25
คนกลางแห่งโลกใบนี้
ผมชอบ...ความพอดี
นั่นเป็นวลีที่ผมชอบพูดมากที่สุดรองจากคำว่าเหี้x
นอกจากนั้นอาจจะเป็นคำอื่นๆ ตามแต่สถานการณ์จะพาไป
โธ่ มันต้องมีบ้างแหละที่จะต้องหลุดคำอุทานที่ใครก็ไม่รู้นิยามว่ามันเป็นคำหยาบ
ผมมักหงุดหงิดเสมอ เมื่อมีใครซักคนนึงทำอะไรหลุดกรอบ เป็นต้นว่า แซงคิว หรืออะไรก็ตาม มันจะยากซักแค่ไหนกับการทำตามกฎ ทำอะไรที่ไม่ล้นไม่กว่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะผมเป็นลูกคนกลาง เห็นพี่ชายเรียกร้องน้อยไป มองน้องชายเรียกร้องเยอะเกิน แถมผมยังมีชื่อสุดตรงแด่วว่า “คนกลาง” ผมเลยชอบอยู่ตรงกลางในพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง
ไอ้เพื่อนตัวดีของผมอย่างไอ้โจ๊กมักจะเรียกผมว่าชายกลาง แต่ก็ดีกว่ามันเรียกผมว่ากลางคนล่ะมั้ง มันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องบอกว่าตั้งแต่ขึ้นมัธยม ผมมีเพื่อนหน้าเหมือนลิงเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
และตอนนี้คนกลางหรือชายกลางที่ไอ้โจ๊กเรียกก็ได้กลายเป็นไอ้กลาง ไอ้เชี่ยกลาง ไอ้เหี้ยกลาง ของเพื่อนๆ ในแกงค์คนหล่อแห่งศิลปกรรมศาสตร์ สาบานว่าผมอยากตั้งใจเรียนเงียบๆ คนเดียว แต่เพราะคณะนี้ไม่มีใครปกติซักคน คนกลางอย่างผมเลยต้องมาอยู่ในวงโคจรความล้นกับคนล้นๆ ที่บังเอิญมาเจอกันที่นี่
จะว่าไป...มีอยู่คนนึงครับที่ต้องบอกว่ามาเจอกันอีกครั้งมากกว่า...ไอ้เปา ปรมัต หรือน้องชายนกกระปูดแดงของผม ไอ้คนที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนกลางๆ ที่ชักจะไม่กลางไปซะแล้ว
ถามว่ามันอยู่ไหน...ก็นู่นไงครับ
ตึ่ง ตึ่ง โปะ ตึ่ง ตึ่ง โปะ
ไอ้คนที่เต้นเป็นบ้าเป็นหลังท่ามกลางกองสันทนาการสินกำอยู่ตรงนู้น
ไอ้คนที่แหกปากเสียงดังกว่าชาวบ้าน
ไอ้คนที่ทำท่าเซ็กส์เสื่อมน่าอุจาดตาที่สุดคนนั้นน่ะครับ
“มัดหมี่ มัดหมี่ ขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ครัว มัดหมี่ มัดหมี่ไม่รู้ตัวถูกคนชั่วลากออกไป อะ อะ อ๊ายยย ลากออกไป”
“เอาไม้แหย่รู ถูๆ ไถๆ อ๊ายยยย เอาไม้แหย่รูถูๆ ไถๆ ”
“แสบๆ คันๆ มันส์ๆ ปนกันไป”
“เดี๋ยวๆๆๆ หยุดก่อน“ ไอ้เปายกมือเบรกกองสันฯ ที่กำลังซ้อมอยู่ทำให้เพื่อนๆ หยุดเต้นด้วยความงงงวยแต่ก็มีหนึ่งคนที่ไม่หยุดตามที่ไอ้เปาบอก
“แสบๆ คันๆ มันส์ๆ ปนกันไป เอาออกก็ไม่ได้ใครก็ได้ช่วยเอาออกที๊”
ผลัวะ!
“ตบกูทำไมเนี่ยเชี่ยทัพ”
“เหี้ยกล้วย เต้นมันส์ไม่มองประเทศไทยเลย เพื่อนยืนมองจนเสียวไปหมดแล้วโว้ย”
“เอ้า หยุดก็ไม่บอกวะ คนกำลังมันส์”
ไอ้เปาท้าวเอวก่อนจะส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ในวันนั้นมันคือเด็กชายปรมัตที่ขี้อาย แต่ในวันนี้มันกลายเป็นหัวหน้ากองสันฯ อย่างเต็มตัวแล้วครับ ส่วนกีวี่ได้ซิ่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากผลงานของไอ้เปาในงานสี่เสาแห่งศิลปะทุกคนเลยเรียกร้องให้มันเป็นหัวหน้าแทนครับ
“กูว่าตรงนี้พวกสันฯ หญิงต้องกรี๊ดด้วย ให้มีเสียงแทรกเว้ย แบบแสบๆ คันๆ จริงๆ จะได้ดูสนุกมากขึ้น” มันออกความเห็นเพื่อนหลายคนก็พยักหน้า
“งั้นตรงนี้กู อีส้ม อีแยม ซาร่าจะกรี๊ดแล้วก็ทำเสียงแบบอีโรติคหน่อย” เพื่อนผู้หญิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงตอบก่อนจะก้มไปพับขากางเกงเลที่หลุดลุ่ยจากการเต้น
“พูดเหมือนมีประสบการณ์” ไอ้กล้วยแซะครับ
“อีเหี้ย กูลูกสาวจ๊ะ คันหูนะเว้ย” ซาร่าร้องทำท่าคันประกอบจนเพื่อนผู้ชายโห่
“เออ เอาเต็มที่ กูขอเริ่มใหม่อีกที” ไอ้เปายกมือห้ามก่อนที่เพื่อนจะเถียงกันแล้วมันก็ส่งสัญญาณให้กับการซ้อมอีกครั้ง พอเสียงกลองเริ่มต้น เหล่าคนบ้าที่กำลังจะขึ้นปีสองก็เริ่มโยกย้ายร่างกายเหมือนโดนผีสิงอีกครั้ง หลังจบปีหนึ่งพวกมันคงเอาความแค้นกับการเรียนมาลงที่การเต้นละมั้งครับ
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ม้าดดดดดดหมี่ มัดหมี่ขูดมะพร้าว....”
“กลาง มายิ้มอะไรตรงนี้ไม่เข้าไปรอในห้องประชุม”
“อ้าวเพียว ก็ยังไม่ถึงเวลาเลยมานั่งดูอะไรไปเรื่อย ไอ้เปามีซ้อมพอดีเลยออกมาพร้อมมัน”
“อ๋ออออ มากับเปา...”
“ฮะ..เฮ้ย ทำไมตางั้น”
“ก็เปล่าตามันร้อนๆ เนอะ”
ผมขมวดคิ้วเอียงหน้ามองเพื่อน “เพียว...ไม่สบายรึเปล่า?”
“กลางงง ตาร้อนคืออิจฉาย่ะ”
“อ้าวหรอ”
“อิจฉาสุดๆ อะ...”
“มาอิจฉาเราทำไม”
“เขาอิจฉากลางกันทั้งประเทศนั่นแหละ ในไอจีหวานเว่อร์ ตอนเดินมาด้วยกันนี่ไม่มีคนมองเลยถามจริงงง”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ”
“จ้ะ พ่อคนไม่สนอะไรทั้งสองคน”
ไม่ใช่ว่าผมกับไอ้เปาจะไม่สนโลกนะครับเพราะเราทั้งคู่ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ชอบโชว์หรือต้องบอกคนอื่นทุกอย่าง เราก็เป็นของเราแบบนี้ แต่อย่าให้พูดถึงตอนที่อยู่กันสองคนในห้องปิดตายนะครับ ไอ้เปาที่สาวๆ หนุ่มๆ กรี๊ดมันก็จะกลายเป็นไอ้เปาที่ผมเห็นได้คนเดียว อย่าอ้วกนะครับ ประโยคเมื่อกี้ไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย ให้มันเป็นแค่ตอนอยู่กับผมสองคนก็พอ สงสารคนอื่นเขา
“ถามหน่อยดิ เปาเวลาอยู่กับกลางสองคนเนี่ยเป็นยังไงหรอ” เพียวถามราวกับรู้ความคิดผม
“เอ่อ...เวลาที่อยู่กันสองคนหรอ” ผมทำท่าคิดพลางนึกถึงเวลาที่มันอยู่กับผม เสียงโห่ฮายังคงดังมาเข้ามาในโสตประสาทไม่ขาดสาย ผมหันไปมองที่มาของเสียงก่อนจะยิ้มแล้วตอบเพียวอย่างเหม่อลอย
“ไอ้เปาก็จะเป็นไอ้เปาเวอร์ชั่นไอ้เปามากๆ เลยน่ะสิ”
หน้าไอ้เด็กแก้มย้วยลอยเข้ามาในหัว เวลาอยู่กับผมน่ะนะ...
“ให้ตาย ยิ้มละมุนขนาดนี้ไม่รู้จะถามต่อยังไงเลย”
“ฮะๆ” ผมลูบหัวแก้เก้อ ไม่รู้จะตอบเพียวว่ายังไงเหมือนกัน
“เบื่อคนมีแฟนแล้วมีโค้ดลับเนี่ย ปะ เข้าห้องประชุมกัน” เพียวลุกขึ้นแล้วชวนผมเดินเข้าไปห้องประชุมของคณะ ผมก้มลงมองนาฬิกาก็พบว่าจวนได้เวลาแล้ว อีกไม่กี่เดือนเราก็จะเป็นพี่ปีสองเต็มตัวแล้วก็จะมีกิจกรรมให้ทำอีกมาก ผมเดินตามหลังเพียวมาไม่นานไอ้เจก็เดินมาจากโรงอาหารคณะ ผมกับเพียวเลยหยุดเดินรอมันเดินมาหา
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
“คนกลางงงงงงงงงงงงง!”
ไม่ทันได้สังเกตว่าเสียงร้องเพลงหยุดไปเมื่อไหร่แต่เสียงรัวกลองพร้อมกับเสียงประสานเรียกชื่อผมดังลั่น เราสามคนชะงักก่อนจะหันไปมอง ไอ้พวกกองสันทนาการที่เต้นล้อมกลองอยู่เมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นเรียงแถวหันมาทางพวกเราแทนพร้อมกับป้องปากตะโกน บางคนก็กวักมือพยักหน้า การตีกลองแล้วเรียกชื่อแบบนี้คือการส่งข้อความของพวกสันฯ ครับ ไอ้เจกระตุกยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่ผม ประมาณว่ามึงเรียกไอ้นี่กันหรอ
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
“คนกลางงงงงงงงงงงงง!” พวกกองสันฯ โดยเฉพาะไอ้คอหล่นทั้งหลายแหกปากตะโกนลั่น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของหัวหน้ากองสันฯ ตะโกนขึ้นมาเดี่ยวๆ ตบท้าย
“น่าร้ากอ๊า!”
เชี่ย...
ผมค้นพบแล้วว่าไอ้เปาหน้าบางเฉพาะเรื่องบนเตียงเท่านั้นแหละครับนอกนั้นด้าน
“ฮิ้วววววววววววววววววววววว”
ถึงตอนนี้จะปิดเทอมแต่พวกปีสองปีสามที่มาเตรียมงานรับน้องก็เดินกันให้ขวัก จะพูดจาบ้าบออะไรก็อายมั่งเหอะครับพี่
ผมรู้สึกว่ามือไม้ตัวเองจะอยู่ผิดที่ผิดทาง แม่งทำตัวไม่ถูกเลย เพียวหัวเราะล้อเลียนผม พวกเราสามคนตรึงเท้าจ้องกองสันฯ ที่โห่ฮิ้วกันอยู่แบบนั้น อะแฮ่ม เป็นผมที่รู้สึกตัวก่อนต้องรีบออกจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด ผมหันหลังกลับพึมพำบอกเพื่อนอีกสองคนให้เดินตาม
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
“คนกลางงงงงงงงงงงงง”
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
“เป็นกำลังใจให้นะ” ไอ้เปาป้องปากตะโกนยืดแขนสองข้างมาข้างหน้า
ผมสบตาไอ้คนที่ส่งมินิฮาร์ทมาให้แวบนึงก่อนจะเดินก้มหน้างุดๆ เดินเข้าห้องประชุมไป ไม่วายยังได้ยินเสียงวี้ดวิ้วตามหลังมา
แม่งอากาศโคตรร้อนเลย
“สับปะรด สับปะรด!”
ผมสะดุ้ง จู่ๆ ไอ้เปาที่นอนกอดหมอนอยู่ตรงโซฟาก็ถีบตัวลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนลั่น ผมที่ทำกับข้าวในครัวเลยรีบเดินเข้ามาหามัน ตกใจเสียงนึกว่าโดนผีเข้า ดูสิ...ในมือยังถือทัพพีอยู่เลยครับ
ไอ้เปาทำหน้ามึนๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ นี่ห้องผมเองครับ และไอ้เปาก็ย้ายมาอยู่กับผมแล้วด้วยเพราะลูกตื้อลูกอ้อนของมัน ทิ้งพี่เปลให้อยู่คอนโดคนเดียว เอ แต่บางทีพี่เอิร์นก็มานอนค้างครับ
“เฮ้ย เป็นอะไร”
“เปล่า ละเมอเพลงสันฯ อะ”
ผมส่ายหน้า หลายวันนี้พวกสันฯ ซ้อมกันจริงจังเหมือนจะไปประกวดโอลิมปิกแต่จริงๆ แล้วรุ่นพี่จะมาทดสอบการเต้นสันฯ ของพวกมันเร็วๆ นี้ครับ พอซ้อมเสร็จก็จะนอนตายเพราะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแบบสุดๆ ส่วนผมก็จะนอนตายเพราะมึนประชุมครับ เพราะผมชื่อคนกลางแล้วยังต้องเป็นคนกลางคอยห้ามเวลาพี่ยอร์ชกับไอ้เจเถียงกันเรื่องจัดกิจกรรมผมก็จะบ้าตาย
“ท่าจะบ้านะเราอะ” ผมว่าแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าครัว
“ท่าจะบ้ารักมึงงายยยยยย” แล้วมันก็แหกปากลั่น นี่ไงครับอาการแรกๆ ของไอ้เปาเวอร์ชั่นไอ้เปา
“ไม่สบายหรอ”
“เปล่า”
“เมาหรอ”
“เปล่า”
“แล้วเป็นอะไร”
“เป็นแฟนมึง”
ได้ยินมันตอบถึงกับอยากกุมขมับ ไอ้เด็กเปามองผมแล้วยิ้มกว้าง “มึงนอนไม่พอก็นอนต่อไปเถอะ”
“นอนไม่หลับ ถ้าไม่กลับพร้อมเธอ”
“อ่านปากของฉันนะ” ผมเล่นด้วย
“ว่า...” ถ้าจะบรรยายท่าทางของไอ้เปาตอนนี้ต้องบอกว่าเหมือนหมาหูตั้งหางกระดิก มันกำลังคาดหวังอะไรจากผม
“ว่า...เรื่องของมึง”
“กลางงงง ไม่น่ารักแล้วมึงอะ” ไอ้เปาร้อง สีหน้าเหวอโคตรๆ ผมกลั้นหัวเราะแล้วตอบกลับไป
“ไม่ต้องรักดิงั้น”
“รักไปแล้วโว้ย!” มันตะโกนมาทันใด
ผมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแล้วเดินเข้าไปในครัว ผมไม่ได้ทำอาหารเก่งอะไรหรอกครับ ทำเป็นไม่กี่อย่างแล้วแต่อารมณ์ว่าวันนี้อยากจะกินอะไร ไอ้เปามันก็ไม่เรื่องมากเท่าไหร่ครับ ถ้าไม่อร่อยมันก็จะบอกว่าคราวหน้าเอาใหม่ คงต้องปรุงแบบนี้ ลดอันนี้ลง ถึงอร่อยไม่อร่อยมันก็กินหมดครับ มันบอกว่ามีคนทำกับข้าวให้กินก็ขอบคุณมากแล้ว จำได้ว่าผมมองมันอึ้งเลยทีเดียว ประทับใจด้วย ส่วนตั้งแต่ที่มันบอกว่าจะเลิกรับงานมันก็ไม่รับงานจริงๆ ไอ้เปาบอกว่าอีกซักพักคงจะกลับไปทำแต่ช่วงนี้ขอพักก่อน มันเลยเต็มที่กับการเป็นหัวหน้ากองสันฯ มากๆ
ตอนนี้ผมกำลังต้มยำกุ้งน้ำข้นกับยำผักบุ้งกรอบที่ไอ้เปาบอกอยากกิน ทำทุกอย่างเสร็จแล้วจัดใส่ถ้วย ใส่จาน ปกติจะยกไปกินข้างนอกตรงหน้าทีวีครับแล้วแต่บางวันก็มากินที่โต๊ะเล็กๆ ในครัว นึกขอบคุณพี่ชายตัวเองในใจ ถ้าพี่โตไม่เลือกหอนี้ให้ป่านนี้ผมคงไม่สะดวกสบายแบบนี้หรอกครับ
“เปา เสร็จแล้วมายกไปเร็ว” ผมเรียกและมันก็ใช้ความเงียบตอบกลับมา
“...”
“งอนไรวะ” ผมชะโงกหน้าไปดูก็ยังเห็นนายปรมัตนั่งกอดหมอนอยู่ตรงนั้น
“โตแล้วกูไม่งอนหรอก”
“ที่เป็นอยู่เนี่ย เขาเรียกว่ามึงยังไม่โต เร็วๆ มายกข้าวไป”
“เดี๋ยวนี้นะมึงไม่สนใจกูเลย”
“หูววว จริงอะ”
“กวนตีนด้วย”
“ฮ่าๆ” แกล้งมันก็ตลกดีครับ สุดท้ายไอ้เปาก็เดินมาช่วยยกกับอาหารไปหน้าทีวี ชีวิตประจำวันของผมกับมันก็มีอยู่แค่นี้ ไม่ไปทำงานที่คณะก็กลับมาอยู่ห้อง เล่นเกม อ่านการ์ตูน ดูหนัง นานๆ ทีถึงจะออกไปห้าง ซื้อเสื้อผ้า หรือดูหนังในโรงฯ หรือไม่ก็พวกเดอะแกงค์นัดหาอะไรกินกันข้างนอก บางครั้งพวกมันก็จะหาเรื่องด่าผมกับไอ้เปาว่าไม่ออกมาเจอหน้าเพื่อนฝูง ทำไงได้ครับผมเบื่อการออกไปเจอคนเยอะๆ ผิดคอนเซ็ปต์คนพอดีอย่างผม
ตอนนี้ปิดเทอมผมกับไอ้เปาก็มีเตรียมงานรับน้อง เราก็เลยยังอยู่กรุงเทพฯ ต่อ ไม่ยอมกลับบ้าน แกงค์คอหล่นคนหล่อของผมก็เช่นเดียวกัน จริงๆ ที่อยู่หอก็มีแต่ผมกับไอ้ทัพลูกเศรษฐีอีสาน ส่วนไอ้กล้วยกับไอ้เบสก็ไปกลับบ้านเป็นว่าเล่น แล้วเพื่อนรักผมอีกคนน่ะหรอครับ...ไอ้โจ๊กกลับเชียงใหม่ตั้งแต่ปิดเทอมวันแรกแล้วครับ เดี๋ยวนี้ไม่มีรงมีรอกันหรอก รีบไปไหนก็ไม่รู้
“กินข้าวดิ นั่งเหม่อไร” ไอ้เปาโบกมือมาตรงหน้าผม
“เออๆ”
“อยากกินก็กินไม่ใช่นั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวี” ก่อนที่ไอ้เปาจะเริ่มบ่นผม ผมก็พยักหน้าลงเบาๆ แอบคิดในใจเงียบๆ ว่าตอนเด็กๆ ผมมักจะเป็นคนบอกให้มันกินข้าวมากกว่าจะให้มันมาเตือนผมแบบนี้ นี่มันชักจะกลับหัวกลับหางซะแล้ว
ผมเหลือบมองไอ้เปาที่นั่งก้มหน้ากินข้าวข้างๆ มันตัวสูงขึ้นไม่ตัวเล็กเหมือนแต่ก่อน มีกล้ามเนื้อไม่ผอมแห้ง หน้าตาไม่เอื่อยเฉื่อยแถมยังกล้าแสดงออกสุดๆ ไอ้เด็กติ๋มๆ ไม่สนใจใครในตอนนั้น ดูมันตอนนี้แล้วก้มมองตัวเอง ช่างแตกต่างสิ้นดี
“เจาะหูหลายรูแบบนี้เจ็บมั้ย”
ไอ้เปาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำหน้าตางงๆ “อะไรของมึงเนี่ย ข้าวก็ไม่กินมาถามเรื่องหูทำไม”
ผมตักข้าวกินไปคำนึงแล้วถามต่อ “อยากรู้”
“ไม่เจ็บหรอก”
“คิดไงถึงไปเจาะ”
“ไม่รู้ดิ ตอนนั้นเหงาๆ” เหตุผลมึงนี่เชื่อได้มั้ยเนี่ย
“มึงมาเรียนกรุงเทพฯ แล้วไม่มีเพื่อนเลยหรอวะ” ผมถามขึ้นอย่างสงสัยไอ้เปาไม่เคยพูดถึงเพื่อน หรือชีวิตหลังจากเราไม่เจอกันให้ผมฟังเลยครับ
“นี่รายการคนกลางร้อยคำถามหรอครับ” มันว่ายิ้มๆ แล้วรวบช้อนส้อม “อยากรู้ก็กินจานนั้นให้หมด นี่มึงหาเรื่องไม่กินข้าวปะวะเนี่ย”
เพราะความอยากรู้ผมเลยรีบกินให้หมด ไอ้เปานั่งรอผมกินเสร็จมันก็เก็บจานชามไปล้างให้ มันเป็นคนแบบนี้แหละครับ ถึงปากจะบ่นแต่อะไรช่วยได้มันจะช่วยโดยไม่ที่ไม่ต้องขอ นอกจากจะแกล้งให้ผมร้องขอเท่านั้นแหละ
“ล้างเสร็จยังงงงง” ผมเรียกแต่ก็ยังได้ยินเสียงจานกระทบกันดังตามมา หลังจากกินน้ำ หยิบแอปเปิ้ลมากินล้างปากเสร็จผมก็มานั่งรอไอ้เปาที่โซฟา
“ดูหนังไปก่อนไป ล้างอยู่เนี่ย”
ไอ้เปาตะโกนกลับมา ผมอมยิ้มแล้วยกมือถือขึ้นมาเช็คข้อมูลข่าวสาร เข้าแอพพลิเคชั่นรูปกล้องสีม่วงๆ ดูรูปกับอ่านพวกที่แท็กมา ไอจีผมแทบจะร้างเพราะไม่เคยอัพรูปอะไรกับเขาเลยตั้งแต่รูปไอ้เปารูปแรกเมื่อตอนนั้นและรูปที่สองที่แอบถ่ายจากในห้องมัน จนตอนนี้มันก็ยังเป็นสองรูปในไอจีของผมที่มีไอ้เปาเกี่ยวข้องด้วย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ส่วนไอ้เปาหลังจากที่มันลงรูปผมไปเมื่อวันนั้นคนก็ยังเข้ามาแท็กแซวผมไม่หยุด ผมเลยบอกให้มันอัพรูปอื่นกลบกระแส มันก็ยอมทำตามนะครับอัพรูปที่มันเคยวาดแต่ไม่ใช่สีน้ำที่มันถนัดหรอกแต่เป็นรูปพอร์ตเทรตที่มีหน้าผมเด่นหรา จากนั้นผมก็ห้ามไม่ได้แล้วล่ะครับ คอมเมนต์พุ่งโดยการนำของไอ้กล้วยหอมจอมชง
“เสร็จละหรอ” ผมทักหลังจากที่ไอ้เปาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา เสื้อยืดมันเปื้อนน้ำเป็นจุดๆ
“เสร็จอะไรยังไม่เอาเลย”
“เชี่ยเปา” ผมหน้าแดงวาบตีหลังมันไปทีนึง ไอ้ตัวการก็หัวเราะหึหึ แต่ก็แอบเห็นหูแดงๆ นะครับ เออเอาเข้าไปพูดเองเขินเอง
“มาเล่าเลย ลีลาจริงๆ” ผมหันไปมองแล้วจับแก้มมันให้หันมามองผม มันลีลาเอาแต่มองทีวีอยู่ได้
“มันก็ไม่มีอะไรอะ” มันตอบหน้าตายเลื่อนนิ้วเปลี่ยนเป็นดูยูทูปแทนช่องรายการปกติ เสียงติ๊ดๆ ตอนกดรีโมทดังแทรกบทสนทนาขึ้นมาเป็นระยะๆ
“ไม่มีได้ไง มึงไม่เคยพูดถึงชื่อเพื่อนมึงเลยนะ”
“เพื่อนในโรงเรียนมัธยมกูไม่ได้สนิทกับใครมากหรอก”
“ทำไมวะ”
“โรงเรียนที่กูอยู่มันไม่มีใครสนใจใคร เอาแต่เรียนกัน แถมม.ต้นกูก็ย้ายไปที่นึง ม.ปลายก็ย้ายไปอีกที่นึง คนอื่นๆ ก็สนิทกันหมดแล้ว”
“แต่จริงๆ ก็มีคนนึงนะชื่อซิง” ไอ้เปาหยุดคิดไปแป๊บนึงแล้วเล่าต่อ “เราคุยกันถูกคอพักนึงแต่มันย้ายไปเรียนต่อที่อื่นตอนม.5 จากนั้นก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย”
“โธ่ เหงาน่าดูเลยน้องนกของพี่” ผมมองมันด้วยสายตาสงสาร ทำหน้าเศร้าส่งไปให้แล้วเกาคางมันไปทีนึง
“หมั่นเขี้ยวโว้ย” ไอ้เปาบิดคางออกจากมือผม มันกัดฟันพูดจนเห็นลักยิ้ม ผมยิ้มขำๆ อย่าไปว่ามันเลยครับผมยังมีไอ้โจ๊กเป็นเพื่อนคนเดียวเลย แต่อย่างน้อยมันต้องมีบ้างล่ะ เดินคนเดียวเหงาแย่เลย
ไอ้เปายื่นมือมาล็อคท้ายทอยผม จนผมชะงักเริ่มระแวงในความคิดของมัน ที่ผมระแวงเป็นเพราะว่าตั้งแต่วันนั้นที่เราเอ่อ...แบบนั้นกันไอ้เปาดูเหมือนจะกลายเป็นคนบ้าไปแล้วครับ อยู่กันสองคนเมื่อไหร่มันจะติดหนึบผมเป็นปลาหมึกเชียว
“เฮ้ยๆ ทำอะไร” ไอ้เปายิ้มอย่างมีเลศนัย
“สงสารกูใช่มั้ยล่ะ ปลอบใจกูซะสิ” มันใช้มืออีกข้างบีบแก้มผมจนปากจู๋ มือมันใหญ่กว่าผมตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย
“อื้อออออ ปล่อยยย” หน้าผมคงจะดูน่าเกลียดสินะ ไอ้เปาถึงหลุดขำแต่ก็ไม่ยอมคลายมือ
“มาปลอบใจกันซะดีๆ โคตรเหงาเลยไม่มีเพื่อนเนี่ย” มันกดจูบลงมาที่ปากผมแรงๆ ผมดิ้นไอ้เปาก็กดลงมาอีกครั้ง ย้ำๆ อยู่แบบนั้น
Rrrrrrrr Rrrrrrrr
“อื้อๆๆ มีคนคอลมา” ผมทุบไหล่ไอ้เปา มันจิ๊ปากแบบหงุดหงิดพลางคลายมือออก พอผมได้อิสระก็เขยิบตัวหาที่มาของเสียงหลบสายตาพิฆาตของไอ้เปาทันที
“เล็กคอลมา” ผมบอกพลางเหลือบมองสีหน้าของไอ้เปา รอบตัวมันเหมือนมีรังสีสีเทาๆ แผ่ออกมา ตาคมคู่สวยหรี่มองแล้วกอดอก ผมมองมันหวาดๆ ก่อนจะกดรับสายของน้องชาย
พอกดปุ๊บก็เห็นน้องชายตัวโตใส่เสื้อนักเรียนปรากฏขึ้นในจอ ในมือของเล็กยังถือกล่องนมจืดอยู่
(กลางงงง รับช้าจัง)
“ช้าที่ไหนกัน”
(กลางต้องอยู่มอถึงเมื่อไหร่กลับบ้านได้แล้ว) แน่นอนว่าน้องชายผมมักจะถามคำถามนี้ตลอดเวลาที่ผมยังไม่กลับบ้าน
“อีกนิดนึง เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้วช่วงนี้พึ่งปิดเทอมเลยประชุมกันบ่อยก่อนแยกย้าย”
(แม่บ่นถึงแล้วเนี่ย)
“แม่หรือเล็ก” ผมถามอย่างรู้ทันเพราะแม่พึ่งคุยกับผมไปเมื่อวาน
(เล็กก็ได้...แล้วกลางทำอะไรอยู่) ไอ้เล็กเปลี่ยนเรื่อง
พรึ่บ!
ไอ้เปาที่ผมลืมมันไปชั่วขณะขยับตัวเข้ามาชิดแถมยังเอียงแก้มซบหัวไหล่ผมอีกด้วย และ...น้องผมต้องเห็นอย่างแน่นอน
(เฮ้ยพี่เปา ง่วงก็ไปนอนที่อื่นดิวะ ไหล่กลางไม่ใช่หมอนนะโว้ย) น้องชายผมแทบจะปากล่องนมทิ้ง มือที่ถือมือถือสั่นตามแรงโวยวาย เล็กแนบหน้าเข้ากับจอเหมือนมองใกล้แล้วจะเห็นผมกับไอ้เปาชัดงั้นแหละ ไอ้เปาไม่ตอบแต่หลับตาพริ้มกวนตีนน้องชายผม บี้แก้มกับไหล่ผมไปมา
“ห๊อมหอม ฟอด!” ไม่ว่าเปล่าซุกจมูกมาที่ซอกคอผมอีกด้วย
เชี่ย....
(กลาง!!!! ถอยออกห่างเลยนะ! ทำไมกลางนิ่งให้กอดแบบนั้น! กลางโดนเล่นของใช่มั้ย!)
ผมเกาหางคิ้วตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน นั่นสิ ทำไมผมไม่ขยับเลยซักนิด อาจจะเป็นเพราะว่าน้องชายผมกับไอ้เปาไม่เคยญาติดีกันแม้แต่วินาทีเดียว ตั้งแต่เรื่องคราวก่อนเล็กมันก็ยอมรับไอ้เปานะครับ มันบอกว่าไม่อยากให้ผมร้องไห้อีกแล้ว โถน้องเล็กของผม มารู้ทีหลังว่ามันเคยโทรเคลียร์กับไอ้เปาแล้วขอโทษไอ้เปาด้วย ระยะหลังๆ มาไอ้เล็กถึงยอมเรียกไอ้เปาว่าพี่เปา ถึงว่าพายุฝนซัดกระหน่ำ...
แต่เพราะความหวงพี่ของเล็ก ไอ้เปาจึงหมั่นไส้อยู่บ่อยๆ และยิ่งมากขึ้นเมื่อตอนที่ทางบ้านผมรู้แล้วว่าไอ้เปาจะย้ายมาอยู่กับผม ไอ้เล็กโวยวายยิ่งกว่าเมื่อกี้อีกครับ ดีหน่อยที่แม่กลัวว่าผมจะเป็นลมเป็นแล้งแล้วไม่มีใครดูแลขึ้นมาอีกไอ้เล็กเลยจำใจยอมแถมพี่โตยังเข้าข้างไอ้เปาจนออกนอกหน้า เรียกได้ว่าน้องเล็กโดนขัดใจก็คราวนี้เอง แต่ก็แค่นั้นแหละครับ เวลาไอ้เปาเจอกับน้องชายผมเมื่อไหร่ เหตุการณ์กวนบาทากันโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือ มันก็จะเกิดขึ้นประมาณนี้แหละครับ
“เปามันแกล้งเล่น” ผมว่าแล้วเบี่ยงไหล่ออกจากหัวไอ้เปาแต่มันยังล็อคคอผมแน่น
(กลางไม่เห็นหน้าพี่เปาเมื่อกี้หรอ เยอะเย้ยเล็กหรอวะ) อะไรนะ มันไปส่งสายตาให้กันตอนไหน
“มากกว่าหอมก็เคยมาแล้ว อยากดูมั้ย” ไอ้เปาคว้าโทรศัพท์จากมือผมไปถือเอง ตอนนี้มันเลยจ้องหน้าไอ้เล็กที่ขบเคี้ยวฟันได้อย่างเต็มสตรีม
(อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ยยยยย)
“หึ” ไอ้เปายิ้มมุมปากทำเอาคนมองอย่างผมใจกระตุกจนตาพร่า มันยืดตัวขึ้นแล้วจับคางผมไว้ก่อนจะเลื่อนหน้ามาใกล้ๆ ขยับองศาเล็กน้อย
(หยุดนะ กลางได้สติเดี๋ยวนี้ อย่าไปหลง กลาง!!!)
ขณะที่ปากเราใกล้กันมากขึ้นจนเกือบจะชิด ไอ้เปาก็กระตุกยิ้มไปที่จอ ผมเห็นน้องชายเบิกตากว้าง หน้าแดงสุดขีด
“น้องเล็กครับ ขออนุญาตปิดกล้อง นี่เฉพาะสิบแปดบวกนะครับ”
(...!!!)
ติ๊ด!
ไอ้เปากดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ด้านหลัง ผมโดนมันเบียดจนเอนหลังติดที่วางแขนโซฟาอีกด้านหนึ่ง ขอโทษน้องชายเมื่อกี้พี่ไร้สติจริงๆ
“แกล้งน้องกูได้แล้วก็เขยิบออกไปดิ” ผมดันอกมันออกไอ้เปายังไม่หยุดครับ
“ไม่ได้แกล้ง” มันว่าแล้วประกบปากลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสอดลิ้นเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ใครบอกว่ามันใส ไอ้เปาเนี่ยตัวดีเลยครับ มันผละออกหลังจากที่ผมนิ่งงันแถมยังหอบหายใจแรง
“ทำจริงต่างหาก”
ท่าขยิบตาตอนท้ายทำให้ใจผมเต้นแรงชะมัด
.
.
[ต่อด้านล่างค่ะ]