CHAPTER 19
[Fair’s Part]ผมกำลังนั่งจ้องผู้ชายคนหนึ่งอยู่บนโซฟาในห้องที่อีกฝ่ายมักจะมาหาใครอีกคนอยู่ทุกวันอย่างละเหี่ยใจ คนตรงหน้าขมวดคิ้วจนขดเป็นปมมองผมตอบอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ดูจะมู่ทู่ลงเสียจนมันยุ่งเหยิงไปหมดก่อนที่คำถามเดิมๆ จะหลุดออกจากปากเขามาเหมือนอย่างเช่นเคย
“เมื่อไหร่จะกลับบ้านตัวเองไปสักที”
“…”
“รู้มั้ยว่าตั้งแต่นายอยู่ที่นี่ฉันพลาดอะไรไปบ้าง”
“…”
“เอ้า!! เงียบ! เงียบอีก! แม่ง! เมียไอ้ชันย์นี่ทำฉันอารมณ์เสียได้ทุกวันจริงๆ!”
ผมได้แต่มองจอมพลที่เอาแต่ทึ้งผมตัวเองพร้อมกับสบถออกมาอย่างหัวเสียด้วยใบหน้าเรียบเฉย ร่างสูงของชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีพยายามหาทางเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับบ้านไปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคอนโดของเพื่อนสนิทอย่างภีมจนกระทั่งมาถึงวันนี้เขาก็ยังคงไม่ลดละความพยายามที่ผ่านมากว่าหนึ่งอาทิตย์เลยจนผมอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบกลับไปบ้าง
“เอาล่ะคราวนี้ถึงตาผมถามคุณบ้าง” ผมเอ่ยกลับไปก่อนคนตรงหน้าจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“แล้วคุณล่ะมาคอนโดเพื่อนผมทุกวันแบบนี้ทำไม”
“!!”
“เมื่อไหร่จะหยุดมา”
“!!”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าไอ้ความไม่ชัดเจนของคุณมันทำให้เพื่อนผมพลาดอะไรไปบ้าง”
“!!”
“เอ้า!! เงียบ! เงียบอีก! แม่ง! คุณมันก็เหมือนเพื่อนของคุณที่ทำให้ผมอารมณ์เสียทุกครั้งที่เจอ!”
“!!!” อีกฝ่ายอึ้งกิมกี่เมื่อผมพูดจบ
“เห็นมั้ยว่าคุณเองก็ตอบคำถามของผมไม่ได้ ฉะนั้นก็เลิกถามผมสักที!” ผมว่าก่อนคนตัวสูงจะกลืนน้ำลายลงคอของตัวเองไปในขณะที่ผมเองก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินเลี่ยงออกมาสูดอากาศตรงระเบียงนอกห้องทันทีโดยมีเสียงของจอมพลที่เพิ่งจะดึงสติกลับมาได้ตะโกนไล่หลังมาติดๆ
“ไอ้ชันย์เมียมึงนี่แม่งปากจัดพอๆ กับเมียกูเลยว่ะ!”
:
:
:
ผมมองไปยังท้องฟ้าตรงหน้าที่เริ่มจะมืดลงไปทุกทีตามเวลาที่ปรากฎบนหน้าปัดนาฬิกาอย่างเหงาๆ หกวันมาแล้วสินะที่ผมต้องหอบผ้าหอบผ่อนขอมาอยู่กับภีมโดยมีอีกคนที่มักจะมาหาเจ้าของห้องอยู่บ่อยๆ อย่างจอมพลค่อนแขวะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะอยากให้ผมกลับไปเสียที
ผมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะกดเข้าไปดูในกล่องข้อความเข้าที่ถูกใครอีกคนส่งมันมามากกว่าร้อยฉบับด้วยถ้อยคำที่พออ่านแล้วรู้สึกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพยายามง้อและอ้อนวอนให้ผมกลับไปมากแค่ไหนทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ผมอยู่กับใครหากทว่าอีกฝ่ายก็ยังเว้นระยะไว้ไม่เข้ามายุ่งกับสิ่งที่ผมกำลังทำหรือแม้กระทั่งมาตามผมกลับไปด้วยตัวของเขาเอง
ซึ่งผมก็มองว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้มันดีกับเราทั้งสองฝ่าย ผมต้องการเวลาเขาเองก็ต้องการเวลาในการปรับความคิดและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้วันที่เราทั้งสองคนต้องสูญเสียอะไรกันไปมาก มากเกินจนบางครั้งผมก็คิดนะว่ามันคุ้มหรือเปล่าหากผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างต่อจากนี้
ผมถอนหายใจออกมาเพื่อให้ผ่อนคลายกับความคิดมากมายที่รุมเร้าก่อนจะเปิดอ่านข้อความสุดท้ายที่ถูกอีกคนส่งเข้ามาเมื่อสองวันที่แล้ว
ถ้าหากอยู่ที่นั่นแล้วมันทำให้มึงสบายใจกูก็จะไม่ห้ามมึงอีก แต่ขอแค่อย่างเดียว…คือขอแค่มึงกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ที่มึงรู้สึกโอเค-
-แล้วกูจะรอวันนั้น…ราชันย์-ชื่อของผู้ชายที่พยายามหาทางติดต่อกับผมมาตลอดหกวันและก็เป็นชื่อเดียวกับชื่อต้องห้ามที่ภีมจะไม่เอ่ยออกมาเพราะผมได้ขอเขาเอาไว้ ถูกผมกวาดสายตาอ่านมันขึ้นอีกครั้ง ผมเองก็ไม่รู้นะว่าตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีกับอีกคนมันคืออะไร จะบอกว่าผมหายโกรธเขามันก็คงจะไม่ใช่ทั้งหมดเพราะราชันย์ทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยกับผมไว้มากแต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ผมจะเครียดแค้นจนอยากจะฆ่าเขาให้ตายเสียหลังจากนี้แต่อย่างใด
ผมปิดข้อความที่เพิ่งอ่านจบลงก่อนจะหันหลังมองเข้าไปในห้องเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่ดังเล็ดลอดออกมา ร่างสูงของชายหนุ่มที่แวะเวียนมาหาเพื่อนสนิทของผมเสมอกำลังงี่เง่ากับการที่ภีมแค่แวะไปซื้อของกับเดนิสรุ่นพี่ห้องตรงข้ามหลังจากเลิกงานซึ่งฝ่ายนั้นได้โทรบอกผมก่อนแล้วแต่กับจอมพลที่รีบตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีหลังจากออกไปคุยธุระกับหุ้นส่วนข้างนอกร่างโปร่งของเพื่อนผมกลับไม่ยอมบอกให้เขารู้จนกลายเป็นว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบแปดคนนี้ต้องทำหน้าบึ้งตึงแถมยังกระฟัดกระเฟี้ยดเสียจนภีมมันต้องออกมาหาผมข้างนอกเป็นการหนีจากอีกคนทันที
“กลับมาแล้วเหรอ” ผมถามก่อนภีมที่เดินมาเกาะขอบระเบียบข้างๆ จะถอนหายใจพลางตอบ
“อืม”
“เมื่อกี้หมอนั่นชวนมึงทะเลาะเรื่องอะไรอีก”
“ก็เรื่องที่กูไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกับพี่เดนโดยไม่บอกเขาน่ะสิ”
“หึ! ดูท่าจอมพลมันจะหวงมึงมากเลยนะ” ผมแซว
“เหอะ! กูไม่รู้สึกดีกับคำพูดของมึงเลยว่ะแม่งยิ่งทำให้เครียดเข้าไปอีก” ภีมสบถก่อนจะขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก
“ทำไมวะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจเรื่องของกูเลยสนใจเรื่องของมึงดีกว่า เมื่อกี้เขาโทรมาหากูอีกแล้วนะเว้ย” ภีมเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกผมต้อน
“เหรอ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ไม่รู้ว่าราชันย์ที่ติดต่อผมไม่ได้หันไปติดต่อกับภีมแทน
“ใช่ โทรมาถามเรื่องเดิมๆ ว่ามึงสบายดีมั้ย ทานข้าวหรือเปล่า นอนหลับมั้ย ยังร้องไห้อยู่อีกหรือเปล่า กูนี่ยอมแพ้กับคำถามพวกนี้ของเขาเลยจริงๆ” ภีมว่าก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวพลางมองไปยังท้องฟ้าตรงหน้าเช่นเดียวกับผมเมื่อครู่
“แล้วมึงตอบเขาไปว่ายังไง”
“กูก็บอกว่ามึงสบายดีส่วนที่เหลือให้เขามาถามเอาจากมึงเอง” ภีมตอบก่อนจะเสมองผมที่ได้แต่ยิ้มให้มันกลับเพราะสิ่งที่มันทำน่ะถูกต้องแล้วจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวเอ่ยออกมาอีก
“แฟร์มึง…”
“กูว่าจะกลับบ้านวันพรุ่งนี้”
“!!” ผมเอ่ยก่อนที่อีกคนจะทำหน้าอึ้งออกมาอย่างไม่เชื่อ
“กูจะกลับไปสะสางเรื่องทุกอย่างให้มันเคลียร์”
“เอาจริงดิ!?” ภีมถาม
“จริง…กูว่ากูหนีมาทำใจนานเกินไปแล้วว่ะ เรื่องที่ยังค้างคาในใจตอนนี้กูก็ได้คำตอบสำหรับพวกมันแล้วกูเลยอยากจะกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง” ผมว่าก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวข้างๆ มันบ้าง
“ไอ้คำตอบที่มึงว่านี่คือยังไง? ไปในทางที่ดีหรือเปล่า” ภีมถามพลางจ้องผมนิ่ง
ผมหันไปสบตามันเพียงครู่ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับท้องฟ้าเบื้องหน้าอีกครั้งจนภีมต้องคาดคั้นออกมาอีก
“แฟร์บอกกูหน่อย”
“เห้อ~~ ไม่รู้สิยังไม่ได้พูดเลยไม่รู้ว่ามันจะไปในทางที่ดีหรือเปล่า” ผมบอกก่อนจะเอนหลังนอนลงบนเก้าอี้
“เหรอ…ยังไงซะกูก็เอาใจช่วยมึงเสมอนะ ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจจัดการเรื่องของมึงยังไงก็ตาม”
“ขอบใจและก็ขอบคุณมากที่มึงให้ที่ซุกหัวนอนกู” ผมหันไปบอกมัน
“ห่า! มึงอย่ามาซึ้งตอนนี้นะกูขนลุก” ภีมโวยวายก่นอจะลูบแขนตัวเองไปมา
“กับกูเสือกขนลุกทีกับจอมพลอย่างอื่นของมึงลุกกูยังไม่ว่าเลย” ผมได้ทีแซวเรื่องที่เจอมาตลอดทั้งหกวันออกไปจนคนข้างๆ หน้าแดงใหญ่
“ไอ้หอก!! มึงเอาอะไรมาพูด!!!” ภีมถลึงตาอย่างไม่เชื่อหูพลางปฏิเสธกลับ
“อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเว้ยว่าพวกมึงทำอะไรกันตอนดึก แม่ง! กูไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเป็นอาทิตย์!”
“!!!”
คนถูกแซวอ้าปากค้างเมื่อไม่คิดว่าผมจะรู้เรื่องที่เขาทั้งสองคนมักจะทำกิจกรรมอะไรกันตอนดึกในยามที่เข้าใจว่าผมหลับลึกไปแล้ว
เอาจริงๆ นะผมน่ะรู้เลยว่าทำไมจอมพลมันถึงได้ตามหึงตามหวง ติดอกติดใจกับไอ้ภีมมันนักหนา ก็เสียงครางของเพื่อนคนนี้ของผมมันธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ บางวันยังทำของผมตื่นขึ้นมากลางดึกจนต้องรีบเข้าห้องน้ำเลยคิดดู!
“ภีมกูเทกับข้าวเสร็จแล้ว”
ต้นเหตุของเรื่องที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ออกมาบอกคนที่กำลังอายเพราะเรื่องที่ผมแซวทำหน้าสงสัยเมื่อภีมเอาแต่จ้องเขากลับเขม็ง
“มีอะไร” จอมพลถามก่อนภีมจะมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษและตวาดออกไป
“เพราะคุณคนเดียวเลย!!” ว่าเสร็จภีมก็เดินกระแทกไหล่จอมพลเข้าไปในห้องทันทีอย่างหัวเสีย
“ภีมมันเป็นอะไร” คนตัวสูงหันมาถามผมที่เอาแต่หัวเราะเพราะใบหน้าเหลอหลาของเขา
“ไม่รู้สิคุณถามมันเอาเองดีกว่า” ผมทำทีเป็นหุบยิ้มและกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิตก่อนจะตอบทิ้งท้ายและเดินเลี่ยงอีกฝ่ายเข้าไปในห้องบ้าง
ผมนั่งถอนหายใจบนรถแท๊กซี่ที่โบกเพื่อนั่งกลับบ้านเป็นรอบที่ร้อยได้ ภีมที่ยื้อไว้เพราะคิดว่าผมยังทำใจไม่ได้พยายามห้ามไม่ให้กลับจนจอมพลที่เอาแต่ห้ามอีกคนไว้ต้องเอ่ยปากบอกให้ผมรีบกลับไปเสียทีก่อนที่เขาจะต้านแรงของภีมไว้ไม่อยู่
เหอะ…ทีแบบนี้ล่ะบอกว่าแรงภีมเยอะเสียยิ่งกว่าอะไร พอถึงคราวที่ตัวเองต้องการเข้าหน่อยแรงเพื่อนผมมีเท่าไหร่ยังสู้แรงของอีกฝ่ายที่เอาไว้ข่มเหงมันไม่ได้เลย
ให้มันได้อย่างนี้สิ!! ผู้ชายสองคนนี้เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันเสียยิ่งกว่าอะไรดี!!
แท๊กซี่คันที่ผมนั่งเลี้ยวเข้าในซอยที่ผมไม่ได้กลับมาเป็นอาทิตย์ก่อนที่ตัวรถจะพาผมที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยเพราะคิดแต่เรื่องต่างๆ จอดเทียบท่าตรงหน้าบ้านของผมพอดิบพอดี
ผมมองบ้านของตัวเองพลางเลิกคิ้วขึ้น แสงไฟที่เปิดสว่างทั้งหลังทำให้ผมตกใจและสงสัยอยู่ไม่น้อยก่อนจะพาตัวเองลงจากรถและจ่ายเงินคนขับกลับไปอย่างเร่งรีบ
“แฟร์!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังก่อนที่แรงโอบรัดจะปะทะเข้ากับแผ่นหลังของผมอย่างจังในขณะที่ยังไม่ทันได้หันกลับไปเลยสักนิด
“เดี๋ยว! คุณปล่อยผมก่อน!!” กลิ่นกายและน้ำเสียงทุ้มที่ไม่เคยลืมทำให้ผมรู้ทันทีว่าคนที่กอดตัวผมเอาไว้ตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ราชันย์!
“มึงกลับมาแล้วจริงๆ!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างใบหูซ้ายก่อนที่คนด้านหลังจะกระชับอ้อมกอดขึ้นอีก
“คุณราชันย์ปล่อยผม!”
“ขออีกนิดแค่อีกนาทีเดียวขออยู่แบบนี้ก่อน”
“ไม่เอา! ปล่อย! นี่มันหน้าบ้านนะคุณ!!” ผมดิ้นพลางหยิกมือหนาอีกคนกลับ
“ไม่! ถ้ากูปล่อยมึงไปอีกกูต้องกลายเป็นคนโง่อย่างที่กูโทษตัวเองอยู่ทุกวันแน่ๆ!”
“ผมก็กลับมาแล้วไง”
“แต่มันยังไม่พอ” คนด้านหลังไม่ยอมง่ายๆ
“โอเคๆ หนึ่งนาทีก็หนึ่งนาที” ผมยอมแพ้เพราะอีกคนกระชับอ้อมกอดมากขึ้นเสียจนผมเริ่มจะหายใจไม่ออก
ราชันย์ไม่พูดอะไรต่อจากนี้เขาทำเพียงแค่ยืนกอดผมอยู่นิ่งๆ ในขณะที่หัวใจของเขาเต้นเร็วเสียจนแผ่นหลังของผมที่แนบติดกับแผงอกของเขารู้สึกได้ ร่างสูงคลายอ้อมกอดเพียงนิดเมื่อรับรู้ว่าผมหายใจลำบากก่อนที่มือหนาจะเคลื่อนลงมารวบเอามือของผมที่ถือกระเป๋าอยู่เอาไว้แน่น
“ครบหนึ่งนาทีแล้วปล่อย” ผมเอ่ยก่อนจะแกะมือของเขาออกซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมแต่โดยดี
“ขอโทษ…” ราชันย์เอ่ยก่อนจะมองผมที่หันมาจ้องหน้าเขานิ่ง
“พอเถอะคุณพูดบ่อยจนผมรู้สึกว่าคำนี้มันแทบจะไม่มีความหมายอยู่แล้ว” ผมว่าก่อนจะถามต่อเมื่อยังสงสัย
“แล้วคุณมาทำอะไรที่บ้านของผม”
“กู…ขอมาอยู่ที่นี่กับมึงนะ” สิ้นเสียงคำตอบของคนตรงหน้าทำเอาผมถึงกับเบิกตาค้าง
“ไม่ได้!!”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ก็ผมไม่ให้อยู่!!”
“แต่มึงก็รู้ว่าเราเป็นอะไรกันแล้ว!”
“หยุดเอาเรื่องนั้นมาพูดสักทีเถอะคุณราชันย์” ผมว่าก่อนอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีและสีหน้าออกมาอย่างไม่พอใจ
“แปลว่ามึงไม่ได้คิดกับกูเหมือนที่กูคิดกับมึงงั้นสิ?”
“คุณชวนผมทะเลาะ?”
“กูนึกว่าสิ่งที่กูทำไปทั้งหมดมันจะทำให้มึงใจอ่อนและคิดได้” คนตรงหน้าเสยผมขึ้นอย่างข่มอารมณ์ก่อนจะเอ่ยคำพูดมากมายออกมาอีก
“กูอุตส่าห์ไม่ไปตามมึงกลับเพราะรู้ว่ามึงต้องการเวลาแต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับกูเลย!”
“แต่ผมให้คุณได้เท่านี้” ผมบอกก่อนอีกฝ่ายจะเบิกตากว้าง
“!!”
“และก็ขอบคุณมากที่คุณไม่ไปตามผมกลับเพราะรู้ว่าตอนนั้นผมต้องการเวลาเพื่อคิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง” ผมว่าต่อก่อนที่อีกคนจะทำหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ซึ่งตอนนี้ผมก็คิดได้แล้ว”
“มึงกำลังจะปฏิเสธกูสินะ” ราชันย์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แววตาที่เคยมุ่งมั่นกลับฉายความกลัวและความเสียใจออกมาอย่างปิดไม่มิดจนผมต้องเปลี่ยนเรื่อง
“ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปผมว่าคุณน่าจะมีอะไรที่มากกว่าการมายืนรอผมกลับอยู่หน้าบ้านแบบนี้หรอกใช่มั้ย” ผมว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับเสียงเศร้า
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว”
“งั้นเหรอ”
“อืม เพราะยังไงมึงก็ปฏิเสธความรู้สึกของกูอยู่ดี”
“คุณจะไม่ลองพยายามทำอะไรหน่อยเลยเหรอ” ผมบอกก่อนอีกฝ่ายจะเงยหน้ามาให้ความสนใจ
“หมายความว่าไง”
“ก็แค่…คิดเอาเองสิผมจะเข้าบ้านแล้วหิวจะแย่” ผมเลี่ยงที่จะตอบเขาก่อนจะลากกระเป๋าเดินเข้าบ้านไป
“เดี๋ยวกูช่วย” ราชันย์สลัดเรื่องเมื่อครู่พลางเอ่ยไล่หลัง คนตัวสูงวิ่งเข้ามาคว้าสายกระเป๋าในมือของผมไปถือไว้ก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านให้ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนจะพรีเซ็นต์อะไรบางอย่างสุดๆ
ผมมองใบหน้าของเขาอย่างสงสัยก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเดินเข้าในบ้านไปพลางกวาดตามองสิ่งของทุกอย่างในบ้านด้วยความอึ้ง
“นี่มัน!?”
“กูรีโนเวทภายในของบ้านหลังนี้ใหม่เพราะคิดว่าจะมาอยู่กับมึง”
“คุณนี่ชอบทำอะไรตามอำเภอใจให้ผมอึ้งได้ตลอดเลยสินะ” ผมว่าอีกคนกลับเมื่อเฟอร์นิเจอร์แทบจะทุกชิ้นหรือแม้กระทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ถูกเปลี่ยนใหม่หมดยกเซตเสียจนผมลมแทบจับ
“ที่กูทำเพราะกูหวังดีกับมึงนะของใช้บางอย่างในบ้านมันก็เก่าทรุดโทรมถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วด้วย” ราชันย์ว่าก่อนจะเดินตามผมที่เดินสำรวจบ้านไปมา
“ผมก็ยังไม่ได้ว่าเพียงแต่เวลาที่คุณจะทำอะไรก็บอกผมบ้าง” ผมหันมาเอ็ดคนเดินตาม
“โทรไปไม่รับ ส่งข้อความไปไม่ตอบ แล้วกูจะเอาเวลาที่ไหนไปบอกมึง” คนตรงหน้าเหน็บผมกลับ
“อย่างน้อยก็รอผมกลับมาก่อน”
“กูไม่รู้ว่ามึงจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ก็ไม่เห็นยากเพราะคุณเองก็ติดต่อกับภีมอยู่แล้ว” ผมเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ภีมไม่ได้บอกอะไรกูเลย”
“แล้วที่ทำอาหารพวกนี้ไว้ล่ะอย่าบอกนะว่านี่คุณกินคนเดียว?” ผมว่าเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัวก็พบกับเมนูอาหารคาวหวานมากมายเต็มโต๊ะ
“ก็ได้ๆ ไอ้พลมันคอยรายงานกูทุกวัน” ราชันย์ยอมรับออกมาในที่สุด
“แล้ว?”
“วันนี้ก็ด้วยมันบอกว่ามึงจะกลับมา” ผมมองใบหน้าของคนที่ถูกจับได้ตรงหน้าเพียงครู่ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับบรรดาอาหารอีกครั้ง
“คุณทำเองหรือเปล่า”
“ใช่ มึงนั่งเลยเดี๋ยวกูตักข้าวให้” ราชันย์บอกพลางขยับเก้าอี้ของโต๊ะอาหารที่ถูกซื้อมาใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิมอีกเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวผมทำเอง” ผมบอกแต่อีกคนก็ยังดื้อไม่ยอม
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูตักให้”
“คะ!...” ทันทีที่ผมกำลังจะเถียงกลับเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงของคนตรงหน้าก็ดังขึ้น ราชันย์วางจานและช้อนตักข้าวในมือลงอย่างอารมณ์เสียก่อนจะล้วงต้นตอออกมาพลางมองผมกลับ
“โทษทีมินโทรมา”
“รับเถอะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินไปคว้าจานและช้อนตักข้าวขึ้นแต่ก็ถูกอีกคนห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวกูมามึงอย่าเพิ่งตักข้าวนะกูจะกลับมาตักให้” คนห้ามลากผมกลับไปนั่งที่เดิมพร้อมกับสั่งก่อนจะเดินหายออกไปยังหลังบ้าน
ผมมองแผ่นหลังกว้างของราชนัย์พลางยิ้มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ท่าทีและคำพูดของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากในขณะที่ความเอาแต่ใจยังคงมีอยู่ให้เห็นบ้างแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงมีเสน่ห์และน่าหลงใหลไม่เปลี่ยน ติดอยู่อย่างเดียวที่มันขัดใจผมอยู่นิดๆ นั่นคือเขาดูซูบลงกว่าครั้งล่าสุดที่ผมเห็น แทนที่เขาจะเอาแต่ถามภีมว่าผมทานข้าวมั้ย และนอนหลับหรือเปล่า ผมว่าเขาน่าจะเอาคำถามพวกนี้ถามตัวเองเสียยังดีกว่า
ติ๊งหน่อง~~~ ติ๊งหน่อง~~~
ในขณะที่ผมเอาแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นเผยให้เห็นเด็กหนุ่มข้างบ้านที่ยืนชะเง้อมองเข้ามาข้างในด้วยมือที่ถือชามอะไรอยู่จนผมต้องเดินออกไปเปิดประตูให้
“อ้าว! พี่แฟร์กลับมาแล้วเหรอ” สายลมเอ่ยทัก
“มีอะไรหรือเปล่าลม”
“ก็พี่ราชันย์เขาสั่งกับข้าวบ้านผมเอาไว้” คนตรงหน้าว่าพลางมองไปยังชามในมือ
“สั่งกับข้าว?”
“อื้ม!เนี่ยเหลือแกงจืดอย่างสุดท้ายละผมเลยเอามาส่ง” ร่างเล็กยื่นชามในมือให้กับผม
“อ่อ ขอบคุณนะ” ผมกล่าวก่อนจะรับมันมา
“แล้วพี่เขาไปไหนเสียล่ะ”
“คุยธุระเรื่องงานอยู่หลังบ้านน่ะ”
“พวกพี่ตกลงคบกันแล้วเหรอ” สายลมถามด้วยใบหน้าสงสัยเป็นอย่างมาก
“ยัง” ผมตอบพลางจ้องนิ่ง
“แล้วจะคบกันเปล่า”
“ยุ่งอะไรเนี่ยเรา” ผมเอ็ดมันกลับไปขำๆ
“แหมก็ผมอยากรู้นี่นาพี่ราชันย์น่ะมานอนบ้านพี่ทุกวันเลยนะแถมยังสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์และของใช้ใหม่เข้ามาเต็มเลย”
“ไม่ยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่น่าสายลม” ผมว่าพลางจับหัวมันโยกไปมา
“ลมสิบแปดแล้วนะเรียนมหา'ลัยแล้วด้วยอีกสองปีก็จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วขอรู้แค่นี้ไม่ได้เหรอ” คนตรงหน้าทำตาปริบๆ ถามกลับมาด้วยความอยากรู้
“งั้นนายก็บอกพี่มาก่อนสิว่ากับอัศวินไปถึงไหนกันแล้ว”
“!!”
สายลมเบิกตากว้างทันทีที่ผมพูดจบ ร่างเล็กดูจะตกใจมากกับเรื่องที่ผมรู้ ก็แหม…เรื่องนี้ผมรู้มาตั้งนานแล้วนี่นาที่ไม่รู้ก็มีแค่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว เชื่อสิว่าอัศวินน้องชายคนใหม่ของผมไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ หรอก
“พะ…พี่เอาอะไรมาพูด!” อีกฝ่ายละล่ำละลักออกมาราวกับวัวสันหลังหวะ
“นึกว่าพี่ไม่รู้เหรอว่านายกับเขา…” ผมแกล้งยั่ว
“โอเคๆ! ผมไม่ถามพี่แล้ว ธุระผมมีแค่เนี่ยแหละขอตัวกลับก่อนนะบายพี่แฟร์” ว่าเสร็จสายลมก็เดินกลับบ้านไปทันที
“หาเรื่องหลบนี่หว่า” ผมตะโกนว่าก่อนมันจะหันมาแลบลิ้นกวนๆ ใส่
ให้ตายเถอะ! ไอ้เด็กนี่มันแสบจริงๆ ไม่รู้ว่าวินมันจะปราบพยศยังไงกันนะ!
:
:
:
ผมเดินกลับเข้าครัวก่อนจะวางชามแกงจืดรวมกับอาหารอื่นๆ บนโต๊ะพลางนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม จนกระทั่งคนที่ออกไปคุยธุระด้านนอกกลับเข้ามา คนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหม้อหุงข้าวก่อนที่เขาจะลงมือตักมันใส่ในจานสองใบและยกมาวางไว้ตรงหน้าผมพร้อมกับวางของตัวเองไว้ยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านใครมาเหรอ” ราชันย์ถามก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
“สายลมเขาเอาแกงจืดเมนูสุดท้ายที่คุณสั่งไว้มาส่งน่ะ” ผมว่าพลางเน้นทุกคำออกไปจนอีกฝ่ายหน้าเจือนลงทันที
ราชันย์ไม่ตอบอะไรนอกเสียจากถอนหายใจออกมาเมื่อถูกผมจับได้
“ไหนบอกว่าทำเอง” ผมถามออกไปก่อนที่เขาจะเอาแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ
“เอ่อ…คือ”
“ไม่ได้ทำเองก็บอกตรงๆ สิ”
“โกรธที่กูโกหกมึงเหรอ” เขาถามพลางจ้องผมด้วยแววตารู้สึกผิดกลับมา
“เปล่า” ผมตอบไปแค่นั้นก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาอ้อมแอ้ม
“ความจริงแล้วกูก็ทำ…แต่อาหารของกูมัน…”
“อยู่ไหน?” ผมถามแทรกเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก
“ในตู้กับข้าว”
“ขอผมดูหน่อยว่าคุณทำอะไรบ้าง” ผมว่าก่อนที่คนตรงหน้าจะพยายามบอกปัด
“แฟร์ กูว่ามึง…”
“เอาออกมาเถอะครับ” ผมบอกก่อนราชันย์จะยอมลุกเดินไปยังตู้กับข้าวพร้อมกับถือจานและชามอีกใบหนึ่งออกมา
คนตังสูงวางอาหารที่ตัวเองทำลงบนโต๊ะก่อนที่ผมจะพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นอาหารตรงหน้าเข้าอย่างสุดกำลัง
“กูบอกมึงแล้ว…มันดูไม่น่ากินกูเลยไม่อยากให้มึงเสี่ยงเพราะกูเองก็เพิ่งจะทำครั้งแรก” เขาบอกอย่างอายๆ
ผมยังคงจ้องไปยังเมนูไข่เจียวทรงเครื่องที่ทั้งแห้งและเกรียมตรงหน้ากับแกงจืดที่ทั้งเต้าหู้ หมูสับ และผักกาดขาวถูกสับจนมันเละไม่มีชิ้นดีอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจคว้าช้อนขึ้นในขณะที่อีกคนก็รีบคว้ามือของผมที่กำลังจะตักไข่เจียวของเขาขึ้นกินเข้ายอย่างจังด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวแฟร์! มึงจะทำอะไร!!” ราชันย์จับมือของผมเอาไว้แน่นก่อนจะตะโกนออกมาจนสุดเสียง
“ก็คุณอุตส่าห์ทำผมก็ต้องชิมสิ” ผมตอบพลางมองหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั่นของเขาอย่างยิ้มๆ
“แต่!...”
“เอาน่า…มั่นใจฝีมือตัวเองหน่อยสิครับ” ผมบอกก่อนจะจับมือเขาออกจากมือข้างที่ถือช้อนของตัวเองและตักไข่เจียวตรงหน้าเข้าปาก
“เป็นไง?” ราชันย์ชะโงกหน้าเข้าใกล้ผมราวกับลุ้นคำตอบที่จะได้ก่อนที่ผมจะพยายามเคี้ยวและกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก
“แค่กๆ แค่กๆๆๆ”
“น้ำ! แฟร์นี่น้ำ!!” คนตรงหน้ารีบรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมันให้ผมทันที
ผมคว้าแก้วน้ำที่เขายื่นมาให้ก่อนจะดื่มมันลงไปอึกใหญ่จนคนทำหน้าเสียลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“มึงไม่ต้องกินมันหรอกกูจะเอาไปทิ้ง!” ไม่ว่าเปล่าราชันย์ยังคว้าจานไข่เจียวและชามแกงจืดขึ้นจนผมต้องร้องห้าม
“ไม่ต้องหรอกครับ…ความจริงมันก็…อร่อยดี” ผมบอกก่อนอีกคนจะหันมาทำหน้าดีใจขึ้น
“จริงดิ?” ราชันย์รีบวางอาหารที่ตัวเองทำลงก่อนจะตักเข้าปากบ้าง
“รสชาติแม่งหมายังไม่แดก! นี่กูทำอะไรของกู!!!” คนตรงหน้าตะโกนออกมาเมื่อพยายามกลืนไข่เจียวของตัวเองลงไปอย่างยากลำบาก ร่างสูงสบถคำพูดหยาบๆ มากมายในขณะที่ผมก็เอาแต่ขำเขาจนเหนื่อย
“ถึงมันจะเค็มและก็เกรียมไปหน่อยแต่กินกับข้าวสวยมันก็พอได้อยู่นะ” ผมว่าก่อนที่เขาจะจ้องผมเขม็ง
“ไม่ต้องกินแล้ว! กูสั่งอาหารร้านเฮียอ้วนมาตั้งเยอะเอาอาหารมหาเฮงซวยนี่ไปทิ้งได้เลย!!” ราชันย์สบถออกมาอย่างหัวเสียพลางคว้ามันขึ้นอีกเพื่อจะเอาไปทิ้งแต่คราวนี้เป็นผมที่รีบลุกขึ้นคว้าจานและชามในมือของเขาคืน
“แต่ว่าผมจะกินมัน!”
“!!”
“อะไรที่คุณพยายามผมเองก็อยากที่จะลองมันดูสักครั้ง” ผมว่าก่อนจะวางจานไข่เจียวและชามแกงจืดลงตามเดิมพร้อมกับตักทานอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
“มึงหมายความว่าไง” ราชันย์ที่มองผมทานตัดสินใจถามขึ้น
ผมมองหน้าเขากลับพลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยคำตอบที่พยายามคิดหาทางออกให้กับมันมาเป็นอาทิตย์ออกไปในที่สุด
“ถ้าความรู้สึกของคุณที่มีให้ผมมันเป็นเรื่องจริง พรุ่งนี้หากคุณพอมีเวลาว่างออกไปข้างนอกกับผมหน่อยจะได้มั้ย”
“ไปไหน?”
“ไปเคลียร์เรื่องของเราให้จบ”
[End Fair’s Part]TBC......-----------------------------------------
เรื่องนี้อีกสองบทจะจบแล้วนะคะ
บทสรุปจะเป็นยังไงรอติดตามกันได้ในวันพรุ่งนี้นาาาาาา
