมเข่ง หรืออาจจะมีเหล้าด้วย คนอื่นในบ้านไม่มีใครไปครับนับแล้วนับอีกก็มีผมกับแม่
“โอมไปคนเดียวได้มั้ย แม่แก่แล้วแม่ไม่ไหว” แต่แรกแม่บอกผมแบบนี้ครับ แล้วชี้ให้ผมดูของที่แม่จัดเตรียมให้ผมนำไปไหว้ มีกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่หนึ่งกระเช้า ถาดหมูไก่อีกหนึ่งถาด ถาดขนม ตะกร้าธูปเทียนชาของใช้ ทุอย่างคูณสองนะครับ ผมต้องไปไหว้สองที่ ผมยกมือตัวเองขึ้นมาดูก็พบว่า ผมก็มีสองมือเหมือนกับคนทั่วไป ผมส่ายหน้าขยับเท้ากำลังจะเดินชิ่งหนีแม่แล้วครับถ้าไม่ได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจ “เฮ้อ ลูกๆไม่มีใครสนใจไหว้สักคน อีกหน่อยแม่ตายบ้านเราคงไม่มีคนสืบสานประเพณี”
เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปก็เลยชะงัก แต่ยกมือตัวเองดูอีกทีก็ยังได้คำตอบเดิมคือผมมีแค่สองมือ จะไปมีปัญญายกทุกสิ่งที่ว่ามานั่นหมดได้ยังไง “แม่ไปกับผมด้วยดีกว่า ผมไหว้ไม่เป็น ไม่รู้ต้องทำยังไงมั่ง”คิดต่อในใจแม่จะได้ช่วยผมถือของด้วยไง ถึงแม่จะแก่แล้วก็ต้องออกกำลังกายใช่มั้ยครับ เดี๋ยวเส้นยึด (ใช้แม่ได้อีกนะกู...ฮา)
“แม่พยักหน้า แต่จะให้ลูกน้องเราไปช่วยยกด้วยก็เกรงใจเค้า โอมก็รับบทหนักหน่อยนะลูก” แม่พูดจบแล้วเดินหนีครับ ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้บ่นหรือพล่ามถึงความยากลำบากแต่ประการใด ผมได้แต่อ้าปากค้างอยู่แบบนั้น ก่อนที่จะคิดได้ว่า ทำไมผมไม่หาตัวช่วยล่ะ
“พี่ต่ายคร๊าบบบ..ศุกร์นี้ไม่กลับบ้านเราเหรอ คิดถึงพี่ที่สุดเลย” อยากได้พี่มาช่วยยกของไหว้เจ้าจัง ไอ้ที่ผมพูดนี่จากใจจริงนะครับ แต่ไอ้ความในใจอันหลังนี่พูดออกมาไม่ได้ครับขอทดไว้ในใจก่อน
“พี่ตั้งใจจะกลับวันเสาร์เช้าอยู่แล้วนะ โอมจะให้พี่กลับก่อนเหรอ มีอะไรรึเปล่า” พี่ต่ายคงงานยุ่งครับ ปกติพี่ต่ายจะกลับคืนวันศุกร์เสมอๆ มีเดือนมกราคมที่เพิ่งจะเริ่มกลับวันเสาร์คงเพราะงานเริ่มยุ่ง
“ไม่มี๊ไม่มี แค่คิดถึงจริงๆ”ไม่มีพี่มาช่วยกูตายเดี่ยวแน่ มีหวังกล้ามแขนทรุด เพราะแม่ผมไหว้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่แม่จะหามาได้ครับ ผมแอบให้ลูกน้องไปเอากระเช้าชั่งกิโล ได้ความว่าผลไม้ทั้งหลายร่วมๆ8กิโล น้ำหนักพอๆกับหลานผมเลยครับ อันนี้ไม่นับหมูไก่และอย่างอื่นๆอีก ถ้าจะต้องกล้ามขึ้นเพราะสาเหตุยกของไหว้แล้วล่ะก็ ผมขอไปยกดัมเบลดีกว่าดูเท่กว่ากันเยอะเลย
“กลับก็กลับ แต่คงดึกนะโอมงานมันติดพัน”เสียงพี่ต่ายตอบมาอ่อยๆคงจะเหนื่อยจากงานน่าดู แล้วต้องมาขับรถมาหาผมอีก ผมเริ่มสงสารพี่ต่ายไม่อยากให้เหนื่อย ปากก็พูดไปว่า “พี่อย่ามาดึกนะ เดี๋ยวไม่ทัน..เอ๊ยเดี๋ยวดึกเกินไปมันอันตราย”
พี่ต่ายรับคำแล้วรีบวางสายไปทำงานต่อ ผมแอบกระหยิ่มใจที่จะมีพี่ต่ายมาช่วย แต่ยังไม่กล้าบอกแม่กลัวแม่บ่นที่ผมไปรบกวนพี่ต่ายอีกครั้ง แม่สงสารพี่ต่ายที่ต้องทำงานหนักๆ จนบางครั้งสงสารมากกว่าลูกตัวเองอย่างผมเสียอีก บางครั้งแม่ยังไล่ผมให้ขับรถขึ้นไปหาพี่ต่ายบ้าง แต่ผมก็ขี้เกียจ แหะๆ พี่ต่ายมาหาผมก็ดีแล้วแม่จะให้ผมเหนื่อยขับรถไปหาพี่ต่ายทำไม พี่ต่ายยังไม่บ่นสักคำ
ผมรอพี่ต่ายจนสี่ทุ่มพี่ต่ายก็ยังไม่มาครับ แม่บอกผมว่าจะไปไหว้ตอนสี่ทุ่มครึ่งผมเลยเริ่มกระวนกระวายกลัวพี่ต่ายมาไม่ทัน ตัดสินใจโทรหาพี่ต่ายดีกว่า “พี่ต่ายอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“อยู่แก่งคอย พี่เลี้ยวเข้าเส้นมิตรภาพมาแล้ว เดี๋ยวก็ถึงโอม” เสียงพี่ต่ายใจเย็นอารมณ์ดี ถึงแม้จะฟังเหนื่อยนิดหน่อย แต่ผมสิแม่เดินมาสะกิดว่าจะไปแล้วทำเอาผมโมโหที่พี่ต่ายมาสาย ผมเลยเหวี่ยงใส่พี่ต่ายไปโดยไม่รู้ตัว(แก้ตัวเรื่อยเลยล่ะไอ้โอมเอ๊ย) “ทำไมพี่ถึงแค่ตรงนั้น ผมบอกพี่แล้วไงว่าอย่ามาดึกๆดื่นๆ มันไม่ทันแล้วเนี่ย”
“อะไรไม่ทันเหรอโอม โอมมีอะไรรึเปล่า” เสียงพี่ต่ายยังไม่รู้เรื่องอีกว่าไม่ทัน แต่คิดไปคิดมาจะรู้ได้ยังไงเพราะผมไม่ได้บอกนี่หว่า แต่ไม่รู้ล่ะทำไมไม่รีบมา ผมยังคงสาดอารมณ์ใส่พี่ต่ายต่อไป
“ผมจะชวนพี่ไปไหว้เจ้าพ่อน่ะสิ นี่แม่จะไปแล้ว พี่มาไม่ทันจนได้ ผมไม่น่าเชื่อพี่เลย ว่าพี่จะมา แค่นี้นะ”
ผมวางสายไปอย่างหงุดหงิด แล้วเริ่มลำเลียงข้าวของใส่รถ ผมยกของจนแขนล้าไปหมด หน้าตาบอกบุญไม่รับ แล้วพอไปถึงที่จอดรถก็ดันมีปัญหาได้อีก ที่จอดรถใกล้ๆศาลเต็มเพราะมีคนมาไหว้กันมากมาย เหลือแต่ไกลๆร่วมๆร้อยเมตร ผมจำใจจอดรถอย่าเสียไม่ได้ แต่มันไม่มีทางเลือกนี่ครับ ผมให้แม่เดินไปก่อนแล้วผมจะยกของตามไป “จอดไกลขนาดนี้ โอมจะถือไหวเหรอลูก แม่ช่วยนะ” ผมส่งถาดขนมใบย่อมๆให้แม่อย่างไม่ลังเล แต่พอมองของที่เหลือผมก็ไม่ใจดำพอให้คนแก่ต้องยกของหนักขนาดนั้น
“ไหวแม่ เดี๋ยวเดินสองรอบเอา แม่ไปก่อนเถอะ” ผมปล่อยให้แม่เดินไปแล้วยกของเต็มมือทั้งสองข้าง แต่ก็ดันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาซึ่งผมไม่มีทางรับสายได้เลยทั้งๆที่รู้ว่าเป็นใคร “พี่ต่าย..โทรมาทำไมวะ นี่ถ้าไม่เบี้ยวเราก็ไม่ต้องเจ็บแขนขนาดนี้ ไอ้พี่ต่ายนะพี่ต่าย”
ผมเดินสองรอบกว่าจะขนของเสร็จ ภายในศาลเจ้าผู้คนพลุกพล่านจอแจ กลิ่นควันธูปคละคลุ้ง ภายในเต็มไปด้วยควันจนมองหน้าใครก็สวยไปหมดเพราะมันเบลอๆ ผู้คนที่มาไหว้ต่างก็มีศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธ์
ส่วนผมก็ศรัทธานะครับไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่พออะไรทำให้ผมลำบากแล้วผมก็พาลน่ะครับ แม่เรียกให้ไปทำอะไรก็หน้างอๆ จนแม่ต้องถามว่าเป็นอะไร ผมส่ายหน้าให้แม่ฝืนยิ้มให้ไป เพราะไม่อยากให้แม่เข้าใจผิดว่าผมไม่เต็มใจจะมา (ที่จริงก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่หนีไม่ทันมากกว่า..ฮา) แต่ชักจะยิ้มไม่ออกก็เมื่อมีแต่คนมาทักผมว่า
“ลูกเจ๊ทำไมยังไม่แต่งงาน มีแฟนรึยัง จะแนะนำให้เอามั้ยลูก”
“หน้าตาก็ดีทำไมไม่ให้ลูกแต่งงานไปซะ จะได้มีลูกสะใภ้มาไหว้แทนยังไงล่ะเจ๊”
ผมฝืนยิ้มไปให้แต่ในใจนึกว่า ‘มายุ่งอะไรกับชีวิตกูนักหนาวะ’ แต่แม่ผมก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้
“เค้ามีแฟนแล้ว อยู่กรุงเทพจ๊ะ” แม่หันมายิ้มให้ผมท่าทางภูมิใจในตัวพี่ต่ายมาก ผมอยากบอกแม่ว่า “แฟนมีแต่มาไม่ทัน ใช้ไม่ได้เลยใช่มั้ยแม่” ก็พี่ต่ายใช้ไม่ได้จริงๆนี่ครับจะให้ช่วยอะไรนิดหน่อยก็มาช้า ผมก็กลับมาโกรธพี่ต่ายอีกรอบ แค่นึกถึงตอนยกของไหว้กลับไปที่รถกล้ามแขนผมก็แฟบไปแล้ว
มือขวาผมถือถาดไก่เรียบร้อยแล้วมือซ้ายกำลังจะยกกระเช้าผลไม้ แต่อยู่ๆก็มีคนมาขโมยไก่จากมือผมไปต่อหน้าต่อตา “เฮ้ย...เอาคืนมานะ ขโมย!!!” ผมอ้าปากกำลังจะตะโกนว่าคนขโมยไก่ ช่วยด้วย...แต่พอเงยหน้ามาเห็นคนที่เป็นขโมยผมก็ต้องหุบปากแถมทำปากคว่ำลงไปอีก
“มาทำไม” ผมถามพี่ต่ายไปเสียงดุๆ ต้อนรับปีใหม่จีนกันเลยทีเดียว
“มารับแฟนครับ” พี่ต่ายแต่งตัวโทรมเชียวครับยังใส่เสื้อทำงานยับยู่ยี่อยู่เลย แต่รอยยิ้มประจบและแววตาอ้อนๆที่ส่งมาให้ผม พร้อมด้วยน้ำเสียงง้องอนทำเอาผมใจอ่อนยวบ แต่ปากแข็งทำโมโหต่อ
“มาช้าก็ไม่ต้องมาเลย”
“มาช้าดีกว่าไม่มานะครับ” พี่ต่ายเอื้อมมือจะดึงกระเช้าผลไม้ไปจากมือผม อย่าคิดนะ อย่าคิดว่าผมจะให้
ผมส่งให้พี่ต่ายอย่างเต็มใจครับ ให้ไปเลย...หนักจะตาย จะทำเป็นงอนแล้วมาถือของหนักๆทำไมให้โง่ เหลืออีกสองตะกร้าแต่ไม่หนักเท่ากระเช้านี่หรอกครับ พี่ต่ายรับกระเช้าไปแล้วถึงกับหน้าเบ้ไปทีเดียว “อุ๊บส์..หนักเอาการเลยนะเนี่ย ไหว้เจ้าเค้าไหว้หินกันด้วยเหรอ” พี่ต่ายพูดแล้วขำ ทำเอาผมขำกับมุกของพี่ต่ายไปด้วย
“บร้าเหรอ จะฟ้องแม่ว่าพี่ต่ายแซว”
พี่ต่ายรีบส่ายหน้า “อย่านะโอม ลูกงอนคนเดียวพอแล้ว อย่าให้แม่งอนอีกคนเลย ง้อจนหมดแรงพอดีสิ” มือผมไม่ว่างครับแต่เท้ายังฟรี ผมเลยเหยียบเท้าพี่ต่าย เอ๊ย...ไม่ใช่สิ กระทืบเท้าพี่ต่ายไปที แต่แค่เบาะๆนะครับ เอาแค่เจ็บจนตาหยี ร้องแค่โอ๊ย...แค่นั้นเอง พี่ต่ายเดินตามผมกลับไปที่รถแต่ก็ยังบ่นให้ผมได้ยินเบาๆว่า
“เจ็บจัง ใจร้ายขึ้นทุกวันแล้วนะโอม ไม่เห็นใจกันบ้างทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด อุตส่าห์รีบบึ่งรถมาหาแฟน แฟนก็มางอนอีก ทำไมชีวิตพี่มันน่าสงสารแบบนี้น้า...พะ..”
ผมหันขวับมาที่พี่ต่าย “ถ้าไม่หยุดบ่น วางของลง เดียวผมมายกเอง แล้วพี่กลับไปเลย” ผมสะบัดหน้าหนีพี่ต่ายไม่อยากเห็นหน้าอ้อนๆของพี่ต่ายที่ชอบใช้เวลาผมโมโห
“โอเคๆ ไม่พูดแล้ว แต่พี่ขอโทษนะโอม พี่ไม่รู้ว่าจะมีไหว้เจ้านี่ โอมก็ไม่บอกพี่ พี่เลยขับมาตามสบาย ถ้าพี่รู้พี่ก็รีบมาแล้ว” เสียงพี่ต่ายยังพยายามอธิบายเหตุผลให้ผมฟัง ผมก็รู้นะครับว่าผมมีส่วนผิด แต่คนอย่างผมผิดแล้วเรื่องอะไรจะยอมรับ แถได้เป็นแถ เนียนๆมั่วๆไว้ก่อนเป็นปกตินิสัยอยู่แล้ว
“ผมก็แค่เห็นว่าถ้าพี่มาทันก็ไปด้วยกัน แม่คงดีใจ แต่พี่ก็มาช้าทำไมล่ะ” ผมพูดไปเผื่อพี่ต่ายจะเชื่อผม
“พี่ก็อยากมาไหว้นะ พี่ไม่รู้จริงๆ เดี๋ยวพี่ต้องขอโทษแม่ด้วย” เราเดินมาถึงรถพอดี แม่ผมหันมาเห็นพี่ต่ายก็ร้องขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ต่ายมาได้ไงลูก แม่กำลังคิดถึงพอดีเลย”แม่เดินเข้ามาหาพี่ต่ายลูบหลังลูบไหล่ทักทาย ผมเหล่ดูแม่ลวนลามพี่ต่ายทำไมกันนี่ แอบหวง หึหึ
“รถต่ายอยู่ไหนลูก เดี๋ยวไปไหว้เซียนต่อด้วยกันนะ”
“ครับแม่ ผมขอโทษนะครับที่มาช้าเลยมาช่วยแม่ไม่ทันเลย” ผมกับพี่ต่ายจัดการเก็บของเข้ารถเรียบร้อย เตรียมพร้อมไปต่อ
“ไม่เป็นไรลูก ไปไหว้ต่อกันดีกว่า จะได้เลิกไม่ดึก”
แม่บอกว่าไปไหว้ต่อจะได้เลิกไม่ดึก แต่มันก็ดึกอยู่ดีครับ คืนนั้นกว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืน เราสองคนดันทุรังกลับไปนอนบ้านริมเขา แต่กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง ผมอยากนอนแต่ก็นอนไม่หลับเพราะปวดเมื่อยแขนไปหมด ต้องนอนให้พี่ต่ายนวดแขนให้
“ พี่ต่ายบีบแรงๆหน่อยสิ โอมปวดอะ เป็นเพราะพี่ทีเดียวเลย มาช้าทำให้โอมต้องมาเป็นแบบนี้”พี่ต่ายเอาแต่ยิ้มไม่ยักเถียงผมกลับ บีบน้ำมันนวดใส่แขนผม แล้วบีบแรงๆจนแขนผมร้อนไปหมด ค่อยคลายความปวดเมื่อยไปได้บ้าง
“พี่ต่ายล่ะไม่เมื่อยเหรอ กระเช้าหนักจะตายไป”
“เมื่อยสิ โอมนวดให้พี่มั่ง” ผมรับน้ำมันมาจากพี่ต่ายแล้วถกแขนเสื้อพี่ต่ายขึ้น “พี่ปวดตรงไหน บอกมาเลย หมอนวดโอมจัดให้”
พี่ต่ายเอานิ้วจิ้มที่ต้นแขน ผมเลยละเลงน้ำมันแล้วเริ่มบีบนวดพี่ต่ายที่ตอนนี้เลื้อยตัวลงไปนอนแล้ว เหมือนท่านเจ้าคุณมีนางเล็กๆ อย่างผมค่อยปรนนิบัติพัดวี
“อืมม...สบายจังเลย”พี่ต่ายทำตาเยิ้มมองผมแปลกๆ
“พี่ต่ายหายเมื่อยแล้วนะ โอมจะได้เลิกนวด” ผมทำท่าจะผละออกจากพี่ต่าย แต่พี่ต่ายดึงมือผมเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว ข้างซ้ายก็เมื่อยมาข้างซ้ายด้วย” ผมขี้เกียจลงจากเตียงไปเดินอ้อม เลยปีนข้ามตัวพี่ต่ายไปข้างซ้าย ตอนที่ผมปีนข้ามพี่ต่ายดันยกตัวขึ้น ผมเลยสะดุดหัวทิ่มลงไปทับตัวพี่ต่าย
กลายเป็นว่าผมกอดพี่ต่ายทั้งตัว
พี่ต่ายร้อง “อุ้ย...”แล้วก็ยิ้ม เอามือจับเอวผมไว้แน่น “โอมเล่นอะไรครับ”
ผมส่ายหน้าพยายามจะลุกขึ้นแต่พี่ต่ายไม่ยอมปล่อย เลยกลายเป็นว่าผมนั่งขี่พี่ต่ายอยู่ “ไม่ได้เล่น..ตกลงพี่ต่ายจะไม่นวดแล้วใช่มั้ย”
“โอมไม่ต้องนวด พี่นวดเองดีกว่า”พี่ต่ายจะไม่นวดน่ะสิครับ ผมดูท่าแล้วจะทำอย่างอื่นมากกว่า พี่ต่ายจับตัวผมลงมานอนแทนแล้วจูบผมเบาๆ ก่อนลูบแก้มผม เขี่ยเส้นผมที่รกรุงรังของผมออกจนผมหนาวแล้วสลับเป็นร้อน เพราะพี่ต่ายเริ่มก้มลงหอมแก้มผม
“โอมจ๋า พี่คิดถึงโอมจัง” เสียงของพี่ต่ายกระซิบแผ่วเบาสลับกับจูบไปทั่วตัวผมทำเอาผมขนลุกไปหมด “พี่ต่ายยย...” ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรด้วยได้แต่ปล่อยให้พี่ต่ายทำอะไรกับผมไปเรื่อย จนกว่าจะรู้ตัวผมก็โดนโจรขโมยไก่ ถอดเสื้อผ้าผมออกไปหมดแล้วครับ พี่ต่ายที่ผมคิดว่าเหนื่อยจากการทำงานหนักตอนนี้ไม่รู้เอาพลังงานสำรองที่ไหนมาใช้ไม่รู้ครับ ท่าทางจะเป็นพลังงานติดเทอร์โบเสียด้วยเพราะพี่แกทั้งแรงและเร็วจนผมสั่นไปทั้งตัว “อึกก....อื๋อ..พี่ต่ายแรงไปแล้ว”
พี่ต่ายส่ายหน้าเอามือลูบเช็ดเหงื่อให้ผม “อีกนิดเดียวโอม…นะครับ” พี่ต่ายรั้งตัวผมเข้ามากอดแล้วมอบจูบอันแสนหวานมาให้ผม แต่ส่วนล่างก็ยังขยับไม่หยุด ผมกอดคอพี่ต่ายแน่น ความรู้สึกพุ่งขึ้นมาจนใจหวิว เมื่อพี่ต่ายผละจากริมฝีปากผมแล้วรัดผมแน่นขึ้น ผมเองแทบทนไม่ไหวต้องจูบฝังรอยไว้ที่คอพี่ต่าย แถมเผลอกัดไปเบาๆ
เมื่อเราผละจากกันอีกครั้งก็ไม่มีการพูดคุยอะไรอีกเพราะต่างเหนื่อยจากการไหว้เจ้าและการนวดเวอร์ชั่นใหม่ เราต่างก็พร้อมใจนอนกอดหลับไปทั้งคู่
วันรุ่งขึ้นภารกิจสำหรับวันตรุษจีนของผมยังไม่หมด เริ่มต้นด้วยการไหว้เจ้าที่ตามบ้านและร้านค้า แม่จัดผลไม้กับไก่มาให้ผมกับพี่ต่ายไหว้เจ้าที่บ้านริมเขาด้วย
“พี่ต้องอธิษฐานว่าอะไรบ้างล่ะโอม พี่ไม่เคยไหว้” พี่ต่ายจุดธูปเสร็จหันมาถามผม
ผมถึงกับเหวอไปเพราะผมก็ขอมั่วๆมาตลอด แต่ไม่อยากเสียฟอร์มว่าไม่รู้เลยบอกพี่ไปต่ายไปส่งเดชว่า “ขอให้คนที่รักสุขภาพแข็งแรง ขอให้คนที่รักมีความสุข ให้ความรักไม่มีอุปสรรค อะไรพวกนี้แหละพี่ต่าย”
พี่ต่ายมองหน้าผมงงกว่าเดิมอีก “ขอให้โอมหมดเลยเหรอ แปลกๆ” พี่ต่ายส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็หลับตายกมือไหว้แล้วนิ่งเงียบ ผมเลยไม่รู้ว่าพี่ต่ายคิดอะไรขออะไรกันแน่ แต่ยังไงผมก็ไม่มีอะไรต้องเสียนี่ครับ ผมก็ขอของผมมั่งสิ ผมจุดธูปแล้วไหว้ขอบ้าง แต่ผมคงขอมากไปหน่อย เพราะพี่ต่ายมาสะกิดผมว่า
“โอม ธูปมันลามมาครึ่งดอกแล้ว ถ้าโอมยังขอพรเจ้าต่อ พี่ว่ามันจะลามมาไหม้มือโอมนะ หึหึ”
ผมจำใจหยุดรายการขอพรไว้เพียงเท่านั้นทั้งที่ยังเหลืออีกครึ่ง ผมเหลือบมาดูธูปมันเกือบถึงมือผมแล้วครับ พอผมขยับมือขี้ธูปก็ร่วงใส่มือผมจนแสบร้อนไปหมด “โอ๊ย...พี่ต่ายมาเขย่าแขนผมทำไม เห็นมั้ยธูปไหม้มือผมเลย”
พี่ต่ายไม่สงสารผมกลับหัวเราะขำแล้วเดินหนี ปล่อยให้ผมโอดโอยร้องว่าปวดๆอยู่คนเดียว สักพักพี่ต่ายก็เดินออกมาแล้วยื่นมือมาหาผม มองไปที่มือแล้วพยักหน้าให้ ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่รู้ พี่ต่ายเล่นเกมอะไรอีกแล้ว “จะเอาอะไรพี่ต่าย เป็นใบ้เหรอ” พูดไปแล้วก็ถึงรู้สึกว่าผมพูดห้วนๆกับพี่ต่ายไปอีกแล้ว
“ส่งมือมา” ผมส่งมือให้พี่ต่ายอย่างงงๆ พี่ต่ายถามต่อว่า “มือไหนที่โดนธูป ไม่เห็นมีเลย”
ผมยื่นมืออีกข้างไปให้พี่ต่าย “วันหลังระวังๆหน่อยนะโอม ขอพรอะไรกันนักหนา จนธูปหมดดอก”
“อูย..เจ็บๆๆ พี่ต่ายเอาอะไรมาทาให้ผม ทำไมมาแล้วเย็น”
พี่ต่ายยิ้ม “บัวหิมะ แม่โอมให้พี่มา”
“อ๋อ ที่เค้าใช้ทาคนโดนไฟลวก ดีเนอะผมไม่แสบร้อนแล้ว”
“ใช่ แม่บอกว่าให้เอามาติดบ้านไว้ โอมชอบซุ่มซ่าม ต้องมียาไว้ให้พร้อม หึหึ” ผมส่งค้อนให้พี่ต่ายอีกที
“อีกแล้วนะพี่หาเรื่องผมอีกแล้ว...พี่ต่ายชอบว่าผม”
ผมแกล้งเอาศอกถองพี่ต่ายแรงๆ แต่พี่ต่ายก็หัวเราะ การได้แกล้งผมคงเป็นความสุขอย่างหนึ่งของพี่ต่าย ผมคงจะต่อว่าพี่ต่ายต่อไปถ้าแม่ไม่โทรมาตามผมให้ไปไหว้บรรพบุรุษต่อ ผมกับพี่ต่ายเลยต้องรีบกลับไปที่ร้านจัดการพิธีการให้เสร็จสิ้นไป
ช่วงบ่ายผมก็ยุ่งกับการจ่ายเงินแต๊ะเอียให้ลูกจ้าง ตามด้วยงานเลี้ยงโต๊ะจีนลูกจ้างที่เราทำกันเป็นประเพณีทุกปี กว่างานจะเลิกผมก็กรึ่มจนเมานิดๆ เพราะลูกน้องมันคอยแต่จะมาขอชนแก้วกับผม ทั้งที่พี่ต่ายก็ห้ามแอบเอาหล้าผมเททิ้งซะหลายหน พี่ต่ายประคองผมเข้าบ้านอย่างทุลักทุเลเพราะผมก็ทั้งง่วงทั้งเมา พี่ต่ายทิ้งผมไว้ที่เตียงก่อนที่จะผละออกไปอาบน้ำจนเสร็จ แล้วกลับมาพยุงตัวผมเข้าไปอาบบ้าง พี่ต่ายพยายามดึงตัวผมให้ลุกขึ้นแต่ผมก็เลื้อยเอาแต่จะนอนท่าเดียว
“โอมไปอาบน้ำเถอะ เหม็นเหล้า”
“อื้อ...ง่วง” ผมลืมตาขึ้นมาถามพี่ต่ายว่า “ไม่อาบได้มั้ย ขอซักแห้งสักวัน”
ก่อนที่ผมจะหลับตายังทันเห็นพี่ต่ายส่ายหน้า แล้วพี่ต่ายก็ลากผมไปอาบน้ำจนได้ ผมนั่งสะลึมสะลือให้พี่ต่ายอาบน้ำให้ ฟังพี่ต่ายพูดไปด้วย “รู้มั้ย ที่โอมโทรไปให้พี่มาหา พี่นึกว่าเพราะพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ พี่ก็อุตส่าห์ดีใจ”
“โอมจำได้มั้ย ปีก่อนเราไปเที่ยวเหนือด้วยกัน แล้ววันวาเลนไทน์เราก็อยู่กันที่ภูชี้ฟ้า” ผมเริ่มตาสว่างขึ้นมาทีละน้อย เหมือนเสียงของพี่ต่ายมาจุดความจำให้ผม พี่ต่ายล้างหน้าให้ผมแล้วเอามือลูบหน้าผมเบาๆ พี่ต่ายยิ้มแล้วคุยกับผมทั้งที่รู้ว่าสติผมมันไม่เต็มร้อย พี่ต่ายช่างอดทนจริงๆ
“แต่ปีก่อนพี่ลืม แล้วดูปีนี้สิ พี่จำได้แต่โอมกลับลืม” ที่พี่ต่ายพูดมาถูกทุกข้อครับทั้งก.ข.และค. ผมลืมไปจริงๆด้วยทั้งที่หลายๆคนบอกว่าปีนี้วันตรุษจีนเป็นวันเดียวกับวันวาเลนไทน์ แต่ผมก็ยังลืม
พี่ต่ายคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้ผมก่อนใส่เสื้อให้ แล้วทาแป้งให้ผมด้วย พี่ต่ายเอาแป้งมาตบที่แก้มผมทั้งสองข้าง แล้วหอมแก้มผมทั้งซ้ายขวา เหมือนตรวจสอบว่าแป้งหมดอายุรึเปล่า ยังมีกลิ่นหอมมั้ย แล้วพาผมไปนอน
“อ้าว...คราวนี้ก็พร้อมนอนหลับอย่างสบายๆแล้วนะ โอม...นี่เราเมามากเลยนะพี่พูดอะไรก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับมาสักคำ” ผมกอดพี่ต่ายบ้างแล้วดึงตัวพี่ต่ายมานอนข้างๆ
“ผมตาสว่างแล้ว ที่พี่พูดมาผมรู้เรื่องหมดนะ ผมยอมรับว่าผมลืมไปจริงๆว่าพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ผมขอโทษพี่ต่ายนะคร๊าบ”
พี่ต่ายยิ้มแล้วลูบหัวผมอย่างเอ็นดู “ไม่เป็นไรถือว่าเราเจ๊ากัน ปีก่อนพี่ลืม ปีนี้โอมลืม ดีมะ”
“วันวาเลนไทน์ดู ไม่สำคัญสำหรับพี่ต่ายเลยนะ” ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆครับ เดิมผมก็เรียกร้อง (ในใจ)จากพี่ต่าย อยากได้นู่นนี้บ้างในวันวาเลนไทน์ แต่ผลก็คือพี่ต่ายไม่รู้อะไรเลย ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนวันหยุดราชการคือไม่มีผลกับชีวิตเรา เราก็ยังถือคติทำงานกันต่อไปไม่เว้นวันหยุดราชการ สำหรับพี่ต่ายและผม วันเชงเม้งหรือวันเข้าพรรษายังมีผลกับเรามากกว่าเยอะเลยครับ
“ก็คงจะจริงนะ พี่ก็ไม่รู้จะไปสนใจทำไมกับแค่วันๆเดียว ในเมื่อทุกวันนี้เราก็รักกันอยู่แล้ว พี่ก็ไม่เคยรักโอมวันนี้มากกว่าหรือน้อยกว่าวันปกติซะเมื่อไหร่” พี่ต่ายกอดผมแน่นๆ แล้วหอมแก้มผมอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นส่งสายตาหวานให้พี่ต่าย
“งั้นเรานอนกันดีกว่าเนอะ พรุ่งนี้จะวันอะไรก็ช่างมัน เราก็มีกันและกันอยู่แล้วนี่”พี่ต่ายอมยิ้มพยักหน้าให้ผม
“ช่าย...พรุ่งนี้จะวันอะไรก็ช่าง ยังไงพี่ก็รักโอมอยู่ทุกวัน”พี่ต่ายเอานิ้วเขี่ยแก้มผมเล่น แล้วเริ่มหอมแล้วหอมอีก ซุกไซ้ไปที่ซอกคอผมลดตัวลงมาเรื่อยๆ จนผมต้องรีบบอกพี่ต่าย
“เชื่อแล้วว่าพี่ต่ายรักผมนะครับ ไม่ต้องแสดงออกก็ได้ อา...อื้อ..”
แต่พี่ต่ายคงกลัวผมไม่เชื่อครับ วันนี้ยังเป็นวันก่อนวาเลนไทน์พี่ต่ายคงอยากให้ทุกๆวันไม่มีความแตกต่าง ผมก็คงต้องยอมๆให้พี่ต่ายไป เพราะตอนนี้แอลกอฮอล์ในเลือดผมคงจะเยอะเกินไป ผมถึงไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เช้าที่แม่บอกให้ผมไปไหว้ขนมอี๋ตอนหกโมงเช้า ผมจะมีแรงตื่นนะครับ
“พี่ต่ายอ่า....เดี๋ยวโอมตื่นไม่ไหว” พี่ต่ายหยุดการกระทำชั่วคราว แล้วเงยหน้ามาบอกผมส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้
“งั้นก็ไม่ต้องนอน...ถึงเช้าไปเลยโอม”
“แง๊ๆๆ....พี่ต่ายยย”
*********************************
นึกว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้อีกแล้วนะ เผลอเขียนไปอีกจนได้