BITE …. อ อาอึก ฮึก
เจ็บ ผมเจ็บ
ร่างกายพยายามดิ้นหนีมือใหญ่ที่กำแน่นรอบหลังคอ กดลึกจนแผ่นอกแนบจมไปกับที่นอน สมองสั่งให้ดึงมือนั้นออก พยายามจะใช้มือทั้งสองข้างเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ถีบ ต่อย สู้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับตามคำสั่ง
ด้านหลังปวดหนึบ ความเจ็บร้าวแผ่ซ่านไปถึงสันหลังเมื่อคราวสิ่งแปลกปลอมชำแรกเข้ามาจนสุดในครั้งเดียวโดยไม่มีท้้งการเบิกทางและหล่อลื่น สะโพกถูกรั้งขึ้นสูงโดยมีร่างใหญ่โตเคลื่อนไหวอยู่เหนือร่างกาย กระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างไม่ปราณี
อา ชอบไหม ตรงนี้เสียงกระซิบจากข้างหลังดังราวกับจะยั่วเย้า กดลึกเข้าออกย้ำๆยิ่งสร้างความเจ็บแสบให้กับคนข้างล่าง ความคับแน่นทำให้การสอดแทรกด้วยอารมณ์กระหายเร่าร้อนกลายเป็นความดันทุรังแทน รู้สึกเจ็บเสียดทุกครั้งที่ร่างกายข้างบนขยับโยก
เพี๊ยะ!
อึก
กูถามว่าชอบไหมความเจ็บจากการถูกฟาดทำให้คนรองรับการกระทำหูอื้อตาลายไปหมด สมองแยกสัมผัสไม่ออกว่าสิ่งที่ฟาดลงมาอย่างเจ็บแสบนั้นคืออะไร อาจจะเป็นเชือก หรือไม่ อาจจะเป็นเข็มขัดของตัวเขาเอง
ใจกระตุกวูบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอะไรที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากการขัดใจ ที่โดนฟาดมันอาจไม่ใช่ที่หลังอีก อาจเป็นที่คอ
เงยหน้าจากหมอนเปียกๆหันข้างราวกับจะร้องเรียกหาจูบ อีกคนที่เหมือนคอยอยู่แล้วแนบริมฝีปากลงมาทันที ดูดดึงเหมือนอดอยาก ลิ้นร้อนเคลื่อนไหวไล่เล็มไปตามแนวฟัน ขบกัดที่ริมฝีปากชื้น เนิ่นนานกว่าจะผละออก สัมผัสได้รสฝาดเฝื่อนของเลือดที่ปลายลิ้น
อืม เด็กดี
ครางดังๆร้องออกมาสิ
อา อย่างนั้นแหละเด็กดี อยากฟังเสียงมึงชะมัดเสียงหายใจหนักๆทุ้มต่ำดังข้างหูไม่ขาด ฟังดูเหมือนพอใจหนักหนา ปลายจมูก ริมฝีปาก ลากกดไปมาระหว่างลาดไหล่ไล่ลงไปจนตามแนวกระดูกสันหลังทิ้งความเจ็บจากการฝากรอยฟัน
ยิ่งสัมผัสเปียกแฉะทำให้รู้สึกขยักแขยง
แรงบีบที่หลังคอเพิ่มขึ้นตามแรงกระแทกถี่ มันเจ็บเมื่ออีกคนพยายามเคลื่อนเข้าออกทั้งที่คนรองรับเลือดซึม ในที่สุดเมื่อปลายทางความปรารถนารับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนในช่องทางด้านหลัง ร่างใหญ่กว่าโถมลงมาทับทั้งกาย เนื้อแนบเนื้อ บางอย่างภายในเต้นระริกเหมือนมีชีวิตกระตุกเกร็งเป็นจังหวะ คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเพราะเจ็บจี๊ดจากคมฟันที่ช่วงไหล่จนปล่อยสะอื้นออกมาอีกรอบ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตัวเองมากกว่าเสียงหอบต่ำด้วยแรงอารมณ์
โดยไม่ทิ้งช่วงจังหวะ คนข้างบนขยับลุกนั่งแต่ไม่ยอมถอดถอนตัวออก จิกผมคนใต้ร่างจนแหงนเงยให้ขยับนั่งซ้อนบนตัก จับยกแล้วดันสะโพกให้ขยับขึ้นลงอีกครั้ง เสียงเฉอะแฉะจากของเหลวที่คั่งค้างเมื่อถูกกระแทกย้ำดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมได้ยินชัดเจน
แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย
รู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ผมสะดุ้งตื่นเหงื่อซกจนผ้าปูที่นอนชื้น น้ำมูก น้ำตาไหล ในหูวิ้งสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ อาการปวดท้ายทอยเต้นตุบทำให้รู้สึกเหมือนจะไม่สบายแต่จำเป็นต้องลุกจากที่นอนเพราะจังหวะสั่นครืดจากโทรศัพท์มือถือ
“ครับ”
(นิม ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ เฮียแม่งให้กูโทรหามึงเนี่ย พี่รับปริญญาทั้งทีมึงจะไม่มาเลยเหรอ)
ผมยกโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูชื่อคนโทรเข้า
‘เบญ’
เพื่อนในคณะคนหนึ่งที่คุยกันได้ แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นสนิทสนม
“ไม่ไป ฝากยินดีด้วยนะ”
(เฮ้ยไม่ได้เลยๆ มึงต้องมา เค้าจะแดกหัวกูอยู่เนี่ย บอกให้พามึงมาให้ได้ ยังไงมึงก็ต้องมา เดี๋ยวรับเสร็จเค้าจะออกมา กูกราบล่ะมึงมาเถอะ เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวเลยเพื่อนรัก)
“พี่คนไหนบอกให้โทร”
(เฮียรัฐครับเพื่อน) เบญตอบด้วยน้ำเสียงที่ชื้นขึ้นจากตอนแรกเล็กน้อย มันดูโล่งใจ (มึงจะมาใช่ป่ะ เขารออยู่หลังป้ายแถวตึกอธิการบดีนะ มาไม่เจอก็โทรหากู)
…
“อือ ไปก็ได้”
ผมถอนหายใจออกมา
คนเราถ้าจะหนีจากฝันร้าย นี่ต้องทำยังไงกันนะ
ห้ามหลับ หรือ ตายไปเลย
.
.
.
.
ผมไปไม่ทันงานรับปริญญาอย่างที่คิดเอาไว้ เพราะกว่าจะไปหาซื้อของขวัญเสร็จเวลาก็ล่วงไปเกือบสี่ห้าโมง เบญเลยบอกให้ขับไปที่บาร์เลยเพราะทุกคนกำลังกลับมาที่กรุงเทพกันแล้ว
“ช้าจัง ยืนรอจนไข่แข็งจะแย่แล้ว” เบญบ่นทันทีที่เห็นผม เจ้าตัวออกมายืนสูบบุหรี่รออยู่ข้างกระถางบอนไซ สมควรจะหนาวอยู่หรอกอากาศเย็นเล่นใส่เสื้อยืดแขนสั้นย้วยๆมายืนรับลมอยู่อย่างนี้
ก็มันไม่มีที่จอดรถนี่นา ผมวนรถอยู่นานเลยต้องย้ายไปจอดข้างร้านเหล้าข้างๆแทน ไม่ใช่ว่าออกมาโดนปล่อยลมนะ
“ขอโทษ”
“เออๆ ให้อภัย มึงมาก็ดีแล้ว ป่ะ เข้าไปได้แล้ว กูหิว” อีกคนตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจ พยักหน้าชวนผมเข้าในร้าน ก็เป็นร้านฝรั่งหรูๆเป็นแบบที่รสนิยมสูงสมกับเป็นพี่รัฐดี
“มึงซื้ออะไรให้เฮียวะ”
“เนคไท”
“เข้าใจซื้อนี่หว่า เฮียแม่งดีใจตายเลย ตอนนี้เค้าไปส่งอาจารย์โชค ให้เรากินกันไปก่อน” เบญยิ้มแซว
มันไม่ได้พิเศษหรือว่าผมใส่ใจอะไรเลยนะ ก็เจ้าตัวเล่นโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คว่าอยากได้ซะขนาดนั้น ใครเห็นก็ต้องรู้ จริงๆตอนไปซื้อผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่าเนคไทอาร์มานีอะไรก็ช่างในกล่องสีแดงคาดทองนั้นหน้าตาเป็นยังไง พนักงานต่างหากที่เป็นคนจัดการ
“มาแล้วครับ ขอนั่งด้วยคนๆ” คนพูดแบบนั้นแต่ก็เลื่อนเก้าอี้ออกให้ผมนั่งก่อน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนอื่นในโต๊ะโดยไม่ได้ให้ความสนใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่เบญยกให้ เจ้าตัวหยิบนู่นตักนี่ให้ยกใหญ่จนผมต้องบอกให้พอนั่นแหละอีกคนถึงหันไปคุยกับผู้หญิงที่นั่งด้านข้างแทน
ผมกวาดสายตามองคนอื่นร่วมโต๊ะไปพลางอย่างเบื่อหน่าย คนอื่นๆจิบเบียร์คุยกันดูถูกคอและดูสนุกสนาน จะมีก็แต่ผมที่นั่งแกร่วเพราะไม่รู้จะเปิดปากคุยกับใคร
ในโต๊ะนอกจากเบญแล้วผมก็ไม่รู้จักใครอีกเลย เลยไม่รู้จะไปชวนใครคุยดี รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทาง
...
