{Will you be my family?(น้องครับฯ?)}บทที่23:แล้วเราจะได้พบกันอีก(END)[29/05/18] P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {Will you be my family?(น้องครับฯ?)}บทที่23:แล้วเราจะได้พบกันอีก(END)[29/05/18] P.3  (อ่าน 15969 ครั้ง)

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 


    กว่าจะตามไอ้แทนมาถึงห้องในคอนโดน้องฟ้าได้ผมต้องทนกลั้นอ้วกของตัวเองอยู่นานสองนานทรมานสุดๆ พอถูกพามาถึงห้องจึงรีบพุ่งตัวเข้าห้องน้ำเอาทุกอย่างที่กินไปเมื่อตอนกลางวันออกมาจนกระเพาะโล่ง

     "กูเหม็นว่ะไอ้แทน ทำไมตัวมึงเหม็นขนาดนี้วะ" ผมเอาน้ำยาบ้วนปากกรอกล้างความรู้สึกขยะแขยงแสบคอของน้ำย่อยออก แล้วซับน้ำที่เกาะพราวไปทั่วหน้าครึ่งซีกด้วยกระดาษทิชชู่ ระหว่างที่ในใจกำลังสรรหาคำด่าร่างสูงที่ไม่รู้จักอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้ดี มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็เอื้อมมาคว้าศีรษะผมเข้าอย่างจัง ก่อนลากเข้าไปซุกกับอกแกร่งของอีกฝ่ายที่ไร้เสื้อผ้า

     "!!!"

     "รู้สึกยังไงบ้าง"

     "รู้สึกยังไงอะไรของมึงฮะ แล้วทำบ้าอะไรเนี่ย" ผมพยายามปัดมือออก แต่ไม่เป็นผลร่างสูงยังคงช้อนท้ายทอยจับล็อคไว้มั่น

     "ไม่รู้สึกอยากอ้วกแล้วใช่มั้ย"

     "ถามอะไร...อุ๊บ" เอ๊าดันมันเข้าไปดิ ให้กูจูบหัวนมมึงเลยมั้ย

     "หายเหม็นรึยัง"

     "...!!" ไอ้แทนมันทัก จนผมพึ่งสังเกตเห็น จริงด้วย...ไม่เหม็นแล้ว เพื่อเป็นการพิสูจน์ผมเลยไล่ดมไปตามตัวและหัวไหล่ กลืนน้ำลายหนึ่งอึกก่อนเงยขึ้นมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายอย่างงงๆ "ไอ้แทน มึงทำได้ไงวะ" มึงเสกเวทมนตร์อะไรถึงทำให้กูหายจากอาการอ้วกนี้

     มันมองหน้าผมนิ่ง ก่อนกรีดปากเป็นเส้นตรง

     "ถ้าผมถามอะไรแปลกๆ พี่ก็อย่าว่ากันนะ"

     "..."

     "พี่มีความรู้สึกอยากกินอะไรที่มันเปรี้ยวๆ มั้ย"

     "หา?"

     "อย่างเช่น มะม่วงแรด มะขามเปียก หรือของอย่างอื่นก็ได้ที่รู้สึกเปรี้ยวปากเป็นพิเศษน่ะ"

     "เดี๋ยวก่อนมึง"

     "ถ้าใช่ก็เป๊ะเลย"

     "เป๊ะเป๊อะห่าอะไรของมึง ก่อนจะข้ามไปบทถัดไปมึงช่วยอธิบายให้กูเข้าใจทีได้มั้ย"

     "เท่านี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"

     "..."

     "อาการพี่เหมือนคนแพ้ท้อง"

     "!!!"

     "พี่ไทม์อาจจะแพ้ท้องแทนฟ้า"

     "ใช่ที่ไหนเล่า มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ดูละครมากไปเปล่าวะ เอาทฤษฎีไหนมาพูด"

     "จู่ๆ พี่ก็อ้วก แถมยังบอกเหม็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอีก อย่างนี้ถ้าไม่ใช่ว่าแพ้ท้องแล้วจะเป็นอะไร"

     "กูอาจจะแค่เครียดก็ได้"

     "งั้นพิสูจน์อีกรอบมั้ยล่ะ"

     "เฮ้ย มึงหยุด!!" หัวผมจะโดนฉุดเข้าไปหาผ้าเช็ดหน้ามันอีกรอบ เห็นท่าว่าไม่ดีผมเลยหนีโดยการเอาหน้าไปซุกกับแผ่นอกมันอีกครั้ง พอได้ทีไอ้แทนมันเลยหันมาคว้าเอวผมไว้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเป็นการใหญ่

     ฮือ...มึงอย่าทำกู กูยอมแล้ว

     "พวกพี่ทำอะไรกันอยู่คะ"

     หืม?เสียงใครน่ะ ผมหันไปมองต้นทาง

     "!!!"

     ว้อท!! น้องฟ้ายืนตาแป๋วมาเลยครับงานนี้ ว่าแต่เธอเข้ามาได้ไงวะครับเนี่ย เออ ผมลืมไปว่านี้คอนโดเธอ

     "ฟ้า...กลับมาแล้วเหรอ" ร่างสูงปล่อยตัวผมแล้วรีบวิ่งพุ่งไปหาน้องสาวทันที สมแล้วที่มีดีกรีเป็นพี่ชายหวงน้องสาดระดับโลก แต่ทำไมกูเหงาอ้อมกอดมึงขึ้นมาเสียดื้อๆวะ ไอ้แทนรับกระเป๋าเป้ใหญ่จากมือน้องสาวมาวางไว้บนโซฟา เจ้ากี้เจ้าการลากร่างเล็กให้นั่งเก้าอี้พลางจัดแจงเทน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องให้ดื่ม "เป็นไงวันนี้เหนื่อยมั้ย" มือใหญ่ลูบหัวที่มัดหางม้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน

     "ไม่ค่อยเหนื่อยค่ะ แค่รู้สึกมันหัวนิดหน่อย ไม่รู้สึกอยากอาเจียนเหมือนเมื่อวานแล้ว"

     อุบ...ทำไมได้ยินแค่นี้ก็ก็จะออกอีกรอบแล้ววะ พอเห็นสายตาไอ้แทนมันเหลือบมองมาทางนี้ก็กลั้นอ้วกไว้แทบขาดใจ

     ไม่ใช่ ไม่มีทาง กูไม่ได้แพ้ท้องแทนน้องมึง มึงหยุด อย่ามองกู

     "ถ้างั้นไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อน แล้วค่อยมากินข้าวเย็น เดี๋ยวพี่ทำรอไว้" ทันทีที่นึกถึงอันตรายตรงหน้าผมแม่งแทบจะแปลงร่างเป็นจรวดหัวฟวยแห่งองค์การนาซ่าวิ่งเข้าชาร์ต สองมือกางอย่างไวขวางคนตรงหน้าไม่ให้ไปไหน

     "กูไม่ให้น้องฟ้าเข้าห้องน้ำตอนนี้แน่"

     "หา พี่บ้ารึเปล่า น้องผมจะอาบน้ำพี่จะมาขวางทำไม"

     "บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ไง"

     "ทำไมถึงไม่ได้"

     "ก็กูต้องไปอ้วกก่อนไงเล่า!"

     โอ้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เดี๋ยวกูจ่ายค่าลัดคิวให้มึงเอง




     หลังจากขย้อนทุกสาขาออกมายังสายหลัก กูก็ไม่เหลืออะไรให้จับไปทำพลังงานแก่ร่างกายแล้ว พอได้กลิ่นหอมๆ เย้ายวนของโจ๊กปลาแซลมอนร้อนๆ เลยได้แต่ซัดโฮกไม่แคร์สายตาผู้ใด

     ว่าแต่...นี่กูนั่งอยู่ในห้องสอบหรือโต๊ะอาหารวะ เงียบซะจนได้ยินแต่เสียงซูดซาดสูดโจ๊กเข้าปากของผมคนเดียว พอช้อนตาขึ้นมาแค่นั้นแหละครับ กูรู้เลยว่าสองตัวสี่ตามันกำลังมองมาที่ใคร

     "อะเออ...ไม่กินกันเหรอ" มองกูทำไม

     "ท่าทางโจ๊กแซลมอนของผมคงจะถูกปากพี่มาก อร่อยใช่มั้ยล่ะ"

     "ก็งั้นๆ กินกันตาย" ชดเชยกับอ้วกที่เสียไป

     "อร่อยก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องอาย"

     "กูเปล่าอายซะหน่อย" ผมคว้าชามเปล่าที่ผมพึ่งเลียคำสุดท้ายเข้าปากขึ้นมาส่งพุ่งพรวดเข้าหน้าพ่อครัว "แต่กูกลัวของมันเหลือต่างหาก"

     ไอ้แทนยื่นมือมารับชามเปล่าผมไปพลางส่ายหัว แหนะๆ อะไร ต่อให้อมมันไว้กูก็เห็นนะ ยิ้มของมึง จ้างให้กูก็ไม่มีทางบอกเด็ดขาดว่าโจ๊กของมึงมันอร่อยมากกกกกกกกกถึงมากที่สุดน่ะ ฝัน ไป เหอะ

     ไม่นานโจ๊กร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อปลาชิ้นโตๆ ก็มาเสิร์ฟตรงหน้า

     "ทานเยอะๆ นะ ลูกเราจะได้แข็งแรง"

     "สัด" ถึงกูไม่ท้องแต่กูก็จะสนองให้ อย่างต่ำวันนี้ขอซักสี่ชาม กินปลาไม่อ้วนเว้ย ผมคว้าช้อนเดิมตั้งใจจะตักโจ๊กเข้าปาก แต่ความสนใจทุกอย่างกลับถูกกระชากไปอยู่ที่เสียงริงโทนซึ่งดังสนั่นหวั่นไหวตัดอารมณ์คนกำลังแดกได้อยู่หมัด หน้าจอโทรศัพท์ของพี่ชายตัวดีโชว์ขึ้นมาให้เห็นและเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงคว้าหมับผุดลุกจากเก้าอี้ตะลีตะลานหายลับไปที่ระเบียง

     เป็นอะไรของมันวะ ใครโทรมาถึงลุกลี้ลุกลนขนาดนี้ ลุกลี้ลุกลนในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มือผมหยุดนิ่งจากการตักข้าวเข้าปาก หันไปมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างแปลกใจ อาหารรสมือพี่ชายคนโตของบ้านเกียรติไพศาลอร่อยนะ แต่ทำไมผมชักรู้สึกกร่อยๆ ขึ้นมาแล้ว

     "พี่ไทม์เป็นอะไรไปคะ อิ่มแล้วเหรอ" น้องฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานร้องทักจนผมสะดุ้งหันไปมองแล้วแสร้งทำตัวตามปกติหันมาตักข้าวเข้าปากต่อ

     "เปล่านี่พี่ก็แค่ โอ๊ย...ร้อนๆ" ลิ้นพองกันล่ะงานนี้ สนใจคนอื่นจนลืมดูตัวเองแล้วเป็นไงล่ะ

     "ดื่มน้ำก่อนค่ะ" น้ำเย็นถูกส่งมาให้ ผมรีบคว้าไว้แล้วกรอกเข้าปากอย่างด่วน

     อึกอึกอึก รีบดื่มฮีลลิ้นตัวเอง เดี๋ยวลิ้นพิการไปจะไม่มีปัญญาไปเลียไอติมแท่งที่ไหน

     "สนใจพี่แทนขนาดนั้นเลยเหรอคะ"

     พรวด!!

     น้ำพุหน้าคอนโดที่ว่าแน่ยังแพ้ให้เม้าท์สปริงเกอร์จากปากกู ดีนะที่ผมยังไวหันหลบเปลี่ยนองศาได้ทันก่อนที่น้ำลายและหมู่มวลแบคทีเรียในปากจะลงไปเดินเล่นในชามคนอื่น

     "ฟะ.." ฟวยยย เอ้ย ไม่ใช่ดิ "ฟ้าพูดอะไรน่ะ"

     "จริงเหรอเนี่ย"

     "จะ...จริงอะไรของฟ้าน่ะ"

     "ปะ...เปล่าค่ะ" อย่ามาทำให้กูสงสัยแล้วก็จากไปแบบนี้!! แต่ช่างเถอะ ยิ่งผมถามกลับมากเท่าไรก็อาจจะยิ่งตอกย้ำว่าผมสนใจไอ้แทนมากเท่านั้น

     "..."

     "น่าจะเป็นพ่อกับแม่โทรมาน่ะค่ะ"

     "..."

     "ฟ้ากลัวพี่ไทม์จะเมื่อยคอ"

     "!!!" ไอ้คอทรยศ ใจมึงคิดจะไม่สนใจทำไมมึงไม่หันหัวกลับไปกินข้าวตามเดิมฟระ!!

     "พะ...พี่ก็แค่อยากจะเอ็กซ์เซอร์ไซส์เท่านั้น" ผมเอี้ยวตัวหมุนหัวไปมาแสร้งเป็นว่าออกกำลังกาย

     "ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะมีพี่มายด์อีกคน คนที่จะทำให้พี่แทนรีบร้อนรับมือถือขนาดนี้"

     หืม?

     "มายด์?"

     "แฟนพี่แทนค่ะ"

     "..."

     "คุยอะไรกันอยู่ครับ"

     "!!!" ไอ้แทนมันเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไร ระหว่างที่ผมยังคงประมวลผลความคิดตัวเองไม่ได้ คนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ก็เดินกลับมาหย่อนก้นลงที่นั่งข้างผมตามเดิม สีหน้ามันยังคงปกติ ส่วนผมน่ะเหรอ...ไม่เหลือ ไม่เหลือความเป็นคนอยู่เลย เหมือนกำลังแปลงร่างเป็นควายตัวเขื่องนั่งโง่ให้คนข้างๆ มันหลอกอยู่ได้ ว่าชอบผมมาตั้งแต่ตอน ม.ห้า บ้าดีเนอะ

     ความอยากอาหารแทบจะติดลบเป็นศูนย์ ผมนั่งเขี่ยข้าวไปมา คิดทบทวนถึงเรื่องราวในอดีตนับตั้งแต่เจอมัน ทุกครั้งอีกฝ่ายมักจะทำเหมือนทีเล่นทีจริงมาโดยตลอด ตอนที่บอกว่าอยากได้สิทธิ์ในการจีบผมสุดท้ายก็โดนหลอกถามจนหลุดปากออกไปว่าเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ไม่เคยซั่มหญิงที่ไหน ทำให้มันรู้คำตอบว่าผมไม่ใช่คนรักของน้องฟ้า

     ...แล้วจูบที่ผ่านๆ มาล่ะ...

     ความจริงไอ้แทนมันอาจจะแค่อารมณ์เปลี่ยวนึกเปรี้ยวปากอยากลองของแปลกแบบผมก็ได้

     "เอาเนื้อปลาเพิ่มมั้ย" เสียงทุ้มเอ่ยถาม

     "..."

     "เห็นพี่เขี่ยข้าวมาตั้งนานแล้ว กินปลาหมดแล้วใช่มั้ยเดี๋ยวผมแบ่งให้"

     คนขี้โกหกอย่างผม ก็สมควรที่จะโดนมันโกหกกลับสินะ

     'ทีผมถามเรื่องน้อง พี่ยังไม่ยอมบอกผมเลย แล้วทำไมผมจะโกหกพี่บ้างไม่ได้ล่ะ'

     น่าขำ ที่ผมลืมสนใจคำนั้นของไอ้แทนไป

     "กูอิ่มแล้ว กูขอตัวกลับก่อน" กระเป๋าเป้ผมอยู่ตรงนั้น ผลควรจะเดินไปหยิบมันแล้วโบกแท็กซี่กลับหอ หากข้อมือกลับถูกคว้าไว้เสียก่อน

     "วันนี้ผมไม่ได้บอกพี่เหรอว่าให้ค้างคอนโดฟ้า"







     อึดอัดขั้นสุด ถ้าไม่รู้ความจริงว่าไอ้แทนมันมีแฟนอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องมารู้สึกแย่กับการใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นนอนในห้องเดียวกันได้หรอก ด้วยเหตุผลที่ว่าคอนโดนี้มันมีแค่ห้องไอ้แทนกับน้องฟ้าแล้วใครมันจะบ้าไปบอกว่าขอนอนกับผู้หญิงได้ล่ะจริงมั้ย ผมเลยต้องจำใจอาบน้ำแล้วรีบคลานขึ้นเตียง นอนตะแคงตัวกันหลังไม่สนใจมันอยู่นี่ไง

     "โทษทีนะพี่ แต่คอนโดนี้ผมมาค้างไม่บ่อย เลยมีแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นให้ยืม ทนๆ ไปก่อนละกันนะ"

     "..." ไม่เป็นไรมึงจะให้กูใส่อะไรก็ได้ กูแค่อยากให้คืนนี้มันผ่านไปไวไว แค่นั้นก็พอแล้ว

     "พี่ไทม์"

     "..."

     "หลับแล้วเหรอ" เตียงด้านหลังยุบตามน้ำหนักตัวของอีกฝ่าย ผมต้องแกล้งหลับตาเพื่อไม่ให้ไอ้แทนรู้ว่าผมยังไม่นอน

     "..."

     "หนาวมั้ย" มืออุ่นแตะโดนต้นแขนจนผมต้องสะดุ้งลุกขึ้น

     "ทะ...ทำอะไร"

     "พี่นอนไม่ห่มผ้า"

     "ก็เรื่องของกูเปล่าวะ"

     "พี่ขี้หนาวจะตาย"

     "อย่ามาทำเป็นรู้ใจกูดีนักเลย" ผมเอนตัวลงไปนอนอย่างเก่า ยอมรับว่าหนาวกับลมเครื่องปรับอากาศที่พัดมาโดนผิวเป็นระยะ ผมต้องไม่แสดงอาการออกไป เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสนใจใส่ใจมากไปกว่านี้ หากทุกอย่างกลับได้ผลตรงกันข้ามเมื่อร่างหนาๆ ของไอ้แทนแทรกตัวเข้ามาจากข้างหลังแล้วดึงผมเข้าไปกอดไว้แนบแน่นทุกอณู

     "เชี่ยแทน!!"

     "จุ๊ๆๆ" มันทำเสียจุ๊กจิ๊กข้างหูผม

     "น้องผมนอนอยู่"

     "..." ไอ้แทนมันห่วงน้องฟ้าเสมอแม้กระทั่งตอนนี้ แล้วพื้นที่ในใจมันจะเหลือที่ว่างให้ผมนั่งได้ไง

     "งอนอะไรผมรึเปล่า"

     "เปล่า" กูไม่มีสิทธิ์จะงอนมึง

     "แล้วพี่ไทม์ของผมเป็นอะไร"

     "...!" ถูกแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของทางคำพูด ใจผมเป๋ไปเลย แรงสั่นไหวที่อกข้างซ้ายมันแรงขึ้นเรื่อยๆจนทรมาน

     "บอกผมหน่อยได้มั้ย" แรงสูดลมหายใจลึกๆ ข้างลำคอ ทำให้ผมต้องจิกเล็บเข้าไปที่อุ้งมือเพื่อหักห้ามความรู้สึก

     "กู...ไม่ได้...เป็นอะไรจริงๆ"

     "งั้นหันหน้ามาทางนี้หน่อย"

     "..."

     "เร็วสิ...นะ" แรงมือดันตัวผมให้หงาย อ้อมกอดของมันประคองผมไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งหันเจอใบหน้าหล่อๆ ของมัน สายตาคมดวงนั้นเบิกกว้างจนผิดสังเกต

     "..."

     "พี่ไทม์..."

     "..."

     "พี่ร้องไห้ทำไม" ใช่...กระบอกตาผมมันร้อนผ่าวทั้งที่ตัวโคตรรู้สึกหนาว กูคงมีค่าสำหรับมึงแค่นี้ใช่มั้ย ถ้ามันใช่ กูก็จะทำให้มันจบๆ แล้วจะได้ไม่ต้องมาพบกันอีก

     "..."

     "ไม่ชอบให้ผมกอดเหรอ"

     "กูหนาว"

     "หึ...ก็บอกแล้วไงว่าให้ห่มผ้า"

     "มึงช่วยกอดกูทีได้มั้ย"

     "..."

     "กอดกูให้แน่นกว่านี้" ร่างสูงกลืนน้ำลายลงคอ สายตาสั่นไหวมองสบลงมาไม่ปกปิด

     "พี่พูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า"

     "กูอยากหายหนาว" ผมกำชับกอดตอบร่างสูงตรงหน้าสอดขาเข้าเกี่ยวผิวเนื้ออบอุ่นของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ผมชอบมัน ผมชอบไอ้แทน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร หากทุกครั้งที่มันเข้ามาในชีวิต ผมจะรู้สึกเหมือนต้องสนใจมันอย่างช่วยไม่ได้และเป็นห่วงมันอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน คนๆ นี้ขอให้เป็นของผมแค่ตอนนี้ได้มั้ย แล้วจากนี้จะเป็นของมายด์หรือใครก็ตาม...ผมยอม

     สัมผัสจากลมหายใจที่เข้ามาใกล้ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่รับรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปร่างกายก็เริ่มสั่น อกข้างซ้ายมันกระแทกกระทั้นราวกับจะหลุดกระเด็นกระดอนออกมา ในหัวนึกลังเลอยากจะย้อนไปยังตอนก่อนหน้า แต่ทว่ากลับตัวไม่ทันเสียแล้วในเมื่อไอ้แทนเริ่มประกบแนบจุมพิตลงมา

     "อื้ออออ" นุ่มนวลรุ่มร้อนผะผ่าวไปทั่วใบหน้าเมื่อลิ้นร้อนๆสอดเข้ามาในโพรงปาก จูบสามครั้งที่เคยซักซ้อมเมื่อคราก่อนกลายเป็นจูบอนุบาลหมีน้อยไปเลย ผมไม่เคยจูบกับใคร ไม่เคยมีประสบการณ์ลึกซึ้งอย่างนี้มาก่อน ความที่บอกว่าเคยมีแฟน อย่างมากก็เป็นได้แค่ความสัมพันธ์ที่เลื่อนระดับขั้นมาเป็นเพื่อนสนิท แล้วก็จบที่ต่างคนต่างรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดก่อนเลิกรากันไปอย่างทุกครั้ง แต่คราวนี้ระหว่างผมกับไอ้แทนมันกลับซึมลึกเสียจน...ยากจะถอนตัว

     ด้านบนอบอุ่นแต่เบื้องล่างยังคงหนาวเหน็บ ผมเลยขยับตัวเข้าหาอีกฝ่ายที่กำลังแลกเลียลัดเลาะดูดซับความอ่อนนุ่มเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นของกันและกันจนแทบลืมหายใจ ทำให้สัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังก่อตัวด้วยมวลอารมณ์และแข็งขืนอยู่ใต้ผืนผ้า

     "ฮะ" ร่างสูงถอนหน้าออกไปทันทีแล้วมองผมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้มโหยหา "อย่าโดนตรงนั้น...พี่กำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า" ไม่นานคนตรงหน้าก็ถอยห่างออกไป "วันนี้พอเท่านี้เถอะ" ไอ้แทนตั้งท่าจะลุกจากไปทางห้องน้ำแต่ทว่ามือผมรั้งชายเสื้อกล้ามของอีกฝ่ายไว้

     "..."

     "พี่ไทม์"

     "..."

     "โธ่เว้ย"

     "อื้ออออ" ผมคงเป็นบ้ามากกว่าที่ดึงดูดไอ้แทนให้กลับมาป้อนจุมพิตกดไหล่ลงบนเตียงอีกครั้ง เจ้าตัวบดจูบลงมาซ้ำๆ จนริมฝีปากเริ่มชา ขบกัดเบาๆ ที่กลีบปากไปมาพลางเลียจนชุ่มชื้น หน้าผาก ขมับ กกหู ซอกคอถูกประพรมจนทั่ว ลามไปถึงแอ่งชีพจร แขนแกร่งสอดเข้าใต้เอวยกตัวผมสูงขึ้นแล้วกระชากเสื้อกล้ามสีขาวออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็กลับมาไล้เลียไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่า ซึ่งตอนนี้ผมโคตรกลัวว่าแรงกระทุ้งในอกข้างซ้ายจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึก

     "ฮะ เดี๋ยว...อ๊ะ" ร่างสูงปรนเปรอความวาบหวามให้ยอดอกด้วยแนวลิ้นไม่พอ ยังเลื่อนมือลงมาลูบไล้กลางหว่างขาเหนือผืนผ้าของผม ส่วนกลางลำตัวถูกเสียดสีไปมาจนเริ่มขยายตัว และมันเห็นได้ชัดในสภาพที่ผมใส่บ๊อกเซอร์ของไอ้แทนแค่ตัวเดียว

     "พี่ไทม์" เสียงหอบหายใจด้วยแรงอารมณ์ดังมาเป็นระลอกสลับกับการเรียกชื่อผม ไอ้แทนขยับตัวขึ้นมาประกบริมฝีปากก่อนลากแนวลิ้นสลับกับกัดทำรอยจากสันกราม แผ่นอก ลามไปถึงหน้าท้องแบนราบและส่วนท้องน้อยเหนือกลางลำตัว ความรู้สึกเสียววาบแล่นปลาบขึ้นมา ส่วนที่อารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้วยิ่งเผยให้เห็นรูปร่างชัดเจนกว่าเก่า วินาทีที่นิ้วแกร่งเกี่ยวกางเกงยางยืดเพียงชิ้นเดียวของผมลง ในใจนั้นแทบอยากมุดแผ่นดินหนี สิ่งนั้นของผมมันแข็งขืนต่อต้านแม้กระทั่งมือของคนตรงหน้า

     "ฮือออ" ไอ้แทนกอบกุมมันไว้ทั้งหมดพลางขยับแนวมือเชื่องช้าไม่เร่งร้อน ปล่อยให้หยาดน้ำขุ่นข้นค่อยซึมออกจากส่วนปลายจนเริ่มเปียกชื้น ผมหลับตาเพราะเขินอายเกินกว่าจะมองแต่พอความอบอุ่นขาดช่วงไปทำให้ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่จนได้เห็นร่างสูงที่ลุกขึ้นมาถอดเสื้อผ้าจนร่างเปลือยเปล่า

     "!!" คุณพระ...บังเอิญไปมองตรงนั้นของมันพอดี สิ่งที่มันมีผมแทบจะเทียบไม่ได้ ช่วงเสี้ยวอึดใจที่ตกตะลึงกับความใหญ่ของร่างกาย ผมกลับได้สัมผัสเนื้อแท้ของมันโดยตรงแบบไม่ทันร้องขอ สัดส่วนร้อนรุ่มบดเบียดเข้าหากันอย่างโหยหา ไอ้แทนขยับตัวเสียดสีไปมาจนผมห้ามเสียงครางไว้ไม่อยู่

     "อ๊ะ ฮะ อือออ" มือใหญ่กอบกุมส่วนสำคัญของเราไว้ทั้งคู่ ขยับไปมาอย่างรวดเร็วตามจังหวะอารมณ์

     "กะ...กูไม่ไหวแล้ว" ผมอายที่จะต้องปลดปล่อยตรงนี้เลยขยำมือจิกผ้าปูเตียงอย่างแรง

     "ไม่ต้องทน...ปล่อยออกมา" น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูทำเอาขนลุกเกรียว เสียดเสียวไปทั่วมวนท้อง ฝ่ายกระทำซึ่งหอบแรงไม่แพ้กันสอดมือเข้าช้อนหลังไว้ โน้มน้าวให้ตะแคงไปตามร่างกายอีกฝ่ายซึ่งทิ้งตัวลงด้านข้างโดยส่วนนั้นของพวกเรายังติดตามกันไปไม่ห่าง มือแกร่งยังคงขยันทำงานรูดรั้งขึ้นลง ผมมองใบหน้าที่รื้นแดงไปด้วยอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้วให้ได้รู้สึก...

     "จูบกูหน่อยได้มั้ย" ริมฝีปากชาๆคู่นี้อยากรับรู้การมีตัวตนอยู่ของมึง

     ขออะไรอีกฝ่ายก็ทำให้หมด ผมได้รับรู้รสสัมผัสนุ่มนิ่มชวนหลงใหลจากไอ้แทนอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นแบบเบาๆสั้นๆก่อนผละออกไป

     "ปากพี่...บวมไปหมดเลย" สายตาคมจับจ้องมาที่ปากแดงเจ่อเป่ารดลมหายใจถี่หนักให้พัดผ่านเข้าใบหน้า "เจ็บมั้ย"

     "กูชอบจูบของมึง"

     "..."

     "ชอบ"

     "อย่ายั่วผม"

     "ฮะ...อ๊ะอื้อออออ" เพราะจังหวะและแรงมือที่อีกฝ่ายเร่งรัดมาหลังประโยคสั่นพร่าของผม หยาดอารมณ์จึงหลั่งออกมาไม่ขาดสาย ท้ายที่สุดร่างกายของพวกเราก็กระตุกเกร็งและปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

     ฮั่ก ฮั่ก หายใจแทบไม่ทัน ระหว่างที่ตกในภวังค์ผมก็เพิ่งมานึกรู้ว่าการกระทำของไอ้แทนยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ นิ้วแกร่งขยับเข้ามาสัมผัสช่องทางด้านหลังทันทีที่ยกข้อพับขึ้นรั้งกับแขน

     "อะ...ไอ้แทน ทำอะไร" ผมในท่าตะแคงแต่ถูกยกขาข้างหนึ่งขึ้นถึงกับไปไม่เป็น ส่วนนั้นกำลังถูกเผยให้อีกฝ่ายที่ลดตัวลงต่ำได้เห็น การรุนรานเปิดฉากอีกครั้งเมื่อเจ้าของริมฝีีปากบางเฉียบครอบครองส่วนที่เพิ่งอ่อนตัวลงไปป้อล้อให้แข็งขืนขึ้นอีก ความหยุ่นนุ่มในโพรงปากกอปรกับปลายนิ้วซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลวขยับวนไล้ไปมาในช่องทางคับแคบด้านหลังจนผมสั่นสะท้าน และสิ่งเดียวกันนั้นก็แทรกซึมเข้ามาในร่างเรื่อยๆ

     "อะ...ไอ้แทนมึง" สิ่งที่มองไม่เห็นคุกคามเข้ามาจากด้านหลังทีละน้อย ความรู้สึกแปลกปลอมทำให้ผมกลัวจนตัวสั่นและการกระทำก็หนีไม่พ้นสายตาคมคู่นั้น

     "พี่ไทม์" ร่างสูงถอนริมฝีปากออกขยับตัวขึ้นมาเสมอ แต่มือยังคลึงวนเสียบลึกเข้ามา ผมก้มหัวหลับตาย่นคิ้วให้กับความรู้สึกประหลาดที่ปะทุขึ้น ก่อนหรี่มองร่างกายกำยำของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้อ่อนลงไปหลังจากการปลดปล่อยครั้งแรกเลย ตรงนั้นของไอ้แทนยังคงแข็งขืนและเครียดเกร็ง

     "ผมอยากกอดพี่" แค่กระซิบขอร้องร่างกายผมก็อ่อนปวกเปียกแล้วนับประสาอะไรกับการที่ยอมให้อีกฝ่ายเสริมนิ้วที่สองและสามเข้ามา

     "ฮะ...เดี๋ยว กู...รู้สึกแปลกๆ" มันเริ่มจะเสียดเกร็ง ร่างกายผมกำลังต่อต้านสิ่งแปลกปลอมข้างในซึ่งขยับเข้าออกไปมาตามจังหวะของคนข้างหน้า

     "เจ็บมั้ย" ได้แต่ส่ายหัว บรรยายไม่ถูกถึงความรู้สึก มันไม่เจ็บแต่เสียดแปลกๆ "ผมไม่ได้เตรียมอุปกรณ์เอาไว้ พี่ต้องเจ็บแน่ๆเลย" ร่างสูงเปรยก่อนถอนมืออกไปทั้งหมดราวกับยอมแพ้ "ครั้งแรก ผมไม่อยากให้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับพี่" พูดจบก็รวบตัวผมเข้าไปตระกองกอด

     "ตะ...แต่"

     "ไม่มีแต่..." ไอ้แทนปรามคำแย้งของผม แผ่นอกที่ประสานกันแนบสนิททำให้ผมรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย

     "แต่ด้านล่างมึง" ใช่...มันยังแข็งตั้งแนบต้นขาผมอยู่เลย "มึงจะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ" ไอ้แทนมันกระตุกดันไหล่ออกห่างพลางสบจ้องดวงตาผม

     "หรือพี่จะช่วย" แปลกแทนที่ผมจะตีมันแล้วด่าว่าทะลึ่งเหมือนทุกครั้ง ผมกลับเอื้อมมือไปจับแทนน้อยเบาๆอย่างกล้าๆกลัวๆ ด้วยความที่ว่าจะสัมผัสก็ไม่ใช่จะลูบไล้ก็ดูขาดๆ ร่างสูงจึงครางฮึ่มในลำคออย่างหงุดหงิด "นี่พี่แกล้งผมเหรอ"

     "กูเปล่า ฮะ!!" อีกฝ่ายพลิกตัวขึ้นคร่อมกะทันหัน ช้อนบั้นท้ายจับขาสองข้างของผมพาดไปบนไหล่ของมันจนตัวลอย สัดส่วนร้อนรุ่มเหยียดตรงจดจ่ออยู่ที่ปากทางพลางดันเข้ามาเบาๆ "ฮื้ออ ไอ้แทน!!"

     ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นี่มึงจะเสียบเข้ามาแบบนี้เลยเนี่ยนะ จะบ้าไปแล้วเหรอกูยังไม่พร้อมเลย

     "หึ...ผมล้อเล่น" มันยกยิ้มหล่อๆ ใส่ทำใจที่ผมกลัวให้กลับมาหน้าแดงอีกครั้ง เพราะตรงนั้นของผมโชว์อยู่ตรงหน้ามันนี่ครับ "ฝืนเข้าไปยังไงก็ไม่ได้หรอก ร่างกายพี่เกร็งอย่างกับอะไรดี"

     ในที่สุดมันก็ปล่อยผมลง ขยับต้นขาแกร่งเข้ามาแนบชิดเนินเนื้อให้ส่วนกลางของเราใกล้กันมากขึ้น ก่อนเริ่มเสียดสีด้วยมืออีกครั้ง

     "ฮะ...อ๊ะ"

     "ทนอย่างนี้ไปก่อนนะ" ประโยคนี้มึงพูดกับตัวเองใช่มั้ย แต่ผมก็รู้สึกเสียวและสุขกับสิ่งที่มันมอบให้อย่างบอกไม่ถูก และแล้วผมกับมันถึงฝั่งฝันกันหลายต่อหลายครั้งก่อนจะเพลียแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด


TBC
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ฉากครั้งแรกในชีวิต(x_x) ที่ยังไม่ถึงขั้นสุดท้าย...พัฒนากันต่อไป


คุณ FeaRes : เยิฟฟฟฟฟฟฟฟ รักษาสุขภาพเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่รอกันมาเสมอนะคะ ตอนนี้น้องฟ้าก็ยังเป็นตัวป่วน(ที่ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันไวว่องไม่เต่าคลานได้)อีกตามเคย ฮา แอบกระซิบว่าเฮียเดย์แกก็น่ารักนะคะ(คนแต่งยังหลงเลย) ออกปากว่าจะลงมือตามหาเองแล้วรับรองได้(มี)เรื่องแน่ค่ะ

คุณ B52 :  :pig4: ค่า >_<

คุณ mild-dy :  :pig4: เช่นกันค่า

คุณ StarPasO : มาอ่านตอนนี้คงตกใจกว่าเก่า เพราะไม่ใช่แค่ดูดคอแล้ว!!! 555 ความจริงเดย์แค่รักเพื่อนค่ะ แต่ติดว่าแสดงละครเก่งเกินไปแค่นั้นเอง อิอิ แม็คจะกลับมามั้ยน้าารอดูต่อไป

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)}

บทที่ 19 พ่อตาแม่ยาย


            “เซอร์ไพรส!!”

 

            โอเค ผมพร้อมร้องเพลงแล้ว ว่าแต่ใครเป็นเจ้าของวันเกิดนี้ล่ะ สองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูด้านหน้า? หรือน้องฟ้าที่ยืนซุกอกกอดตัวผมในสภาพที่แทบเรียกได้ว่าถอดอีกสองชิ้นแม่งก็ชุดวันเกิดแล้วดี

 

            “มันเป็นใคร” มันเป็นพืชหัวชนิดหนึ่งไม่ใช่คนครับคุณ...เออ เรียกว่าอะไรดีล่ะ แต่หน้าตาชายวัยกลางคนค่อนไปทางมีอายุดูไม่ค่อยรับมุกอะไรแบบนี้ เห็นทีผมควรจะสงบปากสงบคำไว้จะดีกว่า ขืนพูดออกไปมีหวังโดนต่อยเลือดกลบปาก

            “ฟ้า” ขมวดคิ้วจนจะกลายเป็นทางรถไฟเหาะโรลเลอร์โคสเตอร์อยู่รอมร่อแล้วครับคุณน้า แต่เธอเรียกชื่อน้องฟ้าครามของไอ้แทนแสดงว่าสองคนนี้ต้องรู้จักกัน ผมหันไปมองคนในอ้อมกอด สีหน้าตื่นตกใจเล่นเอาผมหลอนไปชั่วขณะ

            “ใครน่ะฟ้า” อยากจะปล่อยมือ แต่ตัวมันแข็งค้างไปแล้ว นับตั้งแต่วินาทีที่สติไปกองรวมอยู่กับสองคนตรงหน้าประตู

 

            “พ่อ กับ แม่...ฟ้าเองค่ะ”

 

            เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

            ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้เหมือนตอนที่ผมจะเล่าเรื่องราวต่อจากนี้มันก็คงจะดี ผมสาบานเลยว่าจะไม่กอดน้องฟ้าในสภาพที่ล่อแหลมขนาดนี้หรอก...ไม่มีทาง...

 

 



            ...หนาว...

 
            พรึ่บ!!

            ตาผมสว่างโร่กลอกมองไปรอบทิศทางเท่าที่สามารถจะทำได้ ก่อนหยัดกายลุกจากที่นอนด้วยอาการตื่นตกใจ

            ...ที่นี่มัน...จริงด้วยเมื่อวานผมมาค้างที่คอนโดน้องฟ้านี่หว่า แล้วหลังจากนั้นผมก็โดนไอ้แทนลากมา ลากมา...กระทำชำเรา!!

            “เวรแล้ว” มือป่ายปัดสัมผัสทั่วตัว แสนประหลาดใจกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ เสื้อกล้ามกางเกงบ๊อกเซอร์...ที่ผมโดนถอดกระจัดกระจายตั้งแต่เมื่อวานกลับมาสวมใส่อยู่ติดตัวอีกครั้ง

            ...เออเฮ้ย...หรือเมื่อคืนนี้ฝันวะ...

            ใช่ต้องฝันแน่ๆ...นั่นดิ ใครมันจะแรดขนาดอ้างว่าพี่ชายฉันหนาว แล้วเข้าไปสวมกอดไอ้แทนอย่างน่ามืดตามัวราวกับจะเอามันทำผัวให้ได้ในคืนนั้นวะ คิดถึงความน่าจะเป็น บวกลบคูณหารกันแล้วผมก็ยิ้มอย่างสบายใจ ลุกจากเตียงเดินมาตามทางผ่านตู้เสื้อผ้าที่ติดกระจกบานใหญ่ แต่แล้วภาพสะท้อนข้างในก็ทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจทันที

            ไอ้เหี้ยยยยยยยยย

            ภาพตัวเองฉายชัดในกระจกบานยาวทำเอาเข่าแม่งแทบทรุดไปกองกับพื้น จนต้องร้องอุทานออกมาดังๆว่า

            “ทำไมกูหล่อขนาดนี้วะเนี่ย” ตะปบกระจกเอียงซ้ายเอียงขวาเก็กหน้าหล่อแมนแฮนด์ซั่ม งุ้ยดูดี...เอาล่ะพอแค่นี้ ชมให้พอเป็นพิธีเดี๋ยวเหลิง จริงๆผมแม่งก็หน้าขาวอมชมพูปากแดงแซงไอ้พวกนักร้องเกาหลีได้เหมือนกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่เอ๊ะ...ดูแป๊บ...ทำไมไอ้สีขาวอมชมพูมันดูประหลาดจังวะ

            มันเป็นสีขาวอมชมพูที่ดูค่อนไปทางแดงช้ำกระจายเป็นจ้ำทั่วตัว ที่เน้นๆเห็นจะเป็นตรงชอกคอ สันกราม และขาหนีบกูเนี่ยแหละที่เด่นชัดกว่าตรงไหน ไม่ต้องคิดนานผมรีบดึงเสื้อกล้ามกับกางเกงตัวสั้นให้หลุดออกจากร่าง และแล้วความจริงก็ปรากฏตรงหน้า

            นี่กูเป็นอิสุกอิใสหรือไงวะ!!

            หนึ่ง สอง สาม โอ๊ยแม่ง รอยกระจายนับไม่ถ้วน ถ้าใต้ร่มผ้าน่ะรอบสะดือเยอะสุด รองลงก็หัวนมอมชมพูกูเนี่ยแหละ ส่วนง่ามขาไม่ต้องพูดถึงทุกอณูราวกับฝรั่งเศสล่าอาณานิคมอินโดจีน ถามว่าคันมั้ยตอบเลยว่าไม่ เป็นอิสุกอิใสประสาอะไรกูไม่คัน

            สภาพอย่างนี้คงไม่มีปัญญาเดินโทงๆออกไปข้างนอกห้องเป็นแน่ แต่เสื้อผ้ากูตากอยู่ระเบียงด้านนอกไง เสื้อผ้าที่ใส่เมื่อวานอ่ะ

            ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะออกไปเผชิญโลกกว้าง

            เสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์ถูกดึงขึ้นมาสวมกลับแบบลวกๆ ก่อนเดินไปหน้าประตูไวเท่าแสง

 

            แกร๊ก...แอ๊ด...

            ถ้าเล่นเกมส์ทริลเลอร์อยู่กูจะกลัว แต่นี่มันชีวิตจริง อย่างมากก็แค่น้องฟ้าหรือมีพี่ชายชีอยู่เท่านั้น ถูกเห็นก็เนียนๆไปว่าโดนยุงตัวเมียกัดเลยเดินมาหายาหม่อง สายตาสอดส่ายซ้ายขวาทางโล่ง เล็งเป้าหมายไว้แล้วก็วิ่งหน้าตั้งสิครับจะรออะไร แม่งทำไมอารมณ์กูเหมือนตอนลืมเอาผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ แล้วต้องวิ่งตัวปลิวหวิวไข่ออกมาคว้าผ้าหลังอาบเสร็จเลยวะ

            อีกสามก้าวเท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็มาขวางกูไม่ได้

            “พี่ไทม์”

            เอี๊ยดดดดดดดดดดด

            ขอถอนคำพูดให้กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าฟ้า ผมหมุนตัวปลิวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง ยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแทบจะในทันที

            “เปล่านะ พี่ไม่ได้จะขโมยอะไร!!” กางเกงในไอ้แทนไม่ได้แขวนอยู่ตรงนั้น แก้ตัวเสร็จก็กลัวว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพที่เกือบแก้ผ้าเลยลดมือลงปิดด้านล่างกันน้องฟ้าเสียสายตา

            “ฟ้ายังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

            “อ้าว...เหรอ” แหะพี่ร้อนตัวไปเอง ว่าแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาหัวแก้เก้อ

            “พี่ไทม์จะทำอะไรคะ”

            “เออ...พี่ก็แค่...” เย็นไข่ครับ น้องฟ้าคงยังไม่อยากกินไอติมไข่แข็งตอนนี้ใช่มั้ย ผมพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ เพราะอายเป้ากับหว่างขาตัวเองเกรงว่าเธอจะมองลงมาจนทำให้ผมเสียความมั่นใจ เพราะของพี่ไม่ใหญ่เพียงพอ

            “ถ้าหาพี่แทน...พี่แทนไม่ได้อยู่ที่ระเบียงหรอกค่ะ”

            “อ้าว...แล้วมันไปไหน” ถึงจะไม่ได้กำลังตามหาแต่ความสนใจผมโดนดึงไปเต็มๆ มิน่าล่ะทำไมห้องถึงเงียบแบบเข็มตกเล่มเดียวยังรู้สึก ทั้งที่หวังว่าจะตื่นมาในอ้อมกอดมันซะหน่อย โฮฮฮฮฮ

            “ออกไปซื้อข้าวเช้าค่ะ” โหย โคตรพ่อบ้านพ่อเรือน มีแฟนเป็นไอ้แทนรับรองไม่อดตาย

            “อ๋อ งั้นเหรอ” ผมพยักหน้า “งั้นพี่ไป...” การกระทำผมไปไวกว่าความคิดได้เพียงก้าวเดียว เพราะผมดันสังเกตเห็นถึงความผิดปกติจากคนด้านหน้าเลยทำให้ขาผมหยุดชะงัก

            ...น้องฟ้าเธอดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปโดยไม่ใช่แค่ลักษณะภายนอก แต่ความสดใสที่เคยมีในวันวานมันหายไป... สีหน้าซีดเซียวบ่งบอกอาการของคนนอนไม่หลับ ดวงตาหมองคล้ำบวมแดงราวกับนอนจมกองน้ำตามาตลอดทั้งคืน ร่างกายดูผ่ายผอมกระท่อนกระแท่นเสียจน...น่ากลัวว่าถ้าขยับตัวเพียงนิดเดียวเธออาจจะล้มลงได้

            “นี่ฟ้าไม่สบายรึเปล่า”

            ร่างเล็กสะดุ้งเงยขึ้นมองผม ก่อนก้มหน้าลงส่ายหัวปฏิเสธช้าๆ

            “แล้วได้นอนบ้างมั้ย” ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ตัวเธอพลางมองอย่างพินิจพิเคราะห์ มีเพียงเสียงเงียบตอบกลับมาระหว่างบทสนทนาของเราทั้งคู่ “เจ็บป่วยตรงไหนรึเปล่า บอกพี่ได้นะ” พี่ชายไม่อยู่ผมดูแลให้ได้ ผมขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดแล้วยกฝ่ามือสัมผัสเข้ากับหน้าผากอีกฝ่าย อืม...ตัวอุ่นๆแฮะ หรือว่าจะเป็นไข้

            “พะ..พี่ไทม์คะ”

            “ครับ”

            “ใกล้...ไปแล้วค่ะ”

            “เฮ้ย พี่ขอโทษ” เวรละ กว่าจะมารู้ตัวอีกทีหน้าผมแม่งแทบทิ่มเข้าหน้าน้องฟ้า ผมรีบถอยออกมาอย่างตื่นตระหนก “โทษที พี่ไม่ได้ตั้งใจ”

            “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบอ้อมแอ้มยกมือขึ้นถูต้นแขนตนเองแบบเก้ๆกังๆ ระหว่างนั้นผมสังเกตเห็นรอยแผลถลอกจางๆที่เริ่มตกสะเก็ดกระจายอยู่ประปรายตามข้อแขนเล็กของเธอ

            “เรายังเจ็บอยู่มั้ย”

            “คะ”

            “แผลที่โดนรถชนเมื่อวันก่อนเริ่มดีขึ้นรึยัง”

            “...”

            “...”

            ผมถามอะไรผิดไปเหรอ น้องฟ้ายืนเงียบมองผมหน้านิ่ง ถ้าเธอไม่ตอบอีกห้านาทีผมกะว่าจะถอยออกไปหยิบเสื้อผ้าที่ริมระเบียงมาใส่ทำธุระตนเองให้เสร็จไปตามเรื่องตามราว หากร่างเล็กกลับยกยิ้มขึ้นเบาๆให้ผม

            “ทำไมคนที่ฟ้าตกหลุมรักไม่เป็นพี่ไทม์นะ”

            “...!”

            “ไม่งั้นฟ้าคงมีความสุขมากกว่านี้ พี่ไทม์ใจดีแม้กระทั่งกับคนที่หาเรื่องมาให้ ใจดีแม้กับคนที่ไม่มีใครเอาอย่างฟ้า”

            “...”

            “คนเห็นแก่ตัว นิสัยน่ารังเกียจอย่างฟ้า ก็สมควรแล้วล่ะ...ที่จะถูกทิ้ง”

            “เฮ้ย” ผมร้องอุทานเพราะจู่ๆน้องฟ้าก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอร้องไห้ต่อหน้าผม แต่มันกลับรู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ความทรมานอัดอั้นตันใจทุกอย่างปะทุถึงขีดสุดแล้วท่วมท้นออกมาคราเดียว ผมทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ดึงตัวเธอเข้ามาด้วยความสงสารพลางกดหัวเล็กลงกับแผ่นอกซับน้ำตาที่รินไหลออกมาผ่านเสื้อกล้ามตัวโคร่ง

            “นี่ฟ้าร้องไห้ทำไมเนี่ย ไม่มีใครสมควรถูกทิ้งหรอกนะฟ้า ใครบอกฟ้าว่าอย่างนั้น” มือผมไหวไปตามศีรษะของร่างเล็กที่ส่ายไปมา น้องฟ้ากำเสื้อกล้ามผมแน่นทั้งๆที่ยังก้มซุกอกผมอยู่

            “ถ้าไม่มีใครบอกฟ้า แล้วฟ้าคิดอย่างนั้นได้ยังไง”

            “ฟ้าไม่ได้คิด...”

            “...” อ้าวแล้วที่พูดออกมานี่มันอะไรวะ

            “แต่พี่แม็คทำให้ฟ้าคิด”

            “...!”

            ไอ้แม็คนะ ไอ้แม็ค ถ้ามึงกลับมาคืนดีกับน้องฟ้าเมื่อไร กูจะให้มึงชดใช้เป็นสิบเท่าเลยคอยดู

            ผมกลอกตาไปมา พลางคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เพื่อไม่ให้คนในอ้อมกอดจิตตกไปมากกว่านี้ จนกระทั่งผมไล่ไปนึกถึงคำๆนึงของบุพการี คำที่พวกท่านมักบอกปลอบผมเสมอยามนึกท้อแท้ใจ

            “อย่าให้ความคิดของเรามาทำร้ายตัวเราเองสิ”

            “...”

            “ที่ไอ้แม็คมันหายไปเรื่องมันเป็นมายังไงพวกเรายังไม่รู้เลย แล้วฟ้าจะคิดไปก่อนให้ได้อะไร แล้วอีกอย่างมันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันดิ แต่ตอนนี้พี่อยากให้ฟ้ารักตัวเอง อยากให้ฟ้าเข้มแข็ง อย่าคิดว่าตัวเองยืนอยู่ไม่ได้เพราะไม่มีใคร เพราะถึงยังไงฟ้าก็ยังมีพ่อแม่มีพี่แทนอยู่เคียงข้าง” แรงดึงเสื้อหนักขึ้นจนผมนึกกลัว แต่เอาเถอะ ถึงเธอจะฆ่าผมตรงนี้เพราะไปกล่าวพาดพิงถึงคนรักของเธอแบบไม่ใยดีก็ช่าง ผมแค่อยากเทศนาสั่งสอนให้รู้ว่าความรักไม่ใช่ทุกอย่างต่อให้คนมากมายบอกว่าความรักคือหัวใจ แต่หากไม่ใช้สมองมันก็เหมือนกับร่างกายที่ยังหายใจแต่ไร้ซึ่งสตินั่นแหละ

            ร่างเล็กกดหน้าเข้าแผ่นอกแล้วร้องไห้อย่างหนักแบบไม่อาจทนอดกลั้นได้อีกต่อไป ผมได้แต่ยืนรอให้เธอสงบลง ยืนรอให้อะไรต่างๆมันดีขึ้น วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้แต่ตอนนี้ผมอยากให้เธอยอมรับความจริงและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า

            “สัญญากับพี่สิ” ไหล่บอบบางถูกจับกุมแล้วดันกายเล็กออกจากตัวช้าๆ ใบหน้าขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาสบมองกลับมาอย่างหวั่นไหว “ว่าต่อจากนี้ไปฟ้าจะไม่โทษตัวเอง อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันเป็นบทเรียนสอนใจ แล้วพยายามก้าวต่อไปข้างหน้า”

            “ฮึก...ฟ้า ไม่แน่ใจว่า จะเดินต่อไหวรึเปล่า”

            “พี่เชื่อว่าเราทำได้”

            “ฟ้ากลัวล้มลงกลางทาง”

            “ถ้าล้มก็ลุกขึ้นมาใหม่”

            “แล้วถ้าฟ้าลุกไม่ไหว”

            “พี่จะเป็นคนประคับประคองเราเอง”

            “...”

            “ถ้าเราเซหรือหกล้ม พี่จะเป็นคนพยุงเราขึ้นมา เพราะฉะนั้นสัญญากับพี่ได้มั้ย ว่าจะไม่หมดกำลังใจหรือท้อไปเสียก่อน” ผมเข้าใจดีว่าตอนที่กำลังท้อแท้หรือสิ้นหวังกำลังใจจากคนรอบข้างนับเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันจะหมดความหมายไปเลยทันที หากเจ้าตัวหมดกำลังใจที่จะสู้กับมัน

            หลังจากพูดจบดวงตากลมโตของอีกฝ่ายก็ไหวระริกแล้วเสมองไปทางอื่นอย่างลังเลใจ

            “ฟ้าไม่สัญญาได้มั้ย”

            “ทำไมล่ะ”

            “ฟ้ากลัว”

            “กลัวอะไร”

            “ฟ้ากลัวว่าจะรับไม่ไหวจริงๆถ้ารู้ว่าพี่แม็คจะไม่กลับมา”

            “มันจะกลับมา”

            “...!”

            “ไอ้แม็คมันต้องกลับมา”

            ผมไม่ได้กล่าวลอยๆไปก่อนเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย ไอ้แม็คมันเป็นคนฉลาดมีความรับผิดชอบ ต่อให้นิสัยด้านเสียๆของมันคือการบูชาความรักยิ่งกว่าสิ่งใดจนทำให้โง่ไปชั่วขณะก็เถอะ แต่ถ้ามันรู้ว่าฟ้าท้องมันจะต้องกลับมา ผมยกมือขึ้นมาตีที่หัวน้องฟ้าเบาๆ “เชื่อใจพี่สิ...แล้วอย่าเสียใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง”

            ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกสื่อว่าทำนบน้ำตาใกล้จะพังลงมาอีกระลอก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดน้องฟ้าปล่อยโฮออกมาก่อนซุกลงอ้อมอกผมอีกครั้ง เสียงสะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจดังก้องไปทั่วห้อง จนผมต้องอ้อมมือไปลูบหลังปลอบประโลมเธออย่างสุดกำลัง

            “พี่ไทม์...ฮึก...” น้องสาวตัวเล็กจอมขี้แยของผมกำลังร้องไห้ น้องสาวที่อ่อนต่อโลกจนเผลอทำอะไรพลาดพลั้งไปหลายๆอย่าง ความผิดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตหนึ่งของทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าจดจำ หากไม่ได้จดจำเพื่อไปซ้ำเติมชีวิต แต่จดจำเพื่อเรียนรู้เป็นบทเรียนในการพัฒนาไปข้างหน้าโดยพยายามไม่ก้าวพลาดอีกซ้ำสอง ต่อให้น้องฟ้าบอกว่าเธอทำเรื่องไม่ดีกับผมยังไง ผมก็พร้อมที่จะให้อภัย เพราะเรื่องนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องที่น้องฟ้ากำลังเผชิญอยู่เลยสักนิด

            “นิ่งซะนะ นิ่งซะ” แขนเล็กโอบกอดรอบตัวผมราวกับหาที่พึ่งสุดท้าย ผมเลยกระชับตอบกลับเพื่อให้เธอรู้สึกปลอดภัยไว้วางใจมากยิ่งขึ้น ทันทีที่มือผมสัมผัสถูกแผ่นหลังของเธอ เสียงลูกบิดประตูทางเข้าซึ่งอยู่ใกล้ตัวพวกเราก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของคนแปลกหน้าสองคน

            “เซอร์ไพรส!!”

            ...เออะ...เข้าห้องผิด?...

            ไม่ไม่ไม่ ผมว่าไม่น่าใช่ ที่นี่ระบบความปลอดภัยแน่นหนาจะตายจะเข้าห้องได้ก็ต่อเมื่อมีคีย์การ์ด แล้วคนที่จะมีคีย์การ์ดที่ห้องนี้ได้ก็มีแต่...

            โจทย์นี้ตีไม่ยาก ผมแค่ขาดเวลาให้คิด แล้วกว่าผมจะได้คำตอบก็โดนแทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน

            “มันเป็นใคร” ผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาดูคุ้นเคยอย่างประหลาดเอ่ยขึ้น

            “ฟ้า” สาบานได้เลยว่าคุณน้าคนนี้รู้จักน้องสาวไอ้แทน เพราะเธอกำลังเอ่ยชื่อคนในอ้อมกอดผม อ้าวเฮ้ยคนในอ้อมกอดผม!!

            “ใครน่ะฟ้า” ตัวผมชา กาแฟ โกโก้ โอ๊ยมันใช่เวลามาเล่นมุกมั้ย แต่ผมทำอะไรไม่ถูกแล้วนี่หว่า ได้แต่รอ รอให้คำตอบน้องฟ้ามากระแทกหน้าผม

            “พ่อกับแม่...ฟ้าเองค่ะ”

            “ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆเหมือนคนที่กำลังตีความไม่ถูก ระหว่างนั้นร่างสูงใหญ่ของคุณลุงที่พึ่งเข้าใจว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของน้องฟ้าก็ย่างสามขุมเข้ามา

            “มึงทำอะไรลูกกู!”

            พลั่ก!!

            ภาพตัด...ตายครับ...ไม่เหลือ


[มีต่อด้านล่างค่า]

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
            “อุ..อู๊ย คุณน้าเบาๆหน่อยครับ ผมเจ็บ” บอกตรงตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกใครต่อยหน้ามาก่อน ทั้งที่ผมเฝ้าถนอมฟูมฟักข้อดีเพียงข้อเดียวของตัวเองเอาไว้แท้ๆ แต่ไหงกลับพังทลายด้วยหมัดของหัวโจกใหญ่แห่งตระกูลเกียรติไพศาลได้วะ

            “แล้วไม่บอกแม่ก่อนว่าเราเป็นเพื่อนเจ้าแทน” น้ำเสียงราบเรียบรื่นหู เจ้าของมือที่กำลังจับสำลีจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจิ้มมาที่ปากผมกล่าวเป็นเชิงต่อว่า ก็ใครมันจะไปคิดล่ะครับว่าแฟนคุณน้าจะเล่นพุ่งพรวดเข้ามาอย่างกับขีปนาวุธ นี่ถ้ามีปืนคงยกขึ้นเป่ากบาล เตรียมเอาศพผมไปลอยอังคารที่แม่น้ำเจ้าพระยาได้เลยมั้ง อยากบอกไปอย่างที่คิดแต่กลัวชีวิตจะสั้นเลยได้แต่นั่งตัวหงอแล้วกล่าวน้ำตาคลอว่า

            “ขะ...ขอโทษครับ” ปาดปลายหางตาแป๊บ เรียกคะแนนสงสารหน่อย

            “อย่ามาทำสำออย ลูกผู้ชายรึเปล่า โดนต่อยแค่นี้ทำร้องไห้” โง้ย มันจะไม่ได้แต้มก็เพราะคนนี้แหละครับ คนที่มีฐานะเป็นถึงพ่อบังเกิดเกล้าของน้องฟ้า ซึ่งก็หมายความว่าเป็นบิดาของไอ้แทนด้วย ไม่ต้องบอกเลยว่าไอ้หล่อมันหน้าเหมือนใคร เคาะออกมาพิมพ์เดียวกันเป๊ะ ตาหูจมูกปากลามไปถึงสันกราม ต่างกันแค่ผู้เป็นบิดาดูภูมิฐานกว่า บวกกับริ้วรอยบนใบหน้าที่มาตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ถ้าอีกยี่สิบปีให้หลัง ลูกชายคุณพ่อยังหล่อประมาณนี้ รับรองคงไม่มีที่ให้ผมแทรกเข้าไป เพราะหัวกระไดคงไม่แห้ง เนื่องจากสาวน้อยสาวใหญ่จะพากันหลงใหลมันไปตามกันเนี่ยแหละครับ

            “แหมคุณก็ หมัดนะคะไม่ใช่หมอนยัดนุ่น โดนเข้าไปปากแตกขนาดนี้มีที่ไหนจะไม่เจ็บกัน เราก็อย่าถือสาเอาความเลยนะพ่อหนุ่ม พ่อเขาแก่แล้วติดคุกติดตารางไปจะได้ไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นเสียเปล่าๆ” ต้นประโยคเธอหันไปเอ็ดผู้เป็นสามี ส่วนท้ายก็หันมาบอกผมโดยที่มือยังคงเช็ดแผลให้ ใบหน้าที่ยังดูอ่อนวัยทำให้ผมได้แต่อุทานในใจว่าแม่ไอ้แทนแม่งหน้าเด็กฉิบหาย ดูห่างจากสามีอยู่หลายโขแต่ยังไม่พ้นความเป็นดีเอ็นเอของบ้านนี้ซึ่งเป็นแบบงานดีไร้ที่ติ

            “ใครใช้ให้มันมากอดลูกสาวพวกเราก่อนทำไมล่ะ!” คุณพ่อขึ้นเสียงจนสำลีของคุณนายเกียรติไพศาลร่วงหลุดจากมือ เริ่มเห็นชะตากรรมย่อมๆที่รอคอยผมอยู่ข้างหน้า ใบหน้าบล็อกเดียวกับลูกสาวหันมาสบตาผมนิ่ง

            “แม่ลืมประเด็นนี้ไปเลย ไหนเราบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าแทนแล้วทำไมถึงมายืนกอดลูกฟ้าตัวกลมตรงหน้าห้องได้ล่ะ”

            ฉิบหายแล้ว

            “เออ...คุณน้าครับเรื่องนี้ผมอธิบายได้”

            “จะแก้ตัวอะไรอีก นอกจากมันกำลังจะล่วงเกินลูกสาวพวกเราน่ะ!” ฮ่วย! ทุบโต๊ะจนผมสะดุ้งเยี่ยวแทบเล็ด คนเป็นพ่ออารมณ์มาเต็มเหมือนเตรียมจะเข่นฆ่า จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาขัดจังหวะ ผมรีบตวัดสายตาไปยังฝ่ายที่ถูกพาดพิงถึง ซึ่งถูกจับแยกไปนั่งจนสุดปลายทาง โดยมีผู้ใหญ่สองคนนั่งกั้นกลางระหว่างเราทั้งคู่ น้องฟ้าสบตาผมแวบหนึ่งก่อนก้มหน้างุดไม่ยอมพูดจาอะไร เฮ้ยไหงผลักภาระมาให้พี่ได้อ่ะ

            “ว่ามาสิเรา อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง” แม่น้องฟ้าเป็นฝ่ายถามขึ้นมาอีกครั้ง

            “อะ...เออ คือ”

            “จะอะไรก็ว่ามา มัวแต่เออคือเออคืออยู่นั่นแหละ” ผมไม่อิคึอิคึก็บุญโขแล้วครับ

            “พะ...พวกผม...”

            “พวกผมอะไร ถ้ายังไม่บอกมา อย่าหาว่าแม่ใจร้ายไม่ห้ามพ่อละกันนะ!”

            “พวกผมกำลังซ้อมบทละครอยู่ครับ!”

            “...”

            “...”

            ผมโพล่งแบบขายผ้าเอาหน้ารอดออกไป บอกได้คำเดียวว่าเลือดอาบครับ อาบแบบสละชีพแถหมดตัวไม่กลัวกินแกลบ ก็ใครจะไปบอกได้ล่ะว่าผมกำลังกอดปลอบใจน้องฟ้าที่เสียน้ำตาให้ผู้ชายที่ทิ้งเธอไปทั้งที่ในท้องมีลูกอ่อนอยู่น่ะ!

            “แม่เริ่มงงแล้ว” แม่น้องฟ้าเอามือแตะหน้าผากตัวเองอย่างสับสน

            “ไม่ต้องงงไปหรอกครับ คือว่าเดี๋ยวอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีละครเวทีประจำคณะ ผมเลยมาขอให้น้องฟ้าช่วยซ้อมบทละครให้”

            “เดี๋ยว หยุดก่อน” เธอยกมือขึ้นมาห้ามผมไว้ไม่ให้อธิบายต่อ “แม่ว่าเราเริ่มผิดประเด็นแล้วล่ะ ก่อนอื่นบอกแม่มาก่อนว่าเราชื่ออะไร”

            “เอ๋?” ผมเอียงคอสงสัย ทำไมมาวกเข้าประเด็นนี้ล่ะ

            “แม่ถามว่า เราน่ะ ชื่ออะไร” เธอเน้นคำหนักแน่นเสียจนผมนึกกลัว

            “ไทม์...ไทม์ชลธี เวชสกุลครับ”

            “เรียนอยู่คณะไหน ปีอะไร”

            “เศรษฐศาสตร์ ปีสองครับ”

            “แล้วเรารู้จักกับฟ้าได้ยังไง”

            “ผมเป็นเพื่อนกับไอ้แทนมัน”

            “เลยรู้จักกับฟ้า”

            “ครับ”

            “เลยให้น้องมาช่วยซ้อมละครเวทีให้”

            “ครับ”

            “แม่จำได้ว่าแทนอยู่วิศวะปีหนึ่งแล้วทำไมไปรู้จักกับเราที่เป็นเศรษฐศาสตร์ปีสองได้ล่ะ”

            “ก็ไอ้แทนมัน...” มัน...อะไรดีวะกูคิดเหตุผลไม่ทัน มันมาเจอผมที่ร้านเหล้าแล้วบังเอิญกระเป๋าผมไม่มีเงินสดงั้นเหรอ หรือมันเคยให้ยืมยางลบก่อนที่ผมจะจบม.ปลาย หรือ...หรือมันตามมาสืบเรื่องน้องสาวเพราะมีข่าวคราวว่าเป็นแฟนเด็กเศรษฐศาสตร์ โอ๊ยจะเรื่องไหนก็บอกความจริงออกไปไม่ได้ทั้งนั้น จู่ๆคลื่นเหียนจากอาการเครียดก็โจมตีผมอีกรอบ รู้สึกเหมือนอยากจะเอาข้าวต้มแซลมอนเมื่อวานออกกะทันหัน ผมกุมท้องป้องปากแล้วลุกพรวดพราดออกไปยังห้องน้ำแบบไม่ฟังอีร้าค้าอีรมอีก

            “อ้าวแล้วนั้นจะไปไหนล่ะ กลับมาคุยกันก่อนสิ!”



            “อุบ...โอ๊กกกกกกกกกก แค่กๆๆ”

            “พะ...พี่ไทม์” ไม่มีปัญญาแม้แต่จะมองผ่านกระจกว่าใครตามผมมาลูบหลังอย่างเอาเป็นเอาตายให้ ผมก้มจนหัวแทบทิ่มอ่างล้างหน้า ขย้อนของเหลวออกมาจากลำคอ ทรมานเหมือนโดนจับบิดลำไส้ งอตัวอยู่สักพักหนึ่งพอเริ่มรู้สึกอาการดีขึ้นจึงเปิดก๊อกน้ำล้างเอาความรู้สึกน่าขยะแขยงจากช่องปากและลำคอไปให้หมด

            “ขอบคุณนะฟ้า” ผมเห็นร่างเล็กแสดงความเดือดเนื้อร้อนใจผ่านกระจกสะท้อนตรงหน้า ที่แท้ก็ฟ้าที่วิ่งตามผมมากับ...คนติดสอยห้อยตามอีกเป็นขบวนสิวะครับ!

            “เป็นอะไรน่ะเราไม่สบายเหรอ”

            “หาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามมากกว่า”

            “พ่อนี่ เด็กมันอ้วกก็เห็นๆอยู่ใครจะไปโกหกถึงขั้นอมอ้วกมาแสดงละครได้ล่ะ ให้ตายสิ”

            คำก็อ้วก สองคำก็อ้วก คำที่สามกูคงพรวดใส่หน้าพ่อแม่บังเกิดเกล้าของไอ้แทนเป็นแน่แท้ หยุดทีเถอะครับ แค่ผมจะอ้วกต้องมีพยานรู้เห็นกันทั้งบ้านขนาดนี้เลยเหรอ ความเป็นส่วนตัวกูอยู่หนายยยยย กูจิร้อง

            “แล้วดูสารรูปเข้า แต่งตัวอย่างนี้อยู่ในห้องกับผู้หญิงสองต่อสองมึงคิดอะไรกับลูกกูเปล่าวะฮะ” พ่อไอ้แทนแม่งสายโหด ไม่สนว่ากลิ่นอ้วกผมจะเหม็นบรมหรือติดมืออะไร เดินเข้ามาคว้าคอเสื้อได้ก็ดันติดขอบอ่าง ผมได้ยินเสียงร้องท้วงจากอีกสองคนที่เหลือว่าอย่าใช้ความรุนแรง แต่ผมไม่ยอมเป็นหมาจนตรอกหรอกเว้ย สืบเท้าถอยได้ก็เบี่ยงซ้ายหลบขวาจนหลุดออกจากห้องน้ำมาถึงโถงกลาง แต่อีกฝ่ายก็ยังตามมาติดๆ อะไรจะหวงลูกสาวขนาดนี้วะ ไอ้แทนทำไมเวลาสำคัญขนาดนี้มึงเสือกไม่อยู่ หายหัวไปปลูกข้าวหรือไง มาช่วยกูสักทีเซ่

            “มึงบอกกูมาตามตรง มึงเป็นอะไรกับฟ้าลูกกู”

            “คะ...คนรู้จักครับ”

            “คนรู้จักบ้าอะไรไม่ให้เกียรติลูกสาวชาวบ้าน มาใส่ชุดบางๆเดินโทงๆอย่างนี้ได้ไงกัน” โอ๊ย ก็ลูกพ่อให้ผมใส่ ใช่ว่าผมเต็มใจสักหน่อยนี่หน่า “แล้วนี่อะไร”

            “ครับ?” สายตาพ่อไอ้แทนแปลกไป อาการตื่นตกใจแฝงมาทางสีหน้าจนผมเริ่มรู้สึกไม่สู้ดี

            “รอยแดงๆบนคอแกนี่มันอะไรกันฮะ! มึงบอกมาเลยนะว่ามึงเป็นแฟนลูกกูใช่มั้ย!!”

            เชี่ย! กำปั้นนั่นคือพ่อจะลงหมัดกับผมอีกรอบใช่มั้ย งานนี้ได้มีหน้าแหกแน่ๆ เพราะผมห้ามไว้ไม่ทันแล้ว!!

            “ดะเดี๋ยว!!หยุดก่อนครับคุณพ่อ ใช่ก็ใช่ครับ!ผมยอมแล้ว” อย่าต่อยโผ้มมมมมม




            ตุบ!!

            เสียงหนักๆเหมือนมีอะไรตกลงพื้นอย่างจัง

            ยัง ยัง อย่าพึ่งเข้าใจผิด ไม่ใช่ตัวผมที่โดนคุณพ่อไอ้แทนมันยำเละ เพราะผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรสักนิด หรือว่านี่ผมจะตายด้วยจุดสามห้าเจ็ด สิบเอ็ดมม. แล้วมาเกิดใหม่ยังปรโลกแล้ววะ ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาที่หลับลงด้วยความกลัว ได้แต่ภาวนาไม่ให้ภาพตรงหน้าเป็นยมฑูตที่กำลังจะมาลากวิญญาณผมไป จนในที่สุดผมก็ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

            “โคตรหล่อเลยว่ะ” สาบานเลยว่าถ้าเป็นยมทูตเวอร์ชั่นนี้ผมยอมเป็นผีไม่ไปผุดไปเกิดที่ไหนเลย

            “พ่อจะทำอะไรน่ะ” เสียงทุ้มดังกำราบแต่ไม่คล้ายวาจายังพอมีการนอบน้อมอยู่บ้าง ผู้เป็นบิดาถึงกับอึ้งอยู่เพียงครู่จากการกระทำของบุตรที่ยกตัวเข้ามาขวางเป้าหมายหลักไว้แทบมิดร่าง

            “จะทำอะไรก็ต่อยมันดิวะ”

            “ต่อยทำไมครับ”

            “มันกำลังจะคิดไม่ดีไม่ร้ายกับน้องแกนะไอ้แทน”

            “น้องว่าอย่างนั้นเหรอครับ” สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปที่น้องฟ้า เธอส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวเบาๆ

            “เปล่าค่ะ” คำเดียวเล่นเอาผู้เป็นบิดาหน้าเจื่อนลงถนัดตา ไอ้แทนเลยถือโอกาสเอื้อมมาปลดมืออีกฝ่ายให้คลายจากเสื้อกล้ามผม

            “ปล่อยเถอะครับพ่อ ใจเย็นๆก่อน”

            “แกไม่เห็นรอยแดงประหลาดๆตามตัวมันเหรอไอ้แทน”

            “รอยนั่นผมเป็นคนทำเองครับ”

            “!!!”

            ขอโลงจำปาไม้สัก ฝังมุก ขนาดห้าฟุตคุณภาพดีบริจาคให้ผมฟรีๆทีครับ ผมไม่มีที่ไปแล้ว ตายอย่างสงบศพมีรอยคิสมาร์ก ฮือออ

            “แกพูดบ้าอะไรฮะ ไอ้แทน นั่นมันรอยจ..”

            “ผมก็หวงฟ้าพอพอกับพ่อนั่นแหละ ผมเลยให้พี่ไทม์แสดงความบริสุทธิ์ใจ เจ้าตัวเลยยอมไปนอนนอกระเบียงทั้งคืนโดนยุงหามจนพรุนไปหมด”

            เออใช่ดิ ยุงตัวเท่าควายด้วย มันตามตอดถึงร่องก้น ต้นขาด้านในไม่เหลือที่ไว้ให้ผมเป็นเอกราชเลยล่ะ โอ้ยแถไปได้ แต่มันก็ช่วยต่อชีวิตที่เริ่มริบหรี่ของผมให้พอมีหวังล่ะนะ

            “แล้วสรุปมันเป็นแฟนฟ้าใช่มั้ย”

            “...”

            ไอ้แทนเงียบใส่ผู้เป็นพ่อแล้วเหลือบตามองมาทางผม ก่อนเอ่ยประโยคให้ได้ยินกันแค่สองคน “พูดอะไรไม่รู้จักคิด”

            ฮะ? มันหมายความอะไร

            “ว่ายังไง” ผู้เป็นบิดายังคงเค้นความต่อไป ทำให้ร่างสูงต้องหันไปเผชิญหน้าแล้วเปล่งประโยคหนึ่งออกมา ที่ทำให้ผมนั้นแทบช็อกทั้งยืน

            “ใช่ พี่ไทม์เป็นแฟนลูกพ่อ แต่ไม่ใช่ฟ้า เป็นคนที่ตรงหน้าพ่อไง”


TBC

+++++++++++++++++++++++++

 :katai4: :katai4: :katai4:

คุณ mild-dy :   :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)}

บทที่ 20 วันพระ

 

            ใครกันแน่ที่พูดอะไรไม่รู้จักคิดวะ!!

 

            ผมยกมือจับแขนเสื้อของร่างสูง กระตุกเรียกร้องความสนใจสุดชีวิต ภาพตรงหน้าตอนนี้ผมเห็นเพียงแผ่นหลัง ลำคอและหัวทุยๆของไอ้แทน บดบังทัศนียภาพชะมัด!พยายามขยับศีรษะออกไปให้พ้นจากกำแพงยักษ์ที่กั้นร่างเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมามุดหัวหลบแผ่นหลังกว้างอย่างเก่า อย่าให้ผมเล่าเลยว่าผมไปเห็นอะไรมา

            “นี่แกพูดจริงใช่มั้ย” นั่นไง กูว่าแล้ว จากจะช่วยให้กูรอดกลับจะเร่งให้กูตายไวกว่าเก่าเนี่ยดิ จากสีหน้าท่าทางที่เห็นเพียงแวบเดียวของพ่อไอ้แทน โคตรไม่รับประกันความปลอดภัยเลยสักนิด

            “วันนี้วันพระ” เสียงทุ้มนุ่มต่ำแจงประโยคชวนอุปทานหมู่ให้ทั้งผม น้องฟ้า และปะป๊ามะม้าของไอ้แทนหันไปดูปฏิทินข้างฝามองหารูปองค์พระ เพื่อยืนยันคำบอกเล่าของไอ้หล่อพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

            ...ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด...

            “จงเซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ”

            “ไม่ใช่แล้วพี่” ไอ้แทนหันมาดีดกะโหลกผมดังป๊อก

            “โอ๊ย เจ็บนะมึงทำอะไรน่ะ”

            “เจ็บน้อยกว่าโดนพ่อผมต่อยเยอะ”

            “ก็จู่ๆมึงก็พูดถึงวันพระ” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อยๆ

            “แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะ”

            “วันนี้วันออกพรรษา”

            “จะชวนผมไปตักบาตรเทโว”

            “จะบ้าเหรอ ก็มึงพูดขึ้นมาเองว่าวันนี้วันพระ”

            “หึ ถ้าไม่พูดอะไรให้มันเชื่อมโยงกว่านี้ ผมจะเปลี่ยนที่พี่พูดจาก ฮอ นกฮูก เป็น ยอยักษ์ แล้วก็ฟัดมันตรงนี้เลยดีมั้ย”

            “เชี่ยแทน!” มันรวบเอวผมเข้าไปกอดกะทันหัน ผมเลยต่อยต้นแขนมันไปหนึ่งหมัดเป็นการลงโทษ พูดจาสัปดนฉิบหายไม่อาย...อาย...

            โว้ยยยยยยย หกตาสามคนตรงนี้เลยนะคร้าบบบบ

            “พะพะพะ...” ผมติดอ่างรัชดาเลี้ยวขวาเข้าพัฒน์พงษ์ ในหัวก็คิดว่าระหว่างแกะมือของไอ้แทนออกจากเอว กับตีปากตัวเองที่มันสะดุดเป็นแผ่นหนังกระตุกผมควรจะทำอะไรก่อนดีวะ โอ๊ยเครียด สับสน ฮือ

            “นี่พวกเราสองคนพึ่งคบกันใช่มั้ยเนี่ย” คุณนายเกียรติไพศาลถามขึ้นมาจนผมสะดุ้ง

            “ใช่ครับ/เปล่าครับ!” หันหน้าไปทางเจ้าของคำถามพร้อมกัน คนหนึ่งพยักหน้าอีกคนนึงส่ายหัวหวือจนแทบหลุด ก่อนถูกมือใหญ่ล็อคคางบีบแก้มจนแทบปลิ้น

            “เดี๋ยวก็ปวดคอหรอก”

            “จะคอใคร มันก็คอกู”

            “แต่ผมเป็นห่วง”

            “ใครใช้ให้มึงเป็นห่วง”

            “ผมสั่งใจใช้สมองให้เป็นห่วงพี่”

            ฮิ้วววววว ผมหน้าแดง แต่มันใช่เวลาป่ะ!!

            ในเมื่อจัดการกับคนลูกไม่ได้ก็ต้องมาเอากับคนแม่ในสภาพที่หน้าแดงๆอย่างนี้แหละครับ

            “คุณน้าครับ อย่าไปเชื่อไอ้แทนมันนะ”

            “แต่แม่เชื่อลูกแม่นะ”

            “...!”

            “วันนี้ลูกแทนของแม่ไม่พูดโกหก”

            “คุณน้ารู้ได้ไงครับว่าไอ้แทนมันไม่พูดโกหก”

            “ก็วันนี้วันพระ”

            หา?

            “ทุกวันพระลูกแทนจะถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด ไม่เคยนอกลู่นอกทาง”

            ถุยยยยยย อย่างนี้นี่เองปล่อยกูงงตั้งนาน เกือบชวนกันไปตักบาตรนอกสถานที่แล้วไง

            “ตะ...แต่คุณน้าครับ ผมก็ไม่ได้โกหกคุณน้านะ” ผมกัดลิ้นตัวเองเถียง จะตกนรกสมรภูมิมอดไหม้มันก็วันนี้แหละ

            “หนูแค่ลืมรึเปล่าว่าคบกับลูกแทนแล้ว”

            โอ้ย เป็นงั้นไปได้ ฮือออออ ฟังผมบ้างดิคุณน้า

            “ถ้ามึงไม่โกหก งั้นที่บอกว่าเป็นอะไรกับลูกฟ้าก็เป็นเรื่องจริงอย่างงั้นเหรอ!”

            “!!!” หัวโจกแก๊งบ้านเกียรติไพศาลโพล่งออกมาทะลุกลางปล้อง เหมือนพยายามจ้องหาจังหวะอยู่นาน ยามศัตรูเปิดช่องว่างค่อยยิงจุดตายให้วายชีวา

            ผมตัดสินใจพลาดที่เหลือบไปมองรอบสอง สายตาบิดาไอ้แทนมันไม่ปกติ เล่นเอาเสียวสันหลังวาบลามไปถึงง่ามขา ทั้งที่เมือกี้พอเล่าถึงวันพระ เอาธรรมะเข้าช่วย ก็ดูเหมือนคลายความเครียดขึงลงได้แล้วแท้ๆ แต่พอวกกลับมาเรื่องลูกสาวอย่างเก่าทำเอากูพูดไม่ออกเลย ทำไมดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมวะ

            “สรุปเป็นยังไง กูจะได้จัดการกับความรู้สึกถูก” จัดการกับความรู้สึกหรือจัดการกับผมครับคุณอา!!ผมล่อกแล่กพยายามหาทางรอดสลับกลับมามองไอ้แทน

            เอิ่ม...หน้ามันเหมือนกำลังดูหนังนอกกระแส แปลไม่รู้ภาษา เลยปลงว่าเลิกดูดีกว่า แล้วหลับในน่ะ!!

            “อะ...ไอ้แทน” ผมเสียงอ่อย เหมือนคนหมดหนทางรอด สักพักก็เหมือนเห็นภาพหลอนริมฝีปากบางเฉียบตรงหน้าขยับขมุบขมิบไปมาให้เห็น

            “พ่อเขาหวงฟ้ามากกว่าผม” ไอ้หล่อมันกระซิบปล่อยคำสำคัญให้ผมฉุกใจคิดขึ้นมา

            หวงน้องฟ้ามากกว่ามัน...

            หวงน้องฟ้า...หวงมากกว่า...

            “ไอ้แทน”

            ผมขยับสายตาที่หลุบต่ำเงยสบตาคมของมัน ทำไมกูรู้สึกปลื้มปริ่มในใจราวกับมีคนโยนเชือกมาให้ยามเกาะอยู่ปากเหวอย่างนี้วะ ปลื้มมากถึงกระทั่งน้ำซึมรื้นขึ้นสองตา ยื่นมือไปประคองใบหน้าหล่อเหลาให้หันมาสบนิ่ง สีหน้าตื่นตกใจเหมือนพึ่งตื่นจากหลับในยามผมแตะเนื้อต้องตัวทำเอาถึงกับนึกขัน

            “ขอบใจมึงนะ” แล้วก็ขอโทษมึงด้วยที่กูเอาตัวรอดด้วยวิธีการนี้ จบประโยคผมทิ่มหน้าเข้าหามันแบบไม่สนใจสิ่งใดอีก ทำเอาคนตัวสูงเบิกตาโต ตัวแข็งค้างปล่อยให้ผมกระทำการสัมผัสปาก...เออคือ ใช่ ผมจูบมัน เม้าทูเม้าเนี่ยแหละ ต่อหน้าสักขีพยานอีกสามฝ่าย จบละกัน ผมขี้เกียจบรรยาย แต่โอ๊ย เจ็บปากว่ะ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรั้นที่จะทำต่อ

            “อืม” เสียงกลั้วคอ เปลือกตาที่หลับพริ้ม กับรอยยิ้มพึงพอใจ ทำให้ผมรู้ว่าไอ้แทนมันสมยอมตั้งแต่ตอนแรกด้วยซ้ำ ผมถอนหน้าออกจากมันแต่ยังประคองแก้มที่มีไรหนวดอ่อนๆไว้

            “ขอบใจมึงวะ ขอบใจจริงๆ” ผมอยากจูบไอ้แทน แค่นั่นเองไม่มีอย่างอื่น ในเมื่อโอกาสมันหยิบยื่นมาให้ผมก็ขอรับไว้ด้วยการลวนลามมันนิดมันหน่อย แล้วอาศัยโอกาสนั้นเป็นข้ออ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าฉวยโอกาสรึเปล่าวะ

            “ผมได้กำไรมากกว่า พี่ไม่ต้องขอบใจผมหรอก” สุดหล่อยกยิ้มที่มุมปากเล่นเอาใจผมละลาย เฮ้ย ใจเย็นพวก นี่มันแค่การแสดง!

            “ถ้าเป็นแฟนกับเจ้าแทนก็แล้วไป” ร่างภูมิฐานพูดพร้อมกับถอนหายใจ

            “นั่นสิคะ ทำให้ตกใจแทบแย่” ส่วนคุณนายหน้าใสก็ได้แต่ยกมือทาบอกราวกับยกภูเขาออกได้

            เฮ้ย ทำไมมันง่ายอย่างนี้วะ!!แถมไม่มีท่าทีกังขากับการที่ผมมาจูบโชว์ต่อหน้าทุกคนด้วย

            ร่างสูงปรายตาไปทางผู้เป็นบิดามารดาโดยไม่ให้ทั้งคู่รู้ตัว เก็บอาการทางสีหน้าไว้ชั่วครู่ ก่อนยกแขนมาเกี่ยวคอผมเข้าไปใช้หน้าสัมผัสข้างแก้ม แล้วเปล่งเสียงทุ้มเบากระซิบข้างหู “เป็นไงล่ะ เหมือนอย่างที่ผมบอกมั้ย”

            “หวงน้องมึงจนไม่สนใจว่าลูกชายจะคบกับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ” ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามกลับไปตามที่สงสัย

            “อิสระที่แลกมากับความดื้อรั้น”

            “..."

            “ผมเป็นเด็กดื้อ พ่อกับแม่เลยไม่ค่อยเอ็นดูเท่าไร ความซวยเลยไปตกกับน้องฟ้า พอฟ้าเกิดมาพวกท่านเลยเคร่งครัดเป็นพิเศษ ส่วนผมก็ตามมีตามเกิด แต่พวกท่านก็ยังกลัวว่าจะไปก่อเรื่องให้ใครเขาวุ่นวาย เลยให้ปฏิญาณตนว่าจะถือศีลห้าทุกวันพระแลกกับอิสะที่ได้มา ถ้าผิดสัญญาให้ตกนรกไม่ได้ไปผุดไปเกิด”

            “ถ้างั้นมึงคงไม่ได้ไปผุดไปเกิดแล้วล่ะ”

            “ทำไมล่ะ”

            “มึงเคยโกหกกู”

            “นั่นไม่ใช่วันพระ”

            โว้ย กูอยากให้วันพระมีสามร้อยหกสิบห้าวันก็วันนี้

            “แต่วันนี้ผมจะตกนรกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพี่แล้วนะ”

            “ฮะ?”

            “ก็ผมบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าเราคบกัน”

            “เรื่องอะไรวะ”

            “โทษทีผมยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องเลยน่ะ เอาเป็นเรื่องมายแซสซี่บอย พี่ไทม์ตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยมดีมั้ย”

            “สัดละ อย่านอกเรื่องดิ”

            “กำลังเหมาะเลยช่วงนี้พี่กำลังอ้วกๆอยู่ด้วย เหมือนตอนนางเอกเจอพระเอกเป๊ะ”

            “ไม่เหมือนเว้ย...เพราะกูไม่ได้เมา อื้ออ” จู่ๆก็โดนจู่โจมกะทันหัน ปากโดนประกบโดยฉับพลันทำเอาผมสติกระเจิง ร่างสูงก้มหน้าและกดลงมานิ่งๆ ผมพยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้น จนในที่สุดเจ้าตัวก็ยอมถอนออกไปเอง

            “เอาคืน ที่ฉวยโอกาสกับผม”

            “คะ...คะ”

            “หืม?”

            “ใครฉวยโอกาสกันวะ!!” จากที่จะให้เจ๊ากับครั้งจุมพิตจิตอาสาไล่พี่โชให้โกอเวย์ กลายเป็นว่าผมต้องแก้แค้นมันคืนอีกหนึ่งจูบเหรอเนี่ย

            โอ้ย ผมจะบ้า ตอนนี้ผมจินตนาการหน้าตัวเองไม่ถูกเลย ป่านนี้คงเก็บอาการไม่อยู่จนกลายเป็นปูสุกหรือกุ้งต้มแดงเถือกไปหมดแล้วมั้ง

            “นี่ สองคนนั้นน่ะ จะนัวเนียกันอีกนานมั้ย”

            “...!!” คำท้วงดังมาแต่ไกลทำใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม ผมรีบตวัดสายตามองไปทางต้นเสียงก็ให้ได้แปลกใจ อ้าว นั่นคุณนายกับน้องฟ้าและบิดาของไอ้แทนไปนั่งแสตนด์บายที่โต๊ะอาหารตั้งแต่เมื่อไรวะ ปล่อยให้ผมกับไอ้แทนเล่นละครโรงเล็กกันสองคนตรงนี้อยู่ได้

            “ไหนยัยฟ้าบอกว่ายังไม่มีใครกินข้าวเช้ากันเลยสักคน พ่อกับแม่ขนมาเพียบเลย รีบมากินเร็ว” นายแม่...ผมขอเรียกว่าอย่างนี้นะ เพราะแม่ไอ้แทนแม่งโคตรเหมือนคุณนายสั่งได้เป็นสั่ง เธอกวักมือเรียกพวกผมให้รีบเข้าไปนั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้า

 

            ทำไมเหมือนจากฝันร้ายดันกลายเป็นครอบครัวสุขสันต์ได้ล่ะเนี่ย...ผมล่ะเพลีย...

 

 

 

 

            “โถ...คงกลัวมากสินะ...ขวัญเอ๊ยขวัญมา เอานี่กินเยอะๆนะจ๊ะ”

 

            นี่ผมหลุดเข้ามาอีกมิตินึงเปล่าวะ หลังจากที่โดนหลายฝ่ายกดดันให้ไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน ผมก็รีบเผ่นไปเอาเสื้อผ้าชุดนักศึกษาที่ซักตากแห้งไว้เมื่อวานมาใส่ กันใครต่อใครโดนทำร้ายทางสายตา แล้วเดินกลับมาหย่อนก้นลงข้างตัวไอ้แทน

            อาหารจำนวนมากมายมหาศาลวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ครบเครื่องทั้งคาวหวานผลไม้ล้างคอ ผมกวาดตามองไล่เรียงไปทีละอัน เริ่มต้นด้วยน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอดหน้างอคอหัก แกงเขียวหวานไก่ชวนน้ำลายสอ หมูฝอยทอดหน้าตาหน้าทาน ตามด้วยส้มตำและก็ เอ่อ...

            “ข้าวมันส้มตำจ๊ะ” คุณน้าจับทัพพีตักข้าวสีสวยม่วงอ่อนดอกอัญชันมาใส่จานผม กลิ่นหอมมันของกะทิลอยมาเตะจมูก ส่งผลให้ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนร้องประท้วงอยู่กลายๆ

            “น่าทานจังเลยครับ” กับคำชมที่ผมหลุดออกไปตามสัญชาตญาณคนหิว ทำให้เธอยิ้มทั้งตามาทางผม ราวกับยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผมสนอกสนใจเมนูอาหารของเธอ ถึงปากจะเจ็บแต่ก็ทนเก็บอาการโหยไม่ไหว ก็แหงสิ ผมพึ่งเอาข้าวต้มแซลมอนออกไปนะอย่าลืม

            “ปลาทูอันนี้แม่ไปซื้อมาจากแม่กลองเลยนะ” ปลาทูขนาดกลางถูกทอดจนเหลืองกรอบน่าทาน คุณน้าหยิบขึ้นมาบรรจงแกะก้างแล้วนำเนื้อมาใส่จานผม

            “ขอบคุณครับ”

            “ข้าวมันส้มตำก็ตามชื่อ ต้องกินคู่กับส้มตำหมูฝอย” ผมตักทุกอย่างมารวมกันในจานตามคำบอกเล่า กะขนาดพอดีคำแล้วนำเข้าปาก ทันทีที่ข้าวมันสีดอกอัญชันสัมผัสลิ้นเท่านั้น

            อือหือ นี่มัน...

            “สุดยอด อร่อยชะมัด” ผมตาโตมองไปยังคนที่หอบหิ้วอาหารทั้งหลายแหล่เหล่านี้เข้ามาอย่างทึ่งๆ ทั้งที่ในปากยังเคี้ยวตุ้ยๆไม่หมดคำ แต่ความอร่อยล้ำแม่งชำแรกแทรกเข้าไปในลิ้นแล้ว อร่อยฉิบหายวายป่วง ตอนแรกได้ยินชื่อว่าข้าวมันก็คิดว่าจะเหมือนข้าวมันไก่ แต่ที่ไหนได้รสชาติกลับแปลกออกไปมีความหวานมันเค็มผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว ให้กินเปล่าแบบไม่ต้องผสมหมูฝอยยังอร่อยเลย

            “ทั้งหมดบนโต๊ะน่ะ ฝีมือแม่เขา” คุณอาพ่อไอ้แทนบอกกล่าวพลางจุดยิ้มที่มุมปากราวกับภูมิใจที่ได้เมียดี แล้วบุ้ยใบ้ไปทางคุณแม่หน้าสวยที่ตอนนี้ยิ้มจนแก้มแทบปริไม่ต่างกันเมื่อได้รับคำชม เอาล่ะผมเจอคนอวดเมียหนึ่งหน่วยแล้ว

            “เผอิญอยู่บ้านว่างๆเลยนั่งวิจัยอาหาร ฝึกทำทานเอง ถ้าลูกไทม์ไม่บอกแม่ก็ไม่คิดหรอกนะว่ามันจะอร่อยขนาดนี้ คนที่บ้านแม่แต่ละคนเหมือนคนปกติซะทีไหน ปากแข็งกันทั้งนั้น วันๆเอาแต่นั่งกินไม่มีเอ่ยปากชมซักคำ”

            “จริงเหรอครับ แต่ผมว่ามันอร่อยออกนะ ถ้าผมนั่งกินอยู่คนเดียวต้องบ้าตายแน่ๆเลย มันอร่อยมาก อร่อยจนต้องระบายให้คนอื่นฟัง เพราะทนเก็บความรู้สึกอร่อยนั้นไว้ในใจไม่ไหว”

            “โอ๊ย ปากหวาน ชมกันขนาดนี้ แม่ปลื้มจนตัวลอยแล้วนะ” คุณแม่ตีแขนผมดังป้าบแก้ขัดเขิน แล้วตักกับข้าวใส่จานผมเป็นการใหญ่

            “แม่นี่โชคดีจังเลยนะครับ ผมล่ะอยากให้พี่ไทม์บอกกับผมอย่างนี้บ้างจัง แบบชอบผมมาก ชอบจนต้องระบายให้คนอื่นฟัง เพราะทนเก็บความรู้สึกชอบนั้นไว้ในใจไม่ไหว”

            เคร้ง!!ผมเผลอปล่อยช้อนส้อมหลุดจากมือ

            ทำลายบรรยากาศฉิบหายเลยแม่งไอ้เชี่ยแทนนนนน

            “จากปากหรือจะสู้ดูที่การกระทำ ไม่ต้องห่วงไปหรอกจ่ะ แค่แม่มองตาลูกไทม์ก็พอจะเห็นแววความรักที่มันเอ่อล้นออกมาให้ลูกแทนแล้ว” ใครว่าอย่างนั้นครับคุณน้า ดูผิดเปล่า นี่มันขี้ตา!!ผมยังไม่ได้ล้างหน้ามา!!

            “หึ ดูรักผมมากซะด้วย จ้องซะ” อยากชูนิ้วกลางให้ แต่ผมต้องไว้หน้าพ่อแม่มัน เลยนั่งเคี้ยวมะเขือเปราะในแกงขียนหวานต่อไป พยายามท่องไว้ว่ายุบหนอพองหนอ แล้วดูเหมือนว่าร่างสูงจะรู้ตัวว่าผมอารมณ์ชักกรุ่นเลยเริ่มเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ว่าแต่ทำไมวันนี้พ่อกับแม่ถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ ทั้งที่เมื่อวานนี้...”

            “จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เมื่อวานนี้พอหลังจากวางโทรศัพท์ แม่แกก็นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างรอให้ลูกมาหาก็สู้ไปให้เห็นหน้าเลยดีกว่า เลยตื่นมาแต่เช้าทำกับข้าวเสียเยอะแยะ แล้วขนมาที่นี่อย่างที่แกเห็นไง” พ่อของไอ้แทนเฉลยคำถามที่จบลงแบบค้างๆคาๆให้อีกฝ่ายฟัง หรือว่าเมื่อวานตอนทานข้าวต้มปลาพ่อแม่ของไอ้แทนมันจะโทรมาจริง ผู้เป็นบิดามารดาคงจะถามตามประสาคนคิดถึงลูกว่าจะกลับบ้านมาช่วงสุดสัปดาห์รึเปล่า แต่ไอ้แทนคงปฏิเสธไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

            “ก็เห็นว่าติดสอบกัน แม่ก็กลัวว่าจะมัวแต่อ่านหนังสือจนลืมหาข้าวหาปลากินน่ะสิ ดูยัยฟ้าสิตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโดก็มีแต่จะผอมลงเรื่อยๆ ตาก็โหล หน้าก็ซีด นี่คงไม่ใช่มัวแต่อ่านหนังสือจนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนหรอกนะ” คราวนี้คุณน้าไปให้ความสนใจกับน้องฟ้าที่นั่งเขี่ยอาหารไปมาบนจานข้าวอย่างนึกห่วง คนเป็นแม่เริ่มประเคนอาหารที่เธอพอจะสามารถตักให้ลูกทานได้ลงบนจานอีกฝ่าย

            ลูกคุณแม่ไม่ได้อ่านหนังสือจนไม่ได้หลับได้นอนหรอกครับ แค่คิดถึงแฟนที่หายหัวไปต่างหาก เมื่ออาทิตย์ก่อนเธอยังหน้าใสสวยสะพรั่งตามประสาดรัมเมเยอร์ประจำโรงเรียนอยู่เลย แต่ที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ก็เพราะไอ้แม็คคนเดียวนี่แหละ ความรักหนอช่างทำร้าย

            “คราวนี้แม่ไม่ยอมให้ลูกแม่หิวจนโทรมแน่ๆ กินให้อิ่มนะลูกฟ้า วันนี้แม่ทำของหวานมาด้วย” น้องฟ้าได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ อย่างน่าเป็นห่วง

 

            ปลาแห้งแตงโม ของหวานล้างปากที่แสนจะดีงาม แปลกดีที่ผมไม่เคยเห็นใครเอาผลไม้มากินกับของคาวแบบนี้มาก่อน แตงโมแต่ละชิ้นถูกตัดเป็นสีเหลี่ยมลูกเต๋าบรรจงเอาเมล็ดออกจนเกลี้ยงแล้วโรยด้วยปลาแห้งเคล้าน้ำตาลกับหอมเจียว ผมตักขึ้นมาหนึ่งคำอย่างระมัดระวังก่อนยัดเข้าปากในคำเดียว

            เชี่ย...เอาอีกแล้ว...

            “อร่อยจัง” ผมเคี้ยวตุ้ย อดยิ้มแบบโคตรฟินไม่ได้ รู้สึกตัวเองโคตรโชคดีที่ได้มากินของอะไรอร่อยขนาดนี้

            “แทน แฟนแกนี่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง”

            หา?

            เพลินกับอาหารจนลืมสนใจอาการของคนรอบข้าง เมื่อกี้แม่ไอ้แทนว่าอะไรนะ

            “หึ...น่าเอ็นดูขนาดนี้ แม่ต้องรักให้มากๆนะครับ” ร่างสูงยิ้มๆ มองมาทางผม ส่วนผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เอาเถอะจะสนใจไปทำไม มาให้ความสำคัญกับของกินตรงหน้าดีกว่าครับ

 
[มีต่อด้านล่างค่ะ]
 

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

            หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็อาสาเป็นมือเก็บกวาด ยกจานชามทั้งหมดมาตรงอ่างล้าง แล้วเริ่มเขี่ยเศษอาหารลงถุงขยะ ตอนแรกคุณน้าไม่ยอมเสียด้วยซ้ำแถมบ่นร่ำๆว่า เราเป็นแขกจะให้มาทำแบบนี้ได้ไง แต่สุดท้ายก็ทนความดื้อแพ่งของผมไม่ไหวเลยสั่งให้ไอ้แทนมาเป็นลูกมือเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย

            “พี่ไม่เห็นจำเป็นต้องยุ่งยากเลย” ไอ้แทนที่ยืนเยื้องออกไปทางซ้ายมือ กอดอกพิงเคาน์เตอร์ครัวมองมาพลางกล่าวท้วง พอจัดการกับเศษอาหารเสร็จผมก็รวบจานลงอ่าง เปิดน้ำให้ไหลผ่านแล้วเริ่มหยิบมาล้างที่ละใบ

            “แม่กูสอนมาว่าอยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ทานข้าวบ้านเขาแล้วต้องรู้จักสำนึกบุญคุณช่วยเขาเก็บล้างด้วย”

            “แต่บ้านท่านก็บ้านแม่ผม ส่วนลูกท่านก็ผมไง พี่จะปั้นโคยให้ผมเล่นเหรอ”

            แก๊ง!!

            เชี่ย!!ชามหลุดจากมือจนเกือบไปจูบก้นซิงค์ ดีนะที่คว้าไว้ได้ทันเลยประคองไว้ได้ในช่วงโค้งสุดท้าย

            “ไอ้แทนมึงพูดดีๆ ปั้นควายเว้ย ควายอ่ะ ไม่ใช่โคย มึงอย่ามาทำตัวตกภาษาไทยเอาตอนนี้ ไอ้เด็กจบนอก”

            “หึ...ก็เมื่อวานผมมัวแต่ปั้นคนเดียว พี่ยังไม่ทันช่วยผมปั้นก็สลบไปซะแล้ว ผมเนี่ยโคตรเสียดาย แต่เอาเหอะไว้คราวหน้าค่อยมาร่วมสร้างปั้นละกันนะ”

            “คะ...คราวไหนกูก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ!” พูดซะภาพบนเตียงเมื่อวานหลุดมาเป็นฉากๆ เมื่อวานกูไม่น่าทำลงไปเลย พลาดของแท้ ฮือ

            “พี่นี่ได้ใจพ่อแม่ผมไปเต็มๆเลยนะ” จู่ๆไอ้แทนก็เปลี่ยนเรื่องมาพูดในสิ่งที่ผมสงสัย ผมเลยหยุดมือ ปิดก๊อกน้ำแล้วหันมามองหน้าร่างสูงตรงๆ

            “เนี่ยแหละที่กูประหลาดใจ ตอนแรกทำอย่างกับจะฆ่ากูให้ตาย ที่ไหนได้ตอนนี้กลับใจดีซะ ถ้าปากกูไม่เจ็บอยู่กูคงนึกว่าเมื่อกี้กูฝันไป”

            “ไม่แปลกหรอกแม่ผมชอบเด็กขี้อ้อน เพราะผมดื้อมาตลอดไง พอเจอพี่อ้อนเข้าหน่อยเลยโอ๋เอาง่ายๆ แล้วพ่อผมก็เป็นคนโอนอ่อนผ่อนตามแม่ เมียว่าดีพ่อผมก็ว่าดี เรื่องมันเลยเป็นอะไรที่ง่ายขึ้น ผมว่าดีเอ็นเอนี้มันถ่ายทอดมาถึงผมด้วยนะ ทำไมไม่อ้อนผมบ้างล่ะ ผมก็ชอบคนขี้อ้อน ใจผมมันอ่อนลงได้ง่ายๆเลย” ไอ้หล่อยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะให้ผมเลียอย่างหมา ผมเลยมองขวับตาขวางใส่อย่างไม่ปรานี

            “ปัญญาป่ะที่อ่อน” อย่ายิ้ม มึงอย่ายิ้ม โดนด่าแล้วยิ้มกูจะหาว่ามึงเป็นบ้านะ

            “ความจริงก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แม่ผมแพ้ผู้ชายหน้าหวาน ช่วงนี้เห็นเริ่มกำลังเป็นติ่งเกาหลีอยู่ด้วย”

            หวาน? หน้าใครหวานวะ

            “หน้าพี่นั่นแหละ ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจไป ที่บ้านมีกระจกรึเปล่า หัดส่องบ้าง”

            “กูส่องทุกวันเว้ย แล้วอย่างกูเขาเรียกว่าหล่อไม่ได้เรียกว่าหวาน”

            “ถ้าพี่หล่อแล้วอย่างผมเรียกว่าอะไร” อึ้งไปเลยครับ ตอบไงดีวะ ถ้าเอาตามที่ผุดในหัวขึ้นมาแวบแรกคือ หล่อ มึงอ่ะหล่อมาก หล่อวัวตายโคยล้ม...ไม่ล้มดิ ตั้ง แต่ให้ผมชมมัน...ฝันไปเหอะ

            “เถื่อน สถุล จังไร ไร้ความเมตตา ขี้บังคับ...”

            “อยากให้ผมเป็นแบบนั้น?” ไอ้หล่อเลิกคิ้วหรี่ตามองผม

            “ที่ว่ามาตรงข้ามกับตัวมึงหมดเลย พอใจยัง” กันไว้ดีกว่าแก้ เดี๋ยวจะแพ้พลาดท่าเสียทีแล้วไม่มีปัญญาไปซบหน้ากับไหล่เช็ดน้ำตาที่ไหนอีก

 

 

 

 

 

            ตั้งแต่วันนั้นตลอดสองอาทิตย์กว่า ด้วยความเป็นห่วงน้องฟ้าผมเลยมัวแต่เทียวไปเทียวมาระหว่างคอนโดน้องฟ้ากับบ้านไอ้แทน ช่วงนั้นไอ้เดย์ก็คอยตามสืบว่าไอ้แม็คอยู่ไหน จนพอจะได้ข่าวคราวมาบ้างว่าครอบครัวไอ้แม็คย้ายไปตั้งรกรากที่ต่างประเทศ ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าบิดาโดนย้ายไปประจำการที่บริษัทสาขาอเมริกา ทั้งบ้านมันเลยตัดสินใจย้ายไป แต่ไอ้เดย์มันยังหาทางติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ แล้วข้อมูลที่มันได้ยินมาก็ได้มาจากการไปขอให้เลขานุการคนสนิทของเสี่ยอู๊ดช่วยตามสืบให้แบบนอกราชการ ความคืบหน้าเลยมาอย่างเชื่องช้าแต่รับประกันว่าได้ผลออกมาอย่างถูกต้องและแน่นอน ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการฝากฝังเรื่องไว้กับคนสนิทพ่อไอ้เดย์ คือการที่ว่าต่อให้เป็นเรื่องลับลมคมในขนาดไหนลูกน้องเสี่ยอู๊ดก็สามารถตามสืบไปได้หมด

 

            “แล้วอย่างนี้จะทำยังไงต่อไป”

 

            เสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางวงที่จับกลุ่มพูดคุยในคาเฟ่ประจำมอ มันเป็นเสียงของไอ้เป้งเพื่อนตัวดีของคุณสุรบถ อย่าพึ่งสงสัยครับว่ามันมาร่วมวงได้ยังไง ก็ในเมื่อไอ้แทนมันรู้เรื่องแม็คกับน้องฟ้า แล้วมีหรือที่จะไม่มานั่งรวมกลุ่มปรึกษากับคนสนิทเพื่อร่วมมือกันตามหาคนหายที่บินไกลไปถึงครึ่งค่อนโลกได้ ไอ้แทนเคยบอกผมว่าไม่มีความลับในหมู่เพื่อนมัน มีแต่เรื่องที่ไม่บอกเท่านั้นเพื่อนมันถึงไม่รู้ มันเลยลากเพื่อนมารวมหัวช่วยกันคิดหาทางว่าจะเอายังไงต่อไปดี เพราะอย่างน้อยเพื่อนมันก็มีเส้นสายในหลากหลายวงการอยู่บ้าง

            “ไอ้แม็คมันย้ายไปอยู่เมกา” ไอ้เดย์บอกข้อมูล

            “งั้นพวกเราก็ต้องไปบางนา” ไอ้แตมเสริม

            “ขึ้นบีทีเอสลงสถานีอุดมสุข แล้วจะมีรถชัตเตอร์บัสมารับไปส่งถึงที่ ปรู๊ดดดเดียวถึงบางนา” ไอ้เป้งสมทบพร้อมทำท่าคว่ำมือไถลบินขึ้นไปถึงท้องฟ้า

            สัด!นั่นมันเมกะบางนา แล้วเขามีแต่ชัทเทิลบัสไม่ใช่ชัตเตอร์ มึงจะไปกดติดวิญญาณที่ไหน กูก็เสือกตั้งใจฟังตั้งนาน โคตรเพลีย

            “พวกมึง จริงจังหน่อย” มาแล้วครับเสียงนิ่งๆแต่น่ากลัวอย่างลุ่มลึก ไอ้เสาไฟฟ้ายักษ์ที่มันเกลียดขี้หน้าผมมาโดยกำเนิด แค่มันพูดคำเดียวเท่านั้นแหละขนาดเพื่อนมันยังเงียบกริบ แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ

            “เครียดๆ คิดไปมีแต่หัวจะไม่แล่น มึงก็อย่าเครียดให้มันมากนักเลย เดี๋ยวหน้าจะแก่ก่อนวัยอันควร เอานี่ดื่มโกโก้กูมั้ยเพิ่มน้ำตาลในเลือดจะได้สดใสมีชีวิตชีวา” ไอ้เดย์เอื้อมมือไปโอบไหล่ไอ้โย่ง แถมหยิบโกโก้ปั่นราดช็อคโกแลตไซรัปเอ็กซ์ตร้าช็อกชิพที่มันสั่งยื่นหลอดเข้าไปใกล้ปากมันแบบไม่กลัวตาย ไอ้เสาร์ย่นคอจนคางเกือบหายไปกับหน้าทำตาขวางอย่างกับพร้อมจะฆ่าใครบางคน แต่แล้วมันกลับทำเรื่องที่ผมไม่คาดฝันด้วยการงับหลอดเข้าไปในปากมันอยู่นาน แต่น้ำในแก้วเสือกไม่มีการขยับใดใด

            “เฮ้ย..เฮ้ยๆๆๆ” ไอ้เดย์ร้องโวยวายเมื่อมันเห็นความผิดปกติ สุดท้ายไอ้เสาร์ก็ปล่อยปากออกจากหลอดก่อนยกมุมปากให้ไอ้เดย์อย่างกวนๆ

            “กูเพิ่มเอนไซม์ให้มึงด้วยเผื่อมึงจะได้สดใสน้ำย่อยไหลดี”

            “เชี่ยเสาร์!โกโก้กู” โอเค ร้องไห้กันไปหนึ่งรายเพราะเสียดายน้ำ แต่ผมว่ามันสองคนแม่งโคตรสนิทกัน ไม่อย่างนั้นคำสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองของไอ้เสาร์มันคงไม่ดูปีนเกลียวราวกับไม่เกรงกลัวไอ้เดย์ถึงขนาดหรอก

            “ผมว่านะ ยังไงก่อนอื่นก็ต้องหาทางติดต่อเพื่อนพี่ให้ได้” คราวนี้ไอ้แตมมันดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาหลังจากที่ล้อเล่นกันไป

            “แต่ช่องทางสำหรับติดต่อมันตอนนี้ถูกปิดหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์” กูพยายามมาแล้ว แต่มันเล่นปิดโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมดราวกับตั้งใจจะเริ่มจากศูนย์ใหม่ตอนไปอเมริกา

            “พ่อผมพอจะมีคนรู้จักอยู่ที่ฟากนู้นบ้าง ขอแค่รู้ชื่อบริษัทของพ่อคนชื่อแม็คบางทีอาจจะพอทำอะไรได้”

            “แต่เรื่องนี้รู้ถึงหูคุณอาไม่ได้นะไอ้แทน” ผมปราม เพราะดูเหมือนเจ้าหล่อจะลืมไปว่าพ่อแม่ตนเองยังไม่รับรู้เรื่องที่น้องฟ้าท้อง

            “เรื่องนี้ให้ลูกเสี่ยอู๊ดอย่างกูจัดการเถอะ อย่างน้อยพี่เยนก็ต้องจัดการอะไรให้กูได้บ้างล่ะวะ” ไอ้เดย์พูดชื่อเลขาพ่อมันขึ้นมา พี่เยนเป็นคนที่มันสนิทมาก ถึงแม้รายนั้นจะถูกเสี่ยอู๊ดสั่งงานให้ยุ่งตลอดเวลาไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ก็ตามที

            “ตอนนี้ก็คงต้องพึ่งพาไอ้เดย์มันไปก่อนล่ะนะ” มีอยู่คนแหละครับ ที่ไม่พอใจที่ผมสรุปแบบนี้ซักเท่าไร ไอ้หล่อหน้าใสที่นั่งอยู่ข้างผมไง ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่วันที่มันมาตามผมตอนคลาสศราวุธก็ตกอยู่ในสภาพนี้ตลอด

            “ทางกูจะลองถามอาจารย์ตอนที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนให้ดูละกัน เผื่อจะมีใครไปสมัครเข้ากลางเทอมที่มหาวิทยาลัยในสังกัดโรงเรียน” ผมหันขวับไปมองร่างสูงใหญ่ของไอ้เสาร์ตาเป็นประกายจนมันต้องร้องถาม “มองอะไรของพี่”

            “เด็กจบนอกที่แท้ทรู” ผมอุทาน จนมือใหญ่ของไอ้แทนแล่นมาเขกหัวผมเนี่ยแหละ “โอ๊ย เคาะหัวกูทำไมวะไอ้เชี่ยแทน”

            “เลิกเห่อคนจบนอกได้แล้ว”

            “โอ๊ย มีคนหึงเมียอยู่หนึ่งหน่วยตรงนี้เว้ย” เป็นเสียงไอ้เป้งที่ตะโกนขึ้นมา อะไร ใครหึงใคร แล้วใครเป็นเมียใครวะ กูงง

            “ไปเรียนต่อเมกามั่งดีกว่าว่ะ เผื่อจะเนื้อหอมขึ้นมาบ้าง” พอไอ้แตมมันพูดจบก็ลุกพรวดพราดทำท่าจะพุ่งออกไปจากร้าน แต่ไอ้เป้งเพื่อนมันเสือกจับมือไว้ได้ทัน

            “มึงจะไปไหนวะ”

            “จะไปไหน ก็ไปซื้อบัตรแรบบิทน่ะดิ”

            “ถุยยยย นั่นมันเมกะบางนา!!”

            ...เชี่ย...พวกเวร เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ...



TBC

+++++++++++++++++

สุขสันต์วันสุดท้ายของสงกรานต์ค่า...
ตอนนี้มาไวเพราะ คนเขียนไร้งานเนื่องจากหยุดยาว 555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)}

บทที่21 จอลลี่โคล่า

บทที่ 21 จอลลี่โคล่า



    “ไม่ต้องจ้องตากู”

    “ผมเปล่า”

    “ถึงจ้องไปมึงก็อ่านใจกูไม่ได้หรอก”

    เออ ผมไม่รู้จริงๆนั่นแหละ ช่างแม่งลงตรงนี้มันละกัน

    แก่ก!!

    “เสร็จกู รุกฆาตโว้ยยยยยย” ฮ่วยยยยยยยย เอาอีกแล้ว กูทุ่มกระดานเลยดีมั้ย ทุ่มเลยมั้ย มือคว้าขอบกระดานได้ไม่ทันไร มือใหญ่ๆของคุณมาณพก็เข้าตะปบ “ไอ้ไทม์มึงอย่าคิดแม้แต่จะทุ่มกระดาน” หน้าตาก็ว่าเหมือนแล้วยังเสือกทำคิ้วคมข้างหนึ่งกระตุกกวนประสาทอีก เริ่มฉุนขาดแล้วนะโว้ย ได้...ไม่ให้ทุ่มกระดาน กูจัดให้

    ดวงจิตคิดแก้แค้นมันมาไวเหมือนสั่งได้ ร่างกายชักกระตุกเสียหลักมือป่ายปัดถูกหัวขุนหัวม้า เสียดายแต่เรือมันเตี้ยไปหน่อยกูเลยได้แต่ตีลมผ่านไปแล้วตะโกนทำท่าตกใจประกอบรีแอคชั่นว่า

    “ชะอุ๊ย สันนิบาตกำเริบ”

    “มึงเอาตีนกูไปกินแก้โรคสันนิบาตก่อนมั้ย”

    “โอ๊ย คุณอาอย่าถีบโผ้มมมม”

 

    ถามจริงเถอะ กูมาถึงจุดๆนี้ได้ยังไงวะ

    ...มาถึงจุดๆที่สนิทกับคุณอาพ่อไอ้แทนถึงขั้นกวนตีนใส่กันและเล่นยันบาทาได้...

 

    แต่ก่อนจะคิดคำตอบนั้นออก มึงช่วยหาทางหลบตีนทั้งสองของพ่อสามี?ที่อุปโลกน์ขึ้นมาก่อนเถอะ!

    โดยไม่รอช้าผมใช้สมองอันชาญฉลาดของตนเองกระโดดเหยงๆ พุ่งไปยังจุดหมายที่คิดว่าคุณมาณพไม่มีวันใช้ตีนถีบลงได้ “คุณน้า!”

    แฮ่!ผมมันฉลาดหลบหลังเมีย มีรึผัวจะกล้า อย่าว่าผมแต๊ะอั๋งเลยนะคุณน้าขอจับต้นแขนหน่อย

    “มึงออกมาจากหลังเมียกูเลยนะไอ้ไทม์”

    “ออกให้โง่ดิครับ คุณอาจะเตะผม”

    “กูไม่ได้จะเตะ”

    “จริงอ่ะ”

    “แต่กูจะถีบ!”

    “เย้ยย”

    “นี่เราสองคนเล่นอะไรกันคะ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” เสียงคุณน้าดังขึ้นมาห้ามทัพ

    “คุณน้า ดูคุณอาดิ ผมแค่พลาดเผลอไปปัดโดนหมากในกระดานเข้าหน่อย ทำมาเป็นโวยวายโมโหใส่ผมใหญ่ จะตีผมให้ได้อ่ะ” เปล่าฟ้อง แค่บอกความจริง ฮ่าฮ่าฮ่า

    “แม่อย่าไปฟังมัน นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้วที่มันแกล้งล้มกระดาน”

    “แต่ทุกครั้งก็เห็นพ่อสนุกที่ได้เล่นหมากรุกกับลูกไทม์หนิคะ”

    “...” คุณอาทำหน้าแดกจุด แทงใจดำอ่ะดิ เห็นผมมาบ้านไอ้แทนทีไรต้องลากผมไปเล่นหมากรุกด้วยทุกครั้ง ไม่งั้นผมไม่มานั่งปีนเกลียวแบบนี้ได้หรอก ว่าไงคุณมาณพ มามา แมนๆเล่นหมากรุกกัน

    “อูย คุณอาเขิน” ผมผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ทำหน้ากิ๊วก่าว ถนัดยิ่งนักเรื่องแซวชาวบ้านน่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองพอโดนคนอื่นสวนกลับทีไรไปไม่รอดทุกที

    “ใครบอกมึงว่ากูเขินวะ”

    “ไม่เขินแล้วหน้าแดงทำไมครับ เป็นลมแดดเหรอ” โอ๊ย สนุกว่ะ แซวพ่อไอ้แทน คนหน้าคล้าย ถ้าเป็นไอ้หล่อนั่นทั้งชาติคงไม่มีวันทำแบบนี้ได้เพราะมันดักผมได้ทุกทาง

    “วันนี้ขอถีบทีเถอะ!” ขอกี่รอบแล้ววะ แล้วกูเคยให้มั้ย ตอบเลยว่า ไม่!!

    “เอ้ย คุณอา อย่าๆๆ” สวมวิญญาณสาวกแร๊พเตอร์ ยกมือขึ้นทำท่าโหนรถเมล์ โยกหลบพลิ้วโคตร ไม่เอานะเกรงใจ ไม่ดีหรอกเกรงตีน แล้ววิ่งวนไปรอบบ้านแบบลืมอายุว่าเรียนมาจนจะปีสามแล้ว ส่วนคุณอาเหรอยิ่งกว่าผมอีก อายุจะห้าสิบอยู่แล้วกระโดดเหยงๆตามอย่างกับเล่นวิ่งเปี้ยว

 

    ปิ๊งป่อง! ไม่ช้าไม่นานนัก ระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น

    “หืม...ใครมา...”

    “เดี๋ยวผมไปดูให้เองครับ!” ใครมาใครไปผมไม่รู้ แต่ขอวิ่งออกไปกู้ชีพตัวเองก่อนครับ อาสาทันทีไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แล้ววิ่งปรู๊ดเปิดประตูออกไป ปล่อยให้คุณมาณพด่าตามไล่หลังมา

 

    อย่าถาม ว่าผมมาเสนอหน้าอะไรที่บ้านพ่อแม่ไอ้แทน ถ้าไอ้หล่อมันไม่ขอไว้ผมคงไม่หน้าด้านบากหน้ามาหาคนที่ผมรู้สึกผิดกับท่านถึงสองครั้งสองครา อย่างกรณีที่ว่าเป็นเพื่อนคนที่ทำลูกสาวเขาท้อง และกำลังทำให้ลูกชายคนโตไม่มีทายาทสืบสกุลหรอกครับ

    วันนี้โคตรเฉพาะกิจ ผมพึ่งรู้ว่าคนบ้านนี้แม่งขี้เหงากันทั้งบ้าน ลูกหลานไม่มาหาก็จะทู่ซี้ตามมาถึงคอนโดให้น้องฟ้าวุ่นวายใจกลัวแสดงอาการมีพิรุจออกไปว่าตั้งครรภ์ ผมเลยต้องบากบั่นมาเป็นคู่เล่นหมากรุกคุณมาณพทุกอาทิตย์ แต่มันจะดีก็ตรงที่ได้กินของฟรีแถมอร่อยฝีมือคุณนายเกียรไพศาล หรือคุณน้านภาลัยใจงามของไอ้หล่อมันเนี่ยแหละ

    ผมวิ่งลงจากบ้านกำลังจะสวมรองเท้าเตะหูหนีบ แต่ก็ต้องชะงัก...

    ...เวรเอ๊ย...

    เห็นรองเท้าทีไรใจมันสยอง คำว่า ‘สะใภ้’ตัวใหญ่เท่าบ้านเขียนพาดตั้งแต่หัวนิ้วโป้งยันปลายส้นตีน รองเท้าแตะหูหนีบสีขาวน้ำเงินประจำตำแหน่งที่ไอ้หล่อมันซื้อให้เป็นของรับขวัญ มันบอกว่าเป็นประเพณีบ้านมันพลางชี้ให้ดูไอ้ที่วางอยู่ในชั้นซึ่งเขียนคำว่า ‘บิดา’ ‘มารดา’ประกอบคำพูด

    ‘มึงซ่อนอะไรไว้’

    ‘เปล่า’

    ‘โกหก มึงเอาออกมาเลย ไอ้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังน่ะ’

    ‘เฮ้ยพี่อย่าดิ’

    ‘เขียนบ้าอะไรวะเนี่ย’

    ‘นั่นน่ะ รองเท้าพี่’

    ‘ฮะ?’

    ‘กะจะเซอร์ไพรสซักหน่อย’

    ‘เชี่ยนี่มัน ‘สะใภ้’ไม่ใช่ ‘เซอร์ไพรส’อย่ามาทำตัวตกภาษาไทยแถวนี้’

    ตอนนั้นเกือบปาลงถังขยะ แต่ไอ้หล่อมันท้วง ‘คู่ละสามสิบบาทเลยนะพี่’ ‘ผมอุตส่าห์เดินตากแดดไปซื้อถึงปากซอย’‘พี่มีนิสัยไม่เห็นคุณค่าของเงินขนาดนี้เลยเหรอ’‘ลองนึกถึงคนที่ไม่มีรองเท้าจะใส่ดิ’ โอ้ย ไม่ทิ้งก็ได้วะ แล้วจุดจบของมันก็มาอยู่ที่ปลายตีนผมไง วันนั้นแม่งเสือกเผลอใส่ทั้งที่หมึกยังไม่แห้ง ตีนกูเลยมีคำว่าสะใภ้ติดยาวตะแคงตีนเดินไม่ได้ไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ คิดแล้วอยากจะร้อง

    ผมลากแตะเดินแปะแปะมาถึงหน้าบ้าน แอบไกล บ้านมันใหญ่ บ้านเดี่ยวแบบมีสวนรอบๆ ร่มรื่นดี มาที่นี่เหมือนได้มาเยียวยาจิตใจให้ห่างไกลจากมลภาวะข้างนอก พอถึงประตูรั้วก็ชะโงกหน้ามองคนอีกฟาก บอกได้คำเดียวว่าแผ่นหลังแม่งโคตรคุ้น เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขน กางเกงขายาวสีเทาเข้มเรียบกริบ แต่งตัวเนียบฉิบ แต่อีกฝ่ายดันหันหลังเหมือนกำลังคุยกับใครอีกคนเลยไม่กล้าเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วนี่มันก็บ้านไอ้แทน ยกเว้นคนสวนที่บ้านมันจ้างมาตัดหญ้าอาทิตย์ละครั้งแล้วผมก็ไม่รู้จักใครหน้าไหนอีก

    “เออ...มาหาใครครับ” แน่ใจอ่ะว่ากูไม่รู้จัก จนกระทั่งอีกฝ่ายผินหน้ามาให้เห็นเท่านั้นแหละ

    เชี่ยโว้ย!!

    กู-รู้-จัก

    “ไอ้เผือก” ถ้าไม่รู้ว่าใคร กูต่อยหน้าปากแตกไปแล้ว จู่ๆ ก็โดนด่าเผือกใครมันจะไปยอมวะ

    “น้องไทม์จริงๆด้วย” เสียงหวานดังขึ้น ก่อนร่างระหงส์คนที่เจ้าของเชิ้ตดำหันหลังคุยอยู่เมื่อซักครู่จะวิ่งพุ่งมาเกาะชิดขอบรั้ว

    สัด!นี่กูอุตส่าห์หลอกตัวเองว่าตาฝาดแล้วนะ แต่กับอีกคนที่วิ่งมายิ่งกว่าโดนการันตีผ่านกล้องซีซีทีวีว่ากูขี่มอเตอร์ไซต์ไวกว่ากฎหมายกำหนดอีก

    “มะ...มาได้ไงเนี่ย” อันนี้กระซิบกับตัวเอง

    “มาไม่ได้เหรอวะ” แต่คนตรงหน้าเสือกได้ยิน เสียงทุ้มทำหน้าไม่พอใจ หาเรื่องสุดๆ

    “ปะ...เปล่าครับ”

    “น้องไทม์มาอยู่ที่นี่ได้ไง” คราวนี้เป็นเสียงหวานๆที่ถามผมขึ้นมาบ้าง

    “คือผม..”

    “มีอะไรรึเปล่า ลูกไทม์”

    นรกจะกินหัวก็คราวนี้ เมื่อมีเสียงดังออกมาจากข้างหลัง ไม่ต้องหันไปมองครับ กูรู้ว่าเป็นใคร จะออกมาทำไมครับคุณน้า ผมบอกว่าจะมาดูให้ก็มาให้แล้วไงไม่เชื่อใจกันหงออออ

    ผมเหลียวไปมองเจ้าบ้านหน้าตาตื่น เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ไม่ดิ มันไม่มีทางจะเกิดขึ้นจากหนึ่งในล้านเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ นอกจากคนมันจะซวยจริงๆ

    ในที่สุดคุณน้าก็เดินมาประชิดตัว สลับสายตามองหน้าผมกับคนแปลกหน้าไปพร้อมกัน

    “ใครน่ะ” แค่นี้ก็สะดุ้งแล้วอ่ะ โอ้ย ความใจกล้าหน้าด้านชอบแถสีข้างจนแสบของกูหายไปไหนหมดวะ

    “อะ เออ คือ” อ้ำอึ้ง อั้ม พัชราภาพ อ้าม อ้าม โอ้ยยยย คุณน้านภาลัยขมวดคิ้วแล้ว เอาไงดีวะ เอาไงดี

    “ใครน่ะลูกไทม์ แล้วนี่เราเป็นอะไร สันนิบาตขึ้นปากเหรอ” ถ้ามันจะทำให้กูเลี่ยงคำถามนี้ได้ จะสันนิบาต สันนิสองบาท กูยอมให้ไต่ปาก ไต่ลิ้นปี่กูเลยเอ้า! หรือจะแกล้งชักกะตุกลงไปดิ้นกับพื้นน้ำลายฟูมปากเลยดีมั้ย แต่ แต่ แต่กูจะทำน้ำลายยังไงกูไม่มีอีโน!!

    “ขะ...ขะ...” สกิลการติดอ่างช่วยต่อชีวิตไปได้อีกแค่พันมิลลิเซค ถามทีเหอะ เวลาเท่านั้นกูจะไปทำอะไร สันนิบาตยังคงกำเริบต่อไป เหตุผลอะไรยังไง คิดดิคิด!

    พออิดออดเข้าหน่อยทำคุณน้ารอนานเลยดูเริ่มมีน้ำโห เสียงที่ถามตามมาอีกประโยคเลยดูเหมือนเริ่มตวาดใส่หน้า

    “ท่าจะอาการหนักนะเรา บอกแม่มาได้รึยังว่าเขาเป็นใครฮะ!”

    “คะ...คนขายเครื่องกรองน้ำครับ!!”

    โป๊ก!!

    เชี่ย!!เต็มกบาลกูเล้ยยยยย ทำไมผมเสือกนึกรู้ว่าผลมันจะเป็นแบบนี้วะ จากไม่โดนตีนพ่อไอ้แทนแต่กลับมาโดนมะเหงกของชายชุดดำด้านหลังเนี่ยนะ สึด ช่วงนี้กูต้องแกล้งตายใช่มั้ย ใช่ดิต้องรีบ...

    แต่มือใหญ่กลับยื่นผ่านกรงรั้วมาคว้าคอเสื้อผมยื้อไว้ สภาพตอนนี้แม่งเยี่ยงลูกหมา

    “มึงอย่ามาแกล้งตายตรงนี้ไอ้เผือก”

    ไม่เอาผมจะตายยยยยยยยยย ปล่อยโผ้มมมมมมมม

    “หยุดดิ้น มึงหาว่าพ่อมึงเป็นคนขายเครื่องกรองน้ำแล้วจะมาดื้อแกล้งตายอีกเหรอวะ กูไม่ให้เว้ย”

    ฮึก....ใช่ถ้าผมเป็นลูกหมา...คุณชลาศัยก็เป็นพ่อหมาแหละวะ!!

 

 

 

 

    “ได้ข่าวว่าลูกชายผมแวะมารบกวนบ่อยๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับ” สุภาพชน คนกันเอง

    หลังจากผ่านความโกลาหลงงเป็นไก่ตาแตกกันหน้ารั้วบ้าน สี่ชีวิตก็ถ่อสังขารเดินเข้าร่มมานั่งตากแอร์เย็นๆ ในห้องรับแขกประจำบ้านเกียรติไพศาล คุณน้านภาลัยต้อนรับขับสู้คุณชลาศัยกับคุณหญิงศศิประภาเป็นอย่างดี เอาน้ำลอยดอกไม้เย็นชื่นใจมาเสิร์ฟถึงที่ ส่วนผมน่ะเหรอนั่งลูบหัวเลียแผลไปดิครับใครจะสนใจ ตอนนี้ทั้งสองสามีภรรยาคงมัวแต่ตั้งอกตั้งใจรับแขกผู้มาใหม่ ว่าแต่พ่อกูได้ข่าวมาจากไหนวะ ถึงได้เป็นนกรู้ตามมาถึงที่นี่ได้

    “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกค่ะ แค่ลูกไทม์ยอมมาที่นี่ทุกอาทิตย์ ก็สร้างสีสันให้บ้านสุดๆแล้วจริงมั้ยเนอะพ่อเนอะ” คุณน้ากระทุ้งสีข้างพ่อไอ้แทนไปหนึ่งศอก ทำเอาร่างสันทัดสะดุ้งก่อนหันมาพยักหน้าตอบแบบขัดๆเขินๆ

    “อะ อืม”

    “มาทุกอาทิตย์เลยเหรอครับ” ฉิบหายแล้วไง

    คุณนายศศิประภาหันมาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่หน้าผมที่นั่งอยู่ข้างๆ คนมีความผิดติดตัวอย่างการไม่ยอมกลับบ้านไปให้พ่อแม่เห็นหน้านานนับปี พอโดนล่วงรู้ความจริงหัวก็แทบหดเข้ากระดอง ผมได้แต่ขยับมือไปจับต้นขาแม่ส่งสายตาออดอ้อนวอนขอให้อภัย

    “ค่ะ แกมาช่วยเป็นเพื่อนเล่นโขกหมากรุกกับพ่อบ้าง บางครั้งก็มาช่วยทำอาหารช่วยชิมช่วยทาน มีลูกอย่างนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่คงยิ้มแก้มปริ”

    ปริ ปริ ปริ แผลที่หัวกูจะปริสิไม่ว่า ดูสายตาพ่อกูดิ ถ้าสั่งให้ไปยืนสำนึกผิดกลางแดดร้อนๆตอนนี้ได้อีกฝ่ายคงทำไปแล้ว

    “ว่าแต่คุณพ่อเนี่ยหน้าอ่อนจังเลยนะคะ เห็นตอนแรกนึกว่าเป็นพี่ชายซะอีก ถ้าลูกไทม์ไม่หลุดปากออกมาซะก่อน”

    “ไม่หรอกครับ ก็เป็นไปตามอายุ” รอยยิ้มมาดแมนแฮนด์ซั่มทำเอาคนรักคนหลงมานักต่อนักมันโผล่มาให้เห็นแล้วครับ คุณชลาศัยเจ้าของฉายาหล่อกระชากใจแม่หม้าย ทำเอาพ่อไอ้แทนเริ่มคิ้วกระตุกฉุดมือภรรยาไปกุมแบบหวงๆ

    “แม่ๆ” ผมสะกิดแขนคุณนายศศิประภาผู้ชนะสิบทิศแห่งคอนเวนต์เพราะชนะใจหนุ่มอัสสัมฯคนที่โด่งดังที่สุดแห่งโรงเรียนชายล้วนมาได้ คุณแม่ผินหน้ามาทางผมน้อยๆเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “แม่กับป๊ารู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่” กระซิบเบาแบบลมเป่าขนนกไม่กระเด็น

    “แม่รู้จากน้าลำไย”

    “หา?” ยายกินลำไยน้ำลายยายไหลย้อย ว่าแต่น้ำลาย เอ้ย น้าลำไยคือใครกันวะ

    “น้าลำไยเพื่อนแม่ แกก็อยู่หมู่บ้านนี้” อ๋อๆๆ ผมจำได้แล้ว น้าลำไยที่แม่ต้องไปหาเรื่องเม้ามอยที่บ้านเธอทุกอาทิตย์ “แกบอกว่าเห็นคนหน้าตาเหมือนลูกชายตัวดีของแม่มาแวะบ้านนี้บ่อยๆ แม่ก็เลยต้องมาพิสูจน์”

    โว้ะ กูเกลียดคำว่าพิสูจน์ของแม่กูจัง ตั้งแต่อนุบาลยังมัธยมปลาย ถ้าลูกชายมีข่าวกับสาวที่ไหน อย่าให้เรื่องนี้ถึงคุณศศิประภา เพราะแม่ตูจะตามไปทุกหนทุกแห่งไม่เว้นแม้แต่การแอบฟังเด็กนักเรียนหญิงเขาซุบซิบกันในห้องน้ำโรงเรียน นี่ยังดีที่พอเข้ามหา’ลัยมาอยู่หอ มารดาผมก็เริ่มปล่อยวางจะให้ตามไปถึงห้องน้ำมหา’ลัยก็ใช่ที่ แต่ก็ยังมีตามสืบเรื่องราวอื่นๆจากคุณน้าลำไยเพื่อนตั้งแต่สมัยไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนอยู่

    “แต่ไม่ยักรู้นะครับว่าไทม์มีเพื่อนอยู่แถวนี้ด้วย”

    “เพื่อน?”

    สั้นๆ แค่คำเดียวแต่กูสะดุ้งไปถึงโลกหน้า พ่อไอ้แทนมันมาแบบเงียบๆแต่สะเทือนไปถึงวงการตับม้ามไต ให้ผมหายใจหายคอไม่ทั่วถึง

    ...ชักรู้สึกถึงสัญญาณไม่ดีแล้วซี...

    หางเสียงสูงเกินจนคล้ายกับเป็นประโยคคำถามทำเอาคุณชลาศัยยกคิ้วสูงเหล่ตามาทางผม มันเป็นอาการประจำของพ่อผมเวลาได้กลิ่นอะไรไม่ชอบมาพากล โอ้ไม่ อย่าทำร้ายกันแบบนี้ ผมขอ

    ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งนิ่งเหมือนเล่นไพ่โป๊กเกอร์จับผิดสีหน้าชาวบ้าน ผมก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวยุกยิกอยู่หน้าประตู เสียงขยับลูกบิดพร้อมการก้าวเดินเข้ามาคนตัวสูงซึ่งหอบข้าวของพะรุงพะรังทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาอีกเท่าตัว เอาวะอย่างน้อยกูก็ไม่ยอมตายคนเดียวล่ะเว้ย

    “ไอ้แทน!” ทุกคนสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ สมควรตกใจเพราะจู่ๆผมก็จะตะโกนโวยวายพลางโบกไม้โบกมือไปมาเหมือนคนบ้า ขนาดร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามายังหยุดเท้า ดีที่วัตถุดิบทำกับข้าวที่ร่างสูงอุตส่าห์ออกไปซื้อมาตามคำสั่งแม่ไม่ถูกปล่อยร่วงตกลงพื้นด้วย ไม่งั้นผมคงโดนคุณน้าด่าเสียงขรมอีกกระทงนึงจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่

    “อย่าเสียงดังสิน้องไทม์” เป็นแม่ที่เอ็ดผม ตีต้นขาดังเพียะ พลางรวบมือที่โบกไปมาอย่างกับไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกลง

    “เกิดอะไรขึ้นครับ เสียงตะโกนดังไปถึงหน้าบ้าน” ไอ้แทนกล่าวถามพลางเดินเข้ามาอย่างงงๆ สายตาคมกวาดมองไปทั่วห้องแล้วมาจบตรงการจ้องหน้าผม อ่ะงงเด้ งงเด้ อย่าถามกูเลยตอนนี้ กูไม่มีปัญญาตอบ

    “อุต๊ะ!ลูกชายใครกันหน้าตาหล่อเหลา” คุณนายศศิประภายกมือขึ้นมาปิดปาก โหยปล่อยแขนไส้เดือนผมเลยนะ แต่ใจเย็นนะครับ นั่นลูกชายของคนที่คุณกำลังคุยด้วย แม่ผมก็เป็นซะอย่างนี้ เห็นคนหนุ่มคนหล่อหน่อยไม่ได้มักจะบ่นว่าเสียดายทำไมไม่ได้ลูกหญิงจะได้มีลูกเขยขวัญเป็นหนุ่มวัยกลัดมันแต่งเข้าบ้าน แล้วลูกแม่ล่ะครับ แม่มองข้ามไปได้ไง ผมก็ผู้ชายนะ กูอยากจิครายออกมาเป็นสายเลือด

    “แทนมานี่เร็ว” คุณน้านภาลัยกวักมือเรียกลูกชายตนเองยิกๆ “มาไหว้คุณพ่อคุณแม่ของลูกไทม์ก่อนเร็ว”

แมลงวันแม่งตายเข้าปากไอ้แทนไปสามตัว มันตัวแข็งค้างนับจากวินาทีที่แม่มันบอกว่าสองคนข้างๆผมเป็นใคร ได้ยินเสียงมันอุทานเบาๆ ทำเอาผมหลอนไปถึงไส้ติ่ง

    “คุณพ่อ...คุณแม่...ของพี่ไทม์” เออพ่อแม่กูเอง มึงอย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ มึงต้องมาช่วยกูก่อน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่คงให้อารมณ์เดียวกับผมตอนที่เจอพ่อแม่มันเนี่ยแหละ กะทันหันซะจนหลอน

    กว่าสติจะมาแล้วพาตัวเองไปวางข้าวของก็เล่นกินเวลาไปหลายนาที ผมมองหน้าคมคายแล้วโคตรไม่ไว้วางใจกลัวมันจะเป็นลมเป็นแล้งไปตอนนี้ แต่ทุกอย่างกลับเกินคาดเมื่อไอ้หล่อมันขยับตัวเข้ามาอย่างสุภาพพลางยิ้มอย่างนอบน้อม ก่อนจะถึงตัวคุณชลาศัยและคุณนายศศิประภาไอ้แทนก็คลานเข่าเข้ามาใกล้แล้วพุ่งตัวเข้าไปกราบที่...

    ...ตักพ่อแม่ผม...

    ฮะ?อะไรนะ ตัก...ตัก!!

    เชี่ย!!มึงทำอะรั้ยยยย

    ผมผุดตัวจากโซฟาคว้าไหล่ของมันไว้แทบไม่ทัน ร่างสูงที่เซไปข้างหลังกล่าวคำสวัสดีได้เพียงครี่งก็หยุดชะงัก

    “ทำเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมกระซิบจมูกแทบติดหน้ามัน

    “อ้าว ก็กล่าวสวัสดีคุณพ่อคุณแม่พี่”

    “แล้วมันจะต้องทำถึงกราบตักมั้ย!”

    “ไม่รู้สิ ผมแค่เบลอๆ”

    “เบลอหรือบ้าวะเนี่ย”

    “ก็ไม่คิดมาก่อน ว่าจะต้องเจอกับพ่อตาแม่ยายก่อนกำหนด”

    “!!!”

    โวะโว้ยยยยยย อย่าอิน กูบอกว่าอย่าอินนนนน!!

    “มารยาทงามจริง” เสียงเอ่ยชมเล่นเอาผมหันไปมองหน้าแม่แทบคอหัก ฮะ?

    คุณนายศศิประภาโดนความหล่อบังตาไม่เอะใจใดใดทั้งสิ้น ที่น่ากลัวก็คนข้างๆเนี่ยแหละย่นคิ้วเหล่ตามาทางนี้จนผมอยากตะโกนว่าปวดขี้แล้ววิ่งหนีไปให้ได้

    “เรียกพี่ เป็นรุ่นน้องเจ้าเผือกเหรอ” พ่อผมถาม

    “เผือก?” หันมาแล้วจ้องหน้าถามแบบนี้ ด่ากูเสือกยังดีกว่า

    “ฉายากู พ่อแม่ตั้งให้ เกิดมาตัวขาวเหมือนลิงเผือก”

    คุณมึงครับ ไหนว่ามึงเบลอ กูเห็นนะว่ามึงกลั้นขำ เชี่ยแทน

    “ครับ ผมชื่อแทนเป็นรุ่นน้องพี่ไทม์ปีนึง เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน”

    “อะแฮ่ม!” ชายในเชิ้ตดำกำมือยกขึ้นมาอังปากกระแอมไอ

    “เป็นไรน่ะป๊า อะไรติดคอ”

    “มึงน่ะ”

    “ผม?” อะไรวะ อย่าเล่นมุกกระดูกหมาติดคอนะ กูไม่ขำ

    “จะขี่ไอ้หนุ่มรุ่นน้องมึงไปถึงฟ้ามืดเลยมั้ย” เหยดครก! ผมนี่พรวดพราดลุกขึ้นมาจากตัวมันแทบไม่ทันเลยครัช!ดีนะไม่บอกกูฟ้าเหลือง!

    “ปะเปล๊า ก็ไม่ได้กะขี่ บิ๊กไบค์ก็ไม่ใช่ผมจะขี่ไปเพื่ออะไร” แล้วนี่กูแก้ตัวเพื่อ!!

    เห็นหน้าไอ้หล่อมันกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่ก้นจัดเสื้อแสงย้ายที่นั่งทำเอากูหมั่นไส้ ยิ้มไปเหอะนรกกำลังจะกินหัวมึงก็คราวนี้ล่ะ

    “อยู่คณะเศรษฐศาสตร์เหมือนพี่เขาหรือเรา” คราวนี้เป็นคุณนายศศิประภาที่ถามขึ้นมาบ้าง ดูสนอกสนใจในคนหนุ่มที่มาใหม่เสียเหลือเกิน

    “วิศวะครับ”

    “หืม?” ฮึมฮัมในลำคอจนเกือบเป็นบทประสานเสียงวงดนตรีเปิดหมวกข้างทาง กูว่าแล้ว อีกไม่นานหรอก อีกไม่นาน

    “แล้วทำไมมารู้จักกันได้ล่ะ” นั่นไง พ่อแม่กูต้องสงสัย แต่ผมเตรียมข้ออ้างไว้แล้วครับ สบายใจได้ หายห่วง

    “เออคือว่า...”

    “พวกเขาสองคนเป็นแฟนกันค่ะ”

    “ใช่ครับพวกเราเป็นแฟน...”

    หา?

    เอ๊ะ?

    เมื่อกี้ว่าไงนะ?

    แฟน?

    อะ...ไอ้เหี้ยยยยยยยย ให้กูแก้ตัวก่อนได้ม้ายยยยยยยยยยยยยย


[มีต่อด้านล่างนะคะ]


ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 

    หันหัวขวับไปกะเอาคนพูดให้ถึงตาย แต่ที่ไหนได้ไอ้คนที่พูดน่ะ มันแม่ไอ้แทน!!

    เหยดดดดดดดดดดดดดด

    ตายแหล่วๆๆๆๆๆๆๆๆ

    “คะ...คุณน้า” พูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างมั้ยครับ!!อยากตะโกนโวยวายลงไปดิ้นกับพื้นชักแหง่กๆ แต่ทำไม่ได้ กูยังตายไม่ได้ เพราะกูยังไม่มี...

    อีโน!!

    “ไอ้แทน มึงซื้ออีโนมามั้ย” พุ่งตัวเข้าไปหาไอ้หล่อ จับไหล่แล้วเขย่าอย่าง...บ้าคลั่ง...มันได้แต่ทำสายตางงๆส่งมาทางผม

    “ทะ...ท้องอืดเหรอพี่”

    “หน้าตากูดูเหมือนคนปวดตดมั้ยวะ”

    “ไม่รู้ดิ”

    “...”

    “รู้แต่ว่าน่ารัก”

    “!!!”

    สัด!ชมกูไม่ดูสถานการณ์ แต่ทำไมกูหน้าร้อน ตัวร้อน ตูดร้อน หัวร้อน ไปหมดเลยวะ โอเคกูโกรธ กูลงความเห็นเลยว่ากูกำลังโกรธมันที่ไม่รู้จักกาลเทศะ

    “น่ารักบ้านพ่องดิ”

    “อ้าว พูดให้มันดีดี บ้านพ่อพี่ก็พ่อผมนะ”

    “ใครว่ากูพ่อมึง”

    อึก...

    ฉิบหายแล้ว

    เสียงพ่อกูเองครับ อยากบอกกูไม่ชอบหนังสยองขวัญ แต่พ่อกูที่อยู่ข้างหลังมันยิ่งกว่าเจสันหลุดจากจออีกอ่ะ

    “ใจเย็นสิคะคุณ อย่าพึ่งขึ้นเสียงสิ” คุณนายศศิประภารีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างกาย พลางชายตามองมาทางคนบ้านเกียรติไพศาล ก่อนกล่าวถาม “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

    “มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมันให้เคลียร์ไปเลยดีกว่าค่ะ” คนที่ดูใจเย็นที่สุดเห็นจะเป็นน้านภาลัยคนที่กล่าวปราศัยเปิดเผยความจริงกับทุกคน เธอปิดเปลือกตารอบนึง ก่อนจ้องตรงมาทางคนบ้านเวชสกุล แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ลูกคุณกับลูกดิฉัน ทั้งสองคนกำลังคบกันอยู่ค่ะ”

    เชร้ดดดดดดดด

    “แม่เห็นท่าทีมานานแล้ว เหมือนพ่อกับแม่ของเราจะยังไม่รู้ อย่างนี้แสดงว่าแอบคบกันโดยไม่บอกผู้ใหญ่สินะ ได้ยังไง ขนาดแม่ยังรับรู้การมีตัวตนของเราเลย แม่ไม่ยอมให้มาคบกับลูกแทนแบบหลบๆซ่อนๆหรอก มันเหมือนไม่ให้เกียรติกัน” ผมเหมือนโดนรัวปืนกลซ้ำๆย้ำตรงที่เดิม ถ้าจะทำกันขนาดนี้แล้วเอามีดมาแทงผมเลยดีกว่าครับคุณน้า

    ผมเลิกสนใจคุณน้านภาลัยแล้วหันไปลอบมองปฏิกิริยาของแม่ผม...ซึ่งเล่นเอาใจหล่น...ไปถึงตาตุ่ม

    แม่ส่ายหัวเบาๆ ก่อนผินหน้าไปทางคุณชลาศัย ยกมือที่ไร้เรี่ยวแรงแตะไปยังต้นแขนพ่อผมแบบเบาหวิวในความรู้สึก

    “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ” เสียงผะแผ่วของผู้เป็นแม่กำลังเค้นหาความจริงจากผู้เป็นพ่อ

    “จะอะไรซะอีกล่ะ ไอ้เผือกลูกเรา มันมีลับลมคมในกับไอ้เด็กนั่น” คุณชลาศัยให้คำตอบพร้อมบุ้ยปากมาทางไอ้แทน

    “ไม่จริง” ใช่ไม่จริงครับ แม่อย่าไปฟังป๊านะ ป๊าเขาแค่อยากจะลงโทษผมที่ห่างจากบ้านมานานเท่านั้นเอง

    “ผมเห็นตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านแล้ว รองเท้าที่ไอ้เผือกใส่มันเขียนคำว่า ‘สะใภ้’ ตัวเบ้อเริ่ม”

    อึก...ทำไมกูไม่เข้าบ้านคนสุดท้ายเมื่อกี้นี้วะ ทำไมต้องให้คุณชลาศัยมาเห็นอะไรที่อัปยศอดสูขนาดนี้ได้ ฮือ กูอยากตาย

    “ถึงยังไง พวกเราอยากให้พวกคุณรับรู้ไว้ถึงความสัมพันธ์ของลูกชายพวกเรา” แม่ไอ้แทนซ้ำอีกครั้งเหมือนเอาเกลือมาย้ำตรงแผลสด

    “จริงเหรอเนี่ย...”

    “...”

    “นี่แม่กำลัง...”  คุณนายศศิประภาย่นคิ้ว อ้าปากค้าง ใบหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ จนผมแม่งอยากไถลตัวไปกอดแม่ใจแทบขาด ไม่เอานะ แม่อย่าร้อง ผมจะร้องตาม อย่า

    “...”

    “จะได้ลูกเขยเหรอเนี่ย”

    สึด!!!กูน้ำตาไหลพรากเลย สงสารตัวเอง

    “ถึงคุณจะดีใจแค่ไหน แต่ผมยังไม่ยอมรับหรอกนะ” จู่ๆกูก็รักพ่อขึ้นมาในบัดดล ไม่มีใครเข้าใจผมได้เท่าคุณชลาศัยแล้ว ผมสาบานได้ “ลูกใคร ใครก็หวง ไอ้เผือกผมเลี้ยงมากับมือ เติบโตมาด้วยลำแข้ง กว่าจะออกมาเป็นหนุ่มรูปงามผิวพรรณดี ตัวขาวขนาดนี้รู้มั้ยว่าหมดต้นทุนเป็นเหล้าขาวสมุทรสาครไปกี่ลัง”

    หักเหลี่ยมสุดๆ นี่พ่อกูมามุกไหน แล้วนี่มันอะไร กูโตมาด้วยข้าวไทยว่ะ ภูมิใจฉิบหาย เรื่องราวเปลี่ยนกลายเป็นหนังคนละม้วน ขนาดไอ้แทนที่นั่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆจนผมรู้สึก

    “สัด มึงหัวเราะทำไมวะ”

    “พ่อพี่นี่น่ารักดีเนอะ”

    “น่ารักบ้าบออะไร เงียบแล้วก็หุบปากเดี๋ยวนี้เลย”

    “หึงเหรอ ที่ผมชมคนอื่น”

    “หึงบ้านมึงดิ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอก สำหรับผม ยังไงพี่ก็น่ารักที่สุด”

    ...ตึก...

    เอาอีกแล้วโว้ย ใจสั่นไม่ดูสถานการณ์ ใจสั่นไม่ดูตาม้าตาเรือ ใจสั่นเชี่ยๆแบบไม่ปรึกษาสัญญาณชีพกูใดใด ผมยกมือขึ้นมากำอกข้างซ้ายซึ่งตรงกับหัวใจแล้วสั่งให้มันหยุด

    “ผมชอบพี่นะ”

    “...” หยุดดิ

    “ชอบ ชอบมาก”

    “...” หยุดซะทีเหอะ

    “ชอบแบบไม่รู้จะรักใครได้อีกแล้ว”

    “มึงหยุดทีเถอะไอ้แทน”

    “ทำไมล่ะ”

    “ใจกูจะไม่ไหวแล้ว”

    “กูก็จะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” ประโยคสุดท้ายมันไม่ใช่เสียงผม ผมหันหัวขวับไปมองตามทิศทางการมาของเสียง เชี่ยเอ๊ย นั่งหน้าขมึงตึงอยู่นั่น พ่อกูไงล่ะจะใครซะอีก “ไอ้เผือก มึงมานี่” เสียงสั่งไม่ถึงขั้นตวาด แต่ผมรู้ตัวดีเลยว่าถ้าไม่ทำตามดวงถึงฆาตแน่ๆ เลยต้องขยับตูดใส่เกียร์ถอยหลังไปนั่งคั่นกลางระหว่างคู่สามีภรรยาเวชสกุล

    “...” แทบกลั้นหายใจ ไม่รู้ว่าถ้าปล่อยเสียงตดหรือเรอไปจะทำให้ถึงตายรึเปล่า

    “บอกตามตรง ผมไม่ได้กีดกันเรื่องที่ลูกชายของพวกเราจะคบกัน”

    “...”

    “ไม่เคยคิดจะเหยียดเพศ”

    “...”

    “ถ้าลูกต้องการอะไร แล้วเป็นสิ่งที่ดีไม่ก่อโทษให้กับคนอื่น ผมก็พร้อมจะตามใจแกทุกอย่าง”

    “...”

    “แต่ที่ผมติดใจอยู่ตอนนี้ คือผมยังไม่รู้จักลูกชายของพวกคุณดีพอ และที่สำคัญ ผมอยากได้ยินจากปากลูกชายผมโดยตรงว่า...”

    ผมเห็นสายตาของพ่อมองมาทางผม เลยได้แต่เอียงคอส่งสายตาตอบกลับไปอย่างงงๆ

    “มึงรักผู้ชายคนนี้จริงรึเปล่า”

    ไอ้เหี้ย งานเข้า

    คุณชลาศัยเล่นกูแล้วไง รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่มีทางพูดเรื่องน่าอายอย่างนั้นต่อหน้าชาวบ้านแท้ๆแต่ก็ยังคาดคั้นให้พูดออกมา จุดอ่อนหนึ่งเดียวที่มีตลอดมาของผมคือคุณชลาศัย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เหมือนจะโดนเดาใจถูกไปเสียหมด พ่อคงรู้ตามเซ้นส์ เพราะถ้าเป็นตามปกติ ผมคงดับเครื่องชนไปแล้ว แต่ความไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่ายมันมากเกินกว่าที่ผมจะหน้าด้านพูดออกไป ใช่...ผมไม่มั่นใจกับตลอดช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ผมได้ยิน ได้เผชิญ ได้เห็น และรับรู้

    ว่าอีกฝ่ายยังคงให้ความสำคัญกับโทรศัพท์สายเดิม กับคนเดิมๆเสมอ...คนที่ชื่อว่ามายด์

    ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่าย ผมก็ได้แต่ย้ำกับตัวเองว่าอย่าได้ใจไป ทุกอย่างที่ไอ้แทนทำมันก็แค่หยอกผมเล่น ไม่มีความคิดลึกซึ้งใดใด พอเจอตัวแม็ค ทุกอย่างก็คงกลับมาเหมือนเดิม กลับไปเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะ หรืออาจจะถึงขั้นกลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปเลยก็ได้

    ผมนิ่งไปนาน ไม่รับรู้เลยว่าเวลาผ่านไปกี่นาที จนกระทั่งเสียงของพ่อฉุดให้ผมหลุดจากภวังค์

    “กลับบ้านกันเถอะ”

    “หา?” ผมหน้าตาตื่น หัวหมุนงุนงงสับสนกับหลายๆเรื่องที่ไปไวจนตามไม่ทัน

    “ผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณชลาศัยกล่าวลาพ่อแม่ของอีกฝ่าย พลางจับแขนผมให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปจนถึงทางออกจากบ้านหลังนี้

    เหมือนราวกับว่าจะไม่มีวันได้กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก...

 

 

 

 

 

    เป็นอย่างที่คิดไว้ ผมโดนคุณชลาศัยกักบริเวณ ไม่ให้มาที่บ้านไอ้แทนอีกเป็นครั้งที่สอง ชีวิตจากที่เคยอยู่หอกลับต้องย้ายมาอยู่บ้าน

    ‘จนกว่าจะคิดตก ห้ามออกจากบ้านไปไหนยกเว้นมหาวิทยาลัย’

    พ่อผมประกาศกร้าวไว้เช่นนั้น พร้อมเตรียมทุกอย่างไว้ครบครัน ตั้งแต่รถยนต์รับส่ง ยันคนขับที่ควบหน้าที่สังเกตการณ์ผม และมือถือใหม่แทนน้องไอโฟนที่แตกร้าว...ซัมซุงฮีโร่...โก้เก๋เอ่าะ!

    ชีวิตที่ไร้ไลน์ อินสตาแกรม เฟสบุค โซเซียลเน็ตเวิร์ค มันก็ดีระดับหนึ่ง ไม่ถูกสภาพแวดล้อมมาทำให้อารมณ์แปรปรวนเสียเท่าไร แต่มันก็เหงายังไงพิกล

    “พ่อมึงเนี่ยเจ๋งว่ะ” ไอ้เดย์ที่นั่งอยู่ข้างๆผมมันโพล่งขึ้นมา ผมลืมไปว่าป๊าผมแม่งเป็นไอดอลนัมเบอร์วันของมัน

    “ชอบนักกูยกให้”

    “ไม่เป็นไร เสี่ยอู๊ดยังเลี้ยงกูไหว” มันยกมือขึ้นปัดๆปฏิเสธเสร็จก็หันกลับไปจ้วงขนมจอลลี่โคล่าที่ซื้อมากินแก้ง่วงระหว่างเรียนต่อ

    “มึงนี่ ยังชอบกินของหวานๆไม่เปลี่ยนเลยนะ” มันหยุดไอ้ขนมจิ๋วที่รูปร่างคล้ายขวดโซดาคาไว้ที่ปากแล้วหันมามองหน้า

    “มันติดเป็นนิสัยแล้วว่ะ มึงเอาป่ะ” คิดไงเอาไอ้อันเดียวกับที่มึงเกือบจิ้มเข้าปากมายื่นให้กูวะ

    “ไม่เอา” ผมสะบัดหน้าหนี แต่แม่งเสือกล็อคท้ายทอยแล้วฝืนยัดเข้ามาในปากผม “ไอ้เชี่ยเดย์ โอ้ยแม่งเปรี้ยวฉิบ!” จะถุยออกตรงนี้แม่งก็ไม่รู้จะเอาไปปาหัวหมาที่ไหน เลยจำใจฝืนอมต่อไป ขนมบ้าอะไรวะโคตรเปรี้ยว

    “ชีวิตรัก มันก็เหมือนขนมจอลลี่โคล่านี่แหละ มีหวานก็ต้องมีเปรี้ยวมันถึงจะสมดุลกลมกลืน”

    แต่ตอนนี้กูกลืนไม่ลงเฟ้ย!

    “ถ้ามึงทนกับความเปรี้ยวนี้ได้ สุดท้ายมึงก็จะได้เจอกับความหวานที่มึงพึงใจ”

    “...”

    “ตอนนี้มึงก็แค่ต้องมาเจอกับอะไรที่เปรี้ยวเข็ดฟัน ถึงกับขั้นทำให้มึงอยากบ้วนทิ้ง”

    “...”

    “แต่ถ้ามึงอดทน กูเชื่อว่ามึงต้องได้ลิ้มรสความอร่อยของจอลลี่โคล่าที่มึงต้องการ” เออจริงของมัน ตอนนี้ขนมในปากผมมันเริ่มมีรสหวานกลิ่นโคล่าแทรกซึมชึ้นมาแล้ว

    “ไอ้เดย์”

    “ว่า”

    “แต่ถ้ากูอมไปจนสุดทางแล้วกูยังไม่เจอความหวานของมันล่ะวะ กูต้องทำยังไง”

    “มึงอย่าแค่อมดิ มึงเลียด้วย เลียให้มากๆเข้าไว เลียไปจนกว่าน้ำจะแตก”

    “สัด” กูอุตส่าห์จริงจัง แม่งเสือกวนกลับเข้าเรื่องใต้สะดือซะงั้น

    “แหม คุณไทม์อย่าโมโหไปดิครับ กูก็แค่ล้อเล่น ถ้าอมๆไปแล้วไม่หวาน ถึงเวลานั้นมึงบ้วนทิ้งก็สิ้นเรื่อง ถึงจะเสียดายตังค์ที่ซื้อมาก็เหอะ แต่ดีกว่าทรมานอมมันต่อไปเปล่าวะ”

    “จริงของมึง” ถ้ารู้ว่าไม่มีทางไปต่อผมก็ควรจะยอมถอยออกมาสินะ

    “เชี่ยไทม์ มีอะไรอยากเล่าให้กูฟังป่ะ” เพื่อนสนิทมันจ้องผมเหมือนอ่านอะไรบางอย่างออกทางสีหน้า

    “ไม่มีอ่ะ”

    “ไม่มีเหี้ยอะไร ดูหน้ามึงสลดยิ่งกว่ากบโดนเหยียบตีน อย่าให้กูต้องถึงขั้นยืมคันฉ่องปูเป้มาเลยนะ”

    “กูแค่คิด”

    “คิดอะไรของมึง”

    “คิดว่าถ้าจบเรื่องน้องฟ้า กูจะถอนตัวออกมา” ไอ้เดย์มันมองผมอย่างงงๆ แล้วถามต่อ

    “ทำไมวะ”

    “กูกำลังจะคายจอลลี่โคล่าที่มันไม่หวานทิ้งไง”

 

 

    ผมมีเวลาคุยกับไอ้เดย์เรื่องไอ้แม็คหลังจากนั้นไม่กี่นาทีก่อนออดเลิกจะดังขึ้น ทำให้รู้ว่าพี่เยนเลขาพ่อมันแม่งสุดยอด สืบไปจนได้ความว่าบ้านใหม่ไอ้แม็คตั้งอยู่ไหนในอเมริกา บ้านไอ้แม็คมันยังไม่ติดตั้งโทรศัพท์บ้าน เลยต้องลำบากขวนขวายส่งจดหมายไปแทน เนื้อความในจดหมายไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่น้องฟ้าท้อง มีแต่บอกให้ติดต่อกลับมาด่วน เพราะกลัวพ่อแม่มันตกใจหากเปิดจดหมายลูกเข้าให้โดยบังเอิญ

    ผมโทรไปเปิดโรมมิ่งนับตั้งแต่วันนั้น เฝ้ารอคอยสายของไอ้แม็คที่ไอ้เดย์มันบอกว่าเขียนเบอร์ติดต่อของผมไปแทบทุกวัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววใครโทรมา

    นี่มันจะผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วนะ ไอ้ที่พี่เยนส่งแม่งอีเอ็มเอสหรือพิราบสื่อสารวะ

    “อะ” ซัมซุงฮีโร่ถูกยื่นส่งมาจากมือใหญ่ๆของคุณชลาศัย เรื่องนี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันหลังกลับมาบ้านของผมไปซะแล้ว ที่ว่าจะต้องเอามือถือผมมาล้างบางข้อมูลการโทรเข้าออกรวมถึงข้อความห่าเหวทั้งหมดในแต่ละวัน คุณชลาศัยไม่อนุญาตให้ผมบันทึกเบอร์แปลกหน้าใดใดลงไปทั้งสิ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพ่อทำไปเพื่ออะไร “ช่วงนี้ทำไมติดมือถือ”

    “เปล่าหนิครับ”

    “เปล่าอะไร ปกติมึงไม่มายืนรอกูกดล้างมือถืออย่างนี้หรอก มีแต่จะกลับไปนอนเล่นที่ห้องให้กูเอาไปให้”

    “ผมอยากเล่นเกม” ศิษย์เก่าสุดหล่อแห่งอัสสัมฯเลิกคิ้ว

    “พีเอสโฟร์ในห้องก็มี”

    “บางครั้งคนเราก็อยากเล่นอะไรที่มันคลาสสิคบ้างเปล่าวะป๊า”

    “ไอ้เกมขนเพชรติงต๊องเนี่ยนะ”

    “ยิงเพชรโว้ย ยิงเพชร” กูต้องเผชิญกับหฤหรรษ์คำหรรษาอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไรวะเนี่ย มีพ่อเป็นคนเกรียนแถมมีเพื่อนเป็นไอ้เดย์ สงสัยได้เจอกันไปจนวันตาย

    “มึงโกรธกูมั้ยที่ทำแบบนี้” จู่ๆ พ่อกูก็เหมือนอยากเข้าโหมดดราม่า ผมมองตาคุณชลาศัยแล้วกล่าวตอบออกไปแบบไม่ต้องคิด

    “ไม่อ่ะ ผมเข้าใจ”

    “เข้าใจ? จริง?”

    “อืม” มองออกใช่มั้ยล่ะ ว่าผมกำลังลังเล ถึงได้ลากผมให้ออกห่างจากสิ่งเร้า ปล่อยให้ความคิดตกตะกอนตามกาลเวลา

    “กูมีมึงเป็นลูกคนเดียว”

    “...”

    “ถ้ามึงอยากได้อะไรกูให้ได้หมด ถ้าเป็นสิ่งที่มึงต้องการ”

    “...”

    “ขออย่างเดียวต้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มึงเสียใจ” ถึงปากจะร้าย แต่พ่อกูโคตรใจดี เห็นอย่างนี้อาจมีคนคิดว่าผมถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เลย คุณชลาศัยแม่งโคตรเขี้ยว แม้กระทั่งตอนอายุต้นๆที่พอแดกเหล้าได้ ก็พาไปเข้าห้องดับจิตกรอกเหล้าจนรู้ลิมิตตัวเอง หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยดื่มเหล้าจนไปทำตัวเมาเละเทะที่ไหน

    ไหนจะตอนที่ดื้อลงไปดิ้นกับพื้นทุรนทุรายเพราะอยากได้เครื่องเกมพีเอสวิต้า คุณชลาศัยก็บอกให้แลกมากับเกรดสี่จุดศูนย์ศูนย์ตอนม.หนึ่ง ด้วยกุศโลบายอันแยบยลทำเอาเด็กโง่ๆอย่างผมเรียนจบออกมาด้วยเกรดสวยๆได้ ผมโคตรนับถือใจพ่อเลย

    “แล้วถ้าสิ่งที่ผมกำลังทำ มันทำให้ป๊าเสียใจล่ะ เป็นป๊า...ป๊าจะโกรธผมมั้ย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้น แต่ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ผมไม่อาจ...ตัดมันไปออกจากสมองได้

    คนเป็นพ่อนั่งนิ่งสบตาลูกชาย ระหว่างเราเหมือนกลายเป็นเดดแอร์ไปชั่วครู่ ผมไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่จึงได้แต่รอคอยคำตอบที่จะหลุดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น

    “ไม่โกรธ”

    “เฮ้ยจริงอ่ะ”

    “ไม่โกรธก็บ้าแล้ว มึงคิดว่ากูบ้าขนาดไม่โกรธมึงเลยเหรอวะ ไอ้เด็กเวร” สึด!! จากดราม่าพ่อกูขยี้จนเหลือแต่หนังนักเลงใต้ดินเลยว่ะ

    “โอ้ยป๊า ใจเย็นก่อนดิ”

    “มึงไปทำอะไรเชี่ยๆไว้มึงบอกกูมา” หันมาเค้นคอกูอีก

    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ยังไม่ได้ทำเลยผมสาบานได้” ยกมือสองข้างทำปรางค์ห้ามสมุทร ถอยหลังอุตลุดไปตั้งท่า โฮ้ย หอบแฮ่กเป็นหมาเลยกู กลัวพ่อจะชูตีนขึ้นลูบหน้า คุณชลาศัยยังไม่วางใจ ขมวดคิ้วเป็นปมอยู่พักให้เล่นเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง จนกระทั่งร่างสูงตรงหน้าผ่อนลมหายใจออกมา

    “ช่างเถอะ แต่มึงจำไว้นะว่าสิ่งที่ทำให้กูเสียใจมากที่สุด คือการที่มึงเสียใจ แต่ไม่ว่ายังไงกูก็จะอยู่ข้างมึงเสมอ”

    ผมเชื่อครับ...ว่าพ่อจะอยู่ข้างผมเสมอ...

 

    Rrrrrrrrrrrr

 

    ความซึ้งมาแบบระยะสั้น เพราะจู่ๆ ฮีโร่ในมือกูก็แผดเสียงออกมา ผมขมวดคิ้วมองเบอร์ประหลาดตรงหน้าแล้วกำลังจะกดรับ

    “เอามานี่” เออ กูลืมไปว่าพ่อกูคุมประพฤติอยู่ เลยต้องยอมจำนนยื่นให้อีกฝ่ายรับไป

    “สวัสดีครับ” สุภาพต่อคนนอกคือวิถีของคุณชลาศัยครับ ทีกับลูกต่างกันหน้ามือเป็นฝ่าตีน ผมยืนมองพ่อคุณพยักหน้ากับฮีโร่ซัมซุงของผมสองสามที ก่อนยื่นโทรศัพท์มาให้ “เพื่อนโทรมา”

    “ใครอ่ะ ไอ้เดย์เหรอ”

    “เปล่า มันบอกว่าชื่อแม็ค”



TBC

+++++++++++++++++++++++++++++++++++


คุณ B52 ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่า  :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เหมือยจะฮา แต่ำไมรุ้สึกถึงความมาม่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)}

บทที่ 22 ตัดใจซ้ำซาก



[แทน สุรบถ]

 

            ...ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดๆนี้ ผมผ่านการทดสอบหัวใจของตัวเองมานักต่อนัก...

            กับเด็กวัยรุ่นซึ่งอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ เอาแต่บ้าบาส ติดเพื่อน ขยันเรียนเพื่อให้เกรดดีไปวันๆ แต่นับจากที่ผมสบตากับอีกคนหนึ่งในวันนั้น โลกทั้งใบของผมมันก็เปลี่ยนไป

            ยอมรับว่าเคยเป็นแค่คนปกติที่เอาแต่เดินออกสื่อให้สาวทั้งในและนอกโรงเรียนได้ยืนกรี๊ดเล่นทุกครั้งที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่เคยนึกจะใส่ใจพวกเธอเหล่านั้นจนถึงกับ...ใจสั่นได้ขนาดนี้ บอกแบบหน้าซื่อๆเลยว่าผมไม่เคยรู้จักความรักจนกระทั่งโตมาถึงขั้นเป็นเด็กม.ห้า

            มารู้ตัวอีกทียามช่วงเวลาเพียงแค่ห้าวินาทีที่สบตาอีกฝ่าย มันก็เหมือนกับมีสารเคมีบางอย่างในร่างกายผมเปลี่ยนไป หัวใจเต้นแบบแปลกๆขึ้นมาอย่างกะทันหัน ปลายนิ้วชื้นเหงื่อจนแทบทำของสำคัญหลุดจากมือ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ว่าต้องการให้อีกฝ่ายสนใจ เลยร้องเรียกออกไปอย่างนั้น

            แปลกกับการที่เริ่มยึดติดกับอะไรบางอย่างของคนอีกคนนึง เรื่องราวในชีวิตเขาซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเราสักเท่าไร จะรู้สึกร่วมกันอย่างมากก็แค่วันที่พี่มันอัพบ่นเรื่องผลการเรียน แรงดึงดูดที่อีกฝ่ายมีคือสิ่งที่ผมหาคำตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่นิ้วโป้งผมมันเกือบลั่นไปกดไลค์ทุกครั้งยามที่เห็นรอยยิ้มอันสดใสของพี่มันเด้งขึ้นมา

 

            ...ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง...

            อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นหลังจากพบภาพของใครบางคนที่อีกฝ่ายนั้นสนิทสนม และทุกคนต่างชงให้เขาสองคน ‘ได้กัน’

            เขาเป็นคนทำให้ผมค้นพบความสุขและความทุกข์ใจไปพร้อมกัน

            ...เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่กลับยินดีที่ได้เจอ...

            และความย้อนแยงนั้นก็ส่งผลกระทบมายังเพื่อนผม ในวันที่ผมมัวแต่เดินวนอยู่หลังห้อง

 

            ‘มึงเอามา’

            เดินกลับมายังไม่ทันถึงโต๊ะประจำตัว เพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันมาตั้งแต่ม.ต้นยันมัธยมหกก็ยืนมือมาอย่างกับกำลังขอส่วนบุญ ผมถึงกับกำสิ่งที่อยู่ในมือไว้แน่นตามสัญชาตญาณพลางซ่อนไว้เบื้องหลัง

            ‘มึงพูดเรื่องอะไรวะ’

            ‘กูรำคาญ’ มันยังไม่ยอมลดมือลง หน้านิ่งของมันไม่บ่งอารมณ์ตามที่พูดแต่เหมือนกำลังลองใจผมอยู่ กับเพื่อนเรื่องความลับไม่เคยมี แต่ก็ไม่เคยบอก แล้วยิ่งเป็นไอ้เสาร์ถึงไม่บอกมันก็มองออกอยู่ดี

            ‘มึงให้กูได้แค่สองทางจริงๆเหรอวะ’

            ‘กูก็ยกทางที่สามให้มึงแล้วไง’

            ‘...’ คือการที่มึงจะจัดการให้เนี่ยนะ

            ‘เออ กูไม่เดินไปหลังห้องแล้วก็ได้’ ปากแข็งไปมีแต่จะทำให้ใจอ่อนแอเปล่าๆ ผมหย่อนตัวลงนั่ง วางเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมบูดเบี้ยวสีขาวลงบนโต๊ะอีกครั้งแล้วกลิ้งมันไปมา

            ‘มึงก็แค่หลง’ ไอ้เสาร์มันไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่เคยคิดขัดอย่างเอาเป็นเอาตาย มันพยายามหยอดคำพูดวันละคำสองคำใส่เผื่อพอให้ใจผมนั้นกร่อนลงได้‘ลองเปิดตามองคนรอบข้างดูบ้าง’ เพื่อนคนนี้มันแอนตี้กับคำว่าเพศที่สาม ไม่รู้ไปโดนใครปลูกฝังให้จำฝังใจว่าเกิดมาเป็นชายไทยแท้ต้องคู่กับแม่หญิง

            จากวันนั้นผมเลยคิดจะลองเชื่อคำพูดเพื่อนสักครั้งโดยการ ‘มองคนรอบข้าง’ บ้าง และสุดท้าย ‘มายด์’ ก็ได้เข้ามาในชีวิตผม

            การตัดใจมันดูเหมือนไม่ยิ่งใหญ่ แต่ผมกำลังตัดใจจากอะไรล่ะ ทั้งที่ให้คำตอบไม่ได้แท้ๆ แต่กลับ...ทรมาน

            กว่าจะใจกล้านึกฮึดกดอันฟอลอีกคนเพื่อตามไปรับไปส่งอีกคนได้ มันลำบากยากเย็นขนาดไหน ผมยังจำวันนั้นได้ดี

 

            ผมเริ่มต้นคบกับมายด์ตั้งแต่ช่วงต้นของม.หก มายด์เป็นฝ่ายเข้ามาหาผมก่อน เธอเป็นผู้หญิงเรียบร้อยน่ารักตรงตามสเป็คผู้ชายทุกประการ เพื่อนๆมีแต่บ่นอิจฉาผมว่าได้นางในฝันของใครหลายๆคนมาครอง การคบกันของพวกเรานั้นราบรื่น ไม่ได้หวือหวาอะไร จะมีก็แต่เพื่อนมาแซวบ้างเป็นบางระยะ มายด์ไม่เคยทำให้ผมขัดใจ เธอวางตัวดีทุกอย่าง ราวกับคุณหนูผู้มาจากตระกูลอันสูงศักดิ์ ส่วนผมก็สนองกลับด้วยการเป็นแบบอย่างแฟนที่ดี ไม่เจ้าชู้ ไม่รุ่มร่าม ไม่เคยทำให้มายด์เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยการล่วงเกินใดใด ผมพยายามรักษาระยะห่างของเราเอาไว้

            แต่เพื่ออะไรล่ะ?

            ‘มายด์รู้สึกเหมือนแทนมีใครอยู่ในใจ’

            คำพูดนั้นกระแทกความรู้สึกผมอย่างจัง ทั้งที่เธอควรเป็นคนที่ผมรัก แต่ในใจผมกลับเรียกร้องบางอย่างที่ขาดหาย บางอย่างซึ่งเป็นภาพลางๆ คลุมเครือ ไม่ชัดเจน และยังคงขมุกขมัวในความรู้สึก ความเฉยชาทำให้เราสองคนไปกันไม่รอด

            ‘เราเลิกกันเถอะ’ ผมไม่ใจกล้าพอที่จะบอกเลิกกับเธอก่อน แต่เธอก็เลือกที่จะเป็นคนเดินจากผมไป ผมคงดูใจร้ายมากในสายตาของเธอ กับคนที่ไม่เคยทำตัวเลวร้าย แต่ก็ไม่เคยทำตัวให้สมกับเป็นคนรัก

            เราจบกันอย่างเข้าใจกัน และเธอก็ยังติดต่อมาหาผมอยู่เรื่อยๆ แต่เป็นในฐานะเพื่อนที่ดีที่คอยให้คำปรึกษากันและกัน หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยคบใครอีก จนเพื่อนๆหลายคนเข้าใจผิดคิดไปเองว่าผมยังตัดใจจากมายด์ไม่ได้ ทั้งที่จริงๆแล้วในหัวผมยังหลงเหลือความทรงจำของใครอีกคน ที่ต่อให้ใช้เจ้ายางลบก้อนสี่เหลี่ยมบูดเบี้ยวอันนั้นลบ ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางออก...

            ความคิดมักมีแรงดึงดูดเสมอ ใครสอนไว้อย่างนี้วะ เออช่างมันเถอะ แต่ที่แน่ๆไอ้ความรู้สึกที่เฝ้าคิดถึงพี่ไทม์ทุกวันมันสำแดงฤทธิ์ตั้งแต่วันที่อยากจะเมากรึ่มๆ ดื่มเหล้าอ่านหนังสือช่วงกลางสอบมิดเทอม ใช่...ในที่สุดผมก็ได้เจอพี่ไทม์

            พี่ไทม์ตัวจริงเป็นคนตลก มักจะโวยวายเป็นเด็กๆทุกครั้งที่ผมทำอะไรขัดใจ แต่ไม่ใช่ความงี่เง่า เพราะงั้นมันถึงทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ แต่จะแปลกมั้ยถ้าผมจะบอกพี่เขาไปว่ายังจำเรื่องยางลบของเราได้อยู่

            ทันทีที่บอกปัดผมรู้ตัวเลยว่าคิดผิด ความผิดหวังในแววตากลมใสและการโดนตะโกนตัดพ้อใส่กลางแสกหน้า ทำให้ผมต้องใจกล้าขับรถมาคว้าตัวรุ่นพี่คนดังแห่งเศรษฐศาสตร์จากใต้ถุนคณะไปทานข้าว หากแต่ความป๊อดที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผมกลับทำให้ปากพล่อยตัดสินใจบอกพี่ไทม์ออกไปว่าไม่ใช่คนนั้น เพียงแค่หวังจะรีเซ็ตความทรงจำเกี่ยวกับตัวผมเสียใหม่ แล้วสุดท้ายพอคู่แข่งอย่างพี่โชปรากฏตัว...

            ...ทุกอย่างก็...พังไม่เป็นท่า...

            กะจะตะล่อมจีบเบาๆ ไม่ให้ไก่ตื่น เพราะกลัวพี่ไทม์ตั้งแง่รังเกียจถ้าอีกฝ่ายไม่เคยคิดคบกับผู้ชาย ที่ไหนได้ผมกลับทิ้งระเบิดลูกแรกโดยการจูบแสดงความเป็นเจ้าของเย้ยคู่แข่งซะงั้น

            ในหัวตอนนั้นผมเอาแต่คิดว่ามันเป็นใครกันวะถึงมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพี่เขาได้ หรือว่าเป็นแฟน แต่ไอ้ท่าทีที่กลัวอย่างกับลูกหมาหางหดเนี่ยมันยังไง โอ๊ยช่างแม่ง ไม่สนใจแล้ว ในเมื่ออยากเป็นเจ้าของนัก ผมก็จะทำให้รู้ว่าผมแม่งเหนือกว่าไอ้บ้านี่เป็นสิบเป็นล้านเท่า แต่ต้องทำยังไงล่ะ...

            ผมจ้องหน้าพี่ไทม์เงียบๆ สายตานั้นเอาแต่มองไอ้เชี่ยนั่นไม่วางตา สนใจผมหน่อยสิ มองมาทางนี้ ถ้าอยากให้ผมช่วยก็มองมา...จนแล้วจนรอดพี่มันก็ไม่ยอมมองมา หงุดหงิดฉิบหาย ผมเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการ...จูบพี่มันซะเลย...

            ปากพี่ไทม์เห็นหมาๆ อย่างนั้นแต่นุ่มนิ่มเกินคำบรรยาย ผมฉวยโอกาสชิมรสอยู่นานสองนาน อยากจะชำแรกแทรกลิ้นเข้าไปให้จูบนี้มันลึกซึ้งกว่าเดิม แต่ท่าทางอึดอัดเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจของอีกฝ่ายมันทำให้ผมได้สติ เลยกระซิบต่อชีวิตให้พี่มัน

            ‘หายใจทางจมูก’

            ดีมาก...ใช่...อย่างนั้นแหละ

            ผมจะได้ทำต่อ...ผมลืมไอ้เชี่ยนั่นไปเลยจนกระทั่งแรงหมัดลุ่นๆแล่นเข้ามากระแทกใบหน้า โดนต่อยแต่ก็คุ้มค่า แถมร่างบางๆอย่างพี่ไทม์ยังเอาตัวมาปกป้องผมเสียอีก อย่างนี้ไม่ต้องบอกแล้วล่ะว่าเจ้าตัวอยู่ฝ่ายไหน

            อยากจะดึงตัวคนข้างหน้าลงมากอด แล้วหอมแก้มสักทีสองทีเป็นรางวัลที่ทำให้ผมประทับใจ

            ...อ้าว ไม่ทันซะแล้ว...

            ท่าทางร่างกายผมมันจะฟังหัวใจที่ร่ำร้องมากกว่าการสั่งจากสมอง ถึงได้ขยับไปกอดคอหอมแก้มนิ่มๆนั่นทันที ทั้งที่ตัวเล็กกว่าไอ้คนหาเรื่อง แต่พี่ไทม์ยังใจกล้ามายืนขวาง หนำซ้ำยังลากผมให้เดินตามไปอีก บอกเลยถ้าปล่อยให้ยืนต่อตรงนั้นไม่เหลือ ได้มีบวกกันซักตั้งจนกว่าจะล้มไปข้างนึงแน่

            หลังจากนั้นผมก็โดนไล่ออกจากห้องในข้อหาแหย่พี่ไทม์มากเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเริ่มกลัวผมเหมือนกับพี่โชที่รุกหนักตั้งท่าจีบพี่มันซะแล้ววะ เรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติของผม ไม่อยากให้จบลงแบบที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ ผมรีบสานสัมพันธ์ต่อด้วยการขอหนังสือเรียน เพียรบอกตัวเองว่าใจเย็นๆอย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างจงทำเพื่อน้อง...น้องชายที่ติดอยู่กับตัวผมเนี่ยแหละครับ...

            เอาล่ะก่อนที่เรื่องจะตัดไปสิบแปดบวก ผมก็ได้มีโอกาสเลี้ยงน้ำ ส่วนพี่ไทม์ก็เลี้ยงข้าวผม วันนั้นคะน้าหมูกรอบหวานมาก หวานจนผมเผลอยิ้มออกมา ไอ้เสาร์มันคิดว่าผมบ้า แต่ผมไม่ได้บ้าหรอก ผมรู้สึกได้เลยว่าผมเริ่มจะจริงจังกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดอย่างในวันนั้นตอนที่ผมยอมสละนัดกับยัยฟ้าเพื่อจะมาหาพี่มันเพียงเพราะข้อความสั้นๆของพี่เดย์

            คนที่หวงน้องเข้าขั้นโคม่าอย่างผมกลับยอมผละออกไป แถมยังขัดใจกับการถูกพี่ไทม์มองเหมือนเป็นเด็ก ห้ามกินเหล้ากินเบียร์ทุกสิ่งอัน เลยแสดงความดื้อรั้นบอกสั่งแอลกอฮอล์ออกไปทั้งๆที่คอไม่แข็ง ทิฐิมันแย้งกับความรู้สึกอยากปกป้องคนข้างกายให้พ้นจากสายตาลามเลียของไอ้เชี่ยพี่โช ความลำบากเลยไปตกกับเพื่อนผมที่ต้องแบกรับภาระชิ้นโตอย่างพี่เดย์กลับหอ โทษทีว่ะไอ้เสาร์แต่เพื่อนมึงคนนี้รู้ใจตัวเองดีแล้ว และไม่พร้อมจะปล่อยมือคนตรงหน้าให้ใครหน้าไหนอีก

            โทรศัพท์ประหลาดดังขึ้นมาตอนผมตั้งใจว่าจะโทรไปหาอีกฝ่าย หนังสือพี่บั๊คถ้าไม่อยากให้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ผมมายืนรอหน้าหอคอยเก้อแบบนี้จะได้มั้ย หน้าจอปรากฏชื่อพี่ไทม์ทำให้ผมคลายความหงุดหงิดลงได้บ้าง แต่พอรับสายอีกฝ่ายกลับเหมือนกำลังสนทนากับใครอีกคนซึ่งผมจำเสียงได้...ไอ้เชี่ยพี่โช ทำไมมันถึงอยู่กับพี่ไทม์ได้วะ ได้ยินชื่อร้านจากปากพี่ไทม์ผมไม่รอช้ารีบเสิร์ชหาแล้วบึ่งรถไปจุดหมายปลายทางทันที

            ถึงไม่รู้สายสนกลในว่าฟ้ามาอยู่กับพี่โชได้ยังไง แต่พี่ไทม์ที่พยายามมาช่วยน้องผมจนเกือบโดนไอ้เชี่ยนั่นทำมิดีมิร้ายเล่นเอาผมปรอทแตก อยากจะทำให้ไอ้บ้านั่นมันหายไปจากโลกนี้ มึงมีสิทธิ์อะไรมาทำพี่ไทม์ของกูวะ เชี่ยเอ้ย...เออ ผมเด็ก ผมขาดสติ ยอมรับ แต่มันสมควรแล้วที่จะโดนอย่างนี้รวมถึงสิ่งที่มันทำกับน้องผมด้วย

            ความสงสัยของผมเริ่มทวีคูณเป็นสิบเท่า จนต้องเอ่ยปากบอกพี่ไทม์ให้ช่วยตามสืบเรื่องฟ้า แต่จุดจบคือการที่โดนพี่ไทม์หลบหน้าไปหลายวัน โซ่ทองคล้องใจพวกเราหลังจากนั้นคือน้องมินสายรหัสพี่ไทม์ ผมเดินเกมส์ไปตามคำบอกเล่าทางไอจี จนเรื่องราวทวีความวุ่นวายมากขึ้นเมื่อผมรู้ว่า...น้องสาวผมท้อง

            แน่ล่ะอย่างแรกคืองงที่พี่ไทม์โดนจับมาเป็นพ่อเด็กแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อย่างที่สองคือไม่เชื่อและอยากจะรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่ ผมเลยพยายามแยกพี่ไทม์ให้ออกห่างจากน้องเพื่อจะได้สะดวกเวลาถาม แต่ทว่า...เจ้าตัวไม่ยอมไป แถมยังยอมรับอีกว่าเป็นคนที่ทำให้ฟ้าท้อง...

            ความจริงปรากฏตอนที่ผมไปหาพี่ไทม์ถึงคลาสเรียน เหตุเพราะผมร้อนใจหลังจากที่ได้รู้ผลตรวจของฟ้าจากญาติสนิทที่เป็นหมอสูตินารีแพทย์ว่า ยัยตัวเล็กท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว ซึ่งมันเกินกว่าที่เจ้าตัวบอกผมไปมาก คุณอาบอกว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับตามที่สัญญากันไว้ แต่มันไม่ใช่ประเด็น เพราะเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือถ้าอาการของคนท้องเริ่มชัดเจนมากขึ้นเมื่อไรมันจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียน และสิ่งที่ใกล้เข้ามาคือผมต้องตามหาตัวคู่กรณีเพื่อมาเคลียร์ทุกอย่างให้เร็วขึ้น โดยที่ผมยังไม่สามารถง้างปากพี่ไทม์ให้คายความลับออกมาได้

            ทั้งที่กังวลเรื่องฟ้า แต่พอมาเจอเรื่องพี่ไทม์กับพี่เดย์ สมองผมเลยหยุดทำงาน ผมผละตัวให้ออกห่างจากพี่ไทม์มาเพื่อเตือนสติตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาหงุดหงิด กะอีแค่การลุกขึ้นมายืนยันความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างคู่จิ้นเดย์ไทม์ตามคำเล่าขานของเด็กทั่วมหา’ลัย ผมจะหงุดหงิดไปเพื่ออะไร มันเป็นแค่ข่าวลือไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพี่เดย์แม่งจะต้องทำท่าจริงจังขนาดนั้นด้วยวะ แถมยังดึงพี่ไทม์ไปหอมอีก โอ๊ย แม่งเว้ย อยากจะพังประตูคลาสเรียนให้รู้แล้วรู้รอด ผมไม่เคยงอนใคร จะมีก็แต่พี่ไทม์เนี่ยแหละที่ทำให้ผมงอนได้งอนดีแถมไม่เคยมีมาง้อ...อ้าวโทรศัพท์ดัง พี่ไทม์นี่หว่า ผมเพิ่งบ่นไปว่าไม่ง้อแล้วทำไมถึงโทรมาล่ะว่ะ คนอะไรโลเลฉิบหาย กดตัดสายแม่งเลย

            คิดว่าจะหนีพ้นไปทำให้หัวหายร้อนได้ แต่เสียงตะโกนของพี่มันกับข้าวของที่ตกกระจายลงพื้นเสียงดัง  ทำให้ผมต้องเร่งรุดไปหาเจ้าตัวด้วยความเป็นห่วง พี่เดย์แม่งหายหัวไปไหนซะล่ะทำไมไม่มาช่วย ผมหงุดหงิดและประชดอยู่ในใจ จนพออีกฝ่ายสารภาพเรื่องพี่แม็คแฟนยัยตัวเล็กออกมาทั้งหมดผมเลยใส่อารมณ์ไปไม่ยั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เล่นเอาคนตรงหน้าถึงกับน้ำตารื้น โอ๊ยผมทำอะไรลงไปวะเนี่ย เด็กชะมัดเลยกู หงุดหงิดพี่เดย์แต่อย่ามาลงกับพี่ไทม์ดิวะ ผมควรจะรู้ว่าคนตรงหน้าห่วงผมแค่ไหนถึงขนาดวิ่งไล่ตามออกมาทั้งที่อยู่ในคลาสเรียนอาจารย์ศราวุธ

            สีหน้าคนตรงหน้าไม่สู้ดีเอามากๆหลังจากผ่านการอ้วกมาถึงสองครั้ง ผมเหมาว่าพี่ไทม์แพ้ท้องแทนน้องผม อาการแพ้ท้องแทนกันเขาว่ากันว่ามาจากความเครียดที่อีกฝ่ายกำลังจะได้เป็นพ่อเด็ก แต่ในตอนนี้พี่ไทม์อาจจะกำลังเครียดเรื่องที่เพื่อนตัวเองหายไปเสียมากกว่า เพราะหลังจากกินข้าวต้มปลาฝีมือผมเสร็จเจ้าตัวก็เข้าสู้โหมดเงียบไม่พูดไม่จา ทำเอาผมกระวนกระวายใจ

            ผมพึ่งรู้ว่าพี่ไทม์แปลกไปอย่างชัดเจนก็ตอนที่อีกฝ่ายเอาแต่อ้อนกอดผม คนนะครับไม่ใช่พระอิฐพระปูน มีคนที่ชอบมาอ้อนกอดขนาดนี้แถมเสื้อผ้าที่มีติดตัวยังน้อยชิ้นจะไม่ให้ผมอารมณ์เตลิดไปได้ยังไง ผมพยายามหักห้ามใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ร่างกายของคนตรงหน้า ร่างกายที่ผมโหยหาในห้วงคนึงทุกครั้งและเผลอใช้จินตนาการนั้นปลดปล่อยตัวเองอยู่ร่ำไป ในที่สุดผมก็ได้ลูบไล้สัมผัสเนื้อแท้ของอีกฝ่าย ความรู้สึกอยากได้มันมีอยู่เต็มเปี่ยม อยากทำให้อีกฝ่ายรัก อยากสัมผัสลึกซึ้งมากกว่านี้ ดูเหมือนผมจะล้อเล่นแต่ถ้าตอนนั้นผมไม่กัดฟันห้ามตัวเองเอาไว้ ผมคงชำแรกแทรกกายเข้าไปแล้วทำให้พี่ไทม์เป็นของผมไปตั้งแต่คืนนั้น

            เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการนึกเป็นห่วงภรรยา เอ๊ย เป็นห่วงพี่ไทม์ที่ดูเหมือนอาการจะไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อวาน เลยจัดการเอาเสื้อผ้ามาสวมให้แล้วออกไปซื้อข้าวให้อีกฝ่ายทาน ผมลังเลอยู่นานว่าจะซื้ออะไร ที่เจ้าตัวกินแล้วสบายท้อง ทานง่าย และมีประโยชน์กับลูกของเรา...ผมตบหน้าตัวเองกลางตลาด จนแม่ค้าทุกร้านหันมามอง จะบ้าเหรอคนที่ท้องนั่นมันน้องมึงต่างหาก หลังจากเถียงกับตัวเองอยู่นานผมก็ตัดสินใจได้ เมื่อซื้อข้าวของเสร็จจึงย้ายตัวเองกลับมาที่คอนโด แต่ใครจะรู้ว่าหายนะมันกำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไปต่างหาก...

            พ่อแม่ผมมาหาแบบไม่แจ้งล่วงหน้า แล้วสภาพที่ผมเห็นก็ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นการพบกันที่ดีระหว่างสองฝ่าย ในเมื่อพ่อผมกำลังจะง้างหมัดต่อยพี่ไทม์ เชี่ยแล้ว ผมปราดเข้าไปขวางกลางวงจนคนเป็นพ่อสงสัย จนในที่สุดผมก็ต้องปล่อยไม้ตายออกไปว่าคนนี้ไงที่เป็น(ว่าที่)แฟนผม

            ผมคิดแล้ว ผมถึงพูด คิดตั้งแต่วินาทีที่รู้สึกดีๆกับพี่ไทม์ ผมวางแผนล่วงหน้ามาตั้งปีกว่าโดยการแอบถามพ่อแม่ทุกครั้งที่มีข่าวคู่รักชายชายแต่งงานกันตามสื่อ ว่าถ้าป๊ากับม้าเป็นพ่อแม่เขาจะรู้สึกอย่างไร คำตอบของท่านทั้งสองทำให้ผมซึ้งใจกับความเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะทำให้เรารู้ว่าต่อให้เกิดมาเป็นอะไรพ่อแม่ก็จะไม่มีวันทิ้งเราเด็ดขาด ความรู้สึกรักและกตัญญูของผมมากขึ้นเป็นเท่าทวี ผมไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลให้มากความอีก ผมรู้แค่ว่าอยากบอกกับพ่อแม่ว่า คนตรงหน้าคือคนที่ผมรัก

            พี่ไทม์ยอมตกหลุมที่ผมขุด ยอมกระโจนลงมาแถมทำให้ผมอึ้งสุดๆด้วยการแนบริมฝีปากของเราทั้งคู่เข้าหากัน บ้าแท้ๆทำอะไรไม่คิด ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าทุกคนผมคงมิดีมิร้ายอีกฝ่ายไปจนถึงขึ้นสามสี่ห้าแล้ว สถานการณ์นี้จบลงง่ายๆด้วยการที่พวกเราห้าคนกินกับข้าวฝีมือแม่ผมฉันท์ครอบครัวอย่างสงบสุข

            ทะเลที่คลื่นลมสงบมักมีพายุตามมาในภายหลัง พี่ตูนสอนให้เรือเล็กควรออกจากฝั่ง แต่ไม่ได้สอนให้ผมนั้นว่ายทวนกระแสน้ำ กระแสน้ำจากความลังเลของพี่ไทม์ที่ไม่ยอมตอบคำถามของผู้เป็นพ่อว่า...รักผมจริงมั้ย

            ...ไม่ได้หวังจะให้รักตอบในทันทีหรอก แต่ความลังเลที่ปรากฏในแววตา มันเหมือนที่ผมทำไปทั้งหมด ไม่เคยมีความหมายอะไรเลย...

            พอมาลองคิดทบทวนดูอีกที ทุกวันนี้มีแต่ผมที่เป็นคนพยายามยัดเยียดความรู้สึกให้อีกฝ่าย โดยที่พี่ไทม์ไม่ได้เรียกร้องอะไร

            ผมห่างออกมาเพียงเพื่อต้องการปล่อยเวลาพาความคิดของอีกฝ่ายให้ตกตะกอน จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนเวลาล่วงเลยผ่านมาครบอาทิตย์

 

            แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าชะตาของผมมันจะมาถึงขั้นที่เรียกได้ว่าจะต้องตัดใจจาก...รักครั้งแรกของผม...

 

            “ผมขอโทษแทนลูกชายของผมด้วย”

            เสียงทุ้มของคนที่เคยใส่ชุดสูทสีดำท่าทางองอาจในวันวาน หากตอนนี้กลับต้องมานั่งคุกเข่าต่อหน้าบุพการีทั้งสองของผม ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ดูเหนื่อยล้าและโทรมลงไปมาก จากคนที่เคยข่มขู่ให้ผมกลัวเพราะหวงลูกชายเพียงคนเดียวตอนนี้เหลือเพียงแต่ใบหน้าสำนึกผิดและต้องการการให้อภัย

            เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นในวันเดียว วันเสาร์เดียวกับที่ผมติดทำเอกสารรายงานกลุ่มก่อนสอบปลายภาค ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีมิสคอลกับข้อความทางไลน์จากฟ้าหลังจากที่ออกมาหาข้าวเที่ยงกิน และข้อความนั้นก็ทำให้ผมถึงกับต้องเหยียบคันเร่งแบบไม่กลัวใบสั่งเพื่อกลับไปหาน้อง

            ...พี่แทน พ่อกับแม่รู้แล้ว...

 

            ผมพยายามโทรกลับไป แต่ฟ้าไม่รับสาย จนสุดท้ายผมก็กลับมาถึงหน้าคอนโด ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปภาพที่ผมเห็นกลับเป็นชายวัยกลางคนที่ผมรู้จัก คนๆเดียวกับที่ยังไม่ยอมรับว่าผมเป็นลูกเขย...พ่อของพี่ไทม์

            ลูกชายเพียงคนเดียวของเขายืนก้มหน้าอยู่ข้างหลัง สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากแดงๆโดนฟันบนกัดจนสีซีดจาง ความเครียดเกร็งส่งผลมาถึงข้อมือเล็กที่โดนเล็บจากอีกนิ้วมือหนึ่งจิกฝังเข้าไปในเนื้อจนแทบห้อเลือด จมูกแดงๆนั้นมันเหมือนกำลังจะสั่งให้ดวงแก้วรื้นใสหลั่งรินน้ำตาให้ไหลลงมา

            ...นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย...

            ผมขยับตัวเข้าไป ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนที่รู้ตัวหันมามอง

            “ไอ้แทน” เสียงพ่อผมเรียก

            “พ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”

            “...” คนเป็นพ่อเหมือนกล้ำกลืนฝืนทนไม่ยอมบอกเล่าเหตุการณ์ที่น่าอับอายขึ้นมา ผมหันไปมองพี่ไทม์แต่อีกฝ่ายไม่ยอมสบตาผม ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองว่าเกิดอะไร จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายพ่อผมที่เอ่ยขึ้นมาตัดความเงียบ

            “แกน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่อย่างนั้นแกคงไม่โกหกพ่อแกหรอกว่าไอ้บ้านี่มันเป็นแฟนแกทั้งๆที่มันทำน้องสาวแกท้องน่ะ!”

            “...!”

            บะ...บ้าน่า ทำไมพี่ไทม์ถึงยอมรับไปว่าแบบนั้น แล้วไหนจะยังคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้อีก

            “พอเถอะครับคุณอา เรื่องนี้ไอ้แทนมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่ขอให้มันทำอย่างนั้น” เสียงของคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาตลอดหนึ่งสัปดาห์ดังขึ้น ผมเห็นร่างโปร่งขยับปากขมุบขมิบไปมา เสียงที่เล็ดลอดออกมาเจือจางราวกับจะขาดใจ แต่มันกลับดังก้องอยู่ในสมองผมว่า ‘ไอ้แทนกูขอโทษ’

            พี่ไทม์จะขอโทษผมเรื่องอะไร ขอโทษทำไม ผมไม่เข้าใจ

            “แล้วตกลงเรื่องนี้จะเอายังไง ลูกสาวผมเสียหาย คุณจะรับผิดชอบยังไง” อารมณ์เดือดดาลของคนเป็นพ่อยังคุกรุ่น ผมเห็นแม่เดินออกมาจากห้องนอนน้องฟ้า ทันทีที่เห็นผม แม่ส่ายศีรษะไปมาพลางหลับตาราวกับว่าช่วยอะไรไม่ได้อีก ใบหน้าของแม่ไม่ต่างอะไรกับคนที่พึ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ มันดูทรมานเกินจะขาดใจ

            “ผมจะขอนัดวันมาสู่ขอลูกสาวของคุณให้กับลูกชายของผม” เสียงพ่อพี่ไทม์ประกาศกร้าว

            “...!”

            มาถึงจุดนี้ผมพูดไม่ออก มันจุกอยู่ในอก ผมไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ จะบ้าเหรอ สู่ขอบ้าบออะไร พี่ไทม์ไม่ได้เป็นคนทำฟ้าท้องแล้วทำไมจะต้องรับผิดชอบแต่งงานด้วย ผมขยับตัวเข้าไปใกล้คนทั้งสี่ ตัดสินใจว่าจะบอกมันทุกอย่างที่ผมรู้ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องมันบิดเบี้ยวจนเสียรูปไปมากกว่านี้ แต่งไปแล้วใช่ว่าจะมีความสุข ทั้งฟ้าทั้งพี่ไทม์ กับความรักปลอมๆเนี่ยนะ ผมไม่เชื่อว่ามันจะยั่งยืนอยู่ได้หรอก

            “พ่อกับแม่เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วครับ พี่ไทม์เขาไม่...” ชั่วพริบตาที่ร่างโปร่งขยับตัวมายืนข้างหน้าพลางยกมือขึ้นปิดปากผม

            “อย่าทำแบบนี้”

            ...เพื่ออะไร...

            “กูเชื่อว่ามันเป็นทางที่ดีที่สุด”

            “ดีบ้าบออะไรของพี่น่ะ!ผมไม่เห็นว่ามันจะดีซักอย่าง!” มันเกินความอดทนของผมแล้ว ผมปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง หมุนตัวคว้ากุญแจรถแล้วเดินกลับไปยังทางเก่า ออกมาจากคอนโด ขับรถพุ่งออกไปราวกับจะหนีความจริง

            มันดีสำหรับพี่แล้วใช่มั้ยกับการที่ต้องให้ผมเก็บกักความรู้สึกเอาไว้โดยไม่สามารถบอกอะไรพี่ได้อีก ความจริงแล้วพี่ไทม์ไม่เคยรักผมเลยใช่มั้ย ถึงได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่จะมาเป็น...น้องเขยของผม

 
[มีต่อด้านล่างนะคะ]

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
[ไทม์ ชลธี]

 

            แทนยังไม่กลับทั้งหอและคอนโด


            อารมณ์ตอนนั้นของอีกฝ่ายคุกรุ่นมากจนเกินกว่าที่ผมจะบอกเล่ารายละเอียดต่างๆออกไปได้

            ตอนครบสัปดาห์ผมได้มือถือกลับคืนมาหลังจากที่คุณชลาศัยเลิกกักบริเวณผม แต่สิ่งที่ตามมากลับเป็นมิสคอลของน้องฟ้าที่ทำให้ผมแทบหยุดหายใจยามเมื่อผมโทรกลับไป

            ‘พี่ไทม์...ฮึก...’ เสียงสะอื้นดังขึ้นจากอีกฝั่ง น้องฟ้ากำลังร้องไห้

            ‘ฟ้า นี่ฟ้าใช่มั้ย’ ผมร้อนใจทันที ‘ฟ้าร้องให้ทำไม เกิดอะไรขึ้น’

            ‘แม่ฟ้า...แม่ฟ้าเจอที่ตรวจครรภ์ในห้อง’

            ‘...!’

            ผมที่เพิ่งปรับความเข้าใจกับคุณชลาศัยได้หมาดๆมีอันต้องขับรถมาถามเหตุการณ์ถึงที่ แล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นไอ้แทนเตลิดออกไปจากคอนโดแล้วไม่กลับมาอีกเลย

Time Chonlatee
ฟ้า พี่แทนกลับมารึยัง

            ผมส่งกลับไปถามย้ำกับน้องฟ้าทั้งที่ผ่านมายังไม่ถึงสิบนาที

In a blue sky
ยังเลยค่ะ พี่ไทม์


            ขอสักนิดให้ผมสบายใจอย่างคำว่ากลับมาแล้วไม่ต้องเป็นห่วงจะได้มั้ย

            ผมนั่งถอนหายใจใส่โทรศัพท์ กดเข้าหน้าจอไลน์ของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วทุกครั้งมันก็จบลงที่ประโยคคำถามของผมที่ปราศจากการอ่านของมันโดยสิ้นเชิง

            ไอ้ไทม์...มึงก็โง่จริง โทรศัพท์มือถือมันไม่เปิดแล้วมันจะเอาปัญญาที่ไหนมาอ่านข้อความของมึงได้ ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนออกมาเป็นรอบที่ร้อยของวันก่อนวางโทรศัพท์ลงข้างกายเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านในจิตใจ แต่แล้วใจผมก็ต้องลิงโลดขึ้นมาใหม่เมื่อโทรศัพท์สั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง มือผมคว้าหมับจับจ้องไปที่หน้าจอถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นข้อความจากน้องฟ้า

In a blue sky
รู้ที่อยู่พี่แทนแล้วค่ะ พี่ไทม์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ


Time Chonlatee
มันอยู่ไหน

            ไม่ได้เป็นคนเร้าหรือ แต่พอยิงไปประโยคแรกรออยู่นานกว่าสิบห้านาทีก็ยังไม่มีประโยคตอบกลับ ผมร้อนใจเลยถามไปใหม่อีกรอบ

Time Chonlatee
ฟ้า มันอยู่ไหน

In a blue sky
อยู่ที่ร้านเหล้าค่ะ


Time Chonlatee
อยู่กับใคร

            ทำไมไปอยู่ร้านเหล้า ถ้าเมาหนักๆแล้วใครจะดูแล ไอ้แทนมันยิ่งคออ่อนอยู่ด้วย

In a blue sky
ฟ้าไม่บอกพี่ไทม์ได้มั้ย


            ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ แล้วมันก็ดูท่าจะไม่ดีต่อจิตใจผมเป็นอย่างมากด้วย แต่ผมก็ยังจะถามออกไป

Time Chonlatee
ทำไมล่ะ

In a blue sky
ฟ้ากลัวพี่ไทม์ไม่สบายใจ


Time Chonlatee
...
ไม่เป็นไร บอกพี่มาเถอะ

In a blue sky
พี่มายด์ค่ะ
พี่แทนอยู่กับพี่มายด์



            โดนหมัดต่อยหน้าผมคิดว่ายังไม่เจ็บเท่านี้เลย นี่คือคำตอบของทุกอย่างสินะ คำตอบตั้งแต่ผมตัดสินใจว่าจะให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น...



 


[แทน สุรบถ]

 
            ผมกำลังเมาต่อหน้าอดีตคนรักเก่าของผม มายด์ยื่นมือขาวๆมาด้านหน้าพลางปัดไปมาเหมือนทดลองสติที่มีอยู่เลือนลาง

            “แทนเมามากแล้วนะ”

            “เราไม่เป็นไร”

            “ไม่เป็นไรได้ไง โยกเยกอย่างกับตุ๊กตาล้มลุกขนาดนี้ แล้วอย่างนี้ใครจะพามายด์ไปส่งที่คอนโดได้ล่ะ มันดึกแล้วนะ”

            “เดี๋ยวให้ไอ้เสาร์มันไปส่ง” ผมยกมือถือขึ้นมากดหาเบอร์ฉุกเฉิน ไอ้เสาร์เพื่อนร่วมอุดมการณ์มาตั้งแต่ม.ปลาย แต่วันนี้ที่ผมมาดื่มกับมายด์ได้ เพราะบังเอิญมายด์โทรมาหาผม เธอมาทำธุระแถวมหาวิทยาลัยผมพอดี ไม่งั้นคนที่จะต้องมานั่งกรอกเหล้ากับผมคงหนีไม่พ้นไอ้เพื่อนซี้คนนี้เป็นแน่

            “แล้วนี่ไปโดนอะไรมาล่ะ ถึงได้ยอมเมาหัวราน้ำขนาดนี้ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ดื่มแท้ๆ”

            “หึ” ผมได้แต่หัวเราะขึ้นจมูก รู้สึกดูแคลนชีวิตตัวเองเหลือเกินที่บังเอิญไปรักคนเขาที่ไม่ได้รักเรา

            “เอ๊า ถามดีดียังมีมาพ่นลมจมูกใส่อีก” มายด์เธอเป็นคนแบบนี้แหละครับ ผมเพิ่งรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายหลังจากที่เราเปลี่ยนสถานะมาคบกันในฐานะเพื่อน รู้สึกเธอเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นหลังจากที่เราเลิกกัน ดูมีความสุขแบบไม่ต้องฝืนสร้างภาพการเป็นคู่รักสมบูรณ์แบบอย่างที่ใครเข้าใจ

            “อกหักน่ะ”

            “หา?”

            “หมาหัวเน่าเลยล่ะคราวนี้ ยิ่งกว่าตอนที่มายด์บอกเลิกกับแทนซะอีก”

            “อาภัพชีวิตรักจังนะคุณสุรนก”

            “จะว่าอะไรก็ว่าเถอะ” ผมฟุบลงกับโต๊ะ ตอนนี้มันยิ่งกว่านกซะอีก เงาหัวเราเขายังไม่สนเลยมั้ง

            “อย่าบอกนะว่ากับคนที่เป็นรักแรก”

            “ยิ่งกว่ารักแรกอีก” เพราะพี่ไทม์เป็นรักเดียว ไม่เคยมีรักที่สองครั้งไหน ไม่เคยมีใครแทนคนนี้ได้ และผมก็คิดว่ามันคงเป็นรักครั้งสุดท้ายของผม

            “อาการหนักนะเรา” เหมือนมายด์จะยื่นมือลูบหัวผมราวกับปลอบใจลูกหมา

            “...”

            “กลับมาคบกับมายด์มั้ยล่ะแทน”

            ผมชักหน้ากลับขึ้นมาแทบไม่ทัน ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าสวยงามนั้นผมรู้จักมันดี

            “จะลองใจแทนเหรอ”

            “แล้วได้มั้ยล่ะ” เธอเท้าคางพลางส่งสายตามาให้ ผมรู้ตอนนี้มายด์ก็ยังไม่มีใคร เพราะดูเหมือนเธอยังรักในชีวิตโสดสวยของเธออยู่

            “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็จบลงแบบเดิมอีก”

            “ไอ้จบที่ว่า...หมายถึง...จบแบบที่ยังไงแทนก็ไม่สามารถลบเขาออกไปจากใจได้เสียทีสินะ” เธอยิ้ม เธอรู้ดีทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าผมยังคงตามหาใครอีกคนที่อยู่ในใจระหว่างที่เราสองคนคบกัน

            “แทนว่าพวกเรากลับกันดีกว่า” ผมขี้เกียจฟังสิ่งที่ทำให้ผมเฮิร์ทแล้ว ผมโทรหาไอ้เสาร์ให้มันมารับมายด์ไปส่ง ส่วนผมก็ขอกลับไปค้างหอมัน เพราะผมยังไม่พร้อมที่จะกลับหอตัวเอง

 

            ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่กลับบ้าน ไม่อยากรับรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายกำลังดำเนินการเตรียมงานไปถึงขั้นไหน ไม่อยากรับรู้ว่าของชำร่วยเป็นอะไร ไม่อยากรับรู้ว่าเชิญใครมาบ้าง

            ‘อย่างน้อยนี่ก็งานแต่งน้องเรานะ’ ผมโดนแม่ต่อว่าที่หายหัวไปไม่โผล่มาช่วยงาน หลังจากนั้นผมก็พาลปิดมือถือ ตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดตัวเองออกจากโลกนี้

            ผมเพิ่งรู้ว่าการอกหักก็ทำให้คนเราขยันขึ้นมาได้ ขยันเพื่อเลิกฟุ้งซ่านถึงอีกฝ่าย เพื่อให้ความทรงจำนั้นหายไปตามกาลเวลา วันๆผมเอาแต่นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่ก็ไปนั่งแช่อยู่ที่ร้านกาแฟซึ่งอยู่ห่างไกลจากผู้คน แต่บางห้วงอารมณ์ที่สติหยุดนิ่งผมกลับนึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันทรมานที่หัววนเวียนอยู่ซ้ำๆกับเรื่องเก่าๆ เรื่องที่เราได้ใช้ความทรงจำร่วมกันมา

            เมื่อไรผมจะลืมพี่ไทม์ได้สักที ผมไม่จำเป็นต้องมีความทรงจำอะไรของอีกฝ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ บางคราวผมก็ปาดน้ำตาที่ไม่ได้แสดงออกมาต่อหน้าใคร หรือผมควรจะไปแสดงความยินดีเป็นครั้งสุดท้าย ผมอาจจะตัดใจได้จากสิ่งนั้น ซึ่งมันคือความเป็นจริงที่ผมควรจะยอมรับ...

 

            และแล้วก็มาถึงวันฤกษ์มงคลตามที่แม่ผมได้บอกไว้ ผมลุกขึ้นมาแต่เช้าหาชุดงานแต่งที่เข้ากับทีมสีฟ้าตามชื่อฟ้าครามน้องสาวของผม สูทสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงเข้าทรงตัวเดียวกับที่พี่ไทม์เคยชมตอนที่ละลาบละล้วงเปิดตู้เสื้อผ้าผมถูกหยิบขึ้นมาใส่ ผมอยากดูดีในสายตาของเขา ต่อให้ดวงตาคู่นั้นจากนี้ไปจะกลายเป็นของคนอื่น รถยนต์ฮอนด้าซีวิคที่จอดไว้ที่เดิมใต้หอไอ้เสาร์ถูกขับรถไปยังโรงแรมที่จัดงาน

            ดูเหมือนจะใจกล้ากับการที่ต้องไปงานแต่งคนที่ผมรักที่สุดทั้งสองคน แต่ผมก็ยังอ่อนแออยู่ดี ผมทิ้งเวลาไว้ ให้งานเริ่มไปก่อน พอมาถึงที่หมาย ใจที่เคยสงบนิ่งกลับสั่นระรัวขึ้นมามากกว่าเก่า จนผมแทบจะหักพวงมาลัยขับย้อนกลับไปยังหอเหมือนเดิม แต่ทว่าถ้าผมยังหนีต่อไป ผมก็จะต้องหนีไปทั้งชีวิต ผมส่ายหัวไล่ความคิดอันเลวร้าย จอดรถแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องจัดงาน

            ตามทางมีทั้งหน้าจอแอลอีดี ป้ายนำทางไปยังห้องจัดงานแต่งอีกหลายคู่ วันนี้คงเป็นวันที่ฤกษ์ดีอีกหนึ่งวัน ผมควรจะทำให้มันดี ควรจะอวยพรงานแต่งในฐานะพี่ชายและรุ่นน้องที่เคยเป็นแค่คนรู้จักของอีกฝ่าย ผมมองป้ายหน้าจอที่ปรากฏเป็นสไลด์ภาพถ่ายของน้องสาวผม...กับใครอีกคน...ซึ่งมันทำให้ผม...

            ตกตะลึงอยู่นาน...

            “บ้า...น่า...” สติผมกำลังโดนปั่นป่วนกับความจริงที่ปรากฏตรงหน้า เท้าทั้งสองรีบก้าวเดินไปยังห้องจัดเลี้ยงไม่รอช้า และทันทีที่ผมเปิดประตูก้าวเข้าไป ป้ายชื่อขนาดใหญ่ก็ตอกย้ำความจริงตรงหน้าผมอีกครั้ง

            “ฟ้าคราม...พลเทพ”

            “ไอ้แทน!” เสียงเพื่อนผม ไอ้เสาร์มันร้องเรียก มันยืนอยู่ไกลออกมาจากเวทีที่กำลังมีการจัดพิธีการ ร่างสูงๆกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพลางทำหน้าเดือดเนื้อร้อนใจ

            “นี่มันเรื่องอะไรวะ”

            “กูก็ตั้งใจจะโทรหามึงตั้งแต่แรกแล้ว แต่ลืมไปว่ามึงแม่งเสือกปิดโทรศัพท์ไปเป็นที่ทับกระดาษตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน”

            “เรื่องอื่นค่อยว่ากันได้มั้ย นี่มันเรื่องอะไรกูถาม” ผมจะบ้าตาย ไอ้คนที่มันนั่งอยู่กลางพิธีไม่ใช่พี่ไทม์ แต่เป็นพี่แม็คเพื่อนพี่มันชัดๆ แล้วไหนจะแบล็คดรอปที่อยู่หน้างานซึ่งเต็มไปด้วยภาพพรีเว้ดดิ้งที่ผมเพิ่งวิ่งผ่านมาของคนทั้งคู่อีก

            “จะอะไรซะอีกล่ะ ทุกคนโดนพี่ไทม์กับเพื่อนมันตลบหลังเข้าเต็มๆ งานนี้มีได้สวดยาวๆจากพ่อแม่มึงอีกแน่ๆ ดีที่พวกท่านยังมีสติไม่ตกใจหงายหลังตึงลงไปซะก่อนตอนที่มาถึงหน้างาน”

            “ยังไงวะ กู...ไม่เข้าใจ”

            “กูได้ยินว่าไอ้พี่แม็คมันกลับมาจากอเมริกาก่อนงานแต่งสองสามวัน มาเตรียมงานเงียบๆ บังคับเปลี่ยนทั้งการ์ดและป้ายงานรวมถึงยอมเสียตังค์ค่าปิดปากหลักล้านให้บริษัทจัดงานแต่ง แลกกับการยอมเสียชื่อเสียงว่าพิมพ์การ์ดผิดพลาดเพราะลืมลบชื่อเจ้าบ่าวคนเก่าทิ้ง ดีที่เป็นแค่งานเล็กๆเชิญกันแต่คนในครอบครัวกับพวกญาติๆทางนั้นเลยยอมทิ้งศักดิ์ศรีแลกกับเงินก้อนโต ก่อนหน้าที่งานจะเริ่มไอ้พี่แม็คมันยังเอาพวงมาลัยมาคุกเข่าขอขมาพ่อแม่มึงบอกว่ารักน้องมึงมากจริงๆ ไม่เคยคิดทิ้งและจะรับผิดชอบดูแลเขาทุกอย่าง”

            “ละ...แล้วพี่ไทม์ล่ะ” คนของผม...เขาไปไหน ผมกวาดตามองแต่ไม่เห็นวี่แววของเจ้าบ่าวคนก่อนหน้าเลยสักนิด

            “กูก็ไม่รู้ ไม่เจอตั้งแต่ตอนมางานแล้ว”

            “กูต้องไปหาเขา” ผมตั้งท่าจะวิ่งออกไป แต่กลับโดนเพื่อนรั้งเอาไว้

            “เฮ้ย อยู่ให้จบงานก่อนดิวะ งานน้องสาวมึงเลยนะ”

            “แต่...”

            “มึงโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว มึงต้องหัดคิดนะว่าตอนนี้พ่อแม่ต้องการมึงแค่ไหน” สายตาผมเหลือบไปมองพ่อแม่ ท่านทั้งสองยังคงดูอ่อนไหวกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ทำใจยิ้มสู้ ไอ้เสาร์มันพูดถูกผมควรจะอยู่ตรงนี้ อยู่จนกว่างานจะจบ

 

 

            งานจบไปโดยทิ้งคราบความอ่อนล้าไว้บนใบหน้าของเจ้าภาพ น้องสาวผมยืนกอดพ่อแม่อยู่นานรับคำอวยพรก่อนจะเข้าห้องหอ

            “ดูแลน้องให้ดีนะ”

            “ครับ”

            “อย่าทำให้น้องเสียใจอีก ถ้าทำอีกกูจะฆ่...”

            “ไม่เอาน่ะพ่อ วันนี้วันมงคลนะ ต้องพูดแต่เรื่องมงคลสิ” แม่ผมตีปากพ่อไปหนึ่งยก ก่อนหันมาทางคู่บ่าวสาวอีกครั้ง

            “ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม” พี่แม็คยกมือไหว้ด้วยใบหน้ารื้นน้ำตา “ผมสัญญาว่าจะหนักแน่นให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้ฟ้าต้องเสียใจอีก”

            “ฝากดูแลพี่เขาด้วยนะลูก แล้วก็ขอโทษจริงที่พี่เขาทำให้ผิดหวังเสียใจ จากนี้ขอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่อย่างเข้าใจกันนะ” พ่อแม่ฝ่ายชายบอกขอขมาพลางกล่าวอวยพร ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าห้องหอพี่แม็คเหลือบมองมาทางผมวืบหนึ่ง

            “แทน” คนหนุ่มในชุดขาวเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ ผมขยับเข้าไปจนยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน รอให้อีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน

            “ที่แล้วๆมากูขอโทษด้วยนะ ไอ้ไทม์มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง มันหวังดีกับทั้งกูทั้งน้องมึงทุกอย่าง”

            “...” ผมรู้ดี ตอนนี้ผมรู้ดีมากกว่าใคร

            “มันตั้งใจจะบอกมึงแล้ว แต่มันติดต่อมึงไม่ได้”

            “ตอนนี้พี่รู้มั้ยว่าพี่ไทม์อยู่ไหน” ใครก็ได้ช่วยบอกผมที ผมอยากจะเจอ อยากจะเจอใจจะขาดอยู่แล้ว อยากเข้าไปกอดแล้วขอโทษที่ต้องให้เผชิญกับเรื่องยุ่งยากคนเดียว อยากขอโทษที่ทิ้งไปในช่วงที่สภาพจิตใจเลวร้ายที่สุด

            เจ้าบ่าวส่ายหัวอย่างแรงแบบคนจนหนทาง “กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ไหน พอสอบปลายภาคเสร็จ มันก็บอกกับกูว่าจะขอไปทำใจซักระยะ ทั้งที่บอกว่าให้มางานแต่งกูก่อนแท้ๆ”

            ทำไมผมใจไม่ดีกับคำว่า ‘ทำใจ’ของพี่ไทม์เลยสักนิด ผมกลัวว่าพี่ไทม์จะทำเหมือนกัน เหมือนตอนที่ผมพยายามจะลบความทรงจำของอีกฝ่ายไปจากใจ...



TBC
++++++++++++++++++++++++++++++++


ใกล้จบแล้วคะ...นานจนจะครบรอบหนึ่งปี เข็นๆๆ :hao5:

คุณ songte ตอนนี้ไร้มุกแอนด์ดราม่าตามที่คาดการณ์ไว้ ให้กำลังใจแทนไทม์กันต่อไปนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่า
:mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2018 22:14:58 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)}

บทที่ 23 แล้วเราจะได้เจอกันอีก [END]


ทำใจ...ทำใจ...ทำใจ

งี่เง่าว่ะ งี่เง่าฉิบเป๋ง ผมแม่งงี่เง่าสุดขั้วโลกเลย ตอนนั้นน่าจะใจเย็นฟังคนที่ยื่นมือมาปิดปากผมให้ดีซะก่อนที่จะหุนหันพลันเล่นวิ่งออกไป คิดๆดูแล้วถ้าพี่ไทม์บอกพ่อแม่ผมออกไปว่ายัยฟ้าท้องกับเพื่อนตัวเอง ทั้งๆที่ยังตามหาอีกฝ่ายไม่ได้พ่อผมจะอารมณ์ขึ้นขนาดไหนลองถามใจตัวเองดู ตอนนั้นคอนโดคงถล่มฟ้าดินคงทะลายแล้วได้มีคนตายกลางสถานที่เกิดเหตุแน่ๆ

‘กูเชื่อว่ามันเป็นทางที่ดีที่สุด’

ผมยังจำสีหน้าวันนั้นของพี่ไทม์ได้ เจ้าตัวดูเหมือนจะกังวลแต่ก็มั่นใจกับบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

คิดๆแล้ว ความจริงยังมีอีกคนนึงที่ผมควรนึกถึง ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรไลน์ไปหาอีกฝ่ายทันที




“ก๊อก ก๊อก”

ยืนอยู่ซักพัก เสียงกุกกักที่ดังอยู่อีกฟากประตูก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ไม่นานบานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นคนหนุ่มตัวสูงในชุดลำลองขาสั้นบางๆยืนค้อมตัวเอาแขนพาดกับวงกบประตูยื่นหน้าออกมา เชี่ยนี่แม่งทำตัวสบายเกินไปเปล่าวะ นี่มึงอยู่ในห้องคนอื่นนะ เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด แต่ก่อนที่ผมจะแสดงพฤติกรรมไม่สมกับเป็นรุ่นน้องออกไป พี่มันก็ทักขึ้นมาให้เสียก่อน

“ไง นี่มึงวาปมารึเปล่าวะเนี่ย เร็วสัด” อีกฝ่ายพูดพร้อมทำตาโต สาบานว่าผมไม่เคยชอบใบหน้านี้ เพราะมันเป็นใบหน้าที่ผมนึกหมั่นไส้ปนอิจฉา อิจฉาที่อีกฝ่ายได้อภิสิทธิ์ในการอยู่ข้างพี่ไทม์ตลอดเวลา กะอีแค่ฐานะเพื่อนสนิทมันค้ำคอ

“พี่ไทม์ อยู่ไหนครับ” ไม่แม้แต่จะทักทาย ผมอยากเจออีกฝ่ายใจจะขาดอยู่แล้ว พอได้ยินอย่างนั้นไอ้พี่เดย์มันก็ชักสีหน้า ก่อนขยับตัวเข้ามาขวางเต็มประตูพลางกอดอกราวกับจะหาเรื่อง ถ้าจะจัดกันซักยกตรงนี้ผมไม่อิดออดหรอกบอกเลย หวงกันออกนอกหน้าขนาดนี้มันเกินกว่าเพื่อนแล้ว ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าผมกับพี่มันวัดกันซักตั้งแต่ใครจะแพ้จะชนะ

“หยุดเลย มึงไม่ต้องคิดจะวางมวยตอนนี้” เหมือนพี่มันอ่านใจผมออก “ไอ้แทน กูถามจริงๆเถอะ นี่มึงเกลียดอะไรกูมากรึเปล่าวะ”

“...” ถามอย่างนี้ พี่มันยังไม่รู้อีกเหรอวะ

“หรือหึงกูกับไอ้ไทม์”

“...”

“โอเค อาการชัดเจน มึงไม่ต้องบอกกูแล้ว ถามจริงเหอะ ถ้ากูเป็นอะไรกับไอ้ไทม์แล้วกูจะช่วยมึงเพื่ออะไรวะ ให้ได้โล่รางวัลเพราะรองดีเด่นหรือไง”

“ผมไม่อยากระแวง แต่การกระทำของพี่ทำให้ผมระแวง”

“อ๋อ...อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องตอนคาบศราวุธน่ะ มึงแม่งหัดดูให้ออกด้วยดิว่ามันเป็นแค่การแสดง”

“แล้วพี่จะแสดงไปเพื่ออะไร”

“ตอนนั้นมึงยังไม่รู้เรื่องของไอ้แม็ค แล้วไอ้ไทม์มันกำลังวางแผนจะไปดักไอ้แม็คที่สำนักทะเบียนพอดี กูก็ต้องช่วยไม่ให้มึงตามมันไปดิวะ เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วใครจะมาช่วย”

“มันไม่ใช่แค่นั้นดิ ที่พี่ทำตัวเป็นคู่จิ้น ประกาศตัวเป็นแฟนกันตั้งแต่ปีหนึ่ง แถมหอมพี่ไทม์ออกสื่อ พี่ทำไปเพื่ออะไรวะ”

“...” พี่เดย์มันนิ่งไป ซักพักก็เดาะลิ้นส่ายหัวราวกับระอาอะไรอยู่นักหนา

“เป็นเชี่ยอะไรพี่” ชักฉุนเล็กๆแล้วว่ะ

“ที่แท้มึงแม่งก็ส่องไอ้ไทม์มาตั้งแต่ม.หก”

“...” ผมหน้าตึง พูดไม่ออก ว่าตัวเองแอบส่องเฟซบุ๊กเพจโรงเรียนพี่มันมานานขนาดไหน

“กูจะบอกให้ ที่กูทำไปทั้งหมดเพื่ออะไรรู้เปล่า”

“...”

“ก็เพื่อไล่ไอ้พี่โชไปจากไอ้ไทม์มันไง”

“กะแค่ไล่จำเป็นต้องทำขนาดนี้รึปล่าวะ”

“กับคนที่เกือบจะปล้ำเพื่อนตัวเองน่ะนะ ถ้ากูยอมใช้ชื่อตัวเองเป็นโล่ได้ กูก็ยอมทำเว่ย!”

“...!”

ปะ..ปล้ำ?

ผมจำได้ว่าพี่โชมันเคยเกือบจะปล้ำพี่ไทม์ครั้งนึง ตอนที่อีกฝ่ายไปช่วยฟ้า แต่เหตุการณ์มันเพิ่งเกิดมาไม่นานนี้นี่หว่า แล้วทำไม...

“ตอนปีหนึ่ง ตอนไปเที่ยวรับน้องที่ต่างจังหวัด ไอ้เชี่ยพี่โชมันแกล้งป่วยขอให้ไอ้ไทม์มันช่วยเฝ้าไข้ ตอนนั้นไอ้ไทม์มันก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ แต่กูเห็นสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่มันมองไอ้ไทม์มาตั้งแต่ตอนวันแรกพบแล้ว สายตาดูเหมือนจะกลืนไอ้ไทม์ไปทั้งตัวอยู่รอมร่อ กูเอะใจเลยแอบหนีกิจกรรมตอนดึกมาดูมัน ที่ไหนได้ไอ้เชี่ยนั่นแม่งต่อยเพื่อนกูซะจุก ถ้ากูไปไม่ทันป่านนี้มันคง...”

ตุบ!!

พี่เดย์เบิกตาโตมองผมที่ทุบกำปั้นลงวงกบประตูอย่างลืมตัว เชี่ยเอ๊ย สัดโช อย่าให้กูเห็นหน้ามึงนะ กูจะเอาคืนแทนพี่ไทม์เป็นสิบเท่า จะกระทืบมันให้เข้าโรงพยาบาลไม่ต้องกลับออกมาเรียนอีกหนึ่งปีเต็มเลย

“ไอ้แทนมึงใจเย็นนะ” คนตรงหน้ายกสองมือขึ้นทำท่าเหมือนห้าม พร้อมกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ราวกับว่ากลัวจะโดนลูกหลงไปอีกคน

“ผมมาบอกพี่”

“บอกอะไร”

“ว่าผมมาทำหน้าที่แทนแล้ว ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมันมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีพี่ไทม์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง” พอพูดจบ คิ้วได้รูปของพี่เดย์ยกขึ้นสีหน้าประหลาดใจแสดงให้เห็นแค่แว็บเดียว ก่อนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของพี่มันออกมา

“มึงแม่งโคตรหลงไอ้ไทม์เลยเนอะ”

“ไม่ได้หลงครับ”

“...”

“แต่รัก”



ในที่สุดผมก็โดนปล่อยให้มาเจอกับพี่ไทม์ ด่านพี่เดย์แม่งยิ่งกว่าผ่านประตูเงินประตูทองตอนงานแต่งยัยฟ้าที่ผมได้ดูจากวิดีโอที่ไอ้เสาร์เปิดให้ดูเสียอีก เพื่อนตัวดีของพี่ไทม์บอกว่าเจ้าตัวเพลียจัดจนเผลอหลับไปในห้องเพราะเมื่อวานมัวแต่ช่วยงานแต่งเพื่อนแม็คที่มาแบบเซอร์ไพรสชาวบ้านชาวช่องจนหัวหมุน อดตาหลับขับตานอนมาตลอดทั้งคืน สภาพตอนนี้คงยิ่งกว่าผักลวกจิ้มน้ำพริกอีกมั้ง

ผมเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนที่เปิดแง้มไว้ มือค่อยๆดันมันเปิดออกอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวคนในห้องจะตกใจตื่นแล้วเพลียหนักกว่าเก่า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นก้อนผ้ากลมๆที่ขดอยู่บนเตียง มีเพียงจังหวะกระเพื่อมขึ้นลงที่บ่งบอกถึงการมีชีวิต ผมค่อยๆย่องเข้าไปใกล้จนถึงข้างเตียง ร่างของคนที่ผมคิดถึงนอนหันข้างขดตัวหลับตาพริ้มมาทางผม ใบหน้ายังคงความอ่อนล้าที่ปิดไม่มิด แต่ก็ยังน่ามองสำหรับผมเสมอ ผมตกหลุมรักรอยยิ้มของคนตรงหน้ามาตั้งแต่แรกพบแล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมหลง...และรักอีกฝ่ายมากขึ้นหลังจากที่ได้รู้จักนิสัยได้ยังไง ผมค่อยๆนั่งลงข้างเตียงจ้องใบหน้าอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ก่อนขยับมือไปปัดผ้าห่มออกจากแก้มใส

“งื้อ...ไม่เอา...ผ้าห่ม” ร่างในผ้าห่มขยับตัวยุกยิกอย่างรำคาญ สะบัดมือสะบัดแขนจนหลุดออกมาจากผ้าห่ม

ฉิบ...กะจะไม่ทำให้ตื่นแท้ๆ

แต่สักพักเจ้าตัวกลับสงบนิ่งลงอย่างเก่า ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าพี่ไทม์ได้กลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

ฮู่...

ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก กลืนน้ำลายพลางขยับสายตาไปมองร่างตรงหน้าอย่างเก่า แต่บางสิ่งบางอย่างที่หลุดออกมาจากผ้าห่มพร้อมกับแขนขาวๆนั้นกลับทำให้ผมสะดุดใจ มันเป็นแผ่นกระดาษแข็งขนาดเท่ากับโปสการ์ดพื้นสีฟ้าเข้มเต็มผืน ปรากฏลวดลายก้อนเมฆมากมายอยู่ในนั้น

นี่มัน...การ์ดแต่งงานของยัยฟ้าไม่ใช่เหรอ

ผมขยับมือไปจับขอบกระดาษแล้วกระตุกออกจากมือร่างบางเบาๆ ก่อนหยิบขึ้นมาพินิจพิจารณา ทำไมพี่ไทม์จะต้องเอาการ์ดแต่งงานยัยฟ้ามานอนกอดด้วยเนี่ย แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนตัวอักษรด้านหน้าก็เล่นเอาผมถึงกับใจสั่นเต้นรัวแล้วเปลี่ยนมาเป็นยิ้มจนแก้มปริ

ฟ้าคราม(ถูกขีดฆ่า) สุรบถ♡ชลธี

ที่แท้ก็เป็นการ์ดชุดแรกที่พี่แม็คไปบอกกับใครต่อใครว่าบริษัทรับจัดงานแต่งทำผิดพลาด แต่พี่ไทม์คงคิดว่ามันผิดพลาดตั้งแต่ที่ชื่ออีกฝ่ายเป็นฟ้าครามอยู่แล้วล่ะมั้ง
แต่...มีใครเคยสอนบ้างมั้ยว่าต้องใช้ชื่อเจ้าสาวมาก่อนชื่อเจ้าบ่าว
ผมเหลือบสายตาไปเห็นปากกาเมจิกที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง จึงเอื้อมมือไปหยิบมันมาขีดๆเขียนๆลงไปใหม่

ฟ้าครามสุรบถ(ถูกขีดฆ่า) ชลธี♡ชลธี(ถูกขีดฆ่า)สุรบถ

แต่งงานกับผมนะครับพี่ไทม์

จูบลงไปเบาๆที่ชื่อของอีกฝ่าย เอาการ์ดวางลงบนโต๊ะหัวเตียงอย่างทะนุถนอม แล้วหันกลับมามองคนที่หลับเป็นตายไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรอีก เพราะพี่มันน่ารักอย่างนี้แหละมั้งไอ้เชี่ยพี่โชมันถึงอยากจะได้พี่ไทม์อยู่นั่นแหละ คราวนี้ผมสาบานเลยว่าต่อให้ใครหน้าไหนเข้ามา ผมก็จะขู่เป็นหมาบางแก้วเอาให้กลัวขี้หดไปข้างนึงเลย

เห็นคนข้างใต้หลับตาสบายก็อดที่จะหาวตามไม่ได้ ช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวแต่นึกถึงพี่ไทม์ ผมค่อยๆขยับจนขึ้นมาบนเตียงได้ทั้งตัว ใช้มือยันหัวส่วนอีกข้างก็ฟาดเอวอีกฝ่ายไว้ ตะแคงมองคนที่กึ่งๆจะอยู่ในอ้อมกอดของผม ก่อนขยับเข้าไปประทับริมฝีปากที่หน้าผากพี่ไทม์เบาๆ เหมือนเจ้าตัวจะมีเรดาห์จับความอุ่นได้เลยขยับตัวเข้ามาหาผมใหญ่พลางซุกหน้าเข้ากับอก

“รักจัง” ผมอุทานเบาๆ พลางหอมขวัญบนหัวทุยๆของอีกฝ่าย

เฮ้อ...นี่ผมจะตายเพราะความรักมั้ยนะ


รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ความมืดเริ่มโรยตัวจนมองไม่เห็นอะไรในห้อง ผมรู้สึกแค่ว่าความอบอุ่นในอ้อมกอดนั้นหายไปเลยทำให้ตกใจผุดลุกขึ้นจากเตียง

“พี่ไทม์” ผมเผลอหลับไป แล้วตอนนี้คนที่ควรจะอยู่ข้างๆผมก็หายไปแล้วด้วย ไม่มีไออุ่นหลงเหลือที่เตียงแม้แต่นิด เดาได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องออกไปนานแล้ว “โธ่เว้ย!” ผมพรวดพราดจากเตียงเดินออกไปนอกห้องก็ไม่พบแม้แต่เงาของใครบางคนในห้อง

ป่านนี้แล้วจะไปไหนได้ ผมรีบล้วงมือถือขึ้นมากดโทรหาแล้วก็เป็นไปตามคาดว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง ผมเลยตัดสินใจโทรหาพี่เดย์อีกครั้ง

[อ้าว กูก็ปล่อยให้มึงอยู่กับมันสองต่อสองแล้วทำไมมาถามกู]

...โกหกน่า...

“พี่ไทม์ไม่ได้ไปหาพี่เดย์เหรอ”

[เปล่า ตั้งแต่แยกกับมึงกูก็ขลุกเล่นเกมส์อยู่ที่หอตลอด เกิดอะไรขึ้นวะ]

“เปล่าครับ ถ้าพี่ไทม์ติดต่อไป พี่เดย์บอกผมด้วยนะ”

[เออ ถ้ามันติดต่อมากูจะโทรไปหามึง]

ผมวางหูโทรศัพท์จากพี่เดย์ ในหัวได้แต่คิดหาจุดที่พี่ไทม์จะสามารถไปได้





“ลมอะไรหอบมาได้ล่ะ”

ผมยกมือขึ้นไหว้คนที่หน้าตามีส่วนละม้ายคล้ายพี่ไทม์ จะต่างก็ตรงที่ส่วนสูงและความขรึมที่เป็นไปตามแบบฉบับของความเป็นผู้ใหญ่ คุณชลาศัยพ่อของพี่ไทม์

“สวัสดีครับคุณพ่อ” คิ้วคุณชลาศัยกระตุกทันทีที่ผมเรียกคำแทนตัวท่าน แต่กลับไม่ทักท้วงอะไรแล้วปล่อยผ่านไปเฉยๆ

“ถ้าจะถามถึงไอ้เผือกมันไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะ”

“ทำไมถึง...”

“แค่เห็นหน้าก็เดาได้แล้วว่ามาเรื่องอะไร”

“น้ำกับขนมจ่ะ” คุณแม่ของพี่ไทม์เดินเข้ามาในจังหวะที่ผมกำลังจะต่อบทสนทนาพอดี เธอวางแก้วน้ำเปล่ากับขนมคุกกี้จานน้อยลงบนโต๊ะตรงหน้าเพื่อต้อนรับแขก ก่อนขยับตัวไปนั่งข้างคุณชลาศัยพลางถือถาดเอาไว้

“ขอบคุณครับ”

“หนูแทน ไม่ลองไปหาพี่เขาที่หอดูก่อนเหรอ ตั้งแต่ก่อเรื่องไปคราวนั้นก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะกลับบ้านเลย” แม่พี่ไทม์ยกมือขึ้นจับแก้มตนเอง ถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา ราวกับระอากับพฤติกรรมลูกคนเดียวของเธอ เรื่องที่ได้ยินจากปากคุณแม่ทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย

“พี่ไทม์ไม่ได้กลับบ้านเลยเหรอครับ”

“คงสำนึกผิดล่ะมั้งที่ทำให้พ่อตัวเองต้องไปคุกเข่าต่อหน้าคนอื่น ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นความผิดของฝั่งนี้ด้วยซ้ำ” เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า เรื่องนี้ ตอนนั้น ที่คอนโดของฟ้า คุณพ่อของพี่ไทม์ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ...

“เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้น จู่ๆเดินมาบอกว่าทำผู้หญิงท้อง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา แถมอีกฝ่ายยังเรียนไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ แล้วยิ่งพอถามว่าท้องได้นานเท่าไรแล้ว บอกว่าสามเดือน แม่จะเป็นลมให้ได้ พ่อเขาเลยต้องรีบไปแสดงความรับผิดชอบกับอีกฝ่าย ในฐานะลูกผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิง”

“พอกลับมากะว่าจะสั่งสอนมันเสียหน่อย ว่าทำอะไรไม่คิดถึงสถานะฝ่ายหญิงบ้าง อนาคตคนทั้งคน เด็กกำลังเรียนหนังสือแต่กลับต้องมานั่งเลี้ยงลูกแทนมันใช่ที่ไหน แต่พอกลับมามันกลับร้องไห้ซะยกใหญ่ เห็นแล้วก็ทรมานใจ พอยิ่งบอกว่าไม่เป็นไรก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า ให้มันได้อย่างนี้สิ”

“ใจเย็นๆสิคะคุณ” พ่อพี่ไทม์กำหมัดแน่น ส่วนคนเป็นแม่ก็ได้แต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“อาขอโทษกับเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นด้วยนะ” คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองหน้าผมพร้อมกับพูด

“ทางผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้ ขอโทษจริงๆครับ” มันไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีเลย ถ้าทำผิดก็ยอมรับผิด พ่อพี่ไทม์โคตรจะลูกผู้ชายตัวจริง ท่านกำลังจะกลายเป็นไอดอลผมไปแล้ว

“ถ้าเจอพี่เขา แม่ฝากดูแลเขาด้วยนะจ๊ะ”

“ไปฝากมัน ดูแลทำไม” คุณชลาศัยกัดฟันหันไปแหวใส่แม่พี่ไทม์เบาๆ “แล้วทำไมไม่เรียกแทนตัวเองว่าน้า”

เออ...แฮะ แค่ขอโทษไม่ได้หมายความว่ายกลูกชายให้สินะ ผมพึ่งตระหนักได้

“คุณพ่อคุณแม่ครับ” สะดุ้งยกแผง เรียกมันโต้งๆแบบนี้แหละงานถนัดของผม “ทุกอย่างที่ผ่านมาอาจจะมีเรื่องโกหก หรือไม่เป็นความจริงอยู่บ้าง แต่จากนี้ไปสิ่งที่ผมพูดจะเป็นความจริงทั้งหมดครับ”

“...”

“ผมรักลูกชายของพวกคุณ”

“...”

“แต่ผมไม่ให้สัญญาหรือสาบานหรอกนะ ว่าต่อจากนี้ไปอีกห้าปีหรือสิบปีข้างหน้าผมจะยังอยู่ข้างพี่ไทม์และรักเขาตลอดไป”

“อ้าวไอ้นี่!” เหมือนพ่อพี่ไทม์จะขึ้น ผมเลยต้องรีบพูดต่อให้สุด

“เพราะผมจะสนใจแต่วันนี้ และผมจะทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดครับ”

“...”

“ได้โปรดให้โอกาสผมเถอะครับ” ผมหลับตาก้มหัวลงอย่างขออนุญาต รอฟังคำตอบรับด้วยใจที่เต้นระรัว นี่ผมกล้าพูดออกไปได้ไงเนี่ย นั่นมันหมายความว่าต้องให้ลูกชายคนเดียวของพวกเขาคบกับผู้ชาย ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูกหลานให้ปู่กับย่าได้อุ้มเล่นอีกแล้วนะ ให้ตายเถอะ

...แต่ใจของผม ติดอยู่ที่พี่ไทม์ จนเกินเยียวยาแล้วครับ...

ผมรู้สึกได้ถึงอาการถอนหายใจเบาๆ ก่อนเสียงของผู้เป็นพ่อจะดังเข้าหูผม

“มึงจะทำอะไรก็ทำเถอะ อย่างน้อยนั่นก็ลูกชายกู ถ้ามันเจ็บอย่างมากมันก็กลับมารักษาตัวที่รังของมัน”

“ส่วนผมถ้าทำให้พี่ไทม์เจ็บ ผมก็จะพยายามปรับปรุงตัว รักษาไม่ให้ลูกชายของคุณพ่อต้องกลับมาเลียแผลที่รังของตัวเองครับ”


สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ ทั้งพี่เดย์ พ่อแม่พี่ไทม์ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวไปไหน ผมต้องไปพึ่งใบบุญใครกันล่ะทีนี้ ระหว่างที่อุทรณ์ร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจ แรงสั่นสะเทือนก็ฉุดรั้งความสนใจทั้งหมดของผมไปที่กระเป๋ากางเกง มือถือผมสั่น หรือว่าจะเป็นพี่เดย์ ผมลนลานรีบล้วงมันออกมา แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นแจ้งเตือนจากไอจีที่มีคนแท็กถึงผม ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะดูรูปตัวเองที่โดนใครต่อในแท็กมาหาหรอกนะ หากชื่อคนที่กดส่งมากลับทำให้ผมคิดเอะใจอะไรบางอย่างจึงกดเข้าไปดู

Bell Meaw Meaw นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันค้า OMG!!! แทนเธออยู่ไหน เธอต้องมาตอบคำถามนี้ให้ชั้นนะ @Sky of Tan

สาบานเลยว่าถ้าไม่กลัวตาหลุดกูก็อยากขยี้ตาแม่งสิบสามล้านรอบ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นภาพแอบถ่าย เพราะเป็นภาพขยายที่ดูเหมือนมีสิ่งรบกวนเป็นแสงสลัวยามค่ำคืน ออกจะดูเบลอๆอยู่หน่อยๆหากแต่ยังมองออกว่าใครเป็นใครได้อยู่
สภาพแวดล้อมโดยรอบให้ผมเดาทั้งสองคนในภาพคงอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งริมทาง อีกฝ่ายใส่ชุดเหมือนเพิ่งกลับมาจากเดินทางไปเที่ยวห้างที่ไหนส่วนอีกคนกลับใส่ชุดชิลๆเสื้อยืดกางเกงขาสั้นตัวเดียวกับที่ผมเห็นในห้อง ระหว่างที่ผมกำลังจัดระเบียบความคิดในสมอง จู่ๆกองทัพข้อความก็เด้งขึ้นมา

Y w Y พี่เขาจะไปกินข้าวกับใครมันก็เรื่องของเขารึเปล่าวะแกรรร

Kaijig Hanjig @Y w Y มันจะเป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้าเขาไปกินกับคนอื่น

Bell Meaw Meaw @Y w Y @Kaijik Hanjik ถูกกกกก

Love cute boy ใคร เค้าเป็นใครเหรอ คนที่หล่อๆตัวสูงๆดูแบดบอยคนนั้น แถลงการณ์ให้ชั้นฟังด้วยค่ะ ชั้นมาเป็นติ่งช้าไปหน่อยยยย

Bell Meaw Meaw พี่โชแปง เสดสาดปีสาม

Kaijig Hanjig พี่โช เสดสาดจ้า



ยิ่งกว่าได้ข่าวว่าดาวอังคารเป็นบริวารโลกอีก...ไหนว่ากลัวมันนักหนาแล้วทำไมไปกินข้าวกับมันได้วะ ไอ้พี่ไทม์เอ๊ยยยยย


Y w Y พี่เขาเป็นใครเหรอ พี่รหัสหรืออะไร แปลกตรงไหนบอกด้วยยยยย

Love cute boy ชื่อนี้คุ้นๆ อดีตแบดบอยประจำเสดสาดนิ

Bell Meaw Meaw แล้วก็เป็นอดีตคนที่เคยตามจีบพี่ไทม์ตอนปีหนึ่งด้วยไงล่ะจ๊ะ โอ้ยยยยถ่านไฟเก่ายังร้อนรอวันรื้อฟื้น #เพลงพี่เบิร์ดก็มา



เห็นแบบนี้ผมก็ไม่อยากให้พลังมโนของพวกเธอพาให้คิดจนไกลเกินไปเลย จิ้มกดมือถือยิกๆพิมพ์ส่งไป


Sky of Tan ไฟไหม้ที่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมจะไปดับให้

Y w Y กรี๊ดดดดด นักดับเพลิงแบบนี้หาได้ที่ไหนคะ ขอสองที่ค่ะ!!

Kaijig Hanjig แทนๆๆๆๆๆมาแล้วววววว

Love cute boy โอ๊ยยมอดไหม้มอดไหม้ ขอเบอร์ติดต่อหน่อยค่ะ จะโทรไปเรียกมาดับเพลิงในใจ

Bell Meaw Meaw @Sky of Tan แก้ไขพิกัดให้แล้วนะคะ เชิญตามไปจิกเมียกลับมาได้เลยค่ะ



ส่งเสริมกันจัง แต่ผมก็ชอบนะที่เรียกแทนพี่ไทม์ว่าเมียผม ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นก็เถอะ เมื่อได้ที่อยู่มาแล้วจะรออะไรล่ะครับ ก็ตามไปสิ แต่ก่อนไปขอผมอ่านคอนเมนต์สุดท้ายจากผู้ชายคนนี้ก่อนนะครับ...อดีตบอดี้การ์ดพี่ไทม์


Sad day special @Sky of Tan หน้าที่มึงแล้วนะ ฝากจัดการด้วย


Sky of Tan @Sad day special จากนี้และตลอดไป วางใจได้เลยครับ



มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวเปรต เออผมจงใจเรียกมันผิดๆเองแหละ อารมณ์กำลังไม่ดี ภาพที่มินน้องรหัสพี่ไทม์โพสต์ไว้ราวกับถูกก๊อปปี้แล้วเอามาวางมันตรงนี้ ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ ไอ้เชี่ยพี่โชมันกำลังสูดก๋วยเตี๋ยวกินข้าวกับพี่ไทม์อยู่จริงๆ ริมทางซะด้วย คนแม่งแอบถ่ายรูปกันยกใหญ่ในฐานะที่เป็นคนดังของเศรษศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะคนของผมพี่ไทม์ตัวขาวจั๊วที่ตอนแรกมันแอบบ่นว่ากลัวคนดูขามันนักหนา แล้วไหงมาใส่กางเกงขาสั้นนั่งเปิดหวอให้คนอื่นดูได้วะเนี่ย ยิ่งคนที่มันนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยแล้ว แม่งยิ่งน้ำลายสอจนล้นชามก๋วยเตี๋ยวแล้วมั้งนั่น

ท่าทีเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ผมพอจะคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ย ว่าพี่มันกำลังกลุ้มเรื่องผมอยู่ ปกติถ้าอีกฝ่ายยิ้มร่านั่งราดพริกน้ำส้มลงชามเป็นวรรคเป็นเวรอยู่ล่ะก็ ผมคงไม่หน้าด้านเดินเข้ามาประชิดจนติดขอบสนามได้หรอก

“อร่อยป่ะ” ประโยคแรกทักไปแม่งเล่นตะเกียบตก ผมถึงกับเปิดที่เก็บ หยิบตะเกียบขึ้นมาแต่ไม่ยื่นให้ ก่อนถือวิสาสะนั่งลงเก้าอี้ตัวที่สามที่อยู่ระหว่างกลางของคนทั้งคู่ เจ้าตัวดูไม่ง้อแถมยังทำท่าจะเปิดฝาพลาสติกหยิบอันใหม่ แต่ผมก็ไวกว่าเอามือวางทับได้เสียก่อน

“ไอ้แทน” พี่ไทม์มันประท้วงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หูย แม่งโคตรคิดถึงเสียงนี้ที่เรียกชื่อผมเลย ไม่ได้ยินมานานกี่วันแล้ววะ

“ครับ” ขานนิ่งๆ ไม่ทุกข์ร้อน โหมไฟที่กรุ่นในใจพี่มันต่อไป อย่างน้อยก็รู้แหละวะ ว่าพี่มันยังเหลียวแลผมอยู่บ้าง ไม่ได้เมินเฉยแล้วลุกหนีจากโต๊ะไปดื้อๆ จนพี่มันทนไม่ไหวคว้าไอ้ช้อนสั้นจ้วงเนื้อเป็ดติดหนังที่นั่งจิ้มอยู่จนถึงเมื่อครู่นั้นขึ้นมา เมื่อกี้ยังนั่งเขี่ยอย่างกับกั๊ตจังจิ้มขี้แล้วมาหิวอะไรตอนนี้ล่ะวะ แต่แล้วพฤติกรรมของพี่มันก็ทำให้ผมสะดุด

ตัก หล่น ตัก หล่น เนื้อเป็ดแม่งยาวกว่าช้อน เซอร์ไอแซค นิวตันไม่ได้บอกว่าแอปเปิ้ลเท่านั้นที่แพ้แรงโน้มถ่วงโลก ผมเลยนั่งดูคนน่ารักพยายามมันต่อไป

“ฮ่วยแม่ง มึงเป็นเป็ดหรือเกรดกูวะ ร่วงอยู่ได้” ฉุนเฉียว สอบไฟนอลกูทำพี่มันเกรดร่วงไปกี่ตัววะ ไม่น่าก่อเรื่องช่วงนั้นเลย เป็นห่วงเกรดอนาคตเมีย บ่นกับเป็ดเสร็จแม่งเหมือนหมดหนทางไปเลยหันมายกช้อนจับชามเล็งศูนย์กลางขยี้ลงไปบนเนื้อเป็ดเป็นการใหญ่

“โว้ย หั่นก็ไม่ขาดด้วยเนี่ย”

“เหมือนความสัมพันธ์พี่กับผมไง”

“...”

“ต่อให้พี่พยายามตัดยังไงก็ไม่ขาด”

“...” มุกเสี่ยวๆอย่างนี้นานปีจะมีหนเดียว แล้วผมก็จะเล่นกับคนๆเดียวด้วย พี่มันอ้าปากพะงาบพะงาบเหมือนอยากกินหอยมุกบ้านผม จนกระทั่งมีอีกเสียงดังขึ้นมาขัด

“ใครให้มึงนั่งตรงนี้วะ” โชแปงที่ใครๆก็เรียกกันว่าแบดบอยแห่งเสดสาด หรือแปลเป็นไทยว่าเด็กชายชั่ว...อ้าวแรงไปเหรอ โอเคผมเรียนวิศวะฯยังไม่อยากโยกสายไปแปลภาษา มันนั่งจ้องหน้าผมโดยใช้มือค้ำตะเกียบอยู่ ในที่สุดก็เงยมามองหน้ากูซะทีนะ ไอ้สัดตาส่อนชอบมองของขาวเอ๊ย

“ที่สาธารณะไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่กูนั่งอยู่”

“เฮียเม้ง ผมนั่งตรงนี้ได้ป่ะ” ยืดตัวตะโกนไปถามคนที่ยืนเต้นฉกเส้นมีเหงื่อเกาะพราวใบหน้าอยู่ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเงยหน้ามามองผมรอบนึงก่อนตอบ

“เอาตีน เนื้อ เส้น หรือเกาเหลา” เชร้ดดดด เกือบคิดว่าจะโดนตีนเจ้าของร้านมันซะแล้ว ไม่เสียทีที่ฝากท้องที่นี่เป็นประจำนับตั้งแต่เข้ามาปีหนึ่งได้ครึ่งเทอม

“ขอเกาเหลาใส่ทุกอย่างเอาน้ำเข้มๆครับ เพราะผมเริ่มไม่กินเส้นกับคนข้างๆแล้ว” เหลือบไปมองคู่อริหยั่งเชิง ผมได้สิทธิ์ในการนั่งจากการสั่งเกาเหลาเฮียเม้งแล้ว ไม่นานเกินรอเกาเหลาก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าไวเสียยิ่งกว่ากูกลั้นหายใจอีก ผมหยิบช้อนขึ้นมาหั่นเป็ด ชั่วพริบตากับที่เห็นพี่ไทม์เอื้อมมือจะไปคว้าตะเกียบอีกรอบ แต่บอกแล้วผมไวกว่าเลยตะครุบมือเนียนๆของเจ้าตัวไว้ คนอดอยากอาหารเย็นเลยจ้องตากับผมเป็นการใหญ่พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ไอ้แทน มึงจะไฝว้กับกูใช่ป่ะ” โหยดุว่ะ พี่ไทม์ดุ ดุได้น่ารักอย่างนี้มีที่ไหนวะ

“เปล่า แค่อยากให้ลองชิมเป็ด” ใช้มือเดียวจับช้อนตักเนื้อเป็ดขึ้นมาจ่อปากได้รูปของพี่มัน ทำเอาตากลมๆเบิกโพลงแบบเดาใจผมไม่ได้

“เป็ดกูก็มี”

“แต่เป็ดผมอร่อยกว่า” ต้องพูดเบาหน่อย เพราะของเฮียเม้งแม่งเน้นคุณภาพที่เท่าเทียมกัน เป็ดโป๊ยฉ่ายเจ้าดังขนาดนี้ถ้าผมไปดิสเครดิตคงเสียทีเจ้าของร้านน่าดู

“อร่อยกว่าบ้านมึ...อื้อ” จับเอาเอ๊ยจับยัดครับ ไม่เต็มใจผมก็ไม่แคร์ หั่นให้แล้วต้องกิน พี่ไทม์เคี้ยวหน้าเป็นตูดแบบจำยอมแต่เพราะคงอร่อยมั้งไม่งั้นคงได้มีด่าอีกยกนึง

“ไทม์” กำลังสวีทหวานแหววไม่ทันไรก็โดนเสียงสัมภเวสีเข้ามาขัด มึงนั่งดูเป็นผู้ชมที่ดีอยู่เฉยๆไม่ได้หรือไงวะพี่โช ไอ้แบดบอยเสดสาดปีสามมันกำลังยื่นตะเกียบตัวเองมาให้พี่ไทม์ “เอาของพี่ไปใช้”

“แล้วทำไมพี่ไทม์จะต้องไปดูดน้ำลายอันเดียวกับพี่ด้วยวะ”

“เพราะไทม์เป็นแฟนกู”

หา?


เมื่อกี้พี่มันพูดว่าไงนะ


“มึงได้ยินมั้ย ว่าไทม์เป็นแฟนกู” ผมตบตัวเองในสมองที่มันวิ้งๆอยู่ตรงนั้น หันไปมองหน้าพี่ไทม์ที่โคตรนิ่งแบบไม่คิดจะทักท้วงอะไรแล้วใจมันแป้ว แต่อย่าคิดว่ากูจะหลงผิดเป็นครั้งสอง สัด เป็นแฟนแล้วไงวะ กูจะแย่งซะอย่างมีปัญหาเหรอ คว้าแบงค์ม่วงได้หนึ่งใบไม่รอช้าตีป้าบลงโต๊ะสแตนเลสจนน้ำข้นแม่งกระเพื่อม เสร็จก็หันไปสั่งลาเฮียเม้ง

“เฮียผมห่อกลับบ้าน!”

“เกาเหลาบ้านมึงห่อได้เหรอวะ สัดแทน” อ้าวรู้ชื่อกูไปอีก เฮียเม้งหนอ

“ใส่ถุงก็ได้!” เพื่อความปลอดภัยกูยอมใส่ถุง ลูกน้องเฮียเม้งแม่งก็ไวป่านจรวดคว้าชามเกาเหลากับข้าวเปล่าผมได้เสร็จ เรียกคิวเอสามสามห้ารับยาที่ช่องสองแล้วเขวี้ยงถุงน้ำแกงให้ ผมพลิกตัวรีบจ้ำเท้าออกมาคว้าแขนขาวได้ก็...

...ฉุดแล้วฉิวดิครับจะรออะไร...

“เฮ้ยตังค์ทอนมึง!” เสียงตะโกนไล่หลังของเฮียเม้งนั้น ไม่ทำให้กูสะทกสะท้าน ผมได้แต่วิ่งหมุนหัวกลับมาตะโกนโหวกเหวกตอบรับจากที่ไกลๆสวนกลับไปให้เป็นการหยามหน้าไอ้พี่โชมันว่า

“ผมเลี้ยงไอ้พี่บ้านั่น ไม่ต้องทอน”

จบเทคหนึ่งของผม...ได้ตัวพี่ไทม์มาแล้ว ที่เหลือก็คือใจสินะ






เคยได้ยินคำว่าแพ้มั้ยครับ แพ้แบบขาดลอยเพราะการเงียบของคนๆนึง คนที่ผมไม่เคยคิดว่าเจ้าตัวจะไม่ทักท้วงหากโดนคนที่เกลียดและกลัวซึ่งหน้ายัดเยียดสถานะว่าแฟนให้แบบจังเบ้อเร่อ

นั่นมัน...พี่โชเลยนะ พี่ไทม์แม่งคิดอะไรอยู่วะ...

ผมมาถึงหอแล้ว จับแขนพี่ไทม์ไม่ปล่อย กลัวพี่มันหนี หายไปทีให้ตามซะเหนื่อย แล้วแถมยังไปโผล่กับใครไม่ว่า ไปอยู่กับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเสียอีก

“...”

“...”

เออเงียบ สงสัยตอนวิ่งผมทำปากพี่ไทม์หล่นแล้วลืมเก็บกลับมาด้วย

“มีอะไรจะอธิบายผมมั้ย” ผมมันคนทนความเงียบไม่ไหว ชีวิตต้องการอะไรครื้นเครง บรรยากาศซึมเศร้าตอนนี้อย่าหวัง ผมจะทำลายให้หมด มานี่ มามองหน้ากูนี่ พี่ไทม์ อย่าหลบสายตาผม

ผมขยับมือสองข้างไปประคองแก้มนุ่มยกขึ้นแล้วบีบจนปากยู่

“อื้อออ ไอ้แทนมึงจะทำอะไรวะ” อ่าวก็เอาปากมานี่หว่า มือของอีกฝ่ายยกมาพยายามจับข้อแขนสองข้างของผมง้างออก แต่ก็ไม่เป็นผล

“ความหล่อตกพื้นเหรอ”

“หา?”

“ก้มหน้าอยู่ได้”

“เปล่า ใช่ที่ไหนล่ะวะ”

“ปากแข็งอีก เดี๋ยวก็จูบให้หายแข็งเลย” ลนลาน ขยับตัวยุกยิกใหญ่เลยครับ แต่ถ้าใช้แรงเต็มที่ผมคงจะกระเด็นมากกว่านี้ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย แต่นี่ดูเหมือนจะยังไม่เปิดระบบต่อต้านสักเท่าไร

“ไอ้แทน มึงแม่งทำไมชอบอ้อยคนไปทั่วอย่างนี้วะ” ฮะ? อ้อย ผมอ้อยใครวะ พี่มันเอาอะไรมาพูด

“ผมก็อ้อยแค่พี่เนี่ยแหละ ผมจะไปอ้อยใครได้อีก”

“เออ ช่างมันเถอะ” อ้าวไม่ตอบคำถาม แถมยังปัดมือผมทิ้งได้สำเร็จอีก “กลับไปได้รึยังกูจะนอน”

“ผมกลับไม่ได้”

“เชี่ยแทน มึงอย่าดื้อด้านนักได้มั้ยวะ”

“ผมดื้อด้านอะไร ก็นี่มันห้องผม” แตกสนิทหมอไม่รับเย็บ พี่ไทม์คงสมองตื้อๆหน้ามืดตามัวระหว่างที่ผมลากจูงกลับมาทางหอของพวกเรา เลยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าผมลากเข้ามาในห้องใคร โปสเตอร์โคบี้ ไบรอันท์ ไมเคิล จอร์แดน แปะอยู่ตรงนั้นดูด้วยครับ

“งั้นกูกลับ” นึกแล้วว่าจะมามุกนี้ ผมเลยรีบอ้าปากยั้งตีนพี่ไทม์ไว้

“ถ้าก้าวออกมาเกินพรมนี้อีกก้าวเดียว พี่ต้องเป็นเมียผม” เหยียบเบรกกันตัวโก่งล่ะครับงานนี้ หน้าเกือบทิ่มพื้นแหนะ

“ไอ้แทน ไอ้เลวเอ๊ย” พี่มันสบถ

“สุภาพกับผมหน่อย”

“กับมึง กูไม่อยากจะสุภาพแล้ว”

“ผมจะถือว่าผมพิเศษกว่าชาวบ้านนะ ถ้าพี่ไทม์หยาบคายกับผมแค่คนเดียว”

“เชี่ยเอ๊ย!” อ้าวแม่งเตะขาโต๊ะกูเฉย “แม่งสัดหอยหลอด ไปตายซะ วอทเดอะฟัค โว้ยๆๆ” สิทธิพิเศษกูเพียบ...บอกเลย

หลังจากปล่อยให้คนน่ารักสบถคำขัดกับหน้าตากระฟัดกระเฟียดเหวี่ยงหัวไปมาแล้ว เจ้าตัวก็หันมาเผชิญหน้ากับผมต่อด้วยท่าทีจริงจัง

“ไอ้แทนกูขอได้มั้ยวะ”

“ขออะไร ถ้าผมทำให้พี่ได้ ผมทำให้หมดแหละ”

“กูขอ...”

“ยกเว้นอย่างเดียว ถ้าขอให้ผมไปจากชีวิตพี่อย่าหวังว่าชีวิตนี้จะได้มีวันนั้นเลย” ผมดักทางถูก สิ่งเดียวที่เจ้าตัวน่าจะขอผมตอนนี้คงมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว เจ็บว่ะ แต่หน้าด้าน จะทำไม

“ถ้ากูมีแฟนแล้วมึงก็จะยังอยู่อีกเหรอวะ”

“...” นั่นไง หลุดมาอีกแล้ว เรื่องนี้แหละที่ผมอยากรู้ที่สุด ขอให้เป็นแค่เรื่องสมมุติอย่าเอาไปเชื่อมโยงกับที่พี่โชมันพูดเลยนะผมขอ “พี่ยังไม่มีแฟนหรอก”

“กูกำลังจะมี”

“กับใคร”

“กับพี่โช” แต้มบุญผมมันน้อยมากเลยใช่มั้ย ถึงขอไปแล้วไม่ได้ผลน่ะ

“คบกันแล้ว”

“ยัง แต่กูกำลังจะตอบ” พี่โชมันสายคณิต แต่สงสัยแม่งเกรดหมาภาษาไทยมันเลยตกคำว่า ‘กำลัง’ ไปตอนที่พูดกับผม บอกออกมาได้ไงวะว่าพี่ไทม์เป็นแฟนมัน คนตัวขาวตรงหน้ายังไม่ตอบรับมันด้วยซ้ำ

“ตอบอะไร ตอบปฏิเสธมันเหรอ”

“ตอบปฏิเสธแล้วกูจะได้แฟนเปล่าวะ ประสาท”

“ถ้าอยากได้แฟน ก็เนี่ย ยืนอยู่นี่ทั้งคน ขอผมมาผมก็ยอมเป็นแฟนพี่ไปถึงชาติหน้าแล้ว” ถึงยังไม่รู้ว่าเกิดมาชาติหน้าผมจะเป็นหมารึเปล่า แต่ตอนนี้แม่งโคตรหมาหัวเน่าเลยว่ะ น้อยใจ

“กับคนมีเจ้าของแล้วกูไม่เอามาทำแฟนหรอกเว่ย”

“แล้วกับไอ้แบดบอยที่แม่งไม่มีแฟนแต่ร่านไปทั่วพี่จะเอามาทำผัวเหรอวะ”

“เชี่ยแทน ทำไมมึงพูดจาไม่น่ารักอย่างนี้วะ”

“แล้วพี่แต่งตัวน่ารักให้ผมได้ตอบกลับพี่ดีดีมั้ยล่ะ!” สายตากูลงไปง่ามขาพี่ไทม์ทันที โว้ย หงุดหงิด เสียขาให้หมาดูไปกี่รอบแล้วล่ะ ของสงวนของผมแท้ๆ ใครให้พี่มันยืมกางเกงขาสั้นใส่วะ ไหนบอกว่าไม่มีในตู้ไง

“กูร้อนเถอะ ถึงใส่”

“ตอนนอนอยู่บนเตียงยังบ่นงื้อๆหาผ้าห่มอยู่เลย แล้วมาร้อนอะไรตอนนี้วะเนี่ย” สัด กูทำพี่ไทม์หน้าแดง พี่มันน่าจะรู้ดีนะว่าผมนอนอยู่ข้างๆ ก็ตอนตื่นมาผมไม่เห็นหน้ามันแล้วหนิ ไหงมาแดงย้อนหลังตอนนี้ได้วะ

“ตะ...ตอนนั้นกูก็ใส่กางเกงตัวนี้นอน”

“ทีหลังไม่ต้องใส่แล้ว ถอด!” อยากดูนะ แต่ของสงวนแบบนี้นานๆดูทีมันถึงจะเร้าใจ ผมหยิบกางเกงลำลองขายาวผ้ายืดที่ชอบใส่อยู่กับหอมาโยนให้พี่มัน ก่อนย่างสามขุมเดินเข้าหากระชากกางเกงขาสั้นยางยืดของอีกฝ่ายลงอย่างแรง

“เชี่ย!” คนโดนจู่โจมกะทันหันได้แต่สบถ ทำอะไรไม่ถูก จะขยับเท้าถอยหนีก็สะดุดอยู่ในวงขากางเกงที่กรอมอยู่ตรงข้อจนหงายหลังตึง โชคดีที่ข้างหลังเป็นเตียงเลยไม่มีการบาดเจ็บใดใด ส่วนผมน่ะเหรอก็ตามไปติดๆดิครับ “เชี่ยแทน ทำเหี้ยอะไรวะ!”

“เปลี่ยนกางเกงให้พี่ดิ ถามได้” ผมนั่งทับตัวพี่ไทม์ไว้ ส่วนตีนก็ยื่นไปเขี่ยกางเกงขาสั้นที่ทำผมหงุดหงิดให้หลุดจากข้อเท้าร่วงแหมะลงพื้น คว้ากางเกงขายาวจากมือพี่มัน พลิกตัวหันหลังทับท้องพี่มันราวกับนั่งบานาน่าโบ๊ต ได้ยินเสียงจุกเล็กๆจากร่างข้างใต้ ไส้จะแตกมั้ยวะแอบกลัว

“อุก...ไอ้ห่าน มึง...ทับมาได้น้ำหนักตัวมึงแม่งแบกควายได้ทั้งตัวเลยนะ สัด” ด่าไปก็เอามือดึงขอบกางเกงผมที่กำลังหันไปเผชิญอยู่ต่อหน้าพี่มันไปด้วยเหมือนอยากเอาคืน แต่ผมจะรู้สึกเสียวแทนน่ะดิไม่ว่า

“ทนอีกนิด เปลี่ยนเสร็จก็เลิกจุกแล้ว”

“เปลี่ยนอะไรกันอยู่ครับพี่น้อง~”

“มีจุกๆๆด้วย”

“ก็เปลี่ยนกางเกงอ่ะดิ” ผมตอบไปแบบไม่คิด แต่เอ๊ะ เสียงที่สามที่สี่นี่มันมาจากไหนวะ จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นไปมองต้นทางของเสียงนั่นแหละ

เชี่ยเอ๊ย ยืนกันให้สลอนเลย

“อูยย ซี้สสส เชี่ยแตมกูไม่ต้องเช่าหนังเรทอาร์มาดูแล้ววะ” ไอ้เป้งจับแขนเสื้อเพื่อนมันเขย่า

“สัดเป้ง กูจะออก” ส่วนเชี่ยแตมก็เอามือกุมเป้า เขย่าไข่ ก่อนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาทางไปห้องน้ำ

“พวกมึงสองคนไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ กลับห้องพวกมึงไป” ส่วนไอ้เสาร์มันจับไหล่เพื่อนอีกสองตัวทำท่าเหมือนจะลากออกไป

“เชี่ยกูยังดูไม่จบเลย”

“ขาพี่ไทม์แม่งโคตรขาว” สัดเอ๊ย คว้ามือถือขึ้นมาปาหัวแม่ง ไอ้คนปากดีหลบไม่ทัน โดนกบาลเข้าไปอย่างจังก่อนมือถือจะร่วงลงโซฟา “โอ๊ยยย เชี่ยหัวกู เลือด เลือดออกด้วย ไอ้สัดแทน ไอ้คนหวงเมีย เวรเอ๊ย กูเสียโฉมไปทำไงเนี่ย”

“ดีเท่าไรแล้วที่กูไม่ควักลูกตาพวกมึงออกมาด้วย ไอ้เสาร์มึงพาพวกมันกลับไปเลยนะ”

“เออ มึงก็อย่ารุนแรงละกัน ทีหลังก็หัดล็อคประตูด้วย” ไอ้ตัวสูงลากอีกสองตัวถูกลู่ถูกังออกไป ก่อนห้องจะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง

ปัง!

ฮู่...แม่งยิ่งกว่าฝ่าสมรภูมิรบอีก

ส่วนลูกนกที่อยู่ใต้ตัวกูน่ะเหรอ ช็อคไปแล้วครับ

“ฮือ เชี่ยแทนกูจะฆ่ามึง”

“ถึงได้บอกไงว่าอย่าใส่กางเกงสั้นๆ”

“คราวนี้มันไม่สั้นแล้ว มึงเล่นถอดของกูหมดเลย ไอ้เชี่ยนี่” ก่อนคนที่ผมอุตส่าห์ตั้งใจตามมาง้อจะน้ำตาไหลพรากหนักไปกว่านี้ ผมจัดการยัดขาสองข้างของอีกฝ่ายเข้าไปในกางเกงแล้วดึงขึ้นมาถึงเอวอีกฝ่าย ก่อนพลิกตัวอีกครั้งมานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างโดยไม่ลืมที่จะดึงพี่ไทม์ให้ลุกขึ้นมานั่งตามไปด้วย

“จะคุยกันดีดีได้รึยัง”

“มึงนั่นแหละ ไม่ยอมคุยกับกูดีดีตั้งแต่แรก” นี่กัดยาวไปถึงตอนที่ผมหนีหน้าพี่มันมาใช่มั้ยเนี่ย

“ผมยอมแล้ว ตอนนั้นผมผลุนผลันเกินไปจริงๆ” เจ้าตัวเหมือนจะสงบลงไปเยอะและยอมฟังผมมากขึ้น

“แต่เรื่องมันก็จบดีแล้วหนิ น้องสาวมึงก็ได้แต่งงานกับคนที่ควรจะแต่งด้วยแล้ว ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ”

“เหมือนตรงไหน พี่ยังหลบหน้าผมอยู่เลย”

“ไม่มีธุระต้องยุ่งเกี่ยวกันแล้วนี่หว่า”

“ตรงไหนที่บอกว่าไม่มี”

“ถ้าเป็นเรื่องที่กูต้องไปขอขมาพ่อแม่มึงที่หลอกพวกท่าน เดี๋ยวกูจะไปขอพบวันหลัง”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นดิ”

“มึงอย่ายุ่งกับกูอีกเลยได้มั้ยวะ ไอ้แทน” เสียงพี่ไทม์เหมือนร้องอุทรณ์ ดวงสุกใสรื้นน้ำตาขึ้นมากะทันหันทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง “กูขอร้อง” กระแสเสียงสั่นเครือจนใจผมสั่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ มันร้ายแรงถึงกับขั้นให้ผมยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้เลยเหรอ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” มันไม่ธรรมดาแล้ว ในหัวผมคิดแต่เรื่องง่ายๆอย่างที่มันควรจะเป็น คือการที่ฟ้าได้แต่งงานกับพี่แม็ค พี่ไทม์เลิกเป็นตัวตายตัวแทนของอีกฝ่าย ส่วนผมก็ได้คบกับคนที่ผมตกหลุมรักมาตลอดนับตั้งแต่ม.ห้า หรือผมคิดง่ายไปวะ...หรือว่าที่ผ่านมา พี่ไทม์ไม่เคย...รักผมเลย...

“กูจะคบกับพี่โช”

“...”

“พี่โชเขาบอกว่ารักกูจริงๆ”

“ผมก็รักพี่เหมือนกัน”

“แต่มึงไม่ได้รักกูจริงๆ” น้ำหยดแรกร่วงหลุดออกจากตา เปื้อนสันจมูกของคนตรงหน้าก่อนหยดลงเตียง “มึงยังมีใครอีกคนอยู่ในใจ”

ภาพของพี่ไทม์ที่สตัฟฟ์ไว้ตั้งแต่ม.ห้า ยังเป็นภาพงดงามในความทรงจำของผมเสมอ เข้ามหา’ลัยก็ได้แต่หวังว่าจะเจอแต่คนๆนี้ แล้วกูจะมีเชี่ยคนไหนอยู่ในใจอีกวะ ผมพยายามครุ่นคิดแต่แม่งในหัวผมก็เอาแต่ตีความแง่ร้าย เลยลุกขึ้นยืน หันมามองหน้าคนที่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ก่อนกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมไปก่อนนะ” ให้มันจบแบบนี้คงดีแล้วใช่มั้ย ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีดีกับความรักวัยใสที่มอบให้ผมนะ ผมเดินก้าวไปจนถึงประตูได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังไล่หลังมาไม่ขาดระยะ ก่อนจับลูกบิดขยับเปิดออก เชี่ยแม่งบ้าบอไปแล้วใครจะให้จบง่ายๆแบบนี้วะ ปิดประตูฉับล็อคกุญแจแล้วเดินตึงตังกลับไปทางเก่า ทันได้เห็นคนมีน้ำตาร้องไห้โฮยกมือปาดหน้าเป็นการใหญ่

“ไล่ผมไปแต่กลับมาร้องไห้อย่างนี้เนี่ยนะ จะให้ผมคิดยังไงวะ” อยากกอดเด็กดื้อใจจะขาด ผมปราดขึ้นเตียงดึงพี่ไทม์เข้ามาสวมกอดเสียแน่น

“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ฮึก...ไม่ต้องสนใจกู ฮึก...ปล่อยผ่าน เข้าใจป่ะ” มาเป็นจังหวะแร๊พโย่เลยมึง

“โอ๊ย ผมจะบ้าตาย พี่พูดมาเหอะ ว่าพี่หมายถึงใคร ผมมันโง่เดาใจพี่ไม่ถูกหรอก ตอนนี้ผมแม่งรู้อย่างเดียวอ่ะว่าในหัวผมมีแต่เรื่องพี่ ผมเลยตอบไม่ได้ไงว่าใจผมมีใครอีกคน” แค่นั้นแหละครับแม่งสั่งน้ำมูกใส่อกผมเต็มๆ เออะ...ได้ข่าวว่าตั้งแต่กลับมาจากงานแต่งผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเลย เสื้อกั๊กกูได้ส่งซักตามระเบียบ

พี่ไทม์สะอึกสะอื้นฮึกๆฮักๆอยู่พักใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมา หัวเหอตาเตอแม่งแดงอย่างกับเด็กพึ่งคลอดเห็นแล้วโคตรเอ็นดู ผมยกนิ้วโป้งขึ้นปาดใต้ตาทั้งสองข้างก่อนยิ้ม

“หน้าตลกฉิบหายเลย” เอ้าโดนทุบอีก เห็นกูเป็นอะไรผ้าเช็ดหน้าหรือกระสอบทรายกันแน่วะ

“ไม่ตลกนะมึง” มีงอนอีกเว้ย

“ผมก็ไม่ตลกเหมือนกัน นี่ผมจริงจังนะ”

“จริงจังกะผีน่ะดิ หน้ามึงยังเหมือนล้อเล่นกับกูอยู่เลย”

“ก็ผมอยู่กับพี่แล้วมีความสุข”

“...”

“ผมอยู่กับคนที่ผมรักแล้วมีความสุข หน้าตาผมก็ต้องเป็นแบบนี้สิ”

“...”

“บอกมาได้รึยังว่าใคร ผมรอจนหมดแรงแล้วนะ จะให้รอไปจนแก่เลยมั้ย”

“ถ้ามึงรอได้”

“จะแก่จนตายผมก็ยอม ผมรอได้อยู่แล้ว เพื่อพี่”

“กูขอไปล้วงคออ้วกแป๊บ”

“ก่อนไปบอกมาก่อนว่าใคร”

“...”

“ใครกันครับพี่ไทม์”

“...”

“บอกผมมาเถอะนะคนดี” ผมจับแก้มนุ่มๆนั่น ขยับหน้าผากไปแนบสัมผัสกับเหม่งอีกฝ่าย ได้ยินกระแสเสียงเบามาพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่ขมุบขมิบอยู่คู่นั้น

“ก็มายด์ไงล่ะ”

“มายด์”

“มายด์แฟนมึงไง”

“อดีตเหอะ”

“อดีตแล้วทำไมยังโทรคุยกันทุกวันวะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ไม่เห็น” ถอยออกมามองหน้าคนที่ดูเหมือนจะมีอารมณ์ฉุนนิดๆแล้วก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้

“หึงเหรอ”

“หึงหมายังดีกว่าหึงมึง”

“แต่ก็หึง” ต้อนมันเข้าไปให้จนมุม ร่างตรงหน้ากัดริมฝีปากกลอกตาไปมาเหมือนมะเขือเทศที่กำลังโดนสูบลมเตรียมระเบิดอยู่รอมร่อ

“เออเว้ย กูหึง บอกตรงๆก็ได้ว่ากูหึง มีอย่างที่ไหนมีตัวจริงเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วยังมาล้อเล่นกับใจกู มึงมันเลวมากเลยรู้มั้ย ถ้าไม่มาทำให้กูคิดมากตั้งแต่วันสอบแอด ไหนจะมาตามตูดกูต้อยๆอย่างที่ผ่านๆมา กูก็คงไม่คิดมาก ไม่ตกหลุมรักมึงอย่างนี้หรอกโว้ย”

...ทำไม ผมเหมือนโดนพี่ไทม์มันปล่อยหมัด ไซด์เฮดล็อคทำคริติคอลตายตอนจบเลยวะ ใจมันพองโตฟูฟ่องละอองฟิ้วแบบห้ามไม่อยู่ นี่อีกฝ่ายกำลังบอกว่าใจตรงกับผมใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่มั้ย...โว้ย อยากเอาหัวโขกกำแพงซักสามสิบทีพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป...

“มายด์ก็แค่แฟนเก่า ตอนนี้เป็นแค่เพื่อน ที่โทรมาหาทุกวันช่วงนี้เพราะเจ้าตัวกำลังจะทำเรื่องซิ่วมาเรียนต่อที่นี่ เลยโทรมาถามที่ทางว่าจะไปตึกนี้ต้องไปยังไง จะทำธุระแบบนี้ต้องติดต่อที่ไหน ก็แค่นั้นเอง”

“แล้วทำไมตอนมึงหายไป มึงต้องไปดื่มกับเขาด้วยวะ เพื่อนก็มีตั้งเยอะแยะ จำเป็นจะต้องไปดื่มกับแฟนเก่าด้วยเหรอ” พี่ไทม์แม่งหึงผมมากกว่าที่คิด ผมจะหน้าแดงแข่งสู้กับมันแล้ว ไม่อยากนึกสงสัยอีกต่อไปว่าครั้งนั้นที่คุณชลาศัยถาม ทำไมเจ้าตัวถึงไม่ยอมบอกว่ารักผมทันที เพราะยังมีปมเรื่องนี้สินะ

“มายด์เขาโทรมาพอดี ความจริงถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้นผมอาจจะกำลังนั่งดื่มกับไอ้เสาร์ก็ได้”

“มึงแม่งคออ่อนเหอะ เมาจนไปมีอะไรกับใครยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง”

“ใครบอกว่าผมคออ่อนล่ะ”

“อย่ามาโกหก ดื่มคราวที่แล้วยังเมาเป๋จนต้องมาค้างหอกูเลย”

“เป๋ยังไงผมก็ไม่ร้องเพลงแทตทูคัลเลอร์ได้ครบจบทั้งประโยคหรอก”

“...”

“ผมยังสดอยู่นะ”

“...”

“ยังใช้เชนการ์ดอยู่มั้ยครับมาให้ผมดมที” ผมจับหัวอีกฝ่ายเข้ามาดม หอมลงไปฟอดใหญ่ นิ่งไปแล้วครับอนาคตแฟนกู แต่สักพักเหมือนคลื่นลูกใหญ่แม่งกำลังมา

“อ้าย เชี่ย แทนนนนนน!” เอาล่ะครับ บรรดาตีน มือ หมัด แม่งมาหมด ผมแปลงร่างเป็นกระสอบทรายแทบไม่ทัน พอโดนตุ๊ยหนักๆซ้ำๆเข้าจุดเดิมก็เริ่มทนไม่ไหวเลยคว้าข้อมือคอดๆของอีกฝ่ายกดลงไปที่เตียงทั้งตัว

แฮ่ก เหนื่อยว่ะ พี่ไทม์แรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ กว่าจะปราบพยศได้ แหนะยังดิ้นอีก อย่าให้ผมได้ขึ้นเมื่อไรนะพ่อจะใช้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช กูเป็นคิงและมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารชลธีเว้ย

“พี่ไทม์” ร่างข้างใต้ดูตื่นๆมองผมที่เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากที่ผมกดแนบทั้งตัวลงไปทาบทับกันคนดื้อดิ้นหนี

“...”

“ผมมองพี่มาตั้งแต่ม.ห้าแล้วนะ”

“...”

“ไม่เคยลบออกไปจากสมองได้เลย แม้แต่ตอนที่คบกับมายด์เพื่อให้ลืมพี่ ผมรู้ใจตัวเองเลยว่ามันทรมาน เพราะพี่เป็นที่สุด คนเดียว และคนสุดท้ายของผมแล้ว”

ผมตะแคงหน้าให้พบกับสายตากลมโตที่จ้องมองมา มันบ่งอารมณ์ทั้งดีใจ แปลกใจ หลากหลายปะปนกันไป

“ผมจูบพี่ได้มั้ย” โดยไม่รอคำตอบ ผมรู้ว่าคนข้างหน้าพร้อมแล้วที่จะรับจุมพิตจากผม ผมก้มลงไปจูบร่างข้างใต้ พี่ไทม์นอนตัวแข็งค้างอยู่เพียงครู่ก็เริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดลง ริมฝีปากของเราสัมผัสกันแนบสนิทและเนิ่นนาน เราเคยจุมพิตกันอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนผมพึ่งกำลังเริ่มต้นเรื่องราวชีวิตใหม่ เรื่องราวที่เราสองคนใจตรงกัน ถึงแม้คราวนี้จะเป็นการสัมผัสที่ไม่ลึกซึ้งแต่มันจะยังตราตรึงอยู่กับใจไปอีกนาน ผมถอนใบหน้าออกในใจยังโหยหากลีบปากบางนั้น แต่มันต้องไม่ใช่ตอนนี้

“วันจันทร์ไปบอกพี่โชด้วยนะ ว่าพี่มีผัวแล้ว”

“ผัวที่ไหน มึงยังไม่ได้...”

“หรืออยากให้ผมเอาพี่ตอนนี้” โหย ความเงียบสั่งได้ เดี๋ยวพอถึงเวลาพี่มันก็จะต้องเผชิญกับความหื่นในตัวผมเข้าซักวัน

“มะ...” ติดอ่างเลย แม่งโคตรน่ารัก

“มะ...มะอะไรครับ”

“ไม่ต้องบอกกูก็รู้รึเปล่าวะ ของมึงตั้งอยู่ทนโท่กูเห็นนะโว้ย!” ตะโกนใส่หน้าแต่ไม่ยักจะโดนถีบ สงสัยพี่มันยังคงเห็นใจน้องน้อยที่เริ่มมีอารมณ์จนโป่งนูนขึ้นมาของผม นี่แหละครับ ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกัน ไม่มีใครกล้าถีบหรือทำร้ายของสงวนอีกฝ่ายให้ตายตรงหน้าหรอก

“กับแค่พี่เนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ พี่ต้องภูมิใจนะ”

“ไม่เห็นจะภูมิใจเลย มึงปล่อยกูนะเว้ย กูจะกลับห้อง ฮือออ”



ติ๊ง!!
ภาพแทนใส่ชุดทักซิโด้สีน้ำเงินลากไทม์ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด

Bell Meaw Meaw โอ้ย รันอเวย์ไบรด์ เหมือนพี่ไทม์โดยฉุดเข้าพิธีวิวาห์ #ชลธี เกียรติไพศาล ลูกสะใภ้คนแรกของตระกูลเกียรติไพศาลค่า

Y w Y ตายอย่างสงบศพสีฟ้าน้ำทะเล(สรุบถชลธี)

Love cute boy ท้องฟ้ากับทะเลที่ดูเหมือนไม่น่ามาบรรจบกัน แต่แทนไทม์กำลังทำให้ชั้นสั่นไปถึงหัวใจ #ชลธี เกียรติไพศาล

Kaijig Hanjig งานแต่งจัดที่ไหนบอกด้วยนะคะ อยากไปร่วมพิธี กรี๊ดๆๆๆ #ชลธี♡สุรบถ



END
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกือบครบรอบหนึ่งปีแหนะ 55
ขอบคุณคนอ่านที่ตามมาถึงตอนจบนะคะ
ที่มีกำลังใจเขียนจนถึงตอนนี้ได้เพราะคุณๆทั้งหลายแหละค่ะ
เรื่องราวของเขาสองคนแทนไทม์ ต้องจบแต่เพียงเท่านี้ แต่จะมีตอนพิเศษหรือเปล่านั้นขออุบไว้ก่อน

มีคำติชมแวะเข้ามาให้คำแนะนำได้เลยนะคะ
อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกกำลังใจที่ผ่านมาค่า
บ๊ายบาย ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้า

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ไปอยู่ไหนมาพลาดนิยายดีๆแบบนี้ได้ไง ฮืออออ อ่านรวดเดียวจนจบเลย สนุกมากๆเลนค่ะคนแต่ง สู้ๆน้าาาาาาาา

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ meyj4ever

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สนุกมากกกก...อ่านรวดเดียวจบ
กว่าจะลงเอยกันได้เนาะ

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด