◣ SCORPION & EAGLE ◢ - บอกหน่อยครับ..จะให้รักต้องทำไง │CH18 16.10.17 อัพอัพ!│
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◣ SCORPION & EAGLE ◢ - บอกหน่อยครับ..จะให้รักต้องทำไง │CH18 16.10.17 อัพอัพ!│  (อ่าน 25596 ครั้ง)

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
หมอกก็ดื้อจริงๆนั่นแหละ แต่ละเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นนี่ไม่ได้คิดจะเข็ดเลย ซีนอนต้องสู้ๆอะ หมอกดื้อ ขี้ยั่วด้วย :laugh:

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0





12







รถบีเอ็มสีดำสนิทคันใหม่อีกคันที่เขาไม่เคยนั่งจอดอยู่นิ่งๆ หน้าบ้านสีขาวหลังเล็กๆล้อมรอบด้วยรั้วต้นไม้สีเขียวที่หาได้ยากในเมืองหลวง บรรยากาศในบ้านดูเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่มีเพียงรถหนึ่งคันจอดอยู่ในบ้านเท่านั้น เขาให้อีกคนจอดอยู่หน้ารั้วบ้านมากว่าสิบนาทีแล้วในขณะที่ตัวเองกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูด ก่อนเปิดประตูก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนอีกคนแอบขำ
   
   ขายาวๆก้าวก้าวเดินตรงไปที่บริเวณสวนหย่อมด้านข้างของบ้านก็พบกับบุคคลที่เขามาหาอย่างที่คิดไว้ ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับแว่นตาไร้กรอบที่ตอนนี้ตกลงมาอยู่ถึงปลายจมูก ผมสีดำแซมด้วยสีขาวที่เพิ่มขึ้นมาตามวัย โครงหน้าที่คล้ายเขาเกินครึ่งทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเกี่ยวพันกันทางสายเลือด

“พ่อ” ผมส่งเสียงเรียก

“อ้าวมาแล้วหรอ เห็นแต่งตัวอย่างนี้ค่อยดูเข้าท่าหน่อย” ผมเลือกที่จะไม่สนใจคำพูดของพ่อก่อนนั่งลงข้างๆ ทุกครั้งที่ผมแต่งตัวแปลกๆอย่างชุดนักศึกษาตอนไปเรียน พ่อจะมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างมากแทบจะมาเผาตู้เสื้อผ้าผมให้ได้ เพราะเจ้าตัวคุยบอกว่าแต่งแล้วมันดูไม่น่ารัก เป็นยังไงล่ะ ยังไม่ทันนั่งลงดีผมก็โดนคว้าหมับเข้าไปกอดรวมถึงหอมซ้ายหอมขวาเข้าเต็มรัก เอาจริงๆนะไม่รู้ว่าแม่ทนนิสัยเด็กๆแบบนี้ของพ่อไปได้ยังไง ถ้าพูดให้ถูกคือทั้งบ้านทนเข้าไปได้ยังไงมากกว่า เชื่อไหมครับว่าตอนเด็กๆผมแทบจะโดนพ่อจับแต่งตัวเหมือนเป็นตุ๊กตา จนเรียกได้ว่าแม่ดูแมนมากกว่าไปเลย

“ใจร้อนรีบบินมาทำไมเนี่ย” ผมเอ็ดเบาๆเป็นเชิงปรามที่พ่อตัวดียังไม่ถอนกอดออกไปจากผม  คุณพันนทีหยุดก่อนจ้องตาผม
“ยังมีหน้ามาพูด หนูทั้งโดนทำร้ายแถมยังหายไปติดต่อไม่ได้เกือบสามวัน ไม่ให้ป๊าเป็นห่วงแล้วจะให้ป๊าทำไงห๊ะ!”

คำพูดเชิงดุมาพร้อมกับมะเหงกเบาๆลงที่หัวทำให้ผมหน้าหงิก

“เอาหน่า ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วไง”

“งอนโว้ย ลูกไม่เห็นหัว” ว่าแล้วคุณพันนทีก็กอดอกทำเป็นงอนอย่างที่บอก จนผมได้แต่ขำก่อนจะยิ้มกว้างๆให้ไปหนึ่งที

“นี่หมอกก็มาหาป๊าแล้วไง” ก่อนที่คนไม่ได้ดูอายุตัวเองจะทำท่าเขินไปมากกว่านี้ผมก็ตัดบทให้เข้าเรื่องที่พ่อมาไทยนี่สักที ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอว่ามันเป็นแค่เพราะผมไม่ได้รับโทรศัพท์หน่ะ

“ช่วงนี้พ่อได้เมลล์ข่มขู่แปลกๆมาสองสามฉบับ” ว่าพลางหยิบกระดาษที่พับอยู่ในกระเป๋าเสื้ออกมาวางบนโต๊ะ ทั้งหมดทีข้อความคล้ายๆกันซึ่งส่วนมากก็เป็นจดหมายข่มขู่ปกติที่พ่อผมมักจะได้รับ แต่ทั้งหมดนั้นกลับมีข้อความโยงถึงผมบ้าง มีประวัติของผมแนบมาบ้าง ฉบับหนึ่งถึงขนาดมีทั้งรูปของผมตอนอยู่ที่มหาลัยกับรูปผมตอนนออกไปข้างนอกตามปกติแบบเปรียบเทียบกันให้เห็น เนื้อหาในข้อความคือต้องการที่จะให้พ่อของผมยอมรับข้อตกลงเรื่องการปล่อยคอนเทนเนอร์และการยื่นข้อมูลเท็จเรื่องจำนวนหรือสินค้าที่ขนส่งเพื่อให้ง่ายต่อการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ
“อย่างที่หมอกเห็นว่ามันรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเราเยอะมาก เมลล์ที่มีรูปนี้เพิ่งส่งมาเมื่อวานก่อนพ่อจะขึ้นเครื่อง” ผมหยิบรูปนั่นขึ้นมาพิจรณาอีกรอบทั้งสองรูปถูกถ่านตั้งแต่ตอนก่อนที่ผทจะโดนทำร้ายด้วยซ้ำ

“ใคร พ่อพอจะรู้ไหม”

“ยัง แต่เล่นแรงอย่างนี้มีอยู่ไม่เท่าไร่หรอก”

“ไอเดน คลิฟฟอร์ด พ่อพอจะรู้จักไหม” หลังจากจบประโยคผมก็เล่าเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับไอเดนโดยเลือกที่จะเว้นเรื่องที่โดนวางยาและเรื่องข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับซีนอนไว้ พ่อดูไม่ประหลาดใจเท่าไหร่นักเพราะไอเดนก็เป็นหนึ่งในคนที่สงสัย แววตาที่ดูกังวลมากกว่าเดิมฉายชัดบนใบหน้า

“เอางี้ไม่ต้องไปอยู่กับพ่อ แต่ไปอยู่อเมริกากับพี่สักสองสามเดือน..”

“ไม่เอา!” ผมค้านตั้งแต่ยังไม่จบประโยค ผมไม่มีทางไปอุดอู้อยู่กับพี่ตามลำพังแค่สองคนที่เมืองนอกนานขนาดนั้นหรอกนะ แค่อาทิตย์เดียวผมก็แทบจะ...เอาเป็นว่าเดี๋ยวถ้าได้เจอก็เข้าใจเองแหละครับ

“แล้วหมอกจะดูแลตัวเองยังไง พ่อยอมไม่ได้หรอกนะถ้าต้องปล่อยให้หมอกอยู่คนเดียว”

“ผมดูแลให้เองครับ” เสียงไม่ได้รับเชิญดังมาจากด้านหลัง ไอ้ฝั่งตัวใหญ่ยืนยื้มน้อยๆอยู่ไม่ไกลนัก พ่อยังคงสีหน้านิ่งๆเอาไว้ได้เหมือนเดิมทั้งๆที่จริงๆแล้วพ่อต้องตกใจมากแน่ๆที่อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้โผล่เข้ามาในบ้าน

“มึง เข้ามาทำไม” คุณพันนทีมองผมกับซ๊นอนสลับกันแบบงงๆก่อนที่ซีนอนจะเป็นฝ่ายเริ่มอธิบายก่อน

“สวัสดีครับคุณพันนที ผมชื่อ ซีนอน อเลนเดล จีโอวานี่” พ่อเลิกคิ้วขึ้นก่อนหันมามองผมที่ได้แต่พยักหน้าเบาๆตอบกลับไป ซีนอนไม่รอให้ผมพูดอะไรแทรกก็ชิงพูดต่ออกมาก่อน

“คุณพ่อคงรู้จักนามสุกลผมดี เรื่องการให้ผมดูแลหมอกผมจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสมครับ อีกทั้งไอเดนกับผมก็อยู่ในวงการเดียวกันทำให้รับมือง่ายกว่าการที่บินไปต่างประเทศหรือจ้างบอดี้การ์ดมาเฝ้าเฉยๆนะครับ”


กลายเป็นผมเองที่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ พ่อผมยังนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ส่วนอีกคนพอพูดเป็นการเป็นงานเสร็จก็หันมาเล่นหูเล่นตากับผมจนนึกอยากจะเพ่นกะบาลสักรอบ


    “ทำไม?”




      “เพราะผมชอบหมอกครับ”





ผมลุกพรวดจากเก้าอี้เสียงดังจนทั้งคู่สะดุ้ง มองหน้าพ่อกับซีนอนสลับไปมา คนนึงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงใส่อีกคนอยากเตะสักสองสามทีข้อหาพูดจาพล่อยๆ


“พ่อ กลับแล้วนะ เดี๋ยวหมอกโทรมาอีกรอบ”


พ่นลมหายใจออกมาดังๆก่อนจะคว้าแขนตัวต้นเรื่องแล้วลากออกมาจากบ้าน ยัดให้เข้าไปในรถส่วนผมอ้อมไปนั่งด้านคนขับ




“พูดอะไรของมึงเนี่ย” ไม่ว่าเปล่าตีแขนอีกคนแรงๆไปหนึ่งที

“อะไร ก็มันจริงนี่ครับ” นัยน์สีตาสีดำจ้องมองอีกคนตาเขียวปั้ด ลืมว่าตัวเองควรเขินไปเสียสนิท
“บอกไปอย่างนั้นถ้าพ่อกูช็อคตายขึ้นมาจะทำยังไง”

“ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องไปขอให้ยุ่ง...โอ้ย หมอกต่อยผมทำไมอะ เจ็บนะ”

“ยังมีหน้ามาแช่งพ่อกูอีก เดี๋ยวเถอะ” ซีนอนทำหน้าหงอย ผมไม่สนใจจัดการคาดเข็มขัดและสตาร์ทรถ แต่มือที่กำลังจะขึ้นเกียร์กลับถูกจับไว้ก่อน เห็นสีหน้าอีกคนที่อยู่ๆก็เปลี่ยนไปจริงจังก็ทำให้ผมนิ่ง

“แต่ผมพูดจริงนะครับ ผมชอบหมอก ชอบทุกอย่างชอบตอนที่หมอกพูดตอนที่หมอกด่า ชอบตอนที่ทำหน้าไม่พอใจเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ ชอบที่คอยแอบเป็นห่วงผม ชอบการกระทำทุกอย่างแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่ตอนแอบเปลี่ยนสีหน้า ชอบแววตาที่มีแต่ความจริงใจ ชอบการวางตัว ชอบตอนที่ได้อยู่ใกล้ ชอบตอนที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัว เหมือนตอนนี้”

จบคำหน้าของซีนอนก็เข้ามาอยู่เสียใกล้จนผมเห็นตาสำน้ำตาลอ่อนที่เว้าวอนนั่นอยู่ชัดเจน

“ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหม”

คำถามที่ผมยังไม่ทันได้ตอบออกไปก็โดนแรงรั้งที่ท้ายทอยดึงให้เข้าไปหาคนตรงหน้าริมฝีปากของเราแตะกันเบาๆครั้งหนึ่งก่อนเสียงออดออ้อนประจำตัวของอีกคนจะดังขึ้นอีกรอบ

“นะครับ”
   ยกยิ้มที่มุมปากบางๆ แต่เหมือนมันก็พอที่จะให้อีกคนเข้าใจความหมายจนผมได้รับรอยยิ้มกว้างที่สดใสนั้นเป็นการตอบรับ ผมชอบ เพราะมันเหมือนกับว่าเราไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจกันได้ ประมาณว่ามองตาก็รู้ใจหล่ะมั้ง ฮึ คิดอย่างนี้ผมก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้จนแอบเห็นว่าซีนอนหน้าขึ้นสีหน่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมแพ้รอยยิ้มแบบนั้น แพ้สีหน้าแบบนั้น ทำให้ในใจรู้สึกวูบวาบแปลกๆ

“ก็บอกแล้วไง ว่ากูชอบเริ่มก่อนมันเร้าใจกว่า”

กดริมฝีปากลงบนปากหนาของอีกคนที่ดูจะยิ่งชอบใจแลกสัมผัสอย่างนุ่นนวลและอ้อยอิ่งก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นร้อนแรงจนต้องขอหยุดพักหายใจ มือใหญ่ที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกตกลับเลื้อยขึ้นมาเรื่อยๆจนจะมุดเข้าไปในเสื้อ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนทำให้คล้อยตามจนมีอารมณ์ร่วมนิดๆ ตัวผมถูกรุกจนหลังชิดเบาะ มือเย็นๆที่ลากผ่านหน้าท้องทำให้รู้สึกหวิวทำให้บางอย่างในกางเกงของผมเริ่มอยู่ไม่สุก


Shit!


ผมได้แต่รีบดันอีกคนให้ผละออก


 “อะไรอะกำลังเพลินเลย หมอกเองก็ชอบนี่ หรือไม่ใช่หล่ะครับ” ประโยคหลังมาพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองลงมาที่กลางตัวของผม ผมก้มลงมองตามสายตานั่นแล้วมันก็ทำให้ผมแทบจะกระโดดลงจากรถให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย น้องชายของผมมมันเกเรชี้หน้าพ่อตัวเองแบบไม่ได้ดูสถานการ์ณอะไรเลย แล้วที่สำคัญ

วันนี้ผมไม่ได้ใส่กางเกงใน!!

แม่งเอ้ย ไอ้หมอก


สายตาล้อๆของไอ้ซีนอนที่ส่งมายิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูกมองซ้ายมองขวาไม่เห็นอะไรสักอย่างที่พอจะเอามาปิดเรื่องน่าอายนี้ได้ในใจอยากจะถอดเสื้อมาปิดด้วยซ้ำแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะข้างทางมีรถขับผ่านไปมาอยู่ตลอด เลยได้แต่หลับหูหลับตาสตาร์ทรถก่อนเหยียบคันเร่งทำเหมือนตัวเองจะหนีซีนอนพ้นทั้งๆที่อยู่ในรถคันเดียวกัน เสียงขำเรื่อยๆของมันยิ่งทำให้ผมร้อนฉ่าที่ใบหน้า เท้าก็ยิ่งเหยียบคันเร่งจนมันเร็วมากกว่า 100 กม./ชม. ถนนแถบชานเมืองก็โล่งเหมือนเป็นในให้ผมอย่างเต็มที่ ขับไปเรื่อยๆก็ไม่มีท่าทีว่ามันจะสงบลงบวกกับเสียงและหน้าตากวนๆที่ส่งมาให้อยู่เรื่อยทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาขับไปโดยหันมองคนข้างๆให้น้อยมากที่สุด



จนพอรู้ตัวอีกที่ก็ขับรถมาจนถึงชลบุรีซะแล้ว


ห้ะ!!


เดี๋ยวนะ


ชลบุรี!!????

________________________________________

 ไม่รู้เขินอีท่าไหนขับแบบไม่ลืมหูลืมตาจนมาถึงชลฯ5555555555555
ตอนนี้อาจจะสั้นไปหน่อย ติดสอบติดงานวุ่นวายมาก
แต่จะพยายามมาอัพไม่ให้ขาดนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามทั้งหน้าใหม่ / หน้าเก่าเลยค่ะ
มีกำลังใจดีมากกกกกกกกกกกกกกก
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เขินแรง. เขินไกล,,,

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หมอกน่ารัก เราว่าหมอกไม่ได้ดื้อนะ เพียงแต่หมอกคิดไม่ถึงเลยดื้อออกไปข้างนอกแต่เราว่ามันน่าจะเคยเกิดมาก่อนงั้นบอกอีกทีหมอกดื้อ 5555

ตอนล่าสุดหมอกน่ารัก ว่าแต่เหยี่ยวขาวกับแมงป่องเกี่ยวไรกัน อยากรู้มากมาย

รอใจจดจ่อ แลดูเป็นนิยายรายปักษ์ ฮึกค้างต่อไป

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



13




Xenon


นานๆทีถึงจะได้เห็นคนผมดำนี่หลุดมาด แถมครั้งนี้ยังหลุดมาไกลถึงชลบุรี ผมนั่งยิ้มมาแทบตลอดทางแอบหัวเราะในท่าทีและอาการของอีกคน ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะแกล้งหรืออะไรนะ ผมเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย แต่แอบเห็นว่าแรงดีไม่มีตกอย่างนี้ไอ้ผมก็สบายใจแล้วครับ ส่วนตอนนี้พวกเรากำลังจอดรถพักอยู่ในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในชลบุรี หมอกกำลังพยายามเคลียกับท่าทางงงๆของตัวเองแถมยังสั่งให้ผมไปหาซื้อกางเกงในมาให้อีก

   ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการโทรไปเช็คอินและสั่งงานกับราฟ ตอนแรกทั้งราฟและเจย์โวยวายจะตามมาให้ได้พอผมปฏิเสธก็ยังจะคะยั้นคะยอจะส่งลูกน้องตามมาแถมยังแอบบ่นว่าชอบไปไหนมาไหนไม่บอก ยังดีที่ถ้าขับเลยไปถึงพัทยาจะมีโรงแรมของผมอยู่ ก่อนที่จะเอาของที่ซื้อไปให้หมอกที่พอได้รับปั๊บก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยเดินขึ้นมานั่งแทนที่ฝั่งคนขับ ไม่ถึงห้านาทีหมอกก็เดินมาถึงรถด้วยหน้าที่ยังดูจะหงุดหงิดอยู่นิดๆ

“มองอะไร” น้ำเสียงดุๆที่มาพร้อมกับสายตาที่ดุไม่แพ้กันทำให้ผมขำ ถ้าไม่ติดว่าอีกคนยังหูแดงเพราะอายอยู่ละก็ มันก็อาจจะดูน่ากลัวกว่านี้นะ

