เมนูสุดท้าย : ต้มลิขิตพวงสวรรค์ใบมะขามอ่อน...Part จบ (END)
ถัดจากนั้นอีก 2 เดือน
ผมก็ต้องโบกมือลากู๊ดบายสเตจ ณ โรงแรมสุขีสุขังไปเรียบร้อย และแน่นอนว่า...
เปรมมันยังไม่ได้ขึ้นเป็น CDP เพราะประสบการณทำงานยังไม่พอ เฮ้อ..น่าเศร้าจริงๆ ที่จริงถ้าเทียบกับผมแล้วผมก็มีประสบการณ์ไม่พอที่จะขึ้นเป็น CDP ก็จริง แต่เพราะเส้นสายของผมไงทุกอย่างมันเลยดูง่าย เมื่อก่อนผมมองแต่ตัวเองเป็นหลัก แต่พอหันกลับมามองตัวเองอีกครั้งถึงได้รู้ว่า มันเป็นโอกาสที่อยู่ท่ามกลางความเอาเปรียบของผู้อื่นไง เป็นดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวเอง
แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วเพราะกำลังไล่ตามความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าให้กับตัวเอง นัยหนึ่งคือการทำความฝันของคุณนายนดาให้เป็นจริง
ผมนั่งเครื่องมาลงท่าอากาศยานอุบลราชธานีตอน 11 โมงตรง วันนี้ผมแต่งตัวตามสไตล์ด้วยของแบรนด์เนมเหมือนเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้า และเพิ่มความเท่เข้าไปอีกด้วย แว่นกันแดดพอลสมิท เอ่อ..ไม่ใช่ของพ่อผมนะ แต่เป็นชื่อแบรนด์นน่ะ
ลากกระเป๋าเดินทางมาถึงประตูผู้โดยสารขาเข้าเสร็จ เดินยังไม่ทันจะถึงสิบก้าวก็เห็นคนตัวใหญ่ ยืดหนวดดำมัดจุกโบกมือไหวๆ อยู่ไกลๆ
เอ่อ..บางทีก็คิดนะว่าพี่มันน่าจะเปลี่ยนลุคตัวเองบ้าง ผมนึกว่าคนงานที่ไหนมารอรับ
“คล้าว!” พี่มันตะโกนเรียกทันทีที่เห็น ผมยิ้มแหยให้พี่มัน แต่ก็เดินลากกระเป๋าไปหาแต่โดยดี เมื่อเจอพี่มัน ร่างใหญ่ก็อาสาลากกระเป๋าถือของให้ทุกอย่างแบบสุภาพบุรุษมากๆ จริงๆ ผมก็เขินน่ะ แต่ด้วยลุคมันเหมือนคนงานไง สายตาคนรอบข้างเลยมองเหมือนไม่ค่อยแปลกใจอะไรเท่าไร
เดินมาจนถึงที่อดรถ ดีที่พี่มันพอรักษาภาพพจน์ผมอยู่บ้างเลยเอาCRVมารับ พอขึ้นรถเปิดแอร์ดับร้อนจนเย็นฉ่ำ ผมก็ถาม
“พี่มารอรับผมตั้งแต่กี่โมงเนี่ย” ผมหันไปมองคนขับ พี่ขิตยิ้มเขินๆ
“7 โมงน่ะ”
หืม..?
“เช้าไปป่าวพี่ ไฟท์ผมลงตั้ง 11 โมง” ว่าไปตามจริง มือใหญ่ยกขึ้นมาหัวแก้เก้อ
“กูคิดถึงน่ะ อยากเจอมึงไวๆ”
อู้ววว ขิตแอคแทค! อ๊อก! ไม่ได้เขิน แต่ออกแนวขำ
“ไม่ต้องมาปากหวานเลยพี่” ผมว่าเสียงติดหัวเราะ พี่มันมุ่ยหน้างอนทันที ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนพี่มันจะขับรถออกไป เดินทางไปได้สักพักผมก็สงสัยอีกเรื่องหนึ่ง
“แล้วยายพี่ล่ะ”
“ไปรออยู่ที่ร้านแล้ว” ผมครางรับว่า ‘อ้อ’ ใช่แแล้วครับ..ตอนนี้ผมกับพี่ขิตมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว
•••••••••••••••••••••••••••••••••
“อุบลเมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซ่บหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์ ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล”
ผมเหลือบตามองป้ายคำขวัญขนาดใหญ๋ที่พี่มันเพิ่งขับรถผ่านไปเมื่อครู่
จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูล
พี่คิดหาทำเลเปิดร้านอาหารได้ค่อนข้างดีติดริมคลอง นับได้ว่าตอนกลางหากตกแต่งแล้วจัดแต่งสถานที่ อาหารเจ้าใหญ่ๆ แถวนี้คงได้ตายกันไปข้างแน่ๆ ตอนระยะเวลาที่ผมทำงานอยู่โรงแรม พี่ขิตมันโทรมาปรึกษาผมประจำนะว่าอยากได้ร้านแบบไหน ตอนแรกผมไม่กล้าออกความเห็นอะไรมากเพราะมันเป็นร้านของพี่มัน แต่คนตัวใหญ่กลับบอกว่ามันไม่ใช่แค่ร้านของพี่ แต่มันเป็นร้านของผมด้วย
ผมนี่ทึ่งเลย..
