13
Xenonนานๆทีถึงจะได้เห็นคนผมดำนี่หลุดมาด แถมครั้งนี้ยังหลุดมาไกลถึงชลบุรี ผมนั่งยิ้มมาแทบตลอดทางแอบหัวเราะในท่าทีและอาการของอีกคน ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะแกล้งหรืออะไรนะ ผมเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย แต่แอบเห็นว่าแรงดีไม่มีตกอย่างนี้ไอ้ผมก็สบายใจแล้วครับ ส่วนตอนนี้พวกเรากำลังจอดรถพักอยู่ในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในชลบุรี หมอกกำลังพยายามเคลียกับท่าทางงงๆของตัวเองแถมยังสั่งให้ผมไปหาซื้อกางเกงในมาให้อีก
ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการโทรไปเช็คอินและสั่งงานกับราฟ ตอนแรกทั้งราฟและเจย์โวยวายจะตามมาให้ได้พอผมปฏิเสธก็ยังจะคะยั้นคะยอจะส่งลูกน้องตามมาแถมยังแอบบ่นว่าชอบไปไหนมาไหนไม่บอก ยังดีที่ถ้าขับเลยไปถึงพัทยาจะมีโรงแรมของผมอยู่ ก่อนที่จะเอาของที่ซื้อไปให้หมอกที่พอได้รับปั๊บก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยเดินขึ้นมานั่งแทนที่ฝั่งคนขับ ไม่ถึงห้านาทีหมอกก็เดินมาถึงรถด้วยหน้าที่ยังดูจะหงุดหงิดอยู่นิดๆ
“มองอะไร” น้ำเสียงดุๆที่มาพร้อมกับสายตาที่ดุไม่แพ้กันทำให้ผมขำ ถ้าไม่ติดว่าอีกคนยังหูแดงเพราะอายอยู่ละก็ มันก็อาจจะดูน่ากลัวกว่านี้นะ
“ป่าวคร้าบ ผมแค่ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้” ผมพูดแหย่ ซึ่งเหมือนจะได้ผลเพราะผมโดนตบหัวเข้าให้เต็มรัก คนสวยเนี่ยยิ่งเขินมือยิ่งหนักหรอครับ ผมก็ได้แต่ลูบหัวตัวเองป้อยๆ หมอกหายใจเข้าหนักๆอยู่สองสามทีก่อนจะกลับมามีสีหน้าปกติแล้วหันมามองผมด้วยสายตาดุๆนั่นอีกที
“อย่าดุสิ ผมแค่แหย่เล่นเอง หมอกหิวไหมครับเดี๋ยวผมพาไปกินข้าว”ตาสีดำมีแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก่อนที่ผมจะเปิดโอกาสให้อีกคนปฏิเสธก็ชิงออกรถมาก่อนแล้วมุ่งหน้าขับเข้าตัวเมืองทันที
ทิ้งให้อีกคนยังงงกับการถามที่ไม่สนใจคำตอบของผม ใครสนหล่ะ นานๆได้ออกมาผ่อนคลายอย่างนี้ทีไม่คว้าไว้ได้ที่ไหน ขับรถมาด้วยความเร็วที่ไม่มากนักประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเข้าถึงตัวเมืองพัทยา มองไปที่นาฬิกาก็เห็นว่าเวลาล่วงมาจนเกือบบ่ายโมงแล้ว ตลอดทางหมอกยังคงนั่งเงียบๆมีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบ้างเป็นพักๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นการนั่งแชทกับกลุ่มเพื่อนเพราะโทรศัพท์ของหมอกมีการสั่นเตือนแทบจะไม่หยุด รวมถึงข้อความเสียงหลายข้อความที่หมอกไม่กล้าเปิดฟัง สังเกตจากคิ้วนั่นที่ดูจะขมวดจนยุ่งแทบจะตลอดเวลาแสดงว่าข้อความพวกนั้นต้องเป็นข้อความโวยวายที่หมอกหายไปไม่บอกกล่าวแน่ๆ
ตามจริงตั้งแต่วันนั้นทั้งข้อความหรือสายเข้าจากเพื่อนๆในกลุ่มของหมอกดังเข้ามาไม่ขาดสายจนแบตหมด โดยเฉพาะคนที่ชื่อนายจนผมนี่แทบอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันมีอะไรยังไง ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ(?)นะ ข้อมูลที่คนในชีวิตหมอกผมหาได้ภายในไม่ถึง 24 ชม.ด้วยซ้ำ นี่ผมเดาว่าหมอกต้องลืมไปแล้วแน่ๆว่าตัวเองบอกจะโทรหาพ่ออีกรอบ
เลี้ยวรถเข้ามาจนถึงหน้าล็อบบี้โรงแรมหรู 6 ดาวติดหาดจอมเทียนสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของทั้งชาวไทยและต่างชาติ พนักงานรีบเดินเข้ามาเปิดประตูรถให้อย่างกระตือรือร้น ผมลงรถมามองบรรยากาศของโรงงแรมที่คุ้นตาผิดกบอีกคนที่ยังเดินก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือจนเกือบจะเดินชนคนอื่น ผมเลยจัดการคว้าไหล่นั่นให้มาเดินข้างๆ ดูถ้ากำลังจะตั้งใจคุยจริงๆเพราะไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมโดนผลักกระเด็นไปไหนต่อไหนแล้ว กลิ่นผมหอมๆกับสัมผัสนุ่มๆทำให้ผมอยากจะพาไปฟัดมากกว่าพาไปกินข้าว แต่ก็ได้แต่คิดอยู่เงียบๆในใจดึงอีกคนให้เข้ามาชิดอีกหน่อยไปพลางๆก่อน
ผู้จัดการที่จำผมได้ในทันทีรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา เพราะสาขาที่นี่เพิ่งเปิดได้ไม่นานช่วงก่อนหน้านี้ผมเลยต้องเข้ามาดูความเรียบร้อยอยู่บ่อยๆ เลยทำให้เป็นที่คุ้นตาของพนักงานอยู่บ้าง
“สวัสดีครับคุณซีนอน วันนี้สนใจเปิดห้องแบบไหนดีครับ private pool suiteที่มาใช้บริการประจำรอบนี้ว่างนะครับ” จบประโยคคนที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์เงยหน้าขวับขึ้นมามอง ก่อนยิ้มที่มุมปากจะเริ่มฉายชัดทำให้อดเสียวสันหลังวาบไม่ได้เลยได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป
“วันนี้ฉันมาทานข้าว นายช่วยจัดการให้หน่อยแล้วกัน อืม..ภายในสิบนาที” เพราะระยะเวลาที่ผมกำหนดให้มันน้อยนิดทำให้ผู้จัดการตัวดีนั่นถึงกับหน้าเจื่อนรีบโค้งลาก่อนเดินกึ่งวิ่งไปประสานงานให้
แต่ก่อนผมมักจะพา’เด็กๆ’มาค้างด้วยที่โรงแรมบ่อยๆ จนมันคงเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับพนักงานที่นี่ทำให้ประโยคทักทายกลายเป็นแบบนั้นไป แต่แหม ครั้งนี้เล่นมาทักกันต่อหน้า ทูนหัว มันก็น่าทำให้หนาวๆร้อนๆบ้างแหละครับ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หมอกก็กลับไปก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผมเหมือนเดิม
“วุ่นวายจริง” ปากบางนั่นบ่นออกมาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจปิดโทรศัพท์หน้าตาเฉย ผมมองคิดว่ามันตลกแต่ก็ขำไม่ออก นี่ถ้าวันนี้คืนดีผมโดนปิดเครื่องใส่บ้างมีหวังนั่งจ๋อยกินข้าวกินปลาไม่ลง
“ทำไมใจร้ายจัง” ผมพูดขึ้นลอยๆเรียกคิ้วยุ่งๆนั่นให้เงยขึ้นมาอีกรอบ
“อธิบายไปแล้ว แต่ไม่ฟังเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวพวกมันก็หาย” ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมากส่วนผมได้แต่ส่งเสียงตอบรับเบาๆในคอ พนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำพวกเราทั้งคู่ไปที่เล้าจ์บนชั้น 20 ที่จะเปิดเฉพาะตอนเย็น ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากเราสองคน หมอกดูพอใจ เพราะบรรยากาศเงียบๆรอบตัวนี้ คนตรงหน้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เหมือนหมดแรงก่อนจะเสยผมที่ปิดหน้าของตัวเองขึ้นอย่างลวกๆ แน่นอนว่าผมที่เห็นทุกการกระทำได้แต่แอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ คนที่ไม่ว่ามองมุมไหนก็มีเสน่ห์พาลให้มองตามตลอดเวลากลับมีความรู้สึกเหมือนมีไออันตรายไม่น่าเข้าใกล้แผ่ออกมาด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหน้านิ่งที่ติดไปทางดุ หรือการวางตัวที่ทำให้เหมือนอยู่กันคนละระดับ แต่รวมๆแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากเข้าไปทำความรู้จักให้ได้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เหมือนยอมกระโดดลงไปในหลุมที่ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรรอผมอยู่
ใช้เวลาไม่นานนักอีกคนก็เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาที่จับจ้อง แต่แทนที่จะเขินขายหรือไม่กล้าสบตาเหมือนคนทั่วไป ตาสีดำนั่นกลับมองตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบแถมยังเจือแววท้าทายอยู่เนืองๆ เสื้อยืดสีดำที่ตอนแรกคิดว่าคอไม่ได้กว้างมากอีกคนกลับจงใจนั่งเท้าคางก้มลงต่ำจนผิวขาวๆนั่นเผยเข้าสู่สายตา ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มประจำของคนชอบแกล้งที่มันชวนให้เข้าไปฟัดแรงๆสักสองสามที ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
“อยากให้พี่ทนไม่ไหวหรอครับ”
จงใจแทนตัวเองว่าพี่ให้อีกคนหน้าเจือสีขึ้นอีกหน่อย จุดอ่อนข้อนึงของหมอกคือเขาจะเขินเวลาที่ผมพูดเพราะ ลำพังแค่พูดครับบางที่ก็ทำให้อีกคนเกร็งจนทำตัวถูก นี่ไม่นับคำว่าพี่นะ ที่ตอนนี้ทำให้คนผมดำหลบตาแถมด้วยด่าอีกนิดให้ผมพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ
ไม่เกินสิบนาทีอาหารก็ค่อยๆทยอยมาวางจนเต็มโต๊ะ ถือว่าผู้จัดการนั่นทำตามที่ผมสั่งได้ดี คนตรงหน้ายังไม่ได้ลงมือทานอาหารเหมือนกำลังรอให้ผมลงมือก่อน ....น่ารักชะมัดเลย
ข้อนี้ทำให้ผมได้แต่แอบยิ้มในใจ
“นั่งทำหน้าโรคจิตอยู่ได้ รีบกินสิ” พูดกดด้วยน้ำเสียงที่พอให้ได้ยินกันอยู่สองคน เอ้อ ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าหมอกหน่ะน่ารัก แม้กระทั่งในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นการให้เกียรติและเกรงใจผม แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องนี้ด้วย ตลอดเวลาถึงแม้ว่าหมอกจะพูดรุนแรงหรือห่ามไปบ้างแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้องหรือคนที่ผมต้องรักษาภาพลักษณ์ด้วย หมอกจะไม่พูดหักหน้าหรือทำอะไรให้ผมดูแย่เลย เรียกได้ว่าเก็บไว้คิดบัญชีทีเดียวตอนอยู่กันสองคนมากกว่า ไม่เหมือนคนควงอื่นๆของผมที่มักจะพูดจาไม่ดีและเอาชื่อของผมไปใช้อวดอ้างอยู่บ่อยๆ
มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งมือถือในกางเกงผมสั่น เห็นชื่อคนที่โทรเข้าก็พาลอยากจะเบ้หน้า ไอ้เซนต์
“มีอะไร” ผมกดรับโทรศัพท์กรอกเสียงลงไปไม่ดังมาก
“โว้ว เสียงเข้มอีกละ กระผมขอโทษขอรับที่โทรมาขัดจังหวะ คือกูมาหามึงที่บ้านเนี่ย แต่มาถึงหายเฉยรู้อีกที่ก็พาเด็กไปรังรักเก่าที่พัทยาซะและ”
