บทที่ 41
(Mode: Lucas Collins)
ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นทุกวันหลังจากที่ได้เจอโลแกนเมื่อสัปดาห์ก่อน
ผมทำภารกิจในยามเช้า เดินลงไปทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน กวาดอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปมหาลัยอย่างกระชุ่มกระชวย
วันนี้ผมมีเรียนภาคทฤษฎีก่อนในช่วงเช้าถึงจะเจอภาคปฏิบัติในตอนบ่าย ซึ่งแน่นอนล่ะว่าครูผู้ฝึกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไมเคิล
“หืม… ช่วงนี้อารมณ์ดีจังนะคุณ ทั้งๆ ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนยังอ่อนระโหยโรยแรงจนเป็นลมหัวฟาดพื้นไปรอบหนึ่งแท้ๆ” ไมเคิลว่าหลังจากฟังเพลงที่ผมบรรเลงจบไปรอบหนึ่ง เสียงเพลงที่ออกมาใสและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หวาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เล่นกำลังอารมณ์ดี ร่าเริงถึงขีดสุด
ผมหันไปยิ้มหวานหยดให้ครูข้างตัว
“ก็นะครับ พอดีมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนิดหน่อย”
“อะไรๆ เอ… ให้ผมลองเดาดูนะ” ไมเคิลแกล้งยกนิ้วขึ้นเคาะคางอย่างครุ่นคิด ก่อนเจ้าตัวจะดีดนิ้วเปาะ “รู้แล้ว เพราะว่าคุณได้มีโอกาสจูบผมเมื่อวันก่อนนั่นใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่!” ผมรีบพูดขัด ใบหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น เหตุการณ์ที่ทำเอาโลแกนบุกมากดผมลงเตียงถึงบ้าน ทำเอาวุ่นวายกันไปหมด
แต่… ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดี อย่างน้อยผมก็ได้เจอหมอนั่นหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานเสียที แต่ถึงยังไงก็ไม่ขอให้หมอนั่นเข้าใจผมผิดๆ อีกแล้วนะ เวลาหมอนั่นโกรธน่ากลัวจะตาย
“จริงสิ… จะว่าไป” ไมเคิลพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พลิกดูด้านในก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่วันมะรืนเป็นต้นไป คุณคอร์เนอร์จะมาเรียนที่นี่กับเราด้วยนะ”
“หา!?” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที มองครูฝึกของตัวเองอย่างงงๆ “หมายความว่าไงครับ? มิกกี้ ก็เอ็ดการ์น่ะ เรียนอยู่มหาลัยอีกที่ไม่ใช่เหรอ?”
“อ้อ เดี๋ยวนี้สนิทกันขนาดเรียกชื่อกันแล้วเหรอ” ชายหนุ่มผมดำปิดสมุดในมือของตัวเอง “เอ็ดการ์น่ะ เขาจะมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ แล้วเขาก็ใส่ชื่อผมเป็นครูฝึกไป ทางมหาลัยก็เพิ่งแจ้งมา”
“ไม่กระทันหันไปหน่อยเหรอครับ?” ผมถามอย่างงุนงง “อีกอย่าง… ใกล้จะถึงการแข่งใหญ่อยู่แล้ว แล้วครูฝึกของหมอนั่นที่นู่นล่ะ?”
“ถ้าคุณอยากรู้เรื่องนั้น ทำไมคุณไม่รอถามเขาเองล่ะ” ไมเคิลคลี่ยิ้มหวานหยดที่ดูกวนประสาทชอบกล… ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะ รู้สึกเหมือนยิ่งผมสนิทกับเขามากขึ้นเท่าไรก็ได้เห็นอีกด้านของเขามากขึ้นไปทุกที มันก็สนุกดีนะครับในบางครั้ง แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่ยังไงก็ไม่รู้
“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ มิกกี้” ผมเริ่มบ่นอุบ หยิบโน้ตเพลงอีกเพลงขึ้นมากวาดตาดู “หมอนั่นน่ะ ถือว่าเป็นคู่แข่งของผมนะครับ ให้มาเรียนกับคุณแบบนี้… รู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”
“หืม อะไรครับ?” ยิ้มกวนๆ ของครูฝึกยิ่งเพิ่มดีกรีความยียวนเข้าไปใหญ่ “หวงผมเหรอ? ไม่อยากให้ผมไปสอนคนอื่นสิท่า”
“...ไม่อยากให้คุณไปสอนศัตรูครับ” ผมหรี่ตาลงพร้อมกับพูดตอบตรงๆ ไมเคิลเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระให้ผม
“อย่าไปคิดว่าเขาเป็นศัตรูสิคุณ ถึงยังไงก็เป็นนักเปียโนเหมือนกัน… อีกอย่าง ลองคิดในแง่ดี บางทีคุณอาจจะได้เทคนิคอะไรมาจากเขาก็ได้ นักดนตรีน่ะจะเติบโตได้ก็เมื่อได้เรียนรู้เทคนิคจากคนอื่นๆ คุณเองไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือไง”
“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” ผมตอบ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชอบใจกับความคิดที่ว่าหนึ่งในคู่แข่งของตัวเองจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เท่าไร แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเอ็ดการ์ คอร์เนอร์… บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายนักก็ได้
หมอนั่นเป็นนักเปียโนที่เก่ง เป็นคนที่สุภาพด้วย แล้วก็นิสัยดี บางทีเราคงสนิทกันได้มากกว่าเดิมด้วย
“เอ้า อย่ามัวแต่เหม่อ” ไมเคิลกลับมาสวมบทโหดต่อหลังจากคุยกันเสร็จ “ซ้อมกันต่อได้แล้วครับ การแข่งใหญ่ก็กำลังจะมาถึงแล้ว แล้วเดี๋ยวคุณคอร์เนอร์ก็จะมาอีก จะมาทำผมเสียชื่อด้วยการเล่นเปียโนเห่ยๆ ให้เขาเห็นไม่ได้นะ”
“ผมไม่เคยเล่นเปียโนเห่ยสักหน่อย!”
ให้ตายสิ หมอนี่… ชอบพูดปรักปรำกันอยู่เรื่อย
…
ผมมองชายหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง สวมเสื้อผ้ามีราคาที่กำลังพูดแนะนำตัวกับผมและไมเคิลอย่างสุภาพตรงหน้าแล้วอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้
“...เพราะงั้น ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ ลูคัส คุณฮาร์ริส” เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายโดยหันมายิ้มหวานประจบให้ผมและไมเคิล ให้ตาย… ผมรู้สึกเหมือนมีประกายระยิบระยับออกมาจากตัวหมอนี่ยังไงชอบกล แล้วถามจริง… ไอ้เนคไทที่ผูกติดคอหมอนี่อยู่น่ะ ราคาเท่าไร ให้เดานะ เท่ากับราคารวมของเสื้อผ้าทั้งชุดของผมแล้วคูณไปอีกสามเท่าแหง ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ชอบใช้ของมีแบรนด์กันนักนะ
หลังจากที่ได้ฝึกเปียโนร่วมกันกับเจ้าตัว แทบจะทุกครั้งหลังเลิกเรียนที่เราทั้งคู่ชวนไปกินอะไรด้วยกัน จริงๆ ผมก็อยากชวนปีเตอร์มาแล้วแนะนำให้เอ็ดการ์รู้จักด้วย แต่ปีเตอร์นี่ไม่รู้ยังไงของมัน ลงเรียนไปไม่เคยตรงกับตารางของผมเลย เพราะงั้นการจะได้เจอหมอนี่สักทีเป็นอะไรที่ยากมากช่วงนี้
“แต่เปียโนที่นายเล่นน่ะ ดูมีพลังดีนะ” ผมพูดทักขณะที่กำลังซดซุปข้าวโพดที่อยู่ตรงหน้า วันนี้เราสองคนกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารของวิทยาลัย อาหารของที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก ราคาก็ถูกด้วย “แล้วก็มีเอกลักษณ์ดีด้วย สมแล้วที่ได้ที่สองเมื่อคราวก่อน”
“เอ๊ะ? ไม่หรอกครับ” เอ็ดการ์รีบพูด ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย “ยังไงก็สู้เปียโนของลูคัสไม่ได้หรอก เก่งขนาดนั้น… แถมนายนิ้วยาวด้วย เวลาพรมลงบนเปียโนทีดูเพลินมากเลยล่ะ”
“อ้อ นิ้วน่ะเหรอ” ผมทวนคำพร้อมกับกางมือออกมาพิจารณา นิ้วของผมค่อนข้างเรียวและยาวกว่าคนทั่วไปอย่างที่คนตรงหน้าว่าจริงๆ
ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายกางมือของตัวเองออกมาตรงหน้าบ้าง แล้วเอามาทาบกับฝ่ามือของผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของคนตรงหน้าแผ่มาถึงมือของตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าสว่างของเจ้าตัวพิจารณาขนาดนิ้วของผมกับของตัวเอง ดูเหมือนนิ้วของผมจะยาวกว่าของอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย
“เห็นไหมล่ะ นิ้วของลูคัสยาวกว่าจริงๆ ด้วย สำหรับนักเปียโนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าอิจฉามากเลยนะ”
“ก็แค่นิ้วยาวกว่าคนอ่นนิดเดียวเท่านั้นแหละ” ผมหัวเราะ จากนั้นพวกเราสองคนก็ผละมือออกจากกันแล้วลงมือรับประทานอาหารต่อ
“ไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย” เอ็ดการ์โบกมือขึ้นในอากาศ “นายน่ะเล่นออกจะเก่ง มีพรสววรค์สุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงครับ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมตอบพร้อมกับละเลียดอาหารในจานของตัวเองอย่างไม่เร่งร้อน
“ว่าแต่… ลูคัสมีพี่น้องรึเปล่า?”
“อืม มีน้องชายคนหนึ่ง” ผมว่า
“แล้วเขาไม่เล่นเปียโนด้วยเหรอครับ?”
“ไม่หรอก หมอนั่นไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้เท่าไร” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงหน้าโลแกนตอนเด็กๆ ที่โดนบังคับให้เรียนเปียโนพร้อมกับผม
จำได้ว่าหมอนั่นตีหน้าเบ้ทีเดียว แล้วก็เล่นแบบขอไปทีประมาณสาม สี่ครั้ง หลังจากนั้น พอถึงเวลาเรียน หมอนั่นก็แอบหนีไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ ทำเอาคนอื่นปวดหัวกันไปหมด จนในที่สุดก็ต้องยอมให้หมอนั่นเลิกเรียนเปียโนไป เหลือผมคนเดียวที่ยังสมัครใจเล่นต่อ
แต่… ถึงหมอนั่นจะไม่ชอบเล่นเปียโนด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูรังเกียจเปียโนที่ผมเล่นหรอกนะ
“น่าเสียดาย” เอ็ดการ์ว่า “บางทีถ้าน้องชายนายเล่น อาจจะฝีมือพอๆ กับนายเลยก็ได้”
“หมอนั่นเหรอ” ผมแทบจะหัวเราะก๊าก แค่นึกสีหน้ายับยู่ยี่ของมันตอนจรดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดก็ขำจะแย่แล้ว “ไม่หรอกๆ หมอนั่นมันไม่ชอบจริงๆ… ว่าแต่นายล่ะ เอ็ดการ์? มีพี่น้องรึเปล่า”
“มีน้องสาวคนหนึ่งครับ” เจ้าตัวตอบอย่างกระตือรือร้น “เจ้าตัวก็เล่นเปียโนเหมือนกัน แล้วก็ไวโอลินด้วย แต่ระยะหลังมานี่เห็นจะชอบไวโอลินมากกว่า ไม่แน่บางที ยัยนั่นอาจจะเบนเข็มไปเล่นไวโอลินไปเต็มตัวเลยก็ได้”
“แบบนั้นก็ดีสิครับ” ผมตอบยิ้มๆ “จะได้เล่นคู่กับนายได้ไง ดูน่ารักออก พี่เล่นเปียโน น้องเล่นไวโอลิน อยู่บนเวทีเดียวกัน ต้องเยี่ยมมากไปเลย”
คิดแล้วก็นึกไปถึงโลแกน… ถ้าหมอนั่นเล่นไวโอลินได้แล้วเราได้เล่นคู่กัน… ต้องเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ… ก็คงจะหวังยาก แค่ทุกวันนี้มันยังยอมฟังเปียโนที่ผมเล่นนี่ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว อย่าว่าแต่เล่นเครื่องดนตรีสักประเภทเลย
“พูดถึงเล่นคู่แล้ว” เอ็ดการ์พูดอย่างนึกขึ้นได้ นัยน์ตาสีฟ้ามองผมขึ้นมาอย่างมีความหวัง “ผมอยากลองเล่นคู่กับคุณดูสักครั้ง”
“หา?” ผมกระพริบตาปริบๆ ให้คนตรงหน้าอย่างงุนงง “กับผมเนี่ยนะ?”
“ครับ” เจ้าตัวส่งยิ้มหวาน ตาเป็นประกายมาให้ “แค่เล่นกันขำๆ ก็ได้ นะครับ เล่นคู่กับผมสักครั้งนะ?”
“อืม… ก็ได้อยู่หรอก” ผมว่า นึกถึงตัวเองที่มีความสุขเหลือเกินตอนที่ไมเคิลยอมเล่นเปียโนคู่กับผมแล้วนึกถึงคนตรงหน้าที่คอยส่งดอกไม้มาให้ผมเป็นประจำพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของผม…
นึกถึงตรงนี้ อยู่ๆ หน้าของผมก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่สิ สาเหตุก็คนตรงหน้าที่ยิ้มหน้าแป้น พูดออกมาอย่างยินดีที่ผมตอบรับว่าจะเล่นเปียโนคู่ด้วยนี่ไง
“ดีใจจัง งั้นพรุ่งนี้นะครับ ผมมีเพลงที่อยากเล่นกับนาย ลูคัส ผมเลือกเพลงได้ใช่ไหม?”
“อืม ได้สิ” ผมยิ้มตอบกลับ พอเห็นอีกฝ่ายดูมีความสุขขนาดนั้นผมก็ดีใจไปด้วยแฮะ “งั้นพรุ่งนี้เรามาเจอกันก่อนเข้าเรียนแล้วกัน แล้วถ้าเราจะใช้ห้อง ต้องไปจองไว้ก่อนล่วงหน้าด้วย… เดี๋ยวกินเสร็จแล้วฉันไปจองให้ก็ได้ นายจะเอาเพลงไหนก็ส่งให้ฉันหน่อยแล้วกัน”
…
ผมกลับมาถึงบ้านตอนที่ท้องฟ้าภายนอกถูกย้อมด้วยสีดำของความมืด
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่วันนี้ผมอยู่ซ้อมที่มหาลัยในห้องที่จองเอาไว้ก่อนจนถึงป่านนี้ ทันทีที่ถึงบ้าน ผมโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา หยิบโน้ตเพลงที่ซ้อมตลอดทั้งเย็นออกมา เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินนมใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาพิจารณาตัวโน้ตครู่หนึ่ง
ทันทีที่นมหมดแก้ว ผมก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปที่เปียโนหลังงามทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี ผมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้งมองหน้าจอ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
น้องชายฝาแฝดตัวแสบของผมนั่นเองที่โทรมา นี่เป็นครั้งที่สองที่โลแกนโทรมาหาผมหลังจากที่เราแยกกันสัปดาห์ที่แล้ว… ถ้าเทียบกับคนทั่วไป นี่อาจจะถือว่าเป็นการติดต่อที่น้อย แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเคยขาดการติดต่อกับผมไปเป็นเดือนๆ อาทิตย์ละครั้ง สองครั้งนี่ถือว่าเยอะมากแล้ว
“เฮ้ น้องชาย” ผมรับสายพร้อมกับกรอกเสียงลงไปอย่างเริงร่า “ว่าไง คิดถึงกันเหรอครับ ถึงต้องโทรมาหาเนี่ย”
“เหอะๆๆ” เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังมาตามสาย “ก็นายเป็นคนย้ำนักหนาไม่ใช่หรือไง ว่าให้ฉันโทรหาน่ะ”
“อ้าวๆๆ” ผมโวยวายบ้าง “พูดงี้ได้ไง พูดงี้แปลว่านายไม่อยากคุยกับฉันเหรอ วางไปเลยดีกว่ามั้ง พูดแบบนี้”
“เฮ้! ฉันแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง!” ปลายสายรีบว่า
ผมชวนโลแกนคุยเรื่อยเปื่อยไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เปียโนของตัวเองพร้อมกับบอกอีกฝ่าย
“ฉันจะซ้อมเปียโนต่อแล้วว่ะ”
“ก็ซ้อมสิ” ปลายสายตอบกลับมา “ฉันจะฟัง”
“แน่ใจเหรอว่าจะฟัง?”
“ฟังสิ” เสียงที่ออกมาจากลำโพงฟังดูกระตือรือร้นขึ้น “เล่นเลยๆ”
ผมยกยิ้มนิดๆ บมุมปาก จากนั้นจึงเริ่มกดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดแล้วบรรเลงสบายๆ ลงไป และเมื่อผมเล่นไปได้ครู่หนึ่ง เสียงของโลแกนก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ที่ผมวางไว้บนตัวเปียโนอีกรอบ
“เฮ้ ไม่เลวนี่ ลู” เจ้าตัวว่า “รอบหน้านายก็ต้องได้ที่หนึ่งแล้วใช่ไหม แบบนี้ ที่สามอะไรนั่น ไม่เอาแล้วนะ”
“ของแบบนั้นมันกำหนดได้ที่ไหนเล่า” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ นึกถึงไมเคิลขึ้นมาทันที หมอนั่นเองก็เคยพูดอะไรแบบนี้เหมือนกัน
“ไม่รู้แหละ” โลแกนว่าหน้าตาเฉย “ถ้านายไม่ได้ที่หนึ่ง ฉันก็ไม่ไปดูนายแข่ง”
“เจ้าบ้าเอ๊ย” ผมหัวเราะร่วนออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ผลการแข่งมันรู้หลังจากที่ฉันเล่นต่างหากเล่า เจ้าน้องโง่”
“นายว่าใครโง่!!?”
แล้วผมก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างอดไม่ได้จริงๆ ถ้าผมทำให้หมอนี่โกรธหรือโมโหมากๆ ได้อีกสักครั้งคงดี หมอนี่จะได้ตามมาตบหัวถึงที่บ้านไง
แล้วตอนนั้น… ผมก็จะได้เจอตัวมันไปพร้อมๆ กันด้วย
--------------------------------------------
Talk: ปะ ลูคัส ไปลากมิกกี้มาจูบอีกสักรอบ ถ่ายรูปส่งให้โลแกน ต้องมีใครดิ้นพล่านสักคนล่ะ 55555555