- ไปค่ายตอนที่สิบเอ็ด : วอสื่อรัก -
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~ เวลาบ่ายแก่ๆ ตอนนี้ทุกคนละมือจากการทำสนามกีฬาแล้วเพราะเนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำสนามกีฬาอย่างปูนกับทรายที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผสมปูนหมดกว่าทางร้านที่สั่งจะมาส่งก็เย็นแล้ว วันนี้พี่ปิงปองจึงปล่อยให้เราเป็นอิสระกันตั้งแต่บ่ายสาม แต่ก็แหละถึงแม้งานวันนี้จะเลิกเร็วแต่พวกผู้ชายส่วนใหญ่ก็เฮโลไปเตะที่สนามหน้าอาคารเรียน บางก็หนีไปงีบเอาแรงเพราะอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงอาหารมื้อค่ำที่ทุกคนจะมารวมตัวกันอีกครั้ง
จริงๆ แล้วการมาทำค่ายก็คล้ายๆ กับการเข้าค่ายลูกเสือสมัยมัธยมเพราะทุกอย่างมีเวลาเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้นค่ายอาสานี้ก็ยังดูสบายกว่าเพราะไม่ต้องตื่นนอนแต่เช้ามาออกกำลังกายหรือต้องทำกิจกรรมฐานไม่ก็เดินป่าตามแบบฉบับการเข้าค่ายลูกเสือ
ค่ายอาสาของพวกเรายืดหยุ่นกว่าหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีกำหนดเวลาในแต่ละว่าช่วงไหนทำอะไรบ้าง และเวลาที่เหลือก็เป็นเวลาพักผ่อนของชาวค่าย ไม่ก็ออกไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านบริเวณโดยรอบ และบางครั้งพ่อแม่บุญธรรมของพวกเราก็หอบอาหารและขนมนมเนยมาให้แจกจ่ายให้กินกัน
จากตอนแรกที่คิดว่ามันค่อยลำบากลำบนและปรับตัวได้ยาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาผ่านไปไม่กี่วันก็เริ่มทำให้ทุกคนเริ่มคุ้นชินกับการตื่นมาพร้อมกับเสียงไก่ขันยามเช้าของชาวบ้าน บางครั้งถ้าตื่นเช้าสักหน่อยก็ได้มีโอกาสใส่บาตรพระร่วมกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้โรงเรียน
ชีวิตแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
ยิ่งได้อยู่ใกล้พี่ไกด์แบบนี้ยิ่งดีไปใหญ่
“ยิ้มอารมณ์ดีขนาดนั้นอ่ะกลม”
“คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิวะ”
‘บี’ เพื่อนสาวของผมที่ตัดสินใจมาร่วมหัวจมท้ายกันในค่ายเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างประหลาด ผมเห็นหน้ามันก็อดสงสารไม่น้อยเพราะใครจะไปเชื่อว่าลูกคุณหนูแบบมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมมาใช้ชีวิตในถิ่น ทุระกันดานเช่นนี้ ยิ่งเห็นคราบดินติดแก้มมันแล้วก็รู้สึกผิดเพราะผมเองเป็นคนขอร้องแกมบังคับให้มันมาเป็นเพื่อน
“บี”
“ว่า?”
“ขอโทษที่พามึงมาลำบากนะ”
คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นทันที “อย่ามาทำซึ้งค่ะอีกลม กูขนลุก” มันลูบแขนไปมาท่าทางสะอิดสะเอียนจริงๆ จนเผลอขำออกมา
“มึง”
“อะไรวะ”
“นั่นพี่ไกด์”
“ไหน?”
ผมมองตานิ้วเรียวของมันทันเห็นร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่หัวสกินเฮดกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์สองล้อเหมือนจะออกไปไหน ยังไม่ทันจะนึกอะไรออกไอ้บีมันก็ผลักไหล่ผมให้ออกเดิน
“ไปสิคะ รออะไร”
“พี่ไกด์อาจจะออกไปทำธุระ”
มันทำหน้าเจ้าเล่ห์ “มึงไม่ตื้อแล้วเมื่อไหร่จะได้วะ ไป๊”
พูดไม่พอยังยันตูดผมจนหน้าเกือบทิ่ม โอ้ย บอกผมทีว่ามันคือผู้หญิงจริงๆ ตีนหนักอย่างกะช้างน้ำ ผมหันไปมองหน้ามัน เพื่อนบีเลยโบกมือไล่อย่างไม่ใยดีก่อนที่มันจะสะบัดตูดไปนั่งเชียร์พี่ปีสามที่เตะบอล
“เชี่ย”
พี่ไกด์ตะโกนเสียงดังพร้อมกับเหยียบเบรกจนหัวทิ่มเมื่อผมวิ่งไปตัดหน้ารถที่กำลังจะออกตัว
“ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ยไอ้ห่ากลม”
“พี่ไกด์จะไปไหน”
“ใช่เรื่องมึงเหรอ?”
อื้อหือ ด่าว่าเสือกยังไม่เจ็บเท่า พี่ไกด์มองผมนิ่ง “ถอยไป”
“ไม่ตอบก็ไม่ถอย”
“ขี้เสือกจังวะ”
“.....”
ผมทำหูทวนลมพอพี่มันเบี่ยงรถหนีผมก็ขยับตามทันที
“กวนตีน! เดี๋ยวกูชนยับให้แบนติดกับพื้นเลยนี่”
“พี่ไม่กล้าทำหรอก”
พี่ไกด์สบตาผมนิ่งแล้วกระตุกยิ้มมุมปากจนผมนึกเสียวสันหลัง แต่สุดท้ายพี่มันก็แค่จิ๊ปากไม่สบอารมณ์
“กูจะไปโทรศัพท์ที่อ่างเก็บน้ำ”
“ไปด้วย”
“อย่าฝัน”
แล้วพี่ไกด์ก็ขยับรถถอยหลังก่อนจะเบี่ยงหน้ารถไปทางอื่นแล้วเตรียมบิดหนี
“เหี้ย ลงไปไอ้สัด”
“เรื่อง”
เรื่องอะไรจะลงเล่นกระโดดซ้อนท้ายแล้วกอดเอวพี่มันขนาดนี้
“ไอ้ห่ากลม”
“ไปเล้ย”
ผมกระโดดเหมือนเด็กๆ ก่อนจะโยกตัวน้อยๆ เป็นสัญญาณให้พี่มันออกรถได้ พี่ไกด์ยิ้มเครียดก่อนจะใส่เกียร์แล้วบิดทันที
“ฉิบหาย”
ผมแหกปากร้องลั่นตอนที่รถออกตัวอย่างรวดเร็ว อารามตกใจจึงยิ่งกอดเอวคนขับแน่น ทั้งยังซุกใบหน้าที่แผ่นหลังของพี่ไกด์อย่างถือวิสาสะ เอาสิยิ่งมันขับไวแค่ไหนผมยิ่งกอดมันแน่นขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายขับมาได้สักระยะ พี่ไกด์ถึงผ่อนความเร็วลงคงเพราะอึดอัดที่ผมรัดเอวมันแน่นจนจะแนบเป็นเนื้อเดียวกัน มันพยายามปัดมือผมออกจากเอวนะแต่ก็เท่านั้นแหละมือผมเหนียวยิ่งกว่าตุ๊กแก
กอดแล้วไม่ปล่อยหรอก เหอะ!
เครื่องยนต์สองล้อกำลังพาผมลัดเลาะไปตามถนนท้ายหมู่บ้านเรื่อยๆ และไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงเส้นทางเล็กๆ ที่เป็นทางขึ้นภูเขาแล้วลัดเลาะมาไม่นานก็เห็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ผมตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็นอ่างเก็บน้ำแบบธรรมชาติมาก่อน
“ลง”
“.....”
“จะลงดีๆ หรือจะให้กูยันลง”
“โว๊ะ”
ผมรีบไถลตัวลงก่อนที่ปลายเท้าพี่ไกด์จะลอยมาถึง พอลงมาถึงพื้นได้นั่นแหละถึงแลบลิ้นใส่แผ่นหลังพี่มันอย่างล้อเลียน
“กูเห็น”
ผมสะดุ้งโหยงลืมนึกไปว่ามันสามารถมองเห็นผมจากกระจกรถด้านข้าง
“แหะ”
“อย่ากวนตีนกูให้มากนัก” พี่ไกด์ทำตาดุ “เดี๋ยวกูจับถ่วงน้ำแถวนี้เลยสัด”
ผมทำตาปริบๆ เหมือนจะรับฟังคำพี่มัน ก่อนจะผละไปเดินดูรอบๆ อ่างเก็บน้ำเพื่อรอพี่ไกด์ที่มีธุระติดพันอยู่กับโทรศัพท์ ได้ยินแว่วๆ ว่าคงติดต่อเรื่องพวกวัสดุที่จะใช้ในการทำพื้นสนามต่อ ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจนักเลยตัดสินใจเดินไปเล่นกับเด็กชาวบ้านที่ว่ายน้ำเล่นกันอยู่ใกล้ขอบทางลง และบริเวณนั้นมีชาวบ้านสี่ห้าคนกำลังหาปลาด้วยวิธีการทางธรรมชาติ
“มาเล่นกัน”
เด็กพวกนั้นซึ่ผมงจำได้ว่าไปวิ่งกับชาวค่ายเกือบทุกวันกวักมือเรียกผมให้ลงไปเล่นน้ำด้วย แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหย่อนก้นนั่งริมฝั่งแล้วหย่อนปลายเท้าจุ่มลงไปในน้ำ
“อ้ายมาเล่นกัน” (พี่มาเล่นกัน)
ยังไม่เลิกชวนซ้ำยังมาช่วยกันยื้อแขนผมให้ลงน้ำอีก
“เฮ้ย พี่ไม่เล่น”
“ฮ่าๆๆ”
ผมเผลอหัวเราะเมื่อเด็กรวมหัวกันจี้เอวผมแล้วอาศัยจังหวะขบขันดึงผมลงน้ำได้ในที่สุด เด็กๆ ดีใจพากันตบมือแปะๆ ทำเอาผู้ใหญ่แถวนั้นตกอกตกใจแต่พอรู้ว่าเล่นกันก็เลยละความสนใจและขยับไปหาปลาอีกฝั่ง ผมหรี่ตามองพวกทโมนทั้งหลายแล้วว่ายน้ำพุ่งไปจับตัวทีละคน แล้วหลังจากนั้นสงครามสาดน้ำก็เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน ผมเผลอเล่นสนุกกับเด็กๆ จนลืมไปว่าลงมาไกลป่านนี้พี่ไกด์มันอาจจะเป็นห่วง
ร่างสูงโปร่งที่เห็นแต่ไกลของพี่ไกด์หันรีหันขวางทันทีเมื่อไม่เห็นผม ผมตาวาวเพราะนึกอยากเล่นอะไรแผลงๆ ตอนที่พี่มันหันมาทางนี้ผมเล่นทำท่าเหมือนจะจมน้ำ ให้ตายเถอะนี่นักกีฬาว่ายน้ำตัวแทนโรงเรียนเลยนะโว้ย เสียภาพลักษณ์หมดกู แต่เอาก็เอาวะ ผมท่าทางจะจมอยู่มะรอมมะร่อนั่นทำให้เห็นพี่ไกด์วิ่งหน้าตื่นมาหาผมแต่ไกล
“กลม”
“......”
“ไอ้ห่ากลม”
ผมมุดตัวลงไปใต้น้ำทันที ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนกายใต้น้ำไปกระตุกขาเด็กๆ ดีว่าพวกทโมนไม่ร้องโวยวายผมเลยส่งสัญญาณว่าตัวเองกำลังแกล้งคนที่ตะโกนเรียกหา แล้วให้พวกเด็กๆ ขึ้นไปรอบนฝั่ง
“กลม มึงอยู่ไหน กลมมึงอย่าเล่นแบบนี้ไอ้ห่า”
พี่ไกด์กระโจนลงน้ำแล้วตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่คนตัวโตนั่นดำผุดดำว่ายหาผมอย่างไม่ลดละ สีหน้าแววตาดูเครียดขมึงบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงตกใจไม่น้อย ผมแอบยิ้มที่เห็นท่าทางห่วงใยที่พี่ไกด์มีต่อผม จังหวะที่พี่เขาหันหลังอยู่ผมเลยค่อยๆ เคลื่อนกายไปกระโดดกอดคออีกฝ่าย
“ผมอยู่นี่”
พี่ไกด์แทบล้มแต่เพราะเขาทรงตัวได้ดีผมถึงกอดคอพี่มันได้โดยที่ไม่ล้มไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยล้อคนปากแข็ง พี่ไกด์ก็จับแขนผมเหวี่ยงออกอย่างรุนแรง
“เล่นเหี้ยอะไรของมึง” พี่ไกด์ตวาดผมเสียงดังลั่น ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวซ้ำลมหายใจที่พ่นออกมายังร้อนผ่าวบ่งบอกว่ากำลังโกรธสุดๆ ผมตะลึงขยับไปหมายจะแตะแขนอีกฝ่ายแต่พี่ไกด์สะบัดทิ้งอย่างแรง
“พี่”
“สนุกมากเหรอ” พี่ไกด์เข่าตัวผมแรงๆ “มึงเอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นกับกูนี่สนุกมากเหรอ ไอ้ห่ากลม”
“ผะ ผมขอโทษ”
พี่ไกด์ปล่อยมือจากผมแล้วว่ายน้ำขึ้นฝั่งไม่สนใจผมเลย ผมหน้าเสียเพราะรู้ได้ทันทีว่าถูกพี่ไกด์โกรธเข้าแล้วเลยรีบว่ายน้ำตามไปติดๆ พอขึ้นฝั่งมาได้ผมเลยลูบหัวเด็กๆ ที่ทำหน้าแหยคงเพราะยังตกใจกับเสียงตวาดของพี่ไกด์เมื่อกี้นี้
“ไม่มีอะไรหรอก กลับบ้านกันได้แล้วเดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง”
เด็กๆ พยักหน้าแล้ววิ่งปรู๊ดไปทันที
“พี่ไกด์”
ร่างสูงยังเงียบสนิทไม่พูดไม่มองหน้าผมเลย ซ้ำยังทำท่าทางเหมือนผมเป็นธาตุอากาศอีกเล่นเอาผมเจ็บจุกพูดไม่ออก ผมรู้ดีว่าเล่นมากเกินไป ไม่แปลกถ้าพี่ไกด์จะโกรธจนไม่มองหน้ากันขนาดนี้ ผมรู้ตัวแล้ว ผมรู้สึกผิดจริงๆ
“ผม”
“ขึ้นรถ”
ระหว่างทางจากอ่างเก็บน้ำถึงโรงเรียนมีแต่ความเงียบ นอกจากเสียงเครื่องยนต์แล้วผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมใจเสียรู้สึกว่าหัวตาร้อนผ่าวไม่กล้าแม้แต่จะขยับไปกอดเอวฝ่ายนั้น เห็นแต่เสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่ไกด์ที่ดูเย็นชาเหลือเกิน และเพราะเพิ่งขึ้นมาจากน้ำใหม่ๆ แรงลมที่เข้ามาปะทะตอนรถเคลื่อนตัวจึงทำเอาผมปากสั่นตัวสั่นไปหมด พี่ไกด์เหลือบตามองผมจากกระจกด้านข้างแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น แม่ง โคตรเจ็บเลย
จะโทษใครได้ก็ผมทำตัวเองทั้งนั้น
อยู่ๆ ก็รู้สึกแสบจมูกกับร้อนหัวตาจนอยากร้องไห้ ไม่นานพวกเราก็มาถึงค่ายพอรถจอดสนิทผมรีบลงทันที พร้อมกับรีบยกมือปาดน้ำตาเพราะกลัวพี่ไกด์จะเห็นแล้วมันรำคาญเอา แค่ที่ผมเล่นอะไรแผลงๆ นี่คงทำให้มันนึกระอาแล้ว
“รีบไปอาบน้ำ”
เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ผมยังก้มหน้านิ่ง
“ผมขอโทษ”
พี่ไกด์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วเคาะหัวเบาะๆ
“ทีหลังอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีก”
“ผมขอโทษพี่”
“อือ”
เสียงพี่ไกด์ดูอ่อนโยนขึ้น ทำเอาผมใจชื้นขึ้นมา ผมมองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินลับไปแล้วแต่สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบหัวผมเมื่อกี้ยังติดอยู่ในความรู้สึก
“รีบไปอาบน้ำ ถ้ามึงไม่สบายขึ้นมากูจะซ้ำให้”
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~****************************************
“น้องแรกพี่ฝากวอแป๊บนึงนะ”
“หา?”
ยังไม่ทันที่จะตอบรับคำขอ พี่ปิงปองก็วิ่งหน้าเหยเกกุมท้องไปทางห้องน้ำโน่นทันที ทิ้งให้ผมจ้องมองวัตถุสื่อสารสีดำที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในมืออย่างงงๆ ก่อนหน้านี้ผมพอจะรู้มาบ้างว่าในค่ายนี้มีวอที่ใช้งานอยู่สามตัวซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของพี่ปิงปอง พี่ปืน และพี่ต้องอย่างละตัว เพื่อเอาไว้ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน สาเหตุหนึ่งคือบริเวณนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย เวลาจะติดต่อกันเรื่องานก็ลำบากเพราะบางทีแต่ละคนก็อยู่กันคนละที่
ผมยักไหล่วางของในมือกับพื้นก่อนจะหันมาสนใจทำ ‘สมุดค่าย’ คือไอ้สมุดที่ว่าเนี่ยเป็นสมุดเหมือนเฟรนชิฟของสมาชิกแต่ละคนในค่ายซึ่งทำมาจากกระดาษเอสี่ประกอบกันห้าแผ่นแล้วเย็บสันสมุดด้วยแม็กเย็บกระดาษง่ายๆ หน้าปกมีชื่อเจ้าของกำกับว่าเป็นของใคร
ส่วนหน้าว่างด้านในก็มีพื้นที่ให้คนอื่นๆ มาเขียนระบายความในใจที่มีต่อกัน จริงๆ น่าจะเป็นการเขียนด่ากันมากกว่านะผมว่า เพราะแต่ละคนพอทำสมุดของตัวเองเสร็จต้องเอามาเสียบไว้ตรงบล็อกใส่สมุดส่วนกลางที่วางเด่นไว้กลางห้อง เผื่อให้คนอื่นที่อยากแสดงความคิดเห็นหรือบอกความเล่าความทรงจำระหว่างกันได้เขียนอย่างสะดวก
ผมทำหน้ามึนๆ จ้องมองสมุดทำมือของตัวเองแล้วถอนหายใจ สภาพมันดูตลกสักหน่อยเพราะผมเสือกวาดต้นไม้กับพระอาทิตย์ไว้ที่หน้าปก ซึ่งมันเป็นฝีมือที่ดูอนุบาลมากแต่แล้วไง ผมจะวาดอ่ะ งานนี้ต้องโทษพิษไข้ที่เล่นงานถึงทำให้สมองมันเบลอๆ หน่อย
เมื่อวานนี้ผมดันสาระแนสระผมตอนดึกแล้วไม่รอให้มันแห้งก่อนแต่เสือกนอนทับทั้งเปียกๆ อย่างนั้นแหละ สุดท้ายตื่นมาเลยมึนหัวชอบกลดีว่าวันนี้ไม่ต้องทำงานออกแดดเพราะพี่ปิงปองบอกให้ช่วยพิมพ์รายงานสรุปประจำวันในห้องพัสดุแทน และดูเหมือนว่าวันนี้ภารกิจทำสนามจะเลิกไวเพราะขาดวัสดุดังนั้นตอนนี้ ห้องประชุมเลยมีรุ่นพี่บางส่วนมานานเกือกกลิ้งทำสมุดค่ายกันอยู่สองสามคน
“ปืน เรียกปิงปอง”
เสียงอะไรวะ?
ผมสะดุ้งโหยงตาที่ปรือๆ อยู่เบิกโพรงสอดส่ายสายตาหาที่มาของเสียง แล้วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้ายๆ สัญญาณคลื่น
“ปืน เรียกปิงปอง”
ชัดเจนทีนี้!
ผมหันรีหันขวางมองวอสีดำที่ส่งเสียงมาจากปลายทาง แล้วเหลือบตามองไปยังรุ่นพี่ที่ทำสมุดอยู่มุมหนึ่งของห้องพากันนอนปิดตาหลับสนิทเชียว
“ปิงปองได้ยินกูมั้ย”
ยังไงดีวะ ผมเกาหัวแกรกๆ เหลือบตามองไปรอบๆ อีกครั้งก็ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ปิงปองจะกลับมาสักทีแล้วมองที่วออีกครั้ง
เอาก็เอาวะ!
“เอ่อ”
“ปิงปองได้ยินกูมั้ย”
“ครับ”
เสียงพี่ปืนหยุดชะงักไปแป๊บหนึ่งก่อนจะถามกลับมาอย่างไม่แน่ใจ
“แรก?”
“ครับ” ผมเกาหัว “คือพี่ปิงปองไปเข้าห้องน้ำ เอ่อ”
“แฟ้มสีฟ้า”
“ครับ?”
“เปิดแฟ้มสีฟ้า ดูหน้างบให้หน่อยว่าเหลือเงินที่จะตกเบิกเท่าไหร่”
แฟ้มสีฟ้า?
ผมมองไปรอบๆ ห้องทันเห็นแฟ้มดังกล่าวเลยรีบคว้ามาดู
“ยอดด้านบนหรือด้านล่างพี่”
“ล่าง”
“สี่หมื่นครับ”
“ค่าอะไร?”
“ปูนกับทรายครับ”
“มีหมายเหตุอะไรมั้ย?”
“ไม่มีครับ”
“แล้วกินยารึยัง?” “ยังครับ เอ๊ะ!” ผมตอบคำถามอย่างเพลินปากจนลืมเอะใจไปว่าคำถามเมื่อกี้ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับที่เรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้เลย
“ทำไมถึงยังไม่กินยา”
“เอ่อ ผม”
“ทำไมไม่กินยา”
“ผมลืม”
“ทำไมลืม”
ผมเกาหัวตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ก็คนมันลืมก็คือลืมสิวะผมเบ้หน้าใส่วอ
“ลืมก็คือจำไม่ได้”
“คราวหลังอย่าลืม”
“ก็บอกไปสิครับว่าห่วง ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ” ผมอ้าปากตาค้าง เพราะเสียงจากปลายทางไม่ใช่เสียงพี่ปืนแน่นอน แล้วมันเสียงใครกัน!
“จีบกันผ่านวอเหรอครับ”
“ฮั่นแน่”
“ไอ้ห่าเม่น”
ฉิบหายแล้ว!
จำได้ว่าที่ค่ายมีวอสามตัว ตัวหนึ่งอยู่ที่ผม อีกตัวอยู่ที่พี่ปืน และตัวที่สามตัวสุดท้าย...
“อย่าลืมกินยาและนอนห่มผ้านะครับน้องแรก” เสียงพี่มหา
“เค้าห่วงนะตัวเอง” พี่เม่นทำเสียงตุ๊ดมาก
“พวกมึงแอบไปปิ๊งไหนกันต่อไหนวะ” พี่ต้องโอดครวญเสียงแหลม
สามคนนั้นอยู่ด้วยกัน โอ้ยยยยยยยยย
ในหัวผมได้ยินแต่คำว่า ‘ฉิบหาย! ฉิบหาย! ฉิบหาย!’
“ว่างกันมากรึไงไอ้พวกห่า”
เสียงพี่ปืนพูดขำๆ
“เฮ้ยเม่นกูมีคำถามจะถาม”
“ว่ามา”
สามเสียงจากวอตัวที่สามยังดังไม่หยุดจนผมทำหน้าเลิ่กลั่กจะเปิดก็ไม่รู้ต้องกดตรงไหน
“ความรู้สึกห่วงหาอาทรนี่เขาเรียกว่าไงนะ”
“ก็หวงใยใส่ใจจนบอกให้กินยาอ่ะดิ”
“แล้วมนต์อะไรวะที่ทำให้คนรักกัน”
“มนต์รักดีโด้สิครับ”
เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แล้วอะไรคือการที่วอตัวที่สองจากพี่ปืนมีเสียงหัวเราะเบาๆ
“รบกันแบบไหนตกหลุมลงไปแล้วขึ้นมาไม่ได้?”
“อะไรวะ”
“รบแรกพัก...รักแรกพบ”
“ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
อ้ากกกกกก หัวใจเต้นแรงมาก
ไอ้สัดปุ่มหรี่เสียงวออยู่ตรงไหนวะ ผมมือไม้สั่นจนกดปุ่มมั่วไปทั่วแต่ยิ่งกดยิ่งเหมือนจะทำให้เสียงมันดังขึ้น จนรุ่นพี่นอนหลับอยู่เริ่มรู้สึกตัว
ฉิบหาย!
“แล้วพวกมึงรู้มั้ยว่าปืนอะไรใหญ่ที่สุด”
เสียงพี่ปืนจากวอสองถามขึ้นทำเอาแก๊งที่ตบมุกกันอย่างเมามันหยุดชะงักไป
“ปืนอะไรวะ”
ผมนิ่งฟังจนกระทั่งเสียงจากวอของพี่ปืนดังขึ้น
“ปืนเก้านิ้ว” “เชร้ดดดดดดดดดดดดดดด”
พ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แล้วสัญญาณวอตัวที่สองก็หายไปเหลือไว้แต่เสียงหัวเราะอย่างขบขันจากวอตัวสุดท้าย และทิ้งภาระไว้ที่ใบหน้าอันความร้อนผ่าวของผม ซ้ำยังกระทบไปยังการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและชนโน่นชนนี่ตอนผุดลุกขึ้นพอดีกับที่ปิงปองเปิดประตูเข้ามา
“เป็นอะไรอะไรรึเปล่าน้องแรก ทำไมหน้าแดงๆ”
ผมส่ายหน้าก่อนจะผละหนีออกมา พยายามสะบัดหัวแรงๆ เท่าไหร่คำพูดเมื่อกี้ก็ยังดังห้องอยู่ในหัว
“ปืนอะไรใหญ่ที่สุด?” ...ปืนเก้านิ้ว...
...ปืนเก้านิ้ว...
...ปืนเก้านิ้ว... ไอ้ห่าแรก แล้วมึงจะเขินทำไม เขาไม่ได้พูดถึงของๆ มึง ห่าเอ้ย!
(มีต่อ)