“ป่าวคร้าบ ผมแค่ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้” ผมพูดแหย่ ซึ่งเหมือนจะได้ผลเพราะผมโดนตบหัวเข้าให้เต็มรัก คนสวยเนี่ยยิ่งเขินมือยิ่งหนักหรอครับ ผมก็ได้แต่ลูบหัวตัวเองป้อยๆ หมอกหายใจเข้าหนักๆอยู่สองสามทีก่อนจะกลับมามีสีหน้าปกติแล้วหันมามองผมด้วยสายตาดุๆนั่นอีกที

“อย่าดุสิ ผมแค่แหย่เล่นเอง หมอกหิวไหมครับเดี๋ยวผมพาไปกินข้าว”ตาสีดำมีแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก่อนที่ผมจะเปิดโอกาสให้อีกคนปฏิเสธก็ชิงออกรถมาก่อนแล้วมุ่งหน้าขับเข้าตัวเมืองทันที

ทิ้งให้อีกคนยังงงกับการถามที่ไม่สนใจคำตอบของผม ใครสนหล่ะ นานๆได้ออกมาผ่อนคลายอย่างนี้ทีไม่คว้าไว้ได้ที่ไหน ขับรถมาด้วยความเร็วที่ไม่มากนักประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเข้าถึงตัวเมืองพัทยา มองไปที่นาฬิกาก็เห็นว่าเวลาล่วงมาจนเกือบบ่ายโมงแล้ว ตลอดทางหมอกยังคงนั่งเงียบๆมีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบ้างเป็นพักๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นการนั่งแชทกับกลุ่มเพื่อนเพราะโทรศัพท์ของหมอกมีการสั่นเตือนแทบจะไม่หยุด รวมถึงข้อความเสียงหลายข้อความที่หมอกไม่กล้าเปิดฟัง สังเกตจากคิ้วนั่นที่ดูจะขมวดจนยุ่งแทบจะตลอดเวลาแสดงว่าข้อความพวกนั้นต้องเป็นข้อความโวยวายที่หมอกหายไปไม่บอกกล่าวแน่ๆ

   ตามจริงตั้งแต่วันนั้นทั้งข้อความหรือสายเข้าจากเพื่อนๆในกลุ่มของหมอกดังเข้ามาไม่ขาดสายจนแบตหมด โดยเฉพาะคนที่ชื่อนายจนผมนี่แทบอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันมีอะไรยังไง ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ(?)นะ ข้อมูลที่คนในชีวิตหมอกผมหาได้ภายในไม่ถึง 24 ชม.ด้วยซ้ำ นี่ผมเดาว่าหมอกต้องลืมไปแล้วแน่ๆว่าตัวเองบอกจะโทรหาพ่ออีกรอบ

เลี้ยวรถเข้ามาจนถึงหน้าล็อบบี้โรงแรมหรู 6 ดาวติดหาดจอมเทียนสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของทั้งชาวไทยและต่างชาติ พนักงานรีบเดินเข้ามาเปิดประตูรถให้อย่างกระตือรือร้น ผมลงรถมามองบรรยากาศของโรงงแรมที่คุ้นตาผิดกบอีกคนที่ยังเดินก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือจนเกือบจะเดินชนคนอื่น ผมเลยจัดการคว้าไหล่นั่นให้มาเดินข้างๆ ดูถ้ากำลังจะตั้งใจคุยจริงๆเพราะไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมโดนผลักกระเด็นไปไหนต่อไหนแล้ว กลิ่นผมหอมๆกับสัมผัสนุ่มๆทำให้ผมอยากจะพาไปฟัดมากกว่าพาไปกินข้าว แต่ก็ได้แต่คิดอยู่เงียบๆในใจดึงอีกคนให้เข้ามาชิดอีกหน่อยไปพลางๆก่อน

ผู้จัดการที่จำผมได้ในทันทีรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา เพราะสาขาที่นี่เพิ่งเปิดได้ไม่นานช่วงก่อนหน้านี้ผมเลยต้องเข้ามาดูความเรียบร้อยอยู่บ่อยๆ เลยทำให้เป็นที่คุ้นตาของพนักงานอยู่บ้าง

“สวัสดีครับคุณซีนอน วันนี้สนใจเปิดห้องแบบไหนดีครับ private pool suiteที่มาใช้บริการประจำรอบนี้ว่างนะครับ” จบประโยคคนที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์เงยหน้าขวับขึ้นมามอง ก่อนยิ้มที่มุมปากจะเริ่มฉายชัดทำให้อดเสียวสันหลังวาบไม่ได้เลยได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป

“วันนี้ฉันมาทานข้าว นายช่วยจัดการให้หน่อยแล้วกัน อืม..ภายในสิบนาที” เพราะระยะเวลาที่ผมกำหนดให้มันน้อยนิดทำให้ผู้จัดการตัวดีนั่นถึงกับหน้าเจื่อนรีบโค้งลาก่อนเดินกึ่งวิ่งไปประสานงานให้ 

แต่ก่อนผมมักจะพา’เด็กๆ’มาค้างด้วยที่โรงแรมบ่อยๆ จนมันคงเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับพนักงานที่นี่ทำให้ประโยคทักทายกลายเป็นแบบนั้นไป แต่แหม ครั้งนี้เล่นมาทักกันต่อหน้า ทูนหัว มันก็น่าทำให้หนาวๆร้อนๆบ้างแหละครับ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หมอกก็กลับไปก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผมเหมือนเดิม
“วุ่นวายจริง” ปากบางนั่นบ่นออกมาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจปิดโทรศัพท์หน้าตาเฉย ผมมองคิดว่ามันตลกแต่ก็ขำไม่ออก นี่ถ้าวันนี้คืนดีผมโดนปิดเครื่องใส่บ้างมีหวังนั่งจ๋อยกินข้าวกินปลาไม่ลง

“ทำไมใจร้ายจัง” ผมพูดขึ้นลอยๆเรียกคิ้วยุ่งๆนั่นให้เงยขึ้นมาอีกรอบ

“อธิบายไปแล้ว แต่ไม่ฟังเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวพวกมันก็หาย” ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมากส่วนผมได้แต่ส่งเสียงตอบรับเบาๆในคอ พนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำพวกเราทั้งคู่ไปที่เล้าจ์บนชั้น 20 ที่จะเปิดเฉพาะตอนเย็น ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากเราสองคน หมอกดูพอใจ เพราะบรรยากาศเงียบๆรอบตัวนี้ คนตรงหน้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เหมือนหมดแรงก่อนจะเสยผมที่ปิดหน้าของตัวเองขึ้นอย่างลวกๆ แน่นอนว่าผมที่เห็นทุกการกระทำได้แต่แอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ คนที่ไม่ว่ามองมุมไหนก็มีเสน่ห์พาลให้มองตามตลอดเวลากลับมีความรู้สึกเหมือนมีไออันตรายไม่น่าเข้าใกล้แผ่ออกมาด้วย  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหน้านิ่งที่ติดไปทางดุ หรือการวางตัวที่ทำให้เหมือนอยู่กันคนละระดับ แต่รวมๆแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากเข้าไปทำความรู้จักให้ได้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เหมือนยอมกระโดดลงไปในหลุมที่ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรรอผมอยู่
ใช้เวลาไม่นานนักอีกคนก็เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาที่จับจ้อง แต่แทนที่จะเขินขายหรือไม่กล้าสบตาเหมือนคนทั่วไป ตาสีดำนั่นกลับมองตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบแถมยังเจือแววท้าทายอยู่เนืองๆ เสื้อยืดสีดำที่ตอนแรกคิดว่าคอไม่ได้กว้างมากอีกคนกลับจงใจนั่งเท้าคางก้มลงต่ำจนผิวขาวๆนั่นเผยเข้าสู่สายตา ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มประจำของคนชอบแกล้งที่มันชวนให้เข้าไปฟัดแรงๆสักสองสามที ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไป

“อยากให้พี่ทนไม่ไหวหรอครับ”

จงใจแทนตัวเองว่าพี่ให้อีกคนหน้าเจือสีขึ้นอีกหน่อย จุดอ่อนข้อนึงของหมอกคือเขาจะเขินเวลาที่ผมพูดเพราะ ลำพังแค่พูดครับบางที่ก็ทำให้อีกคนเกร็งจนทำตัวถูก นี่ไม่นับคำว่าพี่นะ ที่ตอนนี้ทำให้คนผมดำหลบตาแถมด้วยด่าอีกนิดให้ผมพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ

ไม่เกินสิบนาทีอาหารก็ค่อยๆทยอยมาวางจนเต็มโต๊ะ ถือว่าผู้จัดการนั่นทำตามที่ผมสั่งได้ดี คนตรงหน้ายังไม่ได้ลงมือทานอาหารเหมือนกำลังรอให้ผมลงมือก่อน ....น่ารักชะมัดเลย

ข้อนี้ทำให้ผมได้แต่แอบยิ้มในใจ

“นั่งทำหน้าโรคจิตอยู่ได้ รีบกินสิ”  พูดกดด้วยน้ำเสียงที่พอให้ได้ยินกันอยู่สองคน เอ้อ ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าหมอกหน่ะน่ารัก แม้กระทั่งในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นการให้เกียรติและเกรงใจผม แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องนี้ด้วย ตลอดเวลาถึงแม้ว่าหมอกจะพูดรุนแรงหรือห่ามไปบ้างแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้องหรือคนที่ผมต้องรักษาภาพลักษณ์ด้วย หมอกจะไม่พูดหักหน้าหรือทำอะไรให้ผมดูแย่เลย เรียกได้ว่าเก็บไว้คิดบัญชีทีเดียวตอนอยู่กันสองคนมากกว่า ไม่เหมือนคนควงอื่นๆของผมที่มักจะพูดจาไม่ดีและเอาชื่อของผมไปใช้อวดอ้างอยู่บ่อยๆ

มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งมือถือในกางเกงผมสั่น เห็นชื่อคนที่โทรเข้าก็พาลอยากจะเบ้หน้า ไอ้เซนต์
“มีอะไร” ผมกดรับโทรศัพท์กรอกเสียงลงไปไม่ดังมาก

“โว้ว เสียงเข้มอีกละ กระผมขอโทษขอรับที่โทรมาขัดจังหวะ คือกูมาหามึงที่บ้านเนี่ย แต่มาถึงหายเฉยรู้อีกที่ก็พาเด็กไปรังรักเก่าที่พัทยาซะและ”

“พูดให้มันดีๆ รังบ้าไร” พูดพลางแอบเหลือบมองอีกคนที่ยังนั่งทานข้าวไปเรื่อยๆไม่ได้สนใจผม

“หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับนายน้อย แค่จะแวะมาคุยธุระด้วยนิดหน่อยแล้วก็นะบ้านมึงนี่สกปรกมาก ดูแลยังไงของมึงวะ รีบหาคนมาทำความสะอาดซะ” ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของไอ้หมอที่อยู่ปลายสาย บ้านสกปรกของมันคืออะไรผมเข้าใจดี

“ห้องทำงานยิ่งแล้วใหญ่ฝุ่นเยอะจนกูต้องออกมาคุยข้างนอก มึงก็รู้ว่ากูแพ้”  เสียงที่ทำเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออกนั่นทำเอาผมนึกภาพหน้าตากวนๆนั่นออก นี่คงมีคนเดินผ่านมาตอนที่มันกำลังคุยกับผม ขยายความคำว่าบ้านสกปรกง่ายๆก็คือมีเครื่องดักฟังหรืออุปกรณ์สปายอย่างอื่นอยู่ในบ้าน

“งั้นสนใจมาเที่ยวพัทยาไหม ที่นี่น่าจะอากาศดีกว่า พาเจย์กับราฟมาด้วยก็ดี”

“เอางั้นก็ได้ รีบๆสวีทให้เสร็จๆ ตอนกูไปจะได้ไม่ต้องมาหงุดหงิดว่ามีก้าง” พูดจบก็ตัดสายไปก่อนที่จะได้ด่า เซนต์ ไอ้เซนต์ หรือหมอเซนต์เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตของผม ผมกับมันรู้จักกันมานานก่อนผมจะเข้าวงการนี้ซะอีก หลายครั้งที่ชีวิตมันต้องวุ่นวายเพราะผมแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะหายหัวไปซะที เรื่องที่มันโทรมาบอกทำให้ผมต้องหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าโดนเริ่มดักฟังตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะฉะนั้นแทบทุกอย่างจะต้องมาคิดกันใหม่ทั้งหมด รวมถึงเรื่องหมอกบ้างเรื่องด้วย

เนื้อปลาคำเล็กๆถูกวางลงบนจาน นั่นก็พอที่จะให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ตักให้เมื่อกี้ยังทำท่าเฉยเหมือนตัวเองไม่ได้เป็นคนทำเสียอย่างนั้น แถมพอโดนมองนานๆยังมีหน้ามาเลิกคิ้วใส่กันอีก

ให้ตายสิ

“กินสะสิ” เสียงนั่นพูดออกมาโดยที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผมแต่หูเล็กนั่นกลับเริ่มขึ้นสี

“คร้าบๆ เมื่อกี้ไอ้เซนต์โทรมา เดี๋ยวตอนเย็นๆมันน่าจะมาถึงที่นี่มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”

“ก็มาสิ แล้วจะทำหน้าบูดทำไม” ผมอยากจะเบะปากแล้วเข้าไปอ้อนหมอกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดอยู่ที่พนักงานสี่ห้าคนที่ยืนมองอย่ไกลๆนั่นทำให้ตอนนี้ทำได้แค่หน้านอยๆแค่นั้น

“ก็เนี่ย นานๆทีจะได้อยู่เงียบๆสองคนก็ดันมีเรื่องเข้ามาให้ปวดหัวอยู่ได้” อดที่จะบ่นไม่ได้ หมอกพ่นลมหายใจพร้อมกับขำ

“โตเป็นควายแล้วยังมานั่งทำหน้างอ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วกูว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย มึงจะตามไปก็ได้นะ”









ตกเย็นหลังจากที่ผมตือนให้หมอกโทรไปหาพ่ออีกรอบซึ่งเป็นไปตามที่ผมคิดคืออีกคนลืมสนิท เราก็ไปเดินเล่นนั่งคุยนู่นนี่ไปตามเรื่องราว พูดให้ถูกคือผมแทบจะพูดอยู่คนเดียวโดยที่มีหมอกเออออด้วยเป็นพักๆมากกว่าแต่มันก็ทำให้ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอกเพิ่มขึ้นมาหลายอย่างเช่น หมอกชอบสีฟ้า ไม่ชอบทานอาหารรสเผ็ดและชอบมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ ขบวนเสด็จของไอ้หมอมาถึงโรงแรมห้าโมงเย็นเป๊ะ เหมือนเวลาที่มีค่าหมดลง พวกเรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของวิลล่าส่วนตัวหลังหนึ่งที่ผู้จัดการคนนั้นเปิดไว้ให้เสร็จสรรพตั้งแต่เห็นหน้าผม


“ทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ เราก็เช็คทุกคนที่เข้าออกบ้านนี่” ผมถาม ไอ้หมอยักไหล่เป็นคำตอบว่าไม่รู้เรื่อง

“ขออภัยครับนายน้อย”  ราฟตอบพลางก้มหน้ารับผิดผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ หมอกทำหน้าอึกอักเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ในวงสนทนานี้รึเปล่าผมเลยจับข้อมือนั้นไว้เป็นเชิงบอกให้นั่งอยู่ต่อ

“อย่าไปว่าราฟเลย วันนี้ที่กูเจอก็เพราะบังเอิญหรอกแม่งแอบไว้สะอย่างดี กูว่าฝีมือคนในแน่ๆ” หมอพูดต่อเจย์รีบพยักหน้าสนับสนุน
“ใช่ครับนายน้อย แต่จากที่พวกผมเช็คดูเรียบร้อยแล้วมีแต่เครื่องดักฟังครับไม่มีกล้องหรืออุปกรณ์อื่นๆ เรื่องนี้มีแค่นายน้อย คุณเซนต์ คุณหมอกแล้วก็พวกผมที่รู้ส่วนเครื่องพวกนั้นพวกผมยังไม่ได้กำจัดแต่จัดการให้ไม่เป็นอันตรายแล้วครับ” ผมพยักหน้าอย่างพอใจกับวิธีดำเนินการ
“ดี ต้องไม่ให้มันรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว เครื่องพวกนี้อาจจะพอทำประโยชน์ให้เราได้บ้าง แล้วก็เรื่องนี้อย่างเพิ่งไปบอกใคร ให้รู้กันแค่ในเฉพาะห้องนี้พอ” ทุกคนพยักหน้าอย่างรับคำ ไอ้เซนต์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอมองไปทางหมอกแล้วก็หยุดหันมาทำสายตาของความเห็นก่อนที่ผมจะพยักหน้า

“อืมแล้วก็แผนเรื่องความปลอดภัยของหมอกพังหมดเลยนะ รวมถึงประชุมอื่นๆของเราในช่วงนี้ด้วย ราฟเช็คคร่าวๆแล้วบัคพวกนี้น่าจะมาติดตั้งก่อนหน้าประมาณ1อาทิตย์ช่วงเดียวกับที่เราโดนวางระเบิด” แทบจะไม่ต้องพูดชื่อทุกคนในห้องก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร ถ้าไม่นับการไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมกับไอเดนก็เป็นคู่แข่งธุรกิจกันชนิดว่าเป็นศัตรูกันแทบทุกอย่าง
“ช่วงนี้ก็จำกัดจำนวนคนในบ้านใหญ่ซะ ใครไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้ามาให้ไปอยู่อีกหลังให้หมด” เนื่องจากในบริเวณบ้านของผมมีบ้านๆเล็กๆแยกรวม4-5 หลัง โดยเป็นทุกของลูกน้องแม่บ้าน หรือเป็นบ้านเอาไว้รับรองแขกต่างๆ ส่วนบ้านใหญ่จะมีแค่ผมและลูกน้องคนสนิทอยู่เท่านั้น แต่ดูเหมือนตอนนี้ใครๆก็ไว้ใจไม่ได้ไปเสียหมด

“ตอนนี้ที่ผมยืนยันได้แล้วว่าเป็นสายของไอเดนมีสองคนครับ คนนึงอยู่หน่วยผมส่วนอีกคนเป็นคนสวนที่เราจ้างเข้ามาจะให้จัดการยังไงดีครับ” คนที่อยู่หน่วยของเจย์คนนั้นน่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้เกิดเรื่องกับหมอกที่คลับ ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี ผมก็รับรู้ถึงการสะกิดเรียกเบาๆของคนข้างๆ
“เอ่อ..ขอเสนออะไรหน่อยได้ไหม” ผมเลิกคิ้วยอมรับว่างงนิดหน่อยที่อีกคนกล้าที่จะออกความเห็นไม่ต่างกับอีกสามคนที่มีใบหน้างงอยู่เหมือนกันแตกต่างกันที่ไอ้หมอจะแอบยิ้มปนขำเจย์ที่ดูจะอึ้งๆส่วนราฟที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด ผมพอจะเข้าใจว่าราฟคิดอะไรอยู่ราฟเป็นคนเคร่งทั้งกับระเบียบความประพฤติเรียกได้ว่าแทบจะกับทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นคนจริงจัง ผมจึงไม่แปลกใจที่ราฟยังมีสีหน้าท่าทางไม่ไว้ใจหมอกเขาไม่ชอบใจตั้งแต่ที่ผมสั่งห้ามขุ้ยประวัติหมอกตั้งแต่ทีแรก
“เอาสิ” หมอกมองสบตากับทุกคนก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ผมคิดว่า ในเมื่อเราตั้งใจจะเก็บบัคของพวกนั้นไว้เพื่อเอามาเป็นข้อได้เปรียบทีหลัง เราก็ควรกำจัดสปายพวกนี้โดยที่เราต้องทำให้มันพอที่จะโน้มน้าวให้ฝั่งนั้นคิดว่าเรารู้แค่เรื่องนี้ มันดีกว่าที่เราจะปล่อยไปเพราะมันจะทำให้พวกนั้นคิดว่าเรายังระแวงและสืบหาสปายอยู่ตลอด สู้กำจัดไปอย่างหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นสบายใจไปดีกว่า”

ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตากลั้นยิ้มที่แทบจะปิดไม่มิด ทำไมน่ารักอย่างนี้ จะไม่ไหวละโว้ย แต่เหมือนจะมีอีกคนที่รู้ทันผมเพราะในตนนี้มันนั่งขำฮึๆแถมยิ้มล้อมาทางผมแบบไม่ปิดบัง หมอกทำหน้างง ไม่เข้าใจทั้งพฤติกรรมของผมและไอ้หมอ
“เอาเป็นว่าพวกนายจัดการตามี่หมอกเสนอแล้วกัน ฉันเห็นด้วย”
เจย์พยักหน้ารับก่อนจะจดบางอย่างลงในในสมุดเล็กๆแล้วเงยหน้าขึ้นมาสีหน้าเหมือนมีเรื่องลำบากใจบางอย่างจะพูด จนไอ้เซนต์ทนไม่ไหวต้องเป็นคนเริ่มต้นประเด็นเอง
“สายของนายที่ส่งไปอยู่กับไอเดนโดนจับได้ไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ตายแต่กูคิดว่าก็คงไม่ต่างกับตายเท่าไหร่” ผมมีคนที่ให้แฝงตัวอู่กับไอเดน ไม่ต่างจากที่มันที่มีสายอยู่ในแฟมิลี่ของผม แต่พอต้องมารับรู้ว่าลูกน้องของตัวเองโดนไอ้คนโรคจิตแบบนั้นจับได้ในใจก็อยากจะส่งคนไปช่วยให้รู้แล้วรู้รอดแต่ติดที่มันทำไม่ได้
“ก็คงต้องปล่อย” ผมเชื่อว่าลูกน้องของผมไม่มีทางปากโป้งเปิดเผยชื่อของคนอื่นๆ แต่นั่นเท่ากับว่าผมต้องเสียลูกน้องที่เชื่อใจได้ไปอีก 1 คน หมอกบีบมือผมเบาๆ ทำให้ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่เจย์จะพูดเรื่องต่อไปซึ่งส่วนมากก็เกี่ยวกับแผนธุรกิจกับการรักษาความลอดภัยบางอย่างที่ต้อวางแผนใหม่ หมอกนั่งฟังอยู่เงียบๆส่วนเซนต์นานๆจะออกความเห็นที ยกเว้นเรื่องโรงพยาบาลของมันที่มีผมถือหุ้นอยู่ด้วยที่ตอนนี้เป็นธุรกิจเดียวที่ไอเดนยังไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง ถึงมนจะไม่ได้มีกิจการเกี่ยวกับพวก รพ เหมือนผมแต่มันก็ไม่สามารถการันตีได้ว่ามันจะไม่เข้ามายุ่ง เวลายืดเยื้อไปกว่าสองชั่วโมงกว่าที่จะเคลียประเด็นทั้งหมดลงได้
“ทีนี้ก็เหลือแต่เรื่องหมอกแล้วหล่ะ” ไอ้หมอโพล่งขึ้น คนที่ทำท่าเหมือนเริ่มง่วงในตอนแรกเลยกลับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม แถมทำท่าตั้งใจฟังจนอยากหยิก เพราะเกือบทุกแผนที่ผมวางไว้ดูเหมือนจะใช้การไม่ได้แล้ว มันยากตรงที่ว่าจะเปลี่ยนแผนยังไงให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเรารู้ทัน กว่าสิบไอเดียที่ช่วยกันเสนอยังไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยืนยันว่ายังอยากไปเรียนเพราะอีกปีเดียวก็จะจบ จนบนหน้าไอ้หมอเริ่มมีรอยยิ้มแปลกๆ มองผมและหมอกสลับกันก่อนจะมองมาที่ผมอีกรอบคราวนี้เปลี่ยนเป็นยิ้มกวนตีนที่เจ้าตัวมีประจำเวลาจะทำอะไรแผลงๆ

“ถ้าเราเปลี่ยนหรือเพิ่มคนคุ้มกันหมอกไม่ได้ มึงก็ทำให้หมอกเข้าถึงยากแทนสิ” ทุกคนที่ฟังได้แต่ทำหน้างงเพราะยังคิดไม่ออกว่าความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยินคืออะไร ก่อนมือนั่นจะพิเรนท์เอื้อมมาจับหน้าของหมอกผมที่กำลังจะจัดการไอ้เพื่อนตัวดีที่แกล้งยั่วโมโหไม่เข้าท่ากลับไม่ทันเจ้าตัวที่บิดข้อมือคนที่มาจับหน้าตัวเองจนไอ้เซนต์หน้านิ่ว

“อะ โทษครับ มือมันไปเอง” ถึงเสียงพูดจะนิ่งๆเหมือนปกติแต่ผมก็เห็นว่าแววตานั้นกลับกำลังวาวเหมือนคนกำลังกลั้นขำ

“ใครให้มึงแตะเนี่ยก็รู้ว่ากูหวง” ไม่ว่าเปล่าผมยังแกล้งเอามือไปเช็ดแก้มเนียนนั่นจนหมอกดันมือของผมให้ออกห่างพร้อมสายตาคาดโทษที่ทำให้รู้ว่าตัวเองจะโดนคิดบันชีทีหลังแน่นอน
“ไอ้เวร กับเพื่อนนี่ไม่ได้เป็นห่วงเลย ว่าแต่หมอกเล่นแรงนะครับนี่พี่เจ็บจริงๆนะ”

“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วไอ้หมอ สรุปมึงจะเสนออะไร”

“ไม่ต้องห่วง รับรองว่ามึงต้องไม่ชอบแน่ๆไอ้ซี”

และพอผมได้ฟังแผนของมัน แค่สองสามประโยคแรกก็ทำให้ผมอยากจะตะโกนบอกว่าไม่เป็นสิบๆหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นแผนที่ดูจะได้ผล แถมยังง่ายอีกด้วย ยิ่งหมอกที่นั่งคิดตามเงียบๆแบบไม่มีท่าทีว่าจะปฏิเสธยิ่งทำให้ผมนี่อยากจะทึ้งหัวตัวเอง

“สรุปง่ายๆก็คือ ทำตัวให้เด่น ยิ่งเด่นได้เท่าไหร่ยิ่งดี โอเคไหม”

ไม่โอเค

ของรักของหวงทั้งที ใครจะอยากให้ชาวบ้านมองกันง่ายๆหล่ะ

ผมจะสรุปแผนสิ้นคิดของไอ้หมอไอ้ฟังอีกที เรื่องก็คือมันต้องการให้หมอกทำตัวให้เป็นจุดสนใจเอาไว้ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวนี้เวลากรี้ดใครสักคนร้อยละร้อยก็แทบจะคอยตามหรือแอบถ่ายรูปอยู่ตลอด ยังไม่นับว่าจะอยู่ในสายตาคนทั่วๆไปแทบจะตลอดเวลา ทำให้เวลาเกิดอะไรไม่ดีขึ้นเป็นอันว่าต้องมีใครสักคนเห็นแน่ๆ อาจจะฟังดูเป็นแผนที่เข้าท่าสำหรับหลายคน แต่มันไม่สำหรับผม

ผมหวง

“โอเค”

แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้หมอกเห็นด้วยกับความคิดนี้ หันไปมองอีกคนก็ได้แต่ยักไหล่น้อยเป็นคำตอบเท่านั้น

“แต่ต้องลดจำนวนคนที่ตามผม แล้วที่สำคัญผมขอเวลาส่วนตัวด้วย”

ไอ้หมอพยักหน้าบวกกับไม่มีเสียงคัดค้านจากสองบอดี้การ์ดที่นั่งฟังอยู่ด้วยและข้อสรุปทั้งหมดก็จบลงด้วยการจับมือให้กับแผนความปลอดภัยระหว่างหมอกกับไอ้หมอ โดยที่มีผมนั่งไม่เห็นด้วยสุดๆอยู่ตรงกลาง










________________________________________

ตอนนี้รีบลงอาจจะทำให้มีคำผิดบ้าง

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2017 13:41:26 โดย qDraftman »

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบบบบบ  รออ่านตอนหน้าค่ะะ อยากเห็นหมอกตอนไปมหาลัย

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอตอนต่อไปครับ,,,

ออฟไลน์ Jinglering

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
น่าสนุกกกก รออ่านต่อน้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mana_ai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกมากเลยค่า รอตอนต่อไปนะคะ อิอิ

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0





14




    พอเคลียปัญหาทุกอย่างเสร็จทั้งห้องก็กลับมาเหลือแค่ผมกับไอ้ฝรั่งนี่เหมือนเดิม ส่วนคนอื่นก็ไปเปิดห้องเพิ่มเติมเพื่อพักผ่อน เวลาก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม จากที่ผมคิดว่าจะทานข้าวแล้วกลับกลายเป็นต้องค้างที่นี่ไปเสียอย่างนั้น และจากหน้าของซีนอนก็น่าจะรู้สึกคล้ายๆกัน ต่างกันแค่อีกคนดูจะเครียดมากกว่าแล้วเมื่อกี้ก็เล่นอัดยาไมเกรนเข้าไปทีเดียวสองเม็ดรวด แล้วถ้าสงสัยว่าทำไมผมถึงตอบรับข้อเสนอของหมอเซนต์ง่ายๆ

 เหตุผลหลักๆมีด้วยกันสองข้อ หนึ่ง ถ้าตัดเรื่องคามวุ่นวายและความน่ารำคาญออกนี่นับเป็นข้อเสนอที่เข้าท่าและดูเป็นไปได้มาก สอง คือผมยากลดจำนวนคนที่ซีนอนต้องเอามาลงกับผมลำพังจากที่ฟังท่าทางก็ดูจะมีปัญหาภายในกันอยู่ไม่น้อย แล้วจากนิสัยอย่างไอ้ฝรั่งนี่รับรองว่ามันต้องเลือกแต่คนที่ไว้ใจได้ให้มาคอยตามดูผมแน่ ดีไม่ดีก็จะกลายเป็นราฟหรือไม่ก็เจย์เลนไปเสียอีก แล้วอย่างนี้จะเอาคนที่ไว้ใจได้ที่ไหนไปคอยช่วยงานตัวเอง เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วผมยอมทนรำคาญกับสายตาที่มองมาดีกว่าเพิ่มความลำบากให้หมอนั่น ก็คิดซะว่ากลับไปเหมือนเมื่อก่อน


เครื่องดื่มสีอำพันรสชาติดีแก้วที่สามที่ทางโรงแรมจัดมาให้ในมินิบาร์ของห้องหรูบวกกับลมเย็นและเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ได้ยินเป็นจังหวะทำให้บรรยากาศที่ระเบียงตอนนี้เปรียบได้กับสวรรค์เล็กๆสำหรับผม นึกในใจว่าถ้ามีหนังสือดีๆให้อ่านสักเล่มผมคงจะมีความสุขไปอีกทั้งวันแน่ๆ


“อารมณ์ไหนถึงออกมาดื่มเงียบๆละครับ” เสียงดังออกมาจากคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนผมตอนนี้พร้อมนอนเรียบร้อยกะแค่ออกมาชมวิวแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นแต่บรรยากาศมันคงดีไปหน่อยทำให้นานจนอีกคนอาบน้ำเสร็จ

“ตอนแรกก็ว่าจะไม่ แต่บรรยากาศมันคงดีไปหน่อย”
ว่าแล้วก็ยกแก้วใสขึ้นมาจิบอีกรอบ ความรู้สึกเหมือนของเหลวร้อนๆไหลผ่านลำคอไปนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีมากนัก แถมยังมีโทษอีกหลายอย่างที่สิบนิ้วแทบจะนับไม่หมด แต่ก็แปลกที่หลายคนก็ยังชอบ รวมถึงตัวผมเอง ในระดับที่พอดีบางครั้งมันก็ช่วยทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรมากนัก บางครั้งก็ช่วยทำให้นิสัยบางอย่างหายไป เหมือนอย่างตอนนี้
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าผมก็ต้องทำใจนิดหน่อยกับชีวิตที่ต้องกลายเป็นชีวิตที่ไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัว ยิ่งต่อจากนี้ไปยิ่งแล้วใหญ่

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะทำให้ทุกอย่างจบให้เร็วที่สุด”

“นายเองก็อย่าเครียดให้มันมากไปหล่ะ” ซีนอนเลิกคิ้วให้กับสรรพนามใหม่ก่อนจะยิ้มขำ เล่นเอาผมต้องหลบตาอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะปิดว่ามันช่างสังเกตขนาดนี้กันเล่า ยอมรับสารภาพว่าอยากจะทำตัวให้ดีขึ้นมาหน่อยแต่ครั้นจะให้เรียกว่าพี่มันก็ยังกระดากปาก จะเรียกมึงก็รู้สึกขัดๆเพราะซีนอนดีกับผมมากแถมยังช่วยผมมาตั้งหลายครั้งอีกทั้งยังอายุมากกว่าตั้งหลายปี รู้สึกได้ว่าหูตัวเองร้อนแบบที่ไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ

“วันไหนอยากเรียกว่าที่รักก็เรียกได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ”

“เสือก” หลุดตอบแบบปากไวไปตามนิสัยแต่อีกคนก็ดูไม่ได้ถือสาอะไรกลับหัวเราะชอบใจด้วยซ้ำ


Ti voglio baciare.
(ผมอยากจูบคุณ)


“HELL NO!” ตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด ใครจะไปลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้ากัน ส่วนคนตัวสูงก็แสร้งตีหน้าน้อยใจ ทำตาเหมือนคนจะร้องไห้ แถมไม่อยู่นิ่งยังคิดขยับเข้ามาเรื่อยแต่ไอ้จะให้ถอยหนีทิฐิที่ค้ำคออยู่ก็ทำให้ทำไม่ลงได้แต่ยืนปั้นหน้านิ่งไปอย่างนั้น

สุดท้ายก็จบลงที่ริมฝีปากชื้นแตะลงบนหน้าผากเท่านั้น แต่เพราะยังงงๆอยู่เลยถูกคว้าเข้าไปกอดจนเต็มรัก แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยง่ายๆ กว่าห้านาทีแล้วที่พวกเรายืนอยู่อย่างนั้นสติของผมฟุ้งซ่านไปไกลตั้งแต่นาทีแรก วันนี้ไอ้ฝรั่งทำตัวแปลกจริงๆ ผมยืนอยู่นิ่งโดยที่ไม่ได้กอดตอบไม่รู้ต้องทำตัวยังไงเลยได้แต่ตบหลังเบาๆสองสามที

“ทำตัวเป็นหมาโดนยาเบื่อแบบนี้ เสียมาดมาเฟียหมด”

“ก็เป็นอย่างนี้กับแค่คนเดียวแหละครับ”

“เป็นอะไร กินยาผิดรึไง” ผมถามอีกครั้งเพราะเริ่มจะรู้สึกว่ามันไม่ปกติแล้วจริงๆ ซีนอนดันผมออก สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนักทำท่าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูด

“ก่อนหน้านี้ ผมได้รับสายจากที่บ้าน..มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ผมเริ่มทำหน้าไม่ถูก ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกคน ไม่ได้พูดอะไรกลับไป แต่ยื่นแก้วใบที่อยู่ในมือให้อีกคนแทน แน่นอนว่าในนั้นถูกเติมไปตั้งแต่ก่อนหน้าจากที่วางแผนจะดื่มเอง ตอนนี้ก็ให้ไอ้หมาหน้าหงอยนี่แทน

“ไม่ดีกว่าครับ ยังไม่อยากให้หมอกเห็นตอนผมเมา” ผมยักไหล่ ไม่เอาก็ไม่เป็นไร ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเล็กๆก่อนที่อีกคนจะนั่งลงข้างๆ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ จนอีกคนมีสีหน้าไม่สบายใจเข้าใจผิดว่าผมโกรธที่เขาไม่ยอมเล่าให้ฟัง

“ไม่ใช่ว่าเล่าให้ฟังไม่ได้นะครับ แต่..”

