ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท“มึงจะเข้ามาทำไม!” ปัณณ์ตกใจเมื่อพายุเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงยีนส์สีเข้ม แผงอกเปลือยเปล่า
“กูร้อนขี้เกียจรอ”
“มึงออกไปก่อน กูอาบแป๊บเดียวเดี๋ยวเสร็จแล้ว”
“อาบด้วยกัน” พายุไม่ฟังคำทัดทาน จัดการถอนกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่ออก พาดไปบนราวบนผนัง
“ไอ้พายุออกไปก่อน” ปัณณ์หันหลังให้ พยายามกันไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นด้านหน้า พายุเปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างส่วนเปียกกับส่วนแห้งเข้าไป หัวเราะเมื่อเห็นปัณณ์ห่อตัวหนีเขา
“อายอะไรวะ สมัยก่อนก็เคยอาบด้วยกัน”
“กูไม่ได้อาย แต่กูอยากได้ความเป็นส่วนตัว”
“เอาน่า กูเข้ามารับรองมีประโยชน์ มากูถูหลังให้” พายุเข้าไปยืนซ้อนหลังปัณณ์ จัดการกดครีมอาบน้ำจากขวดแก้วของทางโรงแรมใส่มือ หัวเราะขำเมื่อปัณณ์ขยับตัวหนีเขา
“ไปไหนวะ มานี่กูถูหลังให้” พายุวางมือลงบนไหล่ปัณณ์ดึงให้อีกฝ่ายถอยกลับมาหา เขาไล้ฟองครีมไปทั่วแผ่นหลัง วนเป็นวงกลมเพื่อขจัดคราบไคลออกให้
“พอๆ กูบ้าจี้” ปัณณ์ก้าวเข้าไปยืนใต้สายน้ำ รีบล้างฟองออกลวกๆ ไม่สนว่าตนเองยังอาบน้ำไม่สะอาด เขาแค่อยากออกไปให้เร็วที่สุด
“มึงอาบเถอะ กูเสร็จแล้ว” ปัณณ์หวังจะเดินออกไปแต่ถูกมือแข็งแรงของพายุดึงไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิวะ ถูหลังให้กูก่อน”
“มึงถูเอง กูหนาว” ปัณณ์อ้างไปมั่วๆ ในหัวคิดคำแก้ตัวออกมาได้แค่นี้ ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว
“หนาวเหี้ยอะไรของมึง มา กูเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นให้”
“กูหนาวแอร์”
“แอร์มันลอดเข้ามาในห้องน้ำด้วยเหรอวะ” พายุไม่รู้สึกถึงความเย็นแม้แต่น้อย “กูว่ามึงเขินหุ่นมากกว่า พุงก็ไม่มีนี่หว่า” สายตาที่ตกลงมองต่ำทำให้ปัณณ์ต้องรีบบิดตัวหนี แต่ยิ่งทำให้ตัวเองลำบาก พายุใช้สองมือกั้นเขาเอาไว้กับมุมผนัง ใบหน้ายั่วเย้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปลายจมูกอยู่ห่างแก้มเขาเพียงแค่คืบ
“หรือว่า....” สายตาเจ้าเล่ห์ปนขำจับจ้องไปที่ปัณณ์
“หรือว่าอะไร” คนมีชนักปักหลังรู้สึกถึงเหงื่อที่ฝุดขึ้นมา สีหน้าหวาดระแวง
“มึงชอบผู้ชาย”
“ไอ้เหี้ยพายุ!!” ปัณณ์ผลักพายุออกเต็มแรง ในสายตาของพายุ ปัณณ์กำลังโกรธ แต่สำหรับปัณณ์แล้ว เขาแค่ตกใจจนอยากหนีไปให้ไกลๆ เท่านั้น
“เดี๋ยวปัณณ์” พายุดึงข้อมือเพื่อนเอาไว้ ก่อนปัณณ์จะเปิดประตูกระจกออกไป
“อย่าโกรธน่า กูแค่แซวขำๆ อย่างมึงไม่มีทางเป็น”
“ปล่อยกู”
“มึงโกรธกูจริงๆ หรือวะ” พายุหน้าเสียเมื่อเห็นสีหน้าของปัณณ์ เขาอธิบายไม่ถูกว่าสีหน้านั้นเป็นอย่างไร “ไม่ได้โกรธ กูจะไปแต่งตัว มึงจะปล่อยกูได้หรือยัง”
“ไม่โกรธแน่นะ กูไม่ชอบให้มึงโกรธ”
