-13-
ห้องนอนของเกนกว้างขวางไม่ต่างจากห้องพ่อตัวเอง แต่ตอนนี้เจ้าของห้องเริ่มรู้สึกได้ว่ามันคับแคบลง ปูนยืนสวมชุดนอนมองดูคนที่นั่งบนเตียงทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตั้งแต่กรพัฒน์หอบหมอนข้ามฝั่งมาที่ห้องและบอกจะขอนอนด้วย เจ้าของห้องก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมทั้งผลัก ทั้งดันให้พ่อออกไป แต่เรี่ยวแรงที่เหลื่อมกันอยู่ เกนเลยพ่ายแพ้ เพราะแบบนี้เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที
“ป๋าก็ไปนอนห้องป๋าสิ เกนไม่ให้นอน ลงเตียงไปเลย” เกนพยายามใช้ตัวเบียดร่างของกรพัฒน์ให้ร่วงลงเตียง แต่คนถูกเบียดเอี้ยวตัวกลับเข้าไปอยู่ตรงกลางได้ใหม่ “ป๋า ออกไปเลย เกนจะนอนกับพี่ปูน”
“แกก็นอนไปสิ ฉันก็จะนอนด้วย แล้วก็ ห้องนี้ป๊าฉันเป็นคนสร้าง ดังนั้นฉันก็มีสิทธิ์” กรพัฒน์เถียง
“ป๊าของป๋าก็อากงเกน ดังนั้นนี่ก็เป็นของเกนด้วย ไม่ต้องมาอ้างสิทธิ์” เกนก็ยังนั่งตอบโต้ไม่ยอม แถมตอนนี้เริ่มโยนหมอนพ่อตัวเองลงเตียงไปแล้ว “แล้วดู เตียงแคบขนาดนี้ ป๋าจะนอนด้วยได้ยังไง ออกไปนอนห้องตัวเองเลยไป”
“ไอ้เกน มากไปโว้ย นี่ป๋าแกนะ กล้าไล่เลยเรอะ”
“เอ่อ ปูนนอนโซฟาก็ได้นะครับ” เมื่อเถียงเรื่องความกว้างของที่นอน ปูนเลยออกตัวชี้ไปที่โซฟาตัวยาวที่ท่าทางจะนุ่มและนอนสบายเหมือนกัน
“ไม่ได้/ไม่เอา” สองพ่อลูกตะโกนออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “นอนบนนี้แหละ/นอนด้วยกันนั่นแหละ” ทั้งคู่ก็ยังพูดพร้อมกันอีก จนต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนเด็กๆ
“ก็เป็นซะแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้นอนล่ะครับเนี่ย” ปูนถึงกับยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง แค่มานอนด้วยทำไมถึงเกิดเรื่องเยอะขนาดนี้ ตอนอาบน้ำก็ทีหนึ่งแล้ว เกนจะขออาบด้วย พอเดินตามก็ถูกกรพัฒน์ลากคอออกไปนอกห้อง แล้วก็โวยวายกันใหญ่ “ปูนคิดผิดใช่ไหมที่มานอนที่นี่”
“ไม่เลย ไม่ผิด” เกนรีบขยับไปดึงมือปูนมาใกล้เตียง แต่ก็มิวายส่งสายตาค้อนให้พ่อ “พี่ปูนนอนริมนี้นะ เดี๋ยวเกนนอนตรงกลางเอง”
“ได้ไง แกนอนดิ้นจะตาย เดี๋ยวปูนก็ตกเตียงพอดี ปูนมานอนฝั่งพี่นี่” คนนอนไม่ดิ้นกักมือเรียก
“เกนนอนดิ้นที่ไหน ป๋าอย่ามามั่ว”
“มั่วที่ไหนล่ะ ไม่เชื่อไปถามเพื่อนแกสิ”
“ก็นั่น...”
“พอแล้วครับ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว เดี๋ยวปูนนอนตรงกลางเอง”
สุดท้ายปูนก็ยุติสงครามน้ำลายของพ่อลูกด้วยการปีนขึ้นเตียงแล้วไปแทรกนอนตรงกลาง กรพัฒน์กับเกนมองตากันปริบๆ ก่อนจะก้มมองคนที่นอนหลับตาตรงกลางระหว่างพวกเขา
“นอนก็นอน” คนลูกยอมก่อน เกนล้มตัวนอนพร้อมวาดแขนมาโอบรอบเอวปูนไว้ “ป๋าปิดไฟด้วย” และพอเห็นพ่อตัวเองจะล้มตัวลงนอนบ้าง ก็ไม่ลืมสั่ง จนมีเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจดังเบาๆ
เมื่อไฟในห้องดับหมดแล้ว กรพัฒน์ก็ล้มตัวลงนอน ใช้เวลาครู่หนึ่งในการปรับสายตาให้ชิน จนสามารถมองเห็นร่างคนข้างกาย ปูนยังคงหลับตานอนนิ่ง แต่ดูก็รู้ว่ายังไม่หลับ ที่สำคัญ ไอ้ลูกชายตัวดีคล้ายกับจะดึงปูนให้ขยับไปชิดด้วย มันน่าโดนเตะสักที
เสียงนาฬิกาบนโต๊ะยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ไม่นานเสียงนั้นก็ถูกตัดออกจากการรับรู้ พร้อมกับแอร์เย็นยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดี เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ แต่ปูนรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ ขยับตัวไปมาพร้อมเสียงพูดเบาๆ ดวงตากลมโตเลยค่อยๆ ปรือขึ้น
“...ทิ้งทำไม” เสียงเบาหวิวหลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่มข้างกาย ปูนขมวดคิ้วจ้องมอง เห็นใบหน้าของเกนมีหยาดน้ำตาไหลออกทางหางตาอย่างต่อเนื่อง “ทิ้งเกนทำไม”
“โธ่ เกน” ปูนเม้มริมฝีปากรู้สึกสงสาร แม้เกนจะดูไม่คิดมากเรื่องแม่ แต่พอเอาเข้าจริงก็ต้องรู้สึกเสียใจมากแน่อยู่แล้ว
“แม่ไม่รักเกนใช่ไหมเลยทิ้งไป” เกนยังคงละเมอเพ้อถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น มือสองข้างก็กวัดแกว่งไปในอากาศคล้ายกับจะไขว่คว้าหาอ้อมกอด “ไม่รักเกน”
“อ่าว ปูนเป็นอะไร นอนไม่หลับหรือ” เสียงคนอีกฝั่งเรียกให้ปูนหันไปมอง กรพัฒน์ยกมือขยี้ตาหลังจากพลิกตัวแล้วเห็นปูนนั่งอยู่ “หืม” แต่พอปูนส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองเกน คนเพิ่งตื่นก็ค่อยๆ ลุกมานั่งตาม
“เกนคงจะเสียใจมากแน่ๆ”
“นี่ละ ที่พี่คิดหนักเรื่องที่จะให้แม่ลูกเจอกัน”
กรพัฒน์มองลูกชายนิ่ง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กัน ที่เห็นคนที่รักต้องเสียใจ แต่เรื่องแบบนี้จะหนีก็คงไม่พ้น สักวันเกนก็ต้องรับรู้และเจ็บปวด
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะพี่กร” ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นทั้งที่หลับแบบนี้ ยิ่งน่าสงสารไปใหญ่ “พี่กร” ปูนหันไปมองหน้าคนเป็นพ่อเพื่อถามความเห็น
“เกนมันพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งที่จริงแล้วมันก็ยังเด็กอยู่ ปัญหานี้เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง ให้เวลาทั้งเกนแล้วก็...แม่ของเขา” แม้จะอยากช่วยแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก จะสั่งให้ลูกหยุดเสียใจก็คงเป็นไปไม่ได้ “ปลุกมันดีไหม”
“ไม่ดีหรอก” ปูนไม่เห็นด้วย ก่อนจะนอนลงแล้วดึงตัวเกนให้ขยับเข้ามาในอ้อมกอด คนละเมอรีบรัดเอวคนกอดแน่นพร้อมซุกหน้าบนอกอุ่น “นิ่งซะนะ พี่อยู่ตรงนี้ พี่ปูนจะอยู่ข้างเกนนะ” ปูนลูบศีรษะคนร้องไห้เบาๆ เพื่อปลอบ และเกนก็เริ่มกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ไม่นานเสียงสะอื้นเบาๆ ก็หยุดลงและมีเสียงหายใจดังขึ้นมาแทน “หลับแล้ว...พี่กรทำอะไร”
ช่วงที่ปลอบจนเกนหยุดร้องไห้ ปูนก็เอี้ยวคอไปบอก แต่กลายเป็นว่า คนด้านหลังกลับล้มตัวลงนอนแล้ววาดแขนโอบตัวปูนเอาไว้
“พี่ก็อยากปลอบไอ้เกนบ้าง” กรพัฒน์ว่า ใบหน้าคมซุกตรงต้นคอหอมพอดี “หอม”
“ไหนบอกจะปลอบเกนไง แต่นี่พี่กอดปูนอยู่” คนถูกกอดไม่กล้าเอี้ยวคออีก เพราะทันทีที่ขยับ จะรู้สึกได้ว่า ริมฝีปากของคนด้านหลังแตะที่ต้นคอ
“นี่พี่กอดเกนนะ แต่ปูนนอนคั้นกลางแถมยังกอดลูกพี่พอดี” คนแก้ตัวยังแถไปเรื่อย ตอนนี้เขามีคนตัวหอมอยู่ในอ้อมกอด “นอนเถอะ เดี๋ยวไอ้เกนมันตื่น” ว่าแล้วก็แกล้งหลับตาแล้วส่งเสียงกรน
“คนเรานี่นะ” ปูนว่าอย่างงอนๆ แต่ก็ยอมหลับตาในอ้อมแขนของกรพัฒน์ และมีลูกชายของเขาที่หลับในอ้อมกอดของปูนเช่นกัน
***
แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลอดผ่านผ้าม่านพาดมาที่ดวงตากลมจนต้องค่อยๆ ปรือขึ้น ปูนกระพริบอยู่หลายครั้งว่าจะลืมตาเต็มที่ แสงสว่างด้านนอกทำให้รู้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว คนร่างผอมยกแขนจะบิดขี้เกียจเช่นทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ พาดบริเวณช่วงเอว มือขาวเลยรีบเปิดผ้าห่มดู
“แขน?” พอเห็นว่าเป็นแขน ปูนก็ค่อยๆ ขยับตัวตะแคงมาอีกด้าน ซึ่งทำแบบนั้นแล้ว หน้าขาวปะทะกับหน้าอีกคนพอดี ปูนกระพริบตาปริบๆ นี่เขานอนหมอนเดียวกับกรพัฒน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าตั้งแต่เมื่อคืนนี้...แล้วเกนล่ะ ไปไหน และพอจะขยับตัวมองหาคนที่ปลอบเมื่อคืน คนที่นอนหลับอยู่ก็ขยับตัวจนปูนต้องรีบหลับตาลงเพื่อแกล้งทำเป็นหลับ
“น่ารักจริง” เสียงชมเบาๆ ยามที่ลืมตาตื่นมาเห็นคนน่ารักอยู่ตรงหน้า แบบนี้แหละที่กรพัฒน์ต้องการเห็นทุกวัน ว่าแล้วนิ้วยาวก็ค่อยๆ ไล้บริเวณใบหน้าขาว ทั้งคิ้วดำที่เรียงสวย เปลือกตาที่ซ่อนนัยน์ตาดั่งลูกกวาง ขนตาแพสวย จมูกโด่งนิดๆ และปากแดงที่น่า...จูบ
“...”
ปูนรีบลืมตา มือสองข้างยกขึ้นปิดปากเมื่อถูกจู่โจมด้วยการจูบ คนจูบก็ดูตกใจไม่แพ้กัน
“ปูนไม่ได้หลับอยู่หรือ” กรพัฒน์รีบผุดลุกขึ้น ชายหนุ่มเอนหลังพิงหัวเตียง มือก็ยกเกาท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ ไม่เคยแอบจูบใครตอนหลับแบบนี้เลยให้ตาย
“ลักหลับปูนหรือ” ปูนยกมือออกแล้วพูด ก่อนจะยกมือขึ้นปิดใหม่ ทำแบบนี้แล้วเลยถูกหัวเราะใส่ “ไม่ตลกนะ”
“งั้นจะให้พี่ทำยังไง ไปขอปูนเลยดีไหม” กรพัฒน์ว่า เลยได้ค้อนมาวงใหญ่ “เอางี้ก็ได้ พี่จะรับผิดชอบปูนเอง ไปย้ายของมาอยู่ห้องพี่เลย”
“ชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย” ว่าพร้อมใบหน้าง้ำงอ
“ไม่เล่นก็ได้ แต่ทำจริงเลย” คราวนี้กรพัฒน์ทำหน้านิ่งจริง กลายเป็นปูนที่ทำตัวไม่ถูก “อ่าว หนีเลยพอพูดจริง”
ปูนรีบลงมาจากเตียงจะไปห้องน้ำ แต่ประตูกลับเปิดออกมา เกนยืนยิ้มสดใสให้ บนตัวมีผ้าขนหนูพันรอบเอวไว้เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“เกนตื่นนานแล้วหรือ ทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะ” ปูนถาม แต่เกนกลับยิ้มๆ ไม่ตอบ แต่ส่งสายตาพราวระยับไปที่ปูนกับพ่อตัวเอง “พี่เข้าห้องน้ำดีกว่า”
ประตูห้องน้ำปิดพร้อมเสียงหัวเราะของเจ้าของห้อง ตอนเช้ามืด เกนตื่นมาเพราะปวดท้อง ทันทีที่ลืมตาตื่น ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดปูน แค่นั้นก็รู้สึกอุ่นไปทั้งหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังของปูนยังมีพ่อของเขาที่โอบปูนไว้แน่น ตอนเกนตื่นนั้น พ่อของตัวเองก็ตื่นเหมือนกัน แถมยังส่งซิกไม่ให้ปลุกปูนอีก แล้วแบบนี้จะมาโทษว่าไม่ปลุกไม่ได้ ต้องโทษคนสั่งนู้น
“ยิ้มเชียวนะป๋า” อดที่จะล้อพ่อตัวเองไม่ได้ กรพัฒน์พิงหัวเตียงยิ้มอย่างมีความสุข
“แกล่ะ ดีขึ้นไหม” พอถูกถามกลับ รอยยิ้มสดใสก็ค่อยๆ เลือนหาย “เมื่อคืนละเมอร้องไห้หนัก ตาบวมเลยนะ”
“มันจะดีขึ้นใช่ไหม” เกนมองหน้าพ่อตัวเองแล้วถามออกมา
“ก็อยู่ที่แกนั่นแหละที่กล้าเผชิญไหม แต่ลูกของไอ้กรซะอย่าง ไม่กล้าก็กลับไปอยู่กับอากงแกได้เลย” แม้จะไม่มีคำพูดปลอบใจที่สวยหรู แต่แค่นี้เกนก็รู้สึกดีใจที่พ่อเป็นห่วง “แม่ของแกน่ะ ไม่ได้อยากทิ้งไปหรอก แต่สิ่งที่รออยู่ของเขา มันดีจริงๆ เข้าใจเขาด้วยล่ะ”
“เกนรู้”
“ถึงแม้ว่าฉันกับแม่แกไม่ได้รักกัน แต่แกก็เกิดมาพร้อมกับความรักนะ แกยังมีฉัน มีอากง อาม่า”
“มีแม่ แล้วก็พี่ปูนด้วย”
“พอมีแม่ละพูดถึงใหญ่เลยนะ ไง แม่แกสวยใช่ไหมล่ะ”
“สวย...แต่ป๋าไม่ชอบไง”
“ดูปากมัน” ว่าแล้วก็ยกขาให้ จนลูกชายหัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้ชอบคนเพราะสวยเว้ย”
“แล้วป๋าชอบพี่ปูนเพราะอะไร”
“เพราะเขาทำให้ฉันรู้สึกอยากยิ้มทุกครั้งที่ได้เจอหน้า” พอนึกถึงการเจอกันครั้งแรก รอยยิ้มที่ปูนมอบให้ มันทำให้หัวใจที่ไม่เคยเปิดรับใครเต้นแรง จนอยากเก็บรอยยิ้มนั่นไว้คนเดียว “จนฉันอยากจะยิ้มทุกวัน ทุกเวลา”
“ป๋าอยากเป็นบ้าเหรอ”
“ไอ้เกน”
คนลูกขัดความเพ้อของพ่อเลยถูกวิ่งไล่เตะรอบห้อง เกนหัวเราะพ่อตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ความเศร้าที่มีมาค่อยๆ ลดหายลงไปเรื่อยๆ ใช่ เขาไม่ควรโทษว่าแม่ผิด หรือโทษว่าตัวเองผิด คนเราต่างก็ต้องเลือกทางชีวิตของตัวเอง จนบางทีอาจจะต้องทิ้งบางอย่างไว้ด้านหลัง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ
กว่าปูนจะออกจากห้องน้ำ สองพ่อลูกก็หมดเรี่ยวหมดแรงนอนแผ่หลาบนเตียง เกนถูกไล่ให้ไปแต่งตัวเพื่อไปเรียน กรพัฒน์ก็ถูกสั่งให้ไปอาบน้ำเพื่อไปทำงาน ส่วนคนอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ออกจากห้องเพื่อไปยังห้องอีกฝั่ง เพราะเครื่องครัวห้องกรพัฒน์นั้นมีครบ
“ปูนชอบที่นอนแข็งหรือนุ่ม” กรพัฒน์ยังไม่ยอมเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่าแล้วเดินตามคนทำกับข้าวต้อยๆ “แล้วเครื่องครัวอยากได้อะไรเพิ่มไหม”
“พี่กรถามปูนทำไมเนี่ย” คนยุ่งอยู่กับการทำอาหารตวัดสายตาขึ้นไปมอง
“คืองี้นะ” คล้ายกับคิดอะไรออก “ช่วงที่พี่ไปทำงานเมืองนอก เกนมันอยู่คนเดียวไง แล้วพี่อยากจะขอร้องให้ปูนมาอยู่เป็นเพื่อนมัน ได้ไหม ถือว่าพี่ขอร้อง ปูนก็เห็นเมื่อคืนว่ามันร้องไห้เสียใจ พี่ไม่อยากให้ลูกพี่อยู่คนเดียว”
“ทำไมพี่กรไม่ให้เกนกลับไปอยู่บ้านล่ะครับ”
“มันไม่ไปหรอก ไปถามได้เลย” โชคดีที่ลูกชายก็หัวดื้อไม่แพ้เขา เรื่องของการกลับไปอยู่บ้าน “ถือว่าพี่ขอร้องนะ”
“แต่ปูน...” แม้คอนโดนี้จะใกล้ที่ทำงาน แต่มันก็ดูแปลกๆ
“ไม่ต้องมีแต่หรอก ปูนก็นอนห้องพี่นี่แหละ ไม่ต้องไปนอนห้องเกนหรอก ตื่นมาก็จะได้ทำกับข้าวเลยไง” กรพัฒน์พูดไปก็ลุ้นไป ในใจภาวนาให้คนร่างผอมรับคำ “ตกลงไหม”
“ก็ได้ แต่แค่ช่วงพี่กรไปทำงานที่นู้นนะ” แม้จะตกลงแต่ก็มีเวลากำหนดแน่ชัด
“แบบนั้นก็ได้” คนขอร้องยิ้มร่า แต่ในใจกลับคิดว่า อย่างน้อยก็ได้อยู่ห้องนี้ ไม่นานก็คงชินและพร้อมย้ายเข้าอยู่เลย คนอะไรหล่อแถมความคิดดีอีก “ไปอาบน้ำสิครับ”
“ได้ครับ” ก่อนไปมิวายยื่นหน้ามาโฉบแก้มขาวฟอดใหญ่ “แก้มนุ๊มนุ่ม”
ปูนมองค้อนตามหลัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยมาลงที่หมู มีดด้ามหนาสับหมูตรงหน้าซะละเอียด
กรพัฒน์ออกมาจากห้องน้ำก็ได้กลิ่นหอมของข้าวต้ม และลูกชายตัวดีก็นั่งจัดการไปเกือบหมดชามแล้วด้วย พอเจ้าของห้องนั่งปุ๊บ ชามข้าวต้มหมูก็ถูกนำมาวาง
“ต้องอร่อยแน่เลย” กรพัฒน์พูดพร้อมรอยยิ้มหวานให้คนทำ
“มากด้วย” เกนแทรกขึ้นมาเลยถูกเตะขาใต้โต๊ะที่ทำลายบรรยากาศ “เป็นเอามาก”
“พูดมาก กินเสร็จก็รีบๆ ไปเรียน”
“รู้แล้วน่า ยิ่งแก่ยิ่งบ่น พี่ปูนต้องระวังไว้นะครับ”
“ไอ้เกนเดี๋ยวเถอะ” ไม่ทันได้ทำโทษเพราะคนพูดวิ่งออกจากห้องไปแล้ว กรพัฒน์หน้าหงิกแต่ปูนกลับหัวเราะออกมา “ของปูนล่ะ มานั่งกินด้วยกัน”
“ครับ”
บนโต๊ะอาหารที่ปกติจะมีแค่เขาคนเดียว ไม่ก็ลูกชายที่นานๆ จะมาที ตอนนี้มีปูนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กรพัฒน์กินข้าวไป ยิ้มไปดูมีความสุขจนไม่อยากให้เวลาเดิน
“คำตอบของพี่ ปูนจะให้พี่ได้เมื่อไหร่หรือ” ไม่อยากให้บรรยากาศของห้องเงียบเกินไป กรพัฒน์จึงใช้จังหวะนี้ถามออกมาอีกรอบ ปูนดูลังเลนิดๆ ก่อนจะอ้าปากตอบ หากไม่มีคนเปิดประตูเข้ามา
“เอ่อใช่ป๋า” เกนโผล่หน้ามาขัดจังหวะการลุ้นพอดี “ป๋านัดแม่ให้หน่อย เกนอยากเจอ เอาตอนค่ำนะ”
“นี่แกขัดฉัน แล้วยังกล้ามาสั่งฉันอีกหรือ ไอ้ลูกคนนี้”
“ขัดอะไร ก็แค่ลืมบอก คราวนี้ไปจริงๆ ละ” ว่าเสร็จก็ปิดประตูลง
รู้แบบนี้ไปล็อคห้องซะตั้งแต่แรกก็ดี
“ปูนจะพูดอะไรนะ” กรพัฒน์หันกลับมาสนใจปูนอีกรอบ
“เอาไว้ให้เกนตกลงกับคุณคริสตี้ได้ก่อน แล้วปูนจะบอก” พอคำตอบเป็นแบบนี้ กรพัฒน์ก็ตีหน้ายุ่ง เมื่อกี้ถ้าลูกชายตัวดีไม่บอกแบบนั้น ปูนก็อาจจะให้คำตอบมาแล้ว คิดๆ แล้วก็อยากตบกะโหลกไอ้ตัวดีสักที
********
ปูนนั่งรถมากับกรพัฒน์ แต่กลับขอลงก่อนถึงเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มถูกพนักงานนินทา ไม่ใช่อาย แต่ภาพลักษณ์ของกรพัฒน์นั้นจะเสียหายเนื่องจากปูนก็เป็นผู้ชาย หากมีข่าวกับเพศเดียวกันคงไม่ดี
“คราวหลังพี่ไม่ยอมแล้วนะ” กรพัฒน์กำชับก่อนปูนจะลงรถ แม้อีกคนไม่รับปากแต่กรพัฒน์ถือว่าได้บอกแล้ว เมื่อรถเลื่อนเข้าบริษัทไป ปูนก็ค่อยๆ เดินตามเข้าไป
วันนี้ปูนมาสายกว่าเมื่อวาน ทำให้วันนี้คงต้องเลิกดึก แต่การเรียนรู้ทำให้ปูนไม่ต้องอดข้าวอีก ช่วงพักเที่ยงที่ไม่มีงานเร่งรีบ ปูนก็ออกมาโรงอาหารกับแอ้น ซึ่งหญิงสาวขอโทษขอโพยใหญ่เรื่องไม่ชวนปูนเมื่อวาน
“ไม่เป็นไรครับ ปูนก็ผิดเองที่ไม่ถาม”
“พี่ก็ผิดที่ไม่บอกนั่นแหละ”
แอ้นยิ้มอ่อน เมื่อวานตอนจะกลับ อยู่ๆ ก็ถูกหัวหน้าอย่างเหมียวเรียกไปคุย เธอกำชับให้ดูแลปูนให้ดี และเรื่องกินข้าวก็ให้เตือน หรือไม่ก็พาไปด้วย เพราะเด็กใหม่มักจะไม่รู้ แม้แอ้นจะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมถึงห่วงเด็กใหม่คนนี้มากนัก ปกติเด็กที่มาใหม่ๆ ก็ต้องเรียนรู้เองทั้งนั้น
หลังจากกินข้าวเสร็จ ปูนเดินตามแอ้นขึ้นตึก พอดีกับประตูห้องสตูดิโอเปิดออก คนเดินออกมาทำตาโตแล้วปรี่เข้ามาหา
“ปูนหรือนี่ ใส่ชุดนี้ แสดงว่าทำงานที่นี่หรือ” มิ้นท์มองเสื้อที่ปูนใส่แล้วก็งงๆ แต่พอปูนพยักหน้าก็ยิ้มพรายออกมา “ดีจัง ได้อยู่ใกล้ปูนแบบนี้ เราจะได้มีเพื่อน”
“น้องมิ้นท์มาคุยกับพี่เหมียวหรือคะ” แอ้นเอ่ยถามออกมา
“ค่ะ เรื่องงานเดินแบบอาทิตย์นี้ พอดีทางลูกค้าเขาเจาะจงมิ้นท์มา พี่แอมมี่เลยให้มาคุยกับพี่เหมียว” มิ้นท์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “นี่พี่แอ้นสอนงานให้ปูนหรือคะ ปูนเนี่ย เป็นเพื่อนสนิทมิ้นท์เลยนะ ฝากดูแลด้วยนะคะ” มือเรียวของนางแบบสาวตบเบาๆ ที่อกของปูน
“น้องมิ้นท์ไม่บอก พี่ก็ดูแลดีอยู่แล้วค่ะ น้องปูนแกน่ารักมาก” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มให้ “งั้นพี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“ได้ค่ะ” มิ้นท์ฉีกยิ้มให้ผู้ช่วยคนสนิทของหัวหน้าแผนกคอสตูม ก่อนจะหันมาหาเพื่อนสนิท “ปูนสู้ๆ นะ งานที่นี่หนักมาก ถ้าไม่ไหวบอกเราได้ เราจะบอกให้พี่เหมียวให้งานปูนน้อยๆ”
“ขอบใจนะ แต่เราไหว” ปูนยิ้มบางส่งให้เพื่อน “มิ้นท์จะกลับแล้วหรือ”
“ใช่ พอดีงานเราสบายๆ นะ” รอยยิ้มกับคำพูดของหญิงสาว หากไม่สนิทคงจะคิดว่าข่มอยู่ แต่รู้จักกันมานาน มิ้นท์เป็นคนแบบนี้มาตลอด ทำให้ปูนไม่ได้คิดมากเรื่องคำพูดสักเท่าไหร่ “ปูนไปทำงานเถอะ เราว่าจะไปนวดสักหน่อย ไว้เจอกันนะ”
ปูนยืนมองเพื่อนเดินเข้าลิฟต์ไปก่อนจะกลับเข้าห้องและใช้เวลาทั้งหมดในการเรียนรู้งานจากแอ้น พอปรับตัวได้ก็เริ่มคล่องขึ้น แม้งานจะหนักเหมือนเดิมก็ตาม
เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ อยู่ๆ ประตูห้องก็มีพนักงานส่งอาหารเข้ามาพร้อมถาดพิซซ่ามากมาย ความหอมที่ส่งกลิ่นไปทั่วห้องเรียกให้บรรดาพนักงานที่เหลือทยอยออกมา รวมทั้งปูนและแอ้นที่เสียงท้องพากันแข่งร้อง
“ใครโทรสั่งเนี่ย” ขนาดหัวหน้าแผนกอย่างเหมียวยังออกจากห้องมาเพราะความหิว
ก่อนพนักงานส่งอาหารจะตอบ ประตูด้านหลังก็เปิดออกอีกรอบ คราวนี้เป็นเจ้านายสุดหล่อเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเท่ กรพัฒน์มองถาดพิซซ่าหลายสิบถาดที่กำลังวางอยู่บนโต๊ะ
“ตามสบาย ผมเลี้ยงเอง” แล้วเสียงฮือฮาจากพนักงานก็ดังมาทั่วสารทิศ “ขอบใจมาก” และไม่ลืมเอ่ยกับพนักงานส่งอาหารทั้งสองคน
แม้กลิ่นของพิซซ่าจะหอมเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิด ยิ่งคนสั่งเป็นกรพัฒน์ด้วยแล้วก็ยิ่งไม่กล้า จนคนสั่งต้องมาเปิดพร้อมหยิบจากถาดไปกินชิ้นหนึ่งก่อน ทุกคนถึงยอมหยิบตาม จากนั้นต่างก็ลิ้มรสความอร่อยอย่างมีความสุข
“เดี๋ยวแผนกอื่นเขาจะเขม่นเอานะคะ” เหมียวแอบไปกระซิบบอก พร้อมกัดพิซซ่าคำใหญ่
“ช่างมัน” แต่กรพัฒน์กลับไม่แคร์คนอื่น “เต็มที่นะ ถ้าไม่อิ่มก็สั่งอย่างอื่นได้เลย ให้หัวหน้าเขาออกก่อน แล้วค่อยมาเบิกทีหลัง”
“คุณกรละก็” เหมียวโวยวาย แต่พนักงานคนอื่นๆ กลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางคนถึงกับเอ่ยปากว่าไม่เคยได้มื้อค่ำจากเจ้านายแบบนี้มาก่อน
พอทุกคนสนใจอาหารตรงหน้า กรพัฒน์ก็ทำเป็นเดินมายืนข้างพนักงานคนใหม่ ที่มีแอ้นคอยส่งชิ้นต่อไปมาให้ แม้ในมือจะยังเหลืออยู่ก็ตาม
“อร่อยไหม พี่ไม่รู้ปูนชอบกินหน้าอะไร เลยสั่งมาหมดเลย” คนใจดีเอนตัวมากระซิบ
“ปูนกินได้หมด ขอบคุณครับ” พอปูนขอบคุณ คนนั่งใกล้อย่างแอ้นก็รีบขอบคุณด้วย เลยทำให้กรพัฒน์ไม่กล้าพูดอะไรต่อ “คุณกรเอาอีกไหมครับ” พูดจบก็ส่งชิ้นในมือให้ คนรับยิ้มนิดๆ แม้ในใจอยากจะให้ป้อนก็ตาม
พิซซ่าเกือบสามสิบถาดหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดแล้วก็แยกย้ายกลับไปทำงานต่อ พออิ่มท้องแบบนี้ก็มีแรงขึ้นเยอะ และพอปูนจะเดินไปบ้าง ข้อศอกก็ถูกดึงเอาไว้
“พี่นัดคริสตี้ให้เกนแล้วนะ”
“เมื่อไหร่หรือครับ”
“วันนี้ อีกเดี๋ยวก็คงมา ตอนนี้เกนก็ใกล้ถึงแล้ว”
“มันไม่เร็วไปหรือ ทั้งที่เมื่อวาน...”
เพราะเมื่อวานยังคุยกันไม่ค่อยจะไหว น่าจะเว้นไปสักระยะถึงค่อยให้คุยกัน
“ยิ่งเร็วยิ่งดี เรื่องจะได้จบไว” กรพัฒน์ว่า ก่อนดวงตาคมจะค่อยๆ เป็นประกาย “อย่างเรื่องของเรา ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้จบไวๆ เหมือนกัน และขอจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะ เพราะพี่ไม่ชอบแซดเอ็นดิ้ง”
ปูนไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อได้ยินคนพูดเป็นเล่น สถานการณ์แบบนี้ยังกล้าจะพูดแบบนี้อีก ทั้งที่ควรห่วงเกนมากกว่า ที่จะต้องเจอหน้าแม่ตัวเองอีกรอบ หวังว่าเรื่องจะจบไวอย่างที่กรพัฒน์บอกจริงๆ
และสุดท้ายปูนก็เดินตามกรพัฒน์ออกมาเมื่อถูกขอร้อง เผื่อเกนอยากได้คนปลอบใจ ซึ่งเขาทำไม่ค่อยเป็น ยิ่งทำหวานกับลูกชายด้วยแล้วยิ่งไม่เป็นใหญ่
เกนไปนั่งรอทุกคนในห้องประชุมอยู่ก่อน ห้องนี้เป็นห้องที่เก็บเสียงเหมาะแก่การพูดคุยกันที่สุด จะให้ออกไปคุยด้านนอกก็กลัวคริสตี้เป็นข่าวฉาว ปูนกับกรพัฒน์เข้าห้องมาก่อน ไม่นานคนที่นัดไว้ก็มา คริสตี้สวมแว่นสีดำปิดบังดวงตาคู่สวยที่บวมแดงจากการร้องไห้หนักทั้งคืน
“เกนอยากเจอแม่หรือ” ทันทีที่เจอหน้า คริสตี้ก็รีบถามทันที เธอนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวท้าย ไม่กล้าเข้าใกล้ลูกชายมากนัก เพราะเมื่อวานเกนดูเหมือนไม่อยากให้ถูกตัว และนั่นก็ทำให้เธอร้องไห้โทษตัวเองมาทั้งคืน แต่เช้ามากรพัฒน์กลับโทรเรียก บอกว่าเกนอยากพบ เธอจึงรีบรับปากทันที แม้ต้องยกเลิกงานของค่ำนี้ก็ตาม “แม่ดีใจ ที่เกนอยากเจอ”
“ผมแค่ไม่อยากมีอะไรติดค้าง” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมไม่ได้โกรธแม่จริงๆ” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปหา เกนค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงที่พื้นตรงหน้าของคริสตี้ ซึ่งเธอดูตกใจ มือรีบเกี่ยวแว่นตาออกทันที
“เกน...ทำอะไรลูก” คริสตี้รีบยื่นมือลงไปรับมือของลูกชายที่ก้มกราบเท้าไว้
“ผมอยากจะขอโทษที่พูดไม่ดีกับแม่เมื่อวาน” เกนเงยหน้ามองผู้ให้กำเนิด ดวงตามีน้ำใสๆ เอ่อคลอหน่วยตา “ผมขอโทษที่ทำให้แม่ร้องไห้”
“แม่ไม่เป็นไรลูก แม่ไม่เป็นไร” คริสตี้เริ่มร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ก่อนจะรีบดึงลูกชายเข้ามาในอ้อมกอด “แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ แม่ขอโทษนะเกน แม่ขอโทษที่ทิ้งเกนไป ยกโทษให้แม่นะ”
คราวนี้เสียงสะอื้นดังไปทั่วห้อง รวมทั้งคนยืนดูอย่างปูนก็อดที่จะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้ พลางติดว่าอยากมีโอกาสกอดแม่แบบนี้สักครั้ง
“ผมไม่เคยโกรธแม่เลย อากง อาม่า หรือป๋าก็บอกเสมอว่าอย่าโกรธแม่ ผมก็เลยไม่โกรธ เพราะผมเป็นเด็กดี” แม้จะซึ้ง แต่ก็อยากพูดติดตลกให้แม่ขำ เกนรีบปาดน้ำตาให้ตัวเอง ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่แก้มให้กับแม่บ้าง “แม่อย่าร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวไม่สวยเลย”
“เกนก็อย่าร้องสิ เดี๋ยวไม่หล่อเหมือนกัน”
แล้วทั้งคู่ก็กอดกันหัวเราะ แต่มีคนหนึ่งที่ยังคงน้ำตาไหลอยู่ จนคนข้างๆ ต้องดึงเข้ามากอดปลอบบ้าง
อดีตเป็นเรื่องที่ไม่มีใครย้อนกลับไปแก้ไขได้ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถแก้ไขได้ เกนยิ้มให้กับอ้อมกอดของแม่ที่เพิ่งเคยได้รับ มองไปที่พ่อ ที่เลี้ยงมาแบบให้คิดเอง ตัดสินใจเองทุกอย่าง แม้ไม่เคยพูดหวานแต่ก็ห่วงมาก และคนในอ้อมกอดของพ่อ ที่คอยปลอบและเป็นกำลังใจให้เสมอ รวมทั้งอากง อาม่าที่สั่งสอนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
“ป๋า อย่ากอดพี่ปูนนาน เกนหวง”
“ไอ้นี่”
...TBC
คุณป้ามาแววดีนะคะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ ส่วนอดีตของป้าแกจะมาในตอนถัดไปค่ะ ความหลังเมื่อครั้งยังมีเกนอยู่ในท้อง
ขอบคุณค่าาาา
ปล. มาไม่ดึกมากไปใช่ไหมคะ ฮ่าๆๆๆ
