...1...
“มึงโคตรพลาดอะชล เมื่อวานรุ่นพี่เขาแจกลายเซ็นนักร้องคนโปรดของมึง มึงไม่อยู่ชวดเลย” ภามพูดขึ้นอย่างออกรส เพราะชื่นชอบเพลงเช่นเดียวกัน ต่างกันที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจคุณภาพเสียงเท่าไรนัก เน้นไปทางรูปร่างหน้าตาของศิลปินเสียมากกว่า
“ถ้าเป็นลายเซ็นพี่เอ้คนดีของมึง มึงคงจะรีบแจ้นขึ้นเวทีเลยล่ะสิ” อัด เอ่ยเหน็บเพื่อนตัวเล็ก ซึ่งภามก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอัดถึงชอบจิกกัดเขานักหนา เขาชอบรุ่นพี่เดือนสถาปัตย์แล้วมันหนักหัวอีกฝ่ายตรงไหน
“มึงมีปัญหาอะไรกับเรื่องของกูนักวะ”
“ก็เปล่า อ้ะ คิท!” เสียงตะโกนไม่สนใจใครหน้าไหนทำเจ้าของชื่อชะงัก ชลหันไปมองชายร่างอ้วนตุตะสวมแว่นหนาเตอะในชุดนักศึกษาสีซีดเก่ากำลังเดินหลังค่อมอยู่ไม่ไกล อีกฝ่ายยังคงก้มหน้าหลบตาเพื่อนคณะเดียวกันเหมือนไม่อยากจะพูดคุยด้วย แต่อัดก็ไม่ละความพยายาม ลุกพรวดตรงดิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
“ไอ้อัดนี่ก็แปลกนะ ไปยุ่งกับไอ้อ้วนนั่นทำไมก็ไม่รู้” ภามมองอย่างไม่ชอบใจนักเพราะเขาไม่ชอบคนมีกลิ่นตัวแรงอย่างคิทเพื่อนร่วมคณะอัด หากเขามาอยู่ใกล้ๆ ภามจะรีบเดินหนีทันที
“พูดดีๆ หน่อย เขาจะอ้วนหรือผอมก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะมาวิพากษ์วิจารณ์” ชลมองชายร่างอ้วนที่พยักหน้านิดๆ แล้วเดินไปอีกทาง อัดยิ้มร่าเข้ามานั่งพลางดูดน้ำจนหมดแก้ว ตั้งใจจะเล่นเกมมือถือต่อแต่เพื่อนซี้ทั้งสองมองเขาจนแทบทะลุ คงอยากรู้ว่าเขาไปคุยอะไรกับคิทมา
“กูให้เขาช่วยงานนิดหน่อยน่ะ งานแบกฉากง่ายๆ มึงก็รู้กูเข้าเผือกอยู่ ยกของหนักไม่ได้” อัดชูแขนที่เข้าเฝือกไว้เพราะล้มกระแทกพื้นตอนเซ็ตฉาก
“แล้วมึงคิดว่าเขาจะยกไหวไหม” ชลพูดพลางมองเพื่อนที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวเท่าไรนัก ขอแค่งานเสร็จก็พอแล้ว นึกถึงอีกฝ่ายที่แม้จะดูอวบอ้วนแต่ก็ดูไม่แข็งแรงเท่าไรนัก
“คาบบ่ายไม่มีเรียน งั้นแยกย้ายกันตรงนี้ละกัน” ชลบอกเพื่อนทั้งสองที่มองมาอย่างงงๆ เพราะปกติแล้วเราสามคนจะไปเดินห้างหรือดูหนังฆ่าเวลาเพราะเขาไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปเจอ...ปัญหา
“มึงเป็นอะไรวะ บอกพวกกูดิ หรือพวกเขา...”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ กูแค่จะไปช่วยเพื่อนคณะมึงยกฉาก” ชลตอบอัดที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“นิสัยชอบช่วยเหลือชาวบ้านไม่เคยเปลี่ยน ระวังสาวๆ คณะกูจับขังนะโว้ย ตอนนี้น่าจะซ้อมกันอยู่ เจอเดือนมหาลัยเข้าไปคงเลิกแสดงแล้ววิ่งสู้ฟัดมาหามึงแน่” อัดเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี เพื่อนเขามันหล่อดีกรีเดือนมหาวิทยาลัย ใครได้ไปครองก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต เงินในบัญชีไม่ต้องพูดถึง เปย์กันได้ทั้งชีวิต
“กูไม่ชอบผู้หญิงพวกมึงก็รู้” เขาตอบเพื่อนแล้วเดินเอาจานไปเก็บ ยกนาฬิกาขึ้นดู ความจริงแล้วการไปช่วยคิทก็แค่ข้ออ้าง ชลแค่อยากเจอเจ้าของเสียงปริศนาที่มักจะอยู่แถวๆ คณะนั้นเวลานี้ต่างหาก
วันนี้จะต้องเจอให้ได้
“น้องเดือนมหาลัยมาว่ะแก กรี๊ด” แค่ย่างเท้าเข้ามาในคณะเพื่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ สิบกว่าคนก็ดังขึ้น ชลรีบหลบฉากเข้าเสาแล้วปล่อยให้พวกเธอวิ่งโร่ออกไปนอกอาคาร
ไปตามหาคนอื่นก็แล้วกันนะสาวๆ ผมอยากอยู่เงียบๆ
ชลเดินไปตามทาง มองซ้ายมองขวาหาร่างอ้วนที่น่าจะอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เห็นเพียงฉากที่ตั้งไว้รอคนมายกไปเก็บอีกที่เพื่อเตรียมใช้แสดงวันเปิดโอเพ่นเฮาส์มหาวิทยาลัย งานนี้เขาได้รับมอบหมายให้ต้อนรับคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วพาเดินชมความอลังการของมหาวิทยาลัยเรา เป็นสิ่งที่เดือนคณะทุกปีต้องทำ และเหนือสิ่งอื่นใด ทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟ็กซ์ที่สุด
“ฮึบ” เสียงนั้นเรียกชลให้หันไปมอง น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเลย ไม่รู้ว่าคิทเข้ามาตอนไหน
ร่างหนายกฉากเต็มกำลัง แต่เพราะตัวไม่ได้สูงใหญ่นักจึงไม่ใช่เรื่องง่าย คิทมองฉากด้วยความหงุดหงิดใจ
ทำไมถึงหนักขนาดนี้นะ เขามีนัดต้องไปต่อรู้ไหม
“ฉันช่วย” เสียงทุ้มมาพร้อมความหนักที่เบาบางลงจนเหลือเชื่อ ทั้งที่อีกฝ่ายดูผอมกว่าคิทแต่กลับมีแรงยกฉากหนักๆ นี้อย่างง่ายดาย คิทฉงนสงสัยอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มรู้ตัวว่าเขากำลังเอาเปรียบอีกฝ่ายทั้งที่ไม่ใช่งานเลย
คิทมองเพื่อนของอัดที่ตั้งใจยกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ถ้าไม่ได้ลองยกมาก่อนก็คงจะเชื่อไปแล้วว่าฉากนี้ไม่หนัก คิทพยายามจะช่วยยกฉากแทน แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงตัวแล้วเดินนำลิ่วไปเสียอย่างนั้น
อยากยกก็ยกไปเลย
คิทหันหลังเดินออกจากคณะ อยากจะเห็นแก่ตัวเพื่อไปให้ทันนัดสำคัญ แต่เพราะหน้าที่ที่เพื่อนคณะเดียวกันฝากฝังไว้ เขาจึงต้องเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างช่วยไม่ได้
ก็แค่อยากเห็นว่าฉากอยู่ในตำแหน่งที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้นล่ะ
ร่างสูงมองคิทที่เดินตามเขามาจนถึงห้องเก็บของ เริ่มปวดแขนนิดๆ เพราะยกฉากหนัก ขนาดเขาซึ่งออกกำลังกายทุกวันยังแทบแย่ ถ้าเป็นคนข้างหลัง หากฉากไม่พัง พรุ่งนี้ก็คงขยับแขนไม่ได้ด้วยซ้ำล่ะมั้ง
“ให้วางตรงไหน” ชลถาม อีกฝ่ายขยับเชื่องช้าเป็นจังหวะเข้ามาใกล้เขาแล้วชี้ไปที่ว่างที่หนึ่งซึ่งมีฉากอื่นๆ ตั้งไว้ เขาจึงยกฉากไปวางตำแหน่งนั้นแล้วหันกลับมาเพื่อจะพูดกับคิท แต่ปรากฏว่าฝ่ายนั้นหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว
จะว่าไป เสียงเดินเมื่อครู่ก็ไม่มีเสียงเลยแฮะ ทั้งๆ ที่ตัวน่าจะหนักกว่าเขาหลายกิโล แต่ทำไมถึงเท้าเบาขนาดนั้น”
‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว...’
เสียงเรียกเข้าดึงชลออกจาภวังค์
“ไงมึง” เขากดรับสายเพื่อนซี้ต่างคณะที่คาดว่าป่านนี้คงกลับถึงหอแล้ว
(ไปแดกเหล้ากัน ร้านหลังมอนะมึง) ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงร่าเริง
กลับหอที่ไหนล่ะวะ
“กูไม่เคยไปร้านหลังมอ จะไปถูกไหมห้ะ”
ช่วงก่อนหน้านี้รุ่นพี่เอาแต่เก็บตัวเขาฝึกซ้อมทุกวัน จึงไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และเหมือนอัดจะรู้ดีจึงรีบบอกทางไปร้านอย่างละเอียดยิบ
(ข้างร้านเสต็กอะมึง)
ละเอียดมาก เขาจะรู้ไหมว่าร้านไหน
(แค่นี้นะมึง ไอ้ภามจ้องพี่เอ้ตาเป็นมันล่ะ วันนี้พี่มันขึ้นร้องเพลง แม่งรู้งี้กูไม่น่าพามันมาเลย)
“มึงว่าอะไรนะ!” ชลถามเพื่อนเสียงดังลั่น นักศึกษาหลายคนหันมามองเขานิดๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเอง มีเพียงบางคนที่พยายามส่งสายตามาให้แม้ว่าเขาจะเข้ามาในรถสปอตคันหรูแล้วก็ตาม
(พี่เอ้ไงมึง ศัตรูหัวใจกูเนี่ย จะลากกลับมันก็ไม่ยอม มึงมาช่วยกันระวังมันหน่อย กูกลัวมันจะพลาดพลั้งให้พี่เอ้ไป)
“แค่มึงไม่แดกเหล้าแล้วเฝ้ามันดีๆ ก็ไม่ยากนะ”
(มึงก็รู้ คอเหล้าอย่างกูมาร้านเหล้าไม่แดกเหล้าก็เสียชื่อหมดสิวะ) เรื่องของมึงแล้วล่ะ
เขาได้แต่บ่นในใจแล้วรีบขับรถออกไปตามทางที่อัดบอกอย่างละเอียดยิบจริงๆ สักที ถ้าสัญชาตญาณเขาไม่พลาด วันนี้คนที่จะร้องเพลงคือใครคนนั้นที่ตามหามาตลอด
...................................................................
“แฮ่กๆ มาแล้วครับพี่เอ้”
“มาช้าจังเลยครับคิท พี่จะขึ้นแสดงแล้วนะ ถ้าเรามาไม่ทันพี่ต้องแย่แน่ๆเลย” น้ำเสียงเศร้าสร้อยทำให้คิทต้องรีบถลาเข้าไปปลอบใจอีกฝ่าย พี่เอ้ผงะไปนิด แต่ก็ยืนนิ่งให้เขากอดปลอบ
“ผมมาแล้วครับ พี่เอ้ไม่ต้องกังวลนะ ขึ้นไปร้องเพลงได้เลย สู้ๆ” คิทชูกำปั้นสองข้างขึ้นเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย
พี่เอ้เป็นคนเก่ง กล้าที่จะพูดคุยกับใครหลายคน ต่างจากเขาที่แทบไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าใคร น่าเสียดายที่เสียงของพี่เอ้ไม่อาจสร้างความสุขได้ จึงมาขอยืมเสียงของคิท คนที่แทบไม่มีอะไรดีเลย เพราะใครๆ ก็ไม่ชอบเขา ทั้งที่คิทพยายามเป็นมิตรมาตลอด แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นท่าทีรังเกียจและคำติฉินนินทาเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเอง
เคยพยายามเปลี่ยนตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แต่พี่เอ้บอกว่า การที่เขาเป็นคิทน่ะดีที่สุดแล้ว เขาจึงไม่อยากเปลี่ยนอะไร อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดี มีแฟนที่รัก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ถึงจะประกาศออกไปไม่ได้เพราะพี่เอ้กลัวแฟนคลับเข้ามาทำร้ายและต่อว่าเรื่องความไม่เหมาะสมของเรา
แต่แค่เราใจตรงกัน เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ
“เอ้ แสตนบายครับ” เสียงพี่เจ้าของร้านดังแทรกเข้ามา อันที่จริงเจ้าของร้านก็รู้อยู่แล้วว่าเงาเสียงเป็นใคร แต่เพราะกิจการกำลังรุ่งเพราะได้หน้าตาของเดือนสถาปัตย์คนดังมาร้องเพลงทุกวันพุธ เขาจึงไม่สนว่าใครจะเป็นเจ้าของเสียง ขอเพียงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับร้าน เขาก็พอใจแล้ว
“เชี่ย!” เสียงสบถที่คิทไม่เคยได้ยินดังออกมาจากปากคนรัก กอรปกับท่าทางที่มองออกไปยังที่นั่งด้านล่างอย่างกระวนกระวายก็ทำให้คิทไม่เข้าใจนัก
เอ้มองไปยังที่นั่งใกล้เวที เห็นรุ่นน้องเดือนมหาวิทยาลัยนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน คนที่เอ้สงสัยว่าอาจจะล่วงรู้ความลับเรื่องเสียงของเขา
“พี่ว่าวันนี้คิทกลับไปก่อนดีกว่า พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายคงจะเอนเตอร์เทนลูกค้าไม่ได้” เปล่าหรอก ที่เขาพูดทั้งหมดนั้นโกหกทั้งเพ เอ้แค่กลัวว่าชายหนุ่มข้างล่างจะกระชากหน้ากากเขาออกมาต่อหน้าคนอื่นต่างหาก จึงจำเป็นต้องขอให้เจ้าของเสียงตัวจริงกลับไปก่อน และเอ้เองก็จะไม่เสี่ยงอยู่ร้องให้ใครเขาเอาไปนินทาได้ว่าเสียงเพี้ยน
“พี่เอ้เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” คิทถามด้วยความเป็นห่วงและพยายามจะยกมือขึ้นแตะหน้าปากอีกฝ่าย แต่มือข้างนั้นกลับถูกปัดทิ้งพร้อมกับเสียงหงุดหงิดที่ดังขึ้น
“พี่บอกให้กลับไปก่อนไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ!”
คิทหยุดตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะเข้าใกล้มากไปกว่านั้น เมื่อพี่เอ้พูดมาแบบนี้ คิทก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่ควรทำให้อีกฝ่ายโมโห
“พี่ขอโทษ ช่วยกลับไปก่อนนะ แล้วพี่จะโทรหา”
พี่จะโทรหา...
คำพูดที่ไม่เคยเป็นจริง
นอกจากเรื่องนัดมาร้องเพลงทุกวันพุธแล้ว พี่เอ้ไม่เคยโทรหาเขาในแง่อื่นเลย ทั้งที่บอกว่าเราเป็นแฟนกัน คบกัน แต่กลับไม่มีช่วงเวลาอยู่ด้วยกันนอกจากวันที่ร้องเพลง
เมื่อร้องเพลงจบ เขาก็ต้องไป ไปซ่อนตัวให้ไกลจากผู้คน จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าคนที่ร้องเป็นเขาไม่ใช่พี่เอ้ ได้แต่มองความสำเร็จของอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ
เพราะเขามีดีอยู่แค่นั้น ไม่อยากถูกใครเกลียดไปมากกว่านี้
เขาจึงต้องดูแลเสียงของตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พี่เอ้สนใจ และให้ความสำคัญกับเขามากกว่าคนอื่น
“งั้นผมกลับแล้วนะครับ” คิทเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก อุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอคนรัก แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ในรอบสัปดาห์
“อืม” พี่เอ้จมอยู่ในความคิดของตัวเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจึงเลือกเดินออกมาเงียบๆ ออกจากร้านไปตามทางเปลี่ยวที่รู้ดีว่าคงไม่มีแท็กซี่ให้เรียก แต่รูปร่างอย่างเขาน่ะใครจะมาปล้นกัน คงกลัวเขาจะปล้นกลับด้วยซ้ำมั้ง
“หนวดขึ้นแล้วสิเรา หึ แต่โกนไปก็ไม่มีอะไรได้ดีขึ้นหรอก” จับหนวดหรอมแหรมของตัวเองแล้วยิ้มสมเพชในใจ
“วันนี้พิซซ่าสักถาดละกัน ย้อมใจตัวเอง”
..........................................................
“ทำไมพี่เอ้ไม่ขึ้นร้องสักทีวะ”
“กูจะไปรู้พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเขาเรอะ ก็นั่งอยู่กับมึงเนี่ย”
“เดี๋ยวกูมา” ชลปลีกตัวออกจากเพื่อนแล้วเดินตรงไปยังข้างเวทีซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันดีกำลังเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น
“พี่พง”
“อ้าวว่าไงมึง มาแดกเหล้าร้านกูเหรอ โต๊ะไหนล่ะเดี๋ยวกูลดให้” พี่พงยังคงใจดีเหมือนเดิม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เขาเข้ามาหาอีกฝ่ายหรอก
“เพื่อนผมมันนั่งรอพี่เอ้แสดงน่ะ กี่โมงเหรอพี่” เลียบๆ เคียงๆ ถาม เผื่อจะแอบเข้าไปหาเจ้าของเสียงได้ทัน
“วันนี้มันไม่สบายน่ะ พี่กำลังติดปัญหาเลยเพราะไม่รู้จะหานักร้องจากไหน”
ไม่สบาย? เมื่อกี้ตอนเขาเข้ามายังเห็นพี่เอ้เริงร่าทักทายโต๊ะอื่นอยู่เลย แต่พอเข้าไปหลังเวทีกลับบอกว่าไม่สบายเสียอย่างนั้น
หรือว่าเจ้าของเสียงป่วยจนร้องเพลงไม่ได้
“ผมขอเข้าห้องน้ำในบ้านพี่หน่อยนะ” เขาพยายามหาทางเพื่อเข้าไปเจอคนที่ตามหา แต่พี่พงกลับขวางไว้
แสดงว่าพี่พงก็รู้ว่าพี่เอ้ไม่ใช่เจ้าของเสียงตัวจริง
“เอ่อ ทำไมมึงไม่เข้าห้องน้ำลูกค้าล่ะ”
“ผมปวด” ตอบหน้าตายไว้ก่อน เผื่ออีกฝ่ายจะตายใจแล้วอนุญาตให้เข้าไปได้
“ถึงมึงจะเป็นเดือนมหาวิทยาลัย แต่บ้านกูไม่ใช่ที่ๆ มึงจะเข้าออกได้ง่ายๆ”
“มีลับลมคมในจัง พี่ทำเหมือนบ้านพี่ผลิตยาอย่างนั้นล่ะถึงไม่อยากให้ใครรู้”
“ผลิตยาบ้านมึงสิ อะๆ ไปๆ เดี๋ยวกูพาไปเอง กูแค่กลัวแจกันเซรามิกของเก่าคุณทวดแตกเพราะมือมึงต่างหาก”
โกหก น้ำเสียงที่เขาจับได้บอกอย่างนั้น ซึ่งพอเข้ามาก็เป็นอย่างที่คิด บ้านสไตล์โมเดิร์นแบบนี้น่ะเหรอจะมีของเก่าเก็บแบบนั้น เขาไม่เห็นแจกันสักอัน
มีเพียงเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ
“อ้าวน้องเดือน สวัสดีครับ” พี่เอ้ยกยิ้มทักทาย แต่รอยยิ้มเสแสร้งก็ยังคงจอมปลอมสำหรับเขาอยู่ดี
“สวัสดีครับ”
“มึงปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ ไปสิ” เขาพยักหน้ารับคำรุ่นพี่ก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องน้ำแล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่
“กลับไปแล้วเหรอ”
“ครับ”
“คราวหน้าอย่าให้เป็นแบบนี้อีกนะ กูเสียเงินตั้งเท่าไหร่เพราะมึงไม่ขึ้นแสดง”
“พี่ก็อย่าให้ไอ้เดือนคณะคนเมื่อกี้มันมาร้านสิ มันน่าจะรู้เรื่องเสียงของผมนะ”
“ห้ะ แล้วมึงจะเอาไง”
“ตราบใดที่มันมามันต้องคอยจับผิดผมแน่ ระหว่างนี้ผมจะเงียบหายไปก่อนนะ พี่ก็แก้ตัวให้ผมไปก่อนว่าไม่สบายขึ้นแสดงไม่ได้ รอจนไอ้เดือนนั่นเลิกมา ผมจะกลับมาร้องเพลงเอง หรือถ้าพี่ช่วยกันมันไว้ได้ก็จะดีมาก”
“เออๆ กูจะคอยๆ กันไว้ให้ ปกติมันไม่เคยมานี่หว่า หรือมึงว่าเอามันมารู้เรื่องนี้ด้วยอีกคนดี”
“อย่าเลยพี่ ผมไม่อยากให้เรื่องรู้ไปถึงหูคนอื่น”
เสียงของทั้งคู่ค่อยๆ ห่างออกไป จับใจความได้ว่าคนที่ตามหากลับไปแล้ว ถ้าเพิ่งไปเขาน่าจะยังตามทันอยู่
แท็กซี่คันหนึ่งเพิ่งแล่นออกไปจากร้าน เขาเดาว่าต้องเป็นคนนั้นแน่จึงรีบขับตามไป แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างหนาที่เดินเอื่อยๆ อยู่ริมถนน ใจหนึ่งก็อยากตามแท็กซี่คันนั้นให้ทัน แต่จะปล่อยให้เพื่อนของเพื่อนเดินบนทางเปลี่ยวคนเดียวก็คงไม่ได้
รถสปอร์ตคันหรูจอดเทียบข้างทาง เขาเปิดกระจกแล้วเรียกอีกคนให้ขึ้นรถมา ฝ่ายนั้นดูงงๆ และไม่ยอมขึ้นรถมาสักที เขาจึงลงจากรถ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย ดันตัวหนาเข้าไปในรถแล้วเดินกลับมาเร่งเครื่องตามแท็กซี่คันนั้นไปทันที
โชคดีที่รถติดไฟแดง เขาจึงมีโอกาสเข้าไปจอดเทียบแล้วมองผ่านกระจกเข้าไปภายรถในแท็กซี่
หญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังไม่ใช่คนที่เขาตามหา
อดรู้สึกใจแป้วไม่ได้ที่คลาดกับอีกฝ่ายอีกแล้ว
“ให้ไปส่งที่ไหน” เขาเอ่ยถามเพื่อนร่วมทาง ตั้งใจว่าจะพาไปส่งให้ถึงที่หมาย อย่างน้อยความตั้งใจที่จะไม่ทิ้งเพื่อนของเพื่อนก็ยังรักษาไว้ได้ ไม่ได้ทุ่มเทตามหาจะละเลยน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์
“...” นิ้วชี้อ้วนป้อมชี้ไปยังร้านพิซซ่าข้างทาง เขาขับเข้าไปจอดหน้าร้านแล้วเดินตามอีกฝ่ายลงมา
คิทมองคนข้างหลังที่เดินตามเขาเข้ามาในร้านอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ชี้เมนูที่ต้องการอย่างที่ทำประจำ
“กินเยอะไปหรือเปล่า นี่ก็ค่ำแล้วนะ”
คิทส่งสายตาหงุดหงิดไปให้เพื่อนของอัดที่เขาไม่รู้จักชื่อ
จะมายุ่มย่ามอะไรกับของชอบเขาล่ะ หุ่นดีแบบนี้กินผักปลาไปเถอะ อย่ามาสนใจขนมปังและชีสที่รักของเขาเลย
พิซซ่าหน้าพิเศษชีสวางลงตรงหน้าพวกเขา คิทดื่มด่ำอยู่กับภาพน่ากินของอาหารตามปกติที่เขาชอบทำก่อนเริ่มกิน
“โห น่ากินแฮะ” ไม่ทันขาดคำ มือนั้นก็หยิบพิซซ่าของเขาเข้าปาก
พิซซ่าของเขา!
งั่ม!
“โอ้ย! นายเป็นหมาบ้าเหรอถึงมากัดเนี่ย” เพื่อนของอัดกุมข้อมือตัวเองที่คิทกัดเต็มแรงเมื่อครู่
คนยิ่งหงุดหงิดและหิวอยู่ยังจะมายุ่งอีก หิวก็สั่งเองสิวะ
มืออ้วนป้อมจ้วงพิซซ่าแล้วยัดเข้าปากอย่างมีความสุข เขาไม่สนใจหรอกว่าคนหล่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะมีสีหน้าอย่างไร เพราะความสุขของเขาคือการกิน และจะกินให้หมดนี่ล่ะ
“ขออีกชิ้นไม่ได้เหรอ ยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“ฮึ่ม!”
ถึงจะขู่จนอีกฝ่ายมีสีหน้าผงะ แต่เขาก็มีน้ำใจพอที่จะหยิบพิซซ่าชิ้นที่หน้าเยอะที่สุดส่งให้
เห็นว่าอุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงร้านหรอกนะ ถึงยอมสละของที่ดีที่สุดให้น่ะ
TBC.
....................................................
ตอนแรกมาแล้วจ้า น่าจะรู้กันแล้วโน๊ะว่าใครคือคนที่ตามหา คิคิ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ เจอกันตอนหน้า