“พูดให้มันดีๆ รังบ้าไร” พูดพลางแอบเหลือบมองอีกคนที่ยังนั่งทานข้าวไปเรื่อยๆไม่ได้สนใจผม
“หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับนายน้อย แค่จะแวะมาคุยธุระด้วยนิดหน่อยแล้วก็นะบ้านมึงนี่สกปรกมาก ดูแลยังไงของมึงวะ รีบหาคนมาทำความสะอาดซะ” ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของไอ้หมอที่อยู่ปลายสาย บ้านสกปรกของมันคืออะไรผมเข้าใจดี
“ห้องทำงานยิ่งแล้วใหญ่ฝุ่นเยอะจนกูต้องออกมาคุยข้างนอก มึงก็รู้ว่ากูแพ้” เสียงที่ทำเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออกนั่นทำเอาผมนึกภาพหน้าตากวนๆนั่นออก นี่คงมีคนเดินผ่านมาตอนที่มันกำลังคุยกับผม ขยายความคำว่าบ้านสกปรกง่ายๆก็คือมีเครื่องดักฟังหรืออุปกรณ์สปายอย่างอื่นอยู่ในบ้าน
“งั้นสนใจมาเที่ยวพัทยาไหม ที่นี่น่าจะอากาศดีกว่า พาเจย์กับราฟมาด้วยก็ดี”
“เอางั้นก็ได้ รีบๆสวีทให้เสร็จๆ ตอนกูไปจะได้ไม่ต้องมาหงุดหงิดว่ามีก้าง” พูดจบก็ตัดสายไปก่อนที่จะได้ด่า เซนต์ ไอ้เซนต์ หรือหมอเซนต์เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตของผม ผมกับมันรู้จักกันมานานก่อนผมจะเข้าวงการนี้ซะอีก หลายครั้งที่ชีวิตมันต้องวุ่นวายเพราะผมแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะหายหัวไปซะที เรื่องที่มันโทรมาบอกทำให้ผมต้องหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าโดนเริ่มดักฟังตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะฉะนั้นแทบทุกอย่างจะต้องมาคิดกันใหม่ทั้งหมด รวมถึงเรื่องหมอกบ้างเรื่องด้วย
เนื้อปลาคำเล็กๆถูกวางลงบนจาน นั่นก็พอที่จะให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ตักให้เมื่อกี้ยังทำท่าเฉยเหมือนตัวเองไม่ได้เป็นคนทำเสียอย่างนั้น แถมพอโดนมองนานๆยังมีหน้ามาเลิกคิ้วใส่กันอีก
ให้ตายสิ
“กินสะสิ” เสียงนั่นพูดออกมาโดยที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผมแต่หูเล็กนั่นกลับเริ่มขึ้นสี
“คร้าบๆ เมื่อกี้ไอ้เซนต์โทรมา เดี๋ยวตอนเย็นๆมันน่าจะมาถึงที่นี่มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”
“ก็มาสิ แล้วจะทำหน้าบูดทำไม” ผมอยากจะเบะปากแล้วเข้าไปอ้อนหมอกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดอยู่ที่พนักงานสี่ห้าคนที่ยืนมองอย่ไกลๆนั่นทำให้ตอนนี้ทำได้แค่หน้านอยๆแค่นั้น
“ก็เนี่ย นานๆทีจะได้อยู่เงียบๆสองคนก็ดันมีเรื่องเข้ามาให้ปวดหัวอยู่ได้” อดที่จะบ่นไม่ได้ หมอกพ่นลมหายใจพร้อมกับขำ
“โตเป็นควายแล้วยังมานั่งทำหน้างอ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วกูว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย มึงจะตามไปก็ได้นะ”
ตกเย็นหลังจากที่ผมตือนให้หมอกโทรไปหาพ่ออีกรอบซึ่งเป็นไปตามที่ผมคิดคืออีกคนลืมสนิท เราก็ไปเดินเล่นนั่งคุยนู่นนี่ไปตามเรื่องราว พูดให้ถูกคือผมแทบจะพูดอยู่คนเดียวโดยที่มีหมอกเออออด้วยเป็นพักๆมากกว่าแต่มันก็ทำให้ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอกเพิ่มขึ้นมาหลายอย่างเช่น หมอกชอบสีฟ้า ไม่ชอบทานอาหารรสเผ็ดและชอบมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ ขบวนเสด็จของไอ้หมอมาถึงโรงแรมห้าโมงเย็นเป๊ะ เหมือนเวลาที่มีค่าหมดลง พวกเรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของวิลล่าส่วนตัวหลังหนึ่งที่ผู้จัดการคนนั้นเปิดไว้ให้เสร็จสรรพตั้งแต่เห็นหน้าผม
“ทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ เราก็เช็คทุกคนที่เข้าออกบ้านนี่” ผมถาม ไอ้หมอยักไหล่เป็นคำตอบว่าไม่รู้เรื่อง
“ขออภัยครับนายน้อย” ราฟตอบพลางก้มหน้ารับผิดผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ หมอกทำหน้าอึกอักเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ในวงสนทนานี้รึเปล่าผมเลยจับข้อมือนั้นไว้เป็นเชิงบอกให้นั่งอยู่ต่อ
“อย่าไปว่าราฟเลย วันนี้ที่กูเจอก็เพราะบังเอิญหรอกแม่งแอบไว้สะอย่างดี กูว่าฝีมือคนในแน่ๆ” หมอพูดต่อเจย์รีบพยักหน้าสนับสนุน
“ใช่ครับนายน้อย แต่จากที่พวกผมเช็คดูเรียบร้อยแล้วมีแต่เครื่องดักฟังครับไม่มีกล้องหรืออุปกรณ์อื่นๆ เรื่องนี้มีแค่นายน้อย คุณเซนต์ คุณหมอกแล้วก็พวกผมที่รู้ส่วนเครื่องพวกนั้นพวกผมยังไม่ได้กำจัดแต่จัดการให้ไม่เป็นอันตรายแล้วครับ” ผมพยักหน้าอย่างพอใจกับวิธีดำเนินการ
“ดี ต้องไม่ให้มันรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว เครื่องพวกนี้อาจจะพอทำประโยชน์ให้เราได้บ้าง แล้วก็เรื่องนี้อย่างเพิ่งไปบอกใคร ให้รู้กันแค่ในเฉพาะห้องนี้พอ” ทุกคนพยักหน้าอย่างรับคำ ไอ้เซนต์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอมองไปทางหมอกแล้วก็หยุดหันมาทำสายตาของความเห็นก่อนที่ผมจะพยักหน้า
“อืมแล้วก็แผนเรื่องความปลอดภัยของหมอกพังหมดเลยนะ รวมถึงประชุมอื่นๆของเราในช่วงนี้ด้วย ราฟเช็คคร่าวๆแล้วบัคพวกนี้น่าจะมาติดตั้งก่อนหน้าประมาณ1อาทิตย์ช่วงเดียวกับที่เราโดนวางระเบิด” แทบจะไม่ต้องพูดชื่อทุกคนในห้องก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร ถ้าไม่นับการไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมกับไอเดนก็เป็นคู่แข่งธุรกิจกันชนิดว่าเป็นศัตรูกันแทบทุกอย่าง
“ช่วงนี้ก็จำกัดจำนวนคนในบ้านใหญ่ซะ ใครไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้ามาให้ไปอยู่อีกหลังให้หมด” เนื่องจากในบริเวณบ้านของผมมีบ้านๆเล็กๆแยกรวม4-5 หลัง โดยเป็นทุกของลูกน้องแม่บ้าน หรือเป็นบ้านเอาไว้รับรองแขกต่างๆ ส่วนบ้านใหญ่จะมีแค่ผมและลูกน้องคนสนิทอยู่เท่านั้น แต่ดูเหมือนตอนนี้ใครๆก็ไว้ใจไม่ได้ไปเสียหมด
“ตอนนี้ที่ผมยืนยันได้แล้วว่าเป็นสายของไอเดนมีสองคนครับ คนนึงอยู่หน่วยผมส่วนอีกคนเป็นคนสวนที่เราจ้างเข้ามาจะให้จัดการยังไงดีครับ” คนที่อยู่หน่วยของเจย์คนนั้นน่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้เกิดเรื่องกับหมอกที่คลับ ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี ผมก็รับรู้ถึงการสะกิดเรียกเบาๆของคนข้างๆ
“เอ่อ..ขอเสนออะไรหน่อยได้ไหม” ผมเลิกคิ้วยอมรับว่างงนิดหน่อยที่อีกคนกล้าที่จะออกความเห็นไม่ต่างกับอีกสามคนที่มีใบหน้างงอยู่เหมือนกันแตกต่างกันที่ไอ้หมอจะแอบยิ้มปนขำเจย์ที่ดูจะอึ้งๆส่วนราฟที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด ผมพอจะเข้าใจว่าราฟคิดอะไรอยู่ราฟเป็นคนเคร่งทั้งกับระเบียบความประพฤติเรียกได้ว่าแทบจะกับทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นคนจริงจัง ผมจึงไม่แปลกใจที่ราฟยังมีสีหน้าท่าทางไม่ไว้ใจหมอกเขาไม่ชอบใจตั้งแต่ที่ผมสั่งห้ามขุ้ยประวัติหมอกตั้งแต่ทีแรก
“เอาสิ” หมอกมองสบตากับทุกคนก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ผมคิดว่า ในเมื่อเราตั้งใจจะเก็บบัคของพวกนั้นไว้เพื่อเอามาเป็นข้อได้เปรียบทีหลัง เราก็ควรกำจัดสปายพวกนี้โดยที่เราต้องทำให้มันพอที่จะโน้มน้าวให้ฝั่งนั้นคิดว่าเรารู้แค่เรื่องนี้ มันดีกว่าที่เราจะปล่อยไปเพราะมันจะทำให้พวกนั้นคิดว่าเรายังระแวงและสืบหาสปายอยู่ตลอด สู้กำจัดไปอย่างหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นสบายใจไปดีกว่า”
ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตากลั้นยิ้มที่แทบจะปิดไม่มิด ทำไมน่ารักอย่างนี้ จะไม่ไหวละโว้ย แต่เหมือนจะมีอีกคนที่รู้ทันผมเพราะในตนนี้มันนั่งขำฮึๆแถมยิ้มล้อมาทางผมแบบไม่ปิดบัง หมอกทำหน้างง ไม่เข้าใจทั้งพฤติกรรมของผมและไอ้หมอ
“เอาเป็นว่าพวกนายจัดการตามี่หมอกเสนอแล้วกัน ฉันเห็นด้วย”
เจย์พยักหน้ารับก่อนจะจดบางอย่างลงในในสมุดเล็กๆแล้วเงยหน้าขึ้นมาสีหน้าเหมือนมีเรื่องลำบากใจบางอย่างจะพูด จนไอ้เซนต์ทนไม่ไหวต้องเป็นคนเริ่มต้นประเด็นเอง
“สายของนายที่ส่งไปอยู่กับไอเดนโดนจับได้ไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ตายแต่กูคิดว่าก็คงไม่ต่างกับตายเท่าไหร่” ผมมีคนที่ให้แฝงตัวอู่กับไอเดน ไม่ต่างจากที่มันที่มีสายอยู่ในแฟมิลี่ของผม แต่พอต้องมารับรู้ว่าลูกน้องของตัวเองโดนไอ้คนโรคจิตแบบนั้นจับได้ในใจก็อยากจะส่งคนไปช่วยให้รู้แล้วรู้รอดแต่ติดที่มันทำไม่ได้
“ก็คงต้องปล่อย” ผมเชื่อว่าลูกน้องของผมไม่มีทางปากโป้งเปิดเผยชื่อของคนอื่นๆ แต่นั่นเท่ากับว่าผมต้องเสียลูกน้องที่เชื่อใจได้ไปอีก 1 คน หมอกบีบมือผมเบาๆ ทำให้ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่เจย์จะพูดเรื่องต่อไปซึ่งส่วนมากก็เกี่ยวกับแผนธุรกิจกับการรักษาความลอดภัยบางอย่างที่ต้อวางแผนใหม่ หมอกนั่งฟังอยู่เงียบๆส่วนเซนต์นานๆจะออกความเห็นที ยกเว้นเรื่องโรงพยาบาลของมันที่มีผมถือหุ้นอยู่ด้วยที่ตอนนี้เป็นธุรกิจเดียวที่ไอเดนยังไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง ถึงมนจะไม่ได้มีกิจการเกี่ยวกับพวก รพ เหมือนผมแต่มันก็ไม่สามารถการันตีได้ว่ามันจะไม่เข้ามายุ่ง เวลายืดเยื้อไปกว่าสองชั่วโมงกว่าที่จะเคลียประเด็นทั้งหมดลงได้
“ทีนี้ก็เหลือแต่เรื่องหมอกแล้วหล่ะ” ไอ้หมอโพล่งขึ้น คนที่ทำท่าเหมือนเริ่มง่วงในตอนแรกเลยกลับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม แถมทำท่าตั้งใจฟังจนอยากหยิก เพราะเกือบทุกแผนที่ผมวางไว้ดูเหมือนจะใช้การไม่ได้แล้ว มันยากตรงที่ว่าจะเปลี่ยนแผนยังไงให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเรารู้ทัน กว่าสิบไอเดียที่ช่วยกันเสนอยังไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยืนยันว่ายังอยากไปเรียนเพราะอีกปีเดียวก็จะจบ จนบนหน้าไอ้หมอเริ่มมีรอยยิ้มแปลกๆ มองผมและหมอกสลับกันก่อนจะมองมาที่ผมอีกรอบคราวนี้เปลี่ยนเป็นยิ้มกวนตีนที่เจ้าตัวมีประจำเวลาจะทำอะไรแผลงๆ
“ถ้าเราเปลี่ยนหรือเพิ่มคนคุ้มกันหมอกไม่ได้ มึงก็ทำให้หมอกเข้าถึงยากแทนสิ” ทุกคนที่ฟังได้แต่ทำหน้างงเพราะยังคิดไม่ออกว่าความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยินคืออะไร ก่อนมือนั่นจะพิเรนท์เอื้อมมาจับหน้าของหมอกผมที่กำลังจะจัดการไอ้เพื่อนตัวดีที่แกล้งยั่วโมโหไม่เข้าท่ากลับไม่ทันเจ้าตัวที่บิดข้อมือคนที่มาจับหน้าตัวเองจนไอ้เซนต์หน้านิ่ว
“อะ โทษครับ มือมันไปเอง” ถึงเสียงพูดจะนิ่งๆเหมือนปกติแต่ผมก็เห็นว่าแววตานั้นกลับกำลังวาวเหมือนคนกำลังกลั้นขำ
“ใครให้มึงแตะเนี่ยก็รู้ว่ากูหวง” ไม่ว่าเปล่าผมยังแกล้งเอามือไปเช็ดแก้มเนียนนั่นจนหมอกดันมือของผมให้ออกห่างพร้อมสายตาคาดโทษที่ทำให้รู้ว่าตัวเองจะโดนคิดบันชีทีหลังแน่นอน
“ไอ้เวร กับเพื่อนนี่ไม่ได้เป็นห่วงเลย ว่าแต่หมอกเล่นแรงนะครับนี่พี่เจ็บจริงๆนะ”
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วไอ้หมอ สรุปมึงจะเสนออะไร”
“ไม่ต้องห่วง รับรองว่ามึงต้องไม่ชอบแน่ๆไอ้ซี”
และพอผมได้ฟังแผนของมัน แค่สองสามประโยคแรกก็ทำให้ผมอยากจะตะโกนบอกว่าไม่เป็นสิบๆหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นแผนที่ดูจะได้ผล แถมยังง่ายอีกด้วย ยิ่งหมอกที่นั่งคิดตามเงียบๆแบบไม่มีท่าทีว่าจะปฏิเสธยิ่งทำให้ผมนี่อยากจะทึ้งหัวตัวเอง
“สรุปง่ายๆก็คือ ทำตัวให้เด่น ยิ่งเด่นได้เท่าไหร่ยิ่งดี โอเคไหม”
ไม่โอเค
ของรักของหวงทั้งที ใครจะอยากให้ชาวบ้านมองกันง่ายๆหล่ะ
ผมจะสรุปแผนสิ้นคิดของไอ้หมอไอ้ฟังอีกที เรื่องก็คือมันต้องการให้หมอกทำตัวให้เป็นจุดสนใจเอาไว้ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวนี้เวลากรี้ดใครสักคนร้อยละร้อยก็แทบจะคอยตามหรือแอบถ่ายรูปอยู่ตลอด ยังไม่นับว่าจะอยู่ในสายตาคนทั่วๆไปแทบจะตลอดเวลา ทำให้เวลาเกิดอะไรไม่ดีขึ้นเป็นอันว่าต้องมีใครสักคนเห็นแน่ๆ อาจจะฟังดูเป็นแผนที่เข้าท่าสำหรับหลายคน แต่มันไม่สำหรับผม
ผมหวง
“โอเค”
แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้หมอกเห็นด้วยกับความคิดนี้ หันไปมองอีกคนก็ได้แต่ยักไหล่น้อยเป็นคำตอบเท่านั้น
“แต่ต้องลดจำนวนคนที่ตามผม แล้วที่สำคัญผมขอเวลาส่วนตัวด้วย”
ไอ้หมอพยักหน้าบวกกับไม่มีเสียงคัดค้านจากสองบอดี้การ์ดที่นั่งฟังอยู่ด้วยและข้อสรุปทั้งหมดก็จบลงด้วยการจับมือให้กับแผนความปลอดภัยระหว่างหมอกกับไอ้หมอ โดยที่มีผมนั่งไม่เห็นด้วยสุดๆอยู่ตรงกลาง
________________________________________
ตอนนี้รีบลงอาจจะทำให้มีคำผิดบ้าง
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