ไม่สิ
คนที่นั่งอยู่แถวท้ายของโต๊ะอาหารนั้นผมรู้จักชื่อนะ
สายตาที่จ้องเขม็งมาราวกับจะทำท้องไส้ผมบิดเกลียวนั้นผมก็รู้จัก
...ผมรู้จักดีเลยล่ะ
ยิ้มหวานๆให้กล้องด้วยสิที่รัก.
.
.
.
“คิดถึงจัง”
ผมสะดุ้งเมื่อโดนคนมาใหม่กอดคอจากด้านหลัง ไม่เคยชินกับการถูกสัมผัสไม่ว่าผ่านมานานแค่ไหน เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเลื่อนออกและคนที่นั่งลงตรงข้ามผมคือพี่ผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ใบหน้าหวานแต้มเครื่องสำอางแบบพอเหมาะนั้นส่งยิ้มเจื่อนมาให้
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“ครั้งสุดท้ายที่ทะเลาะกันพี่ไล่ผม”
“แต่ไม่ได้หมายความว่าให้นิมไปไหน ...ไอ้ปอมึงลุกดิ กูจะนั่งตรงนี้” เขาเอียงคอพูดกับผมเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญแล้วหันไปหาคนที่นั่งอยู่ถัดไป
“โหเฮีย มาถึงก็ใช้อำนาจใส่น้องเลยนะเว้ย ผมมานั่งตรงนี้ก่อนเฮียนะ”
“กวนตีนละ”
“ครับๆ ยอมไปแล้วครับ เฮียแม่งเมาแล้วระรานโคตรเลย” คนถูกไล่ยกมือยอมแพ้แล้วย้ายตัวเองไปนั่งท้ายโต๊ะ ผมทันมองเห็นรอยยิ้มเยาะอย่างดูแคลนที่มองมาที่ตัวเอง
“นั่นของพี่เหรอ” เสียงพูดข้างขมับเรียกความสนใจผมกลับมา
“ครับ ยินดีด้วยนะครับที่เรียนจบสักที” ผมตอบรับ ส่งกล่องของขวัญสีแดงคาดทองกล่องเล็กให้อีกคนที่นั่งลงข้างๆ
คนได้รับแค่ยิ้มมุมปากแล้ววางกล่องไว้ที่ข้างแก้วน้ำอย่างไม่ใส่ใจจะเปิดดู แขนข้างซ้ายวาดขึ้นวางบนพนักพิงเก้าอี้ผม หันหน้ามาราวจะกระซิบข้างหู แต่กลับไม่ใช่เสียงกระซิบเลย
“กับนิม พี่อยากได้ของขวัญอย่างอื่นมากกว่า”
กลิ่นเหล้าผสมกลิ่นบุหรี่โชยมาจนผมเหม็นเอียน มือนั้นลูบเส้นเลือดข้างลำคอผมเบาๆ กดลงตรงแอ่งชีพจรที่เต้นรัวย้ำๆซ้ำๆ
“ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน ...คิดถึงเป็นบ้า”
เบื้องหน้าของผม พี่ผู้หญิงคนนั้นยังคงส่งยิ้มเจื่อนมาให้เมื่อสบตา
ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสภาพที่เป็นอยู่จนไม่อาจนั่งติดเก้าอี้อยู่ได้เลยเลือกเดินออกมานอกร้านหาที่นั่งสงบสติอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงแทน
.
.
.
.
ตุบ!
“?”
ผมสะดุ้ง เมื่อก้มหน้ามองของที่ตกลงบนตัก เป็นไฟแช็คแสตนเลสอันหนึ่ง
หันไปมองที่มาด้วยความงุนงงก็เห็นเป็นคนตัวสูงที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังเป็นคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่อยู่ในร้าน ใบหน้านั้นยังเป็นแบบเดิมที่คุ้นเคย หล่อเหลาและเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์
“ทำหน้ายังกับจะตาย นึกว่าเจอกันมึงจะมีความสุขกว่านี้ซะอีก”
ผมยิ้มขืนให้กับประโยคนั้น หรือคิดดูอีกที อาจจะยืมขืนให้กับชีวิตตัวเองเสียมากกว่า
นั่นสิ ทำไมผมถึงไม่มีความสุขล่ะ
ในเมื่อผมเป็นคนเลือกให้เป็นแบบนี้เองแท้ๆ
ทิ้งคนน้อง เพื่อมาคบกับคนพี่ที่รวยและมีอนาคตมากกว่า ใครๆก็พูดว่าแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมผมถึงไม่มีความสุขล่ะ
“พี่ฉัตรสบายดีเหรอครับ” หันไปมองคนที่เอนพิงพนักเก้าอี้สูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไม่เจอมึงคงสบายกว่านี้”
ได้ยินคำด่ามาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนที่เจ็บปวดเท่านี้อีกแล้ว ยิ่งออกมาจากปากคนๆนี้ ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแบบนั้นทำผมนึกคำพูดที่จะพูดต่อไปไม่ออกเลย
“แต่ผมดีใจนะที่ได้เจอพี่”
“พี่เป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย”
“อยากเห็นว่ากูเป็นยังไงล่ะ ตายไปแล้วหรือยัง?”
“แค่อยากรู้ความเป็นไปบ้างก็เท่านั้น”
“จะสนทำไมว่ากูเป็นยังไง...” เขาหยุดพูดกลางคัน ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจ “กลับเข้าไปข้างในเถอะ” เขาลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไปแต่มือผมคว้าชายเสื้อเชิ้ตเอาไว้ทัน อีกคนหันกลับมามองที่มือที่จับเสื้ออยู่แล้วถึงมองหน้าผม
“พี่...”
“ปล่อย”
เสียงเย็นชานั้นไม่เท่ากับมือที่ปัดมือผมโดยแรงแล้วเดินออกไปทันที
มองมือตัวเองที่ความรู้สึกปวดตึงจากการโดนกระแทกยังคงอยู่ บอกไม่ได้ว่าเจ็บตรงไหนมากกว่ากันระหว่างมือกับข้างในอก
.
.
.
.
ผมกลับมาที่โต๊ะด้วยความรู้สึกเลือนลางเหมือนฝัน จำได้แค่ว่ารับแก้วแอลกอฮอล์จากเบญแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่มีอิดออดอีกต่อไป จากนั้นก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับมุกตลกแป้กๆของหมู่คนเมาพอมึนได้ที่ก็มีกลุ่มผมสีเข้มของคนโตกว่าซุกซบอยู่ที่ซอกคอ และมือสอดลูบที่สีข้างให้ความรู้สึกแปลก กลิ่นวอดก้า แชมเปญ เบียร์ ผสมปนเปจนแยกไม่ออก
“กลับบ้านกัน”
“หือ” ผมพยายามตั้งศีรษะให้ตรงเพื่อมองหน้าคนพูด แต่รู้สึกว่าทำได้ยากเหลือเกินเพราะมันหนักเหมือนมีตะกั่วถ่วงไว้
“กลับบ้านได้แล้ว เมาแล้ว” สัมผัสหยุ่นๆที่ข้างแก้มสร้างความรำคาญ
“พวกมึง สั่งอะไรเพิ่มก็ลงบิลไว้กูกลับก่อน”
“โห่ ไอ้รัฐแม่งประจำไอ้ห่า กลับก่อนตลอด”
“เฮียหนีกลับก่อนได้ไง เจ้าภาพไม่ใช่เหรอวะ ห้ามกลับ ยังไม่ได้ดวลเลย”
“เด็กกูอ้อนแล้ว.. โวยวายทำไม เดี๋ยวให้จ่ายกันเอง”
“อ่า งั้นเชิญครับเชิญตามสบาย เดินทางกลับดีๆครับ” ผมได้ยินเสียงคนข้างๆหัวเราะเสียงดังก่อนจะถูกประคองเดินมาที่รถยนต์
ดึกๆถนนโล่ง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ‘บ้าน’ ที่พี่รัฐใช้เรียกคือคอนโดมิเนียมชั้น14 ที่มีวิว180องศาของกรุงเทพมหานครให้ดูผ่านทางกระจกไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความทรงจำร้ายๆของผมเต็มไปหมด
เมื่อเข้ามาในห้องนอนก็ถูกจับเอนนอนบนเตียง จากนั้นกระดุมเสื้อเชิ้ตทุกเม็ดถูกปลดออกด้วยความรีบร้อน ผมรู้สึกถึงไอร้อนของลมหายใจที่เป่ากระทบแทบทุกตารางนิ้วของแผ่นอกที่ริมฝีปากนั้นลากผ่านทั้งแอ่งไหปลาร้า ตุ่มไตตรงแผ่นอก ร่องยาวใต้กระบังลมลากมาถึงสะดือ หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ รีบพลิกตะแคงแล้วห่อตัวเป็นก้อนเมื่อรู้สึกถึงมือที่กำลังปลดตะขอกางเกง
“ผมไม่ทำนะ” ผมร้องห้าม ได้ยินเสียงเดาะลิ้นด้วยความรำคาญ มือใหญ่จับสะโพกผมพลิกกลับคืนมาใช้หัวเข่ากดทับที่ต้นขาทำให้สะดุ้งเฮือก
“ไม่เอา!”
“อย่าดื้อน่า...”
“พี่เคยบอกว่ายังไง ทำตัวดีๆจะได้ไม่เจ็บตัว”
“ทำตัวดีก็เจ็บอยู่ดีนั่นแหละ!” ผมตวาดแต่ฟังดูคล้ายเสียงร้องโหยหวนมากกว่า น้ำตาขึ้นมาปริ่มอยู่ที่หัวตาจนภาพด้านหน้าเบลอไป
“เวลาเมา พี่ทำผมเจ็บแทบตายพี่ไม่รู้หรอก พี่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าซ้อมผมอ่ะ”
“ชู่วๆ ขอโทษพี่ขอโทษๆ พี่เลิกแล้วตั้งแต่วันทะเลาะกันพี่ไม่ได้ใช้ยาแล้ว”
“นิมมองพี่ เห็นมั้ยพี่ไม่ได้เมา”
“ฮึก ไม่เอา”
“เลิกแล้วจริงๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปตรวจเลือดให้ดูเลย…
ขอนะ...สี่เดือนมานี่ไม่ได้เจอกันโคตรทรมานเลย”
“ผมไม่เชื่อหรอก พี่พูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว”
“พูดดีๆมึงฟังไม่รู้เรื่องใช่มั้ยเนี่ย กูบอกว่าเลิกแล้วก็เลิกแล้ว มึงจะหาเรื่องทะเลาะให้ได้อะไร” โดนมือจับกระชากเส้นผมดึงหน้าให้เชิดขึ้นมองใบหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยโทสะ ผมเอนหัวตามแรงดึงเจ็บจนน้ำตาไหล
“ก็นี่ไง สันดานเป็นแบบนี้ไง”
“กูผิดกูก็ขอโทษแล้วมึงจะเอาอะไรอีกวะ ทีมึงล่ะ มองไอ้เหี้ยฉัตร ออกไปคุยกับมันอย่านึกว่ากูไม่เห็นนะ กูเห็นหมดแต่ไม่พูดเพราะกูเห็นแก่มึงไง! ไม่อยากทะเลาะกับมึงเพราะที่เป็นอยู่แม่งก็เหี้ยพออยู่แล้วมึงรู้บ้างมั้ย”
“ฮือ ถ้าผมเลวขนาดนั้นก็เลิกกันไปเลย! พี่ปล่อยผมไปสักที”
“กูไม่เลิก! เลิกให้มึงกลับไปคบกันเหรออย่าฝัน มึงเป็นของกู ทั้งตัวมึงเป็นของกู”
“ทุเรศ มึงมันเห็นแก่ตัว”
ประโยคนั้นของผมคล้ายคนฟังถูกตบหน้า พี่รัฐใช้มืออีกข้างบีบคอผมอยากแรงจนสำลักไอ คำสบถด่าที่ได้ยินไม่บ่อยพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากนับไม่ถ้วน
“ด่ากูเหรอ ห้ะ! เดี๋ยวนี้กล้าด่าผัวเหรอ”
“อึก ฮือ ผมไปทำอะไรให้พี่ ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้” ผมดิ้นกระเสือกกระสนเพื่อหาอากาศ แต่แทนที่จะปล่อยคนกลับกดไว้อย่างหนาแน่น กางเกงถูกกระชากลงไปถึงหัวเข่า ตาแดงก่ำจ้องสบมาก่อนที่ปากซีดจะโฉบลงมา ดูดดึงขบกัดจนได้รสเลือด นอกจากริมฝีปากแล้วสิ่งที่สอดตามเข้ามาคือนิ้วมือของคนคร่อมทับ ผมสำลักน้ำลายตัวเองจนโขลกไอ
นิ้วเปียกสอดเข้ามาทางด้านหลังอย่างรวดเร็วทำให้เจ็บจนถึงสมอง
“มึงทำให้กูรัก นี่คือสิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบ”
“พี่ ทำกับคนที่รักแบบ อึก แบบนี้ ข่มขืน ถ่ายคลิป ตีผม โอ้ย!” ตัวผมกระตุกขึ้นเหมือนถูกไฟช็อตเป็นแบบนั้นเสมอเมื่อถูกสอดใส่ คราวนี้ไม่ใช่นิ้วมือแล้ว เป็นสัมผัสของอะไรที่ขนาดใหญ่กว่ากันมากและไม่สามารถบรรยายความเจ็บได้หมด
“พี่ครับ พอเถอะผมเจ็บ”
“ฮือ ผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
ถูกสอดใส่และปลดปล่อยวนเวียนอยู่แบบนั้น ร่างกายผมล้า เจ็บทั้งคอและบั้นเอว แต่ไม่มีทีท่าว่าช่วงเวลาของการระบายอารมณ์จะจบลงง่ายๆ ร่างกายถูกจับยกไปในที่ต่างๆตามใจชอบ ดูเหมือนไม่เหลือแม้แต่ศักดิ์ศรีของความเป็นคนแล้ว
เนคไทจากของขวัญที่ผมมอบให้ถูกนำมาใช้เป็นของเล่นสำหรับการลงทัณฑ์ ผมหวังให้มันมีขนาดยาวพอและเหนียวกว่านี้อีกสักนิด
“มึงทำให้กูรัก มึงเป็นของ กู ต่อให้มึงตาย มึงก็เป็นของกู อึก อา...”
ผมจำคืนนั้นได้ไม่ลืม เสียงครางทุ้มต่ำเหมือนเสียงกระซิบจากปีศาจราคะคอยฉุดสติผมไว้ทุกครั้งที่กำลังจะร่วงหล่น
.
.
.
.
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดโดยมีท่อนแขนหนาหนักพาดอยู่บนตัว ความรู้สึกคลื่นเหียนตีขึ้นมาที่อกจนต้องวิ่งเข้าหาห้องน้ำ สำรอกอาหารมื้อค่ำออกมาทั้งหมดแม้กระทั่งน้ำย่อยรสขม
แฟนที่ผมรักมากที่สุดชื่อว่า ฉัตร วันฉัตรเป็นรุ่นพี่ อายุห่างจากผมแค่สองปี แต่เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือในหลายๆด้าน มีอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เสมอเวลาที่ผมมีปัญหา เป็นคนที่ผมคิดว่าจะมอบทั้งชีวิตให้ได้ ถ้าเป็นเขาคนนี้
กับพี่รัฐมันเหมือนพายุฝนครั้งใหญ่ที่ถล่มเข้ามาในชีวิต แล้วก็กวาดกลืนความรู้สึกมีความสุขทั้งหมดไป ทั้งแฟน ทั้งเพื่อน ผมไม่เหลือใครเลยแม้แต่คนเดียว เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ผู้ชายคนนี้ชอบเห็นผมทุกข์ทรมาน เพราะจะได้รู้สึกเหมือนว่าในชีวิตถ้าไม่มีเขาแล้วผมก็ไม่เหลือใครอีก ผมเกลียดมากเหลือเกิน
เกลียดที่เขาทำเรื่องสารเลวกับผมนับครั้งไม่ถ้วน
เกลียดที่เขาเอาวิดีโอนั้นมาข่มขู่ให้ผมเลิกกับคนที่รัก
เกลียดคำบอกรักบิดเบี้ยวชวนสำรอกที่พูดกรอกหู
เกลียดมันทั้งหมด
ผมคิดมาตลอดว่ามันให้ความรู้สึกเป็นยังไงเวลาใบมีดโกนตัดแบ่งผงเคมีสีขาวเป็นเส้นบางๆ มันจะรู้สึกดีเหมือนการที่นำเอาใบมีดนั้นกรีดลงบนเนื้อหนังหรือไม่ อาจจะให้ความรู้สึกดีไม่ต่างกัน เพราะเวลาที่เขาสูดมันเข้าทางจมูกก็มีท่าทางปิติยินดีเหมือนมีความสุขนักหนา
ตอนนั้นร่างกายของผมจะน่าย่ำยีขึ้นเป็นพิเศษ มันคงทำให้การร่วมรักสนุกถึงขีดสุด
ผมซึมซับเอาความรู้สึกดีไม่ต่างกันนั้นมาจากการกรีดใบมีดลงบนผิวเนื้อสีขาวละเอียดที่เขาชอบพูดว่าเหมือนโคเคนที่เขารัก
การกรีดครั้งแรกให้ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่เทียบแล้วไม่เจ็บเท่าร่างกายของผมที่ฉีกขาดตอนถูกแทรกตัวเข้ามา
รอยกรีดที่สองไม่ให้ความรู้สึกเจ็บแล้ว ผมจึงกดใบมีดลึกลงกว่าเดิม ลากเป็นเส้นยาวตลอดแนวท้องแขน ของเหลวสีคล้ำไหลอาบขึ้นมาตามรอยใบมีด ได้แค่สี่เส้นก็มองไม่เห็นพื้นผิวเดิมเพราะสีแดงเข้มไหลทะลักออกมา
เพราะผมแช่อยู่ในอ่างน้ำ จึงได้มองดูปฏิกิริยาออสโมซิสของเลือดกับน้ำอย่างใกล้ชิด มองดูน้ำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนหมอกควันที่กำลังกลืนกินทัศนียภาพทีละเล็กละน้อย
ผมไม่เจ็บปวดแล้ว
ความรู้สึกดีของผู้กระทำเป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นครั้งแรกที่รู้ได้ว่าตัวเองจะหลับสนิท เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มั่นใจว่าฝันร้ายจะไม่ตามมาหลอกหลอนอีก
ผมสงสัยว่าจะมีใครหลั่งน้ำตาให้ผมหรือไม่ ในวันที่ผมกลับลงสู่พื้นดิน จะเป็นวันแห่งความโศกเศร้าหรือเปล่า
พี่ฉัตรอาจจะเสียใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาคงจะทำใจได้
พระเจ้าไม่ยอมรับการฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้นผมอาจจะต้องตกนรก...
แต่พี่รัฐ คนที่บอกว่ารักผมคนนั้น
ตอนที่เขาร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ผมจะยิ้มด้วยความปิติยินดี.
.
.
.
..
ในศาสนาพุทธมักมีปริศนาคำกล่าวที่ว่า ตายแล้วไปไหน ในเมื่อผมเป็นคริสต์ศาสนิกชนก็จะบอกว่า ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า
แต่ว่าตอนนี้พระเจ้าสำหรับผมไม่มีอยู่จริง
ผมไม่ได้เห็นพระหัตถ์ของท่านจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นผมจึงยังอยู่ที่นี่
ตายแล้วไปไหน?
ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ผมยังอยู่ที่นี่...
พี่รัฐ ... วันรัฐ ชื่อนี้ที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆจากผู้คนรอบตัว
คล้ายกับว่าเป็นที่นับถือของคนจำนวนมาก เขาทั้งใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ที่สำคัญคือฐานะดีมากพอที่จะแจกเศษเงินเล็กๆน้อยๆให้พวกคนรู้จักได้อย่างหน้าตาเฉย
วันรัฐที่คนอื่นมองอย่าเทิดทูนดูคล้ายรูปหล่อของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
แต่พระผู้เป็นเจ้าจริงๆคงไม่ได้เสพย์ยา นัดเดทผู้หญิง ทำธุรกิจกลางคืนผิดกฎหมายหรอกใช่ไหม ผมรู้และเห็นมันทั้งหมดตลอดระยะเวลาสองปี...
ใบหน้าจากพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นกระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน นึกถึงไม่ออกเลยว่าเวลาเสียใจจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา
เสียงเรียกชื่อผมซ้ำๆยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท ร่างกายใหญ่โตตระกองกอดผิวหนังเย็นเฉียบขาวซีดของผมเอาไว้ ขนาดยืนอยู่ตรงนี้ยังแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังออกมา
ผมยืนมองสีหน้าตระหนกระคนหวาดกลัวของเขา เสียงกรีดร้องเหมือนสัตว์บาดเจ็บ เลือดของผมย้อมเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นสีคล้ำเกือบทั้งตัว
วันรัฐไม่รู้แม้แต่วิธีห้ามเลือด สิ่งที่เขาทำได้ดีคือการทำร้ายคนมากกว่าช่วยเหลือคนนี่นะ เขาพยายามเขย่าตัวผม ทั้งยังกรีดร้องเหมือนคนเสียสติ การกระทำอย่างคนโง่งมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำไมถึงยังกอดผมทั้งที่เลือดท่วมขนาดนั้นกัน
ทำไมถึงร้องไห้ออกมาง่ายๆทั้งที่ไม่ว่าทำเรื่องเลวระยำขนาดไหนก็ไม่เคยสำนึกแท้ๆ
ร่างเปียกชื้นของผมจมอยู่ในอ้อมแขนของเขา มันอ่อนยวบเสียจนดูเหมือนไม่มีกระดูก สภาพของผมนั่น แม้แต่ตัวเองก็ยังทนดูไม่ได้
...สุดท้ายแล้วก็ถูกฝังกลบ ดอกกุหลาบสีแดงดอกแล้วดอกเล่าถูกวางลง ผมได้ยินท้ายประโยคจากหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างตัวว่า
'ยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ'
ถึงจะเด็กแต่มันคือชีวิตนี่นา
ความตายน่ะไม่สนหรอก ไม่ว่าเด็กหรือแก่
บนมือของหญิงชรามีมือของชายหนุ่มอีกคนจับกุมไว้อย่างสุภาพ ใบหน้าสมบูรณ์แบบยังเป็นแบบที่เคยเป็น แม้ดวงตาจะแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผาก กระนั้นก็ยังดูงดงามเหมือนรูปปั้น
ผมเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังในเสื้อสูทพิธีการของเขา สัมผัสความสั่นเทาของมันเพื่อสลักลงในความทรงจำสุดท้ายให้ลึกที่สุด
พี่ฉัตรจะยังเป็นคนที่ผมรัก
จนกระทั่งหยาดฝนเริ่มตกกระทบผิวหนัง พิธีการจบลง ผมเดินตามแผ่นหลังกว้างหนาหนักของผู้ชายในชุดสูทสีดำออกมาที่รถยนต์ของเขา วันรัฐถอดแว่นกันแดดออก ผมจึงได้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำของเขาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเลนส์สีดำ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดจากการร้องไห้หรือใช้สารเสพติดมากเกินไปกันแน่
รถยนต์คันอื่นในบริเวณเริ่มทยอยขับออกไปจนในที่สุดเหลือแค่รถสีดำคันนี้ที่ยังจอดนิ่งอยู่
ผมหันไปมองหน้าเขาที่ยังนั่งเงียบ แม้เป็นใบหน้าที่ไม่อยากมองก็ตาม
เขากัดฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่นออกมาจากใบหน้า
วัตถุสีดำถูกดึงออกมาจากคอนโซลหน้ารถ ผมรู้จักมันแม้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นของจริง
สายฝนยามเย็นโปรยปรายลงมา ม่านน้ำฝนทำให้ทัศนวิสัยรอบข้างเริ่มเลือนลาง
เขาเดินมาหยุดที่ป้ายเหนือหลุมฝังศพของผมอีกครั้งหนึ่ง สีขาวของมันใหม่และเด่นชัดกว่าป้ายไหนๆในเนินหญ้าที่หม่นหมองแห่งนี้
เขาทรุดลงข้างแผ่นป้ายหลุมศพ คุกเข่าลงกับพื้นท่าทางก้มหน้าร้องไห้เหมือนละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด
ผมยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถบรรยายได้ ปากของชายหนุ่มขยับเอ่ยคำพูดออกมาแต่มันเบาเกินกว่าที่ผมจะได้ยิน
“
ที่บอกว่ารัก ...พี่ไม่ได้โกหก”
อะไรนะ พูดว่าอะไร....
เขายกปืนในมือขึ้นแนบกับศีรษะ ดวงตาเหม่อมองออกไปในที่ไกลแสนไกล ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกที่รุนแรงกว่าทำให้ผมรีบปัดมือของเขาออกทันที
ร่างหนาหนักทั้งร่างชะงักกึก เขาหันมามอง แม้จะรู้ว่าตัวตนของผมไม่มีอยู่จริง แต่เขาก็มองจ้องทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตาอย่างนั้น
ลูกแก้วสีดำไหวระริก หยดน้ำตาหยดหนึ่งตกลงและกลืนหายไปกับน้ำฝน
"น..."
“นิม?”
เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกชื่อของผม
ทำไมถึงแสดงสีหน้าออกมาได้เศร้าขนาดนี้กันนะ…
ผมใช้สองมือประคองใบหน้าเขาเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยซับรอยน้ำตา ก้มลงกระซิบด้วยหวังว่าเขาจะสามารถได้ยินทุกคำพูดที่ต้องการบอก
"พี่รัฐ ผมขอให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อไป..."
"พี่บอกว่ารักผม ถ้ามันคือความรักจริงๆ ผมจะอยู่ตรงนี้คอยเฝ้าดูพี่ทุกข์ทรมานจากความรักของพี่" ดวงตานิ่งค้างกับใบหน้าสิ้นหวังของเขาทำให้หัวใจของผมเหมือนกลับมาเต้นอีกครั้ง
ความรู้สึกของผู้กระทำ เป็นแบบนี้เอง
เพราะฉะนั้น
"จงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะนะ".
.
.
.
..
The end.
แก้ไข 14/10/60 มาจบมันด้วยกันเถอะค่ะ 5555
ตอนที่แต่งเรื่องนี้ฟังเพลง fools ทรอย ซีวาน ไปด้วย เลยได้ชื่อเรื่องมาจากเพลงนึงของน้อง
บางคนอาจจะสงสัยว่าน้องรักพี่รัฐบ้างมั้ย ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย ก็คงไม่ทำถึงขนาดนี้ใช่มั้ยคะ ; ;
พี่รัฐเป็นละครที่สะท้อนให้เห็นแล้วว่าความรักที่เขาไม่ต้องการคือความรักเลวๆ เพราะฉะนั้นรักใครก็ทำดีกับเขานะคะ
(พยายามจบให้มีคติสอนใจ)
ตอนที่เขียนต้องหยุดมองเพดานอยู่พักนึง แล้วก็ลังเลว่าจะลงดีมั้ย
อ่านแล้วรู้สึกยังไงช่วยคอมเมนท์บอกหน่อยนะคะ เป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปปรับปรุงเรื่องอื่นๆเนอะ ❤