แต่พอมาถึงร้านเท่านั้นล่ะ หางคิ้วผมก็กระตุกแปลกๆ ร้านเสร็จไปประมาณ 1.5 ส่วนจาก 4 ส่วนใหญ่ แต่จริงมันจะไม่เป็นปัญหาอะไรถ้าพี่ขิตมันไม่ทำอะแปลกๆ อย่างเช่นตอนนี้
“ทำไมพี่เปิดก่อนที่ผมจะมา ไหนสัญญาไว้ว่าจะมาเปิดพร้อมกัน” ผมว่าเสียงขุ่นๆ จากร้านไฮโซอีสานที่ผมอุส่าห์วาดฝันไว้กลายเป็นเหมือนร้านจิ้มจุ่มข้างทางอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ดูดีกว่าหน่อยตรงที่กางผ้าใบให้ลูกค้าหลบแดด
หน้าร้านมีสเตชั่น ทำอาหารหน้าซึ่งตอนนี้คนที่กำลังลุยอย่างเมามัน พร้อมกับลูกมือ (น่าจะพม่า) กำลังกันวุ่นมือ
“มึงอย่าเพิ่งโกรธดิ คล้าว คือ ยายกูเขาใจร้อนอยากจะลองเปิดแค่ส่วนหน้าก่อนน่ะ” พี่ขิตมันอธิบาย ผมพยักหน้าผ่านๆ ก่อนจะตรงเข้าไป สวัสดีคุณยายตามมารยาท
เสร็จจากคุณยายผมก็มองหน้าพี่มัน
“ข้างหลังเป็นยังไงบ้าง” ถามออกไปเสียงเรียบ พี่ขิตพยักเพยิ้ดหน้าเข้าไปด้านหลัง
“ไปดูเองสิ..”
•••••••••••••••••••••••••••••••••
มาถึงด้านหลัง ตอนนี้มันเป็นโครงเปล่าๆ แต่ก็มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้วว่า ร้านอาหารอาจจะทำออกมาในรูปแบบไหน ที่ผมคุยกับพี่ขิตไว้ ว่าจะทำออกมาแนวโมเดิร์นหน่อย ซึ่งมีสามส่วนเอ้าท์ดอร์ท อินดอร์ทในตัวตึกด้านในที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาสก์ แต่ติดกระจกไว้รอบๆ ให้มันดูกว้าง ส่วนด้านหลังร้านก็ทำเป็นห้องพักพนักงานไว้นิดหน่อย ตอนนี้หน้าร้านพอใช้ได้แล้ว ในส่วนของตัวตึกก็ เป็นห้องติดกระจกเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้ตกแต่งหรือ ทาสีเลยไม่พร้อมรับแขก มีเพียงแค่ส่วนเอ้าทดอร์ทที่สามารถเปิดได้ แต่ต้องยกครัวมาไว้ข้างนอกแบบนี้
เดินชมไปเพลินๆ งานช่างก็ดีโอเคนะ แต่ที่ไม่โอเคก็คือ..คนข้างๆเนี่ยจะจับมือผมทำไมนักหนา
“ความจริงพี่ไม่ต้องจูงมือผมก็ได้นะ ผมไม่หลงหรอก” ผมท้วงพลางพยายามยื้อมือกลับ ไม่ได้เล่นตัวอะไรแต่พออยู่ข้างนอกพี่ไม่ต้องเปิดเผยขนาดนี้ก็ได้
“ไม่ได้ มึงน่ะชอบหายตัว” ไม่พูดเปล่า ไม่ยอมให้ผมยึดมือตัวเองกลับด้วย ผมนี่ถอนหายใจเลย
“ใครกันแน่พี่พี่ต่างหากที่ชอบหาย พี่ไม่กลัวยายพี่เห็นหรือไง” ขอโทษนะยาย ขอยืมมาอ้างหน่อย
“ยายกูรู้แล้ว”
หะ..หา!? รู้อะไรเดี๋ยว!
