PART 3
“อูยยยยย. . .”
รู้สึกเหมือนร่างจะแตกเป็นเสี่ยงๆ. . . ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ประเมินผลเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ อ่าๆ ใช่ ผมมีเรื่องกับใครสักคนแต่ผลสุดท้ายก็โดนรุมตีนไม่ยั้ง ไม่อยากจะเชื่อว่าจะรอดมาได้ อ่า ขอบคุณพระเจ้า
ผมลุกขึ้นนั่ง แอบซี๊ดปากเบาๆ เพราะกระเทือน ไอ้พวกนั้นแม่ง. . .ตีนหนักเป็นบ้า
ว่าแต่ตอนนี้กูอยู่ไหนวะ. . . หันซ้ายหันขวาดู ก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเตียงในห้องๆ หนึ่ง บนตึกสูงที่คาดว่าน่าจะเป็นคอนโดสักแห่ง แต่ไม่รู้ว่าห้องใคร ห้องไม่คุ้นเลยเว้ย ที่ไหนเนี่ย!!
แกร๊ก
เสียงประตูห้องเปิด ผมเงยหน้ามองต้นเสียงทันที
“ไง. . .”
“พี่สิงห์. . .”
ไม่ต้องคิดแล้วว่านี่ห้องใคร
ห้องพี่มันแน่ๆ. . . “ผมมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ”
“ก็ใครบางคนแถวนี้มันซ่าส์เลยโดนยำ” พี่มันพูด เดินมาใกล้ๆ ก็เพิ่งสังเกตว่าในมือมีถ้วยข้าวต้มอยู่ “เจ็บมั้ยล่ะ ดีนะที่เพื่อนมึงมีสติ เลยโทรหากู กูถึงไปทันเนี่ย อ่ะ” บ่นๆ ไป มือก็ตักเข้าต้มเป่าฟู่ๆ ก่อนจะจ่อเข้าที่ปากผม
“ก็มันมาหาเรื่องก่อน” ผมเถียง แต่ก็ยอมอ้าปากรับข้าวต้มเข้าปากอยู่ดี มีคนบริการขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรต้องเล่นตัว
“ก็ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ตลอดป่ะ” บ่นต่อ มือก็ตักข้าวไปด้วย ถ้าพี่มันจะบ่นหนึ่งประโยคต่อข้าวหนึ่งคำขนาดนี้ สงสัยหูผมคงชาก่อนที่ข้าวจะหมดถ้วยแน่
“แล้วทำไมพี่ต้องบ่นผมขนาดนี้เนี่ย เพิ่งเคยคุยกันแค่ครั้งเดียวเองนะเว้ย” ผมท้วง อันที่จริงถ้านอกจากที่มันประกาศออกตัวแรงเรื่องจีบผม เราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันเลยป่ะ
“ก็ถ้าไม่ห่วงจะบ่นมั้ย” มันวางถ้วยข้าวต้ม มองหน้าผมจริงจัง สายตาคู่นั้นบังคับให้ผมต้องสบตาด้วยอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้
“มึงอ่ะเจ็บที่ตัว แต่กูอ่ะเจ็บที่ใจ เข้าใจป่ะ” อึ้ง
อึ้งไปเลยครับผม
อึ้งอย่างเดียวไม่พอ ยังรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าเหมือนมีใครเอาไฟมาลน ยิ่งสายตาคู่นั้นที่มองผมอย่างมีความหมาย
แม่ง!! เกิดมาเกือบยี่สิบปี ไม่เคยจะมีอาการแบบนี้สักครั้ง. . . แล้วพี่มันเป็นใครถึงทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้!! “จะ. . .จะป้อนต่อมั้ยข้าวน่ะ ยังไม่อิ่มนะเว้ย”
กินแก้เขินดีกว่า. . . หลังจากกินข้าว โดนบังคับกินยา โดนบังคับเช็ดตัวเสร็จแล้ว พี่มันก็บอกให้ผมพักผ่อน เพราะผมตัวร้อนนิดๆ เหมือนไข้จะรับประทาน ส่วนมันจะออกไปทำงานข้างนอกที่ห้องนั่งเล่น มีอะไรให้เรียก แต่บังเอิญว่า. . .
“พี่ก็มีแผลหนิ” สังเกตหน้าพี่มันชัดๆ มีแผลช้ำที่มุมปากกับโหนกแก้มนิดหน่อย ที่สันมือก็มีรอยแดง พี่มันชะงักเล็กน้อย
“อ่อ แผลแค่นี้เด็กๆ”
“ทายารึยัง”
“ฮึ ไม่จำเป็น”
“กล่องยาอยู่ไหน”
“ทำไม?”
“ไปเอามา”
“. . .”
“. . .”
“เออๆ. . .แม่ง” แล้วพี่มันก็ลุกขึ้นไป หึ ไม่ว่าใคร ลองถ้าได้เลนเกมจ้องตากับผม ร้อยทั้งร้อย เสร็จผมทั้งนั้นแหละ!!
สักพักพี่มันก็กลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผมรับมาแล้วเริ่มต้นทำแผล แอบตื่นเต้นนิดๆ สารภาพเลย
เกิดมาชีวิตนี้ไม่เคยทำแผลให้ใคร. . .
ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมกับคนที่เรียกว่าเพิ่งรู้จักได้ไม่นานอย่างพี่สิงห์ ผมถึงต้องบังคับจะทำแผลให้พี่มันขนาดนี้
อาจจะเป็นเพราะว่าพี่มันเป็นคนไปช่วยผมมา. . . ผมเริ่มทำแผลจากที่หน้าก่อน เสร็จเรียบร้อยก็ที่มือต่อ ผมดึงมือพี่มันมาวางบนตักผมซึ่งนั่งอยู่บนเตียง พี่มันเลยต้องโน้มหน้าเข้ามานิดหน่อย
“เอ่อพี่. . .ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้” นี่มันใกล้มาก ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ของอีกคน
“ไม่ได้สิ เดี๋ยวมึงทำไม่ถนัด” พูดเสร็จก็ยิ้มตาหยี ผมอ่อนใจจะเถียงเลยก้มหน้าทำแผลต่อ แดงเถือกเลยเว้ย. . .
แชะ!
ทำแผลเพลินๆ ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ก็เหมือนมีเสียงอะไรสักอย่าง ผมรีบเงยหน้าขึ้นดู เห็นพี่มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์อยู่
“พี่ทำไรอ่ะ”
“เปล๊า”
“ได้ไง เมื่อกี้ได้ยินเหมือนเสียงถ่ายรูป” ผมถาม
“ก็ถ่ายรูปไง” พี่มันก็ตอบกลับมาหน้าตาย
“รูปผมรึเปล่า ลบเลยนะ!” ผมรีบวางมือที่ทำแผล ทำท่าจะเข้าไปแย่งโทรศัพท์ในมือพี่มัน
“กูถ่ายรูปทั่วๆ ไป หลงตัวเองไม่เบานะเราเนี่ย ”
ง่ะ
ช่วยเก็บเศษหน้าผมหน่อย T___T หลังจากที่ทำแผลเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ผมก็ไม่คิดจะรั้งอะไรพี่มันให้ตัวเองหน้าแตกอีก เลยปล่อยให้เขาออกไปทำงานข้างนอกอย่างที่ตั้งใจตอนแรก ก่อนออกไปก็สั่งให้ผมพักผ่อนอีกรอบ
ผมก็นอนตามที่พี่มันสั่งนะ แต่ข่มตายังไงก็ไม่หลับ นับแกะ นับแพะ ลามไปถึงนับช้างก็ไม่หลับ จนผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ทนไม่ไหว
ห้องพี่มันมีอะไรให้เล่นบ้างวะ
หันซ้าย. . .ระเบียง
หันขวา. . .ชั้นวางหนังสือ
อ่านหนังสือดีกว่า เผื่อจะง่วง. . .
“พี่!! ผมขออ่านหนังสือนะ นอนไม่หลับอ่ะ” ตะโกนบอกเจ้าของเขาก่อน บังเอิญว่าที่บ้านสอนมาดี เป็นเด็กมีมารยาท(?)
อ่อ ถ้าถามว่าทำไมผมไม่กลับห้องตัวเอง พี่มันบอกว่าถ้ากลับไปอยู่คนเดียว แล้วตายเดี๋ยวไม่มีใครพบศพ
ปาก. . . “เออ เลือกเอาเลย ในชั้น” พี่มันก็ตะโกนตอบกลับมา
เมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว ผมจึงค่อยๆ เดินไปที่ชั้นหนังสือ กรีดนิ้วกวาดสายตาไปทีละชั้น เพื่อหาเล่มที่คิดว่าสนใจ หนังสือของพี่มันส่วนมากจะเป็นหนังสือถ่ายภาพซะส่วนใหญ่ แอบมีหนังสือการ์ตูนแซมบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมชอบ เลยขอผ่านดีกว่า
เอ๊ะ!
เล่มนี้ชื่อว่า ‘ภาพวาด’ ชื่อเหมือนผมเลยแฮะ
น่าสนใจดีเลยหยิบเล่มนี้ขึ้นมา เป็นหนังสือปกสีดำเรียบๆ ข้างหน้ามีแค่ชื่อเรื่อง ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ผมเดินไปนั่งบนเตียง ก่อนจะเปิดดูหน้าแรก
อ๋อ. . .สมุดภาพ เหมือนจะเป็นบันทึกความทรงจำมากกว่า เพราะเปิดมาหน้าแรกเป็นรูปถ่ายป้ายโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เอ๊ะ! นี่มันโรงเรียนสมัยมัธยมของผมนี่หว่า. . . พลิกหน้าต่อไป
!!!
นี่มัน. . .
รูปผม. . .
รูปผมตอนม.สี่!!
เป็นรูปที่ผมแอบมานั่งหลับตรงม้าหินอ่อนตอนพักเที่ยง ที่รู้ว่าเป็นตอนม.สี่ เพราะพอขึ้นม.ห้า ม้าหินอ่อนตรงนี้ก็ถูกย้ายไปข้างสนามฟุตบอลแทน
ผมรีบพลิกหน้าต่อไปทันที
แต่ไม่ว่าจะพลิกไปกี่หน้าต่อกี่หน้า ทุกหน้าก็ล้วนเป็นรูปผมทั้งนั้น. . .
แถมทุกรูปถูกกำกับไว้ด้วยวัน เดือน ปี และคำบรรยายสั้นๆ ด้วยลายมือหวัดๆ เช่น
รูปที่ผมนั่งหลับ
เด็กขี้เซา. . .
รูปที่ผมอ่านหนังสือ
เด็กขยัน. . .
รูปที่มีสาวๆ
เด็กเจ้าชู้. . . ภาพตอนม.สี่ ม.ห้ามีเยอะมาก แต่ภาพตอนม.หก มีไม่เท่าไหร่
จนมาถึงรูปเกือบสุดท้าย เป็นรูปคู่ของผมกับเด็กอ้วนคนหนึ่ง ดูจากบรรยากาศในรูป และวันที่ที่เขียนกำกับมันคือวันปัจฉิมนิเทศ ตอนนั้นผมอยู่ม.ห้า เด็กอ้วนคนนั้นก็คงจบม.หก(เพราะมีสายสะพาย)
รูปนี้ก็มีคำบรรยายสั้นๆ เหมือนรูปอื่น แต่เป็นคำบรรยายที่สั้นที่สุดจากทุกรูป เพราะมันมีแค่พยางค์เดียว. . .พยางค์เดียวสั้นๆ. . .แค่คำว่า
รัก ผมรีบพลิกดูหน้าสุดท้ายด้วยใจที่ลุ้นระทึก เพราะผมคุ้นหน้าเด็กอ้วนคนนั้นเหลือเกิน
รูปสุดท้ายเป็นรูปเด็กผู้ชายตัวอ้วนใส่แว่นเฉิ่มๆ ในชุดนักเรียนม.ปลายยืนยิ้มแฉ่ง ในมือถือกล้องหนึ่งตัว
มองไปทั่วรูปภาพเผื่อว่าจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง จนไปสะดุดกับตัวหนังสือหมึกสีดำที่แทบจะกลืนไปกับพื้นหลังที่เป็นฉากอะไรสักอย่าง
สิงหา XXX ม.6/4 24/2/25xx . . .
จบม.หกแล้ว. . .
ตอนนี้. . .
ใจผมเต้นแรงจนเหมือน. . .เหมือนจะหลุดออกจากอก
เด็กอ้วนคนนั้น คือคนคนเดียวกับ. . .TBC.
Orzzzzz จะให้จบภายในตอนนี้ แต่ดันไม่จบ ขออนุญาตยกยอดไปตอนหน้านะคะ
บ้านใครน้ำท่วมบ้าง