ตอนพิเศษ 1
ไอ้เปาลูกพ่อปลา
คำเตือน เรื่องราวต่อไปนี้มีสรรพนามหยาบคายเพราะเจ้าตัว(อยาก)เป็นคนหยาบคายโดยเนื้อแท้แต่ไม่กล้าแสดงออก
“อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ เพราะเราอาจไปได้ไกลกว่าเดิม” ประโยคนี้เคยได้ยินผ่านหูจากโทรทัศน์หรือวิทยุผมก็ไม่แน่ใจ เอาเป็นว่าช่างมัน เพราะประโยคนี้ผมได้ยินทุกปีพอๆ กับโรงเรียนเอกชนแบบสหศึกษาที่พ่อเลือกให้เปลี่ยนห้องทุกปีนั่นแหละ...จะอยากให้ผมเริ่มต้นใหม่อะไรขนาดนั้น
แต่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ ซิสเตอร์วาระใหม่ประกาศหน้าเสาธงบอกว่าจะให้เราอยู่ห้องเดียวไปจนจบป.6 ให้มันจริงละกัน เฮ้อ...ต้องย้ายห้องจริงหรอวะเนี่ย แค่ย้ายโรงเรียนมาปีที่แล้วก็จะแย่แล้ว ความรู้สึกที่ต้องยืนแนะนำตัวหน้าห้องมันไม่สไตล์เลยว่ะ ความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งน่ะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนนี้จะเห็นหน้าค่าตากันหมดก็เถอะแต่ก็ชินที่ต้องอยู่ห้องนั้นแล้วนี่หว่า จู่ๆ ต้องมาเรียนห้องนี้อะนะ ผมบ่นอยู่ในใจก่อนจะเงยหน้ามองป้ายไม้ที่ห้อยเหนือประตู “ห้อง ป.4/3” มันไหวเบาๆ ด้วยแรงลม
วันนี้เปิดเทอมวันแรก หวังว่าวันแรกให้ห้องเรียนใหม่จะทำให้ชีวิตเราสงบสุข มีเพื่อนเล่นด้วยด้วยเถ้อ สา...ธุ แอบยกมือไหว้เร็วๆ หลังกระเป๋านักเรียนที่ยกขึ้นมาบังแล้วก้าวเท้าซ้ายเข้าห้องเรียน ขวาร้ายซ้ายดีพ่อบอกให้ท่องมา ว่าแต่ผมลืมไปได้ยังไงว่านี่มันโรงเรียนคริสต์ พอลดกระเป๋าลงเท่านั้นแหละคำขอของผมมันก็ปรากฏขึ้นแบบทันตาเห็น
“เฮ้ย กูนั่งตรงนั้น จองโต๊ะหลังเว้ย”
“ไอ้โจ้ ข้างหน้าต่างกูจองตั้งแต่เทอมก่อนแล้วเว้ย”
“เมย์ไปเที่ยวไหนมา วันนั้นเจอแม่แกที่ตลาด มาอวดเราใหญ่เลย”
“มาสเตอร์อภิรักษ์เป็นครูประจำชั้นห้องเราเว้ย ห้องสองเป็นทีชเชอร์บังเอิญ”
“จริงหรอวะ ได้ข่าวว่ามาสเตอร์คนนี้มาใหม่แถมโหดอีกต่างหาก”
เสียงนักเรียนโหวกเหวก เสียงตีหัวเกรียนกันดังแปะๆ ทักทายกัน เสียงผู้หญิงอวดกล่องดินสอใหม่หรือกระเป๋าสีชมพูลายบาร์บี้ เสียงฟิ้วฟ้าวจากจรวดกระดาษ เสียงหัวเราะของกลุ่มเด็กหลังห้อง
นี่....
กู....
มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย…
ยืนเคว้งชิบเป๋ง อยู่ตรงนี้ไม่เท่เลยว่ะ จะเดินไปโต๊ะว่างไหนก็มีแต่คนมองหน้า เดี๋ยวแม่งเหนี่ยว ไอ้พวกนี้จะวิ่งผ่านกูไปไหนนักหนา มองไม่เห็นคนอย่างไอ้เปาเลยหรอวะ แต่...จริงๆ ก็ไม่ได้อยากอยู่โรงเรียนนี้หรอกเว้ย แต่เห็นพ่อยิ้มดีใจขนาดนั้น ปฏิเสธไม่ลงเลยเรา นึกถึงตอนเช้าที่ลงจากรถแวนเก่าๆ ของพ่อแล้วน้ำตาจะไหล
“วันนี้โรงเรียนเปิดเทอมใหม่ กางเกงน้ำเงินตัวใหม่ กล่องดินสอ เสื้อรีดเรียบกริบ”
“ตั้งใจเรียนนะลูกพ่อ เปาเก่งที่สุดในโลก หนูต้องทำได้”
“พูดเร็ว”
“คร้าบบ เปาเก่งที่สุดในโลก! หนูต้องทำได้”
เมื่อเช้าต้องเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดับร่างแล้วก็ลงจากรถ มองรูปปั้นพระแม่มารีจูงเด็กๆ ที่ตั้งหน้าประตูแล้วก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พี่สาวผมจบจากโรงเรียนนี้เหมือนกันตอนนี้ก็เรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด พี่เปลที่นั่งอยู่ในรถโบกมือให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเร่งให้พ่อออกรถ
“ที่ตรงนี้กูจอง”
เสียงแหลมปรี๊ดของไอ้ต๋อมดังขึ้นปลุกผมให้ ไอ้ต๋อมคนนี้มันเคยอยู่ห้องเดียวกันเมื่อเทอมก่อน แหม กูเกือบจะหย่อนตูดแล้วเชียว ไม่เห็นมีป้ายติดเลยว่าจอง พ่อมึงเป็นหุ้นส่วนโรงเรียนไง๊
“มึงไปนั่งข้างหน้าไป ที่ข้างหลังเค้าจองกันหมดแล้ว เตี้ยๆ อย่างมึงอะเดี๋ยวก็ได้ยืดคอยาวดูกระดานหรอ”
“ฮ่าๆ” ไอ้ต๋อมทำหน้ายียวนแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนข้างหลัง
“ตลกมากหรอวะ ไอ้หมูอ้วน อยากลองดีกับกูหรอ เดี๋ยวเหนี่ยวพุงยุบ”
แน่นอนว่าคนอย่างผมตอบกลับไปโคตรดังว่า
“อ๋อ จองแล้วหรอ ไปที่อื่นก็แล้วกัน”
เข้าใจถูกแล้ว ไอ้ข้างบนก็แค่ความคิด
แม่ง
มันหงุด...
ทำไมกูต้องเกิดมาเตี้ยด้วยวะ
พรึ่บ!
ผมวางกระเป๋าที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนบนโต๊ะข้างประตูแถวที่สาม เออก็ยังดีไม่อยู่ข้างหน้ามาก ผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ถามว่าผมเจ๋งมากงั้นหรอ หึ เปล่าหรอก แค่ไม่อยากโดนมาสเตอร์เรียกหลบตรงนี้ก็โอเคอยู่ ผมหยิบของในกระเป๋าออกมาจัดๆ กูเอาของเล่นมาด้วยนี่หว่าจับให้มันสู้กันแม่ง ขณะทุกคนยังโหวกเหวกอยู่นั้นเสียงคาบโฮมรูมก็ดังขึ้น ผมไม่สนใจหรอกเดี๋ยวมาสเตอร์ก็เข้ามาเอง ไม่มาก็ยิ่งดีใหญ่ ที่นั่งข้างๆ กับข้างหน้าผมยังไม่มีใครมานั่งเหมือนเดิม ทำไมวะ กลัวกูกันอ่ะดิ หึ...(มโน) ก้มหน้าเล่นไปเรื่อยแล้วจู่ๆ เสียงก็เงียบลง แล้วเสียงซุบซิบที่ดังโคตรๆ ก็เข้าลอยหู
“ไอ้กลางนี่โดนทีชเชอร์หนิงเรียกไปคุยตั้งแต่เปิดเทอมเลยหรอวะ”
“เออคนดังก็เงี้ย”
“พ่อคิงต๋าย ห้ามพูดดัง เดี๋ยวมันได้ยิน” ฮาสงสัยว่าคิงกินโทรโข่งหรอ เออ..เข้าใจถูกผมพยายามพูดภาษาเหนือในใจ
“ตอนเลือกหัวหน้าก็ให้มันเป็นเลยละกัน มาสเตอร์คงชอบ”
ตึก ตึก ตึก
“มีคนนั่งยัง?”
เสียงดังขึ้นเหนือหัว ผมละสายตาจากของเล่นก่อนจะเงยหน้าไปมองมัน...ไอ้กลางที่คนอื่นพูดถึงนี่เอง มันเป็นคนเก่งของโรงเรียนใครไม่รู้จักก็แปลกขึ้นไปหน้าเสาธงแทบทุกครั้งที่มีงาน แต่เราไม่เคยพูดกันซักครั้ง ไม่เคยอยู่ห้องด้วยกันด้วย ไอ้นี่เกิดมาหน้าตาก็ดีเลยหรอวะ ผมเผลอขมวดคิ้วแต่ไอ้คนตรงหน้ามันกลับคิดไปอย่างอื่น
“อ้าว มีคนนั่งแล้วหรอ งั้นไปข้างหน้าก็ได้”
ไอ้กลางยิ้มใส่ผมเล็กน้อย ผมรีบก้มตาดูของเล่นที่ถืออยู่ มึงจะยิ้มทำไมเนี่ย รู้มั้ยว่ามัน...แสบตา ฮึ่ย มันคว้ากระเป๋าแล้วไปนั่งข้างหน้าผม เออ ไม่ต่างกันมาก เปลี่ยนจากนั่งข้างๆ มานั่งข้างหน้า มานั่งให้กูมองท้ายทอยมึงเนี่ยนะ แล้วมึงจะสูงกว่ากูเพื่อ หงุด...
เพราะความหงุดผมไม่สนใจว่าใครจะมานั่งข้างๆ หรืออะไรอีกแล้ว ผมเล่นคนเดียวไม่ได้สนใจเรียนอะไรมาก มาสเตอร์ไม่เพ่งเล็งหรอก แบบว่าอยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่สนใจเรียน ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจผมเหมือนกัน ผมกินข้าวก็กินคนเดียวบ้าง ไม่กินบ้าง ไปเล่นกับไอ้แบงค์บ้าง มันเป็นเพื่อนห้องเก่าน่ะ ผ่านมาอาทิตย์กว่าการอยู่เงียบๆ ของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป
“ปรมัต ออกมาทำข้อนี้ซิ”
มาสเตอร์อภิรักษ์สอนวิทยาศาสตร์อยู่หน้าห้องเรียกผมเสียงดัง แทบสะดุ้งเพราะทุกสายตาหันมามองหมด กูไม่ได้อายหน้าห้องแค่นี้แม่งจิ๊บจ๊อย เดินออกไปช้าๆ เฮ้ยตรงนั้นมันจะหัวเราะทำซากไรวะ กูเป็นตลกหรอหรือใครจ้างตลกมาเล่นแถวนี้
“ปรมัต สั่นอะไรออกมาหน้าห้องแค่นี้”
สั่นอะไรมาสเตอร์ ผมไม่เคยเหอะ เก่งจริงกู...เก่งในใจเนี่ย ชิบหาย เงยมองบนกระดานดำ นี่มันคำถามอะไรวะเนี่ย ผมเอ๋อแดกอยู่หน้าห้อง ไอ้เพื่อนข้างหลังหัวเราะผมระนาว แน่จริงมึงมาตอบดิ แต่แน่นอนว่าสีหน้าและท่าทางของผมมันคงดูตลก
“ทำได้มั้ย?” มาสเตอร์ถามย้ำ ผมเผลอไปสบตาแล้วก็รีบเบนสายตามองพื้น
“ไม่ได้...ครับ”
“ทำไมต้องทำเสียงเอื่อยๆ แบบนั้นด้วย ไม่กระตือรือร้นเลย” ฟาดไม้เรียวบนโต๊ะข่มผมไปที
“...” เงยหน้ามองมาสเตอร์ตาปริบๆ ไม่ทันได้พูดอะไรก็มีคำสั่งลงมา ผมได้แต่มองผมเรียบแปล้แบบปัดขวาแนบไปกับหน้าผากของมาสเตอร์เท่านั้น
“สก็อตจัมพ์สิบที!” หรือเพราะแอบมองหน้าผากมาสเตอร์ผมถึงต้องมันสก็อตจัมพ์ต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง พวกมันเงียบกริบเพราะมาสเตอร์คนใหม่แสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว พอเห็นว่าคนอย่างไอ้เปาสก็อตจัมพ์เหมือนคนขาดสารอาหารไอ้พวกนั้นมันก็ส่งเสียงหัวเราะมาตามคลื่นเสียงระลอกใหญ่
“พวกที่นั่งอยู่ก็อย่ามัวแต่หัวเราะ ถ้าถามแล้วไม่ได้ก็โดนเหมือนกัน” สมน้ำหน้าเงียบเลยนะพวกมึง
สิบทีทำไมมันนานงี้วะ กูปวดขาชิบเป๋ง หงุดอีกแล้ว...
ผมยืนก้มหน้าอยู่หน้าห้อง คนอย่างไอ้เปาไม่เคยสบตาใครอยู่แล้ว มาสเตอร์กอดอกแล้วพยักหน้าบอกให้กลับเข้าไปนั่ง ขาแทบสั้น เอ๊ย สั่น แน่ล่ะ เกิดมานอกจากเรียนว่ายน้ำตามกฏของโรงเรียนแล้วผมก็ไม่เคยออกกำลังกายอะไรอีก เดินขึ้นบันไดไปเรียนยังคิดแล้วคิดอีก
“คนกลาง” มาสเตอร์เรียกคนข้างหน้าผมด้วยเสียงไม่ดังนัก ทุกคนเลยหันไปมองคนที่โดนเรียกกันหมด รวมถึงผมด้วย ทำไมต้นคอมันขาวจังวะ น่ากัด...เฮ้ย คิดอะไรวะเนี่ยความหงุดเข้าสิงไงวะกู
“ครับ”
“มาสเตอร์ฝากดูปรมัตหน่อยนะ” พูดกับไอ้คนกลางเสียงอ่อนเชียว ผมมองมันจากด้านหลัง มันพยักหน้าแล้วตอบรับว่าครับเบาๆ จากนั้นมาสเตอร์เบนสายตามาทางไอ้เปาบ้าง
“ถ้าคราวหน้าไม่ตั้งใจเรียนอีกโดนแน่ เข้าใจมั้ย”
หงุดเว้ย... อยากตะโกนว่าอย่ายุ่งกับผมแต่ก็ตอบกลับไปได้แค่ว่า
“ครับ”
นับตั้งแต่วันนั้นคนที่มองท้ายทอยมันมาตลอดก็เริ่มเปลี่ยนจากมองท้ายทอยมาเป็นมองหน้าของไอ้กลางแทน
แต่ว่า...