“รู้ว่า?” ผมถามอย่างตกใจ คงไม่ใช่ช่วงที่ผมไม่อยู่พี่มันจะพูดเรื่องอะไรแปลกๆใส่ยายตัวเองหรอกนะ
“มึงค่อนข้างพิเศษสำหรับกู”
พิเศษ..เอาจริงๆนะ ถ้าเป็นวัยรุ่นแบบเราๆ อาจจะรู้กัน แต่ถ้ารุ่นเบบี้บูมเมอร์แบบยายพี่เนี่ยผมไม่แน่ใจเท่าไรว่าความหมายมันตรงกันมั้ย
“เดี๋ยวนะ แล้วคำว่าพิเศษสำหรับยายพี่มันหมายถึงอะไร”ผมขมวดคิ้วถามทันที พี่ขิตทำหน้านึกคิด
“คงประมาณพี่น้องล่ะมั้ง”
อ่าวไอ้พี่...มึงอย่ามามั้งสิ!
“ปะเปลี่ยนชุด” อยู่ๆพี่มันก็ว่า..อะไรวะ เปลี่ยนเรื่องเฉย
“เปลี่ยนทำไมอ่ะ” ผมเริ่มหน้าเสีย หวังว่าไอ้พี่ขิตที่เรียกผมมาร้านคงไม่ใช่ว่า
“ไหนๆ ก็เปิดหน้าร้านส่วนหนึ่งแล้ว ควรเรียกลูกค้าสักหน่อย ปล่อยให้ยายทำคนเดียวไงเล่า”
นั่นไงมึงหลอกกู ไอ้พี่ขิต!!
•••••••••••••••••••••••••••••••••
“โอ้ยวันนี้ขายดีเกินมั้ยเนี่ยเหนื่อย..”
หลังจากเสร็จภารกิจขายของมาราทอนผมก็มาแผ่สองสลึงอยู่บนบนโซฟ้าหลังร้าน เหลือบตามองปลายเท้า เห็นไอ้พี่กำลังทำอะไรไม่รู้ ก๊อกๆ แก๊กๆ คงเก็บของมั้ง บิดไปบิดมาได้ครุ่หนึ่ง คนตัวใหญ่อย่างกะหมีกรีสลี้ก็เดินสองขาเข้ามา
“เป็นไงบ้าง” พี่มันถามด้วยรอยยิ้ม ผมยันตัวขึ้นมา ก่อนมุ่ยหน้านิดๆ
“เหนื่อยดิพี่ ทำไม่หยุดเลย แบบนี้ต้องจ้างคนมาช่วยนะ ทำ กัน 3 แบบนี้ไม่ไหวหรอก” บ่นให้พี่มันฟังเสร็จ ก็นึกว่าพี่มันจะมีอาการมากอะไรมากกว่านี้ ทว่าคนตัวใหญ่กลับทำแค่พนักหน้ามึนๆ
เหมือนไม่รู้ได้ว่าได้ฟังที่ผมพูดไปหรือเปล่า แต่ก็ดีอยู่อย่างนะที่พี่มันเป็นแบบนี้ เพราะถึงผมจะบ่น แต่ก็บ่นไปตามประสา ในหัวแม่งไม่ได้คิดไรหรอก จริงๆถึงเหนื่อยแต่ก็อยากทำเพื่อพี่มันล่ะ
ว่าแต่..นี่เราอยู่กันสองคนตั้งแต่เมื่อไร อาจุนม่าไอดอลของผมหายไปไหน
“แล้วยายพี่ล่ะ” ผมถาม พี่มันเบือนหน้าไปทางข้างหลังผม
“หนีไปนอนแล้ว” ร่างสูงพูด ผมพยักหน้า อยากที่ผมอธิบายในตอนแรก พี่ขิตมันวางแปลนร้านอาหารเอาไว้ทั้งหมดสามส่วนด้วยกัน มีทั้งเอ้าดอร์ทอินดอร์ท และส่วนของที่พักพนักงาน จริงๆตอนนี้ที่พักมันยังไม่เสร็จดีอะไร แต่มันก็นอนได้แล้ว สงสัยเพราะพี่มันว่คุณยายเหนื่อยเลยให้ไปนอนที่บ้านพักด้านหลังแน่ๆ
คิดถึงเรื่องนอนแล้วตอนนี้ผมก็ง่วงเหมือนกัน เหลือบดูนาฬิกาบนโทรศัพท์ 22.03 น.
อืม..4ทุ่มแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยกินอะไรก่อนดีมั้ยเนี่ย ขบคิดไปสักพักแต่อยู่ก้ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนเดินไป พอละสายตาออกมาจากโทรศัพทก็เห็นคนตัวใหญ่ เข้าไปที่ครัวสเตชั่นด้านหน้าร้าน
“พี่จะไปไหนน่ะ” ผมว่า พี่มันเพิ่งเช็ดครัวไม่ใช่เหรอวะ? ใบหน้าความเข้มหันมายิ้มบางๆ ให้ผม
“ไปทำอะไรให้มึงกินน่ะ เห็นยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนกลางวันนี้ นี่ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้วด้วย”
วรั้ย!..แบบนี้ต้องเสียงสองแซวพี่มัน
“เห..ทำไมน่ารัก”
“กูบอกแล้วว่ากู Lovely man” พี่มันยืดอกล่ำๆขึ้นมาวื ผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“Creepy man เหมาะกับพี่มากกว่า”
“พูดมากเดี๋ยวไม่ทำให้กินเลย” อุบ๊ะมีขู่!
“หมีเถื่อนงอนเหรอ” อย่าโกรธกูนะพี่ กูอย่าแกล้งมึงอ่ะ
“อะไร..ไม่ต้องมาทำเสียงสองเสียงสี่ใส่กูเลย ไปนั่งพักเฉยๆเลยเดี๋ยวกูทำให้” พูดจบ พี่มันก็เบะปากบึ้งใส่ ทว่าใบหน้าเข้มๆนั้นกลับขึ้นสีแดงนิดๆ โถ่..พี่เอ้ยอย่ามาแอ๊บอะไรน่ารักดิวะ แม่งไม่เข้ากับสาระร่างพี่มันเลยสักนิด
แต่ถึงพี่มันจะบอกว่าให้ผมนั่งเฉยๆ แต่จะให้งอมืองอเท้ามันก็ไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไรผมลุกขึ้นจากโซฟาบ้าง ก่อนจะเดินไปประกบพี่มัน
“ใจร้ายอะพี่ ไล่น้องได้ไง มาๆ ผมช่วยดีกว่านะ” ผมว่า พลางยิ้มแล้วยืนชะเง้อชะแง้ อยู่ข้างๆ พี่มันอย่างสำรวจว่าคนตัวใหญ่จะทำเมนูไหน ทว่ากลับถูกมือหนานั่นดันกลับออกมา
“กูบอกให้ไปนั่ง”
“โห่ไรวะ” ผมท้วงหน้ามุ่ย ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเส้นมะละกอดิบที่ยายของพี่สับทิ้งเหลือไว้ที่ถุงพลาสติดด้านในตู้กระจกใส
ผมเดินเข้าไป จับๆ ก่อนคิดเมนูหนึ่งมาได้ แล้วมุดลงไปใต้โต๊ะหยิบครกกับสากที่ลากไปเมื่อกี้ขึ้นมา
“มึงจะทำอะไร” คงเป็นเพราะผมดื้อจะทำ พี่ขิตเลยหันมาถามด้วยเสียงดุกว่าเดิมประมาร0.5ระดับ
“มีมะละกอเหลืออยู่นี่ เดี๋ยวจะตำส้มตำสักหน่อย” ผมว่า..ไม่รู้มีอะไรเข้าสิง แต่อยากกินอะไรเปรี้ยวปากตอนนี้ไงไม่รู้ พี่ขิตมันกอดอกมองผมทันที
“ส้มตำตอนสี่ทุ่มกว่าเนี่ยนะ” ผมยักไหล่ แถมด้วยยักคิ้วกวนให้ด้วย
“แน่นอนว่าสูตรพิเศษ”
“กูไม่แดรกส้มคำคาโบนาร่านะ”
“ดูด้วยใครทำ” ได้ทีก็ขอยื่นอกแบนๆ แข่งกับอกนมล้ำหน้าของพี่มันบ้าง แต่ฝีมือเรื่องส้มตำผมคงดีเกินไป พี่ขิตถึงได้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“มานี่มากูทำเองดีกว่า” ไม่พูดเปล่าพลางแย่งสากจากมือผมไปด้วย เดี๋ยวเอาสากกูคืนมา!
“ไรวะ ไม่ไว้ใจผมไง Trust me ok?” งานนี้ใครจะยอม แย่งกลับมาสิ พอสากกลับสู่มือผมแล้วพี่ขิตก็เริ่มมองหน้าอย่างไม่เชื่อในความคิด คือ..ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรหรอกว่าจะอร่อย แต่วันนี้ไม่รู้ผีอะไรเข้าสิงเกิดอยากจะตำ แต่พอเห็นสายพี่มันแบบนั้นแล้ว ผมว่า ผมพูดแบบนี้ดีกว่า จะได้วินๆทั้งสองฝ่าย
“งั้นพี่บอกผมมาว่าจะให้ใส่ไรบ้าง ถ้าไม่ไว้ใจ” คนตัวใหญ่ถอนหายใจฟึดฟัต
อ่าวไอ้พี่ มึงอย่ามาดราม่านะ! แต่แล้วไม่นานร่างใหญ่กลับเดินอ้อมมาข้างหลังผม
“พี่ทำไรอะ”
“จะสอนนี่ไง” ไม่ว่าเปล่ากลับทำท่าเหมือนคนกำลังโอบกอดผมจากทางด้านหลัง
แหม..ทำเป็นจะสอน อย่างกอดก็บอก เนียนเชียวนะ
“ต้องใส่ไรบ้างอ่ะ” ผมแกล้งถาม
“ใส่ใจ แล้วโรยรัก” อือหื้อเสี่ยวมาเชียว เล่นกับพี่มันสักหน่อยแล้วกัน
“เพิ่มชีส ใส่ไข่”
“แถมพริกสิบเม็ด”
ขี้แตกแน่นอน!
“พี่มึงควรไปเล่นตรงนู้น” ผมว่า พี่มันหัวเราะ
“ไปทำไม ตรงนู้นไม่มีน้องคล้าวว น้องทองกวาวของพี่นะนวลนง อยู่ตรงนี้”
เอ่อ..ถอนหายใจเลยกู ยอมแล้วกูไม่น่าเล่นเลย
“พี่ขิตมึงควรไปหาหมอเช็คสมอง”
“เช็คกี่ทีก็มีแต่ภาพน้องนวลนง”
“โวะ!”
“แต่ก็รักนะ”
โอ้ยย! กูไม่เล่นแล้ว พอจบเลิกเล่า! เสี่ยวอย่างเดียวไม่ว่า แต่พี่มึงอย่ามาหงี่! เพิ่มได้มั้ย? มาจงมาจูบคอ แถมด้วยการเอาหนวดไซร้ๆ ทำไมวะ กูขนลุก!
เอาเป็นว่า พี่มึงเสี่ยว! ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลย ไอ้พี่ขิต!
++++++++++++จบบริบูรณ์ +++++++++++++
ทักทายกันสักนิด
ตามนั้นล่ะค่ะท่านผู้ชม พี่ขิต กับน้องคล้าว จบล๊าววววววววววว ฮุเร้!
อย่างที่บอกไปนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องสั้น เนื้อหาข้างในมันเลยค่องข้างกระชับมากๆ +เวลาในการเขียนค่อนข้างจำกัดแบบไฟรน T^T ความจริงอยากเล่นอีกหน่อยนึง แต่เอาไว้ติดตามกันในตอนพิเศษนะคะ)
ก็เป็นนิยายเรื่องแรกที่ดี้ลองแต่งในมุมของยุคปัจจุบันอยู่ แล้วก็ค้นพบว่า มันอาจจะไม่ใช่ทางของเราโดยกำเนิด 5555555555555555555555555+ (ปกติใครอ่านงานดี้จะรู้ว่ามันจะออกแนวแฟนตาซี ดราม่านิดๆ[หรือเปล่า]) แต่เราก็อยากจะพยายามลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยคุยกับน้องรัน แล้วก็เกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา (ตอนคุยกันดึกแล้ว แล้วมันหิวข้าวไง เลยเขียนเกี่ยวกับของกิน ) ชอบไม่ชอบยังก็สามารถบอกกันได้เนราะๆ
แล้วก็ สำหรับนิยายเรื่องนี้ ออกกับค่าย Hermit คู่กับของน้องรันมารุ ยังไงก็เตรียมตังหยอดกระปุกหมูช่วยสนับสนุนพวกเรากันด้วยนะคะ งานนี้อาจจะไม่เข้ารูปเข้ารอยนัก แต่เรื่องต่อๆไปจะพยายามให้มากขึ้นค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามคล้าวกับพี่ขิตมาจนถึงตอนนี้นะคะ
ปล.ใครอยากอ่านเรื่องของ เปรม พ่อเชฟสายโiคจิต SM ต่อ หยอดปุกหมูนะ ฟีลแบล็คกลับมาให้เค้าได้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งคร่าา
ปลล.คำผิดในนี้อาจจะเยอะหน่อยๆ แต่ในเล่มสมูตและสมบูรณ์แน่นอนค่ะ ><
EtuDe