“เฮ้ ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย นี่ไม่ได้อยากรู้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ผม เอ่อ กู เออนั่นแหละ เข้าใจ” เพราะคำพูดติดๆขัดๆนั่นก็ทำให้ซีนอนหลุดยิ้มออกมาได้

“มันเป็นแค่เรื่องแย่ๆที่ผมไม่อยากพูดถึงหน่ะครับ”

ผมส่งเสียงรับเบาๆแล้วก็ปล่อยให้มันเงียบอย่างนั้นอยู่สักพัก ก็เข้าใจว่าทุกคนมันต้องมีเรื่องแนวนี้ในใจกันบ้างแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกลับไป ใจกอยากจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสักมวน แต่เห็นที่อีกคนดูท่ากำลังใช้ความคิดเลยไม่อยากกวน แต่เสียงทุ้มๆดังขึ้นทำลายความเงียบด้วยประโยคเกี่ยวกับความรักสุดคลาสสิก

“ความรักนี่ น่ากลัวจังนะครับ”

ใช่ ความรักมันน่ากลัว

ได้แต่คิดตอบอยู่ในใจ ถึงจะไม่เข้าใจความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวของอีกคน แต่มันก็เป็นความจริงเพราะบางทีความรักก็ทำให้เราหูหนวกตาบอดจนบางครั้งก็พลั้งมือทำเรื่องโง่ๆไปได้ง่ายๆ

“แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเสียใจนะ อย่างตอนนี้...” เสียงเดิมพูดขึ้นมาอีกรอบมองมาที่ผมเหมือนกับกำลังจะสื่อความหมายบางอย่างก่อนจะเงียบลงไปอีก เอาตามตรงนี่เป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผมทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ยิ่งคำถามถัดมาผมยิ่งไม่รู้ว่าต้องตอบว่าอะไร

“เริ่มชอบผมบ้างแล้วหรือยังครับ” น้ำเสียงดูเหมือนจะเป็นคำถามที่กวนอารมณ์เหมือนปกติแต่สายตานั่นไม่ได้มองมาที่ผมมันกลับมองทอดออกไปไกลแสนไกลในทะเล มันดูเหมือนอาการของคนที่ไม่กล้าฟังคำตอบมากกว่า แต่ครั้นจะให้ตอบออกไปก็ไม่รู้ว่าต้องใช้คำไหนมันถึงจะเข้าท่า จึงยังมีเพียงเสียงคลื่นเพียงอย่างเดียวที่ยังชัดเจนในเวลานี้

“แล้วทำไม ถึงมาชอบ” ถึงปากจะถามออกไปแต่ก็กลัวกับคำตอบที่จะได้ยินไม่แพ้กัน เวลาที่คนๆหนึ่งจะชอบใครได้นี่มันต้องใช้อะไรบ้างผมก็ลืมไปแล้ว แต่ยังไงซะปัจจัยมันก็คงหนีไม่พ้นแค่รูปลักษณ์ภายนอก ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเข้าไปทักก็คงหนีไม่พ้นข้อนี้หรือพวกคุณจะว่ามันไม่จริง

“ผมก็ยังให้ได้แค่คำตอบแบบเดิม คือไม่รู้ครับ”
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ชอบใจในคำตอบที่ไม่ได้ช่วยทำให้กระจ่างขึ้นหรืออย่างไร ผมเลยขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมคว้ามือนั้นมาสัมผัสหน้าตัวเอง เรียกสีหน้าไม่เข้าใจของซีนอนได้เป็นอย่างดี

“มองที่หน้านี่แล้วคิดดีๆ”

“มึงอาจจะแค่ชอบกูที่หน้าตา ปาก ผิว รูปร่าง น้ำเสียง หรือบางทีอาจจะแค่อยากเอาชนะหรือปราบพยศเพราะรู้สึกว่ามันท้าทาย พอชนะแล้วก็จบ......ดีไม่ดีพอได้ลองมีอะไรกัน เสร็จแล้วนายอาจจะเบื่อไปเลยก็ได้”
    พูดพลางไล้มือนั่นให้สัมผัสไปทั่วใบหน้าของผมกดต่ำมาเรื่อยๆจนมาหยุดที่หัวเข็มขัด ยอมรับว่ากลัวสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเหมือนกันบางที่มันก็เหมือนเป็นคำพูดที่จี้ใจตัวเองเป็นความคิดลึกๆที่ตัวเองไม่อยากยอมรับ แล้วถ้าหากซีนอนเป็นอย่างนั้นจริงๆผมควรทำยังไง รีบหนีออกมาก่อนที่ตัวเองจะเจ็บดีไหมนะ กลับกันคำพูดนั้นก็อาจจะใช้ได้กับผมเหมือนกัน บางทีถ้าผมหมดสนุกแล้ว เขาก็อาจจะไม่ต่างกับคู่นอนคนอื่นๆในชีวิตผมก็ได้....ซึ่งผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ปฏิกิริยาตอบรับกลับทำให้ผม

ผิดคาด ซีนอนคนนั้นสะบัดมือผมทิ้งอย่างไม่ไยดีแรงจนผมถอยเซถอยหลังไปสองสามก้าว

“ใช้อะไรคิด!”

 “ก็อยู่ๆจะมาชอบกันทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเลยแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไง” ผมลุกขึ้นเถียงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องโกรธ ผมก็แค่พูดความคิดของตัวเองออกมา ไม่ชอบเลยที่ทำหน้าแบบนั้นที่โมโหอย่างนั้น มันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรก็ไม่รู้มาจุกอยู่ที่คอ จะพูดต่อก็พูดไม่ออกจะให้เงียบตอนนี้ก็ในหัวก็มีความคิดหลายอย่างตีกันจนยุ่งเหยิงเกินไป
ซีนอนสูดหายใจเข้าเหมือนพยายามจะระงับโทสะของตัวเองก่อนจะจับไหล่ผมแน่น

“หมอกดูถูกความรู้สึกของผม ผมโกรธไม่เท่าหมอกดูถูกตัวเองเพราะฉะนั้นอย่าคิดดูถูกตัวเองอย่างนั้นอีก คิดดูให้ดีว่าถ้าผมคิดกับคุณฉาบฉวยแค่นั้นผมคงไม่จำเป็นต้องเอาความจริงใจมากมายขนาดนี้เข้าแลกหรอกมั้ง ผมไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้ให้หมอกมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิตหมอกจะคิดกันแต่เรื่องพรรคนั้นหรอกนะ” ได้แต่ฟังแล้วกัดปากตัวเองอยู่อย่างนั้น ผมฟุ้งซ่านไปอีกแล้ว จะโทษแอลกอฮอล์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก มันเป็นแค่เครื่องมือช่วยขยายความคิดของเราเท่านั้น...แต่จากคำของซีนอนมันก็ทำให้คิดออกว่านี่ มันไม่มีอะไรเหมือนเมื่อก่อนเลยผมก็แค่ ตีตนไปก่อนไข้


“....ขอโทษที่เมื่อกี้งี่เง่า ผิดเองที่คิดไปถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง” เมื่อรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดการที่จะขอโทษก็เป็นเรื่องที่สมควร แรงบีบที่ไหล่ผมคลายไปแล้ว  อีกคนก็ยอมรับคำขอโทษนั้นด้วยดีไม่มีแววความขุ่นเคืองในตานั่นอีกแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมซีนอนถึงยังเลือกที่จะเงียบ

มันเป็นความเงียบครั้งแรกระหว่างผมกับเขาที่มันทำให้อึดอัดใจ ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะกระดกของเหลวในแก้วทั้งหมดเข้าไปรวดเดียว เพื่อหวังจะละลายนิสัยบางอย่างได้อีก ถึงตอนนี้ผมจะเริ่มมึนๆแต่มันก็คงยังไม่พอ ผมไม่ชอบพูดเรื่องความรู้สึกมากนัก มันเหมือนกับว่าผมต้องยอมออกมาอยู่ในที่แจ้ง เหมือนต้องเดินออกมาตัวเปล่าโดยที่ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง มันทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย ปกติแล้วชีวิตส่วนตัวของผมคือชีวิตส่วนตัว การจะยอมให้คนอื่นก้าวเข้ามารู้เรื่องราวที่อยู่ในใจผมไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากทำมากนัก

“สำหรับคำตอบของคำถามก่อนหน้า Stai diventando davvero speciale per me
(You are becoming very special to me. /นายกำลังกลายเป็นคนพิเศษสำหรับฉันขึ้นไปเรื่อยๆ)

เอ่ยคำตอบที่คิดว่าตรงกับความรู้สึกของตัวเองออกไป จับจ้องทะเลอย่างที่อีกคนหนึ่งก็ทำ ผมห่วงเขา แคร์เขา ความคิดและความรู้สึกของเขามีผลต่อการตัดสินใจของผมอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าจะให้พูดว่าชอบก็ยังรู้สึกไม่เต็มปาก รักยิ่งแล้วไปใหญ่ ตอนนี้มันคล้ายถูกใจหรือชอบใจมากกว่า

ตอนนี้หน่ะนะ


อนาคตก็อีกเรื่อง


   บรรยากาศน่าอึดอัดหายไปแล้ว ถึงแม้อีกคนจังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สีหน้าที่เปื้อนยิ้มอย่างนั้น ผมเข้าใจดี เขามองผมแล้วก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่าในหัวนั่นคิดอะไรอยู่ถ้าเป็นปกติคงถลาเข้ามาลวนลามอย่างเคยไปแล้ว

“เพราะมัวแต่คิดว่าทำไมตัวเองถึงดีใจได้ขนาดนี้ครับ”

หลายครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้ ตอบคำถามเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ มันชวนให้น่าเบ้ปากเมื่ออีกคนรู้ทัน นี่ผมมองออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรอ ก็ไม่นะ มีแต่ไอ้ฝรั่งเนี่ยแหละที่ทำตัวเหมือนอ่านใจคนได้

“ผมอ่านใจไม่ได้หรอก แค่หมอกดูออกง่ายมากเวลาที่เขิน”

“ใครเขิน!”

ตอนแรกก็ไม่ได้เขินอะไรหรอก แต่พอโดนทักเข้าอย่างนี้ก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนขึ้นมาถนัด นี่ถ้าไม่ตั้งใจแกล้งกันจะเรียกว่าอะไรได้อีก หนอย เป็นแค่ลูกเจี้ยบไปหน่ะดีแล้ว อย่ามาปีกกล้าขาแข็งอย่างนี้นะ

“นี่ไงเขินอีกแล้ว”

“หุบปากไปเลย!!”

ขึ้นเสียงอีกรอบก่อนจะกอดอกฉับ ส่วนอีกคนยังยิ้มขำ ที่ผ่านมามันก็ทำท่าแกล้งเป็นกลัวผมไปเท่านั้นแหละ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะไอ้นี้ ฤทธิ์แอลกอฮอล์กับความอายของตัวเองตีกันจนมั่วไปหมด จนแทบอยากเอามือมาพัดให้มันหายร้อน ลืมไปเลยว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อารมณ์มันต่างกันราวฟ้ากับเหวแค่ไหน




________________________________________



ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษทุกๆคนมากๆที่หายไปนาน
เนื่องจากผู้แต่งได้มีโอกาศไปเวิคชอปที่ต่างประเทศ
ตอนแรกคิดว่าจะมีเวลาว่างมาอัพบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงแทบไม่มีเวลาเลย
ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ จะพยายามลงให้ได้อาทิตย์ละละ 1 ตอนเป็นอย่างน้อยค่ะ

ตอนนี้เฮียแกอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะใกล้เข้าวัยทองเต็มแก่5555
แอบมีดราม่าเล็กๆนิดนึงเนอะ เดี๋ยวรอหมอกเอาคืนตอนหน้าก็แล้วกันนะ5555555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ น้องหมอก พี่ซีนอน รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Jinglering

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮือออ มาต่อแล้วดีใจ
คิดถึงหมอกก

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
15




      เช้านี้เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เช้าเพื่อขับรถกลับเข้ากรุงเทพ โดยมีราฟทำหน้าที่เป็นสารถีให้ เรื่องเมื่อคืนก็จบลงที่ผมโดนบังคับให้นอนแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ บรรยากาศแปลกๆแบบเมื่อคืนหายไปแล้วตอนนี้กลับเข้าสู่ความปกติ ด้วยความที่กว่าจะนอนก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 แถมยังต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพราะวันนี้เจ้าพ่อข้างๆนี่ต้องเข้าไปที่บริษัท ผมเลยได้แต่นั่งทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่อย่างนี้

แต่พอสังเกตเห็นสายตาของคนขับรถที่เหลือบมองมาเป็นพักๆก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย อารมณ์ที่อยากจะหลับให้รู้แล้วรู้รอดไปก็ทำไมได้ ผมกับราฟยังไม่เคยได้คุยกันจริงจัง แต่เท่าที่ได้เห็นมาเขาก็ดูเป็นคนเข้มงวดแล้วหัวรุนแรงอยู่ไม่น้อย คนข้างๆผมนั่งอ่านเอกสารหนาเป็นปึกที่เจย์เพิ่งปริ้นมาให้ก่อนขึ้นรถอย่างตั้งใจ ดูผ่านๆก็เห็นว่าเป็นหัวข้อประชุมในวันนี้ 


อยู่ๆหัวผมก็โดนกดวูบเดียวลงมากองที่ตักคนกำลังอ่านเอกสารแถมยังกดค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมให้ผมลุกขึ้น


"นอนซะ"


ตาสีอ่อนนั่นไม่ได้ละออกจากตัวหนังสือตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่แรงที่มือกลับเปลี่ยนกลายเป็นลูบเบาๆตามด้วยคำพูดกล่อมนอน ผมรู้สึกอึ่กอั่กในใจอยู่นิดหน่อย เหลือบไปสบตากับคนข้างหน้าก็เห็นว่าเขามองมาอยู่เหมือนกันก่อนที่จะรีบละสายตาออกไป


ดูท่าคงจะไม่ชอบผมจริงๆแฮะ


มือใหญ่นั่นยังลูบหัวผมไปเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแมวยังไงอย่างนั้น สัมผัสอ่อนโยนที่เริ่มทำให้ผมเคลิ้มหลับนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ก่อนที่ไม่นานผมก็หลับลงไปจริงๆ กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนอีกคนสะกิด

"พี่ต้องไปทำงานก่อนนะครับ วันนี้ไปเรียนบ่ายใช่ไหม เดี๋ยวไปรับ" คำพูดที่ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองโดนเลี้ยงต้อยนั่นทำให้ผมต้องเกาแก้มแบบทำอะไรไม่ถูก ก่อนตอบรับเสียงเบา สังเกตเห็นว่ารถมาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าตึกสูงตึกหนึ่งมองออกไปนอกรถก็เห็นคนชุดดำยืนรอรับกันอย่างเป็นระเบียบ ผมลุกขึ้นนั่ง ยังดีที่ฟิล์มรถมันทึบ ไม่งั้นได้อายหนักไปกว่านี้แน่ ซีนอนจัดระเบียบชุดของตัวเองก่อนมองมาอย่างขอความเห็น ผมเอื้อมมือไปปรับไทด์ที่ยังเบี้ยวอยู่นั่นให้เข้าที่ ยิ้มบางๆที่ผมชอบถูกส่งกลับมาให้อดยิ้มตามไม่ได้

"เหมือนภรรยามาส่งสามีที่ทำงานเลย" แต่ปากนั่นก็ไม่วายพูดจาให้ผมต้องเขม่นใส่อีกรอบ แต่ระดับซีนอนแล้วเลยได้แต่หัวเราะแบบไม่คิดอะไรกลับมาเท่านั้น

"เจอกันตอนเย็นนะ"

ผมพยักหน้ารับ มือใหญ่นั่นเอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆก่อนลงไปจากรถ ไม่นานพาหนะที่เงียบสนิทนี่ก็เคลื่อนตัวออกไปอีกรอบ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านหลังใหญ่หลังเดิม ที่วันนี้ผมเพิ่งจะได้สังเกตบริเวณรอบๆ เห็นได้ว่าบ้านแบ่งออกเป็นหลังๆ โดยมีหลังที่ผมอยู่เป็นหลังใหญ่สุดที่อยู่ด้านใน อีกอย่างที่แตกต่างจากวันแรกที่ผมเข้ามาก็คือ มันไม่ได้มีคนอยู่เยอะแยะอย่างเมื่อวันนั้น เห็นเดินไปเดินมาอยู่กันแค่ 4-5 คน



"ตอนบ่ายเจย์จะเป็นคนพาคุณไปส่งที่มหาวิทยาลัยนะครับ" น้ำเสียงเรียบๆที่ผมเพิ่งได้ยินชัดๆจากคนนี้ดังขึ้น บังไม่ทันที่ผมจะได้มองหน้า อีกคนก็ชิงเดินหนีออกไปก่อนแล้ว

"เดี๋ยว" ผมเรียก ส่งผลให้ไหล่กว้างนั้นชะงักหันมามองทางผมโดยที่สีหน้ายังคงเรียบเฉย

"ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผม" คำพูดที่ชวนให้คนฟังต้องเลิกคิ้ว แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนสีหน้านั่นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าบ้านไม่กล้าเสี่ยงเอาบทสนทนาแบบนี้เข้าไปให้คนอื่นได้ยินทั้งคนในบ้านและดีไม่ดีก็เครื่องดักฟัง

"ใช่ครับ คุณเป็นจุดอ่อนของนายน้อย" คำตอบที่ได้ยินกลับมามันทำให้ผมเข้าใจได้ แต่ที่ทำให้ผมนับถือคือคนๆนี้กล้าที่จะพูดออกมาตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมมากว่า ผมยิ้มรับคำนั่นก่อนจะพูดต่อกลับไป

"ผมไม่เคยอยากเป็นจุดอ่อนของใคร"

"แต่คุณเป็น สำหรับนายน้อยแค่เพียงจุดอ่อนนิดเดียวมันก็สามารถที่จะเป็นเรื่องใหญ่ได้ อย่างกรณีไอเดน คุณก็ทำให้มันยากมากพอแล้ว" สิ่งที่ราฟพูดนั่นพอที่จะทำให้ผมรู้สึกจุกเล็กๆในคอได้


ผมทำตัวเป็นภาระจริงๆ


"เรื่องนี้ผมยอมรับ แต่ต่อไปในอนาคตผมรับรองว่าจะไม่ให้มันมีเรื่องอย่างนี้อีกแน่" ราฟนิ่งยืนรับฟังแต่ในสีหน้านั้นแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่มั่นใจในคำพูดของผมเท่าไหร่ จริงสินะ ตั้งแต่เจอกับซีนอนมาทุกครั้งเป็นผมที่เป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือมาโยตลอด สมเพชตัวเองจังแฮะ ผมเหยาะแหยะมานานเกินไปแล้ว


"ที่นี่มีห้องที่เอาไว้ยืดเส้นยืดสายไหม มาเจอกันสักนิดสิ" ราฟทำหน้างง สักพักถึงจะพยักหน้าอย่างเข้าใจออกเดินนำผมไปข้างๆตัวบ้านไม่นานก็เห็นโรงฝึกขนาดไม่เล็กมากตั้งอยู่ เดินเข้าไปก็เห็นชายฉกรรจ์เกือบสิบคนจับคู่ซ้อมกันอยู่ ทุกสายตาแทบจะมองมาทางคนที่มาใหม่ แต่ผมไม่ได้สนใจกับการมองพวกนั้น เพราะความตื่นเต้นที่เห็นโรงฝึกที่ครบครันมากขนาดนี้ต่างหาก ทั้งลานซ้อม ทั้งเวทีมวย แม้กระทั่งเครื่องออกกำลังกายและเวทบางชนิดจนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นฟิตเนสขนาดย่อม






      ผมเดินนำไปที่เวทีมวยด้วยความตื่นเต้น  ผมหยิบผ้ายืดที่มีวางไว้ให้พร้อมขึ้นมาเริ่มพันมือ เนื่องด้วยชุดจองผมค่อนข้างคล่องตัวดีอยู่แล้วเลยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ต่างกับราฟที่ยังอยู่ในสูทเต็มยศมองไปก็เห็นว่าอีกคนเริ่มมีสีหน้ากังวล

"ไม่ต้องห่วงผมจะบอกพี่ซีนอนว่าผมเป็นคนออกความคิดนี้เอง อีกอย่างไม่ต้องเกรงใจผมดูและตัวเองได้ แค่อยากให้คุณได้รู้ไว้ว่าผมไม่ยอมอยู่นิ่งๆเป็นจุดอ่อนของใคร"


      แม้จะไม่ได้มีเสียงตอบกลับมาแต่การเดินไปเปลี่ยนชุดนั่นเป็นคำตอบให้ได้อย่างดี ผมยิ้มก่อนจะเริ่มวอมร่างกายอยู่ข้างเวที สายตาอยากรู้อยากเห็นพวกนั้นยังไม่ได้หายไปแค่ผมเลือกที่จะไม่สนใจเอง ความตื่นเต้นที่จะได้ออกแรงมันมีมากกว่า เทคนิควิชาป้องกันตัวต่างๆที่เคยได้เรียนมาตั้งแต่เด็กฉายอยู่ในหัว น้อยครั้งที่จะได้เอามาใช้กับคนที่รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน เพราะวันๆก็ได้แต่ต่อยตีกับพวกไม่เป็นสับประรดจนวิชาที่เคยได้เรียนมาแทบจะไม่ได้เอามาใช้ ไม่ถึงสิบนาทีอีกคนก็มายืดเส้นยืดสายอยู่ข้างๆก่อนจะนำขึ้นไปบนเวที

"มวยไทย?" บอดี้การ์ดหนุ่มที่ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ในชัดลำลองสบายๆเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่เห็นผมกำลังวอร์มร่างกาย


"ก็ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด" เมื่อเห็นอีกคนไม่ได้ตอบอะไรมาแต่หันไปเรียกผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่กรรมการก็เข้าใจ


"เต็มที่ ไม่ต้องออมมือ" เสียงเรียบประจำตัวเอ่ยขึ้นแต่ตัวก็ยังคงไม่ขยับ เหมือนรอให้ผมเป็นฝ่ายที่เข้าไปหาเองมากกว่า


"งั้นก็ไม่เกรงใจละนะ" พูดจบก็ออกแรงดันเท้าทีเดียวก็ไปยืนอยู่ข้างหลังอีกคน แววตาประหลาดใจไหววูบก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็วร่างนั้นหมุนกลับมาก่อนจะเป็นฝ่ายออกมันตรงตามแบบเทควันโด แรงจนรู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะกับแก้ม ผมยิ้มชอบใจ ต่างคนต่างรุกไล่ไปอย่างไม่ยอมใคร สีหน้าไม่ได้มีความตึงเครียดหรือโกรธแค้นกันเลย มีเพียงแค่แววตาสนุกสนานเหมือนได้เจอของถูกใจเท่านั้น

คนรอบๆจากที่ตอนแรกทำแค่แอบมองอยู่ห่างๆตอนนี้ถึงกับมาติดขอบเวทีแล้วส่งเสียงเชียร์ เพราะนานๆทีถึงจะได้เห็นมือขวาของนายน้อยตัวเองประมือกับคนอื่นได้นานขนาดนี้ ยิ่งอีกคนทั้งตัวเล็กกว่าไม่ได้ผอมแต่ก็ไม่ได้ตัวใหญ่บึกบึน แถมยังดูไม่ได้แข็งแรงเท่าลูกพี่ของตัวเอง แต่เกือบ20 นาทีมานี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะหมดแรงเลยด้วยซ้ำ


 เสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กกว่าเสียจังหวะทำให้โดนอีกคนทุ่มลงบนสังเวียนดังโครม ก่อนที่เจ้าตัวจะโดนคนที่ล้มเตะเอาที่ข้อเท้าให้ลงไปนอนกองเหมือนกัน อาศัยจังหวะนี้รีบพลิกตัวเองขึ้นไปบนตัวอีกฝ่าย ปล่อยหมัดตรงออกไปสุดแรง ก่อนจะหยุดหมัดห่างจากหน้าราฟไม่ถึงเซน


"ยกแรกผมชนะ" ตอบพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลชุ่มอยู่บนใบหน้า เสียงหอบของทั้งสองคนชัดเจนอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ทุกคนที่ดูอยู่เงียบกริบในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราฟถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ผมลุกขึ้นก่อนจะส่งมือดึงให้อีกคนลุกตามขึ้นมา ในแววตาของราฟเต็มไปด้วยทั้งความประหลาดใจ ความตื่นเต้นและอีกหลายๆอย่าง


"ประมาทคุณเกินไป" ตาที่ออกไปทางสีเขียวนั่นสบเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังติดหอบอยู่นิดหน่อยมือนั่นเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับขวดน้ำที่อยู่ใกล้ๆมาให้ ถึงเมื่อกี้จะเป็นการชนะแบบที่อีกคนยังไม่ได้ลงมือเต็มร้อยแต่ผมก็ยังถือว่าชนะอยู่ดีแหละหน่า ไว้คราวหน้าต่อให้เต็มร้อยผมก็ยังจะชนะให้ดู


"เรียกหมอกเถอะ" ผมรับมาอย่างไม่เกรงใจเพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมแทบจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เสื้อนี่แทบจะถอดออกมาบิดน้ำได้ยังดีที่กางเกงวอมที่ใส่มาไม่ได้ทำให้อึดอัดเท่าไหร่


"หาตั้งนาน มาอยู่นี่กันนี่เอง" เสียงคนมาใหม่ดังขึ้นมาจากด้านหลังกลุ่มลูกน้องที่อยู่ติดขอบเวที เมื่อได้ยินเสียงมักคนก็รีบสลายตัวกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที เจย์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวลที่เห็นผมอยู่ในที่นี้ มองไปมองมาสลับกันระหว่างผมกับราฟ

"นี่นายไม่ได้ก่อเรื่องอะไรใช่ไหมราฟ"  เจย์หรี่ตามอง

"ผมชวนราฟมาออกกำลังนิดหน่อย เท่าที่เห็นทุกคนก็ยังดูแข็งแรงดีไม่ใช่หรอ"  ผมรีบบอกเจย์ก่อนที่อีกคนจะเข้าใจผิดว่าราฟเป็นคนหาเรื่องผมขึ้นมาซะก่อน กระโดดทีเดียวลงมาจากเวทีก่อนจะดุนหลังเจย์ให้เดินออกมากับผม เร้าให้เจย์พาผมไปอาบน้ำเพราะแค่นี้ก็เริ่มเหนียวตัวจะแย่แล้ว

      จบลงด้วยห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านหลังโรงฝึกเพราะผมทนร้อนไม่ไหว ทั้งแดดทั้งเหนียวตัวและระยะทางของโรงฝึกที่ห่างออกมาจากตัวบ้านอยู่ไม่น้อย เจย์บ่นว่าเห็นรถเข้ามาจอดอยู่ในบ้านตั้งนานแล้วแต่ไม่เจอตัวผมเลยเดินหาให้วุ่น นึกว่าผมหายไปไหน ที่แท้ก็มาเล่นอยู่กับราฟ ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป ก่อนเข้าไปอาบน้ำ เจย์อาสาเดินกลับไปหยิบชุดที่บ้านใหญ่มาให้ ด้านหลังโรงฝึกมีห้องอาบน้ำรวมอยู่มีห้องน้ำแยกเป็นห้องๆ มีล้อกเกอร์ ที่แต่งตัวครบ ไม่ต่างกับฟิตเนสจนผมแอบนึกไปไม่ได้ว่าไอ้ฝรั่งนี่มันเลี้ยงลูกน้องดีจริงๆ ไม่ถึง 10 นาทีผมก็จัดการธุระของตัวเองเสร็จ เดินพันผ้าเช็ดตัวออกมาด้านนอก ในห้องก็ยังคงไม่มีใคร ผมนั่งลงรอเจย์พร้อมกับเช็ดหัวไปพลางๆ ไม่นานเสียงเปิดประตูจากจากข้างนอกก็ดังขึ้น แต่คนที่เข้ามากลับไม่ใช่เจย์แต่เป็นคนที่ผมเพิ่งชนะไปเมื่อกี้ต่างหาก

"อ้าวราฟ อาบน้ำหรอ” ผมทักแต่อีกคนก็ยังคงไม่ตอบแค่พยักหน้า แต่บรรยากาศคราวนี้ไม่ได้เป็นแบบคนไม่อยากจะคุย เป็นการไม่พูดแบบไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า ผมยืนตัวตรงขึ้นเอาผ้าขนหนูที่เช็ดหัวอยู่พาดบ่า บอกราฟว่าไม่ต้องเกรงใจไปอาบได้เลย ตาสีเขียวนั่นจ้องผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนแววตาจะมืดลงไปสีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนคนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

"ราฟ ไม่มีใครบอกนายหรอว่าอย่าเพิ่งเข้ามา" เสียงเจย์ขัดขึ้นมาอีกรอบเพราะเจ้าตัวได้ย้ำนักย้ำหนาก่อนไปกับทุกคนไว้แล้วว่าห้ามเข้าใช้ห้องน้ำจนกว่าผมจะทำธุระเสร็จ สองมือหอบชุดนักศึกษาเข้ามาในห้อง ราฟละสายตาออกไปขมวดคิ้วใส่เจย์ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปในห้องอาบน้ำเหมือนคนไม่สนใจ

      เจย์ถอนหายใจพรืด ก่อนจะบ่นงึมงำว่าไม่รู้ราฟจะงอนอะไรตัวเองนักหนา ผมเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเจย์ แต่เจ้าตัวก็ยักไหล่ทำนองว่าไม่ต้องใส่ใจ ก่อนยื่นชุดนักศึกษาแล้วของส่วนตัวอีกนิดหน่อยมาให้ เมื่อดูดีๆก็รู้ว่านี่เป็นชุดใหม่ทั้งชุดไม่ได้เป็นชุดประจำของผม เหมือนว่าเจย์จะจัดการไว้ให้แล้ว ขนาดเสื้อชอปที่ผมไม่เคยใส่ยังมี เจย์วางของทั้งหมดเอาไว้ให้ก่อนจะพาตัวเองออกไปรอข้างนอก ผมรีบลงมือเปลี่ยนชุดระหว่างที่ราฟยังอาบน้ำไม่เสร็จนี้ เลือกใส่แค่รองเท้าผ้าใบ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกติกับกางเกงยีนสีเข้มเข้ารูปเท่านั้น กระดุมยังติดถึงคอ เสื้อยังใส่ในกางเกงเรียบร้อย แต่ไม่เท่าเมื่อก่อนเพราะตอนนี้ทั้งหูทั้งคิ้วเต็มไปด้วยจิวประดับอยู่หลายแบบ ข้อมือมีสร้อยเงินแค่ชิ้นเดียวเป็นของประดับ ผมดูภาพของตัวเองในกระจกแล้วดูภูมิใจอยู่ไม่น้อย หมุนอยู่สองสามรอบถึงเดินออกมาข้างนอก

สิบเอ็ดโมงกว่าๆก็ได้เวลาออกจากบ้าน กลุ่มของผมนัดกันกินข้าวที่คณะกันเหมือนอย่างเคย ฟีฟ่ากำชับว่าผมต้องไปเรียนเพราะขาดวิชานี้อีกไม่ได้แล้ว ใจจริงอยากจะขอแค่รถสักคันขับไปเรียนเอง แต่เหมือนเจ้าของบ้านนี้จะยังไม่ให้ กำชับนักหนาว่าวันแรกต้องให้เจย์ไปส่งก่อน บทสรุปเลยได้นั่ง bentley คันเก่าที่เคยนั่งไปม.ครั้งที่แล้วแทน

      เพราะว่าใกล้ปิดเทอมเข้ามาทุกที บริเวณรอบๆคณะเลยเต็มไปด้วยเด็กมหาลัยที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนเยอะแยะ เรียกได้ว่าเจอหน้ากันครบเฉพาะตอนต้องทำงานส่งเท่านั้นจริงๆ พอเห็นคนเยอะอย่างนี้ในใจก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าแผนที่คิดไว้จะได้ผลหรือเปล่า ตอนนี้รถจอดนิ่งอยู่หน้าโรงอาหาร รอก็แต่พวกเพื่อนของผมที่ใกล้จะถึงกันแล้ว หลายสายตาจ้องมาทางรถที่กำลังจอดอย่างใคร่รู้พอเสียงข้อความดังก็เหมือนเป็นสัญญาณให้ผมต้องลงจากรถ ก้มลงเช็คความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเปิดประตู

"ให้ผมเปิดให้อาจจะเข้าท่ากว่า" เจย์พูดติดตลกก่อนจะเดินลงจากฝั่งคนขับมาเปิดประตู แค่การแต่งตัวเต็มยศของคนขับรถก็ทำให้สายตาพวกนั่นเริ่มที่จะอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ผมอดจะขำไม่ได้กับท่าทางที่ตื่นเต้นแทนผมของเจย์ แต่พอก้าวขาลงมาก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้ดูนิ่งเฉยเหมือนเก่า เดินไปข้างหน้าเหมือนไม่สนใจกับสายตาที่จ้องมองมา ขาก้าวฉับ สายตามองตรง เดินเข้าไปในโรงอาหารโต๊ะประจำ

"ไง" ผมทักเพื่อนๆบนโต๊ะที่ตอนนี้ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์กันจนไม่ได้ดูรอบข้าง บนโต๊ะยังไม่มีอาหารอะไรวางอยู่คิดว่าคงรอให้มาครบกันก่อน ฟีฟ่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาแบบงงๆก่อนจะตามด้วยแทนคุณ ก่อนทั้งสองคนจะร้องอ๋อนึกออกว่าเป็นผมก็ใช้เวลาอยู่พักนึง

“หล่อวัวตายควายล้มเลยว่ะเพื่อนกู อะไรเข้าสิงมึงอีกเนี่ย” ไม่พูดเปล่าแทนคุณยังตบเข้าที่ไหล่ฉาดๆ ไม่ต่างกับฟีฟ่าที่นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก  ก่อนจะกระแอมลดเสียงเมื่อรู้ว่าสายตามองมาทางนี้อยู่ไม่น้อย

“แต่แม่งบังรัศมีกูหมด ฉายาหนุ่มฮอตกูคงโดนสอยไปวันนี้แหละ” ว่าพลางทำท่าเซตผมตัวเองไปพลางนี่แหละครับไอ้ฟ่า เพ้อเจ้อง่ายๆแบบนี้มีอยู่คนเดียว

“โย่ว วันนี้หิมะจะตกที่ไทยรึไงเพื่อนกูถึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้” ส่วนคนที่เสียงมาก่อนตัวประจำก็คือนายเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของผม

“ไม่กลัวสาวๆจะรุมล้อมแล้วเรอะ กูหล่ะหมั่นไส้” แถมด้วยผมที่โดนตบหัวเป็นการยืนยันว่ามันหมั่นไส้ผมจริงๆ ซันที่เดินตามนายมาเงียบๆ มองหน้าผมงงๆอยู่พักนึงก่อนจะยิ้มให้เหมือนปกติแล้วผลักไอ้นายพรืดเดียวมานั่งจุ่มปุกอยู่บนเก้าอี้ 

“เพื่อนได้ดีมึงก็ต้องดีใจกับเพื่อนสิวะ ไอ้ห่านี่” แทนคุณพูดเสียงดัง ส่วนนายได้แต่ทำหน้างอ

“แม่งไวโคตรๆ ไม่ทันไรสาวในไลน์กูก็ทักมาถามชื่อมึงแล้วอะ”  ฟีฟ่ายังโวยวายอู่เหมือนเดิมเพิ่มเดิมคือคราวนี้ไอ้แทนเริ่มเออออตามไปด้วย สรุปคือขั้นแรกของแผนเป็นไปได้ด้วยดี โต๊ะผมได้รับความสนใจจนมากเกินพอดี แถมไอ้คนในโต๊ะก็ยังพูดจ้อไม่หยุดทั้งๆที่ตัวเองก็ยังกินข้าวไม่เสร็จ



           ........... แต่ท่ามกลางความวุ่นวายในกลุ่มนั้น มีสายตาหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง เมื่อคนที่เคยมองมาตลอด วันนี้กลับถอดหน้ากากนั่นออกไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เขาทียังใส่หน้ากากอันเดิมไว้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน














________________________________________


มาต่อแล้วค่ะ ♥

ตอนนี้รีบปั่นมากกกถึงมากที่สุด ถึงขนาดไม่ยอมทำงาน
รู้สึกตื่นเต้นกับการไปมหาลัยของหมอกเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าจะแต่งออกมาดีพอไหม5555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2017 19:43:42 โดย qDraftman »

ออฟไลน์ Jinglering

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บรรยากาศในรถดูน่าเอ็นดู55555555
ราฟท่าจะเป็นห่วงซีนอนมาก (หรือจะมีอะไรในก่อไผ่?)
ชอบหมอกอะอยากหยิกแก้ม อยากโดนหมอกดุ /โรคจิต

เป็นกำลังใจให้จ้าาา  :katai2-1:

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
สนุกค่ะ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



16.1







     ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเพื่อนตัวปัญหาของผมจะนึกออกว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้คือเพื่อนของมัน ไอ้คนที่พอจะพึ่งได้อย่างไอ้นายกับไอ้ซันก็ไม่รู้ว่าหายหน้าไปไหน เหลือแต่ไอ้ซื้อบื้อสองคนนั่งหน้างงสนิท  ทั้งๆที่ก็เคยเห็นผมแบบนี้แล้ว

"กูหมอก ไอ้นายกับไอ้ซันไปไหน?"


     ก่อนที่ไอ้สองตัวนี้จะร้องเหมือนตกใจออกมาเสียงดัง ทำให้จากที่คนมองอยู่แล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามผมด้วยซ้ำ แถมยังทำท่าทางสำรวจผมกันยกใหญ่ แต่เหมือนสวรรค์ยังเข้าข้างผมเมื่อตัวเตี้ยๆของไอ้นายเดินมาถึงโต๊ะพร้อมของกินเต็มถาด ตาของมันเริ่มเป็นประกายระริกระรี้ พร้อมกับยิ้มที่แทบจะฉีกไปถึงรูหู


"ในที่สุด เพื่อนกูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมละโว้ย!!" ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวแทบจะโยนถาดลงโต๊ะแล้วพุ่งมากระโดดกอดแบบเต็มรัก


     แต่ติดที่มันตัวสั้น แค่ดันหัวมันไว้แขนนั่นก็แตะไม่ถึงผมแล้ว ขืนถ้าปล่อยให้มันเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงมีหวังร่ายกายที่ระบมจากการออกกำลังเมื่อเช้าต้องทให้ผมโอดโอยแน่ๆ ส่วนไอ้ซันก็ยังคงสไตล์เดิมไม่ได้พูดไรมากแค่ทักทายผมตามปกติเท่านั้นหลังจากทุกอย่างซาลงพวกมันก็นั่งหัวเราะเอิ้กอ้ากบวกกับวิจาร์ณเกี่ยวกับผมแน่นอนว่ามีไอ้นายคอยยุยงเอาเรื่องเก่าๆของผมมาแฉ


"นอกจากมึงจะหล่อขึ้นแล้ว กูรู้สึกว่ามึงพูดมากขึ้นนิดหน่อยด้วยนะไอ้หมอก แต่ที่แน่ๆมึงนี่ปากหมาชิบ" ฟีฟ่าบ่นอุบอิบ หลังจากที่ผมตอบคำถามของมันด้วยการเหน็บแนม


จะไม่ให้พูดมากได้ไงละ ในเมื่อพวกมึงถามกันไม่หยุดอย่างนี้ แต่ก็ได้แต่พูดกับตัวเองไป มันสนใจกันที่ไหนหละ


            นับว่าแผนของหมอเซนต์มันได้ผลมากๆ การันตีด้วยทั้งเบอร์ทั้งไลน์ที่มีคนฝากมาให้ รวมถึงบางคนที่กล้าเข้ามาขอ เรียกได้ว่าทั้งวันแทบจะไม่ได้อยู่สงบเลยจริงๆ เวลาที่เงียบที่สุดเวลาเดียวตอนนี้คือตอนที่อยู่ในห้องเรียน ผมบล็อกสัญญาณโทรศัพท์ไว้หมดแล้วเหลือไว้ก็แต่คนสำคัญๆที่ต้องติดต่อ ถึงจะรำคาญนิดหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าเจอเรื่องแบบที่ผ่านมา แต่ที่คิดผิดน่าจะเป็นที่เล่าเรื่องของไอเดนให้พวกมันฟัง เพราะนอกจากจะต้องอธิบายเรื่องที่อยู่ๆวันนั้นผมก็หายไปแล้ว ผมยังเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของพวกมันด้วย ถึงจะไม่ได้เล่าทั้งหมดแต่ก็ทำให้พวกนั้นเข้าใจและสนับสนุนแผนของผมอย่างดี


อีกปัญหาหนึ่งที่ผมต้องเจอก็คืออาจารย์จำผมไม่ได้ ทำให้กว่าจะได้เช็คชื่อก็พาลให้ลำบากต้องยืนยันตัวเองกันอยู่พักใหญ่ นอกนั้นก็ถือว่าปกติเรียบร้อยดีถ้าไม่นับบางคนที่แอบถ่ายรูปผมตอนเรียนอะนะ ก็ได้แต่ฟังคำปลอบใจของไอ้ฟีฟ่าว่าเดี๋ยวเขาก็เลิกตื่นเต้นกันไปเอง


แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ตามแผนคือผมต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่ในสายตาคนรอบข้างให้มากจะได้ไม่เปิดโอกาสให้พวกคนไม่หวังดี ความน่ารำคาญนิดหน่อยพวกนี้ผมรับได้ แต่ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างสักวันเรื่องน่ารำคาญเล็กๆน้อยๆพวกนี้อาจนำเรื่องน่าปวดหัวมาเพิ่มอีกก็ได้ ผมต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างเพื่อกำหนดขอบเขตพวกนี้



     คิ้วเรียวขมวดลงเล็กน้อยนัยน์ตาไม่ได้สนใจอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องมือข้างที่เท้าคางอยู่ก็เผลอไปลูบจิวที่อยู่หางคิ้วอย่างใช้ความคิด ส่วนมือที่เมื่อครู่ยังใช้จดเลคเชอร์ก็ได้หยุดนิ่งไปนานแล้ว ในหัวมีแต่เรื่องที่ต้องคิดจนพันยุ่งเหยิงไปหมดตาเลยได้แต่เหลือบไปมองสิ่งผ่อนคลายจิตใจส่วนตัว สีฟ้าของท้องฟ้า


ท่ามกลางสายตาที่จ้องมายังคนที่กำลังเหม่อบางคนก็ทำหน้าอย่างกับกำลังเคลิ้มฝันบางคนก็มีสายตาอิจฉา ยังไม่นับการลวมลามทางสายตาจากบางคน แต่มีตาอยู่คู่หนึ่งที่ตอนนี้มองมาอย่างไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรดี เมื่อคนที่เคยมองอยู่ห่างๆตลอดเวลาตอนนี้ได้ถอดหน้ากากที่เคยเห็นออกไปแล้ว ในใจก็แอบสับสนอยู่เล็กๆที่ตอนนี้คนที่เคยอยู่แค่ในสายตาเขากลับเปลี่ยนไปอยู่ในสายตาของทุกคนแทน ความคิดนั้นทำให้มือที่กำแน่นบีบปากกาจนหักดังเป้าะ


กว่าจะได้สติกลับมาก็คือตอนที่ทุกคนทยอยลุกกันออกจากห้องเรียน มองดูนาฬิกาที่อยู่หน้าห้องก็บอกเวลาเกือบห้าโมงเย็น ความคิดเดียวที่ใช้เวลาทั้งคาบในการไตร่ตรองก็คือต้องทำให้คนอื่นมีความรู้สึกว่าได้แค่มองเท่านั้น ทั้งช่วยลดปัญหาการถึงเนื้อถึงตัว ทั้งตัดความหวังพวกที่เพ้อเจ้อว่าจะเข้าหาผมได้ให้ตื่นจากฝันกลางวัน


อยากสูบบุหรี่จัง


"ไอ้หมอกมึงลุกได้ละ" พอเห็นผมที่ยังไม่ลุกออกจากห้องสักทีก็เป็นไอ้แทนที่เข้ามาสะกิด ส่วนไอ้ซันก็จัดการเก็บของแล้วยื่นกระเป๋ามาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปโดยที่ผมรั้งอยู่ท้ายสุด แต่ก่อนที่จะได้ออกมาจากตึกก็มีแรงหนึ่งรั้งแขนผมเอาไว้ หันมองไปตามแรงก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งตัวเล็กกว่าผม น่าจะเป็นนักศึกษาด้วยกันละมั้ง


แต่ไม่รู้จักแหะ


ซันเห็นว่าผมหยุดเดินเลยหันกลับมามองทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ผมส่งสายตาให้หยุดไว้ก่อน ยังไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย มองดูคนตรงหน้าผมอีกครั้งก็ยังไม่คุ้นหน้าอยู่ดี จนผมสบตาด้วยอีกคนก็เหมือนจะสะดุ้งหน่อยๆก่อนจะรีบปล่อยมือ


"มีอะไร" ผมถามเสียงเรียบ


"ผมชอบพี่ ผมจีบได้ไหม"คำถามห้วนๆที่ทำให้ผมแทบจะหลุดขำในความใจกล้า เห็นคนที่ถามถึงตอนนี้ก็ยังก้มหน้างุดเลยเห็นหน้าไม่ชัดเท่าไหร่ ส่วนไอ้ซันที่อยู่ใกล้ๆตอนนี้นิ่งค้างไปแล้วเหมือนกัน ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตบไหล่นั่นสองสามที





"โทษทีนะ ไม่ได้หรอก" เสียงปฏิเสธเรียบๆนั่นพาลให้คนรู้สึกว่าหนุ่มน้อยใจกล้านั่นน่าสงสารไปในทันที ถ้าจะบอกว่าไม่มีใครคิดจะเข้าไปทักทายคนที่กลายเป็นที่สนใจที่สุดในเวลานี้คงต้องบอกว่าผิด เพียงแค่ไม่มีใครกล้าพอเท่านั้นเอง





    ทั้งด้วยการวางตัวและท่าทางที่ดูเฉยชานั่นกับตาที่เหมือนไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาแบบนั้นทำให้มันยากที่จะตัดสินใจเข้าไปทำความรู้จักอยู่พอสมควร ตอนนี้คนส่วนใหญ่เลยได้แต่คุมเชิงอยู่ห่างๆไปก่อน แถมเจ้าตัวที่เป็นตัวการตอนนี้หลังจากบอกปฏิเสธก็เดินออกไปนอกอาคารเรียนต่อเหมือนไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ทำให้เด็กหนุ่มเมื่อครู่ได้แต่คอตกมากกว่าเดิมแล้วเดินออกไปอีกทางแบบเงียบๆ



   ลานหน้าตึกยังคับคั่งไปด้วยผู้คนที่เพิ่งออกมาจากตึกหลังเวลาเลิกเรียน เมื่อกี้เป็น 1 ในเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นบ่อยนัก ครั้งนี้โชคดีไปที่ไม่มีปัญหาอะไร ผมหยุดยืนอยู่ที่บันไดหน้าตึก คิดจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาคนที่บอกว่าจะมารับ แต่สายตาก็ดันมองไปเห็นรถคุ้นตา 2 คันที่จอดอยู่ลานด้านหน้าเสียก่อน ก็รู้ทันทีว่าอีกคนคงมารอได้สักพักแล้ว


‘ลงมาจากรถหน่อย’


   ในหัวเพิ่งคิดแผนใหม่ได้สดร้อนๆมุมปาก็ยกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่นานจากมุมที่ผมยืนอยู่ก็เห็นซีนอนลงมาจากรถตามข้อความที่ผมส่งไปหาเมื่อครู่ตามลงมาด้วยคนในชุดสูทสีดำอีก 4-5 คนที่ยิ่งทำให้เข้าแผนของผมเข้าไปใหญ่ ส่วนสูงเกือบ 190 นั่นเป็นที่ล่อตาล่อใจใครหลายๆคนยิ่งเจ้าตัวต่างกับเมื่อเช้าที่ยังใส่สูทผูกไทด์ เวลานี้มีเพียงเชิ้ตแขนยาวสีม่วงเข้มปลอดกระดุมลงมาสองเม็ดใส่อยู่ในสแล็คสีดำตัวเดิมอย่างเรียบร้อยเท่านั้น ผมปล่อยให้ซีนอนยืนอยู่อย่างนั้นสักพักจนคนเริ่มสนใจกันมากขึ้น


“พวกมึง กูกลับละนะ” เมื่อคิดว่าได้เวลาผมก็บอกลาพวกนาย ยังไม่ทันให้มันได้ถามอะไรกันผมก็เดินตรงไปทางซีนอนทันที เมื่อความสนใจของคนที่นี่ทั้งหมดไม่อยู่ที่ผมก็อยู่ที่ไอ้ฝรั่งดังนั้นทุกอย่างก็เลยเป็นไปตามแผนของผม ส่วนไอ้ฝรั่งนั่นพอเห็นผมจากที่หน้าบูดๆก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มจนตาหยี ขายาวๆนั่นรีบก้าวเข้ามาเจอผมครึ่งทาง








________________________________________


ขออภัยในความสั้นค่ะ -v- จะชดเชยให้ด้วยการมาต่อเร็วๆนะ


มีความเห็นอย่างไรบ้างก็ช่วยบอกเราด้วยนะคะ
แต่งมาก็สิบกว่าตอนแล้ว แต่เพราะเป็นเรื่องแรกของเราก็เลยยังรู้สึกว่า
ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ค่ะ555555 กลัวทำดีไมพอ (เศร้า) ยังไงก็บอกได้นะคะเราพร้อมจะปรับแก้ไข
เพราะยังไงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของเราแน่ค่ะ55555 บอกเลยว่าติดใจมาก

สุดท้ายก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ รักกกก :L2:
ปล. ทวิตเตอร์ติกแท็ก #หมอกซีนอน #บอกหน่อยครับ ได้นะคะ(เราคิดชื่อแท็กได้แค่นี้จริงๆค่ะ5555)
 

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
พี่ซีนอนเขาอ้อนนุ้งหมอกตลอดเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พี่ซีนอนน่ารักกก ชอบ

ออฟไลน์ KAZUMA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบcharacterพระเอก นายเอกเรื่องนี้มาก
รีบมาตอนะคะ กำลังสนุกเลยยยยย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Jinglering

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

16.2





XENON



   สายตาเจ้าเล่ห์นั่นพอที่จะทำให้ผมเดาออกว่าตัวเองเสียท่าตั้งแต่ลงรถมาให้แมงป่องตัวนี้หลอกใช้เสียแล้ว แต่ยังไงในเมื่อผมไม่ได้เสียประโยชน์ก็ไมมีความจำเป็นต้อขัดขวางกลับกันผมจะจัดการเอาคืนให้คุ้มค่าตัวเลย หมอกตอนนี้ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เหมือนเป็นปีศาจตัวน้อยๆที่ปล่อยฟีโรโมนออกมาจนรอบข้างตัวหันมามองกันให้ขวับ รอยยิ้มสดใสที่นานๆจะแย้มสักทีทำให้ผมรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ




ร้าย




เล่นทำให้เสียหลักกันตรงๆแบบยังไม่ทันได้เริ่ม


      จนกลิ่นหอมเฉพาะตัวนั่นเข้ามาแตะจมูก ไม่ทันได้ตั้งหลักแขนเรียวนั้นก็มาคล้องอยู่ที่คอซะแล้ว หน้าคมๆนั่นอยู่ห่างผมแค่คืบเท่านี้ก็พอจะให้บรรดาไทยมุงทั้งหลายฮือฮากันได้พอสมควรแล้ว แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้เลยโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มผมทั้งสองข้างคล้ายการทักทายแบบฝรั่ง


“ถ้าจะใช้พี่ ค่าแรงแค่นี้ถือว่ายังไม่คุ้มนะครับ” ผมพูดกลับเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน แต่ที่ไหนได้หมอกกลับแค่ยักคิ้วตอบมาแบบกวนๆเท่านั้น
 

ได้ ในเมื่ออยากเล่นบทเด็กเสี่ยนัก เดี๋ยวเสี่ยจะจัดให้


     แขนที่อยู่นิ่งในตอนแรกเลยเปลี่ยนเป็นรวบเอวเข้ามาชิดก่อนดันให้เดินไปที่รถด้วยกันพวกผมยังเป็นจุดสนใจเหมือนเดิม ด้วยความสูงที่ไม่ได้ต่างกันมากนักก้มหน้าลงนิดเดียวก็กะซิบข้างหูอีกคนได้สบาย ผมไม่ได้พูดอะไรแต่หัวเราะเบาๆก่อนที่มือที่เกี่ยวเอวอีกคนอยู่จะเลื่อนลงไปขยำบั้นท้ายนั่นแรงๆหนึ่งที ไม่ใช่แค่หมอกที่ตกใจเสียงกรี้ดเบาๆที่หลุดอกมาจากคนรอบข้างทำให้แน่ใจได้ว่าการกระทำเมื่อครู่ต้องอยู่ในสายตาทุกคนแน่ๆ คิดได้อย่างนั้นก็พาลให้มีความสุขไม่น้อยต่างกับเด็กเสี่ยในอ้อมแขนที่ตอนนี้เริ่มส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้รางๆ ผมกระแอมสองสามที่ลูกน้องทั้งหมดก็เข้าใจต่างพากันมาเรียงแถวและเปิดประตูรถ ผมส่งให้หมอกขึ้นไปก่อนจะอ้อมไปขึ้นอีกด้านก่อนขึ้นรถก็ไม่ลืมจะทำหน้าตาน่ากลัวใส่พวกไทยมุงที่มองกันอย่างสนอกสนใจจนทั้งหมดนั่นได้แต่มองไปอีกทาง






      ตั้งแต่เข้ามาในรถคนข้างๆก็ยังไม่พูดไม่จาหยิบซองบุหรี่ออกมาเคาะเล่นอยู่ในมือ ปรายตามองมาทางผมบ้างแต่ก็ยังไม่พูดอะไร จะว่าโกรธผมก็ไม่ใช่ แต่จะให้เดาว่าเป็นอะไรผมก็เดาไม่ออก

“แค่อยากบุหรี่” แต่เหมือนว่ายังไม่ทันได้ถามเขาก็ตอบผมมาก่อนแล้ว ผมได้แต่ยิ้ม

“สูบมากไปมันก็ไม่ดีนะครับ” ถึงผมจะสูบแต่ก็ไม่ได้จัดเท่าหมอก ผมไม่ได้นับว่าวันละกี่มวนหรือว่าอะไรนะแต่พอคิดไปคิดดมาหมอกก็สูบหนักจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่ได้มานั่งสนใจแต่คนนี้ผมเป็นห่วง วันไหนว่างๆพาไปตรวจสุขภาพดีไหมนะ คิ้วดำนั่นขมวดกันจนยุ่งมองซองบุหรี่สีเทาในมือตัวเอง


“ติดหน่ะ”


“ค่อยๆลดไปก็ได้” ผมพูดต่อ


“อืม” เสียงตอบรับเบาๆดังตอบกลับมา ผมฉวยมือที่ถือซองบุหรี่นั่นมา ดึงเข้าหาตัว เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ครึ่งตัวของหมอกเสียหลักเซมาอยู่ใกล้ผม เอื้อมมือไปกดปิดสวิซต์ที่กั้นระหว่างคนขับ


“ยังไม่ได้คิดค่าแรงที่ให้ลงไปรับเมื้อกี้เลย”


“แค่จับก้นคนอื่น ยังไม่พอใจอีกรึไง” ถึงน้ำสียงจะยังเรียบเหมือนเดิมแต่ประกายบางอย่างที่อยู่ในแววตานั่นก็ทำให้ผมยิ้ม


"หน่า วันนี้ยังไม่ได้จูบเลย..นะครับ" ผมทำหน้าอ้อนก่อนอีกคนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกเบาๆคล้ายขำ เหมือนกับที่ผมคิดหมอกปากร้ายแต่ใจดี แพ้ลูกอ้อนผมทุกๆครั้งไป

"ต้องจูบทุกวันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" แม้คำพูดจะเหมือนโดนปฏิเสธแต่มือขาวนั่นตอนนี้กลับรั้งคอเสื้อผมเข้าไปใกล้นิ้วเย็นๆที่ลากผ่านตั้งแต่กราม ต้นคอ จนมาถึงไหล่ทำให้ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

"ตั้งแต่วันนี้.." ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสเริ่มก่อนอย่างที่ตนเองชอบ ใช้มือเดียวกดต้นคอนั่นเข้ามารับจุมพิต ตอนแรกก็ออกจะดูเก้ๆกังๆอยู่สักหน่อยเพราะอยู่บนรถแถมหมอกก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น แถมยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆเหมือนเดิม เสียงครางต่ำในลำคอเล็ดรอดออกมาเมื่อจิวเย็นๆแตะเข้าที่ริมฝีปาก ก่อนที่การหยอกล้อกันไปมาจะกลายเป็นเหมือนไฟที่ค่อยๆโหมขึ้นมาช้าๆ เสียงหายใจหนักๆยามผละออกมาก่อนจะเข้าไปแนบชิดใหม่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าของร่างปราดเปรียวนั่นขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนตัวของอีกคนเพราะต่างคนต่างกำลังยุ่งกับการแลกจูบอันเร้าร้อนแบบไม่มีใครยอมใคร

“Shall we take it to the next level?” เสียงทุ้มต่ำผละออกมากระซิบอยู่ข้างหูปล่อยคนบนตักที่ยังหอบหายใจอยู่น้อยๆให้ได้พักครู่หนึ่ง หมอกไม่ได้ตอบอะไรเพราะอารมณ์ที่เริ่มคุกกรุ่นด้วยความที่คิดว่าตอนแรกจะเป็นแค่จูบธรรมดากลับกลายเป็นจูบอีโรติกขนาดนี้ไปได้


      มือหนาเริ่มไม่อยู่สุขไล้ไปตามเอวคล้ายกำลังยั่วก่อนปากที่เพิ่งจะว่างได้ไม่นานก็ถูกครอบครองไปอีกรอบ จิวในปากถูกหยอกล้อทั้งขบทั้งดูดจนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงพอใจออกมา ไม่ทันได้ตั้งตัวมือที่ลูบอยู่ไปตามสีข้างก็ไล้ลงไปบีบสะโพกกลมพาลให้คนที่อยู่ข้างบนส่งเสียงจิ้จ้ะอย่างขัดใจ คนคุมเกมยังยิ้มกริ่มแกล้งเลื่อนมือมาปัดป่ายแถวอก ใช้นิ้วโป้งหยอกเย้าจนอีกคนได้แต่สะดุ้งถอนตัวออกจากจูบ ซุกหน้าลงไปที่คอแกร่งคล้ายหมดแรงเมื่อกลายเป็นโดนรุกรานทั้งสองข้าง
      ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติทำให้ทั้งสองจุดบนอกเริ่มแข็งเป็นไตดันนูนออกมาจนเห็นได้ชัดผ่านเสื้อสีขาวบางๆ ในใจคิดว่ายังดีที่ไม่ได้ใส่จิวตรงนี้มาไม่อย่างนั้นเขาต้องไม่ไหวแน่ๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบนาน ใบหน้าที่ซุกอยู่ที่คอแกร่งเริ่มไล่จูบไปตามสันกราม คาง ลงมาที่คอและต่ำลงเรื่อยๆมือบางเริ่มอยู่ไม่สุขปลดกระดุมคนตรงหน้าออกทีละเม็ดทีละเม็ดมือเย็นๆสัมผัสไปตามอกที่เปล่าเปลือยและยังลงต่ำมาเรื่อยๆ จนคนตัวใหญ่เริ่มหวั่นใจ เขาไม่ได้คิดจะให้หมอกคุมเกมนี้
 


     คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ออกแรงผลักคนข้างบนให้นอนราบลงไปกับเบาะ มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกจนหมดส่วนอีกข้างเปลี่ยนมารวบแขนเรียวนั้นไว้เหนือหัว หมอกได้แต่ลอบตื่นตะหนกอยู่ในใจไม่คิดว่าอีกคนจะแรงเยอะขนาดนี้ แต่ตกใจก็ส่วนตกใจยังไงก็ต้องยอมรับว่าตัวเองก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยส่วนกลางลำตัวเริ่มคับแน่นจนอึดอัด ซีนอนเลื่อนเข่ามาแทรกระหว่างขาทั้งสองข้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองภาพข้างล่างอย่างพอใจ แต่ด้วยความที่กางเกงยีนค่อนข้างหนาทำให้เจ้าตัวเลยไม่รู้ว่าอารมณ์ของคนข้างใต้ตอนนี้กระเจิดกระเจิงไปถึงไหน มือที่คิดจะดำเนินการขั้นต่อไปก็ถูกหยุดเอาไว้ก่อน

“ฮึก..อย่า” เสียงที่ปกติจะเรียบเฉยตอนนี้กลายเป็นสั่นๆนิด ยิ่งชวนให้น่าแกล้งจึงไม่ได้สนใจเสียงปราบนั่นเลยแม้แต่น้อย มือหนากลับทาบลงไปที่กลางลำตัวจนอีกคนได้แต่ส่งเสียงฮือออกมาอีกรอบ ใต้ผ้าหนาอารมณ์ที่คุกกรุ่นแทบจะปะทุนั่นส่งมาถึงมือเขาได้ชัดเจน พอเห็นว่าอีกคนไวต่อความรู้สึกขนาดนี้แค่เขาขยับนิดเดียวอาการตอบสนองนั่นกลับชวนให้เขายิ่งดำดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ จนตัวเองได้แต่ลอบยิ้มในใจเมื่อเห็นคนช่างยั่วสิ้นท่าอย่างนี้

“อืม อย่า ไม่ชอบ..ฮึก ในรถ” เสียงค้านไม่ได้ลอยเข้าหู ความรู้สึกของเขายิ่งดำมืดลงไปเรื่อยๆ ปากก็พรำจูบลงไปตามไหล่ลาด มือก็พยายามจะปลดกางเกงของอีกคนแต่ทำยังไงก็ปลดไม่ออกจึงต้องเปลี่ยนมาใช้สองมือช่วย

“พอ..แล้ว” แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์นั่นขัดกระการกระทำอย่างสิ้นเชิง ในใจนับถือความอดทนของคนข้างล่าง มือที่เพิ่งเป็นอิสระเมื่อครู่ตอนนี้มากุมมือผมเอาไว้หลวมๆเป็นเชิงให้หยุด


“ให้พี่พอ ทั้งๆที่หมอกเป็นอย่างนี้...แน่ใจหรอครับ” หน้าขาวนั่นขึ้นสีแดงเรื่อแต่กลับมองผมตาเขียวปั้ดชวนให้ขำอยู่ไม่น้อย นานๆทีจะได้เห็นคนปากดีสิ้นฤทธิ์ใจก็อยากจะยืดเวลาความสนุกนี้ไปให้นานอีกหน่อย หมอกอาจจะไม่ได้สังเกตแต่รถคันนี้จอดนิ่งมานานพอควร คิดว่าคงจะมาถึงบ้านแล้วพักใหญ่


“อะแฮ่ม...ขอโทษที่รบกวนครับนายน้อยแต่คุณถังมารอพบนายน้อยที่ห้องโถงได้สักพักแล้วครับ” อยู่เสียงอินเตอร์คอมจากในรถก็ดังขึ้น เป็นคาลตัน ได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก นานๆทีถึงจะได้มีฉากวาบหวิวกับหมอกสักครั้งดันมีมารผจญอีก แต่เหมือนหมอกจะไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดผมเท่าไหร่นัก เพราะหลังจาดจบเสียงขัดจังหวะของคาลตันสติของอีกคนก็เหมือนจะกลับมาเต็มร้อยแล้ว รีบเด้งตัวออกไปนั่งห่างผมจนชิดประตูแถมยังทำท่าเหมือนกับกำลังนั่งสมาธิอีก พอผมหัวเราะก็หันมาดุ เลยได้แต่แต่งตัวให้เรียบร้อยเหมือนเดิมก่อนลงจากรถ

“หาย ’ร้อน’ เมื่อไหร่ก็ค่อยตามลงมานะครับ” พูดเสร็จก็รีบหนีลงมาก่อนที่จะโดนด่า เจอคาลตันที่ยืนรอยู่ข้างรถเป็นคนแรก ด้านหลังเป็นพวกลูกน้องที่ไปรับหมอกกับผมก่อนหน้านี้สีหน้าแต่ละคนไม่พยายามหลบตาก็ทำหน้าเขินๆ แต่พอเห็นผมทำหน้าขรึมไม่สนใจทุกคนก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม



    คนที่มารอพบผมคือถังอี้หนาน เจ้าสัวอันดับต้นๆของประเทศไทยมีทั้งธุรกิจถูกกฎหมายรวมไปถึงเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ไม่นานมานี้ผมกับเขาเพิ่งร่วมกันลงทุนเปิดบ่อนถูกกฎหมายกันที่ประเทศเพื่อนบ้าน คุณถังเป็นคนใจนักเลง กล้าเสี่ยง แถมยังเป็นคนตรงๆ ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับเขาอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างดี เป็นหนึ่งคนแรกๆที่เข้ามาทำธุรกิจกับผมโดยที่ไม่ได้มาจากอิทธิพลของปู่



     เดินเข้ามาถึงโถงต้อนรับก็เห็นคุณถังนั่งรออยู่อย่างที่คาลตันว่า เจ้าตัวดูไม่ได้รีบร้อนอะไรนั่งกินกาแฟสบายใจ
“ขอโทษที่ให้รอครับ ไม่ทราบว่าวันนี้เจ้าสัวมีธุระอะไรกับผม” ถึงจะบอกว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีแก่กันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบการที่อยู่ๆคิดจะมาพบก็มาพบโดยที่ไม่ได้นัดล่วงหน้าซ้ำยังเป็นบ้าน ที่ๆผมไม่ค่อยอยากรับแขกเท่าไหร่ แต่เพราะเป็นเรื่องของธุรกิจต่อให้ไม่พอใจขนาดก็ยังต้องยิ้ม มันได้ไม่คุ้มเสีย

“อ้อ ลื้อมาสะที จริงๆที่อั้วมานี่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกเพียงแค่ได้ยินข่าวลือแปลกๆมาก็แค่นั้น”

       ผมไม่ได้ตอบ แต่รอให้อีกคนพูดออกมาเอง

“เรื่องเด็กใหม่ของลื้อหน่ะ” ผมลอบถอนหายใจ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องถูกยกขึ้นมาไม่วันใดก็วันหนึ่งถึงจะไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวแต่เห็นทีต้องเว้นเรื่องนี้ไว้เรื่องนึง เจ้าสัวถังก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมไม่ได้ชอบการถูกซักไซ้มากนัก แต่เจ้าตัวก็คงคิดมาดีแล้วเหมือนกันถึงได้มาถามกับผมตรงๆ  ตามจริงผมก็พอรู้มาบ้างว่าเรื่องของผมกับหมอกเริ่มเป็นข่าวลือในวงการผมมาได้สักระยะแล้ว ตัวต้นเหตุที่ปล่อยข่าวนี้ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจะไอเดน อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะทำให้เจ้าสัวถังสนใจในประเด็นนี้คือ ถิงถิง จะว่ายังไงดีหล่ะ ถิงถิงเป็นลูกรักของถังอี้หนานแต่ก่อนเขามักจะชอบจับคู่ให้ผมกับเธออยู่บ่อยๆ ว่าไปแล้วสาเหตุที่ทำให้ผมได้ไปเจอหมอกครั้งแรกก็เพราะว่าเจ้าสัวถังวานให้ผมไปรับถิงถิงที่มหาลัยฯ ก่อนที่จะไปประชุมด้วยกัน ผมก็ไม่ต่อยเข้าใจนะว่าเขาจะมาจับคู่ลูกสาวตัวเองกับคนอายุอย่างผมทำไมกัน แต่เอ้ะ ตอนนี้ผมก็จีบเด็กอยู่นี่หว่า


     นั่นแหละครับ เอาเป็นว่าสรุปแล้วผมเคลียเรื่องถิงถิงจบไปแล้วเรียบร้อย เธอเองก็ดูไม่ค่อยสนใจผมด้วยซ้ำ



“เรื่องของผม มันทำไมหรอครับ”




________________________________________

สารภาพตามตรงค่ะว่าเขียนฉากเลิฟซีนไม่ค่อยเก่ง (_ _:)
ถ้าอ่านแล้วขัดๆไปบ้างก็ขออภัยนะคะ55555555555
ตอนต่อไปพระเอกของเราจะเหมาทั้งตอนเลย เพราะงั้นติดตามกันด้วยน้าาา
ใครเล่นทวิตเตอร์ติดแท็กกันได้ จุ้บๆ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามเรื่อยๆค่ะ เราจำได้ทุกคนเลยค่ะ ^^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2017 19:57:52 โดย qDraftman »

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Jinglering

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
งุ้ยยย เค้าเขินซีนอนนน นานๆทีจะได้รุกแรงๆกับเขานะ5555555555555
ขอบคุณค่า มาต่อไวๆ

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
17


Xenon
 



“เรื่องของผม มันทำไมหรอครับ”
 
   เสียงคุ้นๆที่พาลให้ผมต้องหันหลังไปมองก่อนที่จะยิ้มขำ ดูท่าเจ้าตัวจะโมโหไม่น้อยกับการโดนพูดถึงลับหลัง ก่อนที่ตาสีดำนั่นจะไหววูบหนึ่งคล้ายรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ตัวเองพูดแทรก เหลือบมองไปทางเจ้าสัวถังก็ดูเหมือนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆเท่านั้น     
       ผมมองสำรวจคนหัวดำนั้นอีกครั้งก็บพบว่าสายตากลับมาเรียบนิ่งเหมือนปกติอีกทั้งท่าทางก็ไม่มีพิรุจอะไรเหมือนก่อนหน้า
 
ดูท่าจะสงบใจได้เร็วกว่าที่คิดแหะ
 
ผมคิดในใจขำๆเรียกให้รอยยิ้มบนหน้ากว้างขึ้นอีกนิด ก็ได้แต่ใช่มือปิดไว้เพราะไม่อยากหลุดมาดต่อหน้าคู่ค้า หมอกยังยืนอยู่หน้าห้องไม่ขยับ เจ้าสัวเองก็ยังไม่ละสายตาออกจากชชุดนักศึกษานนั่นเหมือนพยายามสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกได้ว่าคิ้วตัวเองมันกระตุกนิดๆอารมณ์ที่ดีเมื่อครู่หายวับเหมือนไม่เคยเกิด
 
"สรุปแล้วข่าวลือที่ว่าก็จริงสินะ" ไม่มีใครตอบอะไรกลับไปแค่ผมแค่นยิ้มออกมาเท่านั้น หมอกเองก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่เดินมาอยู่ด้านหลังผมเหมือนรำคาญที่มีคนมองตัวเองอยู่เหมือนกัน
"ยังไงอั้วก็เห็นแต่ผลเสียมากกว่าผลดี" เสียงเดิมเมื่อเห็นว่าไม่มีทั้งการตอบรับหรือปฏิเสธออกมาก็พูดต่อ สายตานั่นยังวนเวียนอยู่ที่หมอกคล้ายอยากจะมองให้ทะลุปรุโปร่งจนผมอยากจะรีบไล่ให้ออกไปจากที่นี่
 
"เห็นว่านี่ก็ทำลื้อเสียเรื่องมาเท่าไหร่แล้วล่ะ ไหนจะเรื่องคาสิโน ไหนจะเรื่องที่ลื้อไปอาละวาดที่ผับนั้นจนเละ วันนั้นต้องฝังไปกี่ศพ เพียงเพราะคนๆเดียวอย่างนั้น มองยังไงอั้วก็ว่าไม่คุ้ม" น้ำเสียงเนิบนาบแต่กลับเกือบทำให้เส้นอารมณ์ผมขาดผึ่ง คำพูดทุกคำคือจงใจให้หมอกรู้สึกแย่ แล้วยังเรื่องคนที่ตายอะไรนั่นอีก ถึงผมจะไม่ได้พูดแต่คิดว่าหมอกก็คงพอเดาออกได้ เพียงแต่...กลัวคำตอบจนไม่อยากถามออกมามากกว่า
 
"เรื่องส่วนตัว ผมจะทำอย่างไรมันก็เรื่องของผม คุณเป็นหุ้นส่วนธุกิจ ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อน ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นกงการอะไรของคุณ" เริ่มแรกเมื่อได้ยินคำพูดของถังอี้หนาน หมอกเพียงแค่ขมวดคิ้วนิดๆไม่นานก็กลับมามีสีหน้าแบบเดิมคือหน้าเรียบนิ่งบวกกับแววไม่พอใจ กลับเป็นผมเองมากกว่าที่แทบอยากจะสั่งลูกน้องให้ลากไอ้เสี่ยนี่ออกไปให้พ้นหน้า เลยทำให้หลุดประโยคที่ออกจะแรงไปสักหน่อย หลังจากที่ได้ยินประโยคที่ออกมาจากปากของตัวเองแล้วผมก็ต้องทำใจยอมรับผลที่อาจจะเกิดตามมา แต่แปลกที่ตอนแรกผมคิดว่าตาเสี่ยหัวเถิกนี่ต้องร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ สรุปคือเปล่าเลย ตอนนี้ถึงกับนั่งหัวเราะสบายใจเสียอย่างนั้น

“แล้วเรื่องไอเดนหล่ะ ได้ข่าวว่าคนนี้ไปแย่งมาจากมัน จะเชื่อใจได้ ไม่เป็นปัญหารึไง” พอได้ยินว่าตัวเองแย่งหมอกมาจากไอเดนอารมณ์ที่เริ่มเย็นลงก็เดือดขึ้นมาจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่นั่นยังไม่เท่าที่ไอ้เสี่ยนี่ว่าๆหมอกเชื่อใจไม่ได้ ถึงจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ผมนับถือคนนึงแต่มาพูดอย่างนี้มันก็เริ่มจะไม่เข้าหู ผมกำมือแน่นระงับอารมณ์อยู่ครู่นึงก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ กำลังจะพูดตอบแต่มีแรงกดเบาๆที่ไหล่รั้งเอาไว้
 
“ผมเป็นคนของเขามาตั้งแต่ต้น และยิ่งไม่ใช่คนที่จะทำให้เขาเดือดร้อน ผมรู้ตัวเองดี คุณไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องของผมมาใส่ใจ” การ์ดที่ยืนอยู่ข้างหลังเสี่ยนั่นมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อยที่หมอกพูดแบบนั้นรวมถึงน้ำเสียงที่เย็นเยียบจนเหมือนไม่ได้ให้เกียรตินั่รด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจยังทำหน้าเฉยๆได้เหมือนเดิม ได้ยินอย่างนั้นจากอารมณ์ที่เดือดปุดๆก็เย็นลงอีกรอบแถมยังรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยๆตัวบินอยู่ในท้อง ลืมเรื่องที่ตัวเองโมโหเมื่อกี้ไปเสียสนิท
 

นี่ถ้าไม่เกรงใจจะจับฟัดซะตอนนี้เลย
 

     หมอกตวัดสายตามามองผมแวบหนี่ง แยกเขี้ยวใส่เหมือนจะรู้ความคิด ก่อนจะหันกลับไปทางเจ้าสัวถังอย่างเดิม พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
 
 
“หวังว่าจะจบประเด็นของผมได้แล้ว ขอตัว”
 
 
     พูดจบเจ้าตัวก็เดินหลังตรงออกไปแบบไม่คิดจะหันกลับมามองอีก หมอกเองก็คงรู้สึกเหมือนกับผมว่าการที่เจ้าสัวถังมาที่นี่วันนี้ไม่ได้แค่จะมาดูหน้าเขา แต่มาเพื่อหยั่งเชิงหมอกและดูผมมากกว่า ถังอี้หนานมองหมอกที่เดินไปจนลับสายตาก่อนจะเริ่มหัวเราะ
 
“ดูท่าอั้วจะเป็นห่วงมากเกินไป เท่าที่เห็นลื้อก็ยังเหมือนเดิม แถมเด็กของลื้อก็ไม่ได้เป็นพวกงี่เง่า” พูดจบก็หยิบกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะมาจิบสบายใจ สรุปก็ใช่จริงๆ ว่าที่มาวันนี้แค่มาดูเชิงพวกผมเฉยๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งพิงกับพนักเบาะ ในใจก็คิดว่าดีแล้วที่เมื่อกี้ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงลงไป
 
“แต่ลื้อก็นะ ปฏิเสธถิงถิงของอั้วบอกว่าไม่ชอบเด็ก แล้วนี่อะไรอายุก็พอๆกับลูกอั้วแท้ๆ” ผมได้แต่หัวเราะในคอแล้วหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบแบบไม่รู้จะทำอะไรบ้าง
 
“เอาเถอะ อั้วจะไปทำอะไรได้ ที่มาวันนี้ก็อย่างที่ลื้อคิดอั้วแค่มาดูท่าทีของลื้อเท่านั้น ไม่กลายเป็นคนหงอตามใจเมียไปก็ดีแล้ว อีกเรื่องคือไอเดนเหมือนมันกำลังเริ่มทำอะไรบางอย่าง” ผมยังเงียบกำลงคิดว่าจะบอกเรื่องเครื่องดักฟังที่อยู่ในบ้านนี้ดีรึเปล่า แต่ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดไป ตอนนี้ส่วนที่ยังมีเครื่องดักฟังอยู่ก็มีแค่ที่ห้องทำงานของผม กับ ห้องทานอาหารเท่านั้น ส่วนที่อื่นๆผมค่อยๆปิดสัญญาณไม่ก็ทำให้มันพังเหมือนเป็นอุบัติเหตุไปหมดแล้ว
 
“ผมก็พอรู้มาบ้าง” เมื่อเช้าที่ไปประชุมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนไอเดนกำลังหาบางอย่างอยู่ถึงกับบินกลับอิตาลีกะทันหันทั้งๆที่ตามจริงเจ้าตัวมีแผนต้องไปดูงานต่อแถบดูไบ แต่นั่นก็เป็นผลดีกับผมเพราะจะได้ไม่มีก้างมาคอยขวางเรื่องอาวุธลอตใหม่ที่จะส่งเข้ามาไทย ผมกับถังอี้หนานนั่งคุยธุระกันอีกนิดหน่อยไม่นานฝ่ายนั้นก็ขอตัวกลับ
 

     กว่าจะได้พักจริงๆเลยกลายเป็นเกือบหนึ่งทุ่ม เจย์บอกว่าหมอกไปเดินเล่นในสวนเพิ่งกลับเข้าบ้านมาได้สักพัก ผมถอนหายใจพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ว่ากันตามจริงแล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ให้หมอกมาอยู่ด้วยอย่างนี้หมอกจะคิดยังไง จะอึดอัดรึเปล่า เพราะเจ้าตัวก็ดูชอบอิสระแถมโลกส่วนตัวสูงอีกต่างหาก เวลาหมอกนั่งเหม่อมองท้องฟ้ามันให้ความรู้สึกเหมือนผมพาเขามาขังไว้ยังไงก็ไม่รู้ คิดไปก็รู้สึกเศร้านิดๆแฮะ

       เอื้อมมือไปปลดปืนกระบอกเล็กในซองพกที่อยู่ด้านหลัง แล้วส่งให้เจย์เอาไปเก็บ ลืมนึกถึงมันไปเลย ถ้าอย่างนั้นตอนที่ผมไปรับหมอกคนอื่นก็คงเห็นกันหมดแล้วหน่ะสิ แต่ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับหมอกของผม นั่งหลับตาสงบใจอยู่สักพักค่อยลุกเดินกลับไปที่ห้อง 

     แต่ก่อนที่มือจะเอื้อมไปถึงลูกบิด ประตูก็ถูกกระชากเปิดออก ไม่แรงนักแต่ก็พอจะทำให้ผมประหลาดใจ ยิ่งกว่านั้นที่ประหลาดใจมากที่สุดคือคนที่เปิดประตูออกมาไม่ใช่หมอก แต่เป็นราฟ อีกฝ่ายก็ดูตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นผมก็โค้งให้แล้วรีบเดินออกไป สีหน้าตื่นๆนั่นเรียกได้ว่าไม่ปกติเลยเมื่ออยู่บนหน้าราฟ แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรเจ้าตัวก็เดินไปไกลแล้ว เลยได้แต่ปล่อยไป เหลือไว้แต่คนในห้องที่พาลจะให้ผมคิดหนักมากกว่าเดิม
 
“เกิดอะไรขึ้น?”  ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า

      จะไม่ให้ขมวดได้ไงหล่ะ ในเมื่อตอนนี้หมอกไม่ได้ใส่เสื้อ! นั่งอยู่บนเตียง! แถมกระดุมกางเกงยังถูกปลด!! ใจอยากจะลงไปลากราฟมานั่งคุกเข่าถามให้มันรู้เรื่อง เกือบจะโมโหเลือดขึ้นหน้าจับลูกน้องตัวเองมานั่งยางแล้ว แต่เจ้าตัวต้นเหตุทำแค่ยักไหล่
 
“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆก็เข้ามา กำลังจะอาบน้ำ” สีหน้าหมอกก็ดูเหมือนยังงงอยู่เหมือนกัน ทำให้เชื่อได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่มันทำให้ผมยิ่งสงสัยสีหน้าของราฟมากขึ้นไปอีก เอ้ะ หรือว่าตอนนั้นราฟแค่ตกใจผม ไม่ๆ อย่าเพิ่งคิดมากยังไงผมก็รู้จักทั้งสองคนดี แต่พอคิดดูแล้วหน้าตื่นๆแบบนั่นไม่น่าจะใช่สีหน้าของคนคิดไม่ดีกับหุ่นหน้ากินของหมอก ตอนนี้กลับเป็นผมเองนี่แหละที่กำลังทำสีหน้านั่นจนอีกคนทำหน้าแหยงๆแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องน้ำ
 
ไอ้ผมก็แค่อยากจะมีโมเมนต์วับๆแวบๆกับหมอกบ้างอะ
 
แต่จะว่าไปก็เพิ่งมีไปนี่หว่า
 
แต่

มัน

ยัง

ไม่พอ

โว้ย!!


      ประตูห้องน้ำก็ล็อค เข้าไม่ได้ คนข้างในคงรู้ทันและกำลังอาบน้ำอย่างสบายใจ ผมเลยได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจย้ายตัวเองมานั่งสงบเงี่ยมที่โซฟาแทน
 

‘ติ้ง’
 

   ไม่ได้ตั้งใจแต่ตาก็ดันเหลือบไปเห็นข้อความเข้าใหม่บนโทรศัพท์หมอกที่วางอยู่ใกล้ๆ มีอยู่สองข้อความจากสองคน ต่อจากนั้นก็เพราะความอยากรู้(เสือก)ของผมล้วนๆเลยหยิบมือถือนั่นขึ้นมาอ่าน
 
ฟีฟ่า
มึงดูนี่ ดังใหญ่แล้วนะสั-ว์ ไอ้หมอกคิ้วท์บอยโว้ย www.facebook.com/yycuteboyxxxxxx.com/8855/999f.html
 
Unknown
Looks like your plan work well! Congrats!!.
You look sooooo sexy today, I just wanna eat you up and
bite into your skin once more!!
Ditch that Giovanni and come stay with me !!!!
Xxxx [photo attached]’

 

      ข้อความที่สองทำเอาผมขมวดคิ้ว แค่อ่านข้อความก็เดาไม่อยากว่าเป็นใครแต่ประเด็นคือรูปที่แนบมานี่ดิ มันต้องใส่รหัสปลดล็อคก่อน แต่ผมอยากเห็นอะ เมื่อไหร่หมอกจะอาบน้ำเสร็จอะ

จะบอกว่าไม่แปลกใจที่ไอเดนมันรู้เบอร์หมอกก็ไม่ผิดหรอกครับ ระดับนี้แล้ว แต่หมอกกับไอเดนติดต่อกันมาก่อนหน้านี้รึเปล่านี่ดิ มันมาวอแวคนของผมนานแล้วยัง ได้แต่นั่งนับเลขให้ใจเย็นอยู่ในใจรอเจ้าของโทรศัพท์ออกมา จวบจนจะถึงหลักพัน หมอกก็ออกมาพร้อม ผิวขาวๆ หน้าท้องซิกแพคจางๆ ผมชื้นหน่อยๆ กับหน้าอกแบบ.....


ฮื้อ

เหนื่อย


"ทำไรโทรศัพท์ผมอะ" สติยังไมทันกลับมาดีก็โดนเรียก แถมตัวขาวๆนั่นก็ยิ่งขยับมาใกล้จนได้กลิ่นสบู่ เจ้าตัวหยิบเสื้อยืดสีขาวมาไพล่ไว้ที่ไหล่ทำท่าเหมือนจะสวม

"...ข้อความเข้า"  ผมยื่นโทรศัพท์

หมอกกดโทรศัพท์ยุกยิกแต่ผิดคาดที่อีกคนกดเข้าไปในข้อความของเพื่อนตัวเองก่อน เจ้าของโทรศัพท์กดเข้าไปในลิ้งค์เว็บไซต์ที่เพื่อนส่งมา ก่อนมันจะพาเข้าไปในเพสเฟสบุ้คเพจหนึ่ง

เพจคิ้วท์บอยของมหาลัย

  รูปที่ถูกโพสเป็นรูปหมอกที่กำลังนั่งเท้าคางเหม่ออยู่ในห้องเรียน พร้อมแคปชั่น 'หมอก วิศวะฯปิโตร ปีสาม นั่งเหม่อไม่ตั้งใจเรียนแบบนี้ขอทำโทษได้ไหมคะ' พร้อมยอดไลค์ที่ปาเข้าไปเกือบครึ่งหมื่น ก็ไม่ได้บอกนะว่ารูปดูไม่ดี มันดูดีมากๆๆๆๆๆๆ เพียงแต่ผมสนใจอีกข้อความหนึ่งมากกว่าเท่านั้น

"ไร้สาระ หืม..ไอเดน?" หมอกงึมงัมกับรูปนั่นก่อนจะกดปิดเข้าอ่านอีกข้อความ

     พอได้อ่านหมอกก็ขมวดคิ้วตามก่อนจะกดเข้าไปดูข้อความเต็ม ถ้าเป็นตอนอื่นที่หมอกทำหน้ามองบนแบบนี้ผมอาจจะขำ แต่ครั้งนี้ไม่ ได้แต่รอให้หมอกส่งข้อความนั้นมาให้ดูบ้าง เหมือนอีกคนจะเข้าใจเลยยื่นมือถือส่งมาให้ดู


"เฮ้อ"


    อย่างที่คิดว่าพอได้ดูรูปแล้วผมต้องหนักใจ อย่างที่คิด เพราะมันเป็นรูปตอนหมอกไปมหาลัยวันนี้จริงๆ เป็นรูปที่เจ้าตัวกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ในตึก หน้าตาอมยิ้มอยู่นิดๆ

"ถอนหายใจทำไม อย่างน้อยรูปก็ออกมาดี" เจ้าตัวพูดออกมายิ้มๆ แถมยังเบียดลงนั่งบนที่วางแขนเก้าอี้ผม

"ตราบใดที่มันยังทำได้แค่เรียกร้องความสนใจง่อยๆแบบนี้ก็อย่าไปเก็บมาใส่ใจเลย"

ตาสีดำนั้นเงยขึ้นมาสบก่อนจะยักคิ้วกวนมาให้ รอยยิ้มชั่วร้ายอีกรอยค่อยๆเผยขึ้นบนใบหน้า เจ้าตัวยังไม่ได้ใส่เสื้อยกมือชี้ที่คอตัวเองยิกๆ


"Hickey please"
(ทำรอยไว้สักหน่อยสิ)



ผมเลิกคิ้ว


"จะเล่นอะไรอีกครับ?" ไม่รอให้ผมได้คำตอบผมตัวเองก็โดนกระชากเบาๆให้หน้าไปซุกที่คออีกคนเรียบร้อย กลิ่นหอมอ่อนๆที่ออกมาจากผิวเย็นๆที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จทำให้ผมเริ่มเคลิ้ม เลยได้แต่จูบหนักๆลงไปที่คอขาวนั่นสองสามที ก่อนจะไล้ลิ้นเลียไปจนถึงติ่งหู หมอกหัวเราะออกมาเบาๆตอนที่ผมดูดเม้มฝากรอยสีชมพูจางๆไว้ที่คอขาว ก่อนจะย้ายลงมาเรื่อยๆจนถึงไหล่

"พอๆ กำไรเกินไปละ" หมอกดันไหล่ผมออกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ลุกไปจากที่นั่ง คราวนี้ทิ้งตัวลงมานั่งพิงอกผมสบายใจ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเกยคางอยู่บนไหล่ลาดไปโดยปริยาย มือขาวกดยิกๆที่โทรศัพท์อีกรอบ

'He still gonna have me
F*ck yourself!! ,xoxo
[photo attached]'

       ผมได้แต่หัวเราะในความร้ายกาจของหมอก ทั้งเนื้อความและรูปที่ส่งตอบกลับไปให้ไอเดน รูปที่ผมกำลังตั้งใจซุกไซร้ลงบนคอขาวๆของอีกคนเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของ หน้าของหมอกที่ติดอยู่เพียงเสี้ยวเดียวแต่ทว่ากลับเห็นรอยยิ้มลำพองใจ มือขาวที่กำลังขยุ้มผมสีน้ำตาลของผมอย่างได้อารมณ์ข้อมือประดับด้วยสร้อยรูปเหยี่ยวสีเงินคุ้นตาบวกกับแสงไฟสลัวๆของห้องนอนจึงทำให้ภาพนี้ดูอีโรติกอยู่มาก ท่าทีเหมือนผมกำลังแสดงความเป็นเจ้าของและอีกคนก็ยอมแต่โดยดีนั้นถึงจะไม่ได้เห็นหน้าของเราทั้งคู่ชัดแต่อย่างไอเดนก็คงเดาได้เองไม่ยาก

ไม่ลืมที่จะให้อีกคนส่งรูปนั้นมาให้ผมเก็บไว้ด้วย

"แถมพรุ่งนี้ลุคเด็กเสี่ยจะได้ดูสมจริงขึ้นด้วย คุ้มค่า" หมอกหัวเราะ ผมมองรูปที่เด้งเข้ามาในข้อความบวกกับอีกสี่ห้ารูปที่ถ่ายไว้พร้อมกันแล้วยิ้มกริ่ม

"พี่โดนใช้เป็นเครื่องมืออีกละ ค่าแรงคราวก่อนก็ยังจ่ายไม่ครบ" ผมหอมเข้าที่แก้มนั่นแรงๆด้วยความหมั่นเขี้ยว หมอกยังหัวเราะ

"วันนี้กำไรไปเยอะแล้วนี่ ผมจะนอน"

    ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะโดนเสื้อยืดที่ตัวเองคิดจะใส่ในตอนแรกมาบนตักผมแล้วเดินขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงทั้งๆที่ใส่แค่กางเกงนอนขาวยาวธรรมดา ทิ้งให้แต่ผมที่ยังไม่ได้อาบน้ำต้องรีบลุกตามไปทำความสะอาดตัวเองเพื่อให้รีบได้กลับมานอนข้างๆคนเจ้าเล่ห์นี่
   สรุปเลยตั้งแต่ไปรับที่มหาลัยจนถึงตอนขึ้นไปรอที่เตียงนี่ ไม่รู้ในหัวอีกคนมีแผนการร้ายกาจผุดขึ้นมาได้กี่แผน

เลยได้แต่คิดในใจว่า



'เด็กของผมนี่มันร้ายจริงๆ'





________________________________________

มาต่อแล้วค่าาา
ขออภัยในความล้าช้า ._______.
ตอนหน้าก็อาจจะมาช้าหน่อยเหมือนกันนะคะ /กราบ
ติดสอบ+ออกงานต่างจังหวัด

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด