►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2  (อ่าน 10515 ครั้ง)

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

AFTERSHOCK | วิกฤติรัก

#เรื่อยๆ #ฟิลกู๊ด

เพราะแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ รัฐบาลเฮติต้องการความช่วยอย่างหนัก
ผู้คนต้องการการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
ผม ‘ภัทร’ จิตแพทย์วัย32ปีเลยต้องเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือนี้อย่างช่วยไม่ได้
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เจอกับเขา



สารบัญ

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
ตอนที่ 7
ตอนที่ 8
ตอนที่ 9
ตอนที่ 10
ตอนที่ 11
ตอนที่ 12
ตอนที่ 13
ตอนที่ 14
ตอนที่ 15
ตอนที่ 16
ตอนที่ 17
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

PAGE : MidnightSBD

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราลงเล้า
ฝากติดตามด้วยนะคะ




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2017 03:37:44 โดย _MidnightSBD »

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-1-
Hello Haiti
   

“คุณๆ ไอ้คุณ”

“มีอะไรวะ”

“ไปคุยกับกูหน่อยดิ” คุณเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดเลยตอนนี้ก็ว่าได้ นอกจากมันแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถคุยเรื่องนี้กับใครได้อีก พอเจ้าตัวรับคำผมก็เดินนำไปที่คาเฟ่ในโรงพยาบาลเพื่อที่จะหาที่นั่งคุยกันอย่างจริงจัง


“มึงรู้เรื่องค่ายอาสาที่เฮติใช่ไหมวะ” พอเราเข้ามานั่งแล้วสั่งกาแฟกันเสร็จเรียบร้อยผมก็เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนเลย

“อืม กูรู้” มันเองก็คงได้รับอีเมล์เหมือนผมสินะ

“ผอ.เขาเมล์มาบอกกูว่าอยากได้จิตแพทย์ร่วมทีมแพทย์ไปด้วยสักคนหนึ่ง รัฐบาลเขาติดต่อมาทางโรงพยาบาลโดยตรง..อย่างน้อยก็ควรจะมีแพทย์จากโรงพยาบาลเราเข้าร่วมสักสองสามคน”

“มึงจะไปใช่ไหม” คุณพูดขึ้น มันคงเดาได้อยู่แล้วว่าอยู่ดีๆผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม

“จริงๆแล้วกูก็ไม่อยาก” ผมบอกไปตามตรง

“...”

“แต่มึงก็รู้ว่าจิตแพทย์โรงพยาบาลเรานอกจากกูคนอื่นเขาก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว กูคงไม่มีทางเลือก” มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส ผมยอมรับว่าผมยังไม่มีใจสาธารณะพอที่จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ด้วยตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปฏิเสธเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่คิดอะไรเลยได้

“เอาหน่า..คิดซะว่าไปหาประสบการณ์ ประสบการณ์การแบบนี้หาไม่ได้ที่ไหนนะเว่ย”

“กูรู้..ก็พอทำใจได้สักระยะแล้ว แต่ต้องไปตั้งสามเดือนเลยว่ะ” นั่นเป็นอีกเรื่องที่ผมกังวลรองจากผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเฮติเลย ผมเลยอดที่จะกลัวไม่ได้..อย่างน้อยก็แผ่นดินไหวล่ะครับ ผมเกิดและโตในประเทศไทยมาโดยตลอด ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นี้จริงๆจังๆเลยสักทีและไม่รู้เรื่องการเตรียมตัวรับมือใดๆทั้งนั้น

“สามเดือนแปบเดียวเอง” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่..ผมรู้ว่าไอ้คุณมันพูดออกมาให้ผมสบายใจ สามเดือนมันไม่ได้เป็นระยะเวลาที่สั้นเลยสักนิด

“แล้วมึงไปไหม” ผมย้อนถามมัน..แม้จะเดาคำตอบได้อยู่แล้วคงไม่ ไหนจะเรื่องงานสอนที่มหา’ลัย ไหนจะเรื่องน้องเพื่อนแฟนของมัน คราวที่แล้วแค่น้องปิดเทอมกลับบ้าน ห่างกันแค่ไม่กี่วันมันยังจะตายซะให้ได้

“ไม่ได้ไป..มึงก็รู้ว่ามันชนเด็กเปิดเทอม กูมีสอนไปได้ที่ไหน”

“นั่นสินะ..เฮ้ออ กูจะไปเจออะไรบ้างวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างปลงตก ไม่อยากจะจินตนาการอะไรเลยตอนนี้

“อย่าพึ่งไปคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเลย บางทีมึงอาจจะได้สิ่งดีๆกลับมาก็ได้”

“เออๆไป..แยกย้ายทำงานได้แล้ว”

คงทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้วนอกจากทำใจยอมรับมัน..ผมส่งอีเมล์ตอบกลับไปหาผู้อำนวยการว่าผมตกลงเข้าร่วมโครงการอาสานี้

ผมก็ได้แต่หวังว่าอย่างน้อยก็อยากให้มีคนของโรงพยาบาลเราเข้าร่วมเยอะๆจะได้มีคนคุยด้วยบ้าง

---

พอกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำต่อจากอาบน้ำคือเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเฮติ..ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฮติเลยทั้งนั้นนอกจากเป็นประเทศที่ประสบภัยบ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดครั้งล่าสุดเมื่อร้อยห้าสิบปีที่แล้วซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับครั้งนี้ที่น่าจะเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติกาล

สาธารณะรัฐเฮติตั้งอยู่ในทวิปอเมริกาเหนือ เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแคริบเบียน อยู่บริเวณรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกติดกับโดมินิกัน ประชากรส่วนมากเป็นชาวผิวสีซึ่งมีมากถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็น ภาษาราชการคือภาษาฝรั่งเศส..ผมได้อ่านในเงื่อนไขของโครงการแล้วว่านักสังคมสงเคราะห์ทุกคนต้องพูดได้ยกเว้นบุคลากรเฉพาะทางซึ่งผมได้รับการยกเว้น

เฮติไม่ได้สร้างตึกที่มีโครงสร้างเพื่อนรองรับภัยจากแผ่นดินไหว แต่วางโครงสร้างเพื่อป้องกันเฮอร์ริเคนและน้ำท่วมแทน ด้วยเหตุนี้ กำแพงอิฐและหลังคาคอนกรีตหนัก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนระดับ 7.0 ได้

เรียกได้ว่าเป็นการรีเซ็ทผังเมืองใหม่เลยก็ว่าได้..มันแทบไม่เหลืออะไรเลย เฮติเป็นประเทศที่จำนวนประชากรไม่ได้หนาแน่นแต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจเพราะศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวดันอยู่ใจกลางเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรหนึ่งในสามของประเทศเลยทีเดียว


ยิ่งผมได้เห็นข้อมูลผมยิ่งสะเทือนใจ..รู้สึกดีใจที่ตัวเองตัดสินใจแบบนี้..อย่างน้อยก็ได้ทำประโยชน์อะไรบ้าง

--

และแล้ววันนี้ก็มาถึง..วันที่ผมต้องออกเดินทางไปยังเฮติ


ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก..ไม่สิ เรียกว่าประหม่ามันคงจะถูกต้องมากกว่า ผมรู้สึกเป็นกังวลและกดดันอยู่พอสมควรแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามปล่อยวางไม่คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางอยู่ร่วมยี่สิบชั่วโมงผมก็เดินทางมาถึงกรุงปอร์โตแปรงซ์ด้วยสภาพที่เหนื่อยล้าเต็มที เจ้าหน้าที่นำพวกผมไปสมทบกับทีมแพทย์ที่ประจำอยู่ก่อนหน้า..แนะนำตัวพูดคุยทำความรู้จักอยู่สักพักก็ปล่อยให้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าพร้อมจะลุยงานในวันพรุ่งนี้


กว่าผมจะเดินทางมาก็เกือบสามอาทิตย์หลังจากเกิดเหตุเข้าไปแล้ว ผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตได้รับการช่วยเหลือได้รับการรักษาเบื้องต้นไปหมดแล้ว..เหลือแค่ติดตามอาการ

ผู้คนที่ยังสูญหายตอนนี้ก็คงได้แต่ทำใจและสิ้นหวัง..ทีมค้นหาทำงานกันอย่างเต็มกำลัง แต่คนเราไม่สามารถขาดน้ำและอาหารได้นานขนาดนั้น

บางพื้นที่ได้รับการเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วได้ทำการปลูกสร้างที่พักชั่วคราวให้แก่ผู้คนหลายแสนครัวเรือนที่ไร้ที่อยู่ เรียกได้ว่าผ่านพ้นช่วงแห่งการกู้ภัยและเข้าสู่ขั้นตอนการเยียวยาอย่างเต็มรูปแบบ

แม้มันจะหลายวันมาแล้วหลังจากเกิดเหตุ แต่ภาพอันน่าสะเทือนใจก็ยังมีให้เห็น ผมรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่เห็นผู้คนใช้มือเปล่าคุ้ยซากปรักหักพังเพื่อหวังว่าอย่างน้อยจะได้พบร่างของญาติตัวเอง

ในตอนนี้ศรัทธา ความเชื่อ และความหวังเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับปัจจัยสี่เลยทีเดียว ผู้คนต่างสูญเสีย..บางคนได้รับผลกระทบทางด้านอารมณ์มากกว่าร่างกายเสียอีก


“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?” เสียงเจ้าหน้าที่พยาบาลดังขึ้น ผมที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของชาวเฮติเพื่อใช้เป็นเรฟเฟอร์เรนท์ในการช่วยเหลือเงยหน้าขึ้นมอง..ชายคนหนึ่งเดินเขามาในด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มือข้างซ้ายของเขากุมอยู่ที่ศีรษะตัวเอง

“ผม..ผม..ปวดหัวมาก ผมนอนไม่หลับเลย” เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบลุกขึ้นเดินไปหาและพามานั่งที่เก้าอี้
“ศีรษะคุณได้รับการกระทบกระเทือนอะไรรึเปล่า?” เจ้าหน้าที่ยังคงถามข้อมูลต่อ พวกเขาสื่อสารกันเป็นภาษาฝรั่งเศส..นอกจากประโยคแรกที่เป็นประโยคพื้นฐานผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลย

“เปล่าครับ..” เขาพยายามก้ำกลืนความรู้สึกแล้วตอบออกมา

จากการที่ผมรอบสังเกตเขา ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ปัญหาทางกายใดๆเลย อาการที่เขาเป็น..เป็นอาการของคนที่ใจสลาย ซึ่งเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วในกลุ่มของผู้ประสบภัยบางคน


ผมลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปกระซิบกับเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตคุยกับผู้ชายคนนี้เอง


“สวัสดีครับ” ผมทักทายเขาด้วยภาษาพื้นเมือง ยกยิ้มบางๆเพื่อผ่อนคลายให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดจนเกินไป

“ผมพูดภาษาอังกฤษกับคุณได้ไหม?” เป็นอีกประโยคพื้นฐานที่ผมต้องท่องให้ได้ขึ้นใจ..เขาส่ายหน้า ผมเลยยกยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเป็นล่ามให้ผมหน่อย

“ขอผมคุยกับคุณหน่อยได้ไหม” ผมถาม เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผมด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

“ผมเข้าใจคุณนะครับว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ตอนนี้มันเป็นเรื่องยาก เพื่อที่ผมจะช่วยคุณได้ คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” ชายคนนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ แววตาของเขาสั่นไหวแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าตอบรับมา

ผมรู้ว่าคำถามของผมจะไปสะกิดเรื่องที่เขาสะเทือนใจ แต่จากอาการของเขาผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นโรคซึมเศร้า..และนำไปสู่การคิดสั้นจบชีวิตตัวเองลง หรือที่เราเรียกกันว่า การตรอมใจตาย

“ผม..ผมสูญเสียทุกอย่าง ผมไม่เหลืออะไรแล้ว..ภรรยาของผม..คนรักที่ผมอยู่กับเขามาสิบแปดปี เขาจากผมไปแล้ว” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ แม้จะไม่มีน้ำตา แต่แววตาเขาสื่อให้ผมรู้ว่าเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน

“..ผมเสียใจ..” ผมพูดออกไป

มีประชากรกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นที่ต้องเสียคนในครอบครัวไปอย่างน้อยหนึ่งคน ทุกคนต่างใจสลายไปพร้อมๆกัน

“..ผมรู้ว่าสักวันมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ พระเจ้าตรัสว่ามันจะเกิด” ชายคนนั้นพึมพำออกมา..ทำให้ผมจับสังเกตได้ว่าเขาต้องเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า..และพระเจ้าคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างสุดท้ายที่เขาหลงเหลืออยู่

“คุณเสียคู่ชีวิตของคุณไป..นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้าแต่การเศร้าเสียใจและการร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะครับ พระเยซูก็ทรงกันแสงเมื่อสหายของพระองค์เสียชีวิตเช่นกัน” ชายคนนั้นปล่อยโฮออกมาทันทีที่ผมพูดจบ เขาร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ ผมปล่อยให้เขาได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตัวเองส่งให้เขา

“ถ้าคุณไม่สบายใจอะไร ผมยินดีที่จะคุยกับคุณตลอดนะครับ” ผมบอกเขา เขาขอบคุณผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป


ในเวลาแบบนี้กำลังใจเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเช่นกัน

--

ในส่วนงานของผมในตอนนี้เอาตามตรงคือไม่ค่อยได้ทำงานในส่วนของจิตเวชเท่าไร..อาจมีบ้างที่พูดคุยกับคนไข้หรือหว่านล้อมอะไร แต่ด้วยภาษาของผมมันเลยเป็นอุปสรรคอย่างมาก

ผมช่วยเรื่องการปฐมพยาบาลอย่างดูแลทำความสะอาดเรื่องแผลทั่วไปมากกว่า แม้ผมจะเป็นจิตแพทย์แต่ผมก็เรียนแพทย์มาตั้งหกปีนะครับ ผมทำงานในส่วนของGeneral Practitionerได้อยู่แล้ว

แม้บุคลากรทางการแพทย์จะมีหลายร้อยชีวิตแต่คนเจ็บก็ยังมีมากกว่าเลยยังขาดแคลนอยู่มาก แล้วยิ่งคนจำนวนมากมาอยู่รวมกันอย่างแออัด สุขอนามัยไม่เพียงพอ เราเลยต้องเพิ่มการเฝ้าระวังเรื่องโรคระบาดเข้าไปอีกอย่างด้วย

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่องานวันนี้จบลงแล้ว กวักน้ำขึ้นล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นหน่อยก่อนจะเดินเล่นเลาะตามข้างทางไปเรื่อย

ภาพที่ไม่น่าดูมากมายในค่ายทำให้ผมหดหู่ เสียงกรีดร้อง ภาพความเจ็บปวดยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวจนผมตัดสินใจปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก

ผมเดินมาหยุดตรงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่คาดว่าน่าจะเป็นทะเลสาบ มันอยู่ไม่ไกลจากค่ายสักเท่าไร ผมไม่รู้หรอกว่าที่นี่เรียกว่าอะไร มันก็แค่สวยดีเลยตัดสินใจหยุดเดินแล้วนั่งพักลงข้างทางแถวนี้สักพัก

สายตาผมทอดมองไปเรื่อย ปล่อยให้ลมเย็นๆตีหน้าหวังให้มันช่วยผ่อนคลายสมองลงบ้าง
ปิดเปลือกตาลง..กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วแต่เสียงใครสักคนทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


“มานอนตรงนี้ไม่หนาวหรอครับ” ผมหันไปมองคนต้นเสียง เขาเป็นผิวขาวและคาดว่าจะมีส่วนผสมของขาวเอเชียอยู่ด้วย และคงไม่ใช่คนพื้นเมืองแน่ๆ

“ขอโทษครับ..ผมไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส” ผมบอกเขาเป็นภาษาอังกฤษ

“ผมบอกว่า มานอนตรงนี้ไม่หนาวหรอครับ” คราวนี้เขาพูดเป็นภาษาเดียวกันก่อนจะถือโอกาสทิ้งตัวลงมานั่งข้างผมเลย
“อีกเดี๋ยวผมก็กลับแล้ว” ผมตอบเขา

“คุณคงเป็นคุณหมอสินะ” เขาเหลือบมองปลอกแขนพยาบาลตรงแขนเสื้อผมที่ยังไม่ได้ถอดออกไป

“ครับ..แล้วคุณ?”

“ผมเป็นนายช่างครับ มาจากฝรั่งเศส”

“...”



“ผมชื่อเซน..ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ”





ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-2-
Secret Base
   

“ผมชื่อเซน..ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ”

“ครับ..ผมชื่อภัทร ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”

“แพท..แพท? ผมพูดถูกใช่ไหม?” หน้าตาจริงจังของเขาตอนที่พยายามออกเสียงชื่อผมอย่างตั้งใจมันตลกจนผมต้องพยายามกลั้นขำไม่ให้หลุดเสียมารยาทออกมา

“ภัทรไม่ใช่แพท” ผมบอกเขาอีกครั้ง

“แพท!”

“โอเค แล้วแต่คุณเลย” ผมยอมแพ้แล้ว ตอนแรกผมว่าจะมาหาที่นั่งพักสมองเงียบๆคนเดียวแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เงียบซะแล้วสิ

“ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ผมขอเรียกคุณว่าคุณหมอแล้วกัน” คนข้างๆผมเองก็ยอมแพ้แล้วเหมือนกัน เขาสรุปเองเออเองผมก็ปล่อยเขาไปเอาที่สบายใจแล้วกัน

“...”

“ผมขอนั่งด้วยจะเป็นอะไรไหม”

“ก็นั่งอยู่แต่แรกแล้วนี่” ยังจะขออีกทำไมกันในเมื่อตัวเองนั่งอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแท้ๆ

“ฮ่าฮ่า..นั่นสินะ” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะเริ่มต้นชวนผมคุย มันก็ดีเหมือนกันผมเองก็ไม่ค่อยได้คุยเล่นกับใครเท่าไรเลยตั้งแต่มาที่นี่ เดิมทีก็ไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีมากอยู่แล้ว..ผมเป็นพวกเข้าหาใครก่อนไม่เก่ง การชวนคนอื่นคุยก่อนมันไม่ได้เหมือนคุยกับคนไข้หรอกนะครับ


“ทำไมคุณหมอถึงมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะครับ” เขาถามด้วยสำเนียงน่าฟัง รอยยิ้มเล็กๆกับตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกาย คนๆนี้ช่างเป็นคนที่เปิดเผยซะเหลือเกิน..แม้ภายนอกเขาจะดูนิ่งเฉย แต่ผมรู้สึกว่าเขาดูอารมณ์ดีและไม่ระวังตัวอะไรเอาซะเลย
บางทีผมก็นึกเกลียดตัวเองที่เป็นจิตแพทย์มันทำให้ผมนิสัยเสียเวลาผมคุยกับใครผมมักจะมองลึกเข้าไปในตาเขา สังเกตเขา..พยายามจะค้นว่าคนตรงหน้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่ และมันทำให้ผมสนิทใจกับใครยากเกินไป

“ผมแค่หาที่พักสมองจากงานนิดหน่อย” ผมบอกเขาออกไปตามตรงก่อนจะเบนสายตาไปสู่ทะเลสาบตรงหน้าแทนใบหน้าของอีกคน

“งานคุณมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ” เขายังคงถามต่อ

“ไม่..ผมแค่..เห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นมากเกินไป ผมพยายามจะลบมันอยู่” ภาพบาดแผลเหล่านั้น..ภาพความเสียใจ ความเจ็บปวด มันทำให้ผมหดหู่จนไม่อยากจะนึกถึง แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอคงต้องสร้างความทรงจำดีๆเข้าไปแทนที่ ให้ลบมันคงยากแต่ถ้าทาสีทับก็คงพอทำได้” คำตอบเขาทำเอาผมหลุดยิ้มขำ เจ้าตัวมองมาอย่างสงสัยว่าที่เขาพูดมันมีอะไรน่าตลกนักรึไง

ถ้ามันง่ายอย่างที่เขาว่าผมจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมละจริงไหม

“หึ..ในเวลาแบบนี้ผมทำได้รึไง กลับไปนอนตื่นมาผมก็ต้องเจออีกแล้ว งานผมนะ ผมหนีไม่ได้หรอก”

“หนีได้สักห้านาทีผมก็ยังดีไม่ใช่หรอครับ” เขาชักจะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว

“นั่นสินะ..ผมคงต้องไปแล้ว ยินดีที่ได้คุยกันนะครับ” ผมบอกลาเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินทรายที่เปื้อนกางเกงอยู่ออก
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินเพราะประโยคต่อไปของเขา

“คุณหมอกลับมาที่นี่อีกได้ไหม เวลาเดิม ที่เดิม ของทุกวัน..ให้ที่นี่เป็นฐานลับของเรา ผมยังอยากคุยกับคุณอยู่เลย” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม แววตาของเขาซื่อตรงอย่างที่เขาพูดออกมา แต่ผมไม่เข้าใจ..เขาจะมาอะไรกับผมทำไมในเมื่อเราพึ่งจะเจอกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

“ทำไมคุณต้องอยากคุยกับผมด้วย” ผมถามเขา

“คุณหมอเข้าใจคำว่าถูกชะตาไหมครับ” เขายกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหมือนกัน พอเขายืนแล้วผมถึงได้สังเกตว่าเขาสูงกว่าผมเยอะเลย เผลอๆสูงกว่าไอ้คุณซะอีกแต่ความหนายังคงห่างไกล ถ้าไม่ติดว่าว่าเพื่อนผมจะบอกว่าไอ้คุณนี่ตัวอย่างกับควายไบซัน

“หึ..ไม่รับปากนะ แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณจะมาก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”

“ผมถือว่าคุณหมอจะมา..เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” พูดเองเออเองเสร็จสรรพเขาก็วิ่งออกไปไม่ปล่อยให้ผมได้ทันท้วงอะไร เขาหันมาโบกมือลาผมก่อนวิ่งไปอีกทางที่ตรงข้ามกับที่ผมจากมา ผมคาดว่าคงจะเป็นไซต์งานของเขา..แล้วทำไมผมต้องมองเขาจนลับตาแบบนี้ด้วย

ผมลากเท้าเดินกลับที่พักอย่างไม่เร่งรีบ ยอมรับเลยว่าการที่เซนเข้ามาคุยกับผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของผม..ตอนนี้มีเขาอยู่แล้ว
อย่างน้อยผมก็จำชื่อเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาบอกแล้ว บางทีอาจจะเป็นเขาที่ช่วยทาสีทับภาพพวกนั้นให้ผมก็เป็นได้

--

ผมตื่นเช้าขึ้นมา..จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะไปที่เต็นท์อำนวยการเหมือนเช่นทุกวัน ผมว่าการที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะว่าผู้ประสบภัยต้องการจิตแพทย์หรอก ก็จริงที่พวกเขาต้องการการเยี่ยวยาทางด้านจิตใจแต่แค่นักจิตวิทยาก็คงจะเพียงพอ

คนที่ต้องการผมคือพวกกลุ่มแพทย์ต่างหาก พวกเขามีเรื่องหนักหนามากมายที่ต้องการระบายและได้รับคำปรึกษา และผมคงเป็นคนนั้นที่ต้องรับฟัง และในวันนี้ก็เช่นกัน

“คุณหมอภัทร พอจะมีเวลาสักสิบนาทีให้ผมคุยด้วยได้ไหม” เสียงของไมเคิลทักขึ้น เขาเป็นศัลยแพทย์ฝีมือดี..เคยทำงานในกองทัพเป็นหมอทหารติดตามไปในสงครามด้วย และผมไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ลังเลกับการตัดสินใจมาที่นี่
แต่คราวก่อนที่เราได้คุยกันเขาบอกกับผมว่า..คุณเชื่อไหม ภาพที่เขาเจอมาในสงคราม มันยังไม่ร้ายแรงได้ถึงหนึ่งในสามที่เขาได้เจอจากการมาที่นี่เลยนะ

“ยินดีครับ มากกว่าสิบนาทีผมก็ว่าง” ผมยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับผม

“คุณจำอลิซ่า เด็กผู้หญิงที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังได้ไหม” เขาเกริ่นขึ้นมาทำเอาผมขมวดคิ้ว อลิซ่าไหนวะ

“ขอโทษครับไมเคิล ผมนึกไม่ออกจริงๆ คุณช่วยขยายความเรื่องเธอหน่อยได้ไหม” ผมบอกเขาไปตามตรง เขาไม่ใช่คนเดียวที่ผมคุยด้วยหรอกนะครับ ผมจำรายละเอียดของแต่ละคนได้ไม่หมดจริงๆ

“เด็กผู้หญิงที่โดนคานปูนถล่มลงมาทับขาและเราช่วยเหลือเขาช้าไป..แผลเขาเลยรุกรามจนติดเชื้อ ทำให้ผมต้องตัดขาเขาเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ผมก็พอจะจับความรู้สึกเขาได้อยู่ดีว่าเขารู้สึกเช่นไร

“ครับ ผมนึกออกแล้ว” ผมเองก็เคยเห็นอลิซ่าอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอะไร อาการเธอสาหัสเกินกว่าผมจะดูแลไหวต้องปล่อยให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ชำนาญทางด้านนี้ดีกว่าและคนนั้นคงเป็นไมเคิล

“เมื่อวานนี้..เธอเสียแล้วครับ” เขาบอกออกมาอย่างยากลำบาก มือผมที่ประสานกันอยู่เย็นขึ้นมาทันที

“เสียใจด้วยนะครับ” ผมบอกเขา

“ทุกคนก็บอกกับผมแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะไประบายความเสียใจนี่กับใครนอกจากคุณ..ผมคิดว่าคุณจะรับฟังผมได้”

“แน่นอน..คุณพูดกับผมได้เลย..พูดทุกอย่างที่คุณต้องการ”

“คือ..ผม..ความจริงแล้วอลิซ่าไม่ใช่คนไข้ของผมคนแรกที่เสียชีวิต ผมควรจะทำใจยอมรับมันได้แต่มันไม่ง่ายเลย”

“...” ผมยังคงเงียบปล่อยให้เขาได้พูดต่อ

“เธอยังเด็ก ยังมีอนาคตอีกไกล ควรได้ใช้ชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้..ผมคิดว่าเธอจะรอด พวกเราทุกคนคิดว่าเธอจะผ่านมันไปได้ แม้ว่าอาการของเธอจะน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง”

“...”

“คุณรู้ไหม..เมื่อวันก่อน เธอยังยิ้มให้พวกเราอยู่เลยนะ รอยยิ้มของเธอยังคงฝังอยู่ในนี้..ในหัวของผม เธอสู้มากับผมขนาดนี้แล้วแท้ๆ ตอนที่ผมคิดว่ามันยากที่สุดอย่างต้องเสียขาไป เราไม่เหลือยาชาสำหรับเธอด้วยซ้ำแต่เธอก็ยังผ่านมันไปได้ แล้วทำไมเธอถึงไม่สู้กับเราไปจนจบ” พอมาถึงตรงนี้น้ำตาเขาไหลลงมาช้าๆก่อนเจ้าตัวจะปาดมันออกไป

“...” ผมเองก็รับรู้ถึงความเจ็บนี้ได้เป็นอย่างดีแม้ไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง กับไมเคิลเขาคงจะสาหัสกว่าผมหลายเท่า

“บางทีผมก็คิดว่า..ผมอยากได้พรจากพระเจ้าให้สามารถลบภาพบางอย่างออกไปจากหัวผมได้ที”

“...”

--

“ขอบคุณที่รับฟังผมจนจบนะครับ น่าอายมาก..ผมดันร้องไห้ออกมาซะได้” เขายกยิ้มขึ้นมาอย่างเขินๆเมื่ออารมณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

“ยินดีครับ ร้องไห้อีกก็ได้นะผมสัญญาว่าไม่บอกใครแน่นอน”

“เอาไว้คราวหน้าบ้างแล้วกัน” เขาว่าขำๆ

“ผมคงแนะนำได้แค่ว่าคุณควรพักจากงานบ้าง ระบายให้ใครสักคนฟังอย่างที่คุณมาคุยกับผมนั้นถูกแล้วครับ หรือไม่ก็หาวิธีปล่อยวางสมองปล่อยวางจิตใจ ให้เวลาช่วยทำให้คุณลืมความเจ็บปวดนี้ไปเอง”

“คุณมีวิธีแนะนำไหม”

“ไม่มีหรอกครับ แต่ผมมีที่ดีๆแนะนำ ไว้คุณว่างๆก็ลองไปแล้วกัน”

--

“ผมนึกว่าคุณหมอจะไม่มาซะแล้ว” เสียงเซนทักขึ้นทันทีที่เขาหันมาเห็นผม เขาแต่งตัวแทบไม่ต่างไปจากเมื่อวาน และสำเนียงภาษาอังกฤษเขายังคงน่าฟังเหมือนเดิม

“ผมบอกว่าผมไม่รับปาก ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะไม่มา” ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา ตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อวานพอดี ไม่รู้ว่าคนตัวสูงข้างๆจงใจให้มันเป็นแบบนี้รึเปล่า

“ถ้าคุณหมอไม่มาจริงๆผมคงรอเก้อ เพราะผมคงจะมาที่นี่..ทุกวัน” พูดอย่างนี้ไม่ได้เท่ากับบังคับให้ผมต้องมาที่นี่ทุกวันหรอกหรอ
“ว่างนักรึไง” ผมอดที่จะถามไม่ได้

“ผมก็แค่คุมคนงานอีกที แล้วอีกอย่างไม่มีใครก่อสร้างตอนกลางคืนหรอกนะ มันอันตรายเกินไป”

“กวนตีน..” ผมแอบด่าเขาเป็นภาษาไทย

“คุณหมอว่าไงนะครับ” เขาหันมาทำหน้าหมาบีเกิลใส่ผม

“ไม่มีอะไร ภาษาไทยผมแค่บ่นกับตัวเองน่ะ” ผมบอกปัดไป

“อ่อ..” เขารับคำก่อนจะหันกลับไปมองทะสาบตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ ผมเองก็เหมือนกัน บางทีถ้าไม่มีเซนอยู่ตรงนี้ผมคงจะปิดตาลงแล้วนอนพักสักครู่ละมั้ง

“ผมถามได้ไหมว่าทำไมคุณหมอถึงมาที่นี่” อยู่ดีๆอีกคนก็พูดขึ้นผมเลยละสายตาขึ้นมองเขา

“นายถามมาแล้ว” เขาหลุดขำออกมา

“แล้วคุณบอกผมได้ไหม”

“ผมก็แค่..ไม่มีทางเลือก เขาต้องการคน แล้วผมก็บังเอิญเป็นคนที่เขาต้องการ” ผมตอบเขา

“หึ..คุณหมอนี่พูดซับซ้อนแบบนี้เป็นปกติรึเปล่า”

“แล้วปกติเขาพูดกันยังไง” ผมขมวดคิ้ว

“ก็..ผมโดนบังคับมา ความหมายก็เหมือนกันที่คุณพูดเมื่อกี้”

“เอาเถอะผมเบื่อคุยกับคุณแล้ว” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน คนอะไรทำไมกวนตีนจังวะ

“แต่ผมชอบคุยกับคุณนะ” คนตัวสูงลุกขึ้นยืนตามผมมา “ให้ผมเดินไปส่งไหม”

“ไม่ต้อง..ผมเป็นผู้ชายไปเองได้”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งเจอกันอีกนะครับ”


+++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องนี้เราสต็อคไว้พอสมควรแล้ว จะทยอยรีไรท์แล้วมาต่อเรื่อยๆนะคะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :L1: :3123: เราตามอยู่ที่ธัญวลัยยยย  มาลงในเล้าด้วยเย้ๆ ตอนล่าสุดหน่วงใจ รอๆ :katai5:

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-3-
The other side
   

“ผมคิดว่าวันนี้คุณหมอจะไม่มาซะแล้ว”

“คำนี้มันมีความหมายว่าสวัสดีรึไง เห็นพูดทุกที” ผมพูดขึ้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมมาเจอเขาที่นี่..ที่เขาเรียกว่าฐานลับ เซนก็มักจะทักทายผมด้วยประโยคนี้เสมอ ทั้งๆที่ผมไม่เคยไม่มาเลยด้วยซ้ำ ก็ผมทำมันจนกลายเป็นกิจวัติไปแล้ว

“ฮ่าๆ นี่ผมพูดแบบนี่ทุกวันเลยหรอเนี่ย” เขาหัวเราะออกมา

“ใช่..”

“ขอโทษที แต่วันนี้ผมคิดว่าคุณหมอจะไม่มาแล้วจริงๆนะครับ มันเลยเวลาปกติของเรามาครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมกำลังจะตัดสินใจ
กลับไปอยู่แล้ว..ดีว่าผมยังเชื่อว่าคุณหมอจะมา”

“พอดีว่าผมต้องจัดการอะไรนิดหน่อย เลยพึ่งเลิกงานมา”

“งานของคุณวันนี้ซีเรียสมากเลยหรอ สีหน้าคุณดูไม่โอเคเท่าไรเลย” สายตาเขาแสดงความเป็นห่วงออกมาชัดเจน
ผมเคยบอกแล้ว..ว่าเซนเป็นคนที่เปิดเผยและไม่ระวังตัว เขาอ่านง่ายมากคิดอะไรก็แสดงออกมาทางแววตาไปซะหมด

“ไม่หรอก..มันสะสมมาหลายๆวันมากกว่า ผมรับรู้เรื่องราวของคนอื่นมากเกินไป ทุกคนมาระบายปัญหาของเขากับผม แต่ผมก็ได้แค่รับไว้พูดออกไปไม่ได้ มันก็เลยเครียดๆน่ะ”

“ผมรับฟังคุณหมอได้นะ ถ้ามันทำให้คุณหมอสบายใจ” เขาเสนอขึ้นมา สายตาของเขาซื่อตรงว่าเขาพร้อมจะรับฟังผมจริงๆแต่ผมคงบอกเขาไม่ได้

“ผมเล่าเรื่องพวกเขาให้คุณฟังไม่ได้หรอก มันเป็นจรรยาบรรณของจิตแพทย์..หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”

“ผมพึ่งรู้ว่าคุณเป็นจิตแพทย์” เขาหันมาทำหน้าตาเซอร์ไพรส์ใส่ผม

“ผมก็จำได้ว่าผมไม่เคยบอกคุณ ไม่แปลกที่คุณจะพึ่งรู้” สงสัยผมเองก็เริ่มจะติดนิสัยกวนตีนมาจากคนข้างๆที่บ้างแล้วล่ะ

“พรุ่งนี้คุณหมอลองไปที่ไซต์งานของผมไหม บางทีการเจออะไรใหม่ๆอาจทำให้คุณเลิกคิดถึงเรื่องที่คุณไม่สบายใจได้บ้าง” ผมลองคิดตามที่คนตัวสูงตรงหน้านี่พูด..มันก็คงจะดีเหมือนกันถ้าได้เจอแวดล้อมใหม่ๆบ้าง ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฝั่งทางนู้นเป็นอยู่กันยังไง

ถ้าไม่ใช่ที่ที่ผมต้องอยู่ประจำอย่างที่พัก สถานพยาบาล เต็นท์อำนวยการผมเองก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากฐานลับ การไปเปิดหูเปิดตาทางฝั่งนู้นบ้างคงเป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียวสำหรับผมในตอนนี้

“ผมไปได้หรอ” ผมถามเขา..ถึงจะอยากไปแค่ไหนแต่ยังไงผมก็ยังเกรงใจ ผมกลัวว่าตัวเองจะไปรบกวนการทำงานของพวกเขารึเปล่า

“ได้แน่นอน” ในเมื่อเจ้าตัวพูดเองแบบนี้ผมก็ไม่เกรงใจเลยแล้วกัน

“ถ้าอย่างผมจะพยายามเคลียร์งานตัวเองให้เสร็จเร็วๆ”

“พรุ่งนี้..บ่ายสองโมงผมจะมารอคุณที่นี่ หวังว่าคุณหมอจะมาก่อนฟ้าจะมืดนะครับ”

--
     
วันนี้ผมไม่ได้ช่วยอะไรคนอื่นมากนัก ผมแค่เข้าไปช่วยทำความสะอาดแผลง่ายๆให้ผู้บาดเจ็บที่อาการเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

ผมบอกเทเรซ่าเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ผมคุยด้วยเป็นประจำเอาไว้แล้วว่าวันนี้ผมขอตัวไปทางฝั่งนู้นบ้าง เธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ยกยิ้มแล้วอวยพรให้ผมมีช่วงเวลาดีๆ

พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็รีบออกมาเลย เพราะนี่ก็เลทมาพอสมควรแล้ว ผมรีบสาวเท้าเร็วๆไปยังจุดที่เรานัดกันไว้ ด้วยนิสัยผมไม่ชอบเป็นคนไม่รักษาเวลา

--

“สวัสดีครับ” เซนทักผมขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม เขามารออยู่ก่อนแล้ว และคงจะมาตั้งแต่บ่ายสองอย่างที่เจ้าตัวบอกเอาไว้แน่ๆ

“ขอโทษที่ผมสาย” ผมบอกเขา ที่รีบวิ่งมาเมื่อกี้ลมหายใจผมยังไม่เป็นปกติเลย

“ไม่เป็นไรครับ คุณหมอดูเหนื่อย เราจะพักกันก่อนไหม” เขาถามยิ้มๆอย่างที่เขาชอบทำ

“ไม่..เราไปกันเลย ผมไหว”

“ครับผม” เขารับคำก่อนจะเดินนำผมไป ใช้เวลาไม่นานเราก็เดินมาถึงทางแยก ระยะทางจากฐานลับถึงทางแยกใกล้กว่าจากฐานลับถึงเต็นท์อำนวยการพอสมควร

“ทางนี้ครับ” ผมกำลังจะเลี้ยวซ้ายเพราะเห็นเชลเตอร์อยู่ไกลๆนึกว่าคงเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวแต่อีกคนเบรกผมไว้แล้วเดินนำไปทางขวาแทน

“ถ้าอย่างนั้นทางซ้ายไปไหน” ผมถามเขาทันที แต่ก็ยอมเดินตามเขาไปเรื่อยๆ

“ที่พักชั่วคราว มันแย่มาก ผมไม่อยากให้คุณหมอเห็น..แค่งานของคุณก็เครียดมากพอแล้ว” เขาบอก

“แต่ผมอยากเห็น ผมจะไปทางนั้น” ไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีกผมก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมทันที จะให้ผมปล่อยผ่านแค่เพราะมันแย่จนผมไม่ควรเห็นอย่างนั้นหรอ ถ้างั้นผมจะมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะจริงไหม

“ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ” ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะบ่นออกมา แต่ผมไม่สนเขาหรอก ไม่ช้าคนตัวสูงก็รีบวิ่งมาดึงมือผมไว้

“อย่าไปเลยนะครับ เราทำตามหน้าที่ของเราดีกว่า ทางนั้นเขาก็มีเจ้าหน้าที่พยายามดูแลอยู่แล้ว” เขาพยายามรั้งผมไว้

“ผมก็แค่ไปดู ไม่ได้ไปรบกวนการทำงานของพวกเขาซะหน่อย” ผมเริ่มจะเบื่อคนตัวสูงข้างๆนี่แล้ว คอยห้ามอยู่ได้ ผมเลยลากเขาให้เดินตามมาด้วยเลยจะได้หยุดพูดมากสักที


ทันทีที่เราเข้าใกล้จนระยะสายตาแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ภาพตรงหน้าทำเอาผมพูดแทบไม่ออก ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เท้าสองข้างหยุดเดินต่อเองโดยไม่รู้ตัว

“ผมบอกคุณหมอแล้วว่ามันแย่มาก ผมไม่อยากให้คุณเห็น” เขาก้มลงกระซิบ..ผมเลยได้สติอีกครั้ง

“มันเกินกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” ผมบอกเขา ภาพตรงหน้าผมยิ่งกว่าชุมชนแออัดเลยก็ว่าได้ สภาพความเป็นอยู่เรียกได้ว่าน่าเวทนา ผู้คนหิวโซ สกปรกมอมแมม บางคนถึงกับออกมานอนกลางถนนด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะรอดตายจากแผ่นดินไหวมาได้ แต่ผมว่าถ้ายังอยู่อย่างนี้กันต่อไปคงต้องตายเพราะโรคระบาดแน่ๆ

“ผมถึงไม่อยากให้คุณมาไง”

“ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้” ผมไม่สนใจที่เขาพูดแต่ถามเขากลับแทน จิตใจผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นไหม..ผมรับมือกับความรู้สึกตัวเองได้อยู่แล้ว

“ปัจจัยสี่ไม่เพียงพอไงครับ อาหาร ที่พัก เครื่องนุ่งห่ม ยา คนดูแลคงทำได้เต็มที่เท่านี้จริงๆ เราคงต้องรอทางการให้เข้ามาช่วยเหลือมากกว่านี้”

“ความเป็นอยู่ต่างกันชะมัด ทั้งๆที่ห่างกันแค่นี้แท้ๆ”

“เพราะทางนั้นมีคนเจ็บกับบุคลากรทางการแพทย์ไง เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นก่อน อย่างน้อยคนเจ็บก็ต้องอิ่มท้อง” เซนอธิบายออกมา เขาต้องอยู่ที่นี่มานานกว่าผมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเคยมีประสบการณ์เข้าร่วมโครงการแบบนี้มาก่อน เขาดูรู้จักที่นี่ดีกว่าตัวผมเองที่ไม่รู้อะไรเลย

“เฮ้อ..แล้วพวกคุณล่ะ มีอะไรกินรึเปล่า ให้ผมแอบเอาอะไรมาให้ไหม” คนข้างๆผมหลุดขำออกมา

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังพอหาอะไรกินกันได้อยู่...พอแล้ว ผมไม่ให้คุณดูแล้ว เราไปกันเถอะ” เขาพูดยิ้มๆก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดตาผม จับหันหลังแล้วดันไหล่ให้ผมเดินออกมา

--

“ผู้ประสบภัยต้องอยู่ที่เชลเตอร์แบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน” ผมดันมือเขาที่ปิดตาผมอยู่ออก ก่อนจะถามขึ้นมาระหว่างทางที่เราเดินไปที่ไซต์งานของเขา

“ก็คงจนกว่างานของผมจะเสร็จ..ตอนนี้เราก็เร่งมือกันเต็มที่แล้ว แต่ว่าเรามีกันอยู่แค่ไม่กี่คน พึ่งจะเสร็จไปแค่หลังเดียวเอง เราย้ายเด็กบางส่วนออกมาก่อนแล้วแต่ก็ยังเหลืออีกเยอะเลย” แม้เขาจะบอกว่าแค่หลังเดียวแต่ผมก็ว่าเขาทำงานกันเร็วมากเลยนะครับ พึ่งจะเกิดเหตุไปเมื่อเดือนที่แล้ว กว่าทุกอย่างจะสงบเข้าที่ ไหนจะต้องเสียเวลาเคลียร์พื้นที่ก่อนอีกแต่พวกเขาก็สร้างกันไปได้ขนาดนั้นแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องอยู่ที่นี่นานเลยสิ”

“กำหนดกลับผมคือหกเดือนครับ แต่ถ้าที่ผมทำไว้ยังค้างคาผมคงอยู่ต่อจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย งานของผมแค่ช่วยสร้างที่พักในระดับแรกไปก่อน เดี๋ยวหลังจากนี้ก็คงมีบริษัทเองชนเข้ามาดูแลต่อเอง...นั่นไงถึงแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อผมและเขาก็มาถึงเป้าหมายแรกของเราแล้วเรียบร้อยแล้ว..ไซต์งานของอีกคนนั่นเอง

--

“เฮ้..มอรีส” ผมมองตามเขาไปก็เจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนคนหนึ่ง เขาเป็นคนผิวสีและคงชื่อมอรีสจากที่เซนเรียก ผมโค้งทักทายเขามอรีสเลยโค้งกลับมา

“มอรีสเป็นนายช่างที่เฮติเนี่ยละ เขาช่วยผมได้มากเลย” เซนก้มลงมากระซิบกับผม

ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสกันต่อ ถึงผมจะไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ผมก็พอจะจับใจความจากท่าทางของพวกเขาได้ว่าเซนกำลังแนะนำผมกับมอรีสอยู่ มอรีสหันมาเช็คแฮนด์กับผมก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานของเขาต่อ

บรรยากาศที่นี่เรียกว่าแทบไม่มีอะไรเลย มันโล่งว่างเหมือนลานดินลานทราย มีคนขวักไขว่กันไม่ถึงครึ่งร้อย ผิดกับที่สถานพยายามที่เจ้าหน้านับร้อยเดินสวนกันทั้งวัน

แม้จำนวนคนจะไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยจนน่าใจหายแต่เมื่อเทียบกับงานที่รอพวกเขาอยู่มันก็หนักหนาเกินไปจริงๆ เซนบอกผมว่าตอนที่เขามาที่นี่ตอนแรกรวมตัวเขาด้วยมีคนที่อาสาเข้ามาทำงานตรงนี้ไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ มีเข้ามาใหม่บ้างแต่ที่เห็นอยู่เยอะหน่อยคือชาวบ้านผู้ชายที่พอมีกำลังอาสาเข้ามาช่วย

ทำงานตรงนี้แม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็เพราะช่วยเหลือพวกพ้องตัวเอง มีที่พักที่ดีกว่าและอาหารที่อิ่มท้องพวกเขาเลยไม่ลังเลที่จะทำมัน แต่ยังไงงานแบบนี้ก็คืองานเฉพาะทางใช่ว่าใครจะมาทำเลยได้ อย่างน้อยทุกคนก็ต้องมีพื้นฐานอยู่บ้าง

“คุณหมอเห็นบ้านตรงนั้นไหม นั่นหลังแรกที่เราทำเสร็จกัน” เขาชี้ให้ผมดูบ้านขนาดกลางชั้นเดียวที่อยู่ไกลออกไป มันดูเรียบง่ายแต่ก็แข็งแรงทนทานดี

“คุณใช้เวลาเท่าไรสร้างมันขึ้นมา” ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้

“อย่างจริงจังก็ราวๆสองอาทิตย์ มันเป็นโครงสร้างง่ายๆที่ผมอยากทำขึ้นมาเพื่อเด็กๆก่อน ไว้เราเดินดูรอบๆเสร็จแล้วผมจะพาแวะไป”

“ครับ..แล้วที่มอรีสกำลังทำอยู่ล่ะ ผมว่าหลังนี้ไม่เหมือนกับหลังนั้นนะ”

“ใช่ หลังนี้จะใหญ่กว่าแล้วก็มีสามชั้น มันเลยต้องใช้เวลามากหน่อย”

“แล้วทำไมเราไม่สร้างแบบเดิม มันเร็วกว่าไม่ใช่หรอ”

“เราไม่มีพื้นที่มากขนาดนั้นไงครับ มาครับเดียวผมพาไปดูผังเมืองตรงนี้ที่ผมวางแผนเอาไว้” เขาจูงมือลากผมอ้อมไปทางด้านหลัง ดูเหมือนว่าเซนจะเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเดินไปทางไหนทุกคนก็ทักทายเขาเป็นอย่างดี

เซนเองก็แนะนำผมกับทุกคนไปหมดเลยจนผมเริ่มจะเกร็งไปหมดแล้วเมื่อทุกคนเอาแต่มองมาที่ผม

เขาพาผมไปที่บ้านพักของเขา มันเป็นเชลเตอร์แบบเดียวกับที่พักอาศัยชั่วคราวของผู้ประสบภัยเพียงแต่ขนาดเล็กกว่ามาก
แปนผังที่เขาว่าถูกหยิบออกมาจากกระบอกแล้วคลี่กางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางเชลเตอร์

ผมเขาอธิบายมันให้ผมฟังอย่างละเอียดอย่างกับวิศวกรมาขายงานผม โครงสร้างทุกอย่าง วัตถุดิบทุกชนิดถูกคำนวณมาอย่างเหมาะสมดีอยู่แล้ว ผมอดที่จะทึ่งกับความสามารถเขาไม่ได้ เขาคงเป็นคนมีฝีมือในสายงานของเขามากเลยทีเดียว ถ้าเขาสร้างออกมาได้อย่างที่เขาวางแผนเอาไว้มันจะต้องออกมาดีมากแน่ๆ

“เดี๋ยวผมจะต้องเข้าไปดูงานหน่อย ดูเหมือนว่าคนของผมจะหล่อคานกันเสร็จเรียบร้อยแล้วผมต้องไปตรวจสอบก่อน คุณหมอจะไปกับผมไหมหรือจะรออยู่ที่นี่” เขาหันมาพูดกับผม

“ผมไปด้วยดีกว่า คุณจะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปมา” เขายิ้มรับก่อนจะเดินนำผมออกไป

--

“เซน..”ผมเรียกเขาพร้อมกับจับแขนเขาไว้ให้เจ้าตัวหยุดเดิน

“ครับ?”

“ผมว่านั่งร้านมันสั่นๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหม” คนตัวสูงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ตาสีน้ำตาลออกของเขาจ้องไปที่นั่งร้านอย่างที่ผมบอก ก่อนจะหลุดพูดเสียงรอดไรฟันออกมา

“Aftershock”

“...” ฉิบหายแล้ว มาได้ไม่กี่วันก็เจอลูกแรกแล้วหรอ

“คุณหมอใส่นี่เอาไว้นะ” เขารีบปลดหมวกนิรภัยของเขามาใส่ให้ผมทันที ตอนนี้เราไม่ปลอดภัยเลย เราสองคนอยู่กันกลางไซด์งานก่อสร้างที่ทุกอย่างพร้อมจะถล่มลงมาหมด คนอื่นเองก็เริ่มรู้ตัวแล้ว คนที่อยู่บนนั่งร้านหรือที่สูงต่างรีบปีนลงมาเพื่อที่จะหนีไปอยู่ที่โล่ง

“แล้วนายละ” ผมถามเสียงสั่น ยอมรับว่าตอนนี้กลัวมาก ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลยแล้วตอนนี้ตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามันสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นแล้วแม้ว่าจะยังไม่ได้สัมผัสได้โดยตรงจากตัวเอง แต่จากโครงเหล็กที่มันสั่นแรงขึ้นมันบอกผมได้เป็นอย่างดี

“ผมไม่เป็นไร เรารีบออกไปอยู่ที่โล่งก่อนเถอะ” มันไม่ทันแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวไปไหนนั่งร้านที่อยู่ถัดเราไปไม่เท่าไรก็ถล่มลงมาแล้ว

เสียงดังสนั่นจนผมทำอะไรไม่ถูก แต่อีกคนดูจะรับมือได้ดีกว่า เซนรีบผลักผมออกไปอย่างแรงจนผมล้มลง


“อึก!..” เสียงเขาดังก้องอยู่ในหูผม


“เซน..” ผมเรียกเขาเสียงสั่น แท่งเหล็กเส้นขนาดกลางเสียบค้างอยู่ที่ช่วงท้องเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เลือดสีแดงสดย้อมเสื้อเขาให้กลายเป็นสีเดียวกันอย่างรวดเร็ว

“คุณหมอไม่เป็นอะไรใช่ไหม...”

“นายนั่นละที่เป็น”

“ไม่เป็นไรผมไหว เรารีบไปที่โล่งกันก่อนเถอะ” ผมรีบลุกขึ้นไปพยุงเขา โชคยังดีที่เหล็กมันยาวแค่สองฟุตเขาเลยยังเคลื่อนตัวได้ง่าย จากปลายแหลมด้านที่แทงเซนออกมาผมเดาว่าคงเป็นเศษที่เหลือจากการตัดออก

--

ในที่สุดผมก็พาเขาออกมาอยู่รวมกับคนอื่นๆได้สำเร็จ แต่เหมือนว่าเซนจะไม่ไหวแล้ว เขาเสียเลือดไปเยอะพอสมควรจนเจ้าตัวหน้าเริ่มซีดแล้ว

ผมทรุดตัวนั่งให้เขานอนตะแคงหนุนตักผมไหวโดยมีคนอื่นคอยช่วยเหลืออีกที มีคนแจ้งสถานพยาบาลไปก่อนแล้ว ตอนนี้เราทำได้แค่รอเท่านั้น

“คุณหมอ..” เขาเรียกผมเสียงเบา

“ อะไร..นายไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่เป็นไร ผมดูแล้ว มันไม่โดนอวัยวะสำคัญเลย แค่เสียเลือดมากแล้วก็เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมพยายามพูดให้เขาสบายใจ

“ผมไม่เจ็บแล้ว..มันชาไปหมดแล้ว”

“ดีแล้ว..ทนอีกหน่อยนะ ไม่ต้องกลัว”

“ผมไม่กลัวหรอก..ก็ผมถึงมือหมอแล้วนี่หน่า”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไป





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะรักษาทันไหม

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-4-
Necessary
   
“เซน..เซน!” ผมเรียกเขา เขย่าตัวคนที่หนุนตักอยู่ไม่เบาแรงแต่ก็ไร้การตอบรับ เซนไม่รู้สึกตัวแล้ว..ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มร้อนใจ

“อดทนหน่อยนะ อีกแค่แปบเดียว” ผมบอกเขาทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้มันไหม เลือดยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนเสื้อเขาชุ่มไปหมดแล้ว

ผมทำอะไรไม่ได้เลย..จะห้ามเลือดก็ไม่ได้ในเมื่อแท่งเหล็กยังคาอยู่แบบนี้

ใบหน้าเขาเริ่มซีดจนไร้สีเลือด เหงื่อผุดซึมเต็มไปหมดจนผมต้องเลิกผมที่ปรกหน้าเขาออกแล้วเช็ดออกให้

เกือบสิบห้านาทีในที่สุดรถจากสถานพยาบาลก็มา เซนได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที เขาได้รับการช่วยเหลือจากไมเคิล
เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน..ทีมแพทย์สี่คนรุมเขาจนผมต้องถอยตัวเองออกมา

หมดหน้าที่ผมแล้ว ผมช่วยเหลือเขาได้เพียงเท่านี้ เขาไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงแล้ว..เขาถึงมือหมอจริงๆแล้ว และก็อย่างที่ผมบอกเขาไป..เหล็กไม่ได้แทงโดนอวัยวะสำคัญ

นอกจากเซนแล้วยังมีคนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง มีบางคนที่หัวแตก ขาแขนหักแต่ไม่ถึงกับมีใครอาการสาหัสอะไร อาการของเซนดูเหมือนว่าจะรุนแรงที่สุดแล้ว

เขาหลับไปเป็นวัน ตัวผมไม่ได้อยู่เฝ้าเขาตลอดเวลาหรอก แต่ก็เดินผ่านเตียงที่เขานอนอยู่บ่อยเหมือนกัน

ข้างเตียงเขาระโยงระยางไปด้วยถุงเลือดและถุงน้ำเกลือ ร่างสูงสวมแค่กางเกงตัวเดียว..ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าสีขาวพันรอบช่วงท้องปิดแผลของเขาเอาไว้

--

ตอนนี้ผมกลับมานั่งอยู่ข้างเตียงของเขา..ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน งานของผมเสร็จหมดแล้ว ในตอนนี้เป็นช่วงให้ผมได้พักเบรกตัวเองสักครู่ก่อนจะต้องกลับมาทำงานต่อ ผมควรจะไปพักเหมือนทุกที..แต่ผมกลับเลือกที่จะมานั่งอยู่เงียบๆกับเขาแบบนี้

ผมลอบมองหน้าของเขา..ใบหน้าที่เคยซีดเผือด ตอนนี้เริ่มมีสีสันขึ้นมาให้อุ่นใจได้บ้างแล้ว ไรหนวดเขาชัดเจนขึ้นแม้ว่ามันจะพึ่งผ่านไปแค่วันเดียว

ผมอยากให้เขาฟื้นขึ้นมา..เพื่อที่จะได้ขอบคุณเขาที่ช่วยผมเอาไว้ ผมติดค้างเขาในหลายๆเรื่อง ผมมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับเขาบ้าง..ทุกทีมีแต่เขาที่คอยพยายามชวนผมคุย

“คุณหมอ…” เสียงเรียกแผ่วเบาจากคนที่นอนหลับไปหนึ่งวันครึ่งดังขึ้น ทำให้ผมเงยหน้ามองเขา

“ไง..ฟื้นแล้วหรอ” ผมทักเขา..หลุดยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เซนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น กระพริบช้าๆก่อนที่ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาจะมองมาที่ผม

เขาเรียกผมก่อนที่ตัวเองจะลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ

เซนสอดส่องสายตาไปรอบๆเหมือนพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าตอนนี้อยู่ไหนกันแน่ ยกมือข้างซ้ายที่โดนแทงเข็มน้ำเกลือขึ้นดูก่อนจะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่งแต่ผมรีบกดช่วงอกเขาไว้ซะก่อน

“อย่าพึ่งลุก..นอนไปก่อน คุณไม่ควรขยับมากเดี๋ยวแผลจะฉีก” อีกคนยอมนอนนิ่งๆอย่างว่าง่าย พอผมพูดถึงแผลแล้วดูเหมือนเขาจะพึ่งนึกขึ้นมาได้เหมือนกัน..มืออีกข้างที่ไม่ได้โดนเจาะให้น้ำเกลือยกขึ้นกุมแผลบริเวณหน้าท้องตัวเองเบาๆ ก่อนจะหลุดร้องครางออกมา

“ซีดดด..เจ็บชะมัดเลย” ก็แน่สิ..เขาคงจะหายชาไปนานแล้วและเหล็กก็เส้นไม่ได้เล็กเลยแถมยังโดนแทงลึกจะทะลุออกหลังแบบนั้นอีก

“เจ็บมากไหม” ผมถามเขา

“ครับ เจ็บมากเลย”

“ทนไหวรึเปล่า ถ้าปวดมากทนไม่ไหวให้รีบบอกนะ”

“ผมพอทนได้..ยังไม่เจ็บมากขนาดนั้น ผมแค่อยากลุก ผมเจ็บแผลตรงหลังที่นอนทับอยู่” เซนพูดออกมาก่อนจะสีหน้าเหยเกเล็กน้อยตอนที่เจ้าตัวลองขยับตัว เนื่องจากแท่งเหล็กแหลมมันแทงทะลุตัวเขาจากด้านหลังจนมาโผล่ด้านหน้า เวลาที่เขานอนหงายมันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทับแผลด้วย

“งั้นค่อยๆลุก” ผมเข้าไปช่วยขยับหมอนให้แล้วช่วยประครองเขาให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนเอาไว้ พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็หันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วมายื่นให้เขาดื่ม

“ผมหลับไปนานไหม” เซนถามพลางส่งแก้วที่กินเสร็จเรียบร้อยแล้วคืนผม

“ไม่นานหรอก..แค่วันกว่าๆ”

“แล้วคุณหมอล่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่..ผมไม่เป็นไรเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” ให้ตายเถอะ ตัวเองพึ่งจะผ่านนาทีเฉียดตายมาได้ยังมาห่วงผมได้อีกนะ เขาเองก็เห็นผมนานั่งคุยกับเขาได้แบบนี้ก็ต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว

“ให้ผมห่วงตัวเอง แล้วคุณหมอห่วงผมไหม”

“ห่วงสิ..คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะผมนะ จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไง”

“มันไม่ใช่เพราะคุณ..อย่าโทษตัวเอง มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ที่ผมช่วยคุณมันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว..ผมเห็นนั่งร้านพัง เหล็กหล่นลงมากับตา จะให้ผมยืนเฉยปล่อยให้คุณหมอเจ็บตัวผมทำไม่ได้หรอก แค่ผมจินตนาการภาพคุณเลือดท่วมตัวผมก็เจ็บกว่าที่เจ็บอยู่ตอนนี้เสียอีก” คนเจ็บพูดออกมายาวเหยียดไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ขัดจังหวะ
ที่เขาพูดออกมาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ทั้งๆที่เราพึ่งจะรู้จักกันไม่ถึงสิบวัน

ผมพยายามมองลึกเข้าไปในตาเขาเพื่อค้นหาบ้างสิ่งที่ผมอยากรู้..แต่ในคราวนี้ผมกลับไม่รู้อะไรเลย

เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ แต่เรามันก็แค่คนรู้จักกัน

“แต่ยังไงคุณก็เจ็บตัวเพราะผม..ผมอยากขอบคุณคุณที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องอื่นๆด้วย”

“ผมได้ทำอะไรให้คุณหมอที่ไหนกัน..จะขอบคุณอะไรผมตั้งมากมาย” เขายิ้มกว้างอย่างที่ชอบทำ

“ทำสิ..คุณทำให้ผมสบายใจ”

“...” ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็น่าอยู่หรอก..ก็ผมมักจะบอกว่ารำคาญเขานี่หน่า

“พักผ่อนซะ เดี๋ยวอีกสักพักคงมีเจ้าหน้าที่มาเช็ดตัวทำความสะอาดแผลให้ ผมคงต้องไปแล้ว” ผมรีบตัดบท กำลังจะลุกออกไปทำงานต่อเพราะเบรกมานานแล้วแต่คนป่วยบนเตียงรีบคว้าแขนผมไว้

“เป็นคุณหมอไม่ได้หรอ..เจ้าหน้าที่คนนั้น ผมอยากให้คุณทำมันให้ผมมากกว่า”

“ผมไม่ได้ดูแลแค่คุณนะเซน อีกอย่างงานตรงนี้ไม่ใช่งานของผมด้วยซ้ำ” แม้ว่าผมจะมาช่วยทำความสะอาดแผลทั่วไปบ่อยๆก็เถอะ แต่นั้นเพราะคนเจ็บเยอะจนกำลังแพทย์ไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้จำนวนผู้บาดเจ็บก็ลดลงบ้างแล้ว และแผลเซนก็ไม่ได้ทั่วไปสักเท่าไร ให้ไมเคิลเข้ามาเช็คเองคงเหมาะสมมากกว่า

“แต่ผมไม่รู้จักใคร ผมรู้จักแค่คุณ” เขารีบอ้าง..แต่คนที่อยู่ๆเดินเข้ามาทักคนไม่รู้จักที่กำลังจะหลับแล้วชวนเขาคุยได้ผมว่าแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหาของคนแบบเขาหรอก

“คุณมนุษย์สัมพันธ์ดีอยู่แล้ว..เชื่อผมสิ คุณหาเพื่อนใหม่ไม่ยากหรอก”

“ผมอยากคุยกับคุณ อยากให้คุณมาหาผม ดูแลผม..ก็เท่านั้น” สายตาที่เหมือนหมาบีเกิลแบบนั้นมันอะไรกัน

“เอาเป็นว่าผมจะพยายามมาแล้วกัน..แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่รับปากนะ” เห็นว่าที่เขาตอนนอนเจ็บอยู่แบบนี้ก็เพราะผมหรอกนะ

“ครับ..ผมจะรอ”

“ผมว่าผมพึ่งบอกไปว่าไม่รับปากนะ”

“ผมจะรอ”

“คุณนี่มัน!” กวนประสาทฉิบหายเลย

--

ผมเดินเข้ามาในส่วนของโรงอาหารเพื่อที่จะหาอะไรลองท้องก่อนที่เวลาพักของผมจะหมดไปซะก่อน จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีเวลาเบรกตายตัวเหมือนกับที่โรงพยาบาลหรอก แต่ผมแค่ไม่อยากอู้งานก็เท่านั้นเอง

“เฮ้..หมอภัทร!” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นทำให้ผมรีบหันไป เป็นไมเคิลนั่นเองที่เรียกผม เขากวักมือเรียกผมเลยเดินถือถาดอาหารของตัวเองเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับเขา

“สวัสดีครับไมเคิล”

“สวัสดีครับ ทำไมคุณถึงมากินข้าวคนเดียวได้ล่ะ”

“ทีคุณยังอยู่คนเดียวเลย” ผมไม่ตอบแต่ย้อนเขากลับแทน ปกติผมมักจะเห็นพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่นะ หรือไม่อย่างน้อยเขาก็อยู่กับเพื่อนเขาที่ชื่อนิคอีกคน แต่วันนี้กลับเป็นเขาที่มานั่งกินข้าวอยู่คนเดียวเหมือนกัน

“วันนี้ผมโดนทิ้งซะแล้ว” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไปอีกคำ

“อ่าว..ทำไมละครับ” ผมรีบถาม

“ทีมผมหลายคนเขากลับกันแล้ว คุณก็เห็นว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วง”

“แล้วถ้าเกิดอาฟเตอร์ช็อคแบบเมื่อวันก่อนอีกจะทำยังไงละครับ ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอีกแล้วสักหน่อย” ผมเองยังใจหายอยู่เลยนะ..พอได้เจอกับตัวเองจริงๆ

“ผมถึงยังอยู่ไงครับ ถึงอาฟเตอร์ช็อคจะยังไม่หมดจริงๆ แต่ผมเชื่อว่าที่จะตามคงไม่มีครั้งไหนรุนแรงมากอีกแล้ว เพราะนี่ก็เดือนกว่าแล้ว คงเหลือแต่ลูกเล็กๆ ไม่ก็ขนาดกลางอย่างเมื่อวาน”

“อย่างนี้สินะ..” พอรู้ว่าจะไม่มีแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากอีกผมก็พอจะใจลงได้บ้าง ขนาดเมื่อวันก่อนแค่นั้นผมยังทำอะไรไม่ถูกเลย

“...” เราต่างก้มหน้าจัดการอาหารในจานของตัวเองไปเงียบๆอยู่สักพัก สุดท้ายก็เป็นผมเองที่เริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

“ไมเคิล..ถ้าคุณว่างผมอยากให้คุณลองไปทางฝั่งที่พักชั่วคราวดูบ้าง ผมว่าหลายคนน่าห่วง สุขอนามัยแย่มาก..ผมกลัวว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่รอดจากพวกโรคระบาด อย่างน้อยก็อหิวา..”

“ขอบคุณที่แนะนำนะครับ ไว้ผมจะหาเวลาว่างลองไป บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้เลย”

“ขอบคุณนะครับ..” ไมเคิลเป็นหมอที่ผมรู้สึกชื่นชมมากอีกคนหนึ่งเลย

“มันเป็นหน้าที่ของแพทย์อยู่แล้ว คุณหมอภัทรรีบกินเข้าเถอะ..จานของคุณเย็นหมดแล้วนะ”

“คุณเองก็เหมือนกัน” เขาบอกผม แต่ตัวเองมานั่งกินก่อนผมอีกและยังกินไม่หมดเลย ของเขาไม่เย็นกว่าผมแล้วหรอ

“ฮ่ะๆ นั่นสินะ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นที่โดนเหล็กเสียบเขาฟื้นรึยัง ผมเห็นคุณคอยดูเขาอยู่” บอกว่าอาหารจะเย็น แต่ตัวเองก็เป็นคนที่ชวนผมคุยต่อเองซะอย่างนั้น

“ฟื้นแล้วครับ แต่ผมบอกให้เขานอนพักไปเมื่อสักครู่ ไม่แน่ใจว่าเขาจะหลับไปอีกครั้งรึเปล่า” ผมตอบ

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกินเสร็จผมจะเข้าไปดูแผลผ่าตัดเขาสักหน่อย”

“จะรบกวนคุณไหมถ้าผมขอไปด้วย”

“ตามสบายเลยครับ”

--

หลังจากที่เราจัดการเรื่องปากท้องตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งผมและเขาก็เดินไปหาเซน เพื่อที่จะตรวจดูแผลของเขาว่ามีอะไรน่าเป็นห่วงไหม ระหว่างทางไมเคิลยังคงชวนผมคุยไปเรื่อย..ทั้งๆที่ปกติเราไม่ได้คุยกันมากขนาดนี้ สงสัยเขาจะเหงาจริงๆที่เพื่อนเขากลับกันไปแล้ว

“ขอบคุณที่คุณแนะนำเรื่องทะเลสาบให้ผมนะ ผมลองไปมาแล้ว มันสวยมาก..แล้วก็รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ”

“ผมดีใจนะที่คุณชอบ” ผมหันไปยิ้มให้เขา

“ชอบสิครับ ที่สวยๆแบบนั้นใครเห็นผมว่าเขาก็ชอบกันทั้งนั้น”

“ครับ..ผมเองก็ชอบมากเหมือนกัน”

ยังไม่ทันที่เราจะคุยอะไรกันต่อเราก็เดินมาถึงแล้ว คนป่วยที่ผมคาดว่าน่าจะหลับ หรือไม่ก็ได้เห็นสายตาแสดงออกว่าดีใจอย่างปิดไม่มิดที่เจ้าตัวชอบแสดงออกมาเวลาผมไปเจอเขา แต่คราวนี้ใบหน้าที่ดูดีของเขากลับเรียบนิ่ง..ไม่แสดงอะไรออกมาแม้แต่ทางสายตา

“สวัสดีครับคุณเซน ผมชื่อไมเคิล เป็นแพทย์เจ้าของไข้คุณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ไมเคิลทักทายอย่างอัธยาศัยดี แต่อีกคนที่ปกติมนุษย์สัมพันธ์ดีไม่แพ้กันกลับนิ่งเงียบจนน่าใจหาย

“สวัสดีครับ” เขาตอบกลับมาเพียงเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตตรวจดูแผลคุณหน่อยนะครับ”

“เชิญครับ”

ทันทีที่เซนลดผ้าห่มที่ตอนแรกปิดคลุมจนถึงช่วงท้องเขาอยู่ออก ผมก็ส่งสายตาดุๆให้เขาไปที ก็บอกอยู่ว่าอย่าขยับมากให้ระวัง..แล้วเลือดที่ซึมจนเปื้อนผ้าพันแผลอยู่นี่มันอะไร ไม่ใช่ว่าแผลเปิดไปแล้วหรอ

ไมเคิลแกะผ้าพันแผลออกอย่างไม่เร่งรีบ ทันทีที่ผมเห็นแผลก็รู้ได้เลยว่ามันเปิดจริงๆด้วย ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ

“เวลาขยับตัวต้องระวังหน่อยนะครับ อย่ารีบจนเกินไป ทางที่ดีผมแนะนำว่าอย่าพึ่งขยับตัวมากเลยจะดีกว่า ตอนนี้แผลคุณเปิด ผมคงต้องเย็บใหม่อีกครั้ง คุณต้องการยาชาก่อนไหม” ที่ไมเคิลต้องถามเพราะว่ายาชาเรามีอย่างจำกัด เนื่องจากเราต้องใช้ไปมากกับคราวก่อน แล้วล็อตใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติมก็ไม่ได้มากมายอะไร การเก็บไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นมากๆเป็นทางเลือกดีที่สุด..แต่แผลของเซนก็ควรจะใช้มันเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมทนได้” เขาตอบออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาลง เซนกัดฟันแน่นปล่อยให้ไมเคิลทำความสะอาดแผลและเย็บให้เขาใหม่อีกครั้ง ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย..ดูจากเหงื่อที่ออกมาแทบทั้งตัว เขาจะต้องเจ็บมาแน่ๆ

“คุณคงเหนียวตัว เดี๋ยวผมไปตามเจ้าหน้าที่มาเช็ดตัวให้นะครับ”

“ไม่เป็นไร..เดี๋ยวผมทำให้เขาเอง” ผมอาสา ไมเคิลหันมามองหน้าผม..ผมพยักหน้ายืนยันว่าผมจะทำเอง เขาถึงได้บอกลาแล้วขอตัวออกไป

“ไม่เจ็บแผลแล้วหรือไงถึงได้ขยับจนแผลฉีกแบบนั้น” ผมพูดขึ้นหลังจากไปหาอุปกรณ์มาเรียบร้อยและเตรียมจะเช็ดตัวให้เขา

“...” เซนไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ปิดเปลือกตาลงแล้วหันหน้าไปอีกทาง

นี่เขาโกรธผมถูกไหม ตั้งแต่สายตาเรียบนิ่งไม่ยอมทักทายผมตอนเดินเข้ามาแล้ว...และนี่ผมไปทำอะไรผิดตอนไหนวะ




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คงเป็นอาการที่เรียกว่าหึงนะหมอ

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

-5-
Friend Zone

   
“เซน..คุณเป็นอะไร”

“เปล่า” เขาปฏิเสธออกมา แต่เจ้าตัวยังคงนอนนิ่งหันหน้าออกไปอีกทางอยู่ตามเดิม

“ถ้าไม่ก็หันมามองผม คุยกับผม” คราวนี้คนป่วยยอมหันมามองผมแล้วแต่ก็ยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี ช่างเถอะ..โตๆกันแล้ว ผมไม่ได้รู้จักเขาดีพอที่จะรู้ได้เองว่าเขาไม่พอใจอะไรผมหรอกนะ

ผมเข้าไปช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนดีๆ ก่อนเอาจะหันไปบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยื่นให้เขา เซนรับไปแล้วจัดการตัวเองเงียบๆ พอเขาบ้วนปากเสร็จผมถึงได้เริ่มเช็ดตัวให้เขาสักที

ผมบิดผ้าขนหมาดแล้วใช้มุมผ้าด้านหนึ่งเช็ดเปลือกตาให้เขา ก่อนจะใช้มุมอีกด้านเช็ดอีกข้างให้ ตอนที่ผมกำลังจะละมือออกเซนเปิดเปลือกตาขึ้นพอดี ผมเลยได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาชัดๆเป็นครั้งแรก

แววตาของเขาวูบไหว เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง เขาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรกับผม แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา

“เซน..คุณเป็นอะไร ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่รู้หรอกนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการให้อีกฝ่ายยอมพูดเรื่องที่ลังเลใจออกมาเอง

“คุณหมอไม่รู้จริงๆหรอครับ” เขาเริ่มเปิดปากพูดดีๆกับผมเป็นคำแรก

“เจ็บหรอ..หรือว่าปวดแผลตรงไหน ทำไมไม่บอกผม” ผมถามอย่างกังวล บางทีเขาอาจจะเจ็บแผล หรือปวดหัว หรืออะไรเลยทำให้อารมณ์ไม่คงที่อยู่อย่างนี้

“ไม่ใช่หรอก..ช่างมันเถอะ ผมคงคิดเยอะไปเอง” เขาบอกปัดก่อนจะหลบตาผม

“อย่าเป็นอย่างนี้สิ คุณชอบหรอที่เราเป็นอย่างนี้กัน ถ้าเกิดผมไม่คุยกับคุณบ้าง ไม่มองคุณบ้าง ไม่สนใจคุณ..ให้ผมลุกออกไปเลยตอนนี้ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ”

“ไม่เอา..” เขารีบคว้าแขนผมไว้เมื่อผมทำท่าจะลุกออกไปจริงๆ สายตาเขา สายตาเหมือนหมาบีเกิ้ลกลับมาอีกครั้งทำให้ผมรู้ว่าเขาอ่อนลงแล้ว

“ถ้าไม่อยากให้ผมไปก็คุยกันดีๆ ถึงผมจะเป็นจิตแพทย์ แต่ใช่ว่าผมจะเดาใจคุณได้หมดทุกอย่างหรอกนะ มีอะไรก็บอกผม..แค่พูดออกมาผมพร้อมที่จะรับฟังอยู่แล้ว” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงโทนปกติ แต่คนที่นอนอยู่กลับทำหน้าราวกับเด็กโดนผู้ปกครองดุอย่างไรอย่างนั้น

“ผมแค่..ไม่ชอบหมอไมเคิล ที่เขาสนิทกับคุณ” เป็นถึงนายช่างใหญ่ แต่เหตุผลเขามันโคตรจะเด็กน้อยเลย

“ไมเคิลเขาเป็นเพื่อนของผม..แต่ไม่ได้สนิทอะไรมากหรอก เขาแค่ชอบมาปรับทุกข์กับผมอยู่บ่อยๆ ผมสนิทกับคุณมากกว่าเขาเสียอีก”

“คุณหมอบอกว่าไม่สนิทกัน แต่คุณก็เดินมากับเขา” เขายอกย้อน

“ก็ผมบังเอิญเจอเขาตอนไปกินข้าว แล้วเขาต้องมาตรวจคุณผมเลยขอมาหาคุณด้วยไง” ผมอธิบายไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องมาชี้แจงเขาเรื่องนี้ด้วย

“คุณยิ้มให้เขา” เพื่อนกันยิ้มให้กันมันแปลกตรงไหนวะ

“คุณจะให้ผมร้องไห้ใส่เขารึไง..อย่างี่เง่าได้ไหม”

“คุณหมอบอกว่าสนิทกับผมมากกว่าเขา แต่รอยยิ้มแบบนั้น ที่คุณยิ้มให้ไมเคิล..คุณหมอไม่เคยมีให้ผมเลย แถมคุณยังบอกเรื่องฐานลับของเราให้เขารู้ ทั้งๆที่มันเป็นที่ของเรา..ที่ของคุณกับผม”

“แล้วมันใช่เรื่องที่เพื่อนกันต้องมาสนใจหรอ กับแค่ผมยิ้มให้ใคร” ผมพูดอย่างไม่เข้าใจ

“...”

“แล้วเรื่องฐานลับ ผมแค่แนะนำเขา แต่ผมไม่เคยพาเขาไปกับผมสักหน่อย อีกอย่างมันเป็นสาธารนะ..ใครๆก็มีสิทธิไปกันทั้งนั้น”

“มีแต่ผมคนเดียวสินะที่คิดว่าที่นั่นเป็นที่ของเรา..”

“...” เซนเงียบไปก่อนจะพูดต่อ

“แล้วผมเคยบอกคุณหมอหรอครับว่าผมเป็นเพื่อนคุณ” ประโยคที่เขาพูดออกมาทำผมนิ่งไป

ที่ผมสนิทใจกับเขา..เราเป็นแค่คนรู้จักกันแค่นั้นใช่ไหม

“แล้วที่ผ่านมา..เราไม่ใช่เพื่อนกันหรอ” ผมถาม

“ไม่..เพื่อนผมมีเยอะแล้ว และผมก็ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับคุณ ที่ผมเข้าหาคุณ เป็นห่วงคุณ ดีใจที่ได้เจอคุณ ก็เพราะว่าผมชอบคุณนะครับคุณหมอ” เขาทำผมชะงักไป มือที่กำลังจะเช็ดตัวให้เขาก็เหมือนกัน

--

ผมเงียบไปอยู่หลายนาที บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา เซนเองก็ไม่สบตาผมแล้วเหมือนกัน มันเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้เผชิญ เขาก็ดูเป็นผู้ชาย..ผู้ชายปกติ แล้วทำไมถึงมาชอบผมได้

“เอ่อ..ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี” นี่เป็นประโยคสิ้นคิดที่สุดที่ผมพูดออกไป

“คุณหมอไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ ผมรู้อยู่แล้ว..ขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ ทั้งๆที่คุณเองก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ช่วยลืมมันไป..ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินไปนะครับ” รอยยิ้มบางๆจากเขาส่งมาให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเขาฝืนทนเต็มที

“ขอโทษที่ผมตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้..ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะ..ไม่เคยเลย เพียงแต่ว่า..ผมชอบผู้หญิง”

“...”

“เซน..คุณเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก มันคงจะดีถ้าคุณกับผมเราเป็นเพื่อนกัน” ผมพูดออกไป ผมอยากจะรักษาน้ำใจเขาแต่เรื่องนี้ผมเองก็ไม่สามารถตอบรับได้เหมือนกัน ผมกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไป..ผมเสียดายมิตรภาพระหว่างเรา ผมยังอยากที่จะเป็นเพื่อนกับเขา..ตอนนี้ผมคงให้เขาได้เพียงเท่านั้น

“คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคำว่าเฟรนด์โซนมันทำลายยากมากแค่ไหน ผมถึงไม่อยากเริ่มต้นจากจุดนั้น..แต่ช่างเถอะ ถ้ามันทำให้เรายังเหมือนเดิม ผมยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ”

 “..ผมขอโทษ” ผมบอกอย่างรู้สึกผิด

“ขอโทษทำไม..เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ความผิดของใคร แค่คุณหมอยังไม่หายไปจากผมแค่นั้นผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”

“ผมจะไม่หายไปไหน..คุณเป็นเพื่อนของผมนะ เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดที่นี่”

“พูดบ่อยจังนะคำว่าเพื่อนเนี่ย ถึงผมจะบอกว่ายินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ แต่มันก็แอบเจ็บอยู่รู้ไหม” เขาพูดทีเล่นทีจริง

“ผมขอโทษ”

“ผมแค่ล้อเล่น..ทำไมคุณถึงจริงจังไปกับทุกเรื่องเลย” เขาว่ายิ้มๆ

“ผมพึ่งทำลายความรู้สึกคุณมานะ จะให้ผมไม่จริงจังคิดว่าคุณแค่พูดเล่นได้ยังไง”

“เพราะคุณหมอเป็นอย่างนี้ไง ผมถึงยิ่งชอบคุณ”

“...”

“ถ้าเกิดวันหนึ่ง ผมเปลี่ยนให้คุณหันมาสนใจผู้ชายได้...เป็นไปได้ไหม ว่าคุณหมอจะชอบผม” ผมเลิกคิ้วกับคำถามของเขา นี่หมายความว่าเขาจะเทิร์นผมอย่างนั้นหรอ

“ถ้าคุณทำได้จริงๆ..คุณก็คงจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมชอบ” ถ้าเขาทำให้ผมชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่ผมชอบก็คงเป็นเขาแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ..ในเมื่อผมไม่เคยคิดอะไรในแบบนั้นกับผู้ชายคนไหนเลย

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องพยายามหนักหน่อยแล้ว”

“หึ..บอกเองไม่ใช่หรอว่าเฟรนด์โซนมันทำลายยาก” ท่าทีหงอยๆก่อนหน้านั้นมันหายไปไหนหมด แล้วสายตามุ่งมั่นแบบนี้มันคืออะไรวะ

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่ ที่รอนยังได้กับเฮอร์ไมโอนี่เลย..แล้วทำไมผมจะได้..”

“เงียบไปเลย ผมจะได้เช็ดตัวให้มันเสร็จสักที น้ำเย็นหมดแล้ว ผมคงต้องไปเปลี่ยนมาใหม่” ผมรีบตัดบทก่อนที่เซนจะพูดจบ ถ้าเอาผ้าในมือยัดปากเขาได้ผมทำไปแล้ว..แย่แล้วไอ้ภัทร..เซนต้องรุกผมหนักมากแน่ๆ

--

พอกลับมาจากเปลี่ยนน้ำผมก็เริ่มเช็ดตัวให้เขาอย่างจริงจัง ผมเริ่มเช็ดจากหน้าผาก  ก่อนจะเลื่อนมาเป็นช่วงแก้ม รอบปาก ใบหู หลังหู คอ ตามที่เคยเรียนมา ใช้ผ้าอีกผืนชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วถูกับสบู่เพื่อเช็ดบริเวณคอและหูให้เขา จากนั้นค่อยใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกอีกที..ตลอดทุกการกระทำเซนยังคงมองผมไม่วางตา จนผมเริ่มที่จะเกร็งๆขึ้นมาแล้ว

“จะมองอะไรนักหนาเล่า”

“คุณหมอมือเบาจัง”

“ก็ต้องเบาสิ จะให้ผมถูหน้าคุณแหกเลยไหม” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา เซนเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาปล่อยให้ผมเช็ดตัวให้เขาต่อ

ผมเช็ดช่วงแผ่นอกและหน้าท้องแบบเดียวกัน โดยที่ระวังช่วงแผลเขาเป็นพิเศษ ก่อนจะต้องเดินไปเปลี่ยนน้ำมาอีกครั้งเพราะมันเต็มไปด้วยคราบสบู่แล้ว

ผมเช็ดแขนให้เขา เซนเองก็ยกแขนอำนวยความสะดวกซะจนน่าหมันไส้ จากนั้นผมจับมือเขาทั้งสองข้างมาแช่ลงในอ่าง ฟอกสบู่ให้ทั่วทั้งมือซอกนิ้ว ก่อนจะล้างให้สะอาดแล้วซับน้ำให้แห้ง ผมละเกลียดตาสีน้ำตาลอ่อนที่เลื่อนมองผมทุกการกระทำนี่ชะมัด

“มือคุณหมอนุ่มจัง” เขาพูดทั้งที่สายตาแพรวพราว

“มือคุณก็หยาบฉิบหายเลย” ผมย้อน เซนหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

ผมขยับผ้าห่มที่กองอยู่ให้กางคุมช่วงล่างเขาเอาไว้ ก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อที่จะถอดกางเกงเขาออก

“โว้ว!..ถ้าคุณหมอถอดกางเกงผมออกผมโล่งเลยนะ” เซนรีบเบรกผมหน้าตาตื่น สองมือเขากำขอบกางเกงตัวเองเอาไว้แน่น

“จะมาอายอะไรกับหมอ..อีกอย่างผมเองก็ผู้ชายเหมือนกัน”

“กับหมอหรือพยาบาลผมก็ไม่อายหรอก ที่ผมอายเพราะคุณคือคนที่ผมชอบต่างหาก”

“หึ..เฉยๆเถอะ จะได้เสร็จสักที ผมไม่แอบดูเจ้าหนูของคุณหรอก” ผมไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีก อาศัยจังหวะที่เซนผ่อนแรงลงเพราะเอาแต่เถียง กระชากทีเดียวกางเกงยางยืดขายาวของเขาก็หลุดออกมาทางปลายเท้าแล้ว

เซนทิ้งหัวลงกับหมอนแรงๆอย่างยอมแพ้ ปล่อยให้ผมจัดการเขาจนเรียบร้อย ผมหยิบกางเกงตัวใหม่ที่เตรียมมาใส่ให้ก่อนจะดึงผ้าห่มออกแล้วหันไปเตรียมผ้าพันแผลเพื่อที่จะเตรียมพันให้เขา เพราะไมเคิลเพียงแค่เย็บแล้วปิดปากแผลเอาไว้ก็เท่านั้น

--

“ยังไม่เลิกเขินผมอีกหรอ” ผมถามขำๆเมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าเขา

“คุณขืนใจผม”

“บ้าแล้ว..ลุกนั่งดีๆผมจะพันแผลให้ คุณจะได้นอนพักสักที” เซนค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย ถึงเขาจะทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรมากแต่จากสีหน้าเขาที่แสดงออกมาตอนที่พยายามลุกขึ้นนั่งมันดูท่าจะเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ยกแขนขึ้นหน่อย” เซนทำตาม แต่พอจังหวะที่ผมอ้อมแขนไปด้านหลังเพื่อที่จะพันแผลให้เขาเซนกลับทิ้งแขนลงมาคล้องคอผมเอาไว้หลวมๆ

“ผมบอกให้ยกแขนไม่ใช่กอดคอผม”

“ก็ยกนานๆมันก็เมื่อย ผมแค่หาที่วางแขน” ก็พอจะเชื่อได้อยู่หรอกนะถ้าผมให้เขายกค้างไว้สักครึ่งชั่วโมง แต่นี่มันยังไม่พอจะสองนาทีเลย

“แต่ผมทำไม่ถนัด เอาออกไปเลย”

“หน่า..ผมเมื่อย ผู้ชายเพื่อนกันก็กอดคอกันเป็นปกติแบบนี้แหละ” ปกติบ้างมึงสิ มีผู้ชายที่ไหนมานั่งหันหน้าคล้องคอกันอย่างที่ผมกับเขาทำอยู่ตอนนี้หรอ แน่นอนว่าไม่ใช่ผมแน่ๆ..ขนาดกับไอ้คุณสนิทกันมากมองหน้ากันนานๆยังขนลุกเลย

“กวนตีน..” ผมแอบด่าเขาเป็นภาษาไทย ถึงผมจะแค่พูดเบาๆในลำคอแต่เขาก็คงได้ยินมันชัดอยู่แล้วในเมื่อระยะห่างระหว่างเรามันน้อยแค่นี้

“คำนี้อีกแล้ว ผมได้ยินคุณหมอพูดเป็นครั้งที่สองแล้วมันแปลว่าอะไร”

“ไม่ต้องรู้หรอก”

“คุณแอบว่าผมแน่ๆเลย”

“หึ..เดาดูสิ” ผมยกยิ้ม

“ผมละเกลียดหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคุณหมอตอนนี้ชะมัด” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปแบบไหนเขาถึงบอกว่าผมทำหน้าเจ้าเล่ห์ แต่พอเขาว่าผมเลยดึงหน้าใส่เขาแทน

“เงียบได้แล้ว แขนจะวางก็วางไป แต่ช่วยหยุดพูดแล้วอยู่เฉยๆด้วยผมจะทำงาน”

“ครับผม” ผมละอยากจะซัดเขาซักหมด ไอ้ที่เคยบอกว่าเขาน่ารักน่ะขอถอนคำพูดเลย คนแบบเซนคำว่ากวนตีนคงอธิบายตัวตนเขาได้ดีที่สุดแล้ว

--

“คุณหมอจะไปไหน” เขาถามเมื่อผมพันแผลห่มผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้วเก็บของเตรียมจะเดินออกไป

“ก็เอาของไปเก็บไง แล้วก็จะไปทำอย่างอื่นด้วย”

“อยู่กับผมสิ”

“ผมไม่ใช่หมอประจำตัวคุณนะ” ผมว่า เขาทำให้วันนี้ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากขลุกอยู่แต่กับเขา

“แต่คุณเป็นเพื่อนผมไง อยู่ดูแลเพื่อนไม่ได้หรอ” พอผมบอกให้เป็นเพื่อนก็เอาคำนี้มาต่อรองพร่ำเพรื่อ

“ผมดูแลไปหมดแล้ว ก็นอนซะสิ”

“...” เซนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่มองผมด้วยสายตาของหมาบีเกิ้ล ผมถอนหายใจออกมากอย่างอ่อนใจ เฮ้อ..ผมว่าผมต้องแพ้สายตาแบบนี้ของเขาแน่ๆเลย

“โอเค ผมแค่จะเอาของไปเก็บ แล้วจะหาข้าวหายามาให้คุณ แล้วก็ช่วยอยู่เฉยๆด้วย..ไม่อย่างนั้นไม่พ้นคืนนี้คุณต้องนอนไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบแน่ๆ”

“ครับคุณหมอ”



ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
- 6 -
Medicine
   


เซนหลับไปแล้ว..แต่ก็ยังไม่วายทิ้งปัญหาไว้ให้ผม มือเขาจับมือผมเอาไว้แน่นจนเหงื่อเริ่มซึม พอผมจะแกะมือเขาออกก็ทำท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจนผมต้องยอมปล่อยให้อยู่อย่างนั้น

ผมอยากให้เขาได้พักผ่อนจริงๆสักที ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่กวนประสาทไม่หยุด ใช่ว่าตัวเองจะหายแล้วเมื่อไร แล้วไอ้แผลที่บอกจนเหนื่อยว่าให้ระวังก็ไม่เห็นจะใส่ใจ ทั้งที่เจ็บมากขนาดนั้นแท้..เชื่อสิเขาต้องไข้ขึ้นแน่ๆ

ผมยกนาฬิกาขึ้นดู..นี่มันก็ได้เวลาที่ปกติผมจะไปพักผ่อนแล้วแต่คนบนเตียงก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเลย ผมเหลือบมองเขาอีกครั้งว่าเจ้าตัวหลับสนิทมากแค่ไหน พอมั่นใจว่าเขาคงไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆแกะมือเขาออกจากเบามือแล้วลุกออกมา

ผมกลับมาที่ห้องพักตัวเองแล้ว รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกันที่ต้องนั่งนานๆ ตัดสินใจไปอาบน้ำ..เผื่อว่าสายน้ำเย็นๆจะทำให้ผมสบายตัวขึ้นบ้าง

ผมยืนนิ่งอยู่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้กระแสน้ำไหลผ่านตัวๆไปเรื่อยๆ เรื่องของเซนที่ผมแสดงออกไปอย่างนั้นไม่ใช่ว่าผมไม่กังวล การที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งมาชอบตัวเองทั้งที่ตัวผมเองไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันแบบนั้น แถมคนนั้นยังเป็นคนที่ผมคิดว่าเขาเป็นเพื่อนอีก จะไม่ให้คิดอะไรเลยก็คงไม่ได้

ผมพยายามที่จะรักษาน้ำใจเขา แต่ก็ยอมรับว่าลึกๆในใจผมเองก็เปลี่ยนไป ผมไม่สนิทใจกับเขาเท่าเดิมแค่เพราะรู้ว่าเขาชอบผม..มันไร้สาระมาก

ยังไงเขาก็ยังเป็นเพื่อนของผม..ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แต่เซนไม่ให้ความร่วมมือเลย เขารุกผมหนักมาก จนบางทีผมก็อาจจะตั้งรับไม่ไหว

ผมให้เขาได้เท่านี้..เขาเป็นได้แค่เพื่อนสำหรับผม..เพื่อนสนิท และผมก็พยายามที่จะให้เขาตัดใจก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันเซนเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนใจให้ผมชอบเขา

ตอนนี้มันกลายเป็นการแข่งขันขนาดย่อมที่มีเรื่องของหัวใจเป็นเดิมพัน ไม่ผมก็เขาที่จะทำสำเร็จ หรือบางทีอาจจะไม่เลยทั้งสองคนเลยก็ได้ ปล่อยให้เวลาเป็นตัวกำหยดทุกอย่างก็แล้วกัน

ผมควรเลิกคิดได้แล้ว..ก่อนที่ตัวเองจะเป็นปอดบวมตาย พอคิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินใจปิดฝักบัว เสยผมที่เปียกลู่ขึ้นลวกๆก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับให้พอหมาดแล้วพันออกนอกห้องน้ำไป

แม้ที่นี่จะอากาศไม่เย็นมากอย่างที่คนอื่นว่า แต่เทียบกับผมที่เป็นคนไทย เจอแต่อากาศร้อนๆแล้วละก็ที่นี่เย็นจนเกือบหนาวเลยล่ะ แม้จะมาอยู่ได้อาทิตย์กว่าแล้วแต่ก็ยังปรับตัวไม่ได้สักที ถ้าผมยังไม่รีบไปแต่งตัวตอนนี้คงไม่พ้นหวัดกินแน่ๆ

ผมมาหาเซนอีกครั้งตอนช่วงพักเบรกตอนกลางวัน ท่าทีที่นอนหนาวสั่นเหมือนคนจับไข้ทำให้ผมรีบสาวเท้ายาวๆไปหาเขา ยื่นมือไปแตะซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิ..เซนสะดุ้งเบาๆ ตัวเขาร้อนมาก มากเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เขาอาจจะช็อคได้

“เซน! เซน!” ผมไม่กล้าเขย่าเขาแรงกลัวกระเทือนแผลเขา แต่ก็ไม่ได้เบาจนคนปกติไม่รู้สึกตัว..แต่นี่เขาไม่ตอบสนองผมเลย

แล้วนี่เจ้าหน้าที่ทำงานยังไงกัน ทำไมถึงไม่มีใครมาดูแลเขาเลย ทั้งๆที่อาการเขาควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยซ้ำ

“เซน..ได้ยินผมไหม” ผมเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม ปากเขาสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน

“ขอโทษนะครับ คนไข้ที่ผ่าตัดเอาเหล็กออกตอนนี้ไข้ขึ้นสูงมาก ทำไมไม่มีใครดูแลเขาเลย” ผมตัดสินใจปล่อยเซนไว้คนเดียวก่อนแล้วเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ดูแลอยู่ ผมพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร..ทั้งที่ปกติผมจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่านี้

“เมื่อสองชั่วโมงก่อนฉันไปดูแล้วนะ เขาบอกว่าคุณจะเข้ามา ไม่ให้ฉันทำอะไรคุณจะดูแลเขาเอง”

“เขาบอกอย่างนั้นหรอ..” ผมพูดออกมาเสียงเบา อารมณ์ผมตอนนี้คืออยากจะเดินย้อนกลับไปที่เตียงแล้วเขย่าไอ้ตัวเจ้าปัญญานั่นให้ลุกขึ้นมาซะ ทำไมเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องๆเล่นๆไปได้วะ

“ใช่ค่ะ”

“ถ้างั้นคุณช่วยเตรียมยาลดการอักเสบและยาลดไข้ไปฉีดให้เขาก่อน ผมกลัวว่าเขาจะช็อคไป”

“ค่ะ”

ทำอะไรไม่รู้เรื่อง ตอนนี้คนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมดแล้ว..เกิดผมไม่เดินมาหาเขา..เขาแย่แน่ๆ คิดแล้วก็โมโห อยากจะปลุกมาด่าแล้วซัดอีกสักหมัด..ถึงจะเจ็บตัวอยู่ก็เถอะ

“ฝากคุณช่วยเช็ดตัวให้เขาและดูแลเขาด้วยนะครับ ถ้าหากเขาฟื้นขึ้นมาบอกเขาว่าเดี๋ยวผมกลับมา ผมต้องไปที่เต็นท์อำนวยการก่อน” ผมหันไปมองคนที่นอนปากซีดตัวสั่นอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

Zayn’s Part

ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นสบายบริเวณใบหน้า พอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเรื่อยๆความปวดหัวก็โจมตีเข้ามาอย่างจังจนผมรู้สึกหนัก ขยับตัวแทบไม่ไหว

“คุณหมอ..” ผมพยายามเปล่งเสียงออกไปแม้ว่ามันจะลำบากเหลือเกิน ยกมืออีกข้างขึ้นเพื่อหยุดมือเขาที่กำลังเช็ดตัวผมก่อน สัมผัสที่ไม่คุ้นชินทำให้ผมต้องฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย

“ขอโทษครับ” ผมขอโทษก่อนจะละมือออกเมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่คุณหมอของผม

“ไม่เป็นไรค่ะ” เขาส่งยิ้มบางๆมาให้ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้ผมก่อน แม้ว่ามันจะสบายตัวขึ้นแต่มันไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไรเลย ตัวผมร้อนมากจนรู้สึกได้แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันหนาว กล้ามเนื้อเมื่อยล้า แล้วยังปวดหัวจนแทบระเบิดอีก

แม้ว่าจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแต่ผมกลับไม่หิวไม่มีความอยากกินอะไรเลยทั้งนั้น จะขยับตัวก็เจ็บแผลแถมไม่มีแรง คนที่อยากเห็นหน้าก็ไม่มา..นี่มันทรมานสุดๆไปเลย

“คุณหมอบอกว่า เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามานะคะ” คำพูดทิ้งท้ายของเจ้าหน้าที่พยาบาลก่อนที่เขาจะเดินออกไปไม่ต่างอะไรกับโอเอซิสสำหรับผม

ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ตอนนี้แม้แต่กระบอกตายังรู้สึกร้อนไปหมดจนน้ำตาจะไหลเลย ด้วยความอ่อนเพลียไม่ช้าก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

--

“เซน..” ได้ยินเสียงเหมือนคนเรียกชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ

“เซน..ได้ยินไหม” เสียงนั้นเด่นชัดอีกครั้ง มาพร้อมกับแรงเขย่าตัวผมเบาๆ สัมผัสจากฝ่ามือคู่นั้นมันคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด จนผมต้องพยายามฝืนตัวเองตื่นขึ้นมาให้ได้

“ลุกขึ้นมากินอะไรก่อน วันนี้คุณยังไม่ได้กินอะไรเลย” ผมกระพริบตาช้าๆอยู่สักครู่กว่าจะปรับโฟกัสตัวเองได้ก็เกือบครึ่งนาที รอยยิ้มโง่ๆหลุดออกมาแค่เพราะรู้ว่าเจ้าของเสียงที่เรียกผมคือคนที่ผมรอ แต่อีกคนกลับหน้าเรียบนิ่งไม่ได้แสดงอะไรออกมา

“ผม..ไม่หิว” คอมันขมไปหมดแล้ว..ไม่อยากกินอะไรเลย แถมยังปวดหัวจนแทบระเบิดขนาดนี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะอ้วกออกมาซะก่อนกระเพาะจะทันได้ย่อย

“ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่ได้ให้เลือก เลิกดื้อแล้วทำตามซะ” ฟังจากน้ำเสียงแล้วคุณหมอเริ่มจะไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว

“ผมลุกไม่ไหว” คราวนี้ไม่ได้แกล้ง..ผมไม่ไหวจริง คุณหมอพอเห็นสีหน้าผมเขาเลยเข้ามาพยุงให้ผมค่อยนั่งพิงหมอนช้าๆ มือเขาแตะลงมาตรงซอกคอผมเพื่อวัดอุณหภูมิก่อนจะละออกไปเตรียมอาหารให้

ช้อนถูกยื่นมาตรงหน้า ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นเหมือนอาหารเหลวๆบดรวมกันดูไม่น่ากินเอาซะเลย แต่เพราะคนป้อนเป็นเขาผมถึงยอมเปิดปากรับมันเข้ามาอย่างว่าง่าย

ผมไม่สามารถบอกได้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง ตอนนี้ต่อมรับรสผมพังไปแล้ว แถมยังพะอืดพะอมเต็มที แต่เพราะอีกคนที่ตั้งใจป้อนทำให้ผมต้องฝืนกินอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ยกมือจับข้อมือเขาดันออกไป

“พอแล้วครับ”

“พึ่งจะกินไปไม่กี่คำเอง”

“ผมไม่ไหวแล้ว..” เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมต่อ เพียงแค่ยื่นแก้วน้ำมาให้

--

“ที่ผมเตือนคุณทำไมไม่ฟังกันบ้าง บอกว่าแผลจะอักเสบแล้วมันจะแย่ไปกันใหญ่ แล้วยังเรื่องวันนี้ที่คุณไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่คนอื่นดูแลอีก ผมรู้ว่าคุณรอผม..อยากให้ผมมา แต่ผมก็พูดไปหลายรอบแล้วว่าผมไม่ได้ดูแลแค่คุณนะ เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาผมไม่รู้สึกผิดแย่เลยหรอ รู้ไว้ซะว่าที่คุณทำแบบนี้ผมโกรธคุณมาก” คุณหมอพูดออกมายาวเหยียดหลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก แต่สายตาของเขามันไม่ได้แสดงออกว่าโกรธผมอย่างที่เขาพูดเลย ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงจากเขา

ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ

“ผมขอโทษ”

“เอาเถอะ ความจริงผมก็ไม่ได้โกรธคุณขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคุณยังทำอะไรไม่รู้เรื่องอีก บอกไว้ก่อนเลยว่าผมจะไม่มาเจอคุณอีกจนกว่าคุณจะหายดี” ถือว่าเป็นคำขู่ที่มีผลต่อจิตใจผมเหลือเกิน แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว

“แล้วผมจะได้กลับไปทำงานเมื่อไร”

“นั่นมันขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าทำตัวดี ว่าง่ายก็ไม่กี่วันหรอก” ผมพยักหน้ารับ

ความจริงผมอยากจะคุยกับเขาต่อจะแย่ แต่ร่างกายผมมันแย่เกินกว่าจะทำไหว อยากจะมองเขาอยู่อย่างนี้นานๆ แต่เปลือกตามันก็เอาแต่จะปิดลงทุกเมื่อ ผมว่ายาที่เขาให้ผมกินเข้าไปหลังอาหารมันต้องทำให้ผมง่วงด้วยแน่ๆ

คุณหมอเป็นคนที่น่ารักมาก ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขาหรอก แต่เพราะที่เขาเป็นต่างหาก ผมรู้สึกถูกชะตากับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เป็นความรู้สึกว่าจะต้องเข้าไปทำความรู้จักกับเขา..จะปล่อยผ่านไปไม่ได้

รู้ตัวอีกทีผมก็ชอบเขาซะแล้ว เรียกว่าหลงเลยเถอะ คุณหมอทำอะไรผมก็ว่าดี ด้วยนิสัยของผม..ผมไม่ชอบที่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นการปิดกั้นตัวเองถ้าหากไม่พูดออกไป ผมเลยบอกเขาไปตามตรงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณหมอคิดกับผมยังไง

แต่ถ้าหากเรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาด ผมเชื่อว่าใจคนเราต่อให้แข็งยังไงมันก็ต้องมีสักวันที่ยอมอ่อนลง มันคงไม่ผิดอะไรถ้าผมจะดื้อดึงในเมื่อคุณหมอเองก็ไม่มีใคร

“จะฝืนตัวเองทำไม..ไม่ไหวก็หลับไปซะสิ ตาจะปิดอยู่แล้ว”

“ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้เห็นคุณ ถ้าผมหลับตา..คุณหมอก็จะกลับไป”

“ผมจะไม่ไปไหน พักผ่อนเถอะ ตื่นมาคุณจะเห็นผมเป็นคนแรก” เขายกยิ้มให้ผมบางๆซึ่งมันดีต่อใจเหลือเกิน แม้ว่าสายตาของเขาจะเหมือนเจ้าของที่เอ็นดูลูกหมาอยู่ก็ตาม

“คุณพูดจริงหรอ”

“ผมสัญญา” เท่านั้นผมก็เหมือนโดนตัดสวิตส์ไฟ ผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงของเขาที่กังวานอยู่ในหัวผม ที่ว่าถ้าผมตื่นมา..ผมจะเห็นเขาเป็นคนแรก

เขาคือยาที่ดีที่สุดของผม

..
....


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ป่วยแต่อ่อย

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
เซน ตัลลั๊คค ขี้อ่อนอ่าาาา

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พยายามเข้านะเซน  :impress2:

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
- 7 -
Risking is better than regretting
   


ผมไม่ได้อยู่เฝ้าเขาอย่างที่สัญญากับคนป่วยไว้หรอก ผมก็มีอย่างอื่นให้ต้องไปทำ แต่ผมก็กลับมาทันตอนที่เข้าฟื้นนะ..และเขาก็ได้เห็นผมเป็นคนแรกอย่างที่ผมพูดเอาไว้

เซนทำตัวดีมาก เชื่อฟังไมเคิล ไม่ทำอะไรให้ต้องปวดหัววุ่นวายกันอีกแล้ว ด้วยความที่ยังหนุ่มยังแน่น..ร่างกายเขาแข็งแรงอยู่แล้วเลยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่วันเข้าก็สามารถกลับเข้าไปทำงานที่เขากังวลได้แล้ว

“ผมจะต้องคิดถึงคุณหมอมากแน่ๆเลย” คนตัวสูงพูดอย่างน่าหมันไส้จนผมต้องทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา

“ผมไม่ได้ส่งคุณไปสนามรบเลยนะ”

--

เกือบหนึ่งเดือนแล้วครับที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมว่าผมปรับตัวได้ค่อนข้างดีเลยนะ ตอนนี้งานของผมไม่เหนื่อยอะไร มีคนไข้ทางจิตเวชที่อยู่ในความดูแล้วของผมอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร

คนไข้ส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่นครับ ช่วงอายุประมาณ14-19ปี โดยปกติแล้วช่วงวัยอายุประมาณนี้ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะอยู่ในช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โรคทางระบบประสาทส่วนมากก็เกิดจากฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นระบบประสาทนี่ละครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวซะทีเดียว

เรื่องแวดล้อมก็สำคัญ ซึ่งเด็กๆที่ผมดูแลส่วนมากสาเหตุการป่วยของพวกเขาก็เกิดจากทั้งสองอย่างนี้ร่วมกัน

เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้อยู่ที่สถานพยาบาลเท่าไรหรอก ตรงนั้นไม่มีงานอะไรให้ผมทำ และผมเองก็ไม่ชอบที่จะอยู่เฉยๆเลยชอบข้ามมาอีกฝั่งบ่อยๆ การได้พบเจอและพูดคุยกับคนอื่นบ้างมันทำให้ผมรู้สึกดีแต่ในทำนองเดียวกันบางครั้งก็แย่เหมือนกัน

“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ” เสียงของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมทักขึ้นทำเอาผมสะดุ้ง เอาจริงๆเซนก็ทักอย่างนี้ทุกวันทั้งที่ผมก็มาเวลาเดิมทุกวัน

“ผมเคยมาสายกว่านี้ด้วยหรอ” ผมหันไปเลิกคิ้วถามเขา

“ความจริงก็ไม่” เขาพูดออกมาซื่อๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเปลี่ยนคำทักทายบ้างเถอะ” ผมบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่อีกคนก็ไม่ได้ลดความพยายามที่เดินตามผมมาอยู่ดี

“วันนี้คุณคิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร” เขาถามก่อนจะเดินมาดักทางด้านหน้าเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“ผมแค่กะว่าจะมาคุยกับอันยา ช่วงนี้เขาดูเครียดๆ ผมกลัวว่าที่เขาดีขึ้นแล้วมันจะแย่ลง” อันยาเป็นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ผมดูแล เธอน่าเห็นใจตรงที่ต้องมาเสียพ่อและแม่ไปพร้อมกันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น

ตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรกเรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงมาก ท่ามกลางเด็กหลายร้อยคนที่แออัดกันอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแต่อันยาเป็นคนแรกที่ผมจดจำได้ เธอนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร หน้าตาซูบโซมราวกับคนอดนอน

ผมไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้าไปคุยกับเธอ มันไม่ง่ายที่อันยาจะยอมเปิดใจพูดออกมา เล่าถึงสิ่งที่เธอเป็น ยิ่งเราไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงต้องมีคนที่สามเข้ามาช่วยเป็นล่ามให้มันยิ่งยากที่จะทำให้เธอยอมรับความช่วยเหลือจากเรา

แต่เซนก็ทำมันได้ดี เขาช่วยผมได้เยอะเลยทีเดียว

อันยาค่อยๆเปิดรับผมที่ละน้อย ผมเองก็ให้เวลาเขา..ไม่เร่งรัดจนเกินไป สุดท้ายผมก็ได้รับรู้ว่าอะไรทำให้อันยาป่วยอยู่อย่างนี้

ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆหลายคนที่นี่ที่เสียพ่อแม่อันเป็นที่รักไป อาจจะหนักหนากว่าหน่อยที่อันยาเห็นพวกเขาสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

เธอบอกว่าพระเจ้าทอดทิ้งเธอ ใจร้ายกับเธอ ที่ให้เธอเจอกับเรื่องราวแบบนั้นแต่กลับไม่ให้เธอไปกับครอบครัวของเธอ

เป็นอีกเรื่องนี่น่าหดหู่ อันยาร้องไห้อยู่กับตัวเองหลายวัน เจ้าตัวบอกผมเองว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่วันที่เขาเอาแต่นั่งนิ่งๆปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีอะไรให้ไหลออกมาแล้ว

เธอนอนไม่หลับ ต่อให้พยายามแค่ไหนก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงใครต่อใครต่อว่า ด่าทอ นินทา ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงแต่อันยาไม่สามารถแยกออกได้ว่าที่ได้ยินมันเป็นเพียงแค่ที่สมองเธอคิดขึ้นมาก็เท่านั้น เธอถึงได้เลือกที่จะออกไปนั่งอยู่คนเดียวเพื่อที่จะไม่ได้ยินเสียงใคร..แต่เสียงเหล่านั้นก็ตามมาหรอกหลอนเธออยู่ดี

เคสแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในวัยรุ่นครับ สมองสั่งการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ อาการหลักๆเลยคือจะมีอาการหูแว่วจนนอนไม่หลับ สมองไม่ได้พักผ่อน แต่ความรุนแรงของอาการก็จะแตกต่างก็ไปตามแต่ละแวดล้อม แต่ละกรณี

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็ต้องให้ผมช่วยแล้วล่ะ” เซนอาสาก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรคนตัวสูงก็ถือโอกาสคว้าข้อมือผมแล้วเดินนำไป

“ใครบอกจะให้ช่วย ภาษาฝรั่งเศสผมดีขึ้นเยอะแล้ว” ถึงจะยังไม่ได้ดีพอที่จะสื่อสารขนาดนั้นหรือใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ผมว่าผมก็พอเข้าใจอยู่บ้างนะ

“ให้ผมช่วยดีกว่าเป็นไหนๆ คุณหมอจะลำบากตัวเองไปทำไม” ผมก็ได้แต่ปล่อยเลยถามเลย บางทีผมก็คิดนะ..ที่วันนี้เซนเอาแต่มาเดินตามผมเป็นเงาขนาดนี้ งานการไม่มีทำรึไงวะ

--

ผมก็เห็นใจเซนเหมือนกันนะ แต่เรื่องแบบนี้มันก็พูดยาก..ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ผมไม่สามารถชอบเซนได้..พอๆกับที่เซนเองก็เลิกชอบผมไม่ได้ เราเลยอยู่ด้วยความสัมพันธ์กันแบบนี้

“ไม่เหนื่อยบ้างหรอที่เอาแต่ไล่ตามผม” ผมพูดขึ้นมาหลังจากที่เราทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านหลังแรกนั่น ความจริงผมอยากจะถามเขาตั้งนานแล้ว..ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทุ่มเทให้ผมขนาดนี้

มันก็นานมาแล้วที่เขาแสดงออกว่าชอบผมอย่างเปิดเผย เซนหันมามองผมขณะเดียวกันผมเองก็มองเขาอยู่..ตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับผมโดยบังเอิญ

“เหนื่อยสิครับ เหนื่อยมาก” ถึงเขาจะพูดอย่างนั้นแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ริมฝีปากบางของเขาไม่เข้ากับที่เขาพูดออกมาเอาซะเลย

“..ถ้าเหนื่อย นายเคยคิดจะหยุดบ้างไหม” บางทีผมก็อยากให้เขาตัดใจได้จริงๆ มีคนมากมายพร้อมที่จะเข้าหาเขา ตอบรับความรู้สึกของเขา เซนไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเองโดยการเอาแต่วิ่งตามผมแบบนี้

“ก็บ่อยไป แต่พอผมได้เห็นหน้าคุณ..ความคิดพวกนั้นมันก็กระเด็นหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้” เขาตอบสบายๆอย่างที่ชอบทำ

“หึ..บางทีถ้ากลับกัน เป็นผมที่ชอบคุณ ผมคงล้มเลิกความพยายามไปแล้ว” ผมพูดออกไปตามที่คิด ไม่รู้สิ..ผมไม่เคยพยายามเพื่อความรักมากขนาดที่เซนทำอยู่นี่เลย

“ที่ผมยังอยู่ตรงนี้ที่คุณขีดไว้ว่าเฟรนด์โซนไม่ใช่ว่าผมพยายามอะไรหรอก ผมก็คงจะเลิกยุ่งไปกับคุณหมอแล้วถ้าที่ผมทำมันเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำ..แต่ที่ผมยังอยู่ตรงนี้ ข้างๆคุณแบบนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาของเขาที่ประสานกันอยู่ตลอดรึเปล่า ผมถึงได้รู้สึกว่าผมรับรู้ความรู้สึกของเขาได้มากกว่าที่เคย

ผมสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็น..นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มที่อยากจะลองให้โอกาสคนตรงหน้าสักครั้ง ก่อนจะต้องสลัดหัวไล่ความคิดพวกนั้นไปอย่างรวดเร็ว

หรือนี่จะเป็นอาการที่เรียกว่าหวั่นไหวกันวะ

มีหลายอย่างที่เขาทำเพื่อผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างคอยเป็นที่รับฟังเวลาที่ผมอยากหาที่ระบาย และเรื่องใหญ่อย่างช่วยชีวิตผมเอาไว้ แต่ผมกลับไม่เคยพยายามทำอะไรให้เขาบ้างเลย

“แล้วนี่คุณหมอจะไปไหน จะกลับเลยหรือเปล่าหรือจะไปที่เชลเตอร์ผม” เสียงเซนที่เรียกทำให้ผมกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“จะไปทำเชลเตอร์นาย” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ถึงตอนนี้ผมจะไม่รู้ว่าทำอะไรต่อผมก็ควรจะกลับไปที่เต็นท์อำนวยการหรือสถานพยาบาลมากกว่าที่พักของคนตรงหน้านี่แน่ๆ

“ก็แค่ถามเผื่อฟลุ๊ค”

“ห๊ะ?” เมื่อกี้นี่เขาพึมพำอะไรวะ

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก มาผมเดินไปส่ง”

“ไปทำงานเถอะ ผมกลับเองได้”

“คุณหมอก็รู้นี่ว่าห้ามไปก็เท่านั้น” นั่นสินะ..ผมไม่ควรเสียเวลาห้ามเขาหรอก ในเมื่ออีกคนดื้อด้านซะขนาดนี้

เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ เราเพียงแค่เดินข้างกันเงียบๆแต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศมันก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไร

ไม่ช้าเราก็มาถึงทะเลสาบ หรือที่เราเรียกว่าฐานลับ ผมหยุดมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เราทั้งคู่จะตัดสินใจขอหยุดพักอยู่ตรงนี้สักพัก

“ผมถามได้ไหม ว่าที่ผมทำไป..มันพอจะมีหวังบ้างรึเปล่า” อยู่ดีๆอีกคนก็เปิดประเด็นด้วยโทนเสียงที่น่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ เรียกสายตาผมให้ฟันไปมองเขาอย่างช่วยไม่ได้

“คิดว่ายังไงล่ะ” ผมไม่ตอบแต่ถามเข้ากลับแทน

“ไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเอง”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาต่อ ถ้าบอกว่าใช่มันก็ดูจะให้ความหวังอีกคนมากเกินไป ถ้าไม่ก็เท่ากับผมโกหกเขา..โกหกตัวเอง สู้ผมไม่ตอบอะไรเลยมันคงจะดีซะกว่า

“ผมไม่เคยเจอใครใจแข็งอย่างคุณหมอเลย” เขาตัดพ้อก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆจนผมหลุดขำกับท่าที่เด็กน้อยและหน้าตางอแงแบบนั้นของเขา

“...”

“ขนาดผมเองยังใจแข็งได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคุณเลย ผมเคยคิดนะว่าถ้าผมลองหายไปคุณหมอจะรู้สึกว่าอะไรบางอย่างขาดหายไปหรือเปล่า แต่ผมก็กลัวคำตอบ..ถ้าเกิดมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง..ผมจะทำยังไง”

“...”

“และพอผมคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็โยนความคิดพวกนั้นทิ้งไปหมดแล้ว..ให้ตายสิ คุณไม่รู้หรอกว่าผมชอบคุณหมอมากแค่ไหน”

“...” ที่เขาพูดมามันเป็นครั้งที่เขาเปิดเผยออกมาขนาดนี้ เขาทำผมพูดไม่ออกเลย เขาดูเป็นคนที่ซื่อตรง ศรัทรา และหนักแน่นในความรัก ในขณะเดียวกันผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความรักเลย

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบใคร..แต่ผมไม่เคยพยายามทำอะไรเพื่อความรักอย่างที่เขาทำเลย

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ผมเสี่ยงให้ใจคุณไปแล้ว ก็คงต้องพยายามกันต่อไป”

“ทั้งๆที่รู้ว่าผมคิดยังไง แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยงอย่างนั้นหรอ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

Risking is better than regretting” เขาพูดไว้เท่านั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินย้อนกลับไปทางที่ผมกับเขาพึ่งเดินจากมา

--

ผมลูบหน้าตัวเองช้าๆ ยอมรับเลยว่านอกจากเรื่องงาน เรื่องคิดถึงบ้าน เรื่องเดียวที่ผมคิดก็คือเรื่องของเซนนี่ล่ะ เขาทำให้ผมปั่นป่วนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะวันนี้

หรือบางทีมันจะถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะเปิดใจ

..

....


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เปิด (ใจ) เลยสิคะหมอ อย่ามัวรีรอเล้ยย

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-8-
Bedtime Story
   


“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่” ผมถามขึ้นก่อนจะวางชาร์ตในมือแล้วเดินไปหาอีกคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่..คนตัวสูงกำลังยืนส่งยิ้มมาให้ ผมพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู มันพึ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะ..ว่างนักรึไง

“ก็คุณไปที่ไซต์ทุกวัน แต่วันนี้ไม่ไปผมก็เป็นห่วงน่ะสิ” ผมเองก็ลืมไปเลยว่าน่าจะบอกเขาก่อนว่าจะไม่ไป

“ไม่มีอะไรหรอก กลับไปทำงานของนายเถอะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้..วันนี้วันอังคาร อย่าลืมนัดของเราล่ะ ผมไม่กวนคุณหมอแล้ว บายครับ” เซนโบกมือลาก่อนจะเดินออกไป นัดที่ว่าคือนัดเรียนภาษาฝรั่งเศสกับเขาครับ ทุกเย็นวันอังคารหลังเขาเลิกงานที่เชลเตอร์ของเขา บางทีก็เพิ่มวันอาทิตย์เข้าไปด้วยเพราะเป็นวันหยุดของอีกคน..และเขาก็ชอบลากผมไปด้วยข้ออ้างนี้เสมอ

--

“อ่าว..มาเร็วจังครับ” เซนทักขึ้นก่อนจะรีบวิ่งออกจากหน้าไซต์มาหาผม วันนี้ผมมาเร็วว่าปกติเพราะไม่อยากเดินมาคนเดียวตอนแสงหมดแล้ว เขาทำท่าจะปลดหมวกนิรภัยของเขามาใส่ให้ผมเหมือนทุกทีแต่ผมรีบเบรกเขาเอาไว้

“ไม่ต้องถอดหรอก..เดี๋ยวผมไปรอที่เชลเตอร์ดีกว่า ตั้งใจทำงานเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเรียบร้อยแล้วจะรีบไป” เขาบอก

“ครับ..แต่ไม่ต้องรีบหรอกผมรอได้” เราแยกกันตรงนั้น เขากลับไปทำงานของเขาต่อ ส่วนผมก็เดินอ้อมไปทางด้านหลังไปรอที่ห้องเขาอย่างที่บอก

ห้องของเขาไม่มีอะไรมากหรอก มีแค่ของที่จำเป็นอย่างพวกโต๊ะ ตู้ เตียง ซึ่งผมเองก็สำรวจไปตั้งนานแล้ว

ผมหยิบกระดาษที่เรียนไปเมื่อคราวก่อนมาทวนดูอีกทีก่อนจะวางไว้ตามเดิม มันไม่มีอะไรจะทำเลยกะว่าจะพักสายตาซะหน่อย แต่ยังไม่ทันจะหลับสนิทดีเสียงกุกกักที่ดังมาจากทางหน้าประตูทำเอาผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาซะแล้ว

“อ่าว..หลับอยู่หรอครับ” เขาทักขึ้นก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาวางของเอาไว้บนโต๊ะข้างๆกับเตียงที่ผมนั่งอยู่

“ตื่นแล้ว..”

“ขอผมอาบน้ำก่อนแล้วกัน ทั้งเหงื่อทั้งฝุ่นเต็มตัวผมไปหมดเลย”

“ตามสบาย” พอผมบอกอย่างนั้นเขาก็ไม่เกรงใจผมเลย เล่นแก้ผ้าต่อหน้าผมจนเหลือชั้นในตัวเดียวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมเข้าใจนะว่าวัฒนธรรมตะวันตกเขาไม่อายกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน แต่กับผมที่เป็นคนที่เขาชอบ..มันก็ควรจะอายบ้างไม่ใช่หรอวะ ทีตอนผมเช็ดตัวให้ทำมาเป็นโวยวาย

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเซนก็เดินออกมาในสภาพหัวเปียกซก มีผ้าเช็ดตัวปิดบังช่วงล่างอยู่แค่ผืนเดียว หุ่นเขาจัดว่าดีมาก สมส่วนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป..ผู้หญิงหลายคนคงชอบแบบนี้ แต่คือที่ผมคิดคือเขาไม่หนาวรึไงวะ อากาศตอนนี้มันก็เย็นแล้วนะ..ยังไม่รีบแต่งตัวอีก

“จะแก้ผ้าอีกนานไหม” ผมถามเมื่ออีกคนดูไม่มีทีท่าว่าจะไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยสักที

“อ่าว..ผมเห็นคุณหมอมอง เลยนึกว่าอยากดูผมซะอีก” เขายกคิ้ว สีหน้าและมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆนั่น..กวนตีนฉิบหายเลย

“ตลกแล้ว..รีบๆไปแต่งตัวเถอะ จะได้รีบมาสอนผม” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะเดินไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักที

เขาไม่ได้สอนผมจริงจังขนาดนั้นหรอก ที่เราเรียนหลักๆคือเน้นเพื่อการสื่อสารในชีวิตปะจำวัน การออกเสียงอะไรทำนองนั้น ภาษาฝรั่งเศสสำหรับผมเป็นอะไรที่วุ่นวาย เยอะ และยากมาก เรียกได้ว่าตอนเรียนภาษาอังกฤษนี่เด็กน้อยไปเลย

หลายครั้งที่ผมมีคำถาม..แต่เซนก็บอกแค่ว่าเขาก็ไม่รู้ เกิดมาก็จำได้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว คุณหมอก็จำๆไปเถอะ..เขาเป็นคุณที่ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นครูเอาซะเลย แต่ก็นะ..เขาก็อุตส่าห์เสียเวลามาสอนผมทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าคุณหมอจำศัพท์ที่ผมเขียนให้ได้ทั้งหมดผมถึงจะให้กลับ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ คำศัพท์อัดแน่นห้าหน้าเอสี่แบบนี้คือวางแผนให้ผมท่องยันเช้าเลยว่างั้น

“นายดูถูกความจำของหมอหรอ” ผมหันไปถามเขา กว่าจะจบเท็กซ์ผมท่องกันมาเกินครึ่งร้อยเล่มซะอีก

“งั้นเปลี่ยนใหม่..ถ้าคุณตอบคำถามผมได้ผมจะให้คุณกลับ” เซนต่อรอง เวลาเขาสอนผม..มีบ้างที่เขาจะถามผมเป็นภาษาฝรั่งเศสง่ายๆ..เขาพูดมันช้าๆชัดๆ แล้วให้ผมตอบกลับเป็นภาษาเดียวกัน ผมว่าถ้าได้ลองเซนพูดออกมาแบบนี้แล้วครั้งที่มันคงไม่ง่ายแล้วแน่ๆ

“ไม่..ผมก็โดนแกล้งน่ะสิ พูดคำไหนคำนั้น ห้าหน้านี่ผมขอเวลาครึ่งชั่วโมง” ผมชูกระดาษในมือให้เขาดูก่อนจะลุกไปนั่งแยกคนเดียวบนเก้าอี้อีกตัว

“โถ่คุณหมอ..ผมแค่ไม่อยากให้คุณกลับ ค้างที่นี่ไม่ได้หรอ..คุณก็เคยค้างนี่หน่า ผมไว้ใจได้คุณก็รู้” เซนยังลุกขึ้นเดินตามมาวุ่นวายผมไม่เลิก

“ผมมีทำงานพรุ่งนี้เช้า” ผมพูด

“เดี๋ยวผมเดินไปส่ง” เซนรีบแย้ง

“แล้วมันต่างกันตรงไหนระหว่างเดินไปส่งผมตอนนี้กับตอนเช้าน่ะ อีกอย่างคือผมไม่อยากรีบตอนเช้าด้วย”

“ต่างกันตรงที่ผมจะไม่ได้อยู่กับคุณไง..นะครับ” เล่นทำกันแบบนี้มันมัดมือชกเลยชัดๆ

“เฮ้อ..ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าก็ช่วยตื่นไปส่งอย่างที่บอกด้วยล่ะ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมเขาจนได้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องให้เซนเดินไปส่งด้วยทั้งที่ก็ไปเองได้ มันเหมือนกับว่าอีกคนทำเป็นแบบนี้ตลอดจนผมเคยชินกับการที่มีเขาเดินเคียงข้างแล้วละมั้ง

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว..ไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวผมเตรียมชุดเอาไว้ให้” เขารีบดึงผมให้ลุกขึ้น ยัดผ้าเช็ดตัวใส่มือแล้วดันผมไปส่งถึงหน้าห้องน้ำอย่างกับกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจ..เชื่อสิว่าถ้าตามเข้ามาในห้องน้ำได้เขาทำไปแล้ว

--

ผมไม่ใช่คนชอบใช้เวลาอยู่ห้องน้ำนานๆอยู่แล้ว พอจัดการตัวเสร็จเรียบร้อยก็รีบเช็ดตัวให้แห้งเพราะกลัวหนาวแล้วพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาเลย

พอออกมาก็เจอเข้ากับตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอย่างเปิดเผย มุมปากบางเขายกยิ้มนิดๆเหมือนเวลาเจอของถูกใจ เซนทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่โดนผมมองคาดโทษก่อนเลยยืนนิ่งสงบปากสงบคำตาก็ยังมองตามไม่เลิก

ผมรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียงมาใส่อย่างไว..แม้ว่าผมจะไว้ใจเขาเป็นเพื่อนผม แต่โดนมองด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกคุกคามแบบนี้มันก็ไม่โอเคสักเท่าไรหรอกนะครับ

คนสูงกว่าทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วเว้นที่ด้านในติดกำแพงเอาไว้ให้ผม..หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เดินมาทิ้งตัวตรงพื้นที่ว่างอย่างช่วยไม่ได้

ความจริงแล้วผมไม่ชอบนอนชิดกำแพง..มันให้ความรู้สึกอึดอัด แต่ผมก็ไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้นหรอก โดยเฉพาะที่นี่ไม่ใช่ห้องผม ไม่ใช่เตียงของผม

ผมติดนอนตะแคงข้างเลยหันตัวไปอีกทางแทนที่จะหันเข้าผนัง ก็อย่างที่บอกผมอึดอัด นั่นเท่ากับว่าผมหันหน้าไปทางเซน..เห็นแผ่นหลังกว้างของเขาได้อย่าชัดเจนในความมืด พระจันทร์ที่นี่ใหญ่มาก เวลามืดมันเลยไม่มืดซะทีเดียว..

ผมที่กำลังจะปิดเปลือกตาและเข้านอนบ้างเป็นอันต้องเบิกตากว้างเมื่ออีกคนพลิกกลับมาทำผมสะดุ้ง หน้าผมห่างกับเขาแค่เพียงหนึ่งฝ่ามือ จะถอยก็ทำไม่ได้มากในเมื่อข้างหลังผมคือกำแพง

“ยังไม่นอนอีกหรอ” เซนถามเสียงเบา เหมือนไม่แน่ใจว่าผมหลับไปแล้วหรือเปล่า ด้วยระยะห่างที่น้อยนิแค่นี้มันทำให้ผมแทบกลั้นหายใจ

“จะนอนแล้ว” ผมตอบ กำลังจะปิดเปลือกตาหนีสายตาสีน้ำตาลคู่นั้นอยู่แล้วถ้าคนข้างๆไม่ชิงพูดออกมาเสียก่อน

“อยู่คุยกับผมก่อนสิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ ตาของเขาดูพร้อมจะหลับอยู่แล้วแต่ก็ยังจะมาชวนผมคุยอีก

“คุยอะไร”

“คุณหมอช่วยเล่าอะไรให้ผมฟังหน่อย..อะไรก็ได้ ผมแค่ชอบฟังเสียงคุณ” สีหน้าเขาไม่ต่างอะไรกับหลานผมตอนขอร้องให้เล่านิทานก่อนนอน และนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มขำออกมา

“ผมไม่มีอะไรจะเล่าหรอก” ก็อยู่ดีๆเล่นมาขอให้เล่ากะทันหันแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูดเหมือนกัน

“ตลอดสามสิบกว่าปี..คุณจะไม่มีเรื่องเล่าอะไรเลยได้ยังไง”

“ก็ได้..อย่างนั้นตั้งใจฟังให้ดี เพราะผมจะเล่าแค่รอบเดียว”

“ผมตั้งใจฟังทุกอย่างที่คุณหมอพูดอยู่แล้ว” เขายังเป็นคนที่พูดทุกอย่างที่คิดเหมือนเดิมเลยสินะ บางทีถ้าเขามีฟอร์มซะบ้างมันคงจะดูน่าสนใจกว่านี้

ผมเว้นจังหวะไปพอสมควรก่อนจะเริ่มพูดออกมา

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ไม่นาน..ผมถูกขอร้องให้มาที่นี้ ความจริงแล้วผมไม่เคยมีความคิดที่จะมา แต่เพราะไม่มีทางเลือกผมเลยต้องมา”

“...” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆและเงียบเพื่อเปิดโอกาสให้ผมพูดต่อ

“ตอนแรกผมไม่คิดหรอกตัวเองจะเข้ากับที่นี่ได้หรอก แต่เพราะมีผู้ชายคนหนึ่ง เข้ามาคุยกับผม เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เขาช่วยผมในการปรับเข้ากับที่นี่..ช่วยผมในหลายๆอย่าง”

“...” เซนตาวาวขึ้นเมื่อเขาเริ่มจับได้แล้วว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่คือเรื่องของเขา

“ผมช็อคมาก..ที่อยู่ดีๆเพื่อนของผมคนนี้เข้ามาบอกว่าเขาชอบผม..ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับผม”

“ตอนนี้ผมก็ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ” เซนแทรก

“จะฟังต่อก็เงียบ” ผมแกล้งดุเขา

“...” เซนเม้มปากแน่น สายตาหงอหลบลงเหมือนลูกหมาเวลาโดนตี

“ตอนนั้นผมเห็นแก่ตัวมาก ผมไม่สามารถตอบรับเขาได้ แต่ผมก็ไม่อยากเสียเขาไป..ผมเลยบังคับเขาและขีดเส้นแบ่งเอาไว้ด้วยคำว่าเพื่อน..เพื่อนสนิท”

“...” มาถึงตรงนี้สายตาของเซนก็วูบไหวไป เหมือนผมไปตอกย้ำเขาซ้ำๆ

“ถึงเขาจะรู้ว่าผมคิดยังไงแต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังเพื่อนที่ดีต่อผมเหมือนเดิม ดูแลผมเหมือนเดิม..ไม่สิ..ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ แม้ว่าผมจะพยายามให้เขาตัดใจมากแค่ไหนแต่เขาก็ยังดึงดันที่จะไล่ตามผมอยู่แล้วนั้น”

“...”

“หลังๆมานี้เขารู้จักผมมากว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำกับผม..มันไม่เคยมีใครทำให้ผมมาก่อน”

“...”

“จนบางครั้ง..ผมเองก็หวั่นไหว” ผมเม้มปากแน่นเมื่อพูดออกไป ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่พึ่งได้ยินไป

“คุณหมอไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่บอกให้เขาเงียบก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“ผมเองก็ไม่อยากยอมรับนะ แต่ผมว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะเปิดโอกาสให้เขาได้แล้ว” ตลอดเวลาเป็นเดือนที่ผมมาอยู่ที่นี่..ก็มีแต่เซนคนเดียวที่เข้ามาอยู่ข้างๆผม เรียกได้ว่าทุกความทรงจำที่เกิดขึ้นที่นี่..มีเขาร่วมแชร์ด้วยกันแทบทุกอย่าง

ผมคิดมาดีแล้ว..ผมไม่อยากจะให้มันไม่ชัดเจนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆหรอกนะ จริงอยู่ที่ผมไม่เคยคิดหรือสนใจคนไหนเลยแต่พอลองตัดอคติที่ว่าเขาเป็นผู้ชายออกไป..แล้วมองเขาเป็นเหมือนคนๆหนึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น

ก็อย่างที่เซนเคยบอก ยอมเสี่ยงตอนนี้ดีกว่าไปเสียใจที่หลัง ผมว่ามันก็คุ้มที่จะลองดูเหมือนกัน

“ถะ..ถ้า..ถ้าอย่างนั้น..คุณผมก็รู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกกับคุณแล้วน่ะสิ” เซนพูดเสียงสั่น เขาแสดงออกว่าตื่นเต้นดีใจอย่างปิดไม่มิด..ก็เขามันบีเกิ้ลนี่นะ

“เรียกว่าเริ่มรู้สึกดีกับนายดีกว่า..” ผมแก้ เอาจริงผมยังไม่ขนาดเขาหรอก..ก็เขาดูจะคลั่งไคล้ผมออกซะขนาดนั้น

“เหมือนฝันเลย”

“ให้ผมลองถีบนายตกเตียงดูไหม เผื่อจะได้รู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป” ผมพูดพลางทำท่าจะยกเท้าขึ้นมาจนเซนรีบลนลานจับขาผมแล้ววางไว้ตามเดิม

“เปลี่ยนเป็นจูบดีกว่า..ผมฝันถึงริมฝีปากคุณมานานแล้ว” ไม่พูดเปล่า..แววตาซุกซนของเขาเลื่อนลงมาโฟกัสที่ริมฝีปากผม ก่อนจะขยับกระชับระยะห่างเข้ามาให้น้อยลงกว่าเดิม

--

“เกินไปแล้ว!” ดีว่าผมยกมือขึ้นกั้นริมฝีปากเขาได้ทันเวลา ผมดันเขาออกอย่างแรงจนแทบหน้าหงาย

“แค่จูบเองนะครับ..” เขาอ้อนผมด้วยสายตาที่ผมมักจะใจอ่อน แต่โทษทีเถอะ..ไม่ใช่กับเรื่องนี้แน่นอน

“จนกว่าจะยอมรับนายเป็นแฟน ห้ามแตะต้องผมเกินกว่าที่เคยโดยที่ผมไม่ยินยอม ถ้าผมสบายใจ..ผมจะเป็นฝ่ายเข้าหานายก่อนเอง เข้าใจไหม”

“ผมมีสิทธิเลือกได้ด้วยหรอ”



ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
คุณหมอเปิดใจแล้ววว  :katai4:  :-[

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พึ่งเห็นว่านักเขียนลงในเล้าด้วย  :katai2-1:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ดีงาม~ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-9-
KISS
   


“หลับสบายไหมครับ” ผมเปิดเปลือกตายังไม่ทันจะได้ปรับโฟกัสรับแสงที่แยงตาเข้ามาเสียงคนที่คุณก็รู้ว่าใครก็ดังแทรกขึ้นมาแล้ว..ก็มีอยู่แค่คนเดียว

“อืมมม..กี่โมงแล้ว” ผมขานรับในลำคอก่อนจะถามออกมา ทุกทีผมจะใช้โทรศัพท์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนเลยไม่ได้ตั้งเอาไว้

“ยังไม่หกโมงเลย คุณหมอหลับต่อก่อนก็ได้” ผมเลิกคิ้ว ยังไม่หกโมงแล้วเขาตื่นมาทำไมแต่เช้ากัน ดูท่าว่าเซนจะตื่นมาสักพักแล้วด้วยถึงไม่มีทีท่าง่วงนอนเหมือนกับผมในตอนนี้

“ผมไปล้างหน้าเลยดีกว่า เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนอีก” ผมบอกออกมาไม่รอให้อีกคนได้ทันพูดอะไรก็ลุกขึ้นเลย สายตาของเซนที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเปิดเผยเกินไปทำให้ผมทำตัวไม่ค่อยจะถูก..ผมไม่เคยถูกจับจ้องขนาดนี้ และมันคงไม่น่าจะชินได้ในเร็วๆนี้

--

ผมแยกเข้ามาในห้องน้ำ มองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกอยู่สักพักก่อนจะเปิดน้ำแล้วใช้มือรองสาดเข้าหน้าไล่ความง่วงงุน

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง อีกคนเดินเข้ามาตอนไหนวะ..ลืมตาขึ้นมาอีกทีเซนก็ยืนซ้อนหลังเป็นเงาแค้นสะท้อนในกระจกแล้ว เจ้าตัวหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ..ก่อนจะขยับไปจัดการแปรงฟันตัวเองบ้าง

“จะรีบเข้ามาทำไม..ผมจะฉี่” ดีว่าผมไม่ได้ตัดสินใจไปปลดทุกข์ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่งั้นผมเสียความบริสุทธิ์ทางสายตาให้คนข้างๆนี่แน่ๆ

“ก็ฉี่ไปสิครับ ผมไม่ถือ” เขาตอบสบายๆพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก และนั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว

“แต่ผมถือโว้ย” ผมรีบผลักอีกคนให้ออกนอกห้องน้ำไปทั้งที่แปรงยังคาปากนั่นละ จัดการล็อคประตูให้แน่นหนาก่อนจะกลับมาปลดทุกข์ตัวเอง

ให้ตายสิ..ที่ผมตัดสินใจพูดไปเมื่อคืนนี่ทำถูกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้เขาจะไม่รุกผมหนักจนผมตายไปเลยหรอวะ

--

ทางฝั่งที่พักชั่วคราวที่เคยน่าเป็นห่วงตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลเหมือนช่วงนั้นแล้วเพราะได้รับการเข้าไปดูแลช่วยเหลือมากขึ้น รวมทั้งแบ่งประชากรบางส่วนโดยเฉพาะเด็กกับผู้หญิงมาอยู่ฝั่งเต็นท์อำนวยการและสถานพยาบาลบ้างเลยไม่แออัดเหมือนอย่างเคย

ไหนจะพักที่สร้างเสร็จเพิ่มอีก เพราะมันจะสองเดือนเข้าไปแล้วที่ผมมาอยู่ที่นี่ หมายความว่าผมเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียว จะว่าเร็วมันก็เร็ว..จะว่านานมันก็นานอยู่เหมือนกัน

ทุกๆอย่างกำลังค่อยๆดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

ถึงเวลาจะผ่านไปเป็นเดือนหลังจากที่เราคุยกันคืนนั้นแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเซนก็ยังคงเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร เขายังคงเสมอต้นเสมอปลายผมเองก็เหมือนกัน

“เย็นนี้เดี๋ยวผมมารับ” คนตรงหน้าผมพูดหลังจากที่เขาเดินมาส่งผมที่สถานพยาบาล ใช่..เมื่อคืนผมไปค้างที่ห้องเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ผมเริ่มจะใช้เวลาในห้องตัวเองพอๆกับที่ใช้ในห้องของอีกคนเลย

“อืม”

“ครับ ตั้งใจทำงานนะ”

“นายเองก็เหมือนกัน”

“จะตั้งใจกว่านี้แน่นอนถ้าคุณหมอหอมแก้มผมสักครั้ง” เซนขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาอย่างซุกซน

“คิดว่ากำลังเรียกร้องอะไรอยู่”

“เมื่อไรคุณหมอจะเลิกใจร้ายกับผมสักที..” สีหน้าท่าทางหมาหงอยแบบนั้น..คิดว่าผมรู้ไม่ทันเขาหรอ

“หึ..ไปทำงานได้แล้ว” ผมดันอกเขาออกไปก่อนจะหันหลังเดินเข้าสถานพยาบาลไปเลย ทิ้งให้อีกคนยืนทึ่มอยู่อย่างนั้นนั่นล่ะ เดี๋ยวเขาก็กลับไปของเขาเอง

--

ผมไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวเริ่มงานเหมือนเช่นทุกวัน รวมทั้งเรื่องอาหารเช้าด้วย

เอาจริงๆผมว่าช่วงนี้ผมว่างเกินไป ตั้งแต่ตัดสินใจสอบเข้าคณะแพทย์ชีวิตผมก็ไม่เคยรู้จักคำว่าว่างอีกเลย..พอมาช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำเป็นชิ้นเป็นอันมันเลยรู้สึกแปลกไป ผมได้แต่นั่งฆ่าเวลาเล่นจนเริ่มเสียดายเวลา รู้ตัวอีกทีก็สิบโมงเข้าไปแล้ว

“เฮ้! ไมเคิล”

“อ้าว..มีอะไรหรือเปล่าครับ” ไมเคิลหันมายกยิ้มให้ผมก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินเข้ามาหาผมที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี้แทน

“คุณจะไปไหนหรอ” ผมถามเขา

“โรงอาหารน่ะครับ ว่าจะหาอะไรลองท้องซะหน่อย”

“ผมไปด้วยสิ” ผมรีบพูด ตอนนี้ผมแค่อยากหาอะไรทำ หรือเพื่อนคุยสักคน ดีกว่ามานั่งว่างอยู่คนเดียวแบบนี้ นี่ถ้าผมมีความรู้ทางด้านงานช่างก่อสร้างอยู่บ้างผมไม่ลังเลเลยที่จะข้ามไปฝั่งนู้นแล้วช่วยงานในไซต์ซะ..แต่คือผมไม่มีน่ะสิ ทุกวันนี้ใช้สว่านเจาะกำแพงแขวนรูปได้ก็ชื่นชมตัวเองมากแล้ว ไปช่วยเขาก็กลัวจะเป็นตัวป่วนซะมากกว่า

“เอาสิ ให้ผมเดานะ..คุณต้องเหงาแน่ๆเลย” ไมเคิลมองมาอย่างรู้ทัน

“ผมแค่อยากหาอะไรกินบ้างเหมือนกัน” ผมแย้ง..ถึงจะพึ่งกินไปเมื่อเช้าและตอนนี้มันก็พึ่งจะสิบโมงก็เถอะ

“อย่าแก้ตัวเลย..ผมเห็นคุณเดินออกมาจากโรงอาหารนะครับเมื่อเช้านี้” ผมนี่เม้มปากแล้วรีบเดินนำเขาไปเลย ให้ตาย..ทำไมคนรอบตัวผมถึงเป็นแบบนี้กันไปหมดเลยนะ

“ถ้าคุณเหงาผมว่าคุณติดต่อเพื่อนไม่ก็ครอบครัวคุณบ้างไหม ผมว่าช่วยได้มากเลยนะ ตั้งแต่คุณมาที่นี่ผมยังไม่เห็นคุณจับมือถือเลย” ไมเคิลพูดขึ้นพลางม้วนเส้นพาสต้าเข้าปากไปด้วย

“ไม่ใช่ว่าเครือข่ายโดนตัดขาดไปหมดตอนแผ่นดินไหวแล้วหรอ” ผมเข้าใจว่ามันเป็นแบบนั้นมาโดยตลอดเลยนะ มือถือผมถึงไม่ต่างกับที่ทับกระดาษ..

“ภัทร..คุณไปอยู่ไหนมา สหประชาชาติเขาส่งวิศวกรมาดำเนินการเรียบร้อยตั้งแต่อาทิตย์ก่อนที่คุณจะมาอีกนะ” เหมือนโดนถีบตกแม่น้ำเจ้าพระยา..รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก พนันเลยว่าเซนต้องรู้เรื่องนี้ แล้วที่ผมเคยบ่นให้เขาฟังไปเขาไม่เคยคิดจะบอกผมเลยใช่ไหม

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมลาเขาก่อนจะลุกขึ้น จุดหมายผมตอนนี้คืออีกฝากหนึ่งของฐานลับ ก็ที่ไซด์นั่นละ..ไม่รู้สิ ผมแค่อยากทำอะไรบางอย่าง

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวไปไหน ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย สถานพยาบาลโกลาหลไปหมด

ทั้งผมและไมเคิลได้แต่ยืนเลิ่กลั่ก พยายามหาใครสักคนมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้แต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะวุ่นวายกันเหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า..ที่สุดท้ายก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเราสักที

“ปีเตอร์มันเกิดอะไรขึ้น” ไมเคิลรีบถามคำถามที่ผมต้องการรู้มากที่สุดในตอนนี้ออกไป

“ที่ไซด์งานสร้างบ้านพักฝั่งนู้นเกิดอุบัติเหตุถล่มครับ คุณหมอรีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า เราต้องรีบไปตอนนี้”

ที่ไซด์เกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นหรอ..แล้วเซน

ผมรีบวิ่งตามไมเคิลไป ไม่สนว่าตัวเองจะทำประโยชน์อะไรได้บ้างหรือเปล่าแต่ให้ผมอยู่ที่นี่เฉยๆมันคงไม่ได้

นี่เป็นครั้งที่ผมใช้เวลาน้อยที่สุดในการมาที่นี่ ภาพที่เห็นคือเจ้าหน้าที่หลายหน่อย รวมทั้งทหารหลายนายกำลังให้ความช่วยเหลือลำเลียงคนเจ็บออกมาจากซากปรักหักพัง และนั่งร้านที่ถล่มลงมา สาเหตุยังไม่แน่ชัด บางทีอาจเป็นเพราะความสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องจักร หรือความผิดพลาดทางเทคนิค หรืออาจจะเป็นอาฟเตอร์ช็อคอีกก็ได้

เท่าที่คาดคะเนจากสายตายังไม่มีใครที่บาดเจ็บร้ายแรง แต่ผมก็ยังไม่สามารถวางใจได้ในเมื่อคนที่ผมต้องการเห็นหน้าเขามากที่สุดในตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยออกมา

“เฮ้..มอรีส มอรีส” ผมรีบวิ่งไปหามอรีสอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปอย่างไม่สนว่าเขาที่กำลังนั่งให้หมอเย็บแผลที่ศีรษะเขาอยู่จะพร้อมตอบคำถามผมตอนนี้ไหม

“เซน..เซนอยู่ที่ไหน” ผมถามเขาอย่างร้อนรน เขาต้องรู้สิ ในเมื่อเซนอยู่กับเขาบ่อยที่สุดแล้ว..เขาต้องรู้

“ภัทร..ผม ผมไม่รู้” ผมมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำตอบของเขายิ่งทำให้ความกังวลผมพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้าๆพยายามไล่ความตระหนกและควบคุมสติตัวเอง ตอนนี้ผมต้องโฟกัสหน้าที่ของตัวเอง คนเจ็บจำนวนไม่น้อยโอดครวญอยู่ตรงหน้าผมไม่สามารถละเลยพวกเขาไปได้แม่ว่าตอนนี้จิตใจผมจะไม่สงบเลยก็ตาม

--

“คุณหมอ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง พอดีกับที่ผมปิดแผลให้คนที่ผมดูแลเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เป็นเซนจริงๆ..เขากำลังส่งยิ้มบางๆมาให้ผมอย่างที่ชอบทำ ผมยืนมองเขานิ่งๆไม่ได้พูดอะไรออกไป..เท่าที่ผมเห็นเขาดูปกติดีทุกอย่าง นอกจากใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนก็ไม่มีบาดเจ็บตรงไหน

ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปยังไงคนตรงหน้าผมถึงหุบยิ้มลงแล้วรีบดึงผมเข้าไปกอดไว้ เขากอดผมแน่นมาก..แน่นกว่าที่เคย

“ไม่เป็นไร..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว คุณหมอไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ” เขาพูดมันซ้ำๆที่บอกว่าเขาเองไม่เป็นอะไร ผมยกมือขึ้นกอดตอบเขา ฝั่งหน้าลงกับลาดไหล่หรอกเขา..ผมกลัว..กลัวว่าคนตรงหน้าผมตอนนี้จะไม่กลับมา กลัวว่าเขาจะไม่มากอดผมอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“ไปไหนมา..” ผมถามเขาออกไป แต่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาตอนนี้หรอก ผมแค่ต้องการพูดออกไป ต้องการระบายความกลัวของผมออกมา

“...” ยังไม่ทันที่เขาจะทันได้พูดอะไรผมก็พูดต่อแล้ว

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ตอนที่ได้ยินเรื่องไซด์ถล่มผมคิดถึงนาย..คิดถึงนายเป็นคนแรก ถ้าเกิดว่านายเป็นอะไรไป..ถ้านายไม่กลับมา ถ้านายไม่อยู่ตรงนี้ ผมกังวล..กังวลไปหมด”

“..ผมอยู่ตรงนี้แล้วไงครับ”

“ผม..ผมกลัว” เสียงผมสั่น พอคนตรงหน้ายื่นมือมาไล้ข้างแก้มผมก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสจากเขา รู้สึกตัวอีกทีหน้าผมก็โดนรั้งให้เงยขึ้น..ตามด้วยริมฝีปากบางที่ตามลงมาทาบทับ


เขาไม่ได้ลุกล้ำอย่างเอาแต่ใจอะไร กลับกันเป็นผมเองที่ไม่ได้ผลักไสเขาอย่างที่ควรและเปิดริมฝีปากยอมรับให้เขาเข้ามา

มือที่เคยกอดอีกคนเอาไว้เปลี่ยนเป็นขยำเสื้อตัวนอกของเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ผมตอบรับเซนอย่างเต็มใจ อาจจะด้วยความกังวลหรืออะไร..ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองต้องการสัมผัสจากคนตัวหน้ามากขนาดนี้

กว่าสามนาทีเราถึงผละออกจากกัน สมองผมอื้ออึงยังคงประมวลผลไม่ได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองพึ่งจะทำอะไรลงไป เซนยกยิ้มมุมปาก มือของเขายกขึ้นมาเช็ดมุมปากให้ผม มันเปื้อนน้ำสีใสที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร ของเขาหรือว่าของผม

“เอ่อ..” ผมหลบสาบตาด้วยความประหม่า ดันเขาออกเบาๆแต่อีกคนขืนตัวไว้มันเลยไม่มีประโยชน์อะไร

“คุณหมออาจจะไม่รู้ตัว..แต่ผมว่าผมเริ่มจะสมหวังแล้วล่ะ”

“ก็คงจะอย่างนั้น”

“ผมจะไม่เร่งรัดคุณ จะรอวันที่คุณพูดว่ารักผมอย่างเต็มปากด้วยตัวของคุณ
เอง”
“ขอบคุณ” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น เขาเองก็ยิ้มรับ

“มาครับ ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ให้ผมเดินไปส่งคุณนะ”

“อืม..” ถึงตอนนี้ผมจะอยากรู้แล้วว่าเขาหายไปไหนมา แต่เอาเป็นว่าผมจะถามเขาหลังจากนี้แล้วกัน

..
...


ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-10-
Feel the same way
   


“ขอโทษที่ผมทำให้คุณเป็นห่วง..” เป็นเซนที่ทำลายความเงียบขึ้นมา ตลอดทางที่เราเดินเคียงคู่มาด้วยกันผมเอาแต่เงียบ..ไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้นแต่เราพึ่งจะจูบกันมามันก็เลยวางตัวไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไร

แล้วทำไมผมถึงทำตัวสาวน้อยแบบนี้วะ..มันไม่ใช่จูบแรกสักหน่อย

ผมพยักหน้ารับ กำลังจะเดินแยกไปอย่างที่เคยเพราะเราเดินมาถึงฐานลับพอดี แต่อีกคนกลับฉุดแขนให้ผมเดินไปนั่งตรงที่ประจำของเรา ผมเลยต้องทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ข้างๆเขาอย่างช่วยไม่ได้

บรรยากาศยังคงเงียบสงัด มีเพียงสายลมเบาๆที่พัดผ่านมา จากตอนแรกที่ไม่ได้อึดอัดอะไรตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันอึดอัดขึ้นมาบ้างแล้ว

“คุณหมอเป็นอะไรไป..จากนิสัยคุณ คุณต้องถามสิว่าผมไปไหนมา หรือไม่ก็บ่นผมเหมือนทุกที” เซนถามขึ้นพลางหันมามองผมอย่างจริงจัง ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาพยายามมองลึกเข้ามาในตาผมราวกับกำลังอ่านความคิดของผมอย่างไรอย่างนั้น..ผมคงหลบสายตาเขาไม่ได้อีกแล้ว

“เปล่า..” ผมปฏิเสธเสียงเบา ไม่มีความหนักแน่นเอาเสียเลย

“แล้วทำไมถึงเงียบแบบนี้ละครับ ผมแค่ดูดลิ้นคุณนะ ไม่ได้สูบกล่องเสียงคุณออกมา” ผมถลึงตาใส่เขาก่อนจะหันหนีไปอีกทาง เขาพูดติดตลกแต่มันกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกเงอะงะไปกันใหญ่

“เลิกพูดเล่นเรื่องนี้สักที” ทำไมถึงพูดได้หน้าตาเฉยอย่างนั้นวะ

“โอเค..ผมว่าเราต้องทำความเข้าใจกันเรื่องนี้” เซนยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ เขาเดินตามมานั่งตรงหน้าผมแล้วพูดอย่างใจเย็น

“เรื่องอะไร” ผมถามออกไปทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น

“จูบไง”

“ผมไม่..” ยังไม่ทันจะจบประโยคอีกคนก็แทรกขึ้นดักทางผมเอาไว้แล้ว

“ได้โปรด..ฟังผมให้จบก่อน”

“พูดมาสิ”

เซนเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดออกมา

“คุณอาจจะรู้สึกว่าเรื่องที่เราจูบกันมันน่าอาย..คุณอาย ผมเข้าใจว่ามันเป็นวัฒนธรรมของคุณ แม่ผมเองก็เป็นคนเอเชีย ผมเข้าใจคุณ..ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ แต่เอาเป็นว่าผมไม่อยากให้คุณคิดอย่างนั้น”

“...” ผมยังคงเงียบ เซนสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“จูบนั้นสำหรับผมมันวิเศษมาก..ผมรอคอยมันมาตลอด คุณหมอจินตนาการไม่ได้หรอกว่าผมรู้สึกดีมากแค่ไหน ผมอยากให้คุณลองเปิดใจกับเรื่องนี้ ไม่อยากให้เก็บไปกังวลทั้งที่คุณก็รู้สึกดี..”

“...” ผมเม้มปากแน่น..บางทีนี่อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของผมไปแล้ว ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ ในเมื่อทุกอย่างที่เซนพูดออกมามันถูกทุกอย่าง..ใช่ผมรู้สึกดี..รู้สึกดีกับจูบของเขา กับสัมผัสของเขา นั่นคือสิ่งที่ผมต้องยอมรับ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเรา ผมอยากให้คุณใส่ใจความรู้สึกของเรา..ของผม..ของคุณ ไม่ใช่ความรู้สึกของคนอื่น ตลกเนาะที่ผมมาแนะนำอะไรแบบนี้ให้จิตแพทย์ฟัง..ผมนี่กล้าชะมัด”

“บางทีจิตแพทย์ก็ต้องการที่ปรึกษาเหมือนกัน..ขอบคุณนะ”

“ยินดีครับ” เขายิ้มกว้างส่งมาให้ผม รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนลูกหมาอย่างที่เขาชอบทำ

--

“นายยังชอบผมอยู่ไหม” อยู่ดีๆผมก็อยากถามเขา

“ผมรักคุณ” เขาไม่ลังเลเลยที่จะพูดคำนั้นออกมา บางทีผมก็อยากจะมั่นใจในความรู้สึกตัวให้เองให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขา

ทั้งๆที่ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่กลับไม่อยากยอมรับมันซะอย่างนั้น เป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างมันยาก ผมว่าบางทีผมควรจะเลิกใส่ใจความคิดของคนอื่นมากเกินไปซะที แล้วหันมาใส่ใจความรู้สึกของคนตรงหน้าผมบ้าง

ผมสูดลมหายใจลมหายใจเข้าไปลึกๆก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“บางที..ผมอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับนาย”

“ว่า..ว่า..ว่าไงนะครับ”

“ผมพูดไปแล้ว”

“พูดอีกครั้งไม่ได้หรอ”

“มะ..อืม!!..” คำว่าไม่ยังไม่ทันจะหลุดปากผมก็โดนเจ้าของตาสีน้ำตาลอ่อนใช้ส่วนเดียวกันประกบลงมาแล้ว และผมเองก็ไม่ได้ขัดขืนเสียด้วย

เขาผละออกไป ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนจะก้มลงมาจุ๊บเร็วๆอีกครั้ง และนั่นมันทำให้ผมหน้าแดงจนรู้สึกร้อนไปหมดแล้ว

--

“เออใช่..ตอนที่ไซด์ถล่มนายไปไหนมา” ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าอยากถามคำถามนี้กับเขา

“ผมกลับไปเอาของที่เชลเตอร์พอดี กลับมาทุกอย่างก็ราบไปหมดแล้ว”

“ดีแล้ว คราวที่แล้วที่นายโดนเหล็กเสียบ..มันยังติดตาผมอยู่เลย”

“ดูเหมือนคราวนี้ผมจะมีดวง”

“เหอะ..ถ้าจะซวยซ้ำซ้อนก็เข้าโบสถ์ไปสวดภาวนาบ้าง”

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเจ็บตัว ผมหมายถึงเรื่องคุณต่างหาก” ไม่ว่าเปล่าคนสูงกว่ายังถือโอกาสเอาแขนมาพาดกอดคอผมเอาไว้หน้าตาเฉย เอาเถอะผมเองก็เบื่อต่อปากต่อคำกับเขาแล้วเหมือนกัน

“ผมขอยืมโทรศัพท์นายหน่อยสิ”

“จะแอบเช็คโทรศัพท์ผมเลยหรอ..ถ้าอย่างงั้นเราต้องคบกับก่อนสิ” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา แก้ไม่หายเลยสินะ โรคคิดเองเออเองเนี่ย..ดูเหมือนว่าจะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย

“ผมจะติดต่อที่บ้านบ้าง ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีเครือข่าย..ผมพึ่งรู้และผมก็ทำไม่เป็น” และอีกอย่างของผมอยู่ที่ห้องด้วย..ก็บอกแล้วว่านอกจากชาร์ตแบตเอาไว้ตั้งปลุกมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษ

“ของผมอยู่ที่เชลเตอร์ คืนนี้ค้างกับผมสิ ผมยกให้คุณทั้งคืนเลย” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์

“ถ้าผมจับได้ที่หลังว่าอยู่กับตัวนะ ผมเอาตายแน่”

“ไม่ได้อยู่จริงๆ” อยากจะเชื่ออยู่หรอกถ้าเจ้าตัวไม่ได้หัวเราะออกมาซะขนาดนั้น

--

แล้วผมก็ยอมตกลงมาห้องของเขา ทุกทีไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรผมก็มาอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดมากไปอีกทำไม

มาถึงเซนก็หยิบมือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะมายื่นให้ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนที่นอน เขาไม่ได้หลอกผมนี่หว่า

ความจริงผมอยากโทรหาแม่นะ แต่พอลองคำนวณเป็นเวลาไทยแล้วมันก็ดึกเกินไปแล้วกลัวจะเป็นการรบกวนแม่เปล่าๆ คนเดียวที่ผมนึกถึงตอนนี้ก็คงเป็นไอ้คุ
ณ..และแน่นอนผมจำเบอร์มันไม่ได้ คงต้องคอลไลน์แทน ผมพยายามสไลด์โทรศัพท์เซนดูแล้วมันไม่มีไอ้แอพลิเคชั่นสีเขียวนี่เลย

“โหลดไลน์ให้ผมได้ไหม” ผมถามพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา

“ไลน์หรอ?”

“ครับ” เขารับไปจิ้มๆอยู่สักพักก่อนจะกดติดตั้งแล้วยื่นคืนมาให้โดยที่ไม่ถามอะไร ผมจัดการล็อคอินด้วยอีเมล์แล้วกดโทรหามันทันที ก็อยากจะเกรงใจนะแต่อารมณ์นั้นมันหายไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้ปกติไม่ใช่เวลาที่จะนอนของมันหรอก หรือถ้าเข้าเวรอยู่ก็ใช่ว่าจะวุ่นจนรับสายผมไม่ได้ขนาดนั้น

“นี่มันกี่โมงแล้วไอ้ภัทร” รอไม่นานเสียงตามสายก็ดังรอดมา จากน้ำเสียงแล้วมันดูงัวเงียและหงุดหงิดไม่น้อย แต่ผมนี่น้ำตาจะไหล นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินภาษาไทย ถ้าผมโทรหาแม่ผมต้องร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆแน่ๆ

“นี่มึงนอนแล้วหรอ” ผมถามออกไป

“เออ”

“ทำไมนอนแล้ววะ ตื่นมาคุยกับกูก่อน”

“เออตื่นแล้วเนี่ย มึงอย่าเสียงดังเดี๋ยวเพื่อนตื่น” ก็ว่าทำไมนอนเร็วที่แท้ก็นอนกกเมียสินะ ได้ยินกุกกักๆอยู่สักก่อนจะเงียบไป สงสัยมันคงเดินออกไปข้างนอกแทนแล้วละมั้ง

ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงตามเดิม เซนเองก็มองมาอย่างสนใจก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมเดินไปนั่งข้างๆเขา

“โทรมามีอะไร” เสียงไอ้คุณดึงสติให้ผมกลับไปสนใจมันอีกครั้ง

“กูคิดถึง” ผมคิดถึงมันมากเลยนะ คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้าน คิดถึงงานที่โรงพยาบาล ที่สำคัญคือโคตรคิดถึงอาหารไทย..อยู่นี่ผมกินแต่พาสต้า ขนมปัง

“หึ..อารมณ์ไหน”

“มึงไม่เข้าใจกูหรอก สองเดือนแล้วนะเว่ยที่กูมา เหงาชิบหายเลย” ผมโวยวาย

“โทรมาโวยวายแค่นั้น?” พนันเลยว่ามันเลิกคิ้วอยู่แน่ๆ

“เออ..แค่นี้ จะไปนอนก็ไปๆ”

“เออดูแลตัวเองด้วย”

“มึงก็เลิกบ้างาน”

“หึ..” ได้ยินเสียงมันหัวเราะในลำคอก่อนสายจะโดนตัดไป ปกติผมกับมันก็ไม่ได้คุยกันยาวๆอยู่แล้ว พอมาผ่านโซเชียลแบบนี้ยิ่งไม่มีเรื่องจะคุยเข้าไปใหญ่ แต่แค่นี้ผมก็รู้สึกโอเคขึ้นมากแล้ว

ผมยื่นมือถือคืนให้เจ้าของ ผิดคาดแฮะ..ผมนึกว่าเซนจะถามอะไร แต่เขากับเพียงแค่ยิ้มแล้วรับมันไป

ความเงียบปกคลุมลงมาอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงดี ผมเองก็ไม่ถนัดเรื่องนี้..ได้แต่นั่งเงียบๆต่อไปรอให้อีกฝ่ายทำลายบรรยากาศนี่ขึ้นมาแทน

--

“ผมว่าเรามาลองคบกันจริงจังไหม”

“หา?..” ทำไมอยู่ดีๆถึงโพล่งมากลางป่องแบบนี้ละวะ ถ้าผมกินน้ำอยู่จะต้องพุ่งออกมาแล้วสำลักแน่ๆ ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบว่าที่พูดมาผมได้ยินถูกแล้วใช่ไหม

“ก็ในเมื่อเรารู้สึกเหมือนกัน ก็คงดีกว่าถ้าจะทำให้มันถูกต้อง เราจะใจมีสิทธิในกันและกัน..แต่ผมไม่ได้เร่งรัดบังคับคุณนะ ถ้าคุณหมอสบายใจแบบเดิม ผมยินดีเป็นเพื่อนคุณเหมือนที่ผ่านมาก็ได้” เขารีบพูดดักเอาไว้ในตอนท้าย ท่าทีลุกลนของเขามันทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา

“ไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาจูบกันเหมือนที่เราจูบกันหรอกนะ” ผมพูด

“...” นี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผม หวังว่าทางที่ผมเลือกมันจะเป็นทางที่ใช่นะ

“เอาสิ คบกันก็ได้..แต่บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนโรแมนติกหรอกนะ แล้วก็ค่อนข้างจะหัวโบราณด้วย”

“ก็พอจะรู้อยู่แล้ว..เรื่องนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมละลายพฤติกรรมคุณหมอเอง”

“นอกจากจูบ ผมอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ผมรีบบอก เซนเป็นคนที่แสดงออกชัดเจนมาตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มรู้จักเขาแล้ว และเขาก็แสดงออกว่าต้องการในตัวผม และอีกอย่างคือเขาดูจะเจนจัดในเรื่องแบบนั้น..เอ่อ..ผมหมายถึงเซ็กซ์ ผมที่เคยผ่านการเดทมาแค่ไม่กี่คนคงเทียบเขาไม่ได้ และผมก็ยังไม่พร้อมไปถึงจุดนั้นกับเขาในเร็ววันนี้แน่นอน

“ครับ..แต่ผมไม่รับปากว่าคุณจะต้านทานความฮ็อตของผมได้” ถึงเขาจะดูมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่เชื่อสินั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกลัว

พนันเลยว่าเขาจู่โจมผมหนักแน่นอน

..
...


ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-11-
Step by Step
   


จากตอนแรกที่เรานั่งอยู่ข้างกัน คนข้างๆผมหันมาแล้วจับใบหน้าให้ผมหันไปมองเขาเหมือนกัน ระยะห่างระหว่างเรามันแคบมากจบผมเผลอเม้มปาก แต่ก็ทำได้ไม่นานหรอกเซนก็ยื่นนิ้วมาเกลี่ยให้ผมคลายออกแล้ว

“มีใครเคยบอกไหมว่าคุณหมอเป็นคนน่ารัก” เขาถามออกมา

“..ไม่..” นอกจากแม่ก็มีแค่เขาเท่านั้นแหล่ะที่พูดอย่างนี้กับผม

“ทำไมคนอื่นถึงไม่เห็นเหมือนที่ผมเห็นนะ” นั่นเพราะเขาหลงผมต่างหาก ความจริงผมควรจะเขินไหม แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกตลกเขาก็ไม่รู้

“นายควรไปอาบน้ำ” ผมดันอกเขาออกให้ระยะห่างระหว่างเราเพิ่มขึ้นอีกหน่อย เซนทำหน้าเหรอหราก่อนจะก้มลงเช็คตัวเอง เขาทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาไม่มีผิด

“ผมเหม็นหรอ” เขาถามอย่างไม่มั่นใจ

“เสื้อผ้านายมันเปื้อนฝุ่น เดี๋ยวที่นอนก็เลอะไปด้วย” ผมบอก

“ถ้าอย่างนั้นแค่ถอดก็ไม่เปื้อนแล้วสิ” ไม่พูดเปล่า เขาทำหน้าเจ้าเล่ห์ขยับเขามาใกล้จนผมต้องเอนตัวหลบแถมยังทำท่าจะถอดออกอย่างที่ปากว่าจริงๆด้วย

“ผมไปเอง” ผมผลักเขาให้หน้าทิ่มลงเตียงด้วยความหมันไส้ก่อนจะลุกขึ้นเสียเอง แต่เซนไวกว่าเขารีบคว้าข้อมือผมไว้

“ผมล้อเล่น โอเค..อาบครับอาบ”

ใช้เวลาไม่นานอีกคนก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งปิดบังช่วงล่างไว้ อีกผืนพาดอยู่ที่บ่า..คอยซับน้ำจากผมที่พึ่งสระของตัวเอง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหมนะ ว่าอีกคนกำลังโอเอ้ไม่ยอมไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักที

“เช็ดให้หน่อยได้ไหมครับ” เขายื่นผ้าที่เคยพาดอยู่ที่บ่ากว้างมาให้ ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ทุกทีเขาก็ทำมันด้วยตัวเองนี่นี่หน่า..อ่อ..มันคือสิ่งที่คนเป็นแฟนกันควรจะดูแลสินะ

“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนสิ เดี๋ยวผมเช็ดให้” ผมยิ้มบางๆให้เขา เท่านั้นบีเกิ้ลของผมก็รีบลุกลี้ลุกลนวิ่งหาเสื้อผ้าใส่อย่างรวดเร็ว

เขามันไฮเปอร์ นั่งนิ่งๆให้ผมเช็ดผมให้เขาได้ไม่นานก็เงยหน้ามองผมอีกแล้ว ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาฉายแววซุกซน..นิสัยเด็กๆแบบนี้ใครจะคิดกันว่าเป็นถึงนายช่างใหญ่ ถึงในเวลางานเขาจะจริงจังเหมือนเป็นอีกคนเลยก็เถอะ

“เฉยๆได้ไหม” ผมดุไม่จริงจัง

“ทำยังไงดี..ผมอยากจูบคุณอีกแล้ว” ผมต้องทำตัวให้ชินสินะ ให้ตายสิมันไม่ใช่ปกติของผมเลย เมื่อกี้ผมก็เผลอโยนผ้าในมือคลุมหน้าเขาแล้วลุกขึ้นหนีคว้าผ้าเข้าห้องน้ำไปแล้ว

--

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาเจอคนสูงกว่ากำลังยืนยิ้มระยะประชิด ผมถอยหลังอัตโนมัติแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่คิดเพราะเซนเร็วกว่า เขายื่นแขนมารั้งผมให้ขยับเข้าไปชิดตัวเขาแล้วชิงประกบปากลงมาอย่างรวดเร็ว

เขาดูดดึงริมฝีปากล่างของผมเบาๆก่อนจะขบเม้มหยอกล้ออย่างช่ำชองจนผมเผลอตัวเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของเขา..เปิดริมฝีปากให้เขารุกล้ำเขามาตามที่เขาต้องการ

“อื้ออ!” เรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาทำให้ผมรู้สึกแปลกไป..มันน่าอาย แต่ผมกลับพยายามตอบรับเขา โต้ตอบเขาด้วยเกมที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน

“ที่นี่ไม่มีที่ให้คุณหมอหนีผมได้หรอก” เขาพูดหลังจากปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระ ผมหอบหายใจ..สมองผมหยุดทำงานไปชั่วคราวจนเซนต้องดันหลังผมให้เดินนำไปที่เตียงแล้วหาเสื้อมาวางให้ผมแทน

“ให้ผมช่วยไหม” เขาเสนอตัวพร้อมกับชูเสื้อยืดในมือขึ้นให้ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

“มะ..ไม่เป็นไร” ผมรีบแย่งมาแล้วจัดการใส่อย่างรวดเร็ว รวมทั้งอีกสองชิ้นที่วางอยู่ด้วยจนอีกคนหลุดหัวเราะออกมา

--

“เรามาหาอะไรทำกันไหม”

“อะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ พอสถานะเราชัดเจนแล้วความไว้ใจเขาในเรื่องความปลอดภัยผมเลยลดลง เอาตรงๆเลยนะ..ผมยอมรับเลยว่าผมโคตรกลัว กลัวมากด้วย จะบอกคนหน้านี่ไปได้โดนหัวเราะแน่ๆ

“อะไรก็ได้” เขาไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลย

“ผมว่าผมจะนอน” ผมรีบบอก ไม่ว่าเปล่าขยับไปทิ้งตัวตรงที่ประจำตัวเองทันที

“ทุกทีคุณหมอก็ไม่ได้นอนตอนหกโมงเย็นนี่ครับ”

“ผมง่วงแล้ว” หลับตาแม่ง

“ทำไม..กลัวผมหรอ” เขาถามอย่างรู้ทัน

“เออ”

“หึหึ..ผมไม่ฝืนใจคุณแน่นอน ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมรักคุณ..ผมแคร์ความรู้สึกของคุณจะตาย”

สัมผัสจากหมอนที่ยวบลงทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมอง เซนตามมานอนข้างๆผม..หนุนหมอนใบเดียวกันโดยที่หนุนแขนของตัวเองเอาไว้อีกที แขนอีกข้างแทรกเข้ามาให้ผมหนุนแล้วกระชับให้ผมขยับเข้าไปนอนใกล้เขากว่าที่เคย

“มันอึดอัดนะ” ผมพูดเสียงเบา จะขยับออกแต่ทำไม่ได้เพราะอีกคนขืนเอาไว้

“นอนเฉยๆสิ ไม่ดิ้นก็ไม่อึดอัดหรอก” เขามันเอาแต่ใจ

“แต่นายจะเมื่อย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

“ช่างผมเถอะ”

“...” หมดคำพูด เงียบใส่เลยแล้วกัน

“คุณช่วยเราเรื่องอะไรให้ผมฟังหน่อยได้ไหม อะไรก็ได้” อยู่ดีๆเซนก็พูดขึ้น ตาสีอ่อนของเขาเหลือบมองผมที่เงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี

เขามักจะขอให้ผมทำแบบนี้..เขาชอบฟังเรื่องราวจากผม ซึ่งส่วนมากก็ไม่พ้นเรื่องประสบการณ์สมัยเรียนไม่ก็ตอนทำงาน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตผาดโผนอะไร เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเล่าให้เขาฟังมากมาย

“ผมเล่าไปหมดแล้ว..ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ทำไมนายไม่เล่าให้ผมฟังบ้างล่ะ” ผมถาม

“เพราะผมชอบฟังเสียงคุณไง..ชอบมองริมฝีปากคุณ เวลามันขยับพูดอะไรบางอย่างให้ผมฟัง”

“ไม่ใช่ว่านายชอบผมหรอกหรอ” ผมแกล้งแหย่เขา

“ผมหลงคุณจะบ้าอยู่แล้ว” ผมหลุดหัวเราะออกมาจนอีกคนก้มลงมาหอมแก้มผมแรงๆนั่นละถึงได้ชะงักไป..ฉิบหายไม่ทันตั้งตัวเลย

--

“นอกจากผม นายเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน” เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่ผมจะถามเขาออกไป เอาจริงผมไม่ได้แคร์กับชีวิตรักที่ผ่านมาของเขาหรอก แต่ก็ยอมรับว่าแอบอย่างรู้เหมือนกัน

“เฮ้..เราจะคุยกันเรื่องนี้กันจริงหรอ” เซนเลิกคิ้ว

“ใช่..วินวินไง ผมบอกของผมนายบอกของนาย”

“งั้นคุณหมอบอกของคุณก่อน” ยิ่งเขาต่อรองผมยิ่งอยากรู้

“ผมถามก่อน”

“โอเค..ก่อนหน้าคุณผมเดตมาแค่สามคน” น้อยกว่าที่คิดแฮะ แต่พอลองมาคิดดูใหม่มันก็สมเหตุสมผลกันนิสัยเขาที่เชื่อมันในความรัก เขาดูไม่ใช่พวกรักสนุกเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นหรอก

“ผู้ชายหรือผู้หญิง” ผมถามต่อ

“ไม่ใช่ว่าตาคุณหมอต้องตอบผมก่อนหรอ”

“ของผมแค่สองคน..ผู้หญิงทั้งคู่ด้วย ทีนี้ตอบคำถามผมมาได้แล้ว” ผมตอบสบายๆ

“ผู้หญิง ผู้ชาย แล้วก็ผู้หญิง”

“อ่า..” ผมพูดออกไปได้แค่นั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมถามบ้าง คุณหมอไม่ได้เวอร์จิ้นอยู่ใช่ไหม”

“บ้าดิ..ถามบ้าอะไรของนาย” ผมโวยวาย จำเป็นต้องตรงทุกเรื่องขนาดนี้เลยไหม

“อย่าขี้โกงสิ คุณถามผมยังตอบเลย” เขากดดันผมต่อ

“ผมไม่ได้เวอร์จิ้น”

“ผมไม่ได้หมายถึงกับผู้หญิง” เขาทำผมขบริมฝีปากแน่น

“ก็รู้อยู่แล้วนี่จะถามทำไม” ผมนี่ก้มหน้าหลบสายตาเขาเลย ใครมันจะบ้ากามผ่านมาทุกสนามแบบนั้นล่ะวะ แล้วผมก็ไม่ได้ชอบเรื่องแบบนี้ขนาดจะไปให้ความสนใจมากขนาดนั้นเสียหน่อย

“โอเคเราเลิกคุยเรื่องนี้กัน” เซนพูดติดจะขำ แล้วยังยื่นมามาจับหน้าผมบังคับให้เลิกหลบสายตาเขาอีก

“คุณหมอง่วงรึยัง” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง..มันพึ่งจะหกโมงเย็นไม่ใช่หรอ” เขาเองก็พึ่งบอกไปไม่ใช่หรอ

“แล้วหิวไหม” เซนยังคงถามต่อ

“...” ผมส่ายหน้า ปกติผมก็ไม่ค่อยกินอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างตอนเช้าผมรองท้องมาเยอะพอสมควรไหนจะไปซ้ำกับไมเคิลอีก

“แต่ผมหิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ” แล้วจะถามเพื่อ ผมแค่คิดนะ..ไม่ได้พูดออกไปหรอก เซนจับแขนให้ผมลุกขึ้นยืนแล้วให้ผมใส่รองเท้า..ผมนึกว่าเขาจะหาอะไรรองท้องในห้องเขาเสียอีก

“ไปไหน” ผมถาม เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่จับข้อมือให้ผมเดินตามเขาไป เขาพาผมเดินเลาะไปตามบ้านพักคนงานเรื่อยๆผมเองก็ไม่ได้เดินมาสักครั้งเลยไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดนี้

เดินไม่นานเขาก็พาผมเดินมาถึงกระโจมขนาดใหญ่ จะว่ายังไงดีล่ะ มันเหมือนลานกว้างๆที่มีหลังคาที่คนส่วนมากมาสังสรรค์กัน มีกองไฟขนาดใหญ่ค่อยให้แสงสว่างและความอบอุ่นอยู่ตรงกลาง

“ไซด์ถล่มแต่พวกนายมีปาร์ตี้เนี่ยนะ” ผมดึงคนสูงกว่าให้ก้มลงมาแล้วกระซิบถามเขา ผมแปลกใจมากที่ทุกคนดูกำลังสนุกสนานราวกับไม่ได้ผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายและไหนจะงานเขาที่เสียหายนั่นอีก

“ไม่ได้ปาร์ตี้ ปกติสำหรับดินเนอร์ของพวกเรา” เขาพูดแค่นั้นก็หันไปเซย์ไฮกับพวกเพื่อนๆของเขาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเซนก็คอยมองผมไม่ห่าง คอยเทคแคร์หานู่นนี่มาให้ผมกินทั้งๆที่ผมไม่ได้หิวสักหน่อย และผมก็เผลอส่งมันเข้าปากไม่หยุดเลยให้ตายสิ..ไก่ย่างพวกเขาอร่อยกว่าพาสเตอร์จืดชืดที่ผมกินประจำที่โรงอาหารในสถานพยาบาลจนผมจะร้องไห้ ไหนจะบาบีคิวในมือที่รอให้ผมลิ้มลองนี่อีก

--

“เบื่อไหม” เซนถามก่อนจะยื่นแก้วเบียร์ในมือมาให้แล้วตามลงมานั่งข้างๆ

“ไม่หรอก อาหารอร่อยดี” ถึงผมจะภาษาไม่ได้แข็งแรงพอที่จะร่วมบทสนทนากับคนอื่นจนออกรสได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาคุยกันมันก็เพลินดี

“ถ้าคุณอย่างดื่มเต็มที่ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงผมคอยดูแลคุณอยู่” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่จิบทีละนิด นี่ผมคงแสดงออกมากเกินไปสินะว่าผมอยากดื่มเหมือนกัน

“ไม่หรอก ผมคงไม่ดื่มจนเมา”

“ผมอยากเห็นคุณเมานะ”

“หึ..นายไม่อยากเห็นหรอก ทุกวันพวกนายก็ดินเนอร์กันแบบนี้หรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ผมชักอิจฉาพวกเขาแฮะ เป็นไปได้ผมอยากให้ฝั่งนู้นรีแล็กซ์แบบนี้บ้าง ที่นั่นหน้าได้ยากนะที่แต่ละคนจะมาสนิทกันแบบนี้ คงเป็นเพราะเปลี่ยนเวรบ่อยด้วยละมั้ง แต่ละคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนมาอาสาแค่เดือนเดียวด้วยซ้ำ แค่ยี่สิบวันก็มี

“ก็คล้ายๆนะ แต่ไม่ขนาดนี้หรอก นี่มันสุดสัปดาห์พอดีพรุ่งนี้วันพักของพวกเราเลยมีแอลกอฮอล์” ไม่พูดเปล่า แก้วเบียร์ในมือถูกเขาขึ้นจิบประกอบด้วย

“แล้วอาหารเยอะขนาดนี้กินกันหมดหรอ” คงน่าเสียดายแย่ถ้าของอร่อยๆพวกนี้ถูกทิ้งขว้าง

“พวกเรามันชนชั้นแรงงานนะครับ เท่านี้ไม่น่าพอกันด้วยซ้ำ” เขาพูดติดตลกแต่นั่นทำให้ผมทึ่งไปเลย ถ้าทุกคนกินเท่าๆผม..ผมว่าปริมาณเท่านั้นกินได้ทั้งหมู่บ้านเลยนะ

“...”

“ต้องการอะไรเพิ่มบอกผมได้เลยนะ”

“ขอเบียร์ให้ผมอีกแก้วก็พอ” ผมว่าก็จิบเพลินๆนะ แต่ทำไมเผลอแปบเดียวหมดแก้วซะแล้วสิ

“จัดให้ครับผม ระวังจะเมานะครับ”


ผมไม่เมาหรอก..เชื่อสิ

..
...


ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-12-
You are mine and I am yours
   


“พอแล้วไหมครับ แก้มแดงหมดแล้ว”

“ทำไมล่ะ นายจะกลับแล้วหรอ” ผมหันไปถามเขาแทน แก้วในมือก็ไม่ได้ยื่นไปให้คนข้างๆที่ยื่นมือมาขอคืนหรอก..ผมยกขึ้นจิบแทน เซนเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยื่นบาบีคิวในมือตัวเองมาให้ผมกัดไปอีกคำ

 “ไม่ใช่..ผมแค่เห็นคุณหมอดื่มเยอะแล้ว จะนอนไม่สบายตัวเอา แล้วพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะรู้สึกไม่ดีด้วย” ตอนแรกผมนึกว่าเซนจะแกล้งมอมให้ผมเมาเสียอีก แต่เขาคอยดูแลดีขนาดนี้คงไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละมั้ง..ผมคิดว่าผมไว้ใจเขาได้

“อยู่ต่ออีกหน่อยสิ ผมยังไม่เมาหรอก”

“ตามใจคุณแล้วกัน ถ้าทุกคนเริ่มกลับ เราจะกลับกัน โอเคนะครับ”

“ครับ” ผมยิ้มกว้างให้เขา รับคำอย่างว่าง่าย หรือว่าผมจะเริ่มเมาแล้วนะ


เรานั่งข้างกันเงียบๆไปเรื่อยๆ มีบ้างที่คนข้างกายหันมามองผมเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมยังคงยกแก้วในมือขึ้นดื่มต่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติดี..ไม่ได้เมา ผมไม่ได้คอแข็งหรืออะไรหรอก แต่พอดีว่าไม่ได้ดื่มแต่เบียร์เปล่าๆกินนู่นกินนี่ไม่ได้หยุดมันก็เลยดื่มได้เรื่อยๆ

อยู่ดีๆผมก็คิดอะไรสนุกๆขึ้นมาได้..ผมจะลองใจเขา

“เซนน..” ผมเรียกเขาเสียงยานคาง เจ้าของชื่อหันมาแทบจะทันที

“ครับ” เขาขานรับ

“ผม..ผมอยากเข้าห้องน้ำ”

“งั้นเรากลับกันเลยแล้วกัน” เขาดึงแก้วในมือผมออกไปวางไว้ แล้วดึงให้ผมลุกขึ้นไปยืนข้างกัน

“แต่ผมยังไม่อยากกลับเลย”

“ที่นี่ไม่มีตรงไหนให้คุณหมอปลดทุกข์ได้เลยนะ” เขาว่าอย่างกังวล

“ผมยังไม่อยากกลับนี่หน่า”

“ไม่ดื้อสิครับ เปื้อนมาตรงนี้ยุ่งเลยนะ” ไม่ปล่อยให้ผมได้ทันต่อลองอะไรอีกเซนก็ลากแขนให้ผมเดินตามเขาแล้ว ทำเอาผมไม่ทันตั้งตัวเกือบสะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองกับพื้นดีว่าเขารั้งผมไว้ได้ทัน

เขาจัดแจงให้ผมกอดคอเขาเอาไว้แล้วส่งผมขึ้นหลังเขาอย่างง่ายดายทั้งๆที่ผมว่าตัวผมก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้นนะ..ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยเขาแบกตัวเองเดินไปตามทางที่เราเดินมาเรื่อยๆ ดีเหมือนกัน ผมเองก็ขี้เกียจเดินเองให้เมื่อย

“อืมม..” ผมส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ กระชับแขนรอบลำคอของเขาให้แน่นขึ้น ฝังหน้าเข้ากับไหล่ลาดของเขา ขอพักสายตาหน่อยแล้วกัน

“หึ..คุณมันตัวยุ่ง” คิ้วผมขมวดเข้าหากัน นี่เขาคงคิดว่าผมเมาหลับไปแล้วสินะถึงได้กล้าพูดออกมาอย่างนี้

ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาที่ห้องของเขา ผมอุตส่าห์รอฟังว่าเขาจะบ่นอะไรผมอีกไหมแต่เขาก็ไม่ เซนแบกผมเดินมาเงียบจนผมเกือบเผลอหลับน้ำลายไหลเปื้อนเสื้อเขาไปแล้ว

เซนจัดการวางผมลงบนที่นอนอย่างเบามือก่อนจะตามมาถอดรองเท้าออกให้ ผมก็ได้แต่นอนมองเขา..เขาก็รู้นะว่าผมตื่นแล้วแต่ก็ยังทำให้อยู่ดี

“ปวดฉี่ไม่ใช่หรอครับ ปล่อยราดที่นอนไม่ได้นะ” เขาตามมานั่งข้างๆแล้วดึงแขนให้ผมลุกขึ้นนั่งเหมือนกัน

“ไม่ปวดแล้ว” ผมบอก

“อ่าว..ไปฝืนเอาหน่อยไหมเดี๋ยวนอนแล้วต้องตื่นขึ้นมาเข้ากลางดึกอีกนะ”

“ก็ได้..” ผมลุกขึ้นยืนเซจนเกือบล้มเพราะรีบลุกไปหน่อย เท่านั้นเซนก็ไม่ไว้ใจผมเขาตามเข้ามาถึงในห้องน้ำเลยทีเดียว

“อย่าแอบดูผมสิ” ผมโวยวาย

“ไม่แอบดูหรอก ผมแค่กลัวว่าคุณจะเป็นอะไร” เขาหันหน้าไปทางอื่นให้ผมเชื่อว่าจะไม่แอบดูผมจริงๆผมถึงได้ปลดกางเกงแล้วปลดทุกข์อย่างรวดเร็ว

--

“มีคนแถวนี้บอกผมว่าจะไม่เมา” เสียงเซนแซวขึ้นหลังจากผมกลับมานอนที่เตียงเรียบร้อยแล้วเขาตามมาทิ้งตัวนอนลงข้างๆกัน

“ไม่เมา..” ผมยิ้มหวานใส่เขา

“ถ้าไม่เมาคุณไม่ยิ้มให้ผมน่ารักขนาดนี้หรอก”

“ผมไม่เมา” เถียงออกมาเสียงเบา

“ครับไม่เมาก็ไม่เมา..เลิกเกาได้แล้ว เดี๋ยวแดงเป็นรอยหมด” เซนจับมือผมออกแต่พอเขาปล่อยผมก็เกาต่ออยู่ดี

“..มันร้อน..”

“อยู่เฉยๆ เดี๋ยวผมไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้” เขาถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจก่อนจะลุกออกไปเตรียมของอย่างที่เขาว่า

เสื้อยืดผมถูกเขาถอดออกอย่างเชี่ยวชาญ สัมผัสเย็นๆจากผ้าขนหนูที่ลากผ่านทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

“อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น ผมยังไม่อยากปล้นจูบคุณตอนนี้หรอกนะ”เขาพูดขึ้น รอยยิ้มเล็กๆยังคงมีให้เห็นที่มุมปากของเขา ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองมองเขาด้วยสายตาแบบไหนเขาถึงได้พูดออกมาแบบนั้น

“ผมไม่ห้ามหรอก..” ผมต่อปากต่อคำ อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ไหนเวียนอยู่ในตัว ผมถึงได้กล้าพูดออกไปอย่างนั้น

“หึ..เมาแล้วเป็นอย่างนี้หรอ” ผ้าในมือถูกเขาโยนทิ้งไป นิ้วเรียวของเขาไล้ตามโครงหน้าผมช้าๆ สายตาเราสองคนผสานกัน ก่อนที่ริมฝีปากสีสดของเขาจะปิดทับลงมา

ผมเผยอปากตอบรับจูบจากเขา ลิ้นร้อนล่วงล้ำเข้ามาในโพรงปากเลาะเล็มไปตามแนวฟันอย่างเอาแต่ใจ เขาดูดดึงปลายลิ้นผมไม่เบานักก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากล่างของผมแทน

“อ่ะ..เซน” ผมดันอกเขาออกเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะโดนเจ้าของชื่อปัดมือผมทิ้งแล้วประกบปากลงมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ปราณีผมแล้ว..เขาตะโบมบดจูบลงมาราวกับสัญชาติญาณดิบเขาถูกปลุกขึ้นมา ผมไม่เคยจูบกับใครแล้วเหมือนโดนสูบวิญญาณขนาดนี้..รวมทั้งครั้งก่อนหน้ากับคนด้านบนมันก็ไม่ขนาดนี้

“คุณควรจะเบรกผม” เซนพูดขึ้นหลังจากสงครามแลกเปลี่ยนเอนไซม์ระหว่างเรายุติลงแล้ว แขนข้างหนึ่งเขาใช้รับน้ำหนักตัวที่คร่อมทับผมเอาไว้ส่วนมืออีกข้างยื่นมาเช็ดคราบสีใสให้ผมเหมือนทุกที ตอนนี้ผมตอบอะไรเขาไม่ได้หรอก..ลมหายใจผมยังไม่ปกติเลย

“..ดูสิปากแดงหมดแล้ว”

“...” ทั้งหมดนั่นมันก็เพราะเขานั่นล่ะ

“ถ้าคุณยังน่ารักแบบนี้ผมกลัวว่าผมจะเผลอเอาเปรียบคุณ”

“ผม..ยังไม่อยากหยุด..ผมตามใจนายนะ”

“ไม่หรอก..ถ้าคุณไม่เมา ปกติคุณจะไม่พูดอย่างนี้”

“...” เขาดูสับสน ลังเล ผมเองก็ได้แต่เงียบเพื่อรอดูว่าเซนจะว่ายังไงต่อไป

“ผมทำไม่ได้ ผมเห็นแก่ตัวอย่างนั้นไม่ได้...นอนซะนะครับ” เขาเลิกผมที่ปรกหน้าผากผมออกก่อนจะเช็ดเหงื่อที่ซึมออกให้แล้วแตะริมฝีผากลงมาเบาๆ

นั่นทำให้ผมรู้สึกดี..รู้สึกดีที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ รู้สึกดีที่ตัดสินใจให้โอกาสเขา..เลือกเขา เซนเป็นคนดีผมรู้ แต่นี่มัน..เขาน่ารักกว่าที่ผมคิด เขาทำให้ผมรู้ว่าผมไว้ใจเขาได้..พึ่งพาเขาได้ เขาให้ผมมาตั้งมากมาย..บางทีผมคิดว่าผมจะให้สิ่งที่เขาต้องการบ้าง

“ขอบคุณนะ” ผมบอกเขา

“หืม..ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”

“ทุกเรื่อง..”

“ขอร้องเถอะครับ อย่าน่ารักไปมากกว่านี้เลย” เขาโอดครวญจนผมหลุดหัวเราะออกมา

“รักผมไหม” ผมถามเขา

“มาก..” คนตรงหน้าตอบอย่างไม่ลังเล

“ผมก็รักนายเหมือนกัน ในเมื่อเรารักกัน ถ้านายต้องการ..” ผมเว้นวรรคไป จากสีหน้าเขาที่เบิกตาค้างอย่างนั้นเซนเองก็คงเข้าใจได้เองแล้วล่ะว่าผมหมายถึงอะไร

“คุณ..คุณหมอเมามากแล้วแน่ๆ..” เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ผมดูเหมือนคนเมาหรอ”

“แต่ก่อนหน้านั้น..” เขาแย้ง

“ก็นายเข้าใจไปเองว่าผมเมา ผมก็แค่ตามน้ำไปเพราะอยากทดสอบอะไรบางอย่าง จะพูดอีกอย่างคือผมอยากลองใจนาย”

“คุณมัน..เจ้าเล่ห์..ร้ายกาจที่สุด”

“มันทำให้ผมรู้จักนายมากขึ้นนะ” ผมพูดยิ้มๆ

“คุณรู้จักผมดีอยู่แล้ว คุณแค่อยากแกล้งผม” เขาว่าอย่างรู้ทัน นั่นก็ใช่แต่ไม่ทั้งหมดหรอก เพราะผมอยากสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองต่างหาก ครั้งแรกของผมเชียวนะ..จะไม่ให้กังวลอะไรได้ยังไง

“นายมันซื่อบื้อ” เท่านั้นผมก็โดนเขาลงโทษด้วยการฟัดไปทั้งตัวจนผมหลุดหัวเราะลั่นเพราะความบ้าจี้ จนผมหายใจจะไม่ทันนั่นละเขาถึงได้หยุดแกล้งผมสักที


“คุณพูดจริงไหม เรื่องนั้น?..” เซนถามอย่างไม่มั่นใจ

“ผมเชื่อว่าผมไว้ใจนายได้..มันโอเคถ้าครั้งแรกจะเป็นนาย” ผมบอกไปอย่างที่คิด แม้มันจะยังเร็วกับผมสำหรับเรื่องนี้ และแม้ว่าผมจะกลัวแต่ผมไม่อยากให้เวลามาทำให้ผมเสียใจทีหลัง ผมเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวก็ต้องกลับไปแล้ว จนถึงตอนนั้นผมอยากมีความสุขกับเขา..รักเขาให้เต็มที่อย่างที่เขารักผม ผมเชื่อว่าพอเวลานั้นมาถึงระยะทางมันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา

“คุณคิดดีแล้ว?..”

“ครับ..ผมคิดดีแล้ว”

“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”


แล้วเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ


Zayn’s Part

พอเขาอนุญาตออกมาอย่างนั้นมันก็ยากสำหรับผมที่จะหักห้ามใจต่อไป

เขาน่ารักมาก..ไม่รู้ว่าผมพูดคำนี้ไปกี่ครั้งแล้ว ถึงคุณหมอจะตัดสินใจอย่างนั้นแต่เขาก็ยังประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาเกร็งจนผมต้องก้มลงไปป้อนจูบอีกครั้ง

“รีแล็กซ์..ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเจ็บ” ผมบอกเขา

“ไม่ต้องมาหลอกผมเลย ผมเป็นหมอนะ..ผมรู้ว่ามันเจ็บอยู่แล้ว” ผมหลุดยิ้มออกมา..ผมละมันเขี้ยวเขาจริงๆ

“งั้นผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บมากก็แล้วกัน” ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ผมประกบปากป้อนจูบเขาอีกครั้ง คนตัวขาวก็เปิดทางให้ผมลุกล้ำอย่างง่ายดาย ความหอมหวานจากเขา..ที่ผมเคยได้ลิ้มลองก็ติดใจ และดูเหมือนว่าผมจะหาทางออกไม่ได้เลย

“อืออ..เซนน” เสียงหวานๆของขาเล็ดลอดออกมาก่อนจะดูดผมดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเขา..เท่าไรมันก็ไม่เคยพอ

ผมละริมฝีปากออกปล่อยให้คนตัวขาวใต้ร่างได้หอบหายใจ พรมจูบไปที่หน้าผากเกลี้ยง ก่อนจะไล่ลงมาแตะริมฝีปากลงเบาๆบนเปลือกตาที่ปิดรับสัมผัสจากผมอย่างน่ารัก ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดตรงข้างแก้มเขาก่อนจะละความสนใจมาที่ซอกคอของเจาแทน

“ผมทำรอยได้ไหม” ผมขออนุญาตเขา ความจริงผมจะเอาแต่ใจตัวเองก็ย่อมได้ แต่ผมอยากให้เจ้าตัวเป็นคนเอ่ยปากเองมากกว่า

คุณหมอไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่จับหน้าผมให้ลดลงต่ำกว่าเดิม ซึ่งผมจะถือว่านั่นคือคำอนุญาตจากเขาก็แล้วกัน

ผมแตะจูบเบาๆไปที่แผ่นอกที่เปลือยเปล่าของเขา ยอดอกของเขาสีตัดชัดเจนกับผิวของเขา..และผมคงปล่อยผ่านไปไม่ได้

“พะ..พอแล้ว” ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอตระกะตระกามดูดกลืนเขามากขนาดนั้นถ้าอีกคนไม่ห้ามออกมา คุณหมอยื่นมือมาถอดเสื้อให้ผมบ้างซึ่งผมเองก็ยกแขนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผมถูกดันให้นอนลงแทนที่เขาแล้วขึ้นคร่อมผมแทน เขาทำมันทุกอย่างแบบเดียวกับที่ผมทำให้เขา แม้มันจะไม่ได้เชี่ยวชาญจนผมแทบขาดใจ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีจนตื่นตัวคับแน่นไปหมดแล้ว และคนต้นเรื่องต้องรู้สึกถึงมันแล้วแน่ๆ ถึงได้จงใจบดสะโพกลงมาแบบนั้น

ผมรั้งใบหน้าที่กำลังสนุกกับเรือนร่างของผมให้มาตอบรับจูบอีกครั้ง อาศัยจังหวะที่คนด้านบนเผลอรั้งกางเกงที่เกะกะของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยชั้นในที่ผมเป็นคนเตรียมไว้ให้เขาเอง

คนตัวขาวทำท่าจะผละออกไปแต่ผมรีบใช้แขนอีกข้างขังเขาเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะจับเจ้าหนูของเขาเอาไว้เป็นตัวประกัน

“อะ..ฮึกก” แค่ผมขยับข้อมือเบาๆอีกคนก็ครางฮือทรุดตัวลงบนแผ่นอกผมแล้ว เขาน่ารักมากจนผมกดจูบลงที่ขมับเขาอย่างเอาใจ

ทำยังไงดี..ถ้าผมเผลอทำรุนแรงกับเขาไป


Patt’s Part

ไม่รู้ว่าอีกคนมือไวหรือผมสติไม่อยู่กับตัว รู้สึกตัวอีกทีผมก็เปลือยเปล่าแล้ว ส่วนร้อนผมโดนผมจับกุมไว้ก่อนจะรูดรั้งอย่างเอาแต่ใจ อารมณ์ผมพุ่งสูงอย่างง่ายดาย ไม่ช้าส่วนร้อนมันก็ตื่นตัวอย่างน่าอายอยู่ในมือเขาแล้ว

“อ่า..อืมม” ผมโดนรั้งให้ขยับขึ้นไปตอบรับจูบจากเขาอีกครั้ง บั้นท้ายถูกมือใหญ่ๆของเขากอบกุมแล้วบีบคลึงอย่างไม่อาจห้ามปราม นิ้วเรียวที่กรีดลากยาวไปตามร่องหลังสร้างความกระสันและเรียกความสันใจผมได้เป็นอย่างดี..แต่ทำได้ไม่นาน ความสนใจผมก็โดนดึงกลับมาอยู่ที่ปลายลิ้นที่กำลังทำสงครามกับอีกคนอย่างดุดันแล้ว

ร่างทั้งร่างผมโดนเขาพลิกให้กลับมาอยู่ใต้ร่างเขาเหมือนเดิมอย่างง่ายดาย เซนผละออกไปหาอะไรบางอย่างที่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงอย่างรีบร้อนก่อนจะกลับมาประกบปากป้อนจูบผมอีกครั้ง

“อย่าเกร็งนะ..” เขาบอกผม..แค่บอก เขาไม่ได้ให้เวลาผมเลย รู้สึกตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่คุ้นเคยทางช่องทางด้านหลัง มันคือเจลหล่อลื่นไม่ผิดแน่..ที่ผมสงสัยคือเขามีมันได้ยังไงกัน ยังไม่ทันได้มีโอกาสซักถามอะไรก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วแข็งกดแทรกเข้ามาแล้ว

“อึกกก..อ่าา” ผมกัดฟันแน่นซุกหน้าลงกับต้นคอของคนด้านบนก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวออกมาตอนที่รู้สึกว่านิ้วอีกคนแทรกเข้ามาจนสุด

ความจุกเจ็บเสียดวิ่งพล่านเข้ามาจนเหงื่อผมซึมไปหมด ผมว่าผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เวลาโดนสวนทวารแล้วสิ..แล้วถ้าเป็นริดสีดวงมันจะเจ็บขนาดไหนวะ ขนาดนี่พึ่งแค่นิ้วเดียว..ผมไม่อยากจะคิดถึงขั้นตอนนั้นเลย

“โอเคไหมครับ” เซนถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมปรับตัวอยู่สักพัก อยากจะตอบอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ผมยังพูดไม่ออกเลย ได้แต่ซุกหน้าเขาหาอีกคนมากขึ้นแล้วพนักหน้ารับเบาๆ

เซนกดจูบตรงขมับผมก่อนที่นิ้วที่สองจะแทรกเข้ามา จากสองกลายเป็นสามภายในเวลาไม่นาน มันแน่นจนตาผมพร่าไปหมดแล้ว

“อ่า..เซน..ผะ..ผม” ผมเรียกเขาเสียงพร่าเมื่ออีกคนขยับนิ้วเข้าออกให้ผมปรับตัว ผมรู้ว่ามันจำเป็นต้องเตรียมช่องทางซะก่อนเพราะมันสร้างเพื่อเอ็กซ์เซิร์ทไม่ใช่อินเซิร์ท ไม่งั้นผมคงไม่อาจรับตัวตนของเขาเข้ามาได้ แต่นี่มันมากเกินไป..ผมเสียดไปหมดแล้ว

“ครับ..” เขาขานรับก่อนจะแตะจูบลงมาบนริมฝีปากเขาเบาๆ

“พอแล้ว..” ผมบอกเขา

“แต่คุณจะเจ็บ” เขาว่าอย่างกังวล แต่ผมจับข้อมือเขาให้ขยับออกไปเขาถึงยอม ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเจ็บหรอกเพราะนี่ผมก็เจ็บจนเริ่มชาไปหมดแล้วถึงจะรู้สึกเสียดเสียวอยู่บ้างก็เถอะ

“เอาของนายเลย”

“คุณมันดื้อ!” จมูกผมโดนเขากัดเบาๆ เซนปลดกางเกงตัวเองอย่างรีบร้อน ตาผมเหลือบลงมองต่ำเองอย่างไม่รู้ตัว ยังไม่ทันจะได้เห็นอะไรผมก็โดนคนด้านบนจับคางให้เงยหน้ามองเขา

“eyes on me” เขาว่าอย่างเอาแต่ใจ

“ที่นายยังเห็นของผมเลย” จับแล้วด้วย ผมเถียง

“เดี๋ยวคุณกลัว แล้วจะเกร็ง..” ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้พูดไปมากกว่านี้เขาก็ปิดปากผมด้วยจูบของเขาอีกแล้ว เขาใช้มันหลอกล่อให้ผมหลงใหลมัวเมาไปกับเขาแทนที่จะเป็นข้างล่าง เขาจัดการตัวเองอยู่สักพักก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงปลายของส่วนร้อนค่อยๆกดเข้ามา

“อึก..อืออ!!” เสียงผมเล็ดลอดออกมาได้เพียงเท่านี้ จิกเล็บลงกับบ่าเขาแน่น สาบานว่าตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจ็บเท่านี้มาก่อน

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาใหญ่โตมากแค่ไหน ขึ้นชื่อว่าชาวยุโรปผมก็ประหมาดไม่ได้แล้ว..และนั่นมันทำผมเจ็บชิบหายเลย

“อืออ..อ”

“ขอโทษนะครับ มันเข้าไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะไม่เจ็บแล้วนะครับ” หูผมอื้อจนแทบจะจับไม่ได้เลยว่าเขาพูดว่าอะไร เขาเช็ดน้ำสีใสที่หางตาผมให้อย่างอ่อนโยน..นี่ผมเจ็บจนร้องไห้เลยหรอวะ

เขาคลอเคลียผมไม่ห่าง ยื่นมือไปกอบกุมส่วนนั้นของผมที่อ่อนตัวเพราะความเจ็บแล้วขยับสร้างอารมณ์ร่วมให้ผมอีกครั้ง

“ดีขึ้นไหม”

“อืม” พอเขายอมอยู่นิ่งให้ผมได้ปรับตัวกับส่วนนั้นของเขาอยู่สักพักความเจ็บเสียดก็เริ่มลดลง เหลือเพียงความหน่วงและความรู้สึกแปลกๆที่ผมว่าผมทนได้แล้ว

“งั้นผมขยับนะ”

“อืม” รู้ว่าเขากลัวผมเจ็บมาก แต่เล่นถามกันทุกขั้นตอนแบบนี้มันก็น่าอายเหมือนกันนะ

พอเขาเริ่มกดสะโพกเข้ามาช้าๆก่อนจะถอดถอนออกไปแล้วกดเข้ามาอีกครั้งอย่างค่อยเป็นค่อยไปความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามา

ความกระสันวิ่งพล่านไปตามแนวสันหลังจนหน้าผมเชิดขึ้น เขาเบาแรงกับผมได้ไม่นานพอสัญชาตญาณดิบเขาเริ่มทำงานเกมรักระหว่างเราก็รุนแรงขึ้นจนผมหายใจแทบไม่ทัน

“อืมม..เซน.. อ๊ะ..เซน” ผมครางเรียกชื่อเขากระท่อนกระแท่นไปตามจังหวะที่อีกคนกดแทรกกระแทกเข้ามา

“อืม..ดีไหมครับ” เขาถามก่อนจะกดจูบลงมาอีกครั้งแต่จังหวะข้างล่างก็ไม่ได้ลดลงเลย

“ดี..อึก แต่ อ๊า..เบาหน่อย..อือ..ผม..ผมจุก” ผมร้องบอก เขาไม่เห็นใจว่ามันเป็นครั้งแรกของผมเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่าของตัวเองไม่ได้เล็กน้อยเลยสักนิด

“อย่างนั้นคุณหมอควบคุมเองเลยแล้วกัน” รู้ตัวอีกทีผมก็โดนเขาพลิกให้ขึ้นมานั่งทับช่วงกลางลำตัวเขาแทนแล้ว..แน่นอนว่าส่วนนั้นของเขายังคงตื่นตัวคับแน่นอยู่ในตัวผมไม่หลุดออกมา

“ไม่เอา” มันโคตรน่าอายเลยให้ตายสิ

“ขยับเร็ว..” ไม่ว่าเปล่าเขายังจับสะโพกผมให้กดลงไปรับเขาที่กระแทกสวนขึ้นมา นั่นมันจุกกว่าเดิมอีกนะ..ก็มันแทรกเข้ามาได้ลึกกว่าที่เคย

“ขยับสิครับ..ไม่งั้นเราจะค้างกันอย่างนี้ยันเช้าเลยนะ” ผมยอมต้องทำตามที่เขาต้องการอย่างจำยอม ขยับสะโพกสอดประสานกับเซนโดยมีเขาคอยจับเอวควบคุมอีกที ส่วนหน้าผมโดนเขารูดรั้งไปในจังหวะเดียวกัน..ผมรู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว

“อ๊ะ..อ่า..อ่ะ..อืม” ผมปลดปล่อยเสียงครางไปตามอารมณ์ สะโพกขยับเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว..ผมรู้แค่ว่าผมจะถึงแล้ว และมันก็เสียวมากด้วย..มากจนผมแยกไม่ออกว่าความเสียดเสียวที่มากขนาดนั้นมาจากข้างหลังหรือด้านหน้ากันแน่

“อืมม..อย่างนั้น”

“อือออ” ผมร้องออกมาก่อนเจ้าหนูของผมจะโดนเขาเร่งมือรูดรั้งจนผมปลดปล่อยออกมาเลอะเทอะทั้งผมและเขาไปหมด..สมองผมขาวโพลน ได้แต่นั่งหอบหายใจอย่างอ่อนแรงทั้งที่ของเซนยังค้างคา

“อีกนิดแปบหนึ่งนะ” สมองผมยังไม่ไม่ทันรับรู้ได้ว่าเขาพูดว่าอะไรเขาก็พลิกผมลงไปอยู่ด้านล่างแล้วกระแทกกระทั้นเข้ามารัวเร็ว

“อ๊ะ..อ่า..เซนนน” ผมร้องเสียงหลัง นี่มันมากเกินไปแล้ว

“อืมมมมมมมม!!” เขาคำรามในลำคอก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามา มันเยอะมากจนไหลย้อนออกมาตอนที่อีกคนขยับตัวทั้งที่ยังไม่ได้ถอนออกมา

เดี๋ยวนะ..ความอุ่นร้อนข้างในอย่างนั้นหรอ

“เซน..ถุงยาง” ผมว่าผมเห็นเขาหยิบออกมานะ

“ผมไม่ใช้ผมกับคุณหรอก”

“นายต้องใช้สิ!” ผมฟาดเขาไม่แรงนัก

“โอเคๆ ครั้งต่อๆไปผมจะใช้มันกับคุณ” เขายอมก่อนจะค่อยๆถอดถอนออกมา ผมโล่งวาบจนต้องรีบหุบขาเข้าหากัน

เซนทิ้งตัวลงนอนข้างๆก่อนจะรั้งให้ผมขยับเข้าไปนอนใกล้กันแล้วกดจูบลงมาอีกครั้ง

“คุณหมอมีความสุขไหม”

“อืม..มันรู้สึกดี” ผมตอบอย่างที่คิด ถึงมันจะเจ็บมากก็เถอะ

“ผมก็เหมือนกัน..ถ้าอย่างนั้นผมขออีกได้ไหม”

“ขอผมพักอีกแปบแล้วกัน” ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าเซนคงไม่จบแค่ครั้งเดียวแน่ๆแล้วก็เป็นอย่างนั้น เขายิ้มกว้างก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมแรงๆ

“ผมหลงคุณแทบบ้าแล้ว”

"ดี..หลงผมให้มากๆ" คำพูดผมทำเอาอีกคนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

"แน่นอน.."

Finally, you are mine and I am yours.

..
...


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
กรี๊ดดดด เขาได้กันล้าว
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-13-
Take Care
   


ผมได้แต่นอนมองเพดานนิ่งๆ ใช้ความคิดเงียบๆอยู่กับตัวเองคนเดียว คนที่รังแกผมทั้งคืนยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอก..แน่สิ ก็เล่นใช้พลังงานไปซะขนาดนั้น ที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกไม่สบายตัวต่างหาก

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

ตอนเช้าผมยังตกใจแทบตายตอนที่รู้ไว้ไซต์ถล่ม ผมกลัวว่าเซนจะเป็นอะไรไป ผมไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต..ใจผมสั่นไปหมดแล้ว ผมกลัวว่าผมจะเสียเขาไป

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าต้องยอมรับความรู้สึกตัวเองได้แล้ว เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นผมไม่ควรที่จะฝืนดื้อต่อไป เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย

เราจูบกัน

มันเป็นจูบแรกระหว่างเรา ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น..แต่มันทำให้ผมได้รู้ว่าผมเองก็รู้สึกดีกับเขามากแค่ไหน

เราคบกัน

แน่นอนว่าเซนเป็นคนพูดออกมาและผมตอบรับมันอย่างง่ายดาย เพราะที่ผ่านมาเป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างมันยาก โดยที่ก็ไม่รู้ว่ามันเพื่ออะไรในเมื่อความรู้สึกของเรามันชัดเจนมาตั้งนานแล้ว ผมเลยไม่อยากให้มันคลุมเครืออย่างนั้นอีกต่อไป

สุดท้ายเราก็ได้กัน


อ่า..กระดากปากชะมัด

และทั้งหมดที่ผมพึ่งจะพูดไปนั้น..ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในวันเดียว..

ครับ..วันเดียว เช้า สาย บ่าย เย็น

ผมไม่คิดว่าพอเปิดรับความรู้สึกตัวเองแล้วความรู้สึกของผมมันจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้..ไม่อยากจะเชื่อเลย

บ้าชะมัด..ผมพึ่งจะบอกเขาเองแท้ๆว่าอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่นี่ผมกลับเป็นคนเริ่มมันเสียเอง ให้ตาย..ผมเสียซิงให้แฟนหลังจากที่เขาขอคบยังไม่ทันจะพ้นวันเนี่ยนะ..ไม่สมกับเป็นผมเลยสักนิด

ต้องโทษเบียร์แล้วล่ะ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะแอลกอฮอล์แน่ๆที่ทำให้ผมบ้าบิ่นทำลงไปได้ขนาดนั้น

--

“ตื่นเร็วจังครับ..” เสียงตัวต้นเรื่องงึมงำด้วยความงัวเงียเรียกสติผมที่กำลังนอนคิดอะไรเพลินๆกลับมาก่อนที่แขนยาวๆของเขาจะพาดทับหน้าท้องผมจนสะดุ้ง

“โอ้ย..” เมื้อกี้กระตุกแรงไปหน่อย มันก็เลยสะเทือนไปถึงตรงนั้น

“ขอโทษครับ!” เซนที่กำลังง่วงงุนเมื่อสักครู่กระเด้งลุกขึ้นนั่งหน้าตาตื่น เขารีบลุกขึ้นมาสำรวจร่างกายผมอย่างร้อนรนจนผมต้องรีบเบรกเขาไว้..ทำอย่างกับผมท้องแก่ใกล้คลอดไปได้ โอเวอร์ซะจริง

“พอแล้ว..ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“แต่คุณร้อง..” เมื่อคืนผมก็ร้องทำไมไม่เห็นสนใจเลย..แล้วจะมาคิดให้น่าอายอีกทำไมวะเนี่ย

“ไม่เป็นอะไร” ผมย้ำอีกครั้งเขาถึงจะยอมพยักหน้ารับแล้วขยับไป

“ถ้าอย่างนั้นตื่นแล้วเราไปอาบน้ำกันไหม” เซนเปลี่ยนเรื่อง

“เอาสิ” ผมเองก็เหนียวตัวมากอยู่เหมือนกัน เพราะหลังจากเสร็จกิจก็สลบเป็นตายยังไม่ทันจะได้ทำอะไร..เราจัดหนักกันเกินไปผลกรรมเลยตกมาอยู่ที่ผมในเช้าวันนี้

“ก่อนลุกผมขอมอร์นิ่งคิสก่อน” บีเกิ้ลของผมยิ้มกว้าง อย่าเรียกว่าขอเลย..ถ้าจะพูดเสร็จแล้วประกบปากบดมาไม่ให้โอกาสให้ผมได้ทันตอบอะไรแบบนั้น

เขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ..ไม่มีแล้วครับจูบแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนอย่างครั้งแรก พอสถานะเราเลื่อนอย่างรวดเร็วเขาก็ถือโอกาสเลื่อนไปเฟรนช์คิสทำเอาผมตั้งรับแทบไม่ทัน..ประสบการณ์ที่พอจะมีพอมาเจอสนามจริงแบบนี้ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ได้แต่โอนอ่อนตอบรับปล่อยให้อีกคนเป็นฝ่ายชักนำ

“อ่ะ..พอแล้ว เมื่อคืนก็ทั้งคืนแล้วยังไม่พออีกรึไง” ผมรีบดันอกเขาไว้ เมื่ออีกคนยอมละปากออกไปเพียงแค่ครู่เดียวก็ทำท่าจะประกบลงมาต่ออีกรอบ

“..ไม่พอ..” เขาว่าเสียงกระเส่า

“แต่ผมพอ..ไปอาบน้ำ”

“ก็ได้..” ถ้าผมไม่เสียงแข็งเชื่อเหอะว่าเทปม้วนก่อนนอนได้รีรันอีกครั้งแน่นอน…ให้ตายมันพึ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ

ผมตวัดผ้าห่มที่เป็นเพียงอย่างเดียวที่ปิดบังร่างกายอยู่ออกก่อนจะก้าวขาลงจากเตียง..หลังจากผ่านสงครามเมื่อคืนมาได้ผมก็หมดความอายเรื่องแก้ผ้าต่อหน้าเขาแล้ว

ตั้งสมาธิอยู่สักพักก่อนจะทำใจลุกขึ้นยืนโดยเอามือค้ำผนังเอาไว้ จริงอยู่ที่มันเจ็บและเสียดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะทรุด..แต่ถ้าจะให้เดินไวๆอย่างนั้นก็คงยังทำไม่ไหวอยู่ดี เซนทำท่าจะเข้ามาพยุงแต่เห็นผมโอเคก็เลยได้แค่เดินคุมเชิงตามหลังมา

ผมคิดว่าอาการผมจะแย่กว่านี้..ก็เล่นใส่ยับขนาดนั้น นอกจากไอ้ของเหลวที่อีกคนทิ้งเอาไว้มันเริ่มจะทำให้ผมมวลท้องที่เหลือก็อยู่ในระดับที่ทนได้

“เดี๋ยวค่อยตามเข้ามาขอผมจัดการตัวเองก่อน” ผมหันไปบอกคนด้านหลัง..และนั่นทำให้ผมเห็นอะไรๆของเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก..

ถึงกับสบถออกมาว่าเหี้ยในใจ นึกอัศจรรย์ในร่างกายตัวเองขึ้นมาที่เมื่อคืนรับมันเข้ามาได้..นี่ขนาดมันยังหลับอยู่นะ ไม่ฉีกก็บุญแล้วไอ้ภัทร

“ให้ผมช่วยดีกว่า..ผมเป็นคนทำ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเดินเข้ามาประชิดผมอีกด้วย

“บะ..บ้าดิ ผมทำเองได้” จะให้อีกคนมาล้วงเอาลูกๆของเขาออกให้เนี่ยนะ แค่คิดหน้าผมก็เริ่มจะร้อนๆขึ้นมาแล้ว

“ถ้าลื่นล้มไปจะทำยังไง..” อีกคนยังรบเร้า

“ผมทำเอง..แค่เรื่องนี้ผมขอ ไว้เสร็จแล้วผมจะเรียก”

“หึ..เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วก็..คุยกับผมมองหน้าผมสิครับ..มองไปตรงไหนกัน” ไอ้!..ถ้าไม่ติดว่ามันยังขัดๆผมยกเท้ายันอีกคนไปแล้ว แต่เพราะว่าทำไม่ได้ไงเลยปิดประตูแสกหน้าแทน..อ่า..น่าอายชิบหายเลย ตั้งแต่ผมอยู่กับเซนมาผมเสียความเป็นตัวเองไปอีกแล้ว ที่เขาบอกจะละลายพฤติกรรมนี่น่ากลัวจริงๆ

ตอนนี้ผมต้องเดินไปนั่งบนชักโคกแล้วรีบจัดการตัวเองซะก่อนที่อีกคนจะพังประตูเข้ามา ทำใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วค่อยๆกดนิ้วตัวเองแทรกเข้าไปตรงส่วนที่บอกช้ำพอสมควร

“อืม..”

ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ มันเจ็บนะ..แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกแปลกๆนั่นหรอก ผมพยายามหลับหูหลับตาแล้วคว้านๆมันออกมาซะ ผมไม่อยากค้างไว้อย่างนี้นานๆ..ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรกับตัวเองแบบนี้

“เสร็จแล้ว” ผมตะโกนบอกอีกคนหลังจากเอานิ้วออกมาเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นไปล้างมือให้สะอาด ไม่ต้องให้เอ่ยเรียกซ้ำสองเจ้าของตาสีน้ำตาลอ่อนก็เดินอมยิ้มเข้ามาก่อนจะหันไปจัดการล็อคประตูให้เรียบร้อยทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะว่านี่มันก็ที่พักส่วนตัวของเขา ด้านนอกก็ล็อค..แถมยังมีเราอยู่แค่สองคน

“มีอะไรดีๆรึไง ยิ้มไม่หุบเลย” ผมหันไปถามอีกคน

“ครับดี..ดีมาก..ดีจนเหมือนฝันเลย” เซนตอบรับหน้าระรื่น

“หึ” ก็ได้แค่หลุดขำเบาๆในลำคอ

“ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าจะมีคุณอยู่ตรงนี้” คนสูงกว่าเดินเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง..เกยคางไว้บนไหล่ของผมก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมา

เซนรั้งใบหน้าผมขึ้นให้มองไปทางเขาก่อนจะแตะจูบลงมาบนริมฝีปากของผมแผ่วเบาแล้วดันหลังให้ผมเดินไปใต้ฝักบัวด้วยกัน

ฝรั่งนี่เขาถนัดเรื่องทำให้เขินทุกคนเลยรึเปล่าวะ..

--

พอน้ำเย็นๆสัมผัสตัวก็ทำเอาผมสะดุ้ง แต่ไม่เท่าสัมผัสจากอีกคนที่ลูบไล้ผมอยู่ เซนไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นหรอกผมรู้เขาแค่ช่วยอาบน้ำให้ผมก็เท่านั้นแต่มันก็แปลกสำหรับผมอยู่ดี

สบู่ถูกเข้าไล้ไปทั่วตัว ไม่มีตรงไหนที่มือของเขาไม่ลากผ่าน ผมกำลังจะทำแบบเดียวกันให้เขาบ้างแต่เซนไวกว่า..คนตัวสูงจับผมพลิกหันหน้าเข้าหากำแพง เท่ากับว่าผมกำลังหลังให้เขา..เริ่มไม่ปลอดภัยแล้วสิ

“ทะ..ทำอะไร..” ผมถามเสียงสั่นเมื่ออีกคนออกแรงกดช่วงไหล่ผมไว้แล้วดันจนแผ่นอกผมชิดผนัง รู้สึกได้ถึงเขาที่ขยับเข้ามาใกล้และปลายนิ้วเรียวที่เริ่มเข้ามายุ่มย่ามกับบั้นท้ายผม..มันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ผมสู้แรงเขาไม่ได้เลย

“เฉยๆ..เดี๋ยวคุณเจ็บ” เซนพูดเพียงเท่านั้น

“อย่า..ถ้านายทำ..ผมโกรธ..”

“ผมยอมให้คุณโกรธ..” เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัว..ไม่สมกับเป็นเซนที่ผมรู้จักเอาเสียเลย

“อ๊ะ..” ผมเผลอหลุดปล่อยเสียงออกมาตอนที่นิ้วเรียวของเขาแทรกเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง..เป็นเพราะสบู่ทุกอย่างเลยไม่ยากเย็น

ผมได้แต่ฝังหน้าตัวเองเข้ากับแขนที่เท้ากำแพงเอาไว้..ถ้าพูดอย่างนี้แล้วอีกคนยังดึงดันที่จะทำ..มันก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดกันอีกแล้ว

--

“เสร็จแล้วครับ รีบล้างตัวเร็วมันหนาวเดี๋ยวคุณหมอไม่สบาย” ห๊ะ?..ผมคิดไปเองหรอกหรอ เซนไม่ได้จะทำอย่างที่ผมคิดเขาเพียงแค่สอดนิ้วเข้ามาเพื่อทำความสะอาดให้อย่างที่เขาอาสาในตอนแรก

“ทำบ้าอะไรวะ..ผมทำเองไปแล้วไงนายจะทำอีกทำไม” ผมโวยวาย

“ก็ผมกลัวคุณทำไม่ดี แล้วคุณจะไม่สบายตัว” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันใช่เรื่องที่มาบังคับโดยไม่ถามความสมัครใจผมหรอ..อยู่ดีๆก็ยัดพรวดเข้ามาแบบนั้น

“ก็บอกกันก่อนสิ”

“คุณยอมรึไง” เขาย้อน

“...” ผมเงียบใส่ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

“หึ..ไปแต่งตัวได้แล้ว”

--

“โกรธจริงหรอครับ” หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยหมาตัวโตอย่างเขาก็ตามเข้ามาโถมใส่ผมที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงจนหงายท้องลงไปนอนอยู่ด้วยกัน ตอนแรกไม่ได้โกรธนะ..แต่จะโกรธก็ตรงที่ทำผมสะเทือนด้านหลังเนี่ยละ คิดว่าตัวเองตัวเล็กมากไหม

“ไม่ได้โกรธ”

“ถ้างั้นผมขอจูบ”

“ไม่เอา..”

“นั่นไงโกรธผมชัดๆเลย” ไม่ได้โกรธโว้ย..คนบ้าอะไรจะมาจูบกันแทบตลอดเวลา เก็บไว้ทำวันหลังบ้างเถอะ

“ผมหิวข้าวเซน จะไปทำงานด้วยลุกออกไปสักที” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะเบื่อที่จะเถียงกับอีกคนแล้ว

“เดี๋ยวผมหาอะไรมาให้กิน แต่ผมไม่ให้คุณไปทำงานแน่นอน”

“ยุ่งอะไรด้วยเล่า” แอบบ่นออกมาเบาๆแต่อีกคนก็หูดีได้ยินซะงั้น

“ต้องยุ่งสิ เรื่องของคุณหมอก็คือเรื่องของผมแล้วนะครับ..ก็คุณเป็นของผม งานพักสักวันเถอะครับเมื่อคืนก็ไม่ได้พักเลย อีกอย่างคุณหมอไม่ควรเดินเยอะขนาดนั้นหลังจากที่พึ่งผ่านครั้งแรกมา”

“งานผมไม่ได้หนักสักหน่อยจะหยุดทำไม”

“งานไม่หนักแสดงว่าคนอื่นก็ทำแทนคุณได้ พักเถอะครับ เดี๋ยวผมไปลาให้เอง” ไม่พูดเฉยเขายังจัดแจงผลักผมให้ลงนอนแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อยถึงคอ พอผมจะลุกก็ตวัดสายตามาอย่างไม่พอใจ

“เฮ้อออ..แล้วแต่นายเลย” ผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมาแรงๆ ตามสบายเลย..ผมปลงซะแล้วล่ะ บทจะไม่ยอมผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเหมือนกัน..เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมจะยอมเองเห็นแก่ที่เขาเป็นห่วงผมก็แล้วกัน

“เดี๋ยวผมกลับมาพร้อมข้าวเช้า คุณพักผ่อนตามสบายเลย” ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้เถียงไปมากกว่านี้เจ้าตัวก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับล็อคห้องเรียบร้อย

ผมว่าผมต้องจับเซนมาทำความเข้าใจใหม่เสียหน่อยแล้วว่าที่เราทำไปเมื่อคือเราแค่มีเซ็กซ์กัน ตราบใดที่เขาไม่ได้ซาดิสม์ทำผมเลือดตกยางออกขาแขนหักเขาไม่จำเป็นต้องโอเวอร์เหมือนผมรวดร้าวขนาดนั้นก็ได้ ผมก็ผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งไม่ได้จะมาบอบบางขนาดนั้น..

ผมก็ได้แต่นอนเงียบๆอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เซนข้ามไปที่สถานพยาบาล กว่าจะหาข้าว กว่าจะกลับมาก็มีครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ จริงอยู่ที่ร่างกายรู้สึกเพลียแต่พอได้อาบน้ำตามันก็ใช่ว่าจะข่มให้หลับได้โดยง่าย

ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดถึงแม่ขึ้นมานะ..

จริงสิ ตอนนี่ที่นี่ยังเช้าอยู่แสดงว่าที่ไทยก็พึ่งจะบ่ายๆแม่ผมอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำงานอะไรก็คงจะว่างอยู่แล้ว ขอบคุณที่เซนไม่หยิบมือถือติดตัวออกไปผมเลยได้โอกาสหยิบมันขึ้นมา ลังเลอยู่สักพักว่าจะกดโทรข้ามประเทศหรือคอลไลน์ไปดี..ผมเองก็เกรงใจเจ้าของเครื่อง เอาเป็นว่าจะคอลไลน์ไปแล้วกันถ้าแม่เจอมิสคอลคงคอลกลับมาเอง


“ครับภัทร..ว่าไงลูก”

“..แม่” แค่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมาร่วมสองเดือนน้ำตาก็รื้นขึ้นมาได้ไม่ยาก ผมไม่น่าโทรไปเลย..แค่ได้ยินผมก็อยากกอดแม่แน่นๆแล้ว เรามีกันแค่สองคนมาตลอด..ผมถึงคิดถึงแม่มากขนาดนี้

“ว่าไงเรา ร้องไห้หรอหืม?”

“ภัทรไม่ได้ร้องสักหน่อย” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นแล้วนะ แต่มันคงจะหลุดไปให้คนปลายสายได้ยินอยู่ดี

“..ปากแข็งเหมือนเดิมนะเรา”

“ว่าแต่ภัทร..แม่ก็ร้อง”

“ก็แม่คิดถึงภัทรนี่ แม่ไม่ปากแข็งเหมือนภัทรหรอก” แม่ว่าก่อนหลุดหัวเราะออกมาผมเลยได้หลุดหัวเราะตามไปด้วย

“ภัทรรักแม่นะครับ” ผมบอกคำที่ผมอยากพูดมากที่สุดในตอนนี้ออกไป

“ครับ..แม่ก็รักภัทร รีบกลับมาเร็วเดี๋ยวแม่จ่ายตลาดทำของชอบเราไว้รอเลย”

“ถ้าทำได้ภัทรกลับแล้ว..อีกแค่เดือนเดียวเอง รอภัทรหน่อยนะ”

“ภัทรไม่ต้องกังวลหรอกครับ ตั้งใจทำงานนะ แม่รอเก่งอยู่แล้ว..รอมาแล้วตั้งสองเดือนอีกแค่เดือนเดียวเอง แค่ภัทรติดต่อมาภัทรสบายดีแม่ก็สบายใจแล้ว”

“ภัทรขอโทษที่พึ่งติดต่อมา ภัทรโง่เองล่ะพึ่งรู้ว่ามันมีสัญญาณ”

“ไม่ต้องลำบากนะภัทร”

“ไม่ลำบากหรอกครับ ถ้าว่างๆภัทรจะติดต่อไปนะครับ”

“ภัทรเปิดกล้องหน่อยสิลูก” ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกดเปิดกล้องอย่างที่อีกคนต้องการ ถึงผมจะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วแต่ตาแดงๆนี่ปิดบังแม่ที่รู้จักผมมาทั้งชีวิตไม่ได้อยู่แล้ว

“โตแล้ว เลิกขี้แงได้แล้ว” แม่ล้อเลียนมาทั้งที่ตัวเองก็พึ่งจะปาดน้ำตาไป ให้ตาย..ยิ่งแม่พูดไอ้น้ำตาผมที่พึ่งจะหยุดไปมันทำท่าจะเปิดก๊อกอีกรอบแล้วสิ

“แม่ด้วย..” ผมย้อน

“ภัทรไปนู่นได้แฟนแล้วหรอครับ..”

“อะไรนะครับ?..” ตาผมเบิกกว้าง แม่รู้ได้ยังไงวะ ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้และแม่ไม่ทางรู้ได้แน่ๆ หรือเพราะความเป็นแม่แค่เห็นหน้าผมก็รู้ได้เองแล้วอย่างนั้นหรอ

“..ที่คอเราไง แฟนเราท่าจะใช่ย่อย อย่างงี้ล่ะเนอะสาวๆฝรั่งไม่เหมือนบ้านเรา” แม่พูดติดตลกแต่ทำเอาผมตลกไม่ออก ไอ้บ้าเซน..ทำไมทิ้งหลักฐานไว้สูงขนาดนี้วะ

“แม่ภัทรไม่ได้..”

“เอาเถอะ ภัทรโตแล้วแม่ไม่ว่าภัทรหรอก เห็นภัทรคบใครซะบ้างแม่ก็ดีใจ วันๆทำแต่งานให้เวลากับตัวเองแบบนี้บ้างก็ดีแล้ว” ถ้าแม่รู้ว่าแฟนผมไม่ใช่สาวๆฝรั่งอย่างที่แม่เข้าใจแต่เป็นหนุ่มฝรั่งตัวเท่าบ้านอย่างเซนแม่จะยังพูดอย่างนี้อยู่ไหมนะ

“เฮ้ออ..ครับ ภัทรมีแฟนแล้ว และภัทรก็มีอะไรจะบอกแม่ด้วย” เราไม่เคยมีความลับต่อกัน แม่รู้เรื่องของผมเป็นคนแรกเสมอ ในเมื่อแม่รู้ขนาดนี้ผมเลยถือโอกาสจะบอกทุกอย่างให้หมดจบๆทีเดียวไปเลย..เพราะไม่ช้าหรือเร็วยังไงผมก็ต้องบอกเขาอยู่ดี

“อะไรลูก..”

“แม่ทำใจดีๆนะ มันเรื่องค่อนข้างซีเรียส”

“...” ยิ่งผมพูดแบบนั้นแม่ยิ่งอยากรู้ไปกันใหญ่

“ภัทรเป็นเกย์ครับ” ผมกลั้นใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป มันโล่งอกที่ได้พูดออกไป แต่ท่าทีที่แม่นิ่งไปก็ทำเอาผมไม่สบายใจเลย

“ภัทร..ภัทรว่าไงนะครับ..บางทีแม่อาจจะได้ยินภัทรผิดไป”

“ไม่ผิดหรอกครับ ภัทรบอกว่าภัทรเป็นเกย์..แฟนภัทรเป็นผู้ชายครับแม่” ผมเน้นย้ำอีกครั้ง และนั่นทำให้แม่นิ่งไปยิ่งกว่าเดิม

“ภัทรขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง” ผมว่าอย่างรู้สึกผิด มันคงเป็นเรื่องยากที่คนเป็นพ่อแม่จะรับได้เรื่องที่ลูกชายโดยเฉพาะลูกชายเพียงคนเดียวจะมาเป็นอะไรแบบนี้

“ไม่ภัทร..แม่ไม่ได้ผิดหวัง แม่แค่แปลกใจ..ก็แฟนเราตอนสมัยเรียนก็ผู้หญิงนี่หน่า ไหนจะพลอยอีก”

“ภัทรขอโทษ..” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น

“มันไม่ใช่ความผิดของภัทรนะครับ แม่เคยบอกภัทรแล้วไงว่าแม่เลี้ยงภัทรได้แต่ตัว ชีวิตเป็นของภัทร..แม่เชื่อว่าภัทรเลือกสิ่งดีๆให้ตัวเองได้ ต่อให้เขาเป็นผู้ชายแต่ถ้าลูกแม่เลือกเขาแล้วแสดงว่าเขาเป็นคนดีดูแลภัทรได้ แม่เคารพการตัดสินใจของภัทรนะ” นั่นสินะ..ผมกังวลเหมือนไม่รู้จักแม่ตัวเองไปได้ ตัวเลือกของแม่มักจะเป็นความสุขและความสบายใจของผมเสมอ

“แต่ภัทรมีหลานให้แม่ไม่ได้” นั่นคือสิ่งที่ผมกังวล แม่รักเด็กมากแค่ไหนผมรู้ดี

“หลานหรือจะสู้ลูก แค่ภัทรกลับมาอยู่กับแม่บ้างแม่ก็พอแล้ว ถ้าเหงามากแม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเอาก็ได้”

“รักแม่นะครับ”

“กลับมาอย่างลืมกอดแม่ให้แน่นๆล่ะ แม่ดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะ” แม่พูดติดตลกจนผมหลุดหัวเราะออกมา บรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่าๆ..ครับจะรัดให้แม่ขาดใจเลย” เราล่ำลากันอยู่สักพักก่อนที่แม่จะว่างสายไป ผมนั่งมองหน้าจอที่ดับไปได้สักพักแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมา ภายในเวลาไม่กี่นาทีก่อนหน้านี่ทำเอาผมหลากหลายอารมณ์มาก สุดท้ายก็โล่งใจล่ะนะ..คนที่ผมแคร์ที่สุดในโลกเข้าใจผมขนาดนี้สายตาคนอื่นก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว

ผมหันไปวางมือถือเอาไว้แบบเดิมก่อนจะสังเกตเห็นอีกคนที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไร

“นายมานานรึยัง..ทำไมไม่เข้ามา” ให้ตาย..เขาต้องเห็นมุมน่าอายของผมอย่างตอนงอแงอ้อนแม่หมดแล้วใช่ไหม..

..
...

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เข้ามาติดตามค่ะ

ออฟไลน์ _MidnightSBD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
-14-
Do I deserve your tears?
   


“นายมานานหรือยัง..ทำไมไม่เข้ามา”

“สักพักแล้วครับ”

“เห็นหมดแล้วสินะ” เซนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยกยิ้มเล็กๆก่อนจะเดินเข้ามา จัดการวางของที่เขาถือติดมาด้วยซึ่งน่าจะเป็นอาหารเช้าที่เขาว่าไว้บนโต๊ะก่อนจะตามมานั่งข้างๆผม

“หิวรึยังครับ” เขาถามขึ้นมา ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะล้อผมเรื่องที่งอแงหรือไม่ก็ถามเรื่องโทรศัพท์ว่าผมคุยกับใคร..เพราะถ้าเป็นผมเองผมก็คงถามแต่เขาไม่ เขาไม่แม้แต่จะติดใจอะไรด้วยซ้ำ

“อืม” ผมตอบรับก่อนจะลุกขึ้นเดินนำอีกคนไปที่โต๊ะ

“ของที่สถานสถานพยาบาลหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าตาอาหารที่คุณเคย มันคือสปาเก็ตตี้จืดชืดที่ผมกินประจำ..มันไม่ได้อร่อยแต่ก็ไม่ได้แย่ รสชาติไม่ลำบากต่อการประทังชีวิตเท่าไรและผมก็คิดว่ามันดีที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับเมนูอื่นๆนอกจากสลัดอะนะ

“ครับ ผมถามไมเคิลว่าคุณชอบกินอะไรเขาบอกว่าปกติคุณกินแต่เมนูนี้ผมก็เลยไปเอามาให้” คนตัวสูงตอบพาซื่อก่อนจะตามมานั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน ผมล่ะอยากจะบอกเขาว่าไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก..อาหารที่ไซต์มันรสชาติดีกว่าเยอะ แต่ก็นะ..เขาตั้งใจเอามาแล้วนี่ ถ้าพูดออกไปก็จะเป็นการเสียน้ำใจ

“กินด้วยกันสิ” ผมเอ่ยชวน

“ครับ” อีกคนตอบรับก่อนที่เราจะเริ่มลงมือกัน

--

หลังจากกินข้าวเสร็จ..หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ความง่วงและความอ่อนเพลียเมื่อยล้าก็จู่โจมเข้ามาอย่างหนักจนผมไม่สามารถฝืนสังขารตัวเองได้อีกต่อไป

ผมตื่นมาอีกทีก็ราวๆสี่โมงเย็น..ผมหลับไปนานมาก ลึกมากด้วย มองหาคนที่น่าจะอยู่ในห้องแคบๆนี่ก็ไม่เห็น ในห้องน้ำก็ไม่น่าใช่เพราะผมไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาเลย

ไปไหนของเขานะ..ก่อนผมหลับไปก็ยังมานอนอยู่ด้วยกันเลย

ผมลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตูยกมือจับลูกบิดยังไม่ทันจะได้เปิดออกไป ประตูก็โดนดันเข้ามาจากอีกทางจนเกือบกระแทกหน้าเข้า ดีว่าไวพอที่จะหลบได้ทันเลยรอดไปอย่างหวุดหวิด เซนรีบขอโทษผมหน้าตาตื่นก่อนมาสำรวจผมจนพอใจแล้วถึงเดินเข้ามา

“คุณหมอจะไปไหน” เข้าถาม

“นายนั่นล่ะไปไหนมา” ผมย้อน

“เอาแปนงานไปให้มอรีสมา ผมแก้มันนิดหน่อย แล้วคุณล่ะ..ยังไม่ตอบผมเลยว่าจะไปไหน”

“ไปตามหานายนั่นล่ะ” ตามหาเซนก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆคือผมเบื่อที่จะนอนโง่ๆอยู่ในห้องนี้แล้ว อยากออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง หรือไปก็เดินไปอีกฝาก ข้ามไปฝั่งที่พักชั่วคราวยังมีอะไรทำมากกว่าเสียอีก

“พอมืดแล้วอย่าไปไหนคนเดียวนะครับ แถวนี้อันตราย มีพวกคนใหม่ๆเข้ามาทำงานเยอะแยะผมไม่รู้ว่าไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน”

“..ผมก็ผู้ชาย..ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก”

“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าผู้ชายผู้หญิง คนเราหลากหลายความคิดนะครับ เอาเป็นว่าเชื่อผมเถอะ ขนาดผมเองเวลาไซต์เริ่มเงียบๆผมยังพยายามหาคนไปด้วยเลย”

“ครับ..ผมจะระวัง” ผมรับปากเขาไป ถึงอย่างนั่นก็เถอะ..เวลาผมมาแถวนี้เซนเคยปล่อยให้ผมคลาดสายตาที่ไหนกัน..เขาเล่นตามผมเป็นเงาขนาดนั้นยังจะกังวลอะไรของเขาอีก

“ครับ” เขายิ้มรับ

“แต่ตอนนี้ช่วยหาอะไรก็ได้ให้ทำทีเถอะ ผมเบื่อจะแย่แล้ว” ผมบ่นออกมา ปกติไม่เคยได้ว่างขนาดนี้มันเลยติดนิสัยอยู่เฉยไม่ได้..แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์มากพอแล้ว

“คุณชอบทำอาหารรึเปล่าล่ะ”

“หืม?” มีอาหารที่ไหนให้ทำด้วยหรอ

“ถ้าคุณชอบ เราไปที่เดิมกัน ไปเร็วหน่อยเขาคงกำลังเตรียมกันอยู่ ถ้าคุณอยากช่วยพวกเขาผมจะพาไป”

“ไปสิ”

--

เซนพาผมเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางเดียวกับเมื่อเย็นวาน มันซับซ้อนพอสมควรถ้าให้ผมเดินเองอีกครั้งก็อาจจะมีหลง ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงลานนั้นอีกครั้ง บรรยากาศตอนนี้แตกต่างกับเมื่อครั้งก่อนมาก ตอนนั้นครึกครื้น..ผู้คนมากกว่าครึ่งร้อย แต่ตอนนี้เท่าที่เห็นนับได้แค่หกคนเอง

“มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างไหมครับ” เซนเอ่ยถามพลางจับมือให้ผมเดินตามเขามา บนใบหน้าดูดีของเขาประดับด้วยรอยยิ้มกว้างแสดงออกอย่างเป็นมิตรที่เขาชอบทำ มันก็ไม่แปลกที่คนอย่างเขาจะรู้จักกับทุกคนไปทั่วอย่างนั้น..ก็เขาดูเป็นที่รักจะตายไป

ผู้หญิงคนที่เซนเอ่ยทักละมืออกจากหมอตรงหน้าที่ผมไม่แน่ใจว่าซุปอะไร เธอยิ้มแย้มก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยภาษาเดียวกันแต่มันรัวเร็วเกินความสามารถผมที่จะเข้าใจได้..ผมเลยต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสูงกว่าให้ช่วยอธิบาย

เซนคุยต่ออีกนิดหน่อย จากท่าทางและบางคำที่ผมพอจะจับได้บ้างว่าคงเป็นเรื่องอาหาร เธอตักซุปในหมอให้เซนชิมผมเลยได้ส่วนแบ่งมาด้วย มันอร่อยมากครับ รสชาติกลมกล่อมกำลังดีจนผมต้องยกนิ้วให้ เอ่ยชมไปเท่าที่สมองผมจะประมวลภาษาฝรั่งเศสออกมาได้จนเธอหัวเราะออกมา

“เราไปเอาไก่เสียบไม้กันเถอะ” เซนหันมาบอกผมก่อนที่เราจะขอตัวเดินออกมา

ไก่เขาหมักเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้วครับ หน้าที่ของเราก็แค่เสียบไม้เพื่อรอย่าง ไม่ใช่งานยากอะไร ที่หนักหนาคงเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลย แล้วไหนจะผักที่รอการหั่นเพื่อทำสลัดที่ผมพึ่งได้รับมอบหมายมาเพิ่มอีกอย่างเมื่อครู่นี้อีก

“วันนี้ก็ไก่ย่างอีกแล้วหรอ” ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อวานเราก็พึ่งจะกินไป

“มีแทบทุกวันครับ..กลายเป็นเมนูหลักไปแล้ว” เซนตอบ

“อร่อยดีนะ ผมว่าให้ผมกินทุกวันก็ได้” อีกคนหลุดยิ้มออกมา นี่ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ ขนาดที่โรงอาหารที่สถานพยาบาลผมยังกินเหมือนเดิมทุกวันได้เลยทั้งที่มันก็ไม่ได้อร่อยเท่าไก่ย่างที่นี่ด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวผมเสียบไก่เองคุณหั่นผักไปเดี๋ยวมือคุณคาว” เซนแจกแจง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผักที่ต้องหั่นมันมากกว่าไก่ที่ต้องเสียบนะโว้ย แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกแค่โวยวายอยู่ในใจแล้วหยิบมีดที่คนข้างๆหามาให้แล้วจัดการผักในกะละมังนั่นซะ

--

“คุณคงคิดถึงเขามากสินะครับ”

“หืม?...คิดถึงใคร” ผมถามออกมาอย่างงุนงง อะไรของเขา อยู่ดีๆก็เปิดขึ้นมาแบบนั้นในขณะที่เรากำลังทำงานกันอยู่

“คนที่คุณคุยด้วยไง คุณร้องไห้เพื่อเขา” เขาขยายความ

“อ่อ นั่นแม่ผม..แน่นอนว่าผมคิดถึงเขามากอยู่แล้ว” ถ้านี่หมายถึงการหลอกถามว่าผมคุยกับใครแบบอ้อมโลก..เขาทำมันสำเร็จอย่างร้ายกาจ

“ทุกทีคุณก็เซนซิทีฟอย่างนี้เป็นปกติ?” เขายังคงถามต่อ

“ไม่หรอก..ผมแค่ไม่เคยห่างบ้านมานานขนาดนี้”

“คุณคงอยากกลับแล้วสินะครับ” พอมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงของอีกคนที่วูบไหวไป เซนยังคงก้มหน้าทำหน้าที่เสียบไก่ของเขาผมเลยไม่สามารถรู้ได้จากการสังเกตสีหน้าของเขาเลย

“สักวันผมก็คงต้องกลับ..” ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้นแทน มันเป็นสิ่งที่เซนเองก็รู้ดีอยู่แล้ว..ทุกคนที่มาอาสาล้วนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่มีใครที่จะปักหลักอยู่ถาวรหรอก รวมทั้งผมแล้วก็ตัวเขาเอง

“ถึงเวลานั้น ที่เราต้องห่างกัน..คุณจะเสียน้ำตาเพราะผมไหม”

“ผมตอบไม่ได้หรอก” แน่นอนว่าผมคงคิดถึงเขา..ต้องคิดถึงมากแน่นอน แต่เรื่องแบบนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจจะน้ำตาแตกยังแต่ยังไม่จากเลยก็ได้

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากทำให้คุณร้องไห้..ผมไม่รู้ว่าผมจะคู่ควรกับน้ำตาของคุณไหม” น้ำเสียงของเขาแสดงความรู้สึกออกมาหมดทุกอย่าง แต่นั่นยังไม่เท่าสายตาที่เหมือนหมาตัวโตๆโดนเจ้าของทิ้งอย่างไรอย่างนั้น

“อย่าดูถูกตัวเองสิ เอาเป็นว่าตอนนี้ช่างเรื่องที่ยังมาไม่ถึงไปก่อนแล้วทำงานตรงนี้ให้เสร็จ..ผมไม่อยากให้เรามาทำพวกเขาทำงานช้าลงหรอกนะ”

บรรยากาศมันคงจะหนักกว่านี้ถ้าผมไม่กำลังหันผักที่กองเป็นกะละมัง และในมือของเขายังคงมีไก่อยู่..คนตัวสูงนี่ช่างเลือกเวลาได้ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย

--

หลังจากยัดทุกอย่างเข้าไปจนพุงกางจนแทบต้องคลานผมก็กลับมาที่เชลเตอร์เขาอีกครั้ง ไม่ต้องห่วง..วันนี้ผมไม่ได้แตะเบียร์เลยแม้แต่หยดเดียวถ้าไม่นับบัตเตอร์เบียร์นะ เพราะมันไม่มีให้กิน..แอลกอฮอล์พวกเขากินกันแค่วันก่อนสุดสัปดาห์เท่านั้นล่ะครับเพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเมาแน่นอน นอกเสียจากว่าจะเมาดิบไปเอง

ตอนแรกกะว่าจะทิ้งตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น แต่ก็นะ กลิ่นควันกลิ่นอาหารมันติดตัวเกินกว่าที่ผมจะรับสภาพตัวเองไหวเลยต้องเนรเทศตัวเองเข้าห้องน้ำอย่างไว ยังไม่ทันได้ล็อคประตูคนที่ตามผมเป็นเงาก็แทรกตัวเข้ามาแล้วล็อคมันเสียเอง

“ผมอาบด้วย” เซนพูด เขาแค่บอกก็เท่านั้น เพราะพอพูดจบก็จัดการปลดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างไม่อาย ในเมื่ออีกคนไม่อายผมก็ไม่อายแล้วเหมือนกัน..ถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้วตามไปยืนใต้ฝักบัวเหมือนเขา

ขอบคุณที่คราวนี้ไม่มีเรื่องอะไรน่าอายถ้าไม่นับสายตาของอีกคนที่มองมาอย่างวิบวับ ไหนจะมุมปากที่ยกขึ้นอย่างนั้นอีก..ให้ตาย ผมว่าผมเริ่มชินแล้วนะแต่ทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ไม่รู้

เราต่างคนต่างอาบน้ำให้ตัวเองเงียบๆ ไม่สิเป็นเพราะผมรีบอาบเองไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ทำอะไรจนเขาหลุดขำออกมา

“รีบขนาดนั้นมันจะสะอาดไหมละครับ”

“เรื่องของผม” ผมบอกก่อนจะเดินออกมา ไม่รู้แล้ว..พอผมอาบเสร็จก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวเลย ทิ้งอีกคนให้ยืนหัวเราะเอาไว้แบบนั้นล่ะ

ผมเปิดตู้เสื้อผ้าเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ มันหนาว..ถ้าผมจะรอให้อีกคนออกมาหาชุดให้เหมือนทุกทีผมอาจจะปอดบวมไปซะก่อน คราวหลังผมต้องหอบเสื้อผ้าตัวเองมาทิ้งไว้บ้างเสียแล้วเล่นมาค้างบ่อยขนาดนี้

Zayn’s Part

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นคนตัวขาวนอนหลับตาพริ้มกอดหมอนอีกใบเอาไว้อย่างสบายใจ ผมแน่ใจว่าเขายังไม่หลับหรอก ปกติเขาไม่นอนเร็วขนาดนี้

“หลับแล้วหรอครับ” ผมตามไปทิ้งตัวทาบทับเขาเอาไว้ ใช้แขนรับน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้อีกคนหนักจนเกินไปก่อนจะแอบขโมยหอมแก้มเขาไปที

“อื้อ มันเปียกไปแต่งตัวก่อนดิ” อีกคนโวยวาย มือสองข้างพยายามดันผมออกแต่ผมแกล้งขืนตัวเอาไว้

“ไม่เปียกหรอก”

“ไม่เอาเซน”

“ไม่เอาอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ตอนแรกผมสาบานว่าไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะ..แค่อยากแกล้งเขาก็เท่านั้น แต่พออีกคนพูดขึ้นมาแบบนี้ผมก็แอบคิดขึ้นมาบ้างแล้ว

“สิ่งที่นายคิดอยู่นั่นละ..ไม่เอา” เขาว่าอย่างรู้ทัน

“โถ่..ทำไมรู้ทันผมหมดแล้วละครับ” ผมยังคงแหย่เขาต่อ

“นายคิดอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก”

“ไม่ทำจริงหรอครับ บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้” ผมบอกเลยว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นอะไรที่โรแมนติกมาก แสงจันทร์จากพระจันทร์ดวงโตๆแม้ไม่เปิดไฟผมก็มองผิวขาวๆของอีกคนได้อย่างชัดเจน ลมเย็นๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ มันไม่ถึงกับหนาวสั่นแต่ทำให้ห้องถ่ายเทและเย็นสบาย

“ไม่เอา..มันเจ็บ” คุณหมอบอกพร้อมกับทำแหยงๆ คงจะกำลังนึกไปถึงตอนนั้นอยู่สินะ ทำไมต้องทำหน้าน่ารักขนาดนี้..แล้วผมจะห้ามใจไหวได้อย่างไร เขาไม่รู้หรอว่าพอมีครั้งแรกแล้วมันยากนะครับที่จะไม่รักอีกคนแรงๆเป็นครั้งที่สองน่ะ

“แปบเดียวเองเดี๋ยวก็มีความสุขแล้ว” ผมยังคงตะล่อมต่อ

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมลองทำนายบ้างไหมล่ะ”

“หา?..” ผมจะไม่ตกใจขนาดนี้เลยถ้าเขาไม่มีท่าทีจริงจังอย่างที่พูดแบบนั้น

“ทำไมล่ะ ผมยังยอมให้นายเป็นคนแรก..ยอมผมบ้างไม่ได้หรอ”

“แต่ว่า..”

“ไม่รักผมหรอ” มันจบแล้วครับ เล่นตัดพ้อออกมาขนาดนี้ผมจะทำอะไรได้อีก ยังไงอีกคนก็ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ต่อให้ได้รับดูสักครั้งก็ใช่ว่าความต้องการเป็นผู้กระทำจะหมดไป..ผมเข้าใจเขาดี

“ตามสบายเลยครับ” ผมว่าอย่างจำยอม

เฮ้อออ..ใครใช้ให้ผมรักเขาขนาดนี้ล่ะ


อีกคนพลิกผมให้นอนคว่ำลงแล้วพลิกมานั่งทับช่วงกลางลำตัวของผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงมากระซิบชิดใบหูผม

“ไม่ต้องกังวลนะ..ของผมไม่เจ็บเท่าของนายหรอก” นั่นมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาเลย

ตอนนี้ถ้าหลับไปได้ผมอยากจะหลับไปซะแล้วให้เขาทำจบๆไป แต่ว่ามันทำไม่ได้ผมเลยได้แค่ซุกหน้าเข้ากับหมอนแน่น ผมกระตุกเบาๆตอนที่อีกคนแตะริมฝีปากลงมาบนต้นคอ ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดบริเวณซอกคอปกติแล้วมันทำให้ผมรู้สึกดีนะแต่มันใช้ไม่ได้กับตอนนี้

ฝ่ามือของเขาค่อยลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังกว้าง ก่อนจะลดลงต่ำไปจนหยุดอยู่ที่ก้นผม เขาแกล้งบีบลงมาเบาๆ..ตัวผมกระตุกเกร็ง..เหงื่อผมซึมหน้าผากไปหมดแล้ว

--

“หึหึหึ..ผมล้อเล่น ไม่เห็นต้องสั่นขนาดนั้นเลย” เขาฟาดมือลงบนบั้นท้ายผมแรงๆก่อนจะพลิกตัวลงไป ทั้งหมดนี่ล้อผมเล่นหรอกหรอ

ครั้งที่สองแล้วนะ คุณหมอ..คุณมันปีศาจ เรื่องแบบนี้ใครเขาล้อเล่นกัน

..
...

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อยากให้คุณหมอทำจริง 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด