ในที่สุดพี่ต่ายก็พาผมมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่น เก้าอี้นั่งสบายๆ เสียงดนตรีเปิดคลอเบาๆ แต่ละโต๊ะตั้งห่างกันไม่อึดอัดเหมือนบางร้าน แต่ทั้งที่บรรยากาศดีแบบนี้กลับมีผู้คนบางตาคงเตรียมตัวต้อนรับน้องน้ำอยู่กับบ้านมากกว่า นาทีนี้ผมเชื่อว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่เครียดกับเรื่องน้ำมากกว่าจะคิดหาวิธีผ่อนคลายจิตใจ
เราสั่งอาหารไปสองสามอย่างแล้วต่างนั่งฟังเพลงไปเงียบๆ พอผมหันมาอีกทีพี่ต่ายนั่งมองหน้าผมเหมือนคิดอะไรอยู่
“พี่ต่ายไม่กลับบ้านเราเหรอ ไหนๆน้ำก็ท่วมแล้ว น่าจะถือโอกาสลาพักร้อนซะเลย”
พี่ต่ายส่ายหน้า “ช่วงนี้ยังไม่กลับ เพราะที่ทำงานไม่ปิด แต่ถ้าพี่จะกลับก็กลับไปเลยไม่กลับมาแล้ว”
“หืม พี่หมายความว่ายังไง ที่ว่าไม่กลับมาแล้ว” นี่เป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่เคยคุยกันมาก่อน ผมไม่ระแคะระคายมาก่อนเลย พี่ต่ายหมายถึงการลาออกรึไง?
“พี่เริ่มเบื่อกรุงเทพฯ อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องงานด้วย แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่นอน ว่าจะถามโอมอยู่เหมือนกัน”
ตอนนี้พี่ต่ายทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เงินเดือนหกหลัก โบนัสเพียบ สวัสดิการพร้อม เป็นที่น่าอิจฉาของเพื่อนผมหลายๆคน ถ้าพี่ต่ายจะออกก็น่าเสียดาย แต่ผมไม่ใช่พี่ต่าย พี่ต่ายมักมีเหตุผลที่ดีเสมอ
“ผมแล้วแต่พี่ พี่กลับมาอยู่ที่บ้านผมก็ชอบนะ แต่ผมรู้ว่าพี่ชอบทำงานที่ทำอยู่ ผมถึงแปลกใจ ที่อยู่ๆพี่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“พี่ชอบงานที่ทำ แต่พี่ก็รักโอมด้วย บางครั้งเวลาที่เราชอบอะไรสองอย่างพร้อมๆกัน มันก็บังคับให้เราต้องเลือก”
“ถ้าพี่จะทำงานไปด้วยแล้วรักผมไปด้วย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่ต่ายนี่ ถ้ามันเป็นงานจริงๆ ไม่ใช่ว่าพี่ต่ายแอบไปมีใครลับหลังผม ไม่ต้องเลือกก็ได้เอาไว้ทั้งสองอย่างเลย ดีออก ไม่ต้องเสียอะไรไปสักอย่าง”
“โอมไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ เวลาที่พี่ไม่อยู่ด้วย พี่นึกว่าโอมจะดีใจถ้าพี่ไปอยู่ด้วยตลอด” น้ำเสียงพี่ต่ายเหมือนจะตัดพ้อ หรือว่าผมไม่ค่อยแสดงออกเลยว่ารักพี่ต่าย พี่ต่ายเลยไม่แน่ใจ
ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ไม่ช่ายยย... ใครว่าล่ะ ผมนอนคนเดียวออกจะเหงา หน้าหนาวยิ่งเหงาจับใจ คิดถึงแต่พี่ต่าย”
พี่ต่ายเอื้อมมือมากุมมือผมไว้บีบเบาๆ ทำสีหน้านิ่งแต่ดวงตาพราวระยับ“พี่คิดถึงโอมทุกฤดูเลย ไม่เฉพาะหน้าหนาว”
ผมสำลักน้ำจนไอ พี่ต่ายมาหวานอะไรตอนนี้ เอิ้กๆ... ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน หวานมากๆแบบบนี้ไม่ได้ยินมานานแล้วจริงๆ
“พี่ต่าย ไม่เขินเหรอ พูดอะไรอะตลก” ปากผมบอกว่าตลกแต่ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมด พี่ต่ายถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“ไม่เขิน เขินทำไม พี่พูดเรื่องจริง แต่ไม่เอาละมาเข้าเรื่องดีกว่า ที่พี่เอาเรื่องนี้มาพูดอีกที เพราะที่ทำงานพี่อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“เรื่องอะไรเหรอ หรือพี่จะได้เลื่อนตำแหน่ง” ผมพูดส่งเดชไปแบบนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยิ่งไม่น่าจะลาออกสิ
“ใช่ พี่จะได้โปรโมทเลื่อนเป็นพาร์ทเนอร์...” พี่ต่ายพยักหน้าขรึม ดูวี่แววไม่ดีใจสักนิดเดียว ผิดกับผมที่ดีใจมาก เพราะแสดงว่าแฟนผมเป็นคนเก่งจนเจ้านายยอมรับ
“เฮ้ย...ก็ดีน่ะสิพี่ ข่าวดีในรอบปีเลยนะ ยิ่งกว่าข่าวน้องน้ำไม่เข้าบ้านอีก ฮ่าๆ” แต่ผมก็ต้องหัวเราะค้างเมื่อพี่ต่ายพูดต่อด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“แต่พี่ต้องไปอยู่ฮ่องกงนะโอม อาจจะสองหรือสามปี”
พี่ต่ายพูดจบก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอดีกับพนักงานเสริฟเข้ามาวางอาหาร พี่ต่ายตักไก่ทอดตะไคร้ใส่จานให้ผมแล้วบอกว่า “ถ้าพี่ไปฮ่องกงจริง ใครจะคอยดูแลโอม”
ผมอึ้งไปกับรายละเอียดที่ได้รู้ รอยยิ้มที่ใบหน้าหุบลงทันทีผมพูดอะไรไม่ออก พี่ต่ายยังคงพูดต่อไป “จากฮ่องกง พี่อาจจะต้องย้ายไปเซี่ยงไฮ้ หรือประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซียอีก ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมืองไทยอีกเมื่อไหร่”
ในใจผมคิดเพียงว่าพี่ต่ายจะไม่อยู่เท่านั้นเลือดในกายผมก็เหมือนจะแห้งเหือดไป มือเย็นเท้าเย็นทั้งที่อากาศไม่ได้เย็นเลยแม้แต่น้อย
“โอมคิดยังไงล่ะ ยังอยากให้พี่ได้ทำงานนี้ต่ออีกรึเปล่า” สำนึกของผมบอกว่าพี่ต่ายกำลังก้าวหน้า การงานของพี่ต่ายมีแต่จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ในระดับต่างประเทศ ไม่ใช่แค่กิจการแบบครอบครัวของผมในบ้านนอก
“ว่าไงโอม ทำไมเงียบไป บอกให้พี่รู้บ้าง”
พี่ต่ายเขย่ามือผมเรียกสติผมให้กลับคืนมา ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มแต่ก็ดูจะไม่พอที่จะทำให้ผมเปล่งเสียงได้ เสียงที่ดังขึ้นมาจึงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ
“ผมมัวแต่เซอร์ไพรส์ มันเป็นข่าวดีในรอบปีของพี่ต่าย ยินดีด้วยครับ” ผมพยายามยิ้มให้ดูจริงใจที่สุด
ผมคงจะเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะรั้งพี่ต่ายไว้ ผมไม่อยากให้พี่ต่ายเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่บ้านนอก...กับผม พี่ต่ายขมวดคิ้วแววตาสับสน “โอมอยากให้พี่ไปเหรอ เราต้องแยกกันเป็นปีเลยนะ ไม่ใช่แค่สี่ห้าวันเหมือนตอนนี้”
พอพี่ต่ายพูดว่าจะต้องแยกกันเป็นปี ผมก็แทบน้ำตาร่วง คิดย้อนไปในวันที่เราแยกกันเพราะพี่ต่ายหนีไปสิงค์โปร์ถึงแม้ตอนนั้นผมจะไม่รู้เหตุผลในการแยกทาง แต่ก็ทำเอาวิญญาณผมหายไปเป็นปีๆ ผมจะมีคืนวันที่ทรมานอย่างนี้อีกได้ยังไง กระบอกตาผมร้อนผ่าวมันทำท่าจะร้องไห้ออกมาประท้วงการเลื่อนตำแหน่งแบบนี้
“มีทางเดียวที่เราจะไม่ต้องแยกจากกันก็คือโอมไปกับพี่ด้วย ?”
พี่ต่ายกำลังให้ทางออกกับผม แต่มันเป็นทางที่ทำให้ผมตัดสินใจลำบากเหมือนกัน ถ้าพี่ต่ายมีทางเลือกสองทางคือผมกับงาน ทางเลือกที่พี่ต่ายบอกผมก็คือให้ผมเลือกระหว่างครอบครัวกับพี่ต่ายเหมือนกัน กลายเป็นว่าเพิ่มความขัดแย้งในใจผมให้มากขึ้นไปอีกทวีคูณ ผมตัดสินใจไม่ได้ถ้าผมทิ้งป๋ากับแม่ไปผมคงรู้สึกแย่ไปตลอดชีวิต
ผมหัวเราะฝืดๆออกมา “ทำไมพี่ไม่บอกผมล่วงหน้าสักคำ ถ้าผมไม่มาจัดการเรื่องของเพราะกลัวน้องน้ำ พี่ตั้งใจจะบอกผมเมื่อไหร่กัน” ผมไม่ทันเตรียมใจกับปัญหาใหญ่แบบนี้
“พี่อยากให้โอมมาเก็บของก็เพราะเหตุนี้ พี่อยากคุยเรื่องนี้กับโอม” มิน่าล่ะ อยากจะคุยธุระก็ไม่บอกกันตรงๆ พี่ต่ายก็คือพี่ต่ายตลอดคิดอะไรสองชั้นสามชั้น
อาหารออกมาครบแล้วรสชาติค่อนข้างดีแต่ผมกลับกินไม่ลงทั้งที่ทำงานมาเหนื่อยๆ พี่ต่ายเองก็ดูไม่ค่อยเจริญอาหาร
“ทำไมกินน้อยจังโอม ไม่อร่อยเหรอ”
“อร่อย แต่ไม่อยากกิน” พี่ต่ายยิ้มเจื่อนๆ คงพอจะรู้ถึงความรู้สึกของผม “กินก่อนดีกว่าโอม ค่อยๆคิดไปก็ได้ แล้วคิดยังไงก็บอกพี่มา นี่มันเป็นชีวิตของเรา ไม่ใช่เรื่องของพี่คนเดียว”
ผมพยักหน้ารับรู้อย่างหงอยเหงา ฝืนกินให้พอผ่านมื้อนี้ไป ใช้เวลาไม่นานเราก็ทานเสร็จ กลับบ้านกันทันทีไม่มีอารมณ์นั่งฟังเพลงอีกต่อไป ช่วงเวลาในรถไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ผมคิดว่าต่างคนก็ต่างครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี จนมาถึงบ้านดูเหมือนว่าพี่อั้มจะยังไม่กลับมา พี่ต่ายจัดการปิดประตูบ้านในขณะที่ผมอาบน้ำอีกรอบแล้วพยายามจะนอนแต่ก็นอนไม่หลับจนต้องนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงคิดวนไปวนมาหาข้อสรุปไม่ได้
ถ้าเพื่อความสุขของผมเอง ผมเลือกพี่ต่ายผมก็ห่วงพ่อแม่ พี่อิงก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลแค่นี้ก็แทบไม่มีเวลาเหลือให้ใครอีก พี่อั้มก็อยู่ไกลแถมยังมีความสุขกับชีวิตโสดอิสระในเมืองไม่คิดที่จะกลับบ้านง่ายๆ ไหนจะธุรกิจส่วนที่ผมต้องช่วยดูแลใครจะมาทำแทน แต่ถ้าผมเลือกที่จะให้พี่ต่ายไปอยู่ต่างประเทศเพียงลำพัง ก็เหมือนผมตัดสินใจเลิกกับพี่ต่ายไปโดยปริยาย แล้วชีวิตผมจะอยู่ได้ยังไงต่อไป คำตอบที่มีมาให้ผมเลือกมันไม่มีคำตอบประเภทถูกทุกข้อเสียด้วยสิ ผมคงไม่สามารถเก็บไว้ทั้งสองอย่างดังที่ต้องการ
สำหรับความสุขของพี่ต่าย ถ้าพี่ต่ายเลือกที่จะไปต่างประเทศ พี่ต่ายก็จะก้าวหน้า ได้ทำงานโกอินเตอร์ที่ตัวเองรัก แต่เส้นทางนี้อาจจะไม่มีผมอยู่ข้างๆ แต่ถ้าพี่ต่ายไม่ไปก็คือลาออกกลับมาอยู่กับผม อาจจะช่วยผมทำงานที่ร้านเป็นเถ้าแก่ของร้านค้าเล็กๆในต่างจังหวัดมีชีวิตเรียบราบง่ายๆ โดยมีผมเกาะติดเป็นปลิงไปตลอดชีวิตของพี่ต่าย แต่ผมก็ไม่กล้าคาดเดาใจของพี่ต่ายว่าจะเลือกทางไหน สุดท้ายผมก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้แล้วผมจะไปให้คำตอบพี่ต่ายได้ยังไง ทำเอาผมปวดหัวตึบๆ
“โอม...ทำไมไม่นอน ไหนว่าเมื่อย ไหนว่าเหนื่อย หืม...” ผมทำตาปรอยหันไปมองพี่ต่ายซึมๆ ถอนหายใจไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา พี่ต่ายขยับตัวมานั่งข้างๆ ผมเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมไว้ แล้วกดหัวผมลงซบที่ไหล่
“พี่รู้ว่ามันยากสำหรับโอมที่จะตัดสินใจ วันแรกที่พี่รู้มันก็ยากสำหรับพี่เหมือนกัน” น้ำเสียงนุ่มนวลของพี่ต่ายปลอบประโลมใจผม และราวกับว่าพี่ต่ายผ่อนคลายกับปัญหานี้ลงไปบ้างแล้ว
“มันยากมากสำหรับผม ถ้าผมตัดสินใจแบบเห็นแก่ตัวก็จะต้องมีคนที่เสียใจ ผมเลือกไม่ได้จริงๆนะพี่ต่าย”
พี่ต่ายคว้ามือผมมาจับไว้ “ถ้าโอมเชื่อใจพี่ให้พี่ตัดสินใจแทนได้ไหม”
ผมเงยหน้ามองพี่ต่าย ถึงริมฝีปากพี่ต่ายจะเจือรอยยิ้มเล็กๆ แต่แววตาพี่ต่ายที่มองมากลับดูจริงจัง ผมมองตาพี่ต่ายผมก็รู้ว่าพี่ต่ายคิดยังไง แต่ผมไม่อยากให้พี่ต่ายเลือกทางนั้น
“พี่ต่ายไม่ต้องเสียสละเพื่อผม ผมรู้ว่าพี่ต่ายรักการทำงานมาก นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พี่สามารถไปต่อได้” ถึงแม้พี่จะไม่ได้เป็นเดอะสตาร์ แต่ผมก็ยังอยากให้พี่ได้ไปต่อ เพราะคณะกรรมการ(บริษัท)คงเห็นแล้วว่าพี่มีความสามารถโดดเด่นกว่าใคร
ผมกัดฟันพูดต่อไปทั้งที่ผมอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แบบปาล์มมี่ “ถ้าพี่ต่ายจะต้องเสียอะไรไปเพื่อผม ผมคงรับไม่ได้” ผมรู้ว่านี่อาจเป็นการผลักให้พี่ต่ายไกลออกไปจากผม แต่ผมไม่อยากให้พี่ต่ายเสียใจในภายหลังว่าไม่น่าทิ้งโอกาสที่ดีในชีวิตไป
“โอมคิดว่าพี่จะเสียอะไร?” พี่ต่ายมาย้อนถามผมอีก ทำไมต้องให้ผมตอกย้ำด้วยไม่คิดบ้างว่าผมจะเสียใจ
“ผมรู้ว่าพี่ต้องเลือกออกจากงานมาอยู่กับผม พี่ก็ต้องเสียโอกาสโกอินเตอร์ไป” พูดแล้วผมก็เศร้าผมกลายเป็นตัวขัดแข้งขัดขา ขัดความเจริญของพี่ต่ายไปแล้ว
พี่ต่ายจับหัวผมเขย่าแรงๆ ยังมีอารมณ์หัวเราะได้“โอมเอ๊ย ไอ้คนหลงตัวเอง คิดว่าพี่จะเลือกทิ้งโอกาสไปหาโอมเหรอ”
พอได้ยินผมตาค้างจ้องพี่ต่ายเหมือนเห็นตัวประหลาด พี่ต่ายพูดแบบนี้...ก็แสดงว่า...”พี่จะทิ้งผมไปเหรอ...ฮือๆ” ผมกะพริบตาปริบๆ พยายามกักเก็บน้ำตาไว้ แต่คราวนี้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมาเลยครับ มันผิดคาด ผิดหวัง ผิดแผนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุดรักเราคงเก่าไปจริงๆ
“พี่ต่ายใจร้าย หลอกผมมาเก็บของจนเหนื่อย แล้วก็มาบอกผมว่าจะทิ้งผมไป ใจดำอำมหิต ได้แล้วทิ้ง...”ผมคงจะพร่ำเพ้อต่อไปเรื่อยๆ ถ้าพี่ต่ายไม่รวบตัวผมมากอดแล้วปลอบ
“โอ๋ๆ...อย่าร้องไห้สิ พี่ยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะทิ้งโอมไป โอมพูดเองเออเองตลอด เป็นแบบนี้มานานแล้วนะ เมื่อไหร่จะหายสักทีฮึเรา”
“ก็ผมไม่เข้าใจ พี่ต่ายจะเอายังไงกันแน่ ถ้าพี่ไม่พูดออกมาให้รู้เรื่องเป็นอันเห็นดีกัน” ผมเริ่มคุ้นเคยกับรายการล้อกันเล่นของพี่ต่าย หรือว่าที่พี่ต่ายพูดมาทั้งหมดเป็นแค่การลองใจผม แล้วที่ผมพูดไปมันถูกหรือไม่ถูกล่ะ
“โอมอย่าเพิ่งโกรธพี่ งั้นพี่ถามโอมก่อน ที่โอมว่าไม่อยากให้พี่เสียสละ แสดงว่าโอมอยากให้พี่ไปนอกเหรอ ให้เราแยกจากกันใช่มั้ย...” พี่ต่ายถามเหมือนโมโหผม แต่ผมงงว่าผมผิดตรงไหน
“ผมไม่ได้อยากแยกกับพี่ แต่พี่จะทิ้งโอกาสก้าวหน้าในการงานเพื่อผมเหรอ” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ต่ายไม่เข้าใจที่ผมพยายามจะสื่ออีก
พี่ต่ายจับตัวผมไว้ให้มองหน้ากันได้ตรงๆ “เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ โอมยังไม่รู้จักพี่อีกเหรอ ว่าถ้าพี่จะต้องเสียอะไรไป สิ่งที่จะยอมเสียเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือโอม” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของพี่ต่ายทำผมน้ำตาไหล
ผมก้มหน้าอีกครั้ง พยายามพูดไม่ให้สะอึก “เพราะผมรู้ไง ว่าพี่ต้องคิดถึงความสุขของผมไว้ก่อนเสมอ”
“โอมเข้าใจผิดอีกแล้ว” พี่ต่ายจับคางผมให้เงยหน้าขึ้น “ถ้าพี่จะทำอะไรก็เพราะความสุขของพี่ ถ้าพี่เลือกที่จะกลับบ้านเราไปอยู่กับโอม ก็เพราะพี่มีความสุขที่จะทำแบบนั้น” ผมรู้ว่าพี่ต่ายพูดมาจากใจผมอ่านได้จากดวงตาคู่นี้
พี่ต่ายรวบตัวผมมากอด ก่อนสัมผัสริมฝีปากผมเบาๆ “เพราะการได้อยู่กับโอมคือความสุขของพี่”
พี่ต่ายจูบผมอีกครั้ง “พี่รักโอมขนาดนี้ โอมยังจะตัดใจปล่อยพี่ไปได้ยังไงกัน”
อ้อมแขนของพี่ต่ายรัดผมแน่นขึ้น ผมรู้ว่าระหว่างเรามันเกินเรื่องความต้องการทางร่างกายไปแล้ว แต่การแสดงความรักแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เราผูกพันกันมากขึ้นไปทุกที
หลังจากผ่านการแสดงออกของความรักแบบเราๆไปแล้ว เรานอนกันเงียบผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่ต่ายเหมือนเคย มีเพียงมือพี่ต่ายลูบแขนผมเล่น
“คราวนี้พี่ต่ายช่วยสรุปให้ผมรู้เรื่องหน่อยได้ไหม ว่าพี่จะเลือกแบบไหน” พรุ่งนี้ผมต้องกลับบ้าน ผมไม่อยากแบกความไม่รู้กลับบ้านไปด้วยให้ค้างคาใจ
“พี่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น ที่พี่เล่าให้โอมฟังเพราะโอมก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพี่ โอมมีสิทธิที่จะรู้ทุกเรื่องราวกับตัวพี่
แต่ถ้าบริษัทยืนยันให้พี่ไปจริงๆ อย่างมากพี่ก็ออก กลับบ้านเราไปให้โอมหาเลี้ยง หรือไม่ก็หาที่ทำงานใหม่ ก็แค่นั้น”
“ก็แค่นั้น...เนี่ยนะ พี่พูดง่ายจังเลย พี่ไม่เสียดายเหรอ โกอินเตอร์เชียวนะพี่ ได้ไปทั่วเอเซียก่อนนิชคุณอีก”
“นิชคุณคืออะไร? กำลังพูดเรื่องเราอยู่มาพูดให้พี่งงอีกละ โอมนี่”
ผมหัวเราะ ขำที่พี่ต่ายไม่รู้จักนิชคุณ ทำเอามุกผมแป๊กไม่เป็นท่าแต่ช่างมันเถอะ “ไม่รู้จักก็แล้วไป เค้าเป็นนักร้องไปโกอินเตอร์ที่เกาหลีน่ะพี่ ผมพูดเล่น พี่ไม่รับมุกซะเลย พี่ไม่เสียดายแน่นะ”
พี่ต่ายส่ายหน้า “ไม่เสียดาย เสียดายทำไม อยากไปเที่ยวเมืองนอกก็ซื้อตั๋วไปเองก็ได้ เรื่องไปทำงานพี่ไม่เกี่ยงแต่ถ้าไม่มีโอมไป พี่ก็ไม่รู้จะไปทำไม พี่รู้ว่าโอมเลือกไม่ได้หรอกเพราะโอมมันงกอยากได้ไปหมดทุกอย่าง รักพี่เสียดายน้อง ถ้าโอมจะทิ้งที่บ้านไปอยู่กับพี่ พี่ก็ไม่อยากให้ทำแบบนั้น พี่ก็เป็นห่วงป๋ากับแม่เราเหมือนกัน”
ผมยืดตัวหอมแก้มพี่ต่ายแรงๆ “ขอบคุณพี่ต่ายครับ ที่เข้าใจผม ขอบคุณที่ชมด้วยว่าผมงก ฮึ ชอบลูบหลังแล้วตบหัวทุกที”
“หึหึ ไม่เข้าใจโอมแล้วพี่จะเข้าใจใคร” พี่ต่ายก้มลงหอมศรีษะผม
“คราวนี้นอนกันได้แล้วดีกว่า พรุ่งนี้พี่จะขับรถไปส่งเราที่บ้าน น้องน้ำจะมาหรือไม่มาปล่อยไอ้อั้มมันเจอเองแล้วกัน อยากหนีเที่ยวดีนัก”
ผมซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของพี่ต่าย มันยังอบอุ่นเหมือนเคยไม่มีเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่วันแรกที่เราอยู่ด้วยกัน ผมไม่น่ามาคิดอะไรให้เสียเวลา ผมน่าจะรู้ทางออกของพี่ต่ายไม่ได้มีแค่ข้อก.หรือข้อ ข. เท่านั้น มันมีทางเลือกอื่นๆที่เราสามารถเลือกได้เสมอ เพียงแต่ผมวางใจให้พี่ต่ายเป็นคนเลือก คำตอบสุดท้ายในชีวิตของผมที่มีพี่ต่ายอยู่ด้วยคงไม่อ้างว้างแน่นอน
*********************************