ไอ้นี่เป็นไรนักหนา ทำไมต้องมายุ่งกับผม
“ไอ้เปา ส่งการบ้านยัง”
“ไร” แม่งทำไมเสียงกูไม่แมนเหมือนคนอื่นบ้าง เสียงเป็นเป็ดเลย
“การบ้าน” มันหันหลังมามองผมพร้อมกับแบมือ ชะโงกหน้าไปดูกองสมุดบนโต๊ะมันถึงได้รู้ หัวหน้าห้องเก็บการบ้านนี่เอง
“อ่ะ” ผมควานมือในเก๊ะใต้โต๊ะ ไม่ต้องห่วงในนั้นไม่มีงู เจอสมุดการบ้านแล้วก็ยื่นไปให้มัน ไอ้หัวหน้าห้องคนดีก็คว้าไปเปิดปั๊บ เฮ้ยๆ มึงอย่าดูดิวะ
รู้ว่าเก่ง บอกเลยภาษาอังกฤษกูเทพเล่นเกมบ่อย weapon attack left right ฮู้วๆ หมูๆ
“อะไรเนี่ย ตอบมั่วใช่มั้ย”
“...” อะ แม่งมันรู้เร็วไปป้ะ ยังไม่ทันได้อ่านอะไรเลย ไอ้กลางส่ายหน้า มันหันตัวมาทั้งตัวแล้วก็ชี้ๆ มาที่สมุดการบ้าน
“ทำใหม่เร็ว”
“ส่งไปเหอะน่า” หรี่ตามองด้วยความรำคาญ แต่ไอ้คนตรงหน้ากลับไม่ยี่หระ ผมที่ปรกหน้ามันสะบัดเบาๆ แก้มก็มีสีเลือดฝาดแบบคนมีกะตังค์ ผมมองมันนิ่งแล้วรู้สึกแปลกในใจ นี่กูเป็นไรเนี่ย...ไอ้ตัวน่ารำคาญมันทำอะไรวะ
“ไม่ได้ ทำใหม่เร็ว เดี๋ยวสอน” ขมวดคิ้วยังไม่น่ากลัวเลยคนอะไร ผมไม่ได้ยอม บอกเลยแค่รำคาญ
“ก็ได้”
“เสียงมึงนี่โคตรเป็ดเลย” มันเท้าคางกับมือตัวเอง จ้องหน้าผมระยะประชิดก็เก้าอี้มันติดกับโต๊ะผมซะอย่างนั้น เวลามันหันมาที่ไรหัวแทบจะชนกันอยู่แถว จ้องหน้าแล้วยังจะ...เฮ้ยๆ อย่ายิ้มนะมึงง ไอ้กลางคนดีของโรงเรียนคลี่ยิ้มก่อนจะยกมือมาขยี้หัวผม “น่ารักดี”
แม่ง บอกตัวเองเถอะ
คำนี้ไม่เหมาะกับกูเลยซักนิด ผมเบี่ยงหัวแล้วมองสมุดการบ้าน บอกตรงๆ เลยว่าอ่านไม่รู้เรื่องซักตัว ที่ส่งไปเพราะแอบเหล่ไอ้เก้เด็กแว่นที่นั่งข้างๆ มา หรือมันเขียนคำตอบหลอกกูวะเนี่ย
นับจากวันที่มาสเตอร์บอกให้ไอ้กลางช่วยดูผม ไอ้คนกลาง หัวหน้าห้องก็มายุ่งกับผมเรื่อยๆ บางทีผมก็เดินหนีบ้างแต่มันก็ไม่ลดละความพยายามวิ่งตามมาหรือไม่ก็ลากแขนผมไปเลยทีเดียว ขนาดต้องไปซ้อมวาดรูปไม่มีเวลาเรียนหนังสือ มันก็ยังตามมาวอแวเมื่อมีเวลาว่าง ผมมักจะทำหน้าไม่สนใจมันเวลามันมาวุ่นวายด้วย แต่พอมันขาดเรียนเพราะต้องไปทำกิจกรรม กูก็เหงาเลย เออยอมรับแบบแมนๆ ไอ้เก้ก็ไม่ค่อยจะคุยด้วย มองเก้าอี้ข้างหน้าที่ว่างแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนมันอยู่ทำไมกูชอบหงุดแต่พอมันหายไปกูก็ไม่พอใจอยู่ดีแต่ก็นั่นแหละ....
รู้ตัวอีกทีผมก็มักจะเผลอมองแต่ไอ้กลางไปซะแล้ว
“ไอ้กลางไม่มาว่ะวันนี้”
ผมเดินอยู่ทางเชื่อมไปตึกนักบุญเทเรซา เดินมาซักพักก็มีคนมาขวาง เงยหน้ามองก็ร้องอ๋อในใจ ไอ้เกมส์ขาใหญ่แห่งห้องสาม อยู่ห้องด้วยกันมาเป็นเดือน มันคือคนที่ผมไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด ไอ้นี่แม่งชอบหาเรื่องแกล้งผมยิ่งตอนไอ้กลางไม่อยู่ยิ่งหนัก ตอนแรกมันไม่สนใจผมด้วยซ้ำ ตั้งแต่คำสั่งของมาสเตอร์อภิรักษ์ นอกจากไอ้กลางจะมาตามติดผมแล้ว ดูเหมือนว่าคำสั่งนั้นมีผลต่อไอ้เกมส์ด้วยเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไม
“ไปไหน ไอ้เตี้ย”
“...”
“ถามก็ตอบดิ”
“ไปห้องไอ้แบงค์” แน่นอนว่าเสียงที่ออกมามันต้องไม่มีเรี่ยวแรงจนไอ้เกมส์หัวเราะลั่น
“ไม่มีเพื่อนคุ้มกะลามึงแล้วดิ เลยไปหาห้องอื่น” กูแค่จะไปเอาการ์ดยูกิมาจากไอ้แบงค์ มันยืมไปเป็นปีแล้วโว้ย
ผลัวะ!
ไอ้โย่ง มึงเห็นกูเป็นลูกบาสหรอตบมาได้ ผมเม้มปากแต่ไม่ได้ตอบโต้ มันมากับพวกอีกหลายคน ผมไม่อยากของหายอีกแล้ววันนี้ กว่าจะหาเจอพ่อฟาดขากูทุกวัน ของหายมันหลายตังค์นะเว้ย คนมีตังค์ไม่เข้าใจหรอก
“เม้มปากหาพ่อมึงหรอ อยากรองเท้าหายมะวันนี้” ไอ้เกมส์ทำเสียงยียวน ยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผมถึงกับหดเท้าเหมือนว่าจะซ่อนจากสายตาพวกมันได้งั้นแหละ เพื่อนมันข้างหลังก็ยิ้มๆ
“ไปก่อนนะ” หมุนตัวกลับ ไม่ไปแล้วห้องไอ้แบงค์อะ ยูกงยูกิกูไม่เอาละ เดี๋ยวกูปั้นดินน้ำมันเล่นเองละกันนะไอ้แบงค์
“ไม่มีไอ้กลางเหมือนเป็นง่อยเลยว่ะ”
ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ส่วนพวกมันก็เดินมาล้อมผมไม่ยอมให้เดินไปไหนซักที เพื่อนมันยื่นมือมาผลักหัวผมอีกครั้ง เออ กูยอมรับความเจ็บปวด ก้มหน้าแม่งเลยอยากทำไรก็ทำ จะได้จบๆ แล้วเป็นอะไร
เป็นอะไร
มัน?
ไม่! กูเนี่ยเป็นอะไร ยอมจังเลย
“เฮ้ย ทำไรวะ” ก่อนที่ฝ่ามืออรหันต์ของไอ้เกมส์จะเริ่มเปิดฉากการฟาดกบาลผม เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลัง
“ไอ้กลาง...” เชี่ย จะมาทำไมวะ เดี๋ยวก็โดนตีนหรอก ผมเหลือบตามองไอ้กลาง มันรีบเดินมา แขนขวาโอบกระดานวาดรูปขนาดกลางไว้ ผมพยายามจะบอกมันว่าให้กลับไปแต่ปากก็ไม่ขยับเลย ไอ้กลางเดินตรงมาแบบมั่นคงแล้วยืนบังผมซะมิด
“ทำไรมันอีก” ไอ้กลางถามจ้องหน้าไอ้เกมส์เพื่อรอคำตอบ
“อยากไปแข่งวาดรูปต่อก็อย่ายุ่ง”
ไอ้กลางชะงักไปเล็กน้อย ผมเห็นมันเม้มปากแน่น ไอ้เกมส์พ่อมันใหญ่คับฟ้า เชียงใหม่อยู่ในกำมือพ่อมันอ่ะกูว่า มือเท่าใบลานใช่ปะ โด่
“ไอ้เปาว่าไง จะไปฟ้องพ่อจนๆ ว่าอะไรอีก”
พ่อคิงต๋าย พ่อกูไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย พ่อที่ยิ้มตอนกูลงรถทุกวัน ถึงพ่อจะจนแต่มึงก็ไม่มีสิทธิ์พูดถึงพ่อกูแบบนี้ ผมกัดฟันกลั้นความโกรธ แต่ผมก็ยังเป็นผม ไอ้ขี้แพ้เปาที่ยอมไปวันๆ ลึกๆ แล้วผมไม่อยากให้พ่อเสียใจ ไม่อยากให้พ่อต้องมาห้องปกครองจนต้องยอมก้มหัวอยู่แบบนี้
“ใช่มั้ย ฟ้องไรดี ใช่มั้ยพวกเรา พ่อๆ โดนแกล้ง ฮือๆ”
“ร้องเป็นลูกแหง่ ฮือ...ฮือ ฮ่าๆๆ”
“พ่อไม่สอนหรอว่าอย่าดูถูกคนอื่น!” ไอ้กลางสูดหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง มันเป็นคำพูดที่ผมอยากจะพูดมาตลอด แต่ไอ้กลางกลับพูดเพื่อผม...คนที่ไม่เอาไหนซักนิด แม้แต่พ่อตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ผมรู้ว่าคนอย่างไอ้กลางไม่เคยเรียกร้องอะไร มันชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนกลางๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มักจะออกนอกกรอบตัวเองอยู่เรื่อย เพราะมันเป็นคนดีเกินไป
“นอกจากมึงเสือกเรื่องไอ้เปาแล้วมึงก็ยังจะเสือกเรื่องกูอีกนะ”ไอ้เกมส์พูดเสียงเเข็ม เพราะคำว่าพ่อไม่สอนทำให้ไอ้เกมส์ถลึงตา หูมันแดงขึ้น แต่มันไม่กล้าทำอะไรไอ้กลางหรอก ถ้าไอ้เกมส์มีพ่อเป็นแบ็คอัพ ไอ้กลางก็มีทีชเชอร์ทั้งโรงเรียนนั่นแหละ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ เล่นกับไอ้เปามากๆ ระวังโง่เหมือนมันนะ”
ไอ้เกมส์หน้าตึงแต่ก็ยื่นมือมาผลักไหล่ไอ้กลางให้เซมาชนผมที่ยืนอยู่ด้านหลังเท่านั้น ไอ้เชี่ย มึงทำมันเจ็บนะ
“ทีตัวเองยังไม่ชอบเลยแล้วคิดว่าคนอื่นจะชอบมั้ยล่ะ!”
ไอ้เกมส์กับพรรคพวกล่าถอยไปไอ้กลางเลยตะโกนตามหลัง มันเดินกลับไปเหมือนแกงค์อะไรซักอย่าง โชคดีไป มันคงอายที่โดนไอ้กลางว่าต่อหน้าลูกกระจ๊อกของมัน
“กูไม่เคยตะโกนอะไรแบบนี้มาก่อน” มันพูดยิ้มๆ พลางเอามือลูบหัวตัวเองเหมือนไม่เชื่อว่าคนที่ตะโกนปาวๆ คือตัวมัน พอเห็นผมมองมันนิ่งๆ มันค่อยๆ หุบยิ้มแล้วยื่นมือมาจับไหล่ผม
“เป็นไร เจ็บหรอ”
“มึงไม่ต้องยุ่งกับกูได้ป้ะ”
ผมต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ยิ่งมันยุ่งกับผมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีปัญหามากเท่านั้น ผมคิดแค่นั้นจริงๆ
[ต่อด้านล่างค่ะ]