8
ผมมองเบอร์ที่โทรเข้าสลับกับคุณปลาที่กำลังเดินมาหาผม ในมือของเขาถือถุงกล้วยปิ้งที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ผมไม่กดตัดสายแต่จงใจไม่รับ ไปที่การตั้งค่าและเลือกฟังก์ชั่นปิดเสียง
เมื่อคืนเขาก็กระหน่ำโทรมาแต่ผมชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้ด้านนอก ไม่แน่ใจว่าปิดเสียงไว้หรือเปล่าเพราะคุณปลาไม่ได้เอาโทรศัพท์เข้ามาให้ผมในห้อง
ผมคิดที่จะบล็อกเบอร์พี่พุธอยู่หลายครั้ง แต่ว่า พี่พุธกับพี่ใบบัวใช้โทรศัพท์ร่วมกัน บางทีพี่ใบบัวก็ใช้โทรศัพท์พี่พุธโทรหาผม ถ้าหากว่าผมบล็อกเบอร์เขาไป พี่ใบบัวก็คงใช้เบอร์ตัวเองโทรมาด่าผม เธอไม่ถามเหตุผลผมหรอกว่าทำไมถึงบล็อก พี่พุธมีร้อยแปดวิธีที่จะหว่านล้อมให้คนรอบข้างคล้อยตามไม่ต่างจากกินสิริกาลิ้นทองเข้าไป
“ไม่รับโทรศัพท์เหรอ” คุณปลาถาม
ผมไม่นึกว่าเขาจะได้ยินเสียงคนโทรเข้า ไม่นึกด้วยซ้ำว่าเขาจะมองผมอยู่ การที่เขาถามขณะที่กำลังจิ้มกล้วยปิ้งเข้าปากทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ตอบเขาไปตามตรง
“ไม่ครับ”
คุณปลาไม่ได้ถามต่อว่าใครเป็นคนโทรมา พวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อยเดินขึ้นคอนโด
ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่เกินห้านาทีก็ออกมานั่งรอคุณปลาที่ห้องนั่งเล่น เปิดดูรายการข่าวฆ่าเวลารอคุณปลาอาบน้ำ เขาใช้เวลาในห้องน้ำทำธุระไม่นาน น่าจะสักเจ็ดถึงสิบนาที แต่ว่าใช้เวลาในการแต่งตัวนานมาก
เขาหายตัวเข้าไปในห้องนอนราว ๆ สิบห้านาทีได้ และออกมาพร้อมกับกลิ่นตัวหอมฟุ้ง เสื้อเชิ้ตเรียบกริบ กางเกงสีดำเรียบและมันปลาบ เซ็ทผมด้านหน้าไปด้านหลังชนิดที่ช่างทำผมมืออาชีพมาเอง ผมอดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตะลึงไม่ได้ คุณปลาเป็นคนที่แต่งตัวด้วยชุดทำงานแล้วดูดีสุด ๆ
“พี่ไม่ใช่อาหารนะครับ” เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าผมทำจมูกฟุดฟิด กำลังดมดูว่ากลิ่นหอมเย็น ๆนั้นออกมาจากส่วนไหนของร่างกายเขา กลิ่นคล้าย ๆกลิ่นแป้งเด็ก ผสมกลิ่นชาขาว ผสมกลิ่นอะไรสักอย่างที่ดมแล้วเย็นจมูก
“กลิ่นอะไรเหรอครับ” ผมถาม “ผมชอบ กลิ่นหอมดี”
คุณปลาไม่ตอบ แต่เดินหายเข้าไปในห้องทำงาน และกลับมาพร้อมขวดน้ำหอมแพคเกจเรียบหรูที่อยู่ในถุง
“พี่ทำงานออกแบบแพคเกจจิ้งน่ะ เขาเอามาให้พี่ทดลองใช้ฟรี เอาไปสิ เขาให้มาตั้งหลายกล่อง พี่แจกคนใช้ไม่หมดสักที” เขาพูดยิ้ม ๆ
ผมรับถุงนั้นมาถือไว้ หยิบกล่องเล็ก ๆ สีดำออกมาพลิกดู แม้แต่ผมยังคิดว่ากล่องนี้ออกแบบมาได้เหมาะกับกลิ่นมาก ตัวฟ้อนต์ก็เหมาะ มีลวดลายเล็ก ๆ ดูไม่รกตา ส่วนยี่ห้อ...อืม ผมไม่รู้จัก ไม่ใช่ยี่ห้อตีตลาดแต่ดูจากราคาข้างกล่องแล้วก็ทำให้ผมช็อคได้เหมือนกัน
ไม่ใช่ยี่ห้อตลาดแต่ราคาขวดละสี่พันกว่า...
เขาทำงานให้กับบริษัทไหนกันแน่นะถึงได้น้ำหอมเกรดดีมาใช้ฟรี ๆแบบนี้ ผมเก็บงำความสงสัยไว้ บอกขอบคุณคุณปลาแล้วเอาน้ำหอมไปเก็บไว้ในกระเป๋าลาก
พอเดินออกมาคุณปลาก็กระดกแก้วกาแฟดื่มเป็นอึกสุดท้าย เขามองนาฬิกาข้อมือเรือนเงิน บอกว่าถ้าช้ากว่านี้อาจจะไม่ทันไปเข้าแถว
ด้วยฝีมือการขับรถของคุณปลาผมคิดว่าวันนี้อาจจะไปโรงเรียนสาย แต่เขาก็สร้างความประหลาดใจให้ผมได้อีกรอบ ฝีมือการขับรถของเขานี่ชั้นเซียนชัด ๆ มุดเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างชำนิชำนาญ รถติดไม่ได้แอ้มเขาหรอก เลี้ยวนั่นเลี้ยวนี่ฉวัดเฉวียนไปมา แต่ว่าระมัดระวังและขับได้นุ่มมากชนิดที่ว่าถ้าผมวางแก้วกาแฟไว้หน้าคอนโซลรถ ผมมั่นใจว่าน้ำในแก้วกาแฟนั้นจะไม่กระฉอกออกมา
ใช้เวลาไม่นานรถแมวเซาสีดำก็จอดหน้าโรงเรียนในเวลาเจ็ดโมงสี่สิบกว่า ๆ ผมคำนวณดูว่ามีเวลาอีกเยอะแค่ไหนในการทำกิจกรรมอื่น ๆก่อนเข้าชั้นเรียนอย่างเช่นเคลียร์การบ้านที่ค้าง ที่นี่ไม่มีการเคารพธงชาติ กว่าครูจะเข้าสอนก็ปาไปแปดโมงครึ่ง ผมคิดว่าการบ้านวิชาอังกฤษน่าจะเสร็จทันส่ง
ขณะที่ผมกำลังปลดเข็มขัดนิรภัยออก คุณปลาก็ยื่นบัตรแข็ง ๆมาให้ผม มองมันเพียงแวบเดียวผมก็รู้ว่าบัตรนั่นคืออะไร เขาบอกให้ผมถือคีย์การ์ดไว้ วันนี้เขาจะมารับผมหลังเลิกเรียนแต่ว่ามีงานประชุมห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม เขาไม่มีเวลาไปส่งผมถึงห้องจึงให้คีย์การ์ดสำรองไว้กับผม
“คุณปลาให้คีย์การ์ดผมถือไว้แบบนี้ ไม่กลัวว่าผมจะขโมยของไปขายเหรอครับ” ผมมองคีย์การ์ดสำรองในมือที่คุณปลาคุณปลายื่นให้เมื่อครู่ มันเป็นการ์ดแข็งใส่ซองอย่างดีดูเรียบง่ายตามสไตล์ของเขา
คุณปลาเอี้ยวตัวไปหลังเบาะ หยิบเอาหน้ากากอนามัยที่อยู่ในซองพลาสติกใสออกมาจากซอกใต้เบาะรถ
“แล้วเราอยากขโมยอะไรในห้องพี่ล่ะ” เขายื่นหน้ากากอนามัยให้ผม ดึงกระจกสำหรับติดบังแดดลงมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเน็คไทอีกรอบ ผมอยากจะบอกเขาว่ามันดูเรียบร้อยและดูดีสุด ๆแล้วแต่ก็ไม่อยากขัดคนวัยทำงาน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากขโมยอะไร” ผมแกล้งทำเป็นคิด “บางทีอาจจะมีสักอย่างสองอย่าง ค่อย ๆขโมยไม่ให้คุณปลารู้”
“ถ้าเราอยากจะขโมยอะไรก็บอกพี่ด้วยก็แล้วกันจะได้ไปซื้อมาแทนอันเดิม” เขาเอ่ยขึ้นคล้ายไม่ใส่ใจนักกับการที่ผมบอกเขาว่าจะขโมยของ
“บางทีผมอาจจะขโมยรองเท้าคุณปลาไปขายก็ได้นะ น่าจะได้เกือบแสน” รองเท้าคุณปลาในชั้นวางมีเป็นสิบ แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราคาเท่าไหร่แต่ก็พอดูออกว่าเป็นของแบรนด์นอก
“กล่องรองเท้าอยู่ในห้องเก็บของนะเผื่อเราหากล่องใส่ไม่เจอ” เขาพูดทีเล่นทีจริง แล้วพูดสำทับขึ้นมาอีกรอบว่า “ยังไงก็ตาม ถ้าไม่สบายก็ขอครูไปนอนห้องพยาบาลนะ หรือไม่ก็โทรหาพี่...”
“แค่กริ๊งเดียวพี่ก็จะมารับใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยต่อกับประโยคที่เขาพูดมาแล้วเป็นรอบที่สาม อยากจะถามคุณปลาเหมือนกันว่าเขาทำงานอะไรทำไมถึงได้ดูมีเวลาว่างมาส่งผมไปโรงเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง
ชีวิตการทำงานของเขา บริษัท หรือเรื่องส่วนตัวอื่น ๆคุณปลาไม่ได้พูดให้ผมฟังมากมายนัก และผมก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ถาม เพราะว่าผมไม่จำเป็นต้องรู้ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องบอก แม้แต่ชื่อของผมคุณปลายังไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา
ฟังแล้วมันก็ดูเศร้า แต่เราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่หยิบยื่นไมตรีให้กันเท่านั้น
คงเป็นผมฝ่ายเดียวมากกว่าที่แอบใจเต้นไปกับความใจดีของเขา...
“ถ้ามีอะไรต้องโทรหาพี่นะเข้าใจใช่ไหม” คุณปลาเอี้ยวตัวไปด้านหลังเบาะอีกรอบ หยิบกระเป๋าสะพายขนาดกลางของผมที่ค่อนข้างฮิตในหมู่วัยรุ่นมาให้
“เข้าใจหรือเปล่า หืม ?” ผู้ปกครองขี้เป็นห่วงถามย้ำอีกรอบเมื่อผมไม่ยอมตอบ
“เข้าใจครับ”
คุณปลาบอกให้ผมโทรหาเขาทันทีรู้สึกที่ไม่สบาย ต่อให้ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ หวัด ก็ต้องโทรหา ถ้ามีอันตรายต้องแจ้งครูไว้ก่อน ถ้ามีเหตุร้ายต้องโทรเรียกตำรวจหรือไม่ก็รถฉุกเฉิน และหากเลิกเรียนก็ต้องรีบโทรหาเขาและมารอที่ลานจอดรถให้ตรงเวลา
จริง ๆแล้วอยากจะตอบกลับไปว่าผมอายุสิบแปดปีแล้วเรื่องแค่นี้ไม่ต้องโทรหาคุณปลาให้เสียเวลาเพราะห้องพยาบาลก็มี แต่ก็กลัวคนวัยทำงานจะขี้น้อยใจก็เลยทำได้แค่พยักหน้าและตอบตกลงไปแบบนั้น
“ทำให้ได้ล่ะ” มีถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกแน่ะคนคนนี้
“ครับผม” ผมตอบใบหน้าจริงจังเพื่อย้ำให้คุณปลาเลิกเป็นห่วงมือ แล้วเปิดประตูรถออก ค้อมหัวลงเพื่อลอดออกจากตัวรถ
“อ้อเดี๋ยวสิ” คุณปลาโน้มตัวมาดึงมือผมไว้ “วันนี้อากาศหนาวพี่ว่าเราใส่เสื้อกันหนาวไปด้วยดีกว่า” คุณปลาไม่ให้โอกาสปฏิเสธ เขาหยิบเสื้อกันหนาวที่แขวนอยู่ข้างกระจกมาให้ผมถือไว้
ผมก้มมองเสื้อกันหนาวสีเทาอมฟ้า ไม่มีลวดลายอะไร เป็นเพียงสีฟ้าเรียบ ๆ แต่พิเศษที่กลิ่น...
...มันมีกลิ่นของเขาติดอยู่...
อุณหภูมิบนใบหน้าของผมกำลังพุ่งขึ้นเรื่อย ๆอย่างห้ามไม่ได้
“จริงสิ สหกรณ์ในโรงเรียนมีสเตปซิลขายหรือเปล่า” เหมือนคุณปลาจะเพิ่งนึกออก “ยังไงเราก็ลองไปหาดูนะ พกเผื่อไว้ เวลาไอเวลาเจ็บคอจะได้อมแก้”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าไม่มีขาย คาบว่างผมจะแวะไปเอาที่ห้องพยาบาล”
ขณะที่ผมก้าวออกจากตัวรถ โทรศัพท์ในกระเป๋าของผมสั่นครืด ผมคิดว่ามีตาเป็นคนโทรมาจึงล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แต่ทว่าสายเรียกเข้ากลับเป็นพี่ใบบัว ผมขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็กดรับสายไป
“ครับพี่” ผมกรอกเสียงใส่ปลายสาย แต่ทว่าอีกฝั่งกลับไร้การโต้ตอบ
ได้ยินเพียงเสียงหายใจเบา ๆที่ดังออกมาเป็นจังหวะ
[สวัสดีครับน้องลูกสน]
โทรศัพท์ในมือของผมกลายเป็นก้อนหินหนักอึ้งในชั่วพริบตา...
ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้ เป็นพี่พุธที่ใช้เบอร์พี่ใบบัวโทรหาผมจริง ๆด้วย ไม่รู้ว่าความกระอักกระอ่วนแสดงออกมาชัดมากเกินไปหรือเปล่าคุณปลาจึงโบกมือบ๊ายบายให้ผม พูดแบบไม่มีเสียงว่าง ‘หลังเลิกเรียนเดี๋ยวพี่โทรหา’
จากนั้นก็ค่อย ๆเคลื่อนตัวรถออกไปอย่างเชื่องช้าเหมือนครั้งแรกที่เจอกันไม่มีผิด
ส่วนผมก็ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม คิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรดี เมื่อครู่ผมตกใจมาก สติแทบหลุดออกมา ยิ่งพี่พุธโทรมาตอนที่ผมอยู่กับคุณปลาสติของผมก็แทบกระเจิงออกเหมือนไก่โดนหมาวิ่งไล่กวด
ผมกดตัดสายไป แต่คนโทรเข้ากลับไม่ยอมแพ้เขากระหน่ำโทรมาจนผมทนไม่ไหว อยากจะบล็อกเบอร์ลูกพี่ลูกน้องให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผมก็กลัวว่าถ้ามีเหตุจำเป็นจะติดต่อกันไม่ได้
อีกอย่าง...ก็แค่รับสาย จะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ผมหนีออกมาแล้ว ผมจะไม่มีวันกลับไปให้เขาใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นเพื่อความสะใจของเขาอย่างแน่นอน
ผมเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด เดินเลี่ยงหาที่ปลอดคนคนแทนที่แวะสหกรณ์ตามแผนเดิม เป็นห้องชมรมศิลปะที่ไม่มีคนใช้นอกจากสมาชิกชมรมไม่กี่คนซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกนั้นด้วย ผมห้ามใจตัวเองให้สงบลง กดรับสายด้วยนิ้วมือที่กำลังสั่นระริก
[สวัสดีครับน้องลูกสน กะใจให้พี่โทรหาให้ครบสามสิบสายก่อนใช่ไหมครับน้องลูกสนถึงจะรับ] น้ำเสียงกึ่งประชดประชันดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับสาย เสียงของเขาทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ จู่ ๆก็รู้สึกเหมือนอากาศถูกช่วงชิงไปดื้อ ๆ
ถ้าหากจะให้เปรียบ เสียงของเขาก็เหมือนเครื่องดูดอากาศขนาดใหญ่ ที่จ้องจะกอบโกยเอาอากาศที่ใช้ต่อลมหายใจของผมไปอย่างน่ารังเกียจ
[ช่วงนี้ใจร้ายกับพี่จังเลยนะครับ โทรหาก็ไม่รับสาย] คล้ายจะตัดพ้อแต่ว่าดูเสแสร้งมากกว่าหลายส่วน [ไม่ใช่ว่าเล่นชู้ตอนที่พี่ไม่รู้ตัวนะครับ]
ผมค่อย ๆเค้นเสียงออกมาจากลำคอด้วยความยากเย็น “มีอะไร”
[ต้องลงท้ายด้วยครับด้วยสิ ตั้งแต่มีชู้นี่น้องลูกสนของพี่พูดห้วนขึ้นนะครับ รู้ตัวหรือเปล่า]
ผมกัดริมฝีปากอย่างลืมตัว ระหว่างความกลัวและความโกรธมันก้ำกึ่งกันเหมือนไปมาเหมือนลูกเหล็กที่กลิ้งอยู่บนไม้กระดก
“กูจำเป็นต้องพูดดี ๆกับมึงด้วยเหรอวะ อีกอย่างกูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง...แล้วกูจะไป
เล่น ชู้ ได้ยังไง”
น้ำเสียงของผมฟังดูเย็นชาและแข็งกระด้าง ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดทั้งกลัวคนปลายสาย มันผสมกันไปหมดจนผมแยกไม่ออก
[โอเค ๆ เอาเป็นว่าพี่เป็นฝ่ายยอมเล่นชู้แทนก็ได้ครับ] ปลายสายหัวเราะเสียงเย็นเยียบในลำคอ จนผมเดาไม่ออกว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังยิ้มหรือว่าโกรธขึ้งผมอยู่ เสียงหัวเราะของเขาค่อย ๆเบาลงกลายเป็นเสียงหัวเราะต่ำ ๆ
[ว่าแต่ว่า...เมื่อคืนนี้ ชู้คนดีของพี่หนีไปนอนบ้านใครเหรอครับ พอจะบอกพี่ได้หรือเปล่า]
น้ำเสียงโทนต่ำและเย็นเยียบทำให้ผมกลืนน้ำลายอึกเล็กลงคออย่างยากลำบาก กลัวว่าปลายสายจะได้ยิน
พูดตอบปลายสายไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “ก็ถามแฟนมึงเอาสิ มึงเอาโทรศัพท์เขาโทรมาหากูนี่”
[พี่รู้ว่าลูกสนไม่ได้ไปนอนบ้านมีตา...] เขากดเสียงลงต่ำ
ตัวผมชาวาบ “งั้นเหรอ ?”
[พี่ถามดี ๆนะครับน้องลูกสน...เมื่อคืนเราไปนอนค้างบ้านใครมา พี่รอที่หน้าบ้านมีตาตั้งแต่เช้า พี่ไม่ยักเห็นเราขึ้นรถไปโรงเรียนกับเพื่อนนะ... แล้วเราก็อย่าโกหกพี่ว่าเราไปค้างบ้านไอ้เมฆล่ะ...พี่โทรถามลุงปิติดูแล้วว่าเราไม่ได้ไป]
ผมได้ยินเสียงกัดฟันกรอดเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย
ผมเม้มริมฝีปากแน่นไม่ตอบอะไรออกไป ผมเชื่อว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆไม่ใช่แค่พูดขู่เล่น ๆให้ผมตระหนกเล่น ๆ แม้แต่บ้านเมฆเขายังกล้าโทรไปเช็ก...เขาไม่กลัวบาปที่เขาก่อไว้บ้างหรือไงกันวะ
และที่สำคัญเขามักจะเรียกผมว่าน้องลูกสนเวลาที่เขาโกรธจัดเท่านั้นเขาจะเรียกชื่อนี้ต่อหน้าผมเพียงคนเดียวเท่านั้น มันน่ารังเกียจแค่ไหนมีเพียงผมเท่านั้นที่รู้...ทั้ง ๆที่เมื่อก่อนผมเคยชอบมากแท้ ๆ แต่ตอนนี้มันทำให้ผมสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก
[ตกลงว่าเมื่อคืนเราไปอยู่ไหนลูกสน...] จู่ ๆน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง อ่อนลงมากจนทำให้ผมคลายนิ้วที่จิกฝ่ามือออกอย่างช้า ๆ [ทำไมเราต้องหนีพี่ไปด้วย...]
ทำไมผมต้องหนีน่ะเหรอ...
“เพราะพี่ไม่ยอมหยุดไง...สนถึงต้องหนี”
เขาก็แค่คนหลงผิด...เขาก็แค่แค้นเคืองผมจนทำร้ายผมแบบนี้
เขาก็แค่สนุกตอนที่เห็นผมร้องไห้
แล้วจะมาเรียกร้องอะไรล่ะ...จะมาอ้อนวอนอะไรล่ะ ก็รู้ตัวดีไม่ใช่เหรอว่าการที่เขาชอบผมมันก็แค่ การเหลวไหลและหลงผิดไปชั่วครู่ ตอนนี้เขาก็แค่กำลังเหลวไหล เขาก็แค่กำลังสนุกที่ได้ไล่ต้อนให้ผมจนมุมจนต้องหนีออกจากวิมานนรกของเขา
แล้วเขาจะมาทำเป็นว่ารักผมทำไมกัน...
เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และไม่มีวัน...
“สนไม่อยากสร้างบาปให้ใครต่อ...พี่พุธอย่าลากสนลงนรกไปกับพี่เลย” ผมอ้อนวอน...สรรพนามที่ใช้คุยกลายไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่เลวร้ายแบบนี้ ตอนที่เขายังหัวเราะให้ผม เล่นสนุกกับผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งของเขา...
ถ้าเขากลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้ ก็ขอให้ปล่อยผมไปเถอะ...
ปลายสายแค่นหัวเราะ
[เรื่องของคนที่ผ่านมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราวะสน...สร้างบาปอะไรวะ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าที่ผ่านมาพี่ไม่ได้ชอบบัว แล้วมันจะตกนรกได้ไงวะ...ตอนนั้นพี่ก็แค่คิดผิด แค่อยากหาทางเข้าใกล้เราพี่ก็เลยคิดผิด มันย้อนกลับคืนไม่ได้แล้วไง...จะมาทิ้งขว้างใจพี่แบบนี้ไม่ได้นะสน]
“แล้วใจสนล่ะวะ...”
[แล้วใจพี่ล่ะสน...ทำอะไรลงไปก็หัดรับผิดชอบมันบ้างสิสน] เสียงเขาสั่นพร่า
[แล้วก็...เรื่องวันนั้น...พี่ขอโทษ]
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เรื่องวันนั้นทำให้ขนอ่อนที่ลำคอผมลุกชัน ชาวาบตั้งแต่ปลายนิ้วมือลงไปถึงฝ่าเท้า
“พอเถอะ...ช่างมันเถอะ” ผมกลั้นใจบอก “ให้มันผ่านไปแบบนั้น แค่พี่ปล่อยสนไป...ถือซะว่าที่ผ่านมาเราก็แค่หลงผิด”
ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะดังตามมาหลังจากที่ผมพูดจบ
[หลงผิด ? พี่โคตรเกลียดไอ้ประโยคนี้เลยรู้ไหม ได้...ถ้าเรากลัวบาปเราก็หนีต่อไป]
“...”
[เพราะว่าพี่ไม่กลัว...]
คำพูดของพี่พุธผมให้ผมพูดอะไรไม่ออก...
[แต่ต่อให้เราหนีพี่ไปไกลแค่ไหนพี่ก็จะตามหาอยู่ดี...ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนพี่ก็จะเจอเราอยู่ดี]
ผมห้ามเขาไม่ได้ ผมขอร้องเขาไม่ได้ ผมอ้อนวอนเขาไม่ได้ โลกทั้งใบมีเขาเป็นศูนย์กลาง
[ได้ยินใช่ไหมครับน้องลูกสน ว่าเราจะหนีความจริงและพี่ไม่ได้ และไม่มีวัน]
“ต่อให้สนหนีความจริงไม่ได้...” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่พุธก็ปล่อยให้สนหนีได้ไม่ใช่เหรอวะ...”
พี่พุธหัวเราะเสียงเย็น [สนก็รู้...ว่าไม่มีวัน...]
ผมกดตัดสาย มองดูฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อ ยกขึ้นมาลูบหน้าเบา ๆ...
ผมเหนื่อย...ผมทนไม่ไหวกับเรื่องราวอีรุงตุงนังแบบนี้ มันหนักเกินไปสำหรับผม
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะทำยังไงดี ผมควรจะหนีไปเรื่อย ๆแบบพ่อ...หรือว่าทิ้งทุกอย่าง ตัดปัญหาทุกอย่างแล้วลอยลำไปแบบแม่ดี...แต่มันไม่มีทางไหนดีเลยนอกเสียจากว่าผมกับเขาจะหันหน้าเข้าหากัน เผชิญกับความจริงที่กำลังดำเนินอยู่
ผมรู้...แต่มันทำไม่ได้
พี่พุธไม่ปล่อยผมไปง่าย ๆแน่...
...ไม่มีวัน
เขาอยู่ใจกลางของความสับสนวุ่นวายทั้งหมด ไม่ว่าโลกจะเหวี่ยงไปทางใด จะถูกพายุลูกไหนถล่ม ตัวเขาก็จะตั้งมั่นอยู่ที่เดิม และฉุดลากให้ผมจมลงไปพร้อมกับเขาเพื่อหนีความวุ่นวายเหล่านั้น...
เป็นผมเองที่อยากยืนท้าพายุพวกนั้น ไม่ยอมจมลงหายไปโลกของเขา...
ผมเดินขึ้นห้องด้วยสมองที่ว่างเปล่า...ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกคำพูดที่ผมได้คุยกับพี่พุธมีใครบางคนได้แอบฟังอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาคู่นั้นที่มองตามแผ่นหลังผมแฝงไปด้วยความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน
ใช่ ผมไม่รู้อะไรเลย...
OOOOOOOOOOOOO
“ฉันถามจริง ๆนะสน ตกลงแกมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่า เมื่อคืนพี่ใบบัวของแกก็โทรมาถามฉันว่าแกอยู่บ้านกับฉันไหม พอฉันบอกไปว่าอยู่ พี่แกก็บอกว่างั้นดูแลน้องชายให้ด้วย บอกว่าแกท่าทางแปลก ๆแล้วออกจากบ้าน”
ผมแกะซองพลาสติกใส แล้วหยิบเอาหน้ากากอนามัยมีขาวออกมา ค่อย ๆใช้ยางยืดสีขาวสวมเข้าที่ใบหูที่ด้านซ้ายและด้านขวาตามลำดับ ปัดไรผมที่โดนยางหนีบออกเบา ๆ แล้วซุกหน้าลงกับแขนตัวเอง ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆของแชมพูของคุณปลาที่ผมใช้อาบน้ำเมื่อตอนเช้า
เป็นกลิ่นเดียวกันกับที่คุณปลาใช้...
“แกได้ยินไหมเนี่ยสน ! ทำไมชอบทำให้ฉันกลายเป็นอีบ้าคุยคนเดียวอยู่เรื่อยอะ !”
“ได้ยิน” ผมตอบมีตาเสียงเบา
“งั้นก็ตอบมาสิว่าตกลงแกเป็นอะไรน่ะฮะ” มีตาถลึงตาใส่
“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร เป็นคนหล่อเหมือนเดิม”
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงไอ้บ้านี่ ! ฉันเป็นเพื่อนแกมานานฉันดูแกออกนะเว้ยว่าแกไม่สบายใจน่ะ !” ยัยคนตัวเล็กแต่ดื้อเหมือนหมาปอม ๆแยกเขี้ยวใส่ผม
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ผมยิ้มจาง ๆ
...ไม่เป็นไรมีตา ไม่มีอะไรหรอก...
มีตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วแกกะจะให้ฉันโกหกไปเรื่อย ๆแบบใช่ไหม ?”
“อือ ช่วยฉันโกหกไปเรื่อย ๆก็พอ” ผมบอกเธอไปแบบนั้น
“หรือว่าแกไปนอนค้างบ้านเมฆมาเลยจะให้ผมช่วยโกหก ? นี่รีเทิร์นกันแล้วเหรอ โว้ว ! ยินดีต้อนรับ จะฉลองวันต้อนรับเมียน้องสนกลับบ้านวันไหนเอ่ย---”
ผมดีดตัวขึ้นมา รีบเอามืออุดปากเล็ก ๆของยัยตัวแสบก่อนที่จะพูดไร้สาระไปมากกว่านี้
“จะบ้ารึไง” ผมดุเธอเสียงเขียว “หน้าฉันเมฆยังไม่อยากจะมองเลย”
ผมมองดูแผ่นหลังของร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าสุดของชั้นเรียน เขาตัดผมรองทรงต่ำปัดข้าง ย้อมสีผมคล้ายสีอัลมอนด์ ผิวของเขาขาวและริมฝีปากหยักลึกสีแดงสด เขาเรียนอยู่คนละห้อง แต่ว่าลงเรียนคลาสศิลปะเหมือนกัน
“ใครจะไปรู้เล่า ก็แกคบกันมาตั้งสองปี อาจจะรีเทิร์นกลับไปหาเมฆก็ได้นี่นา โสด ๆแบบนี้ก็ต้องเหงาเป็นธรรมด๊าาา เคยมีแฟนให้อ้อน พอไม่มีมันก็เรียกร้องให้อยากมีอะดี๊ เมฆออกจะแซ่บถึงใจ ใคร ๆก็อยากดั้ยยย” มีตาลอยหน้าลอยตาพูดเสียงใส
ผมแอบกลอกตาเล็กน้อย ยกสมุดปกอ่อนฟาดหัวยัยมีตาไปทีหนึ่ง ถ้าพูดมากกว่านี้จากมีตาจะกลายเป็นมีตายจริง ๆด้วย
“นี่พูดเอาตลกรึไง แกก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น”
มีตาทำเสียงเฮอะเบา ๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นอะไรไอ้คนไม่กินผัก แบบนี้สินะแกถึงไม่ฉลาดทันคนเค้าสักที”
เหน็บแนมผมจนพอใจแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“จากที่ฉันมอง ๆดูเมฆนะ ดูเหมือนเมฆจะยังชอบแกอยู่ไม่ใช่เหรอ แกก็น่าจะรู้ เลิกทำเป็นหน่อมแน้มเหมือนไม่เคยมีเมียสักทีเถอะ สงสารผู้หญิงคนก่อน ๆของแกด้วย มีเมียเป็นผู้หญิงไม่ได้ช่วยให้แกฉลาดขึ้นเลย”
แล้วทำไมต้องหยิบยกเรื่องผู้หญิงที่ผมเคยคบก่อนหน้าขึ้นมาพูดด้วยล่ะวะ ก็พวกเธอมาบอกชอบผม ขอคบกับผม ผมก็เกรงใจสิ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เผลอคิด ๆไปว่าถ้าผมแอบชอบใครสักคนแล้วเขาตกลงเป็นแฟนด้วย ถ้าได้คบกันก็คงจะดี
แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย...
เรื่องความเห็นใจเอามาเป็นข้ออ้างในการคบกันมันไม่ได้เรื่องเลยสักนิด
จนแล้วจนรอดผมก็ได้ข้อสรุปว่าผู้หญิงที่ผมเคยคบมาก่อนนั้นเทียบไม่ได้กับเมฆเลยสักคน
แต่ถึงอย่างนั้นผมกับเมฆก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี
“อ้าว เงียบเลยอะ ดีใจอ่อที่เมฆยังชอบอยู่”
“ดีใจบ้านแกสิ ชอบบ้าอะไร แกไม่เห็นเหรอว่าเมฆย้ายจากตรงนี้ไปนั่งตรงนู้น” ผมบุ้ยปากไปยังที่ว่างข้าง ๆมีแล้วแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปข้างหน้าห้อง
เมื่อก่อนเขาข้าง ๆผมซึ่งเป็นแถวหลังสุดของห้อง แต่หลังจากที่เลิกกันเมื่อสามเดือนก่อนเขาก็ย้ายไปนั่งข้างหน้าสุด
ใครไม่รู้ก็คงตาบอดในเมื่อเมฆแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้นว่าตัดความสัมพันธ์กับผมแล้ว
“เขาเรียกระยะทำใจไงแก...อืม...ก็แค่...” เธอหรี่ตามอง “…อาจจะไกลไปหน่อย”
“มันไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมบอก “เลิกคิดมากแทนฉันเถอะว่ะ”
“จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ไงอะ จู่ ๆก็ไม่มองหน้ากัน จู่ ๆก็ย้ายที่นั่ง จู่ ๆจากสิงสู่กันก็ห่างกันเหมือนเดินเข้าใกล้แล้วไฟจะช็อตแบบนั้นอะ พอถามก็ไม่มีใครพูด โว้ย ! ไม่สงสัย ไม่หนักใจ ไม่คิดแทนก็ประหลาดเกินคนแล้ว” เธอเริ่มโวยวายแต่ว่าเสียงไม่ดัง ดีที่ยังพอเกรงใจคนรอบข้างอยู่บ้าง
ผมหลุบตาต่ำมองคนที่เริ่มจะเป็นประสาท
“เแกเอาเวลาไปตั้งใจเรียน ไปตั้งใจเข้าคอร์สทำหน้าสวย ๆเถอะจะได้มีแฟนแล้วเลิกมาวอแวเรื่องฉันสักที”
มีตายกนิ้วกลางให้ผมทันที ภาพลักษณ์สวย ๆอ่อนหวานที่ดูจากภายนอกปลิวหายไปในพริบตา
“แกก็เลิกแขวะฉันเรื่องซื้อคอร์สแล้วขี้เกียจไปทำหน้าสักทีจะได้ไหมเนี่ย !”
“ไม่ได้” ผมสวนกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้าอยากมีเมียก็ต้องสวยกว่าเมียสิ”
“ไม่เอาเมียโว้ย!” มีตาฟาดฝ่ามือลงกลางหลังผม ลงแรงหนักเอาการจนผมต้องซู้ดปากเบา ๆ
มีตาหัวเราะหึหึอย่างพอใจ จากนั้นก็เปลี่ยนมามองผมตาค้อน
“ฉันก็แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจู่ ๆพวกแกก็เลิกกัน เลิกกันยังไงไม่เห็นบอกกันบ้าง ใครบอกเลิก ใครหักอก โอ๊ย ! ฉันตามเผือกจนเครียดไปหมดละ ต้นเหตุอยู่ใกล้ตัวแท้ ๆไม่มีอะไรมาอัพเดตข่าวเลย เงียบเหมือนส้วมเต็มรอการระบาย”
“สาบานว่านั่นปากหรือกระโถน”
“ไอ้สน!!!!” เธอฟาดหลังผมเต็มเหนี่ยว “ก็เพื่อนเป็นห่วงอะ ทำไมต้องว่าเพื่อนวะ คิดแทนแกจนสมองจะระเบิดแล้วนะเว้ย”
“เออ แล้วแกจะเอาเรื่องของฉันไปคิดให้ปวดหัวทำไมวะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” ผมถอนหายใจ
“ก็มันน่าสงสัยนี่ ! โคตรมีความลับกับเพื่อน !”
ผมโบกมือปัด ๆให้มีตาเลิกสนใจประเด็นนี้ เรื่องของผมกับเมฆมันไม่ได้สำคัญที่ว่าใครเป็นคนบอกเลิกใคร เรายังไม่ได้พูดบอกเลิกกันด้วยซ้ำ แต่ตามพฤตินัยล่ะก็ใคร ๆก็บอกว่าเลิกรวมทั้งผมและเมฆด้วย แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่า ‘เลิกกันเถอะ’
และผมต่างหากที่เป็นฝ่ายทำร้ายเมฆ เขาจะหลบหน้าผมก็ไม่แปลก
โอกาสกลับไปคบกันใหม่แทบเป็นศูนย์ มีตาก็น่าจะพอเดาได้จากการที่เมฆและผมไม่คุยกันเลยหลังจากเลิกกัน..
ไม่ใช่ว่าผมไม่รักเมฆแล้วนะ
แต่ ‘เราไปกันไม่ได้’ อย่างที่มีคนเคยพูดไว้
ประโยคฟังดูคลาสสิค แต่ว่าใช้ได้จริง ผมเคยคิดว่ามันเป็นประโยคทุเรศ ๆที่เอาไว้บอกเลิกกันเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าผมกับเมฆเราเริ่ม ‘ไปกันไม่ได้’ ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้...
ตอนนั้นทุกอย่างมันยุ่งเหยิง มันสบสน มันโลเล มันเหงา มันไม่ไว้ใจ...
มันถูกปั่นผสมรวมกันออกมาแล้วเทใส่แก้วให้ผมกับเมฆกลั้นใจดื่มลงไป
**ต่อด้านล่าง**