“เออ”
“ปัณณ์”
“ไม่โกรธจริงๆ ปล่อยกูเถอะ” ปัณณ์ถอนใจยาว พูดดัวยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ลืมเหรอว่ากูหนาว”
“เออวะ ขอโทษที มึงไม่บอกกูดีๆ วะ ไปแต่งตัวเถอะ”
“อืม” ปัณณ์พยักหน้า เขารอให้พายุปล่อยมือ จึงผลักประตูกระจกออกไป คว้าผ้าขนหนูมาพันเอวลวกๆ ไม่คิดจะยกขึ้นเช็ด รีบสาวเท้ายาวๆ พาตัวเองออกไปให้พ้น
“ทำไมวันนี้อารมณ์เสียนักวะ” พายุส่ายหน้า เปิดน้ำจนเกิดละอองฟู่ ก้าวเท้าเข้าไปข้างใต้ ปล่อยให้สายน้ำรินรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำไม?..พายุขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงคิดว่าปัณณ์กำลังน้อยใจ ไม่น่าจะใช่มั้ง คงโกรธเขาที่แซ็วแรงไปมากกว่า รีบอาบน้ำรีบไปง้อ เขารู้ว่าเพื่อนอย่างปัณณ์ไม่มีทางงอนเขาได้นาน
“พายุมันจะคุยอีกนานไหมวะ” นนท์เริ่มบ่น เมื่อพายุออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงนานสองนาน ไม่ยอมกลับเข้ามาเสียที
“มึงไปยุ่งอะไรกับมัน คุยกับแฟนก็ต้องนานเป็นธรรมดา มึงนั่งแดกเหล้าไปเถอะ”
“แต่รายนั้นออกไปเที่ยวกับเพื่อนนะเว้ย แสงสีเพียบ แล้วจะมาเสียเวลาคุยโทรศัพท์ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ”
“กูบอกให้แดก ถ้าเหล้าทำให้มึงหยุดปากไม่ได้ ก็เอาตีนยัดปากไว้”
“แค่กๆ “ นนท์สำลักเมื่อจู่ๆ ตีนไก่ในต้มซุปเปอร์ก็ลอยมาเข้าปากเขา ด้วยฝีมือการยัดของไผ่
“มึงทะนุถนอมเพื่อนมึงบ้างก็ได้ ถ้าตีนไก่ติดคอกูตายห่าขึ้นมามึงจะทำยังไง”
“กูก็จะไปงานศพมึงไง ถามอะไรสิ้นคิดวะ ไม่ต้องห่วง กูไม่ปล่อยให้มึงตายแบบไร้ญาติหรอก สบายใจได้”
“ไอ้ห่าไผ่!” นนท์เงื้อเท้าใส่เพื่อน พูดแต่ละคำไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจอันบอบบางของเขาเลย
“แล้วไอ้ปัณณ์มึงจะนั่งแดกสากอีกนานไหม คุยกับพวกกูบ้างก็ได้” เมื่อสู้ไผ่ไม่ได้นนท์จึงหันไปทำเสียงน้อยใจปัณณ์แทน ใครๆ ก็ไม่รักเขา
“มึงจะขี้เสือกไปไหนวะ ไอ้ปัณณ์มันนั่งแดกเหล้าชมวิวข้างนอกของมันเพลินๆ” ไผ่แก้ตัวให้เพื่อน เพราะสายตาของปัณณ์มองออกไปทางระเบียงบ่อยเกินไป
“วิว?” นนท์เลิกคิ้วก่อนหันกลับไปมองระเบียง
“มืดฉิบหาย มึงมองเห็นวิวด้วยเหรอวะ”
“กูไม่ได้มองวิว กูมองแสงไฟ” ปัณณ์ตอบด้วยเสียงเนือยๆ สายตาตกลงมองแก้วในมือ
“เอาเป็นว่ากูโง่แล้วกันนะ กูไม่เข้าใจว่ะว่าวิวกับแสงไฟต่างกันตรงไหน มึงอยากมองอะไรก็มองไป”
“ดีที่มึงฉลาด คิดได้เสียทีว่าไม่ควรเสือกเรื่องคนอื่น”
“มึงก็ด่ากูจริงไอ้ไผ่ กูไปหาเพลงมาเปิดฟังดีกว่า ขี้เกียจฟังเสียงมึงบ่น” นนท์บ่นอุบ เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียง เปิดอ่านข้อความที่มีเข้ามา เสร็จแล้วถึงเดินกลับมานั่งที่เดิม
“เข้ามาได้สักทีนะมึง” นนท์บ่นเพื่อน เมื่อพายุกลับเข้ามานั่งร่วมวง
“อืม”
“ทำไม ทำเสียงแบบนี้แสดงว่าเอยยังโวยเรื่องที่มึงไม่ไปด้วยอีกเหรอวะ จนป่านนี้แล้ว”
“ไม่ขนาดนั้น แค่งอแงนิดหน่อย อยากให้กูตามไป”
“มึงจะไปก็ได้นะ” ปัณณ์พูดแต่กลับไม่สบตาพายุ เขาเลือกที่จะมองตรงไปยังถุงขนมขบเคี้ยว ที่วางอยู่กลางวง
“ไม่ล่ะ อาบน้ำแล้วกูขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยง้อ”
“ดีมาก มึงไปกูโกรธ กูอุตส่าห์ขับรถออกไปซื้อเหล้าซื้อกับแกล้ม ถ้ามึงไม่อยู่แดกด้วย กูด่าไปอีกสามวัน”
“จะเปิดไหมเพลง” ไผ่ตัดบท เขาอยากให้นนท์กับพายุเลิกพูดถึงเรื่องเอยเสียที สงสารปัณณ์
“เปิดเดี๋ยวนี้แหละครับคุณไผ่ แดกอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าวะวันนี้ ดุฉิบ” นนท์บ่นแต่มือก็เลื่อนหน้าจอ เลือกหาเพลงที่ถูกใจ
“บรรยากาศแบบนี้มันต้องฟังเพลงซึ้งๆ” เจ้าของเพลย์ลิสโฆษณาเพลงที่ตัวเองเลือก นนท์เปิดลำโพง เลื่อนเสียงให้ได้ยินชัดเจน ก่อนวางโทรศัพท์ลงบนแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ใช้
ในแววตาทั้งคู่ไม่รับรู้อะไร
เธอคงยัง ไม่เข้าใจ..ว่าฉันไม่ใช่คนเก่า
เราคงยังเหมือนเพื่อน หยอกล้อเหมือนวันวาน
แต่ฉันคือคนใจสั่น..แต่ฉันคือคนหวั่นไหว
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย..
ว่าเพื่อนคนหนึ่ง มันแอบมันคิดอะไรไปไกล กว่าเป็นเพื่อนกัน“มึงไม่มีเพลงใหม่ๆ ฟังหรือไงวะ” ไผ่กระแอมกระไอก่อนพูด เพราะตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเพลงนี้ดังขึ้นมา
“เก่าแล้วไง เก่าแบบคลาสสิคโว้ย เพลงนี้ให้อีกสามสิบสี่สิบปีก็ยังเพราะ” นนท์เถียงหัวชนฝา
“เปลี่ยนเถอะ” ไผ่เลิกให้เหตุผล เพราะเหตุผลของเขาพูดไม่ได้
“กูว่าเพราะดี” พายุเห็นด้วยกับนนท์ “ฟังกี่ทีก็ยังเพราะ แต่กูไม่อินกับเนื้อเพลงเท่าไหร่”
“หมายความว่าไงวะ” นนท์ขอคำแถลงจากพายุ เมื่ออีกฝ่ายชมว่าเพลงเพราะ แต่ดันบอกว่าไม่อิน
“กูว่าคนเราไม่ควรแอบชอบเพื่อนสนิทหรือเปล่าวะ” ปัณณ์ตัวแข็งทื่อ เขารู้สึกเหมือนโดนพายุฟาดเข้าอย่างแรงที่หัว
“มึงคิดดูนะ เป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ มาบอกว่าชอบ จะให้มองหน้ากันยังไงวะ กูว่าทำให้เสียเพื่อนเปล่าๆ เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้ว เป็นทั้งมิตร เป็นคู่คิด เป็นคนที่จะกอดคอกันไปทั้งชีวิต จะเปลี่ยนสถานะทำไมวะ”
“ไอ้ที่มึงพูด กูว่าเขาใช้กับเมียหรือเปล่าวะ” นนท์ฟังอย่างไรก็ก่ำกึ่งระหว่างเพื่อนกับเมีย
“สำหรับกูเพื่อนเป็นคนสำคัญ อย่างมึง อย่างไอ้ปัณณ์ อย่างไอ้ไผ่ พวกมึงสามตัวสำคัญกับกูมาก เป็นเพื่อนมันอยู่ได้นาน เป็นแฟนเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน งอนกัน หึงกัน สุดท้ายเลิกกัน ถ้าคิดจะชอบเพื่อนสนิท กูว่าสู้ตัดใจแล้วกอดคอเป็นเพื่อนกันไปทั้งชีวิตยังดีกว่า มึงว่าไงปัณณ์” พายุหันไปถามคนที่นั่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“.....”
“ปัณณ์เป็นอะไร” พายุจับหน้าปัณณ์ให้หันมามอง ดวงตาจ้องเข้าไปในดวงตาคู่หม่น
“เปล่า กูกำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ทันฟัง มึงว่าอะไรนะ”
“กูถามว่ามึงคิดยังไง”
“คิดเรื่องอะไร”
“สรุปไม่ได้ฟังกูพูดเลยสักคำ”
“อืม”
“มึงคิดถึงสาวที่ไหนวะ เดี๋ยวนี้เอาใจออกห่างสามีเหรอ” พายุล็อคคอของปัณณ์เข้ามาในวงแขน ใช้มือกดศีรษะทุยไว้ไม่ให้ดิ้นหนี “ห้ามนอกใจสามีจำไว้”
“พายุกูไม่เล่น” ปัณณ์พยายามดันตัวออก แต่สู้แรงนักกีฬาของพายุไม่ได้
“ผิดแล้วคิดหนี ต้องโดนเป็นสองเท่า” พายุดึงปัณณ์เข้ามากอดทั้งตัว แรงกอดรัดทำให้ลำตัวของปัณณ์แนบชิดกับแผ่นอกของพายุ ความร้อนแทรกผ่านเสื้อเข้ามา
“กูหายใจไม่ออก” ปัณณ์ใช้สองมือจับแขนของพายุ ความรู้สึกหดหู่ในใจค่อยๆ เลือนหาย สัมผัสเพียงเล็กน้อยทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้ตามปกติ เมื่อครู่ปัณณ์ได้ยินสิ่งที่พายุพูดทุกอย่าง แต่เขาเจ็บเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้
“พวกมึงอยากให้กูกลับห้องก่อนไหม เล่นซะกูเกือบเชื่อ” นนท์บ่นเบาๆ กระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปาก
“สัด กูเหมือนเกย์หรือไงวะ” พายุปล่อยปัณณ์ ไม่ใช่เพราะถูกนนท์แซ็ว แต่เพราะกลัวว่าปัณณ์จะหายใจไม่ออก
“มึงไม่เหมือน แต่มึงอยู่กับไอ้ปัณณ์ทีไร กูเผลอไม่แน่ใจทุกที”
“ไอ้เหี้ย” พายุหยิบก้อนน้ำแข็งปาใส่นนท์
“กูขอกินเหล้าอย่างสงบสุขไม่ได้หรือไงวะ” ไผ่หันไปมองหน้าพายุทีหนึ่งนนท์ทีหนึ่ง “ถ้าพวกมึงจะตีกันกูกับไอ้ปัณณ์จะได้ย้ายไปแดกห้องโน้น”
“คร้าบพี่ มาทะเลเที่ยวนี้ไอ้ไผ่ดุเหี้ยๆ” นนท์บ่นพึมพำ เพราะไม่กล้าพูดเสียงดังออกมา
“รู้ก็ดี กูจะได้ดื่มลื่นคอหน่อย ฟังพวกมึงเห่าแล้วหายอยาก”
“แม่งยังไม่ทันเมากูกับมึงก็กลายเป็นหมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นดื่มให้คลานกันไปข้างหนึ่ง” นนท์ชูแก้วยื่นไปทางพายุเพื่อขอชน เสียงกริ๊งดังเบาๆ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ไม่มีใครสังเกตว่าไผ่หยิบโทรศัพท์นนท์ไปเปลี่ยนเพลง นอกจากปัณณ์ที่มองอยู่
หรือไผ่จะรู้! ปัณณ์ใจเต้นแรงลอบมองไผ่อย่างพิจารณา แต่เมื่อสายตาสองคู่สบกัน อาการส่ายหัวให้รู้ว่ากำลังรำคาญเพื่อนของไผ่ ทำให้ปัณณ์ถอนใจออกมาได้ เขาคงคิดมากไปเอง
“พายุกูร้อน มึงไปนอนดีๆ” ปัณณ์สะบัดตัวเบาๆ เพื่อให้เจ้าของแขนและขาที่พาดลงมาบนตัวเขารู้สึกตัว พายุไม่ถึงกับเมาจนไม่มีสติ แต่ก็ดื่มเข้าไปมากพอสมควร
“กูติดหมอนข้าง” เสียงงัวเงียดังมาจากหน้าที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของเขา
“โตเป็นควาย มึงยังติดหมอนข้างอีกเหรอวะ” ปัณณ์พยายามขยับตัวออกห่าง แต่แขนขาของคนเมาไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“จะดิ้นทำไมวะปัณณ์ กูง่วง”
“กูผิดอีก มึงต่างหากเป็นคนแย่งหมอนกูนอน”
“ใช่ความผิดมึง” ริมฝีปากร้อนของพายุขยับโดนต้นคอ ปัณณ์หายใจขาดเป็นห้วงๆ เขารู้สึกราวกับกำลังโดพายุจูบ
“ความ..ความผิดกู..ตรงไหน”
“ก็มึงไม่ยอมนอนห้องเดียวกับนารา กูเลยไม่มีใครให้กอดนอน ดังนั้นมึงต้องรับผิดชอบ”
“ความคิดอะไรของมึงวะ”
“เอาน่าแค่พาดแขนพาดขานิดหน่อย กูไม่ลุกขึ้นมาปล้ำมึงหรอก อย่าคิดมากตามไอ้นนท์ไปหน่อยเลย”
“กูไม่ได้คิดมาก กูแค่อึดอัดนอนไม่สบาย”
“แบบนี้สบายหรือยัง” แบบนี้ของพายุคือการพลิกตัวปัณณ์ให้หันหน้าเข้าหา เท้าที่ก่ายเกยถูกยกลง เหลือไว้เพียงแขนแข็งแรงที่พาดอยู่บนเอว “กูขอล่ะ ไม่งั้นกูนอนไม่หลับ”
“มึงเมา ถึงไม่กอดห่าอะไรเดี๋ยวมึงก็หลับ”
“.......”
“พายุ”
“........”
ปัณณ์ชะโงกหน้าขึ้นมอง เขาพูดผิดที่ไหน ไม่ทันขาดคำก็หลับไปแล้ว ปัณณ์ทิ้งศีรษะลงกับหมอน การยกมือของพายุออกนั้นเป็นเรื่องง่ายแต่เขากลับนอนนิ่ง
“พายุ กูนี่แหละคือเพื่อนสนิทที่แอบหลงรักเพื่อน” คำพูดที่ไม่มีวันเล็ดลอดออกมาจากปากของปัณณ์ เพราะคำเพียงคำเดียว “เสียเพื่อน” เขาถึงเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ
“นอนได้แล้ว” เสียงงัวเงียดังขึ้นในความมืด
“มึงยังไม่หลับเหรอ”
“หลับ”
“หึ” ปัณณ์ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แม้รู้ตัวดีว่าไม่สมควร แต่จะเป็นอะไรไหมถ้าเขาขออยู่อย่างนี้อีกสักพัก คิดเสียว่าตัวเองเป็นหมอนข้าง เขาจะได้รู้สึกผิดน้อยลง
“ราตรีสวัสดิ์พายุ พรุ่งนี้กูยังเป็นเพื่อนมึง เสมอและตลอดไป”
✪✣✤✥✦✧✣✤TBC✥✦✧✣✤✥✦✧✪
ขอบคุณเพลง "ช่างไม่รู้เลย" ของคุณบอย พีซเมกเกอร์ค่ะ
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin