King of love ผมนะเหรอภรรยา(เมีย)ราชาปีศาจ ตอนที่ 25 (จบ)ย้ายได้ค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: King of love ผมนะเหรอภรรยา(เมีย)ราชาปีศาจ ตอนที่ 25 (จบ)ย้ายได้ค่ะ  (อ่าน 29441 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เสียงร้องตะโกนของมิคาร์เอลเรียกให้ข้าวสวยที่ยืนชมดอกกุหลาบสีฟ้าอยู่ต้องหันมองไปตามเสียงอย่างตกใจแต่เมื่อหันไปกลับต้องตกใจยิ่งกว่า ความสงสัยที่มีพลันหายไปหมดสิ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูปลายแหลมกำลังพุ่งมาทางตนเอง เร็วเท่าความคิดร่างกายตอบสนองอย่างอัตโนมัติให้หลบธนูปลายแหลมที่พุ่งเข้ามาแต่ก็ไม่อาจพ้นวิถีของธนูนั้นได้ทำให้ปลายแหลมคมปักลงบนแขนขวาแต่นับว่าโชคดีที่แค่ถากไปแต่ก็ทำให้ได้บาดแผลที่ใหญ่เอาการ เลือดสีแดงฉาดไหลเป็นทางยาวตามแนวแขนเรียวที่โผล่พ้นเสื้อระดับข้อศอก

มิคาร์เอลรีบเข้ามาประครองร่างของผู้เป็นพี่สะใภ้ทันทีก่อนจะส่งให้กับไพทรีที่รีบกุจอเข้ามา เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารดังไปทั่วทั้งบริเวณ มิคาร์เอลมองรอบๆ ตัวอย่างระวังพลางเพล่งไปทางที่ลูกธนูออกมาซึ่งเป็นทางต้นไม้สูงมากมายพลางหันมองมุมตำหนักตรงมุมมืดอย่างระแวงก่อนจะเอ่ยสั่งเหล่าทหาร

"ไปตามท่านพี่มา อารักขาพี่สวยให้ดี ที่เหลือไปดูตรงแนวต้นไม้สูงนั้น" เมื่อสิ้นเสียงเหล่าทหารก็ทำตามอย่างรู้หน้าที่ว่าใครควรประจำส่วนใด มิคาร์เอลเหลือบมองข้าวสวยที่อยู่ในอ้อมแขนของไพทรีเป็นระยะอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะใบหน้าสวยงามนั้นเริ่มซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีเวลาให้มากนักเมื่อธนูปลายแหลมนับสิบพุ่งประดาเข้ามาพร้อมกันเหล่าทหารเข้าลอบรอบเป็นกำปังให้กับผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของพวกเขาอย่างไม่เกลงกลัวต่อความตายแต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อออร่าสีชมพูแพร่เป็นบริเวณกว้างมาปกคลุมทุกร่างไว้จนธนูที่พุ่งเข้าชนแตกหักไปหมดไม่ต้องสงสัยให้ยากว่าออร่าสวยงามนั้นมาจากที่ใดเพราะแสงแพร่กระจายออกมาจากมือคู่สวยของมิคาร์เอล

ข้าวสวยรู้สึกเจ็บต้องบริเวณบาดแผลมากเหลือเกินใจหนึ่งก็รู้สึกคิดถึงอัสบัสขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดทั้งที่มีทหารลายล้อมจนไม่ต้องกลัวอะไรแต่ทำไมถึงไม่รู้สึกปลอดภัยเหมือนตอนที่มีอัสบัสอยู่  ร่างกายก็รู้สึกอ่อนล้าเต็มที 'อยากเจอเหลือเกิน'
เสียงเหล่าฝีเท้าของทหารมากมายอลวลกับการหาตัวผู้ปองร้ายอย่างวุ่นวายก่อนจะตามมาด้วยเสียงต่อสู้ที่ดังจนคนฟังอย่าง    ข้าวสวยรู้สึกกลัวยิ่งนัก  คนที่เฝ้านึกหาก็ยังไม่มาสักที ทางมิคาร์เอลก็ค่อยลอบมองไปรอบบริเวณอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้พวกที่หมายทำร้ายพี่สะใภ้นั้นอยู่ทางทิศใดบ้าง  ทางแนวต้นไม้สูงก็ยังคงมีเสียงต่อสู้ให้ได้ยิน

"ท่านมิคาร์เอลพวกที่ลอบทำร้ายราชินีเป็นปีศาจวานรของพวกอาเทอร์พ่ะย่ะค่ะ" เสียงรายงานจากนายทหารดังขึ้นจนมิคาร์เอลต้องขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล พวกอาเทอร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือกล้ามากที่บังอาจมาเยียบถึงราชวังได้ มิคาร์เอลนึกแล้วก็รู้สึกโมโหพร้อมกับใจที่เป็นห่วง เพราะหากพวกอาเทอร์กล้าบุกถึงราชวังแสดงว่ามันต้องวางแผนที่จะกำจัดท่านพี่สะใภ้อย่างจริงจังเป็นแน่ หลังจากนี้เรื่องวุ่นวายคงจะมีตามมาไม่น้อยไหนจะพวกอาเทอร์ไหนจะพวกปีศาจชั้นต่ำที่หลงกลไปกับอุบายโง่ๆ ของพวกอาเทอร์นั้นอีก ไม่มีเวลาให้         มิคาร์เอลตกอยู่ภวังค์ได้นานเมื่ออยู่ๆ ร่างปีศาจวานรสองสามตนกระโจนออกมาจากแนวต้นไม้สูงพุ่งมาทางมิคาร์เอลที่มีข้าวสวยอยู่ในวงล้อมของทหารด้านหลังของตน

ดวงไฟสีชมพูกลมพุ่งออกจะมือมิคาร์เอลดวงแล้วดวงเหล่าไปกระทบร่างปีศาจวานรนั้นเหล่าทหารที่ลายล้อมอยู่ตรงข้าวสวยก็แบ่งออกไปสู้รบกับปีศาจวานรล่มตายลงจนหมด มิคาร์เอลจึงละมือจากตรงหน้า เท้ามุ่งไปทางพี่สะใภ้ของตนที่ตอนนี้ดูจะอิดโรยมากเหลือเกินแต่เมื่อหันหลังได้เพียงไม่กี่ก้าวเสียงดังก้องจากผู้เป็นพี่ชายที่มาใหม่ทำให้ต้องหันไปมอง

"มิคาร์เอลระวัง!!!!"

 เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเห็นร่างปีศาจวานรยักษ์ใหญ่พร้อมกับดาบแหลมใหญ่ในมือกำลังพุ่งเข้ามา อัสบัสเมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังอยู่ในอันตรายก็ปล่อยดวงไฟสีขาวดวงโตใส่ร่างปีศาจวานรนั้นทันทีแต่ดูเหมือนจะช้ากว่าดวงไฟสีดำทมิฬที่พุ่งมาจากมุมมืดของตำหนัก มิคาร์เอลรีบหันมองตามทิศทางที่มาของดวงไฟสีดำในทันที ช่วงแวบนึ่งก็สบเข้ากับสายตาเยือกเย็นแต่ในความเยือกเย็นมิคาร์กลับสัมผัสได้ถึงความโหยหาความเศร้าจากดวงตาคู่นั้นอีกด้วยแต่ไม่มีเวลาให้ได้พิจารณ์นานไปกว่านี้เพราะทันทีที่สบสายตาร่างของคนในมุมมืดนั้นก็หายไป

"มิคาร์เอลเจ้าเป็นอะไรหรือไม่" เสียงร้องถามของอัสบัสทำให้ มิคาร์เอลต้องละสายตาจากมุมมืดมาทางพี่ชายของตนเองที่กำลังเข้ามาประครองร่างของข้าวสวย

"อัสบัส!" ข้าวสวยเมื่อเห็นร่างของผู้เป็นสามีก็ร้องเรียกขึ้นมาทันที แขนเรียวละจากการจับกุมของไพทรีรีบพุ่งเข้ากอดผู้เป็นสามีโดยเร็วดวงตาสวยนั้นก็เอ่อนองไปด้วยหยาดน้ำตา

"คุณหายไปไหนมา ทำไมมาช้า ฮือ ฮือ รู้ไหมว่าผมกลัวแค่ไหน ฮือ ฮือ ไอ้เขาควายบ้า ฮือ ฮือ ไอ้บ้า ฮือ ฮือ" ทั้งคำถามทั้งคำต่อว่ามาพร้อมกับน้ำตาประดังเข้าหาร่างใหญ่มือเรียวทุบลงบนอกแกร่งอย่างอยากระบาย

อัสบัสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่กอดร่างที่สั่นเทาของข้าวสวยเอาไว้แนบอกพรมจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างปลอบประโลม รู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้คนรักต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายนี้ยิ่งเห็นรอยเลือดที่แขนขวายิ่งทำให้ปวดใจมากเหลือเกิน 'ไม่เอาแล้วจะไม่มีทางปล่อยให้คนๆ นี้ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว' ตอนได้รู้ข่าวว่าข้าวสวยถูกลอบทำร้ายจิตใจของเขาก็แสนจะปวดร้าวเร่งรีบมาจนสุดกำลัง  ภายในจิตใจกลัวเหลือเกินเกิดมาไม่เคยกลัวสิ่งใดแต่ในเวลานี้อัสบัสผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาของเหล่าปีศาจกลับกลัวที่จะต้องสูญเสียข้าวสวยไป  หากไม่มีข้าวสวยอัสบัสนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรเขาคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่นอนถ้าหัวใจของเขาดวงนี้หายหรือเป็นอะไรไป



มาแว้วววววววงับ  :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2017 19:26:37 โดย ตั้งโอ๋ »

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 10 ความเข้าใจของหัวใจ

“มันออกจะแปลกที่เจ้าพลาดอีกแล้วแค่กำจัดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา เจ้าก็ทำไม่ได้เสียที” น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุดัน และทรงอำนาจทำเอาคนได้ยินได้เห็นถึงกับรู้สึกเสียวสั่นหลังขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ในใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทสั่นไหวเลย

“ข้าขอประทานอภัยฝาบาท …ข้าขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง” เสียงจากชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทที่ใครมองมาก็คงมองไม่เห็นสีหน้าเรียบเฉย และเย็นชาดุดน้ำแข็งนั้นเลยแม้กระทั่งผู้เป็นนาย

“เจ้าออกไปจัดการได้แล้วไป!” เมื่อได้ยินคำสั่งชายชุดดำโค้งตัวเป็นการบอกลาก่อนจะหมุนตัวเตรียมก้าวเท้าออกไป แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงของผู้เป็นนายดังขึ้นมาอีกครั้ง

“หวังว่าครั้งนี้เจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังอีกครั้งหรอกนะ คลูส” เมื่อจบคำก้มหัวน้อมรับคำสั่งอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินออกไป เมื่อเดินออกมาจนพ้นมือหนาที่อยู่ใต้ชุดคลุมสีดำค่อยๆ ยกขึ้น และเลื่อนผ้าคลุมออกเผยให้เห็นเส้นผมสีควันบุหรี่ ใบหน้าเรียวได้รูปค่อยๆยกขึ้นจนเห็นสายตาคู่สวยที่ดำสนิทตัดกับสีผม มันดูเข้ากันอย่างลงตัวผมสีขาวควันบุหรี่กับนัยน์ตาสีดำสนิทที่เดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ คิ้วเรียงตัวอย่างสวยงามบวกกับผิวขาวจนดูซีดราวกับไร้สีของเลือดในกาย

เท้ายาวก้าวเดินผ่านหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ที่หนาแน่นจนมองไม่เห็นเส้นทางด้านหน้าอย่างไม่สะทกสะสาน สายตาเย็นชาคู่นั้นหากมองดีอาจจะรู้ว่ามันมีความเศร้าปะปนอยู่ภายใน กวาดมองไปรอบๆบริเวณที่หมอกสีขาวปกคลุมอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร สองเท้าก็ก้าวเดินเข้าทางซอกหินเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆทันที เท้าเรียวงามก้าวมาหยุดที่กำแพงหินขนาดใหญ่พอมองไปก็พบเพียงแผ่นหินที่ปิดกั้นเป็นแนวยาว แต่ถ้าหากลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่ามีโพรงเล็กๆ บนแผ่นกำแพงขนาดใหญ่นั้น

ชายหนุ่มหันมองซ้ายมองขวานิดหน่อยเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษหินชิ้นเล็กขึ้นแล้วปาไปยังในโพรงหินนั้น หินที่ลอยอยู่ค่อยๆ กลายเป็นผีเสื้อสีดำสนิทไปเกาะไหล่หญิงสาววัยกลางคนที่อยู่ด้านใน

“คลูสมาแล้วเหรอลูก” หญิงสาวเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นผีเสื้อสีดำสนิทมันกลายเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ต่างฝ่ายก็รู้กันดีว่ามันสื่อถึงสิ่งใด

“คุณค่ะคลูสมาแล้วค่ะ” หญิงวัยกลางคนหันไปบอกชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังโพรงหินของกำแพงที่เป็นรูเนื่องจากกระทำของคนด้านนอกเมื่อนานมาแล้ว

“คลูสเป็นไงบ้างลูกมันได้ทำอะไรลูกไหม”

เมื่อเห็นใบหน้าของคนด้านนอกก็รีบตามสารทุกข์สุขทันทีมือที่ดูเหี่ยวไปตามวัยค่อยๆ ยื่นออกมาจากโพรงหินจับมือของอีกคนด้านนอกอยากห่วงใย

“ไม่ครับผมไม่เป็นอะไร น้องปลอดภัยดีนะครับดีที่ผมช่วยทัน”

“มันไม่เอะใจใช่ไหมว่าทำไมเราถึงทำงานพลาด”

“ไม่หรอกครับก็คนของฝังนั้นเก่งจะตายมันก็รู้ ถ้าผมจะพลาดมันคงไม่แปลกใจเท่าไร”

“แต่ก็อย่าประมาณไปนะลูกรู้อยู่ว่ามันเลวแค่ไหน” หญิงสาวนึกเป็นห่วงและยังนึกห่วงอีกคนที่ไม่ได้อยู่ต้องนี้นานมากแล้วที่ไม่เคยได้เจอกันเลย

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับน้องต้องปลอดภัยเชื่อผมนะ” สายตานิ่งคู่นี้จะดูอ่อนลงทุกครั้งที่เขามาที่นี้ที่ๆ คนสำคัญอยู่ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่ช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็พยายามทำในสิ่งที่ทำได้ และสามารถช่วยได้อย่างเต็มที่แม้ตนเองจะต้องเจ็บต้องทรมานตัวเขายินดีที่จะยอมรับมัน

“ไม่ใช่ห่วงแต่น้องจนลืมตัวเองละอย่าลืมว่าแกอยู่ในกำมือมันอยู่” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นแม้คำพูดจะดูเหมือนว่ากล่าวแต่เขารู้ดีว่าในคำพูดนั้นมันคือความห่วงใย

“ครับ ผมจะระวังให้มากๆ”

“ดี แล้วนั้นอาการกำเริบบ้างไหมแกไม่ได้เลือดมาสองวันแล้วนะเดี๋ยวมันก็กำเริบลามไปอีก จะปล่อยให้มันครอบงำหรือไงกัน” เสียงจากชายวัยกลางคนพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“นั้นสิคลูส ลูกไม่ได้รับเลือดมาสองวันแล้วนะ รู้อยู่ว่ามันอันตรายแค่ไหน อย่าทำให้แม่เป็นห่วงนักสิ เรายื้อมันมาได้นานมากแล้วนะดีที่ไอ้เลวนั้นไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลูก แต่ลูกอย่าลืมนะวันใดที่จันทราสว่างลูกต้องรับความทรมานหนักมาก แม่ไม่อยากเห็นมันอีกแค่นี้มันก็ทรมานสำหรับลูกมากแล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าและทรมานยิ่งหนักไม่อาจรับได้ที่ต้องเห็นคนอันเป็นที่รักต้องเจ็บปวดมันทำให้ตัวเธอเองรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก

“ครับผมรู้ วันนี้ผมจะรับเลือดนะครับ” เสียงราบเรียบที่ดูอ่อนโยนตอบกลับไป ตัวเองก็รู้สึกทรมานไม่ต่างกันคนที่รักและเคารพอยู่ใกล้แค่นี้แต่ก็มิอาจช่วยอะไรได้เลย ความเจ็บที่กายรับมันเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดหัวใจที่ต้องทนดูผู้เป็นที่รักอยู่อย่างเศร้าโศก และทรมานอย่างนี้

อีกด้านของอาณาจักร

ทางด้านอาณาจักรของราชาปีศาจดูวุ่นวายเป็นอย่างมากนับจากราชินีแห่งอาณาจักรถูกลอบทำร้ายอีกครั้ง ทำให้ไพร่พลทหารมากมายอยู่ล้อมรอบบริเวณอาณาจักรเพื่อดูแลความปลอดภัย

“ท่านพี่...พี่สวยเป็นอย่างไรบ้าง” มิคาร์เอลที่พึ่งเข้ามาในห้องนอนถามขึ้น

“หลับไปแล้วนะคงจะตกใจกลัวมากไม่ยอมปล่อยพี่เลย” อัสบัสหันมาตอบผู้เป็นน้องชายก่อนจะหันมามองคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยั่งร่างบางที่ยังจับกุมมือของเขาไม่ยอมปล่อยถึงแม้ตัวเองจะหลับไปแล้วก็ตาม

“ท่านพี่ข้าให้ทหารกระจายตัวไปคุ้มกันตามจุดต่างจนทั่วอาณาจักรแล้ว”

“ขอบใจเจ้ามากมิคาร์เอลน้องพี่” น้ำเสียงอ่อนโยนปะปนกับความกังวลตอบกลับไป คนฟังแม้จะตกใจแต่ก็เข้าใจดีว่าต่อจะให้เป็นคนที่แข็งแกร่งแค่ไหนได้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาไร้หัวใจยังไง สุดท้ายก็ไม่พ้นคำว่าความรู้สึกอยู่ดี เพราะยังไงทุกคนก็ล้วนมีความรู้สึกด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะชอบ รัก ห่วงใย มันเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก ท่านพี่อัสบัสก็เหมือนกันต่อให้ได้รับสมยานามว่าเข้มแข็ง ไร้หัวใจมากแค่ไหนแต่ก็มีความรู้สึกเหมือนกันมันย่อมไม่แปลกอันใด

“ท่านพี่พวกอาเทอร์มันรุกหนักแล้วละคราวนี้พวกมันไม่ปล่อยให้พี่สวยรอดแน่นอน” มิคาร์เอลพูดด้วยน้ำเสียงติดกังวล

“พี่ไม่ให้มันเป็นเช่นนั้นหรอก อย่าลืมสินี้คือราชินีของพี่ไม่มีทางให้เขาเป็นอะไรเด็ดขาด และอีกอย่างผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราจะปล่อยให้เป็นอะไรไม่ได้หรอกเจ้าก็รู้ว่าเขาสำคัญสำหรับพวกเราชาวปีศาจและสำคัญสำหรับพี่มากแค่ไหน พี่จะไม่มีทางให้ข้าวสวยเป็นอันตรายใดๆ ได้ทั้งนั้น” อัสบัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มิคาร์เอลมองพี่ของตนเองอย่างภาคภูมิ ท่านพี่เปลี่ยนไปจริงๆ ตั้งแต่พี่สวยมาอยู่นี้ ขอบคุณพี่สวยมากที่ทำให้ท่านพี่ของข้าเปลี่ยนไปแบบนี้ความอ่อนโยนที่หาไม่ได้เลยจากท่านพี่พี่สวยก็ทำให้มันเกิดขึ้น แม้ท่านพี่จะแข็งแกร่งปกครองโลกปีศาจได้ดีก็จริงแต่การแสดงความรู้สึกต่อคนอื่นนั้นไม่เคยมีเลย ไม่มีคำว่าอภัย ไม่มีคำว่าสงสารใดๆ ทั้งสิ้น ซึ้งมันช่างดูใจร้ายยิ่งนักในสายตาของผู้เป็นน้องชาย แต่ตอนนี้มันต่างออกไปจริงๆ ต่อไปโลกปีศาจคงจะสงบสุขและเปรียบไปด้วยความสุขเป็นแน่แท้หากเรื่องร้ายๆ ได้ผ่านพ้นไป

ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะกระพริบตาสองสามครั้ง สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้าจนรู้สึกแปลกใจสายตาคู่งามจึงค่อยๆ เพ่งมองไปข้างหน้าก็พบกับเหล่าก้อนเมฆที่กระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้ากว้างอย่างสวยงาม ปุยเมฆขาวค่อยๆ เลื่อยตัวอย่างช้าๆ จนคนมองรู้สึกเพลิดเพลินอดที่จะคิดจินตนาการไม่ได้ว่ามันคล้ายกับสิ่งใดบ้าง แต่ก็หลงใหลไปกับมันไม่ได้นานก็ชุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่นี้มันที่ไหนกันแล้วตนเองมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร

แขนเรียวสองข้างค่อยๆ ยันพื้นเพื่อยกตัวขึ้นนั่งก่อนจะยืนขึ้นสายตาก็กวาดมองไปโดยรอบก็พลันทำให้ตกใจเมื่อด้านหน้าเป็นเพียงทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างจนสุดลูกหูลูกตาจนมองหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อเห็นดังนั้นขาเรียวจึงค่อยๆ ก้าวเดินเพื่อมองหาถึงสิ่งที่ให้คำตอบแก่ตัวเอง

สองเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นานเท่าไรแล้วที่ก้าวเดินออกมาแต่ก็ยังคงพบเพียงทุ่งหญ้าสีเขียวที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด สองขาก็เริ่มล้าเต็มทีจิตใจก็กระวนกระวายยิ่งนักรู้สึกกลัวจับใจ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ๆ แต่อ้อนวอนขอให้คนที่ตนนึกถึงมาช่วยแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว

“ผมกลัว ฮือๆ ผมกลัว คุณอยู่ที่ไหน อัสบัส ฮือ ฮือ ได้โปรดช่วยผมทีพาผมออกไปจากที่นี้สักที มันเงียบเหงา และน่าเศร้าเหลือเกิน ฮือ ฮือ อัสบัส” เสียงพูดปนสะอื้นจนฟังไม่เป็นภาษาเอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสาร คนเพียงคนเดียวที่นึกถึงก็มีเพียงผู้ที่ชื่อว่า อัสบัส ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกชื่อคนอื่นไม่ออกเลยรู้เพียงแค่คนๆนี้ ต้องช่วยได้เป็นแน่เพราะทุกครั้งอัสบัสก็มาช่วยเขาตลอดครั้งนี้ก็เหมือนกันจะต้องมาอย่างแน่นอน

ร่างบางนั่งร้องไห้อย่างน่าสงสารความรู้สึกหลายๆ อย่างมันถาโถมเข้ามาจนจิตใจอ่อนล้าเต็มทีพลาดให้นึกถึงใครคนนั้นยิ่งนัก รู้สึกเสียใจที่ต้องจากกัน คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นแน่แท้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกความรู้สึกให้คนนั้นรู้เลยแท้ๆ ก็ต้องจากกันเสียแล้ว เขาคงจะรู้ใจตัวเองช้าไปจริงๆ เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันทำให้เข้าใจมากเกินพอแต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่กลัวจนสุดท้ายมันก็สายไปทั้งที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้วทั้งที่รู้ใจตัวเองแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และไม่รู้จะมีโอกาสได้พบกันอีกไหมเพราะเขาในตอนนี้มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ ว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร

“อัสบัสผมรักคุณนะ สายลมช่วยพาคำพูดของผมไปบอกเขาทีเพราะผมคงไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้วละ ฮือๆๆๆๆๆๆๆ”

“ท่านพี่นี้ผ่านมาสองวันแล้วเหตุใดพี่สวยยังไม่ตื่นไหนท่านพี่บอกว่าแค่นอนหลับไป” เสียงหวานดังมาจากมิคาร์เอลที่ยืนอยู่ข้าง   อัสบัส ตรงหน้ามีเตียงนอนขนาดใหญ่มีร่างของหนุ่มผมทอง ผิวขาวที่ดูซีดลงจากปกติกำลังนอนหลับตาอย่างสนิทไร้การไหวติงใดๆ ทั้งสิ้นแต่สีหน้านั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกของคนที่นอนอยู่ได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเจ็บทั้งที่ยังนอนหลับอยู่บางคราวก็มีหยาดน้ำตาร่วงลงมาพาลให้คนเฝ้าดูใจไม่สู้ดี

“ข้าก็ไม่รู้ ท่านหมอมาตรวจแล้วก็ไม่พบว่าเป็นอะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดข้าวสวยถึงยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียที” อัสบัสพูดด้วยน้ำเสียงกังวล และห่วงใยยิ่งนัก ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาอยู่เฝ้าคนบนเตียงตลอดได้เห็นสีหน้าที่ดูระคนเจ็บปวดบางครั้งมีหยดน้ำตาใสลงตามหางตาทั้งสองข้างอย่างเจ็บปวดแม้ยามหลับคนตรงหน้าก็ยังหลับไม่ได้สุขใจ คนที่หลับอยู่จะรู้บ้างหรือไม่ว่าคนที่เฝ้าดูจะเป็นห่วงและกังวลมากแค่ไหน ‘ทำไมกัน ทำไม เจ้าถึงไม่ตื่นขึ้นมาเสียทีทั้งที่ข้าอยู่ข้างเจ้าตลอดแท้ๆ ทำไมกัน ตื่นขึ้นมาเสียเทิดถ้าการนอนหลับมันทำให้เจ้าเจ็บปวด เจ้าก็ตื่นขึ้นมาหาข้าเถอะ คนรักของข้า’ เสียงของความคิดที่มันฝุดขึ้นมาตลอดสองวันมันยิ่งทำให้อัสบัสรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เจ็บที่ช่วยอะไรไม่ได้ เจ็บที่ทำได้เพียงแค่มองคนตรงหน้า เจ็บที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่อย่างทำได้

อัสบัสยืนจ้องมองคนตรงหน้าอยู่นานก่อนจะก้าวเดินมานั่งที่ขอบเตียงอย่างแผ่วเบาคงเพราะกลัวว่ามันจะทำให้ร่างบางที่อยู่บนเตียงจะเป็นอะไรไป ตั้งแต่เกิดเรื่องอัสบัสกลัวมาตลอดว่าตนเองจะไม่สามารถดูแลคนรักได้อย่างที่ปากพูดเพราะมันหลายครั้งเหลือเกินที่ตนเองปล่อยให้คนๆ นี้ต้องเจ็บตัว

ทางมิคาร์เอลก็ทำได้แต่เป็นกำลังให้กับผู้เป็นพี่ และค่อยช่วยเหลือในสิ่งที่ตนทำได้เพียงเท่านั้นไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้แต่รอ
ปากเรียวหนาได้รูปค่อยๆ เลื่อนมาประทับบนหน้าผากมลของคนที่นอนบนเตียงอย่างรักใคร่ และค่อยๆ เลื่อยริมผีปากออกมามองหน้าคนที่หลับอยู่แทน เวลาสองวันที่เฝ้ารอให้คนบนเตียงตื่นนั้นมันอาจดูน้อยนิดแต่สำหรับตัวอัสบัสแล้วมันช่างยาวนานเหลือเกิน เจ็บปวดยิ่งนักไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเป็นอย่างนี้ ความรักมันช่างเป็นสิ่งที่เข้าใจอย่างยิ่งนักมันทำให้ทั้งสุข และทุกข์ไปในเวลาเดียวกันทำให้คนที่ไม่เคยมีความรักอย่างอัสบัสนั้นสับสนเหลือเกินต่อให้ตัวอัสบัสจะดูเข้มแข็งมากแค่ไหน ได้ชื่อว่าไร้หัวใจแค่ไหนสุดท้ายมันก็เท่านั้นเพราะตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักซึ่งมันเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าเขายังมีหัวใจอยู่รู้สึกเจ็บเป็น และรักเป็นเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป

ทางด้านข้าวสวยก็ยังคงเดินวนไปมาอยู่ในทุ่งหญ้ากลางใหญ่อย่างเหนื่อยล้าไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่มาอยู่ที่นี้ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันไหน ไม่รู้ว่าเวลานี่มันเช้า เที่ยง หรือบ่ายกันแน่เพราะสภาพอากาศมันเหมือนเดิมตลอดข้าวสวยรู้สึกได้ว่าตัวเองเดินอยู่ในที่นี้นานมากแล้วแต่ก็ยังไม่มืดสักทีแต่มันก็ดีอย่างเพราะไม่ทำให้ความกลัวของเขาเพิ่มขึ้น ข้าวสวยนึกไม่ออกเลยจริงๆ ถ้าตัวเองต้องอยู่ในที่มืดมิดเพียงคนเดียวจะเป็นเช่นไรถือว่ายังคงมีความโชคดีอยู่บ้าง ร่างบางค่อยๆ นั่งลงบนพื้นหญ้าอย่างอ่อนล้า ร่างกายล้าเต็มทนร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกแล้ว ร่างกายว่าล้าก็สู้ใจไม่ได้มันทั้งเจ็บ และอ่อนล้ายิ่งกว่า ขาสองข้างไม่มีแรงจะก้าวเดินต่อได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหมดหนทาง

“นี้ๆ พี่ชายท่านมานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอ” ระหว่างที่ข้าวสวยนั่งมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอยก็รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่ไหล่ซ้าย และตามด้วยเสียงใสๆ ของเด็กหนุ่มวัยไม่กี่ขวบ

ใบหน้าสวยค่อยๆ หันมองตามเสียงใสก็พบกับเด็กหนุ่มผมสีส้มทองใต้ตาด้านขวามีภาพดอกไม้หกกลีบสีดำโดดเด่นอยู่กำลังมองมาที่ตนอย่างสงสัยพอมองเลยไปด้านหลังเด็กหนุ่มก็พบกับเด็กหนุ่มอีกคนที่หน้าตาคล้ายกัน มีสีผมเหมือนกัน แต่ที่ใต้ตาด้านซ้ายมีภาพดอกไม้หกกลีบเช่นกันแต่เป็นสีขาว และตัวเล็กกว่ายืนเกาะหลังอีกคนหนึ่งอยู่พอข้าวสวยมองไปก็แบบหลบหลังของเด็กหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าก่อนจะค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมามองข้าวสวยอีกครั้ง ข้าวสวยยิ้มให้ขึ้นมาทันทีคงเพราะเด็กทั้งสองดูน่ารักน่าเอ็นดู

“พี่ชายยังไม่ตอบผมเลยว่ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงใสเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้ายังไม่ตอบกลับมาเอาแต่จ้องมองเขา และน้องชาย ทางข้าวสวยเหมือนจะนึกขึ้นได้ก็รีบตอบกลับไปทันที

“อ่ะ! พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนอนอยู่ดีๆ พอตื่นก็มาอยู่ที่นี้แล้ว” ข้าวสวยตอบกลับไปสายตาเริ่มหม่นลงทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“ผมกับน้องก็เหมือนกัน แต่ว่าผมกับน้องมาอยู่นานแล้ว ที่นี้ไม่มีใครเลยพวกผมเดินหาตลอดแต่ก็ไม่เจอใครสักคน จนมาเจอพี่นี้แหละ” เด็กหนุ่มตอบกลับไป ข้าวสวยเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยดีคงจะกลัวไม่น้อยขนาดเขาโตแล้วยังกลัวเลยแล้วนับประสาอะไรกับเด็กตัวน้อยยิ่งคนน้องที่อยู่ด้านหลังนั้นยิ่งดูน่าสงสารยิ่งนักคงจะกลัวไม่น้อย

“พวกเรานี้ชะตาเดียวกันเลยนะว่าไหม แล้วพวกหนูสองคนชื่ออะไรละ พี่ชื่อข้าวสวยเรียกพี่สวยเฉยๆ ก็ได้” ข้าวสวยว่าขึ้นอย่างนึกสงสารในชะตากรรมของตัวเอง และสองหนุ่มน้อยก่อนจะถามไถ่ถึงชื่อของทั้งสองคนรู้สึกถูกชะตากับเด็กสองคนนี้เป็นอย่างมากซึ่งข้าวสวยเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตั้งแต่พบเจอกับเด็กสองคนนี้รู้ตัวเองเลยว่ารู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจอย่างบอกไม่ถูกความกลัวนั้นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในอกแปลกๆ

“ผมชื่อไดอาร์” เด็กหนุ่มที่มีลายดอกไม้สีดำตอบกลับมาก่อนจะหันไปทางอีกคนที่เกาะอยู่ด้านหลังแล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้อีกคนพูดบ้างแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะคนตัวเล็กนั้นซบหน้าลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นพี่เพื่อหลบ ไม่ใช่เด็กหนุ่มหยิ่งแต่อย่างใดแต่เพราะเขินอายเสียมากกว่าทำให้ต้องหลบ ข้าวสวยดูเหมือนจะมองออกเลยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่งดงาม

“ว่าไงหนุ่มน้อยคนนี้ละชื่ออะไร”

ทางหนุ่มน้อยพอได้ยินเสียงข้าวสวยก็ผลักหน้าออกจากแผ่นหลังของพี่ชายก่อนจะค่อยๆ มองไปยังข้าวสวยก็พบกับรอยยิ้มงดงามและน่าหลงใหล หนุ่มน้อยรู้สึกชอบพี่คนสวยตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็นแต่เพราะนิสัยขี้อายของตัวจึงต้องค่อยหลบหลังพี่ชาย เด็กหนุ่มช่างใจอยู่นานก่อนที่เสียงเล็กหวานน่ารักจะเปล่งออกมาเบาๆ

“ผมชื่อไอด้าครับ” แม้เสียงที่ตอบจะแผ่วเบาแต่ข้าวสวยก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ไดอาร์ ไอด้า” ข้าวสวยว่าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสุขใจตอนนี้ความกลัวมันไม่มีเหลือแล้วจริงๆ

หลังจากทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยทั้งสามก็ได้พูดคุยถึงเรื่องของตนเองในหลายๆ เรื่องมันทำให้ข้าวสวยรู้ว่าทั้งไดอาร์และไอด้านั้นอยู่ที่นี้มานานๆ จนจำไม่ว่าตั้งแต่เมื่อไรเรื่องราวก่อนมาอยู่ที่นี้ก็จำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยพอข้าวสวยได้รู้มันทำให้ข้าวสวยยิ่งรู้สึกสงสารเลยสัญากับเด็กทั้งสองว่าหากได้ออกไปจากที่นี้ก็จะพาเด็กทั้งสองกลับไปด้วยเด็กทั้งสองดูดีใจเป็นอย่างมาก
ไดอาร์ และไอด้านั้นเป็นฝาแฝดกันซึ่งถ้าไดอาร์ไม่บอกข้าวสวยก็ยังคงคิดว่าทั้งสองเป็นแค่พี่น้องกันเพราะขนาดตัวค่อนข้างต่างกันมาก ไดอาร์ดูร่างกายแข็งแรง และหล่อมากส่วนไอด้านั้นตัวเล็กหน้าตาเหมือนตุ๊กตาถ้าไม่แต่งชุดเป็นชายข้าวสวยคงคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงแน่นอน

การที่ได้พูดคุยกันนั้นมันทำให้ข้าวสวยยิ่งหลงรักเด็กทั้งสองยิ่งนักไอด้านั้นไม่ค่อยหลบเขาแล้วกลับกันชอบมาอ้อนจนข้าวสวยอดใจอ่อนไม่ได้แต่ที่น่าเป็นห่วงคือไอด้าเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายมาก และที่สำคัญรอยยิ้มนั้นช่างบริสุทธิ์ และไร้เดียงสามากข้าวสวยสามารถพูดได้เต็มปากว่าถ้าทุกคนเห็นรอยยิ้มนั้นจะต้องหลงเป็นแน่นอน

ส่วนไดอาร์ดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งความคิดการวางตัวนั้นล้ำเกินวัยยิ่งนักแต่ที่ดูน่าเป็นห่วงคงเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์ของเด็กน้อยคนนี้จริงๆ ไม่รู้พอโตจะเป็นยังไงอดเป็นห่วงคนรอบข้างไม่ได้จริงๆ เลย

ข้าวสวยรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าอยากได้เด็กสองคนนี้ไปอยู่ด้วยกัน พอนึกก็ทำให้คิดถึงใครอีกคนขึ้นมา ‘อัสบัสจะว่าอะไรไม่นะถ้าจะพาไดอาร์และไอด้าไปอยู่ด้วยกัน ถ้ากลับไปได้ผมจะลองขอจากคุณดูนะหวังว่าจะไม่ใจร้ายกับผมนะเด็กสองคนนี้น่ารักมาก และอีกอย่างผมก็รู้สึกถูกชะตากับพวกเขามากผมอยากให้คุณรู้สึกเหมือนผมจัง รีบมารับผมนะคุณจะได้เจอไดอาร์กับไอด้าไงคุณจะได้รู้ว่าเด็กๆ น่ามากจริงๆ’ ข้าวเอ่ยขึ้นมาขณะที่มือสองข้างกำลังลูบปอยผมสีส้มทองของสองหนุ่มน้อยที่นอนหลับหนุนตักเขาอยู่
 



มาแล้วค่ะตอนที่ 10 วันนี้ลงต่อรัวๆๆๆหลายๆๆตอนนนน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2017 19:32:38 โดย ตั้งโอ๋ »

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
 ตอนที่  11  เอะ!  ยังไง ยังไง

สิ่งที่ตัวเรามักไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ ใจ ของตัวเอง ว่าตกลงคิดอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการอะไรกันแน่ แม้จะตามหาคำตอบเท่าไรบ้างครั้งมันก็แสนยากเหลือเกิน เรามักจะหลงทางอยู่ในวังวนที่เรียกว่าความรู้สึก ที่มันชวนให้สับสนและไม่รู้ว่าจะตอบตัวเองได้เมื่อไหร่จนเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจว่า เมื่อไรจะรู้ใจตัวเอง การค้นหาอะไรนั้นมันไม่ยากเท่ากับค้นใจตัวเองเลยจริงๆ  ตัวเราควรจะทำอย่างไรนั้นยอมมีแต่เราที่รู้ดีเพราะเชื่อว่าวันเวลาจะนำพาคำตอบมาให้กับตัวเราและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ข้าวสวยเข้าใจตัวเองแล้วว่าเป็นอะไรหลังจากสับสนกับใจตัวเองมานานคงเพราะอะไรหลายๆอย่างปะดังเข้ามาในชีวิตแบบไม่ตั้งตัวมันเลยทำให้ตัวข้าวสวยสับสนแต่ตอนนี้รู้แล้ว  ใช่เข้าใจดีแล้วว่าคงขาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีไม่ได้จริงๆ  แม้การเจอกันมันจะเป็นอะไรที่ตลกที่เรียกว่าโชคชะตาหรือพรมลิขิตอะไรก็ตามข้าวสวยรู้สึกขอบคุณสิ่งเหล่านั้นจริงๆที่ทำให้ได้เจอกับผู้ชายที่ชื่อ อัสบัส คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของข้าวสวยอย่างถูกต้องแม้จะได้มาแบบงงๆแต่ตอนนี้ก็ทำใจยอมรับได้แล้วละ ก็มันรักไปแล้ว 

“เจ้าคิดอะไรอยู่ทำไมยังไม่นอน พึ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะ” อัสบัสที่พึ่งเข้ามาถามขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่พึ่งฟื้นเมื่อตอนบ่ายหลังจากนอนหลับไปหลายวันกำลังนั่งครุ่นคิดอะไรอยู่บนเตียง

“ผมนอนมาเยอะแล้วครับ” 

“ หึ ตกลงคิดอะไรอยู่หน้าเครียดเชียว”  ดื้อไม่เปลี่ยนจิงๆ อัสบัสคิด แต่ก็ไม่ลืมถามสิ่งที่ยังไม่ได้คำตอบอีกครั้ง

“เปล่า ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” เสียงเล็กๆติดแหบของข้าวสวยตอบกลับมาคงเพราะพึ่งฟื้นขึ้นเสียงเลยยังไม่ดีเท่า

“ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าทำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่”

“ เฮ้ออออ  บอกว่าไม่ก็ไม่สิคุณนี้ถามอยู่ได้” ข้าวสวยถอนหายใจยาวๆก่อนจะบ่นออกไป  จะให้บอกได้ยังไงว่ากำลังคิดเรื่องของอัสบัส เฮ้อออออ

“ไม่คิด ก็ไม่คิด งั้นนอนซะจะได้พักผ่อน” อัสบัสไม่อยากเซ้าซี้ต่อเพราะข้าวสวยพึ่งจะฟื้นเลยอยากให้พักผ่อนจะได้หายเร็วๆสักที่ เห็นข้าวสวยป่วยมันทำให้ใจของอัสบัสเจ็บ

“แต่ผมยังไม่ง่วงเลยนอนมาตั้งหลายวันแล้ว”  ใช่ข้าวสวยนอนมาหลายวันจริงๆ ก็ ตั้ง 5 วันใครจะไปอยากนอนกันบ้าง  ตื่นขึ้นมายังมึนๆยังเอียนกับการนอนอยู่เลย

ข้าวสวยจำได้ว่าก่อนจะตื่นนั้นอยู่กับไดอาร์และไอด้า ตอนนั้นเขามองสองแฝดนอนหลับอย่างสบายเลยรู้สึกง่วงขึ้นมาและเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตื่นอีกทีก็เห็นหน้าอัสบัสจ่ออยู่ที่หน้าตัวเองก็ตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยังงงๆ อยู่  ปากก็เอ่ยถามหาไดอาร์กับไอด้าทันทีแต่ดูเหมือนอัสบัสจะงงแล้วยังมาถามกลับว่าใครคือไดอาร์กับไอด้า ตอนนั้นข้าวสวยรู้สึกหน่วงในใจอย่างมาก และคิดว่าคงจะฝันไปจริงๆอย่างที่อัสบัสบอกเพราะหลับไปนาน แต่ทำไมเลิกคิดถึงเด็กแฝดนั้นไม่ได้เสียทีรู้สึกเป็นห่วงไม่รู้จะยังอยู่ที่นั้นหรือเปล่าหรือว่าจะตื่นกลับมาเหมือนเขา ข้าวสวยก็ได้แต่นึกเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“นี้คุณผมคิดถึงไดอาร์กับไอด้าอีกแล้ว”

“เด็กสองคนที่เจ้าฝันเห็นนะเหรอ”

“อืม”

“มันก็แค่ฝันเจ้าจะเก็บมาคิดทำไม เด็กสองคนนั้นไม่มีอยู่จริง” อัสบัสที่นั่งลงบนเตียง มือสองข้างจับกุมแก้มขาวๆที่ตอนนี้ติดซีดเพราะอาการป่วยยังไม่หายพูดขึ้น

“ตะ....”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ข้าว่าเจ้าพักดีกว่า” อัสบัสรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะดันตัวข้าวสวยให้นอนลง ข้าวสวยได้แต่ทำหน้างอใส่ แต่ก็ยอมนอนตามที่อัสบัสบอก แต่ใจก็อดคิดไม่ได้จริง และยังไม่วายด่า ไอ้เขาควายบ้าอยู่ในใจ

ข้าวสวยไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจของตัวเองเลยว่าจะรักไอ้เขาควายนี้ได้นึกแล้วก็ขำเมื่อลองนึกย้อนไปเมื่อก่อน ข้าวสวยเองยังไม่ได้บอกความรู้สึกให้อัสบัสรู้ว่าตัวข้าวสวยคิดกับอัสบัสอย่างไรไม่ใช่กลัวหรืออะไรแต่ก็นะใครจะไปกล้าบอก(มันต่างจากกลัวตรงไหน?)กันละเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะพูดกันง่ายๆสักหน่อย แต่อีกใจก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันอยากทำให้หมั่นไส้ดีนักไอ้เขาควาย ถึงเดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยเห็นเขาบนหัวอัสบัสแต่ก็ยังจะเอามาด่าละนะข้อหาทำตัวหน้าหมั่นไส้

ยามค่ำคืนโลกปีศาจก็ไม่ได้แตกต่างจากโลกมนุษย์ทุกอย่างจะคงเป็นปกติ สายลมเย็นๆ ยามค่ำคืนก็ยังคงพัดผ่านไปเป็นระยะๆ เหล่าข้าทาสบริวาลก็ยังคงเดินกันฝักใฝ่ไปทั่วทั้งประสาท คงเพราะยังไม่ไว้วางใจกลัวมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกครา แต่ในมุมดับที่อับแสงนั้นช่วยอำพรากร่างใครคนหนึ่งที่อยู่ใต้เสื้อคลุมขนาดใหญ่ ที่ค่อยมองไปยังที่พักของผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ด้วยแววตาอันห่วงใย ก่อนที่ขายาวค่อยๆก้าวถอดออกมาแต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“เจ้าเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้อย่างไร” เสียงเล็กติดหวานของหนุ่มน้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายอันเป็นที่รักของเจ้าของอาณาจักรเอ่ยขึ้นอย่างดุดันในมือมีกริชอันไม่ยาวมากจ่ออยู่ตรงด้านหลังชายที่สวมเสื้อคลุมใหญ่

แม้ภาวะทางกายของคนตรงหน้าจะใหญ่โตกว่าแต่มิคาร์เอลก็ไม่ได้เกรงกลัว พรางคิดว่าไอ้ยักษ์นี้ต้องคิดมาทำร้ายพี่สะใภ้เขาแน่นอน คนตัวโตใต้เสื้อคลุมไม่ได้รู้สึกกลัวกับเสียงขู่และกริชที่จ่อหลังแม้แต่น้อย รู้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร ปากเรียวหนายกยิ้มขึ้นอย่างนึกสนุกก่อนจะค่อยๆหันมาประจันหน้ากับมิคาร์เอล

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” มิคาร์เอลถามขึ้นอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้าหันกลับมา กริชที่เคยจ่ออยู่ด้านหลังตอนนี่มันเปลี่ยนมาเป็นตรงอกด้านซ้ายพอดีเมื่อคนใต้เสื้อคลุมหันกลับมา ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนตรงหน้าจนมิคาร์เอลเริ่มรู้สึกหงุดหงิด พรางคิด ไอ้ยักษ์กวนประสาท แต่เหมือนความอดทนที่สะสมมาจะหมดเพราะทนกับความเงียบของคนตรงหน้าไม่ไหว

“ไม่ตอบนี่เจ้าอยากตายใช่ไหม” มิคาร์เอลพูดขึ้นอย่างหัวเสีย แต่คนตรงหน้าก็ยังคงยื่นเฉยไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา แต่มิคาร์เอลรู้ไม่ว่าในความมืดนั้นใบหน้าของคนตรงหน้ายกยิ้มอย่างนึกสนุกแต่สายตายังคงความเฉยชาในแบบฉบับของเจ้าตัว
เหมือนเส้นของความอดทนขาดสะบั้นมิคาร์เอลไม่รอช้าอีกต่อไปมือเล็กที่จับ กริชอยู่ขยับหมายจะให้ปักลงจุดเป้าหมายตรงหน้าอย่างไม่คิดอิดออด เร็วเท่าความคิดชายตรงหน้าเมื่อเห็นว่าภัยใกล้มาก็รีบคว้ามือเล็กนั้นมาจับทันที   ก่อนจะเอาไปไขว่ด้านหลัง มิคาร์เอลต้องหันหลังเองโดยอัติโนมัติเมื่อคนสวมเสื้อคลุมจับข้อมือแล้วบิดแขน

กริชที่อยู่ในมือตกลงบนพื้นทันทีที่แขนเล็กถูกจับบิด มิคาร์เอลรู้สึกยิ่งหงุดหงิดเมื่อพลาดท่าให้ไอ้คนยักษ์ใหญ่ตรงหน้าจับได้ ดวงตาคู่สวยของมิคาร์เอลตวัดมองคนที่จับกุมอยู่ทันทีและก็ต้องพบกับด้วยตาสีดำสนิทที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่เรียวปากที่ยกยิ้มมุมปากนั้นมันทำให้มิคาร์เอลนึกหมั่นไส้คนๆนี้จริง

“ปล่อยข้า ไอ้ยักษ์” เสียงเล็กดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ทางคนถูกสั่งก็ยังคงเฉยชามีเพียงกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย

“ข้าบอกให้ปล่อยไงละ” เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ขบฟันพูดขึ้นมาอีก ร่างกายก็ดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไม่ช่างไร้วีแววเสียจริง  คงถูกไอ้ยักษ์บีบตายอย่างน่าเวทนาเป็นแน่ มิคาร์เอลคิด  แม้ใจจะนึกกลัวแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีออกมา

“ทำไมข้าต้องปล่อยในเมื่อท่านจะทำร้ายข้า” เสียงพูดที่ฟังดูเรียบแต่แอบซ่อนไปด้วยพลังนั้นดังขึ้นจนมิคาร์เอลต้องหยุดอยู่นิ่งและค่อยๆหันมองคนที่กำลังจับกุมอยู่

แม้ตรงจุดนี้จะมืดแต่มันก็ไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย มิคาร์เอลเพ่งมองใบหน้าของคนตัวใหญ่อย่างพินิจ มิคาร์เอลรู้สึกว่าไอ้ยักษ์มันดูดีเสียจริงๆ ใบหน้าเรียวได้รูป จมูกเป็นสัน ผมสีขาวควันบุหรี่องค์ประกอบโดยรวมแล้วไอ้ยักษ์มันหล่อมาก แต่ตามันดูเฉยชาไปไหมราวกับมันว่างเปล่า มิคาร์เอลคิด

“ปล่อยข้านะ ไอ้ยักษ์บ้า” พอตั้งสติได้อีกทีมิคาร์เอลก็โวยขึ้นมาอีกพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมแต่ดูไม่เป็นผลเลยแม่แต่นอนก็นั้นมันไอ้ยักษ์นิมิคาร์เอลก็เลยยกลายเป็นแค่หนุ่มน้อยตัวเล็กไปเลยเมื่อมายื่นเทียบกับไอ้ยักษ์ตัวใหญ่ตรงหน้า

“ปล่อยข้านะ ปล่อบๆๆๆโว้ยยย ไอ้ยักษ์”

“คลูส”

“เอะ!” มิคาร์ชะงักพอคนตัวใหญ่เอ่ยว่าคลูส  แล้วๆๆๆๆๆๆๆ มันอะไรอ่ะคลูส ชื่อไอ้ยักษ์นี้หรือไงกัน

“ชื่อข้า” สงสัยอยู่ไม่นานก็กระจ่างเมื่อคลูสเอ่ยขึ้นเพราะเห็นคนตัวเล็กทำหน้าสงสัย

“ใครจะอยากไปรู้จักชื่อแกกันเหล่า ปล่อยข้าๆๆๆ” มิคาร์เอลรีบส่วนขึ้นมาทันและไม่วายดิ้นไม่หยุด

“ก็เห็นเรียกไอ้ยักษ์อยู่ได้ ข้ามีชื่อนะ” เสียงเรียบที่แอบแฝงไปด้วยพลังกล่าวขึ้น

“ก็เป็นไอ้ยักษ์จริงนิดูตัวเจ้าสิ ปล่อยข้านะไม่งั้นเจ้าตายแน่ เจ้าไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็นใครอยากตายใช่ไหม เอะ! แกเข้ามาที่นี้ทำไมแกมันพวกอาเทอร์ใช่ไหม บอกเจ้านายแกด้วยนะว่าไม่มีทางกำจัดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราได้แน่นอนตราบใดที่มีข้าและท่านพี่อย่าหวังว่ามันจะเกิดขึ้นได้เลย” มิคาร์เอลพูดเร็วๆรัวๆพอจบก็หอบจนตัวโยน

“หึหึ”

“เจ้าขำอะไร ยังไงวันนี้เจ้าก็ไม่รอดหรอกท่านพี่ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ยิ่งรู้ว่าเจ้าจะมาทำร้ายพี่สวย”

“ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะมาทำร้ายอะไรใคร”

“ใครจะไปเชื่อมาแอบลับๆล่อๆอยู่ ข้าเห็นเจ้าหลายครั้งแล้วนะ เจ้ามาแอบดูพี่สวยตลอดถ้าไม่คิดร้ายแล้วจะเป็นอะไรได้ละ” มิคาร์เอลยังคงเถียงอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ลืมที่จะหาโอกาสที่จะทำให้หลุดจากการจับกุม ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคลูส มิคาร์เห็นคลูสเผลออยู่เลยดิ้นอีกครั้งจนมือข้างหนึ่งหลุดออกมาก็ไม่รอช้าทันปากบ้างค่อยขยับนิดหน่อยด้วยไฟสีแดงก็ก่อตัวขึ้นในมือก่อนจะส่งไปทางคลูส คลูสเห็นเข้าพอดีเลยเบี่ยงตัวหลบลูกไฟที่กำลังจะพุ่งเข้ามาได้แบบเฉียดฉิว ลูกไฟค่อยๆพุ่งไปกระทบกับกำแพงจนเกิดเสียงดังตูมตาม

เหล่าทหารที่อยู่บริเวณนั้นพอได้ยินก็รีบกรู่กันเข้ามา   คลูสเห็นท่าไม่ดีแน่ถ้าพวกทหารมาเห็นเลยคิดจะหลบ ทางมิคาร์เอลยิ้มขึ้นมาทันทีพอได้ยินเสียงพวกทหารเลยยยิ่งดิ้นเพื่อให้หลุดแต่ก็ยังไม่เป็นผล  เสียงทหารก็ใกล้เข้าทุกที

“วันนี้จะปล่อยไปก่อนก็แล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะ”  คลูสเอ่ยบอกมิคาร์ก่อนจะปล่อยมิคาร์เอลให้เป็นอิสระ

“คิดหนีหรือ ข้าไม่ให้เจ้าหนีแน่กล้าดีมาจับข้า ไว้ไปคุยชาติหน้าก็แล้วกัน” พูดจบสองมือของมิคาร์เอลก่อเกิดดวงไฟสีแดงขึ้นมาทันที เขารู้สึกเสียหน้าที่สู้ไอ้ยักษ์นี้ไม่ได้แค่จะทำให้หลุดจากมือของมันยังทำไม่ได้เลยแล้วจะปกป้องพี่สวยได้ยังไง มิคาร์เอลคิด
แรงโทสะเพิ่มมากขึ้นเมื่อยิ่งนึกถึง เสียงฝีเท้าของพวกทหารก็ใกล้เข้ามาทุกที คลูสมองมิคาร์เอลก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้กลัวกับคำกล่าวของมิคาร์เอลแม้แต่น้อย  กลับเดินเข้าหามิคาร์เอลอีกครั้ง

               
 เมื่อเห็นว่าคลูสเดินเข้ามามิคาร์เอลก็รีบถอยเท้าอัตโนมัติก่อนจะยกสองแขนที่มีดวงไฟแล้วฟาดลงราวกับกำลังเควี่ยงอะไรออกไปซึ่งมันก็คือดวงไฟสีแดงนั้นเอง ดวงไฟสีแดงค่อยๆ พุ่งไปทางคลูส แต่คลูสก็ไม่ได้มีแววของความกลัวเลย  กลับเดินเข้าหาดวงไฟนั้นและหลบได้อย่างง่ายดายจนมาประชิดมิคาร์เอลได้อย่างรวดเร็วและคว้าเอวบางของมิคาร์เอลมาจับกุมไว้แบบที่มิคาร์เอลไม่มีเวลาตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาสีดำสนิทจองมองมิคาร์เอลอย่างเรียบเฉยแต่มันทำให้มิคาร์เอลใจเต้นแรงจนกลัวมามันจะทะลุออกมาก มิคาร์เอลได้แต่มองหน้าของคลูสนิ่งทำอะไรไม่ถูกคงเพราะตกใจแต่หลังจากนี้มันยิ่งทำให้มิคาร์เอลแทบหัวใจวายเมื่อคลูสค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาและประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของมิคาร์เอลที่ตอนนี้ตาโตเป็นไข่ห่านอยู่

คลูสค่อยๆไล่ลิ้นไปตามเรียวปากของมิคาร์เอลก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปหยอกล้อลิ้นเล็กๆ  ทั้งดูดทั้งรั้งจนมิคาร์เอลรู้สึกเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเพราะมันรู้สึกดีใช่มันรู้สึกดีจริงๆมิคาร์เอลคิด หลงไหลไปกับรสจูบที่จาบจ้วงนั้นแม้จะไม่นุ่มนวลแต่มันทำให้รู้สึกหลงใหลและโหยหามากเหลือเกิน

เสียงฝีเดินนับสิบดังใกล้เข้ามามากจนคลูสต้องรีบละออกจากปากนิ่มๆของมิคาร์เอลอย่างรู้สึกเสียดาย มิคาร์เอลมองคลูสอย่างสับสน นี้มันอะไรกันไอ้ยักษ์มันจูบและที่สำคัญมันเป็นใครยังไม่รู้เลย

“จองไว้ก่อน ข้าไปละนะ” คลูสเลื่อนมากระซิบบอกข้างหูของมิคาร์เอลก่อนจะงับหูทีหนึ่งแล้วก็ออกเดินจากไป ทางมิคาร์เอลยังงงๆสับสนกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไปอยู่เลยได้สติอีกทีก็ตอนที่มีพวกทหารมากมายมายื่นอยู่ด้านหน้าเขาเต็มไปหมด ‘ไอ้ยักษ์บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’  ตอนนี้ก็ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ



ตอนที่ 11 มาอย่างต่อเนื่อง อิอิ

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 12 นะจุดเริ่มต้นที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้

ในอดีตกาลนั้นโลกได้ถูกปกครองด้วยผู้ที่เป็นประมุขหนึ่งเดียวบุคคลที่ได้กล่าวขาลว่าเป็นดั่งลมหายใจของสรรพสิ่งบนโลก เป็นที่ตั้งหนึ่งเดียวของทุกสิ่งค่อยแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว ยามใครทุกร้อนไม่ว่าจะชนชั้นใดไม่เคยมีเลยสักคลาที่ท่านจะเบิกเฉย แม้กายจะไม่ได้แข็งแรงกำย่ำอย่างบุรุษเพศที่ควรจะเป็นหากแต่งดงามราวสตรีผู้สูงส่ง เส้นผมสีทองยาวที่ทอประกายแสงอย่างทรงสง่างาม รอยยิ้มที่ประทับบนใบหน้างดงามหาไร้ที่ติ ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยชุดยาวสีขาวสะอาดนั้นช่วยขับผิวขาวให้ยิ่งดูผ่องใสเสื้อผ้าที่ เผยตรงช่วงไหล่และอกจนเห็นรอยสลักรูปพระจัทร์เสียวสีแดงที่เด่นอยู่ เพราะสิ่งนี้ทำให้ตัวเขาต้องมายืนบนจุดสูงสุดนี้

บนโลกนั้นมีทั้งแสงสว่างและความมืดมิด  มีทั้งขาวและดำมันล้วนแต่เป็นไปตามกฎของโลก แต่นั้นไม่ใช้ตัวเขาเลย เป็นแค่คนกลางที่ไม่ว่าจะมืดมิดแค่ไหนก็ยังคงอยู่เป็นแสงสว่างให้ใครๆได้แม้จะไม่ได้เจิดจ้าแต่มันทำให้สามารถมองเห็นเส้นทางได้ แม้ในยามสว่างตัวเขาก็ยังคงอยู่เป็นแรงเสริมให้แสงสว่างนั้นแม้จะน้อยนิดแต่เมื่อใดที่ขาดหายคงไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมทั้งสองเป็นแน่แท้เขาที่ได้ชื่อว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทร์ทราผู้ที่เป็นดั่งลมหายใจ เป็นดั่งแสงสว่างในความมืด เป็นดั่งแรงเสริมความสว่างและเป็นดั่งหยดน้ำทิพย์ที่ค่อยชุ่มใจทุกสรรพสิ่ง บนโลกดำเนินไปอย่างสงบสุขได้นั้นลำพังเขาคนเดียวโลกทั้งใบคงไม่ได้สงบสุขแบบนี้แน่นอนถ้าหากไม่ได้สองบุรุษที่ค่อยช่วยเหลือและคอยชี้แนะให้ บุรุษผู้หนึ่งได้ชื่อว่าเป็นดังแสงสว่างของโลกผู้ที่ครอบครองแสงแห่งราวินทรา อีกหนึ่งบุรุษเป็นดั่งความมืดมิดของโลกผู้ครองราหูทมิฬ  ทั้งสามต่างตั้งอกตั้งใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับสรรพสิ่งบนโลกเพื่อความสงบสุข แต่แล้วสุดท้ายสิ่งที่ทั้งสามเฝ้าฟูมฟักรักษานั้นต้องพังลงด้วยน้ำมือของทั้งสามเมื่อกิเลสภายในจิตใจที่ยากจะห้ามได้ จุดเริ่มต้นคงมาจากผู้ที่เป็นดั่งแสงสว่างและผู้ที่เป็นดั่งความมืดมิดเกิดมีใจให้กับผู้ที่เป็นดั่งลมหายใจของโลก

เขาทั้งสองคนรู้ดีว่ามันไม่ควรให้เกิดเรื่องแบบนี้แต่ทุกคนมีจิตใจ มีกิเลสนั้นทำให้ยากยิ่งนักที่จะหักห้ามใจ ทุกอย่างยังคงดำเนินไปด้วยดีเมื่อผู้เป็นดั่งลมหายใจไม่มีใจโอนเอนไปทางฝังใด แต่มันไม่ใช่เสมอไปใจดวงน้อยนั้นพร้อมสั่นไหวได้ทุกคลาหากแต่ไม่สามารถเห็นแก่ตัวรับความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายได้เขามีหน้าที่และทั้งสองก็เช่นกันล้วนมีหน้าที่ของตนเองจะมาเห็นแก่ความสุขของตนเองมิได้  จนแล้วจนเล่าเวลาก็ผ่านมาเนินนานทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยที่จะลดละมอบความรักมาให้จนสุดท้ายใจที่คิดว่าแข็งกลับพังลงไม่สามารถที่จะทนทานได้อีกต่อไปเมื่อใจน้อยๆนั้นโอนเอนให้กับผู้เป็นดั่งแสงสว่างของโลก หากแต่ก็รู้สึกผิดเหลือเกินที่เขาไม่สามารตอบรับความรู้สึกของอีกคนได้ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขาไม่สามารถมอบใจให้กับอีกคนได้จริงๆและเพราะเขาเป็นแบบนี้มันเลยทำให้สิ่งเลวร้ายที่สุดนั้นเกิดขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาอยากจะไม่ปันใจให้ผู้ใดเด็ดขาดแต่เพราะเวลาไม่สามารถย้อนกลับได้เรื่องมันถึงต้องเป็นแบบนี้โลกที่เคยสงบต้องลุกเป็นไฟด้วยตัวของเขาเองความสัมพันธ์ที่เคยดีงามของทั้งสามต้องแตกหักเป็นสองล้วน ผู้เป็นดั่งความมืดประกาศลั่นว่าจะเป็นปริปักกับเขาทั้งสองไปชั่วกัปชั่วกัลป์เขาจะไม่เศร้าเลยถ้ามันเป็นแต่กับตัวเขาแต่เปล่าเลยพี่น้องร่วมโลกต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา

ตั้งแต่บัดนั้นโลกปีศาจที่เขาอยู่ไม่เคยสงบอีกเลย เกิดสงครามระหว่างกันมาโดยตลอด ผู้ครองราหูทมิฬไม่เคยเลยที่จะหยุดกระทำผู้ชื่อว่าเป็นคนที่ตนรักและผู้ที่เป็นดั่งเพื่อนเขาไม่อาจยอมรับมันได้ในเมื่อเขาไม่สมหวังพวกมันก็ต้องไม่สมหวังเขาสาบานกับตนเองเสมอว่าจะตามจองล้างคนทั้งคู่ไปตลอดจะค่อยขัดขวางทุกวิถีทางและโลกทั้งใบต้องเป็นของเขาและตอนนั้นทั้งสองจะต้องอยู่ในกำมือของเขา จากความรักที่เคยมีล้นใจค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเกียจชังจนกลายเป็นความแค้นผ่านในจิตใจ
แม้ผู้เป็นดั่งลมหายใจจะรู้สึกผิดมากเพียงแต่ก็ไม่อาจทำการใดได้แต่ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นและพยายามจนสุดกำลังเพื่อที่จะปกป้องสิ่งที่ตนรักโลกของเขา ข้างกายก็มีผู้เป็นที่รักไม่เคยห่างถึงแม้จะรู้สึกผิดมากเพียงใดแต่เขาไม่อาจห้ามใจได้เช่นกันในเมื่อปักใจให้ไปแล้ว    ตอนนี้ก็ได้ช่วยกันปกป้องสิ่งที่ทั้งสองรักพร้อมกับดูแลความรักของกันและกันแม้ปัญหาจะใหญ่หลวงมากเพียงใดเขาตั้งสองเชื่อเสมอว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีเขาจะต้องรักษาความรักของทุกคนและรวมไปถึงความรักของเขาเอง .ทั้งสองอยากจะทำให้เพื่อนอีกคนยอมในความรักของเขาให้ได้อยากให้เข้าใจกันว่าความรู้สึกนั้นห้ามกันมิได้มันไม่สามารถจะเป็นไปได้ดั่งที่เขาหวังเสมอไป

“เจ้าอ่านสิ่งใด” ร่างสูงใหญ่เอ่ยถามผู้เป็นที่รักที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากับการอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะไม้สวยงานที่ตั้งตะหง่าน อยู่กลางห้องทุกรอบด้านนั้นรายล้อมไปด้วยเหล่าหนังสือนานาชนิด เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วอัสบัสจึงมาตามข้าวสวยที่มาอยู่หอสมุดตั้งแต่เช้าหวังจะได้กินข้าวเที่ยงด้วย

ตอนเข้ามานั้นเห็นข้าวสวยนั่งอ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่นสีหน้าที่เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวทำสายตาละห้อย หรือไม่ก็ทำหน้าเศร้ามันทำให้อัสบัสนึกสงสัยขึ้นอะไรจะจริงจังกับหนังสือขนาดนั้น

“อ่าว คุณ” คนถกเอ่ยถามค่อยๆละสายตาจากหนังสือมามองต้นก่อนจะทักกลับไป มือเล็กนั้นก็ค่อยๆปิดสมุดลง

“ว่าไง เจ้าอ่านอะไรอยู่เห็นทำหน้าเคลียด” อัสบัสถามขึ้นมาอีกคลาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังไม่ให้คำถามเขาเลย สายตาก็มองมาที่หนังสือในมือของข้าวสวย อัสบัสรู้สึกใจกระตุกทันทีที่เห็นว่าหนังนั้นคือ

“ตราบสิ้นดวงหฤทัย” น้ำเสียงที่แปล่งออกนั้นช่างรู้สึกสั่นครือยิ่งนัก อัสบัสรับรู้มันได้คงเพราะเคยอ่านมาก่อนถึงทำให้รู้สึกแบบนี้เพราะข้อความในหนังสือนั้นช่างน่าเศร้าความรักของคนสามคนมันก็ย่อมมีคนหนึ่งที่ผิดหวัง

“เรื่องนี้ผมอ่านแล้วรู้สึกเศร้าจังแต่ก็อยากอ่านให้จบอยากรู้ความรักของพวกทั้งสามจะเป็นยังไงแล้วโลกที่พวกเขาทุ่มเทดูแลนั้นเป็นอย่างไร แต่อีกใจผมกลับไม่อยากอ่านมันเลยมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเวลาอ่านผมรู้สึกเหมือนผมเป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเลย คนเขียนเก่งมากเลยถึงทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ ผมคงอินไปหน่อยแต่ว่านะผมว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเขาน่าสงสารนะคุณว่าไหม ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นหรอกแต่จะทำไงได้ใจคนเราบังคับกันได้ที่ไหนกันละ แต่ผมก็สงสารรามิฬเหมือนกันนะ ผมอยากให้เขาย่อมรับความรักของจันทรากับคาวินจังเลย”

นี้คงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ข้าวสวยพูดกับอัสบัสได้ยาวขนาดนี้แต่ ณ เวลานี้มันไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อัสบัสรู้ดีว่าตอนสุดท้ายมันเป็นยังไงเพราะเขาอ่านมันมาหลายรอบเหลือเกินตั้งแต่คลาที่ยังเด็กจนเขาโตแม้มันจะให้ความรู้สึกเจ็บปวดแต่เขาก็ต้องอ่านมันซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม

“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องอ่านจนจบหรอกมันไม่มีอะไรสนุกหรอกนะ” อัสบัสบอกพร้อมกับลูบกลุ่มผมของข้าวสวยอย่างอ่อนโยน

“คุณอ่านจบแล้วใช่ไหม”

“อืม ถึงบอกไงว่าไม่สนุก”

“ไม่สนุกยังไงเล่าให้ฟังได้ไหมตอนจบพวกเขาสามคนเข้าใจกันดีไหม” ข้าวสวยยังคงถามขึ้นอย่างสงสัยแต่อัสบัสกับเงียบเปลี่ยนเรื่องมาชวนข้าวสวยไปกินข้าวแทน

“ไปกินข้าวดีกว่าข้าหิวแล้ว”

“เล่าให้ผมฟังก่อนสิว่าจบยังไง” คนอยากรู้ยังคงเซ้าซี่

“เฮ้อ! มันไม่มีตอนจบหรอกนะ”

“เอะ! ไม่มีตอนจบเป็นไปได้ไงละ ใครบ้าจะแต่งไม่คุณไม่อย่างบอกผมใช่ไหม” ข้าวสวยว่าอัสบัสอย่างรู้สึกเคืองที่มาบอกแบบนั้นใครกันจะแต่งให้คนอ่านมารู้สึกค้างกัน

“มันไม่มีตอนจบจริงๆไม่เชื่อเจ้าเปิดไปดูหน้าสุดท้ายสิ” อัสบัสก่อนจะเบนสายตาไปทางหนังสือ

ข้าวสวยเมื่อได้ยินก็รีบเปิดหนังสือไปหน้าสุดท้ายทันทีซึ้งมันทำให้ข้าวสวยต้องตาเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อกระดาษแผ่นสุดท้ายนั้นหายเพราะไอ้รอยขาดของกระดาษนั้นเป็นตัวบอกเขาได้อย่างดีว่ามันได้ขาดหายไปจริงๆ สายตารีบกวาดอ่านในกระดาษหน้าที่มันเป็นแผ่นสุดท้ายแทนแผ่นที่หาย ในแผ่นนี้มันพูดถึงตอนที่ทั้งสามกำลังต่อสู้กันและเหมือนกับว่าจันทราและคาวินกำลังเสียเปรียบรามิฬอยู่ แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าคงเป็นลำแสงสีดำที่พุ่งมาทางคาวินกับจันทราที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อเพราะเนื้อหาต่อจากนี้นั้นมันได้ขาดหายไปเสียแล้ว

“ไม่จริงทำไมเป็นแบบนี้ละ คาวินกับจันทราจะเป็นอะไรไหมคุณ แต่ผมว่านะเขาคงจะไม่เป็นอะไรหรอกยังไงตัวเอกก็ต้องคู่กันและจบแบบสมหวังอยู่แล้วเนอะคุณว่าไหม” จากสีหน้าที่สลดลงนั้นก็กลับมายิ้มอีกครั้งเมื่อคิดได้ แต่ข้าวสวยจะรู้ไหมว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันไม่เสมอไปหรอกนะความรักที่ไม่สมหวังมันก็มี เรื่องราวที่จบด้วยความเศร้ามันก็มี ใครๆถึงชอบพูดกันไงว่ารักดีๆมันมีแต่ในนิยาย แต่เพราะนี้มันไม่ใช่นิยาย

“ทีนี้จะไปกินข้าวได้หรือยัง ข้าหิวจนตอนนี้กินเจ้าได้ทั้งตัวรู้หรือไม่” อัสบัสว่าพร้อมกับทำสายตาหยาดเหยิมส่งให้ข้าวสวยคนถูกพาดพิงถึงกับสะดุ้งสุดตัว  หื่นไม่เลือกเวลาจริงๆไอ้เขาควายบ้ากาม

ณ ปราสาทใหญ่โตที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด สายหมากขาวนวลที่เคลื่อนผ่านทุกอณูของพื้นที่นั้นช่างให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกหากแต่ใช่เย็นกายไม่มันกลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวไปยั่งก้นบึ่งของหัวใจ จากความเจ็บปวดที่แสนสาหัสค่อยๆกลายมาเป็นความเย็นชาจนใจรู้สึกด้านชา นานเท่าไหร่แล้วที่เขาต้องเป็นอยู่แบบนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่เขารอมัน ชีวิตที่ยาวนานกว่าใครใช่ว่ามันจะดี มาจะนึกเสียใจตอนนี้มันก็สายเกินไป

 ‘ถ้าเจ้ารักข้าบางก็คงจะดี’ คำนี้ผุดขึ้นในใจถึงคลาเมื่อนึกถึงอดีตที่แสนยาวนาน

“พระองค์ตอนนี้ทางฝั่งนั้นคุมกำลังแน่นหนามากจนยากที่จะเข้าใกล้ผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา พะยะค่ะ”

“หึหึ อย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลยนะคาวิน ไอ้นิสัยหวงของนะ  ช่วงนี้ค่อยจับตาดูไปก่อนก็แล้วกันสบโอกาสเมื่อไหร่ค่อยจัดการเอาตัวผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรมา ช่วงนี้ก็ปล่อยข่าวให้พวกปีศาจหน้าโง่มันไปก่อกวนพวกมันกันไปก่อน”



ตอนที่ 12 ก็มาอย่างต่อเนื่อง อิอิ

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 13 กลิ่นอายของความรู้สึก

สายลมที่พัดผ่านมานั้นทำให้กลีบของดอกกุหลาบสีฟ้าที่โรยราจากกิ่งก้านต่างสะบัดปลิวอย่างเริงร่าราวกับได้รับอิสระ เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของสายลมท่ามกลางท้องฟ้าที่มีปุยเมฆขาวนวลที่ไม่อาจบอกได้เลยว่ามันกำลังแสดงรูปร่างอะไรออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆที่มากับสายลมนั้นอบอวนไปทั่วทั้งบริเวณมันช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย บวกกับสีฟ้าสว่างของดอกกุหลาบที่อยู่ตามแปลงยาวบ้าง ซุ้มทางเดินบ้างหรือแม้แต่ซุ้มหลังคาของศาลาหลังเล็กๆนั้นมันช่างทำให้รู้สึกราวกับอยู่บนฝากฟ้าที่มองไปก็เจอแต่สีฟ้าสดใสชวนให้เคลิบเคลิ้ม ถ้าอยู่ในหนังรักที่แห่งนี้คงจะจัดเป็นฉากที่ให้ความรู้สึกโรแมนติกได้ดีมากเลยทีเดียว
ร่างเล็กยืนมองดูฉากตรงหน้าอย่างรู้สึกตื่นเต้นก่อนที่แขนเล็กทั้งสองข้างจะค่อยๆยกกางออกราวกับกำลังซึมซับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบและความรู้สึกอบอุ่นที่แผดซ่านไปทั่วทั้งบริเวณแม้สายลมที่พัดมาจนทำให้ผ้าขาวตัวบางที่ใส่อยู่สะบัดไปตามทิศของลมนั้นชวนให้รู้สึกขนลุกชันเพราะความหนาวเย็นที่มากับสายลม

“ที่นี้สวยมากเลย” เสียงเล็กค่อยๆเอื้อนเอ่ยออกมาหลังจากชื่นชมกับความงามตรงหน้าแม้ที่ตรงนี้มันจะไม่ได้มีอะไรวิเศษมากนัก มันก็แค่สวนที่เต็มไปด้วยกุหลาบสีฟ้าที่มองไปก็แทบจะไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นขึ้นมาแม้แต่น้อยแต่หากได้มามองในยามนี้ในตอนที่สายลมกำลังพัดพาเหล่ากลีบสีฟ้าให้ลองลอยอยู่ท่ามกลางอากาศที่มากมายอย่างน่ามหัศจรรย์ และกลิ่นหอมๆที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณนั้นมันทำให้ที่แห่งนี้วิเศษอย่างหาไม่ได้

“โชคดีที่วันนี้ลมดี เลยทำให้สวนกุหลาบมันดูวิเศษขึ้นมา เจ้าชอบมันไหม” เสียงทุ้มเอ่ยตามเสียงเล็กขึ้นมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าดูหลงใหลกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก

“ชอบสิ ชอบมากเลย” ใช่เขาชอบสถานที่แห่งนี้มากมันดูวิเศษไปเลยในความคิดของเขา ใช่ว่าไม่เคยมาแต่ไม่เคยเห็นที่นี่เป็นแบบนี้ต่างหาก เขายังจำได้ดีว่าครั้งที่มาที่แห่งก็รู้สึกว่าที่นี้มันสวยมากจริงๆแม้จะมีเพียงดอกกุหลาบสีฟ้าที่เอียนเองไปตามกระแสลมแต่วันนี้มันต่างจากวันนั้น

“เจ้าชอบมันข้าก็ดีใจแล้ว” เสียงจากคนข้างกายที่เอ่ยขึ้นมานั้นทำให้ร่างเล็กต้องละสายตาจากสวนกุหลาบไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าคนที่ได้ชื่อว่าสามีของเขาอย่างถูกต้องทุกอย่างแม้ในเวลานี้เขาจะรับตรงส่วนนี้ได้ไปแล้วและเหมือนกับว่ามันจะมากกว่าที่ตัวของเขาคิด แม้การพบกันของเรานั้นมันเป็นเพราะโชคชะตาที่ไม่อาจหลบหลีกได้อย่างที่คนตรงหน้าบอก มันก็จริง เพราะตัวเขาไม่อาจหลบหลีกได้จริงๆ จากความรู้สึกที่ไม่เคยจะยอมรับตอนนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม ตอนไหนกันนะที่ความรู้สึกของตัวเขาได้แปรเปลี่ยนไป

“ขอบคุณมากนะอัสบัส ผมชอบมากๆเลยละ” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นมาอีกคลาหลังจากนิ่งเงียบมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าสามีอยู่นาน ปากเรียวเล็กสีชมพูค่อยๆคลียิ้มออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนคงเพราะครั้งนี้ตัวเขายิ้มออกมาจากใจจากความรู้สึกของเขาจริงๆ ทำให้คนที่มองมานั้นต้องยิ้มตามอย่างห้ามไม่เพราะรอยยิ้มนี้มันช่างต่างไปจากครั้งไหนๆจริงๆ

ใบหน้าคมค่อยๆก้มลงจนปากเรียวหนาของอัสบัสนั้นประกบเข้ากับปากเล็กสีชมพูของคนเป็นภรรยาอย่างช้าๆราวกับค่อยๆซึมซับรสชาติของกลีบปากสีสวยอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆส่งเรียวลิ้นเข้าไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอะไรคงเพราะเขาเข้าใจแล้วว่าคนตรงหน้าที่เป็นถึงราชาของเหล่าปีศาจ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี เขาไม่อาจขาดคนตรงหน้าไปได้เลย ถ้าจะให้บอกว่ามันคือความรักก็คงจะใช่สินะ เขารู้แล้วว่าเขาก็รักคนตรงหน้านี้เหมือนกัน

นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่ทั้งสองต่างถ่ายทอดความรู้สึกผ่านจูบที่แสนหวานนี้ให้แก่กันนี้คงเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองต่างทำมันเพราะรักที่ออกมากจากหัวใจ อัสบัสค่อยๆถอดจูบออกมาอย่างช้าๆราวกับกำลังเสียดายที่ต้องแยกออกจากกันแต่ถ้าเขาไม่ถอยออกมาคนตัวเล็กตรงหน้าคงขาดอากาศหายใจเป็นแน่

หลังจากถอดจูบมือใหญ่สองข้างค่อยๆยกขึ้นมากุมแก้มขาวเนียนที่ขึ้นสีแดงระเรืองด้วยความอายอัสบัสมองหน้าข้าวสวยที่แอบหลบสายตาเขาอย่างเอ็นดูมันช่างดูน่ารักมากเหลือเกินจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุ๊บปากเล็กอย่างไม่เลื่อมล่ำก่อนจะตามมาด้วยจูบซับที่หน้าผากมนอย่างรักใคร่

“ข้าว่าเราไปนั่งที่ศาลากันดีกว่า ยืนนานข้ากลัวเจ้าจะเมื่อยเอา”

“อืม”     

สองร่างต่างเดินกุ่มมือของกันและกันไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวนกุหลาบที่รายล้อมไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าอย่างสวยงาม ตลอดทางเดินทั้งต่างไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมากข้าวสวยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวที่พึ่งเคยมีความรักจริงๆเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของอัสบัสตรงๆคงเพราะรู้สึกเขินและตื่นเต้นที่อยู่ตรงหน้าของคนที่ชอบมันช่างเหมือนสาวน้อยจริงๆ ข้าวสวยคิด
“เจ้าจะเงียบอีกนานไหม ตั้งแต่หายป่วยเจ้าดูเงียบไปนะ แถมชอบหลบสายตาข้า” อัสบัสเอ่ยขึ้นหลังจากมานั่งในศาลาคนรักของเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลยตั้งแตหายป่วยจนสนิทอัสบัสรู้สึกว่าข้าวสวยพูดน้อยลงและชอบหลบหน้าจนพาลให้คิดว่าข้าวสวยไม่ชอบเขา แต่ก็แปลกทุกครั้งที่เขาทำอะไรข้าวสวยก็จะค่อยขันขืนตลอดแม้จะจูบเพียงเล็กน้อยแต่เดี๋ยวไม่ซึ่งมันต่างไปจากที่เคยเป็นจนทำให้อัสบัสแปลกใจไม่น้อย

“อะ...เอ่อ...ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยคือยังไงละ คะ..คือแบบ แบบ” คนถูกถามสะดุ้งขึ้นทันที จะให้บอกได้ยังไงละว่าเขินไม่กลางมองหน้านะ

“ว่ายังไง หืม หรือว่าเจ้าไม่ชอบข้าจริง” อัสบัสถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าได้แต่อ่ำอึ่งไม่ยอมตอบให้รู้เรื่องสักที

“เปล่านะ!  ใครบอกว่าไม่ชอบกันเหล่า” คนถูกกล่าวหารีบตอบกลับไปทันควัน ก่อนจะบุ้ยหน้าแก้มป่องพึมพำกับตัวเองเบาๆ

“เปล่าแล้วทำไมไม่มองหน้าข้า ดูทำหน้าเข้า ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าไอ้แก้มป่องๆที่ทำอยู่เนี้ยมันไม่ได้น่ากลัวเลยนะมันกลับดูยั่วข้าซะมากกว่า” อัสบัสว่าก่อนจะส่งสายตาโลมเลียให้กับคนตรงหน้า

“ไอ้เขาควายโรคจิต! คิดผิดคิดถูกกันที่ไปชอบไอ้โรคจิตนี้” คนถูกแทะโลมว่ากลับไปทันควันไม่วายบ่นกับตัวเอง

“ว่าข้าโรคจิตแต่เจ้าก็ชอบข้าใช่ไหมข้าได้ยินนะ” คนถูกว่ายิ้มรับหน้าบานไม่ใช่ว่าดีใจที่ถูกว่าโรคจิต แต่ดีใจที่ได้ยินคนตรงหน้าบอกว่าชอบเขาแม้จะไม่ตั้งใจบอกเขาก็ตาม อย่างไรเขาก็รอได้เสมอสำหรับคำว่ารักจากคนตรงหน้า

กี่วันกันแล้วนะที่ข้าวสวยมาอยู่ที่แห่ง กี่วันกันแล้วที่เขาจากบ้านที่ตัวเองเคยอยู่มา เรื่องราวต่างๆเข้ามาประสบกับตัวเขาเยอะแยะมากมายอย่างไม่ได้ตั้งตัวเลย แม้มันอาจจะทำให้สับสนงุนงงกับอะไรหลายๆอย่างกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครบอกอะไรเขาเลย และไอ้การที่มีคนจ้องจะเอาชีวิตเขาก็เหมือนกัน ตัวเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมกันเขาไปทำไรให้ใครไม่พอใจถึงต้องคิดที่จะเอาชีวิตของเขา กี่ครั้งที่ต้องตกอยู่ในอันตราย กี่ครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่นับว่าเขาโชคดีที่ยังยืนอยู่ได้ทุกวันนี้หากไม่มีคนๆนั้นตัวเขาคงจะไม่ได้ยืนมองภาพตรงนี้ที่ราวกับสรวงสวรรค์ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เช่นนี้ และเพราะอะไรหลายๆอย่างมันเลยทำให้ความรู้สึกที่มีต่อคนข้างกายเปลี่ยนไป ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกรักนี้มันเกิดขึ้นมาตอนไหน ตัวเขายังจำได้ดีในวันแรกที่พบเจอยังจำความรู้สึกนั้นได้ เพราะไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตตัวเองจะเป็นไปในรูปแบบนี้ ไม่อาจทำใจยอมรับได้ แต่แล้วทำไมตอนนี้มันถึงเปลี่ยนไป แต่ก็ช่างมันเถอะจะไปมัวหาคำตอบทำไมให้มันว้าวุ่นใจกัน ยังไงใจมันก็เลือกไปแล้ว หาคำตอบไปก็แล้วยังไงขึ้นว่าความรู้สึกมันก็ค่อนข้างยากที่จะบรรยายแต่แปลกที่เรากลับรู้สึกว่าเราเข้าใจมันดี

“ข้าว่าเรากลับเข้าตำหนักเถอะแดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” หลังจากทั้งสองยืนเงียบอยู่นานอัสบัสก็เอ่ยบอกขึ้นมา แดดเริ่มแรงเขากลัวว่าคนตัวเล็กจะป่วยขึ้นมาอีกคลาเพราะพึ่งจะหายป่วยไปได้ไม่นานไม่ยากเลยหากไข้จะมารุมเร้าเพราะร่างกายที่ติดไม่แข็งแรงดี แม้จะอยู่ภายใต้ศาลาหลังเล็กแต่ก็ไม่อาจต้านทานรังสีจากแสงแดดได้เท่าไหร่นัก

“อืม ผมก็รู้สึกร้อนแล้วเหมือนกัน แต่ว่าลมเย็นดีจัง” คนตัวเล็กพูด เขารู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นจริงๆแต่กระแสลมที่พัดมามันช่างทำให้รู้สึกเย็นสบายบวกกับกลิ่นของดอกกุหลาบที่แข่งกันผลิบานนั้นก็ทำให้รู้สึกสบายดีแม้จะรู้สึกแสบผิวเพราะไอแดดที่สาดส่องลงมาอย่างจะแผดเผาตัวเขา โลกปีศาจนี่ก็เกิดภาวะเรือนกระจกเหมือนกันหรือนี่ถึงได้ร้อนเอาๆขนาดนี้

อัสบัสได้ยินคำตอบรับกลับมาก็ยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะจับมือเล็กที่กำลังกางออกราวกับกำลังโอบกอดกลิ่นไอของบรรยากาศในตอนนี้ คนถูกจับชะงักไปนิดก่อนจะหันมามองคนข้างๆอย่างสงสัย

“ไปเถอะ” อัสบัสว่า คนถูกชวนก็พยักหน้าน้อยๆไปการตอบกลับไป เมื่อได้รับคำตอบอัสก็ค่อยๆหมุนตัวให้เดินออกมาโดยมือยังคงชักจูงให้คนตัวเล็กเดินตาม

ยามที่คนตรงหน้าก้าวเดินเส้นผมสีแดงยาวปลิวสะบัดไปกับแรงลมที่พัดผ่านมา แผนหลังที่ใหญ่ดูแข็งแรงนั้นเอียนเองไปตามทิศทางการก้าวเดินของคนตัวใหญ่ มือใหญ่ที่กอบกุมมือเขาอยู่นั้นมันทำให้ข้าวสวยรู้สึกอบอุ่นอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้น ก่อนจะกระชับมือของตัวเองกุมตอบรับ คนด้านหน้าชะงักนิดหน่อยก่อนจะยังยิ้มขึ้นอย่างนึกพอใจ ตลอดทางเดินทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมาแต่สิ่งที่ยังสื่อต่อกันคงจะเป็นมือของทั้งคู่ที่กอบกุมกันอยู่ตลอดแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่ทั้งสองรู้ดีว่าพวกเขาต่างกำลังมีความสุขแม้จะไม่แสดงออกมาก็ตาม

“จันทรายอดดวงใจของข้า” คำหวานถูกกล่าวออกมาจากร่างสูงใหญ่ก่อนจะค่อยกอบกุมมือเล็กขึ้นมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา คนถูกกระทำหน้าขึ้นสีแดงระเรืองอย่างเขินอาย

“ขอบคุณที่ตอบรับความรักจากข้า” คนถูกบอกยิ้มให้หากแต่ไม่ได้ตอบการใดออกไปคงเป็นเพราะความรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป ร่างสูงใหญ่ดึงร่างเล็กมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากมน คนในอ้อมกอดได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย คนตัวสูงผลักออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นกริยาของคนในอ้อมกอดมันช่างดูน่ารักเหลือเกินในความคิดของเขา มือใหญ่ข้างหนึ่งค่อยๆยกขึ้นมาจับค้างมนให้เลื่อนขึ้นจนเห็นใบหน้าหวานที่พยายามเบี่ยงหลบสายตาของเขา เขายกยิ้มอย่างชอบใจที่เห็นเม็ดสีแดงระเรืองบนพวงแก้มขาว ปากสีสดที่สั่นไหวนั้นมันช่างดูยั่วยวนยิ่งนักอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปครอบครองกลีบปากสีสด เขาค่อยๆลิ้มรสความหวานที่ราวกับน้ำผึ้งนั้นอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังซึมซับรสชาตินั้นเข้าไปในจิตใจก่อนจะส่งลิ้นเรียวเข้าไปหยอกล่อกับลิ้นเล็กที่ดูเงอะงะราวกับไม่รู้จะไปทิศทางใด ช่างไร้เดียงสายิ่งนักยอดดวงใจของข้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ทั้งสองดูดดื่มความหอมหวานที่ปะปนไปด้วยอณูความรู้สึกที่ต่างสื่อให้กันไปกับรสจูบที่หอมหวานนี้ก่อนจะค่อยๆผลักออกจากกันอย่างช้าๆ โดยที่หารู้ไม่เลยว่าฉากบาดตาบาดใจนี้จะทำให้เกิดรอยร้าวที่ไม่อาจต่อติดได้อีกเลย

“รามิฬ!” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อผลักออกจากรสจูบที่หอมหวานสายตาไปสบเข้ากับดวงตาวาโรษของรามิฬที่กำลังยืนมองมาอย่าตกใจจนทำให้คนที่อยู่ข้างกันต้องหันไปมองตามสายตาของคนรักแต่ก็หาได้ตกใจไม่ คนที่เข้ามาทีหลังยืนมองทั้งสองอย่างโกรธเคือง มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

“พวกเจ้าสองคน...ไม่จริงใช่ไหม.. บอกข้ามา บอกมาซิว่ามันไม่จริง” จากคำที่เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาค่อยๆดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงตะคอก รู้สึกตัวชา ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจเมื่อเห็นทั้งสองต่างถ่ายถอดความรู้สึกผ่านรสจูบที่หอมหวานนั้น ในหัวมีแต่คำถาม ว่า ทำไม ทำไม

“เอ่อ...ระ..รามิฬ ฟังข้าก่อนนะ คะ...คือ...” คนตัวเล็กอยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไร ไม่ใช่ว่าพูดไม่ถูกแต่พูดออกมาไม่ได้ต่างหาก เพราะรู้มาตลอดว่ารามิฬคิดกับตนเช่นไร แต่จะให้ตอบออกไปก็ช่างลำบากใจเหลือเกิน

“บอกมาซิ บอกข้ามา!” เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับคำตอบรามิฬก็ถามขึ้นไปอีกครั้ง ใช่ว่าตัวเขาไม่รู้คำตอบแต่ก็อยากได้ยินจากคนตัวเล็กที่เขาเฝ้ารักมาตลอดแต่มันกลับว่างเปล่าเพราะเขาไม่ได้รับความรักตอบกลับมา กลับเป็นอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนคว้าเอาหัวใจของคนตัวเล็กไปได้โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันถ้าไม่มาเห็นฉากน่าทุเรศนั้นเขาก็คงจะไม่รู้คงจะเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่คนเดียว ทำไมกัน ทำไมกัน

“เราสองคนรักกัน เราขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้า แต่ใช่ว่าพวกข้าจะปิดบังเจ้าแค่พวกข้าว่าช่วงเวลาดีๆบอกเจ้าไม่ได้ก็เท่านั้น” คนตัวใหญ่ที่ยืนข้างคนตัวเล็กพูดตอบขึ้นมาแทนเพราะเห็นคนรักทำน้าลำบากใจ

“ทำไม ทำไม เจ้าถึงทำเช่นนี้กับข้าคาวิน” ความรู้สึกน้อยตำใจในเพื่อนและคนที่ตนแอบรักมันรุมปะทะเข้ามาจนรู้สึกโกรธ

“ข้าขอโทษ” คำขอโทษถูกเอ่ยขึ้นจากปากของคาวิน ก่อนหันมาโอบใหล่คนตัวเล็กที่เริ่มสั่นเพราะแรงสะอื้น

“มาริฬ ฮึก ฟังข้าก่อนนะ ฮึก คือ”

“จะให้ข้าฟังอะไร ทำไม ทำไม ไม่เป็นข้าละจันทรา ทำไมกัน ทั้งที่ข้าก็รักเจ้าเหมือนกัน ทำไม” เสียงพูดตัดพ้ออย่างระคนน้อยใจ ความรู้สึกเจ็บที่ดวงใจนั้นราวกับถูกมีดกรีด ในหัวรู้สึกขาวโพล่งมีแต่คำว่า ทำไม ทำไม เต็มไปหมด

“คะ ฮึก คือ”

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วข้าเข้าใจ แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเจ็บมากเพียงใด ข้าเสียใจแค่ไหน คาวินทั้งที่เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบจันทราทำไม ทำไมเจ้ายังแย่งเขาไปจากข้าทำไมกัน จันทราทั้งที่ข้ารักเจ้าทำไมเจ้าถึงไม่เลือกข้ากันทำไมละ ทำไม ตอบข้ามาซิ!”

“รามิฬ ฮึก คะ....”

“หึหึ ในเมื่อข้าไม่มีความสุขก็อย่าหวังเลยว่าพวกเจ้าจะมีความสุข” รามิฬกล่าวขึ้นมาเสียงดังด้วยอารมณ์ที่โกรธยิ่งนัก ก่อนจะก้าวเดินจากไป ด้วยจิตใจที่โกรธเคืองจนนึกแค้นและเขาคิดจะทำอย่างที่ลั่นวาจาจริงๆหาได้พูดไปเพียงเพราะอารมณ์ไม่

ทางจันทราร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนไม่สามารถยืนอยู่ได้ดีที่คาวินรับร่างนั้นไว้ก่อนจะกดหัวเล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นลงกับอก

“ฮึก  ฮึก ๆๆๆ” เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียงเรียกให้อัสบัสที่พึ่งเดินเข้ามาหวังจะมาเรียกคนเป็นภรรยาให้ตื่นจากการหลับเมื่อตอนบ่ายเพราะเห็นว่าเย็นมากแล้วนั้นต้องรีบสาวเท้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว

“ข้าวสวย ข้าวสวย เจ้าเป็นอะไร” เสียงเรียกชื่อคนรักหวังให้หลุดออกจากหห่วงนิทราด้วยความห่วงใย มือหนาค่อยๆเลื่อนไปเกลี้ยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวอย่างเบามือ ร่างเล็กๆยังคงสะอื้นให้อยู่ อัสบัสจึงออกแรกเขย่าร่างอย่างไม่มากนักก่อนตามด้วย
“ข้าวสวย ตื่นเถอะนะ ข้าวสวย” สิ้นเสียงร่างเล็กค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเห็นอัสบัสอยู่ตรงหน้า และที่ตกใจยิ่งกว่าคือหยาดน้ำตาบนใบหน้าและแรงสะอื้นที่ยังมีอยู่

“เจ้าเป็นอะไร ฝันร้ายหรือ” อัสบัสกล่าวขึ้นอย่างเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆก้มลงจูบกลุ่มผมอย่างต้องการปลอบ คนถูกกระทำเหลือบมองตามการกระอย่างงวนงง ข้าวสวยจำได้ว่าเขานอนหลับไปเมื่อบ่ายแล้วก็ฝัน ใช่ เขาฝัน

“คุณผมฝันถึงเรื่องที่เคยอ่านจากในหอสมุดละ มันเหมือนจริงมากๆเลยนะคุณ” ข้าวสวยที่นึกได้กล่าวขึ้นอย่างตกใจ ใช่สิ่งที่เขาฝันมันเหมือนจริงมากๆ รสจูบแสนหวานนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจเขาอยู่เลยมันรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก แต่ยามที่รามิฬมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อและโกรธเคืองนั้นมันทำให้เขารู้สึกผิดและเสียใจมาก

“เจ้าคงจะอ่านมันแล้วเก็บเอาไปฝันอย่าคิดมากเลย” ว่าแล้วยื่นมือไปลูบกลุ่มผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู

“ตะ...”

“ไม่มีแต่ เชื่อข้าซิ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปทานมื้อเย็นได้แล้ว”

เมื่อคนตัวใหญ่บอกว่าไม่มีอะไรข้าวสวยก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นต่อ คงจะเพราะอ่านมาก็เลยเก็บไปฝันจริงๆแต่ไอ้ความรู้สึกหน่วงๆนี้มันคืออะไรกัน




ต่อด้านล่างคะ

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 13  ต่อค่ะ



กว่าจะทานข้าวเย็นเสร็จก็ค่ำพอดีคงเพราะมัวคุยกับมิคาร์เอลจนเพลินจนลืมเวลาไปถ้าคนตัวใหญ่ผู้เป็นประมุขไม่ห้ามก็คงจะยาว มิคาร์เอลมักมีเรื่องสนุกมาคุยกับเขาเสมอทำให้ไม่รู้สึกเหงามากนัก

“เจ้ากับมิคาร์เอลเดี๋ยวนี้ดูสนิทกันมากเลยนะ” ระหว่างทางเดินกลับไปที่ตำหนักอยู่ๆอัสบัสก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ก็เขาน้องผมนิ” ข้าวสวยตอบกลับก่อนยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขของมิคาร์เอลเวลาพูดเล่าอะไรให้ตัวเขาฟังมันทำให้เขายิ้มตามได้เสมอ เหมือนข้าวเจ้าไม่มีผิดรายนั้นก็จอมพูดเหมือนถ้าได้มาเจอกันนี้ประสาทคงวุ่นไม่น้อย นึกแล้วก็ขำออกมาอย่างเสียไม่ได้

“เจ้าหัวเราะอะไรกัน” อัสบัสที่เดินอยู่ข้างๆถามขึ้นอย่างงงๆก็อยู่ๆคนตัวเล็กที่ตอบเขาแล้วนิ่งเงียบไปอยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาซะอย่างนั้น

“เปล่าๆไม่มีอะไร อ่ะ ถึงห้องแล้ว” ว่าเสร็จก็รีบเปิดประตูมุ่งเข้าห้องกระโดดขึ้นเตีงอย่างอารมณ์ดี จนคนตัวใหญ่ที่เดินตามมาเอ็ดเบาๆ

“อย่ากระโดดอย่างนั้นข้าวสวย ข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่านี้ก็ค่ำแล้วอาบน้ำดึกเดี๋ยวไม่สบาย”

“แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวค่อยอาบขอนอนพักแปบนะคุณ”  คนถูกสั่งตอบกลับมาด้วยเสียงเหนื่อย คนฟังได้แต่สายหน้าแต่มีหรือราชาปีศาจจะยอม ความคิดชั่วร้ายผุดเข้ามาในหัวก่อนจะยกยิ้มเจ้าเลห์อย่างกับหมาป่าเจอเนื้อ

“หึหึ ถ้าเจ้าไม่ไปอาบตอนนี้เดี๋ยวข้าอาบให้เอาไหม” คนฟังหันมามองอย่างนึกเคือง หน่อยนึกว่าไม่รู้หรือไงว่าคิดอะไร ไอ้เขาควายหื่นกาม

“เรื่องอะไรละผมอาบเองได้” ว่าเสร็จก็รีบลงจากเตียงวิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันทีโดยไม่ทันเห็นสายตาชั่วร้ายจากคนเป็นสามีเลยแม้แต่น้อย

ร่างเล็กค่อยๆปลดเสื้อผ้าออกอย่างอารมณ์ดีไม่นานเนื้อตัวก็เปื่อยเปล่าไรซึ่งอาพรใดๆ ขาเรียวสวยค่อยๆก้าวเดินมายังอ้างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยกลีบดอกกุหลาบสีฟ้า ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนจะก้าวขาหวังลงไปแช่น้ำกลิ่นหอมที่ดูหน้าจะอุ่นสบายเพราะกลุ่มควันจางๆที่ลอยอยู่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดรัดจากด้านหลัง

“อ่ะ”

“รอข้าก่อนซิเมียข้า” คนเป็นสามีที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงยั่วยวน ข้าวสวยรู้สึกตกใจแล้วอายมากเพราะตอนนี้ตัวเขากำลังเปื่อยเปล่ารู้สึกถึงแรงสูบฉีดของเส้นเลือดขึ้นใบหน้าดีตอนนี้เขาคงหน้าแดงมาก แต่เขายิ่งเป็นหนักขึ้นเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังแข็งขืนนั้นทิ่มแทงอยู่แถวสะโพกของเขาและนั้นทำให้เข้ารู้ว่าคนที่โอบกอดเขาอยู่ร่างกายก็เปื่อยเปล่าไร้สึกเสื้อผ้าเช่นกัน ทำให้หัวใจที่เต้นสั่นอย่างกับดนตรีเพลงร็อค ใบหน้าขึ้นสีอย่างเขินอาย

อัสบัสค่อยๆจับข้าวสวยให้หันมาทางตนก่อนก้มลงจูบปากสีสดสั่นระริกนั้นอย่างเชื่องช้า ข้าวสวยพยายามผลักแต่ก็ไรประโยชน์ รสจูบที่ค่อยดูดดึงไปตามเรียวปากราวกับกำลังลิ้มรสของความหวานอย่างช้าๆมันเป็นไปอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆส่งเรียวลิ้นเข้าไปหยอกล่อกับลิ้นเล็กๆอย่างนึกสนุก คนที่เคยขัดขืนค่อยๆตอบกลับมาอย่างเงอะงะ เพราะมันเป็นรสจูบที่อ่อนโยนและหอมหวานทำให้เผลอตอบกลับออกไปอย่างเสียไม่ได้ ทั้งสองต่างลิ้มรสความของกันและกันราวกับสิ่งที่โหยหามาแสนนาน

มือใหญ่ค่อยๆลูบไล้ไปตามลำตัวของคนรักอย่าหลงใหล เสียงครางมีเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ทั้งค่อยๆผละออกจากกัน ก่อนที่อัสบัสจะค่อยๆไล้จุมพิตไปตามคอระหงจนมาหยุดที่ยอดอกสีสดที่กำลังชูช่ออย่างสวยงาม แม้ไม่ได้มีเหมือนดังเช่นสตรีแต่มันก็น่าหลงยิ่งนัก ลิ้นสากค่อยๆตวัดเลียเม็ดสีสดจนแข็งขึ้นเป็นตุ่มไต คนถูกกระทำสั่นไหวด้วยความเสียว เสียงที่ดังมาเป็นระยะช่างเป็นสิ่งยั่วยวนชั้นดี

“ไอ้เขาควายยะ..”

“อะไรกันทั้งที่ร่างกายเจ้าต้องกายข้าถึงเพียงนี้ดูซิ” อัสบัสเอ่ยห้ามก่อนจะเลื่อนไปกอบกุมกลางกายของข้าวสวยที่ตอนนี้เริ่มจะขยายใหญ่ขึ้น

“อึก   อะ  อ่า ไม่นะ”

“เจ้าชอบไม่ใช่หรือดูซิมันสู่มือข้าใหญ่เลย”

“อย่าพูดนะ อ๊ะ อ่า” ร้องว่าทั้งหลุดเสียงครางออกมาเพราะอัสบัสนั้นกำลังหยอดล่อกับของสวงนเของเขา

“ทำไมละในเมื่อมันคือเรื่องจริง” อัสบัสว่า มือใหญ่ก็ทำหน้าที่รูดรั้งมังกรน้อยสีสวยอย่างนึกสนุก หากแต่คนถูกกระทำนั้นช่างทรมานเหลือเกินเพราะเมื่อรู้สึกว่าจะถึงฝั่งฝันคนทำกลับหยุดเอาซะดื้อๆ

“อ๊ะ อ่า อัสบัส”

“ว่าไงอยากได้ใช่ไหม หึหึ” มองคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้สั่นระริกเพราะความต้องการแต่เพราะนึกสนุกเลยยากแกล้งคนตรงหน้านี้
 
“เจ้าต้องการใช่ไหมบอกข้ามาซิว่าต้องการสิ่งใด เจ้าไม่บอกข้าก็หารู้ไม่” เมื่อได้ยินคนฟังถึงกับรู้สึกเคืองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ ตั้งใจแกล้งกันชัดๆใครจะกล้าบอกออกกันว่าต้องการอะไร แต่ความต้องการนั้นมันช่างห้ามยากเสียเหลือเกิน

“ว่าไงเมียข้า” อัสบัสว่าขึ้นอีกครั้งก่อนจะกดนิ้วลงบนปลายส่วนอ่อนไหวของคนในอ้อมกอดที่ถึงกับครางอกมาเพราะความเสียวซ่าน

“อ๊ะ ผะ..ผม ต้องการ อ๊ะ คุณ” เมื่อสิ้นสุดความอดทนความอายก็ไร้ค่าอีกต่อไปได้แต่ปล่อยให้ไฟราคะนั้นครอบงำ
“ได้ซิเมียข้า”

“อ๊ะ” ว่าจบอัสบัสก็หันตัวนั่งลงบนขอบอ้างอาบน้ำก่อนยกข้าวสวยให้นั่งหันหน้าเข้าหาตัวเองบนตัก รอยยิ้มเจ้าเลห์ผุดขึ้นมาอีกคลา

“ไหนจ้าอย่างได้ไม่ใช่หรือ” อัสบัสจับใบหน้ามนที่ขึ้นสีแดงระเรืองให้มองมาทางตนหากแต่คนบนร่างกลับก้มหน้าหลบด้วยความอาย

“อ่า อ๊า ยะ อย่า” เสียงร้องหลุดออกมาอีกครั้งเมื่อคนตัวใหญ่จับให้ท่อนเนื้อทั้งสองที่ชูชั้นอยู่สีกันไปมา

“เอาซิ ข้ายกให้เจ้าเลยนะ” อัสบัสว่าก่อนจะรั้งคนตัวเล็กมาจูบอย่างดูดดื่ม ข้าวสวยเผลอไปกับรสจูบที่อ่อนหวานนั้นจนลืมสิ้นทั้งความอาย ร่างเล็กค่อยๆเบียดกายเข้าหาร่างใหญ่อย่างต้องการอัสบัสค่อยๆจับคนตัวเล็กยกขึ้นนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆส่งแกนกายของตนเข้าช่องทางรักของคนด้านบนอย่างช้าๆ

“อ๊ะ อ่า” เมื่อรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงออกมา

“ค่อยกลืนตัวข้าเข้าไปนะ ใช่ แบบนั้นแหละ ดีมากคนดีของข้า” ข้าวสวยค่อยๆกดสะโพกของตัวเองให้กลืนกินความเป็นชายนั้นอย่างยากลำบาก สองมือของอัสบัสค่อยประครองสะโพกของเขาไว้อย่างระวังจนสุดท้ายความเป็นชายนั้นก็ถูกกลืนกินไปจนหมดสิน

“อ่า เห็นไหมว่าเจ้ากลืนกินของข้าเข้าไปหมดแล้ว เอาละทีนี้เจ้าก็ค่อยๆขยับตัวเจ้า ใช่อย่างนั้นล่ะ” ข้าวสวยไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหนเขาถึงได้กล้าทำเช่นนี้แต่เวลานี้ใช่เวลาที่ต้องมาคิดไม่เพราะความต้องการมันมีมากเหลือเกิน

“อ๊ะ อืม อ่า อ่า” เสียงครางกระเส่าดังเล็ดออกมาทั้งยามที่ร่างกกายขยับขึ้นลง ความรู้สึกคับแน่น อึดอัด แต่กลับให้ความรู้สึกเสียวซ่านอย่าสุขสม

“ข้ารักเจ้า เมียของข้า อ่า”

“อ๊ะ อ่า อัสบัส ”

“อ่า เมียข้าเจ้าพร้อมมีบุตรกับข้าไหม”ข้าวสวยหยุดชะงักลงทันที่ที่ได้ยินคำถามจากอัสบัสก่อนจะตอบออกไปอย่างตะกุกตะกักเพราะคนด้านล่างกระแทรกสะโพกขึ้นมา

“อ๊ะ ผะ ผม มีให้ คะคุณไม่ได้หรอกผมเป็นผู้ชายนะ”  ใช่เขามีให้ไม่ได้หรอกถึงจะอยากมีก็ตาม เขาเป็นผู้ชายซึ่งก็ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่าบุรุษนั้นไม่สามารถตั้งท้องได้

“เจ้าเป็นชายแล้วไง แค่เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าอยากมีบุตรกับข้าหรือไม่ เจ้ารักข้าไหม” อัสบัสเอ่ยถามออกไปทั้งยังส่วนสะโพกใส่ร่างเล็กไม่หยุดยั้ง

“อ๊ะ อ่า ผะ..ผม อ๊ะ”

“ว่าไง ตอบข้าซิเจ้ารักข้าบ้างหรือไม่” อัสบัสถามขึ้นก่อนจะส่วนสะโพกให้เร็วมาขึ้นราวเป็นเร่งเร้าให้ตอบคำถามนั้นไม่ปาน

“อ๊ะอ่า  อ๊ะ” ข้าวสวยครางเสียงกระเส่าก่อนจะพยักหน้าเป็นตอบรับ แต่คนฟังราวกับกำลังกลั้นแกล้งเขาเมื่อ

“อ่า บอกข้าซิข้าอยากได้ยินมากกว่าเห็นเจ้าพยักหน้าให้ข้านะ” อัสบัสว่า แต่ก็ไรซึ่งเสียงจากคนด้านบน อัสบัสขยับสะโพกให้ถี่มากขึ้นจนคนตัวเล็กร้องเสียงหลง

“อ๊ะ อ่า อัสบัส อ๊ะ”

“ว่าไงบอกข้า เมียข้า”

“อ๊ะ อืม ระ..รัก ผมรักคุณ อ๊ะ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและสั่นเพราะความเสียวซ่านที่คนตัวใหญ่มอบให้ แต่ถึงจะเบาอัสบัสก็ได้ยินมันชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ข้าวสวยบอกรักเขา

อัสบัสค่อยรั้งคนตัวเล็กให้รับจูบจากปากของตนอย่าออดอ้อน ด้านล่างก็ยังคงทำงานอย่างไม่ลดละ ยิ่งรสจูบที่หอมนี้ยิ่งทำให้ความสุขสมมันเต็มไปทั่วทุกอณูของหัวใจ

“เจ้าอยากมีบุตรกับข้าไหม” ผลักออกได้อัสบัสก็ถามข้าวสวยทันที คนถูกถามชะงักนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป ตามที่ใจนึกคิด แม้จะไม่รู้ว่าจะมีได้หรือไม่แต่ข้าวสวยก็อยากจะมี

“งั้นคืนนี้เราก็มาสร้างลูกกันทั้งคืนเลยเป็นไงเจ้าว่าดีไหม”

คนฟังนึกอยากย้อนเวลากลับไปจริงๆหากทำได้เขาคงจะไม่ตอบกลับไปแน่นอนถ้ารู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างที่คนบอก ไม่รู้ว่ากี่ครั้งกันที่เราทำรัก ไม่รู้ว่ากี่ที่กันที่เราร่วมรักกัน รู้แต่ว่าตลอดทั้งคือเขาแทบจะไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อยไฟราคะมันคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณทั้งสุขทั้งสมไปในคลาเดียวกัน แม้จะเหนื่อยล้าจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันสุขสมยิ่งนัก กลิ่นอายของความรู้สึกของเราทั้งสองต่างอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ



ตอนที่ 13  ก็ตามมาติดดดด เจอกันตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 14 เศษเสี้ยวของความทรงจำ
    “ยอดดวงใจของข้า ข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน” เสียงหวานทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับน้ำผึ้งหยาดเยิ้มทำให้สีหน้าคนฟังอยู่นั้นแต่งเต้มไปด้วยเม็ดสีแดงระเรือง

“ตัวข้าเองนั้นก็รักท่านเช่นกัน คาวิน ของข้า” เสียงเล็กหวานตอบกลับอย่างเอียงอาย ก่อนที่ทั้งสองจะค่อยๆมอบจุมพิตที่หอมหวานดุดดังน้ำผึ้งพระจันทร์ให้แก่กัน

ภาพความสุขนี้ค่อยๆแทนที่ด้วยดวงตาอันโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองตามด้วยเสียงตัดพ้อและว่ากล่าวก่อนจะกลายเป็นภาพการสู้รบกันของชายหนุ่มสองคน ห่างไปไม่ไกลก็ปรากฏร่างเล็กที่สวยดุจดังสตรียืนน้ำตานองหน้าราวกับกำลังอ้อนวอนให้ทั้งสองต่างหยุดฟาดฟัน

“ฮึก!!!!! ฝันอีกแล้ว” ร่างเล็กสะดุ้งตื่นจากห่วงนิทรา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและร่างกายมากมายราวกับพึ่งไปวิ่งระยะไกลมา
กี่ครั้งกันที่ฝันถึงแต่เรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาพยายามจะไม่คิดอะไรตามที่ใครคนนั้นบอกแต่ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาฝันถึงมันตลอด ถึงจะบอกว่าเพราะอ่านเรื่อง ตราบสิ้นดวงหฤทัย  ไป แต่ทุกครั้งที่นอนเขาไม่เคยนึกถึงมันเลยออกจะลืมมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแต่ละฉากแต่ละตอนที่ปรากฏในความฝันนั้นช่างเหมือนกับในหนังสือนั้นมากเหลือเกิน และไอ้ความรู้สึกหน่วงในอกนี้อีก ทำไมกันตัวเขาสับสนเหลือเกินเหตุใดเขาจะต้องรู้สึกสุขแล้วเศร้าใจไปพร้อมกันเมื่อนึกถึงความฝันนี้ทำไมกัน เท้าเปื่อยเปล่าคู่น้อยค่อยๆเลื่อนลงจากเตียงนอนก่อนจะพาร่างอันผอมบางหมายมุ่งจะไปยังห้องอาบน้ำ

“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงของใครอีกคนที่พึ่งเดินเข้ามาเรียกให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงก่อนจะพยักหน้าที่ดูอิดโรยออกไป คนตัวใหญ่เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนร่างเล็กดูไร้เรียวแรง

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆนะ” เสียงทุ่มนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย

“ผมไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกมึนหัวนะ คงจะนอนเยอะไปหน่อย” คนถูกถามว่าขึ้นคนฟังก็คิดตาม มันก็จริงวันนี้คนรักของเขาตื่นสายกว่าทุกวันคงเพราะนอนมากไปจริงๆกระมัง

“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” เสียงเล็กที่ฟังดูเหนื่อยหน่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินจากไปโดยไม่รอคำกล่าวจากอีกคน
อัสบัสมองร่างเล็กที่เดินโซซัดโซเซเข้าห้องอาบน้ำไปอย่างกังวลตลอดอาทิตย์ที่ผ่านคนรักของเขามักดูแปลกไปซึ่งอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ยิ่งคนตัวเล็กบอกเล่าถึงความฝันที่ฝันวนไปซ้ำมามันก็ยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมคนตัวเล็กถึงเก็บเรื่องราวเล่านั้นไปฝันซ้ำไปซ้ำมา แต่ความรู้สึกเขามันบอกว่าไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่บอกปัดคนตัวเล็กไปว่าไม่มีอะไรคงเพราะคิดมากไปเองทั้งที่ใจลึกๆแล้วตัวเขานั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่มันต้องมีอะไรสักอย่างซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน คงต้องคอยระวังให้มากขึ้นสินะ

ณ ท้องพระโรงเหล่าข้าทาลบริวาลต่างมารวมตัวกันที่แห่งนี้เพราะผู้เป็นประมุขหรือก็คือราชาปีศาจของโลกปีศาจแห่งนี้ได้นัดหมายกันให้มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงรวมทั้งมิคาร์เอลผู้เป็นน้องคงยกเว้นก็แต่ราชินีแห่งโลกปีศาจที่ไม่ได้รับเชิญใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหากแต่เพราะเกี่ยวข้องเขาถึงไม่สามารถให้คนรักเข้ามาในที่นี้ได้ ไม่อยากให้ได้รับรู้อะไรที่ไม่ควรจะรู้ให้มันรู้สึกขุ่นมัวแม้จะเป็นเรื่องของตนเองก็ตาม

ทั่วทั้งบริเวณของท้องพระโรงนั้นต่างปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบหากแต่รังสีความตึงเครียดนั้นแผ่กระจายไปทุกอณูบริเวณ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับมันจะพันกันจนเป็นปมขึ้นมาไม่ปานก่อนวาดมือช้าๆกลางอากาศจนปรากฏเป็นจอภาพขนาดใหญ่กลางท้องพระโรงบุคคลในจอนั้นหาใช่ใครอื่นใด คนๆนั้นก็คือองครักษ์คนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“ฝาบาทมีเหตุอันใดพะยะค่ะถึงได้ติดต่อเร่งด่วนถึงเพียงนี้” บุคคลในจอถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นนาย ก่อนจะคอยชำเลื่องมองด้านหลังตนเองอย่างเป็นห่วง

คนเป็นนายสงสัยในการกระทำของคนสนิทก่อนจะเพ่งมองในจอภาพก็พบว่าด้านหลังคนสนิทของเขานั้นมีใครคนหนึ่งกำลังน้อยหลับอยู่บนเตียงนอนใบหน้าละมาดคล้ายคลึงกับคนรักของเขา ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใครแต่นั้นก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสีหน้าของคนบนเตียงที่แม้จะหลับสนิทแต่กลับดูซีดเซียวไร้เม็ดสีบนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามคนสนิทออกไป

“เขาเป็นอะไรทำไมใบหน้าถึงดูซีดเซียวขนาดนั้น” ถามออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบดีว่าคงจะไม่สบายเป็นแน่แท้ พอมาเห็นอย่างนี้ก็ทำให้นึกถึงใครอีกคนที่เมื่อตอนสายก็ดูซีดเซียวเช่นกันตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็หารู้ไม่

“พอดีข้าวเจ้าไม่สบายนิดหน่อยพะยะค่ะ” คนถูกถามตอบออกไปด้วยสายตาที่ห่วงใยก่อนจะหันไปยกผ้าห่มที่ร่อนลงให้คลุมคนบนเตียงอย่างทะนุถนอม การกระทำเหล่านั้นเรียกเสียงฮือฮาของผู้คนในท้องพระโรงได้เป็นอย่างดีคงเพราะเห็นมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่ได้เห็นองครักษ์ของราชาผู้ที่ได้ฉายาว่าปีศาจน้ำแข็งผู้ที่มีใบหน้านิ่งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกหากแต่บัดนี้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นมันช่างหน้าเหลือเชื่อเสียจริงๆ

“พวกเจ้าเงียบเดี๋ยวนี้” เสียงเย็นเอ่ยขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างในท้องพระโรงจะเงียบลงราวกับที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย คนเป็นหัวข้อก็ไม่ได้นึกสนใจแต่อย่างใด ก็แค่เพราะเขาเปลี่ยนไปเพราะคนที่นอนป่วยคนนี้มันจะแปลกตรงไหนกัน

“ยังไงก็ดูแลเขาให้ดีข้าไม่อยากให้ข้าวสวยเป็นกังวล ที่ข้าติดต่อไปก็เรื่องข้าวสวยนี้แหละ” ทุกคนต่างนิ่งฟังผู้เป็นนายอย่างตั้งอกตั้งใจคงเพราะเป็นเรื่องของผู้เป็นนายของตนที่ล้วนแล้วจะเป็นที่รักของทุกคน

“ช่วงนี้ทางฝั่งอาเทอร์เงียบไปข้าว่ามันแปลกๆและที่สำคัญข้าวสวยก็แปลกไปเช่นกัน พวกเจ้ารู้ดีถึงตำนานของสามผู้สร้างโลกนี้ใช่หรือไม่ และข้าวสวยเองก็เป็นผู้สืบทอดตราหยาดน้ำแห่งจันทรา และข้าที่เป็นผู้สืบทอดตราแสงแห่งราวินทรา ในคำทำนายมันบอกไว้ว่า ยามใดที่มวลหยาดน้ำไหลมาบรรจบไอแสง เหล่ามวลความรักจักบังเกิด สุขนั้นทั่วอณาราช พลันวิบัติจักเคลื่อนไปทั่วแคว้นแดน”

“ท่านพี่ ท่านหมายความว่า...” มิคาร์เอลที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกกลัว

“ใช่มันเป็นยังที่พวกเจ้าคิด โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเหล่าพวกเราชาวอณาปีศาจเหลือเกิน การมาเยือนของข้าวสวยมันคือโชคชะตาที่พวกเราต้องพบเจอและผู้ที่จะจบทุกอย่างนี้ก็มีเพียงแค่คนเดียวก็คือตัวเขา แม้จะไม่รับรู้อะไรแต่เขาคือผู้แบกรับทุกอย่าง ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดคือผู้ครองราหูทมิฬ” ดวงตาสีแดงนั้นดูหม่อนลงทุกคลายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่กำลังคืบคลานเข้ามา

“แล้วอาเทอร์ละท่านพี่” มิคาร์เอลเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อนึกถึงคนที่ก่อความวุ่นวายในช่วงนี้ ถึงจะบอกว่าช่วงนี้แต่จะให้พูดว่าไงดีละมันหนักขึ้นช่วงนี้ละกระมังเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรมากนักแค่พยายามจะกัดกินพื้นที่ให้ปกคลุมไปด้วยความมืดของความชั่วร้ายแต่เดี๋ยวนี้มันเล็งเป้ามาที่พี่สะใภ้ของเขาและก่อกวนราษฎรมากขึ้น

“เรื่องของอาเทอร์ก็ต้องระวังเพราะเป้าหมายก็คือข้าวสวยเหมือนกัน พี่คงต้องฝากเจ้านะมิคาร์เอล” คนถูกฝากฝังพยักหน้ารับอย่างยินดี

“ฝาบาทผู้ที่ครองราหูทมิฬในหนังสือ ตราบสิ้นดวงหฤทัย มีบอกลักษณะไว้ไม่ใช่หรือพะยะค่ะ” เสียงที่ดังจากจอภาพเอ่ยขึ้นมาเรียกความสนใจให้ผู้เป็นราชาได้อย่างท่วมท้น

“ใช่! ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ลืมมันไปเสียสนิทว่ามันไม่ใช่แค่นิยายประรำประรา”  ใช่! มันไม่ใช่นิยายประรำประราอย่างที่เขาบอกคนรักไปหากแต่เป็นเรื่องราวความจริงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อเนินนานมาแล้ว ทำไมเขาถึงลืมเรื่องนี้ไปนะ กี่ครั้งที่จับมันขึ้นมาอ่าน กี่ครั้งที่ต้องรู้สึกเจ็บในอกเมื่อถึงคลาบทสิ้นสุด เขายังจำได้ดีความรู้สึก เรื่องราวในหนังสือหน้าสุดท้ายมันช่างแสนเศร้า เพราะมันเศร้าเขาเลยเป็นคนตัดมันออกไปด้วยมือของเขาเองเมื่อครั้งยังเยาว์มันเลยกลายเป็นเรื่องราวที่หาบทสรุปไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
มาถึงตรงนี้มันก็ทำให้เขานึกคิดอะไรขึ้นได้ทำไมกัน ทั้งที่รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลกับเรื่องราวที่คนรักฝันแต่กลับไม่นึกเอะใจไม่นึกสงสัยให้มันมากกว่านี้ ทำไมกัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะข้าวสวยคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราสินะ ดูเหมือนเรื่องวุ่นๆจะเข้ามาอีกมากเลยทีเดียว

“ยอดดวงใจของข้าเจ้าเห็นนั้นหรือไม่หมู่ดาวที่รายล้อมจันทราดวงนั้น รู้ไม่ดวงดาวเหล่านั้นมันเปรียบดั่งข้าที่ค่อยโอบล้อมรอบดวงจันทราดวงนี้ไว้ไม่มีคลาใดที่จะทิ้งเจ้าให้อยู่เพียงผู้เดียว” ร่างสูงใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้ท่ามกลางใต้แสงจันทราที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวนับหมื่นแสนล้านดวงอย่างรักใคร่ คนในอ้อมกอดได้แต่ซบลงกับอกแข็งแรงเพื่อซึมซับรับกลิ่นความอบอุ่นที่กระจัดกระจายไปตามมวลอากาศ แม้ยามค่ำคืนจะหนาวเย็นเพียงใดหากแต่เราทั้งสองต่างโอบกอดกันไว้  เชื่อว่าความหนาวเหน็บจะไม่มาทำลายพวกเขาอย่างเด็ดขาด เพราะความอบอุ่นที่แผดซ่านออกมานั้นมันโอบล้อมไปทั่วจนสัมผัสถึงความหนาวเย็นไม่ได้แม้แต่น้อยนิด

ภาพบรรยากาศความสุขนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบของคนสองคนที่ต่างห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เสียงโลหะกระทบดังสนั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ต่างฝ่ายผลัดกันรับผลัดสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร

 “พวกเจ้าหยุดเถอะข้าขอร้อง...ฮึก.” เสียงเล็กปนสะอื้นตะโกนขึ้นแข่งกับเสียงของคมดาบที่กำลังฟาดฟันอยู่ และดูเหมือนเสียงนั้นจะเรียกให้สายตาของคนตัวใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่รักหันมามองอย่างห่วงใย ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากสู้รบกับคนตรงหน้าที่เป็นดั่งเพื่อนรักเช่นนี้แต่เพราะอีกฝ่ายไม่คิดเช่นเดียวกับเขา เขาจึงทำได้แค่สู้ตอบรับโดยระวังอยู่ตลอด เขารู้ดีว่าเพื่อนนั้นกำลังอารมณ์ขุ่นมัวจนมองไม่เห็นอะไรเพราะถูกโทสะเข้าครอบงำจนมืดบอด ตอนนี้เขาทำได้แค่รับมือคนตรงหน้าเพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรคนตรงหน้าก็ไม่รับฟังเขาเลย เวลาผ่านมานานเท่าไรแล้วนะที่พวกเขาแตกหักกัน นานเท่าไรแล้วที่ต้องหันปลายดาบเข้าใส่กัน เมื่อไรมันจะจบเสียที เวลานี้ทั่วทุกถิ่นนั้นต่างร้อนเป็นไฟโลกที่สวยงามแสนสงบนั้นหายไปด้วยฝีมือของพวกเขาที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันกำลังจะพังพินาศด้วยฝีมือของพวกเขาอีกเช่นกัน

 “รามิฬ เจ้าใจเย็นหน่อย เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าบัดนี้โลกเรานั้นร้อนเป็นไฟเช่นไร เจ้าอยากให้มันพังพินาศลงด้วยนามมือของเจ้าหรือไง” เสียงแกร่งเอ่ยออกมาทั้งที่ในมือยังคงถือดาบเพื่อรับกับคมดาบของอีกคน

 “เจ้าอย่ามาทำพูดดีไปคาวินข้าไม่สนว่าโลกมันจะเป็นอย่างไรในเมื่อใจข้าไม่สุขอย่าหวังเลยว่าผู้ใดจะสุข”

“เจ้าควรจะทำใจยอมรับมัน เจ้าก็รู้ดีว่าความรู้สึกนั้นมันไม่อาจห้ามกันได้”

“อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย ใช่ความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ เหมือนกับข้าที่ตอนนี้ไม่อาจห้ามใใจห้ไม่ฆ่าเจ้าได้อย่างไรคาวิน” ว่าจบร่างสูงก็พุ่งปลายดาบแหลมคมเข้าหาอย่างหวังพลิชีวิตของอีกคน

“ไม่นะ!!!!!”

ฮึก!!!!!! พรึบ!!

แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆๆ(?สมมุตว่ามันคือเสียงหายใจแรงๆละกัน อิอิ..?)

เสียงหอบหายใจดังไปทั่วทั้งห้องนอนขนาดใหญ่ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าและร่างกายต่างไหลมาเป็นทางยาวจนทั้งตัวชุ่ม
ไปด้วยเหงื่อ

เอาอีกแล้วสินะฝันอีกแล้วกี่วันกันแล้วที่ฝันถึงแต่คนพวกนั้นหนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน ไม่สีสองอาทิตย์กว่าได้แล้วละที่ฝันซ้ำไปซ้ำมาแต่เรื่องพวกนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันตลอด เรื่องราวมันเพิ่มมากขึ้นทุกวันแม้มันจะไม่ปะติปะต่อกันจนเป็นเรื่องราวแต่เพราะฝันมาหลายครั้งเหลือเกินจนตัวเขาพอจะจับต้นชนปลายเรื่องราวได้บ้างแต่ก็ยังงงอยู่ดี คิดไปก็เท่านั้นเพราะยังไงเขาก็ไม่ได้คำตอบ

ร่างเล็กๆค่อยๆก้าวลงจากเตียงนอนก่อนจะเดินออกจากห้องหวังจะไปรับบรรยากาศภายนอกให้รู้สึกดีสักหน่อย นอนตอนกลางวันนี้มันทำให้เขารู้สึกมืนหัวไม่น้อยเลย ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมักจะง่วงนอนบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ค่อยอยากนอนแท้ๆเขาไม่อยากฝัน

“ไพทรีพาผมไปเดินเล่นหน่อยสิ พึ่งตื่นแล้วมันมืนหัวยังไงก็ไม่รู้” เดินออกมาหน้าห้องก็เอ่ยบอกคนสนิททันที ตั้งแต่วันนั้นไพทรีก็ดีกับเขามาตลอด คอยดูแลเขาอย่างดีจนบางครั้งก็รู้สึกแกล้งใจถึงจะบอกว่าเป็นหน้าที่ก็เถอะแต่ไม่ยักจะชินสักทีทั้งที่มาอยู่ที่นี้นานมากแล้วกี่เดือนแล้วนะตัวเขาก็จำไม่ได้เหมือนกันคงเพราะไม่เคยสนใจที่จะนับมันละมั่ง

“พระองศ์ดูหน้าซีดๆไม่สบายหรือเปล่าเพคะ” ไพทรีถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นนาย

“เปล่านะ ผมสบายดีแค่มืนหัวนิดหน่อยคงเพราะพึ่งตื่นนอนเมื่อกี้ ไปเดินเล่นในสวนกันเถอะ” คนเป็นนายว่าก่อนจะเอ่ยชวนอีกครั้งแล้วเดินนำออกไป แม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นคนเป็นนายดูท่าทางไม่ดีแต่เมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรไพทรีก็ได้แต่ทำใจยอมรับ

ร่างเล็กในชุดสีขาวเดินมาหยุดตรงสวนกุหลายสีฟ้าที่กลายเป็นที่ประจำไปเสียแล้ว มือเล็กๆกางออกรับสายลมที่พัดมาก่อนจะสูดดมกลิ่นกุหลาบที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ เขาชอบมากที่สุดเลยกลิ่นนี้นะมันหอมและสดชื่นดีในความคิดของเขา แต่ทำไมตอนนี้เขารู้สึกว่ากลิ่นนี้มันน่าปวดหัวจัง มือเล็กรีบเอามือมาปิดจมูกทันทีที่ได้กลิ่นเขารู้สึกว่ามันเหม็นๆจนเขาจะอ้วก ทำไมกันทั้งที่จะออกมารับอากาศสดชื่นแท้ๆ

“พระองศ์! เป็นอะไรไปเพคะ” ไพทรีที่เห็นท่าทีของคนเป็นนายแปลกไปเลยเข้าไปถามไถ่อย่างห่วงใย

“ผมเหม็นกลิ่นกุหลาบ เหม็นมากเลยเหม็นจนมันจะอ้วก” ว่าขึ้นทั้งๆที่มือเล็กๆยังปิดจมูกไว้

“อย่างนั้นเรากลับตำหนักกันดีกว่าเพคะ สีหน้าดูไม่สู้ดีเลย” ไพทรีว่า คนป่วยก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะถ้าขืนให้เขาอ้าปากพูดเขาคงได้ปล่อยของออกมาเป็นแน่ ระหว่างทางไพทรีค่อยประครองคนเป็นนายอยู่ตลอดเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเป็นอะไรไป แต่ดูเหมือนพอเดินห่างจากสวนกุหลาบคนเป็นนายอาการดูดีขึ้น

“ข้าวสวยเป็นอะไรไป” เสียงของประมุขของเหล่าปีศาจถามขึ้นเมื่อเดินมาพบคนรักพอดี ทั้งที่ตั้งใจจะไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ท้ายประสาทแต่เหมือนมันจะไม่สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าที่ดูซีดเซียวแถมยังต้องให้ไพทรีประครองอีก
“ฝาบาท คือราชินีทรงเหม็นกลิ่นดอกกุหลาบเพคะ” ไพทรีตอบไปทั้งมือยังคงประครองผู้เป็นนายอยู่

“เหม็นกลิ่นกุหลาบ??” อัสบัสพูดขึ้นอย่างสงสัยก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรก็ในเมื่อคนรักเขาชอบกลิ่นกุหลาบนั้นจะตายไป หลังจากนั้นมือใหญ่ค่อยๆ ยื่นไปรับร่างของคนรักมาประครองไว้เอง

“คุณผมหิว” คนป่วยที่เงียบอยู่พูดขึ้นมาเรียกความงุนงงให้กับคนเป็นสามีและคนสนิทเป็นอย่างมากก็ตอนนี้พึ่งจะบ่ายเองคนตัวเล็กหิวแล้วหรือทั้งที่เมื่อเที่ยงพึ่งจะกินไปแล้วก็งีบหลับจนพึ่งตื่นมาเอง

“หือ? หิวหรืองั้นกลับตำหนักกัน ไพทรีเดี๋ยวเจ้าให้คนยกของว่างไปให้ข้าวสวย” ถึงจะสงสัยแต่อัสบัสก็ยังคงตามใจคนรักเห็นป่วยหรอกนะเลยไม่อยากขัดใจ ส่วนเรื่องตรวจท้ายประสาทก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน อัสบัสพาคนรักมาถึงตำหนักดูสีหน้าคนรักดีขึ้นมากเหมือนจะหายเสียแล้วด้วย  ครู่หนึ่งไพทรีและคนอื่นๆก็ยกของว่างมาให้คนเป็นราชินีที่บ่นว่าหิวอยู่ไม่ขาดปาก

“ว้าวๆๆๆๆพุดดิ้งๆล่ะ ทานละนะครับ” คนหิวเมื่อเห็นของกินมาวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่รอช้ารีบยิบขึ้นมาชื่นชมและเอาเข้าปากทันที่เรียกรอยยิ้มให้คนมองได้ไม่น้อย เคยมีที่ไหนละที่เจ้าตัวจะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ให้เขาเห็น

“กินดีๆสิข้าวสวยจะรีบทำไม” อัสบัสดุเบาๆเมื่อเห็นว่าคนรักรีบกินจนมันเลอะแก้มไปหมด ทางคนถูกดุก็หน้างอปากแบะขึ้นมาทันที แค่กินเลอะนิดหน่อยทำไหมต้องดุกันด้วย

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็มันจริงดูสิกินเลอะเหมือนเด็ก” ว่าไปอีกครั้งพร้อมกับใช่มือเช็ดตรงข้างแก้มที่ติดเศษพุดดิ้ง

“ไม่เหมือนเด็กสักหน่อย” คนถูกดุเถียงขึ้นปากเล็กแบะเตรียมปล่อยโฮ น้อยใจเรื่องแค่นี้ทำไมต้องดุไอ้เขาควายบ้าๆๆ

“เฮ้ย! ไม่เด็กๆกินต่อเถอะเดี๋ยวมันจะไม่อร่อยนะ” อัสบัสตกใจที่เห็นคนเถียงแบะปากเตรียมปล่อยโฮ ก่อนจะบอกให้คนตัวเล็กกินต่อ เจอข้าวสวยโหมดนี้เขาก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะปกติจะดื้อแต่นี้พูดนิดหน่อยหน้างอปากแบะซะแล้ว นี่คนรักเขาเป็นไรไปกว่าจะจบวันเล่นเอาคนเป็นราชาเหนื่อยก็คนเป็นภรรยาเล่นอารมณ์ขึ้นๆลงๆจนตามไม่ทันนะสิ




หายไปนานเนื่องจากไม่ว่างค่ะ มาต่อให้ยาวๆๆไว้ลวงหน้าเหมือนเดิม ครั้งนี้กี่ตอนดีเอ่ย


ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 15 ปฐมบทแห่งตราบสิ้นดวงหฤทัย

“อ้วก อ่อกกก!! โอ้กกก!!” เสียงอาเจียนดังจากห้องนอนขนาดใหญ่ของผู้เป็นราชาปีศาจ ในตอนเช้าตรู่เป็นเช่นนี้มาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทุกๆเช้าคนได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งโลกปีศาจมักจะตื่นขึ้นมาอาเจียนและวันนี้ก็เช่นกัน
มือเล็กๆ จับกระโถนอย่างไร้เรี่ยวแรงจนคนที่นั่งข้างกันต้องมาจับให้แทนอีกมือที่ว่างอยู่ก็คอยลูบหลังให้คนเป็นภรรยาอย่างห่วงใย

ตลอดหลายวันที่ผ่านมาคนรักของเขามีอาการแปลกไปหลายอย่างสิ่งที่เจ้าตัวมักชอบตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจไปเสียแล้ว อย่างสวนดอกกุหลายที่เจ้าตัวชอบไปทุกวันก็ไม่ยอมไปอีกเพราะบอกว่าเหม็นกลิ่นกุหลาบจนรู้สึกเวียนหัว อาหารที่ปกติเคยชอบก็ทานไม่ได้เมื่อแค่ได้กลิ่นก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก และอีกอย่างคืออาการลุกขึ้นมาอ้วกในตอนเช้าที่ทำเอาเจ้าตัวหมดเรี่ยวหมดแรงนี้อีก

“เจ้าอยากอาเจียนอยู่อีกหรือไม่” คนเป็นสามีถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนรักของตนนั้นละออกจากกระโถนมาพิงอยู่ที่ไหล่ของเขาอย่างหมดเรี่ยวแรง คนถูกถามก็ได้แต่สายหน้าเป็นการตอบกลับไปครั้นจะให้เอ่ยตอบไปนั้นร่างกายเขาก็ไร้เรี่ยวแรงเกินไปที่จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา

อัสบัสส่งกระโถนให้กับไพทรีที่ยื่นอยู่ใกล้ๆก่อนจะเอ่ยสั่งให้อีกคนไปตามหมอหลวงมาตรวจอาการของคนรัก วันนี้เขาไม่อาจจะทนต่อไปได้อีกคนรักของเขาดูอาการหนักขึ้นทุกวันแรกๆยังพอรับได้ที่เจ้าบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแต่ถ้าเป็นตอนนี้เขาไม่อาจเชื่อคำของคนรักได้อีกต่อไปเพราะอาการมันไม่ได้น้อยเลย

 “เจ้านอนพักผ่อนเสียก่อน ประเดี๋ยวหมอหลวงคงมา” อัสบัสค่อยๆประครองร่างเล็กๆ ของคนรักให้นอนลงอย่างห่วงใย คนที่หมดเรี่ยวแรงไปกับการอาเจียนก็ทำตามอย่างว่าง่ายวันนี้เขาคงต้องยอมให้หมอตรวจจริงๆเสียแล้วเพราะอาการเหล่านี้มันหนักขึ้นจนเจ้าตัวเองก็ไม่ไหวเช่นกัน

เมื่อคนตัวเล็กนอนลงอัสบัสก็หันไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ว่างอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะค่อยๆ ชุบน้ำแล้วบิดให้พอหมาดๆ ก่อนจะนำมาเช็ดบนใบหน้าสวยของคนรักที่ตอนที่ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเพราะอีกคนก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะมาพูดคุย อีกคนก็เห็นว่าคนป่วยดูท่าจะเพลียเกินไปจนไม่อยากรบกวนแต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่ทั้งสองก็สามารถรับรู้กันได้ว่าต่างฝ่ายต่างรู้สึกเช่นไร

“รู้สึกสบายตัวขึ้นหรือไม่” อัสบัสถามขึ้นทั้งมือใหญ่ยังคงลูบอยู่บนกลุ่มผมของอีกคนอย่างห่วงใย คนถูกถามค่อยๆพยักหน้าให้เป็นการตอบรับก่อนที่ปากเล็กที่เคยสีสวยแต่บัดนี้ซีดลงจนเป็นสีขาวค่อยๆยิ้มออกมาแม้จะเป็นแค่ยิ้มเล็กๆที่เจ้าตัวพยายามฟืนร่างกายส่งยิ้มเพราะอาการป่วยให้อีกคนก็ตาม ข้าวสวยไม่อยากให้อัสบัสเป็นห่วงเขารู้สึกเช่นนั้น

ตลอดหลายวันที่เขาอาการไม่ดีจนอัสบัสต้องเป็นกังวลกลับมามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับโลกปีศาจอีก ตัวข้าวสวยเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรกับเรื่องนี้มากนักเพราะคนเป็นราชาไม่เคยบอกอะไรเขาเลยทั้งที่บอกว่าเขาคือราชินีของโลกนี้แต่เหตุใดเขาถึงไม่เคยรับรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย ยิ่งเห็นคนเป็นสามีทำหน้าเครียดกลุ้มใจตลอดเวลาแล้วยังต้องคอยมาเป็นห่วงเขา ตัวเขาก็อดนึกโกรธตัวเองไม่ได้ที่ไม่สามารถช่วยอะไรคนรักได้เลยมีแต่จะคอยทำให้คนรักเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น

“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเพค่ะ” ไพทรีที่พึ่งเข้ามาเอ่ยบอกคนเป็นนาย ก่อนจะมองนายตัวเองที่นอนไร้เรี่ยวแรงอย่างห่วงใย

“พาเข้ามาได้เลย” คนเป็นราชาปีศาจเอ่ยบอกทั้งที่ยังคงมองดูคนเป็นที่รักอย่างไม่วางสายตา คงเพราะเป็นห่วงตัวเขาถึงไม่อาจจะละสายตาจากคนรักไปได้เลยเห็นคนรักเป็นแบบนี้แล้วใจเขาเจ็บเหลือเกินหากเขารับความเจ็บปวดมาได้ตัวเขาก็ยินดียอมเจ็บแทนคนรักอย่างไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ชายชราที่พึ่งเข้ามาใหม่เอ่ยเคารพผู้เป็นราชา คนเป็นราชาเมื่อเห็นว่าเป็นใครมาก็รีบลุกจากเตียงหลีกทางให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูอาการของคนรักแต่ตัวเองก็ไม่ได้ออกห่างไปไกลกลับเดินมาอีกด้านของเตียงนอนแล้วนั่งลงข้างๆคนรักอย่างห่วงใย มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนไปจับมือคนรักอย่างนึกให้กำลังใจอีกคนก็บีบมือตอบกลับมาก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แล้วกลับ
ไปมองหมอหลวงอีกครั้ง

“ขออภัยพะยะค่ะ”หมอหลวงวัยชราเอ่ยบอกก่อนจะค่อยๆ จับข้อมือเล็กของราชินีแห่งโลกปีศาจขึ้นมาแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ชีพจรของราชินีนั้นไม่เหมือนคนปกติเพราะของราชินีนั้นราวกับว่ามีชีพจรของใครอีกคนเข้ามาด้วย หมอวัยชรายกยิ้มขึ้นมาอย่างยินดีคงไม่ผิดเป็นแน่แท้ยิ่งบวกกับอาการที่ราชินีทรงเป็นอยู่ยิ่งยืนยันได้ชัดเจน

“ช่วงนี้พระองค์ทรงมีอาการเวียนหัว อ่อนเพลียง่ายและรู้สึกอยากอาเจียนเมื่อเจอกลิ่นที่ไม่ถูกใจใช่หรือไม่พะยะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยถามพรากยิ้มขึ้น คนป่วยพยักหน้าเป็นการตอบกลับไป

“ข้าวสวยเป็นอะไรมากหรือไม่ท่านหมอ” อัสบัสที่เงียบมองดูอยู่นานถามขึ้นอย่างร้อนรนเพราะนึกเป็นห่วงคนรักจับใจ หมอหลวงมองคนเป็นราชาที่ดูร้อนรนแล้วยิ้มให้ก่อนจะตอบออกไป
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกพะยะค่ะ องค์ราชินีแค่ทรงพระครรภ์เท่านั้นพะยะค่ะ”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีละ...ท่านว่าอะไรนะ เมียข้าตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ” คนเป็นราชาเอ่ยขึ้นเสียงจนคนที่นอนป่วยอยู่สะดุ้งสุดตัวเพราะมัวแต่นึกถึงคำที่ท่านหมอบอกเล่ามา เขาท้องอย่างนั้นหรือ เขาเป็นผู้ชายแต่สามารถท้องได้เหมือนที่อัสบัสบอกไว้จริงๆ ใจหนึ่งข้าวสวยรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากอีกใจหนึ่งก็นึกกังวลขึ้นมาแปลกๆ

“เจ้าได้ยินหรือไม่เรากำลังจะมีบุตรด้วยกัน ขะ...ข้าดีใจเหลือเกินเมียข้า” ว่าที่คุณพ่อกล่าวขึ้นมาอย่างดีอกดีใจจนเหล่าข้าทาสบริวาลที่อยู่บริเวณนั้นนึกแปลกใจกับกริยาของคนเป็นราชาก็จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไรในเมื่อราชาของทุกคนนั้นเป็นคนดุและนิ่งแค่ไหนไม่คิดว่าจะมีอาการราวกับว่าถ้ากระโดดโลดเต้นได้เจ้าตัวคงทำไปเสียแล้ว ว่าที่คุณแม่ได้แต่ยิ้มขบขันให้กับอาการของคุณพ่อขี้เห่อ

ตอนนี้หมอหลวงกลับไปแล้วว่าที่คุณแม่ก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเพราะอาการแพ้ท้อง  ว่าที่คุณพ่อมองดูคนรักอย่างนึกยินดี เขาบอกได้เลยว่ายินดีมากและดีใจมาก เขาคงต้องเรียกประชุมด่วนเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบข่าวดีที่น่ายินดียิ่ง

“ไพทรีเจ้าดูแลข้าวสวยให้ดี ข้าจะเรียกประชุมด่วน หากมีเรื่องใดให้รีบแจ้งข้า เข้าใจหรือไม่”

“เพค่ะฝ่าบาท”

อัสบัสค่อยๆ ก้มลงจุมพิตบนหน้าผากมนของคนที่นอนหลับใหลอย่างครั่งใคร่ ‘ขอบคุณเหลือเกินเมียข้า’ หลังจากนั่งมองดูคนรักอย่างพอใจก็ลุกออกจากห้องไปยังท้องพระโรงเพื่อทำการประชุมเรื่องด่วนที่น่ายินดี แม้ตอนนี้เหตุการในโลกปีศาจจะน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษแต่ถือว่าโลกนี้โชคดีเหลือเกินที่จะได้มีบุตรธิดาถือกำเนิดขึ้น

เมื่อมาถึงท้องพระโรงก็พบว่าทุกคนนั้นมากันอย่างพร้อมเพรียงจะขาดก็แต่องครักษ์คนสำคัญของเขาเท่านั้น อัสบัสไม่รอช้ารีบร่ายมนต์ก่อนจะเกิดจอภาพขนาดใหญ่ขึ้น เขากำลังติดต่อกับรีฟเฟอร์เพราะอยากให้องครักษ์ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

“ท่านพี่มีเหตุอันใดถึงได้เรียกประชุมด่วนเช่นนี้เหล่า” มิคาร์เอลเอ่ยถามทันที่เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่ไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมาได้แต่นั่งยิ้มที่ทำเอาทุกคนนั้นตกใจเพราะมีที่ไหนกันที่ราชาของพวกเขาจะมานั่งยิ้มแบบนี้ยิ่งช่วงนี้โลกปีศาจติดจะวุ่นวายด้วยแล้ว

“นั้นสิฝ่าบาท ตกลงมีเรื่องอันใดกัน” รีฟเฟอร์ที่อยู่ในจอถามขึ้นมาอีกคน คนเป็นราชาหันไปขมวดคิ้วให้ที่หนึ่งก่อนเอ่ยบอก

“ที่ข้าเรียกทุกคนมาประชุมกันนั้นเพราะมีเรื่องอยากแจ้งให้ทุกคนทราบ” อัสบัสเกริ่นขึ้นมาในใจก็นึกตื่นเต้นกับเรื่องที่กำลังจะเอ่ยออกมา

“ข้ากำลัง...จะมีบุตร” อัสบัสพูดก่อนจะยิ้มดีใจออกมา แต่ทั้งท้องพระโรงกลับเงียบอย่างที่ไม่เคยเงียบมาก่อนก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดีที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรง

“ท่านพี่พูดจริงหรือ นี้ข้ากำลังจะมีหลานตัวน้อยหรือนี้” มิคาร์เอลเอ่ยถามก่อนจะยกยิ้มดีใจออกมา
ทั้งท้องพระโรงยังคงกึกก้องไปด้วยด้วยเสียงอวยพรและยินดี ยกให้วันหนึ่งก็แล้วกันที่พวกเจ้าจะเสียงดังเช่นนี้ได้

“พี่เขย” เสียงเรียกจากในจอขนาดใหญ่เรียกให้อัสบัสต้องหันมองก็พบว่าเป็นน้องชายของข้าวสวยที่มายืนอยู่ข้างๆ องครักษ์ของเขา

“ว่าอย่างไรเหล่า” เขาเอ่ยถามคนในจออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดน้องชายของข้าวสวยถึงชอบเรียกเขาว่าพี่เขยยิ่งนัก

“พี่พูดจริงหรือ พี่สวยกำลังท้องอย่างนั้นหรือ” คนถามๆ ทั้งยังยิ้มไม่หุบ

“ข้าโกหกไปทำไมเหล่า” ใช่เขาจะโกหกไปทำไมเรื่องน่ายินดีอย่างนี้

“ผมเจอพี่สวยได้ไหม” ข้าวเจ้าถามมาพร้อมกับสายตาอ้อนวอนมีหรือเขาจะปฎิเสธข้าวสวยเองก็คงอย่างเจอด้วยเช่นกัน

“ทำไมจะไม่ได้ แต่คงต้องรอก่อนข้าวสวยยังไม่ค่อยดีขึ้นมีอาการแพ้ท้องหนัก” อัสบัสตอบอกไป คนฟังก็รับอย่างเข้าใจ
อีกด้านหนึ่งของคนที่นอนหลับไปเพราะอ่อนเพลียกับอาการแพ้ท้องนั้นต้องนอนกระสับกระสายด้วยความฝันที่เจ้าตัวมักฝันถึงบ่อยๆ

“เจ้ารู้หรือไหม เจ้านั้นเปรียบดั่งดวงจันทร์ที่ส่องแสงสง่าอยู่บนท้องนภา ค่อยเป็นแสงสว่างให้กับความมืดเยี่ยงข้า คลาใดที่จันทร์เจ้าหายความมืดอย่างข้านั้นไร้ซึ่งแสงสว่าง ทุกอนาล้วนแล้วแต่มืดมิด” ชายหนุ่มจ้องมองไปยังท้องนภาที่มืดมิดลงจันทร์ดวงเด่นที่ส่องแสงอ่อนๆนั้นมันทำให้เขานึกถึงตัวเองเยี่ยงนักเขาเองก็เปรียบดั่งความมืดมิด อีกคนนั้นเหมือนดั่งดวงจันทร์ที่ทอแสงอ่อนนวลในความมืด

“เจ้าหมายถึงสิ่งใดกัน รามิฬ ข้าหาเข้าใจไม่” เสียงเล็กๆเอื่อยเอ่ยถามอย่างนึกสงสัยในคำพูดของอีกคน ไม่เข้าใจในสิ่งที่รามิฬนั้นต้องการจะสื่อออกมา

“หึหึ นั้นสินะข้าต้องการสิ่งใดกัน”

“ข้าจักรู้ได้อย่างไร ข้าหาใช่เจ้าไม่”

“หากข้าบอกเจ้าไป เจ้าจักให้ข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะจ้องมองใบหน้าสวยราวกับสตรีของอีกคนอย่างต้องการคำตอบ แต่อีกคนกลับหลบสายตาไปก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

“ข้าหาบอกได้ไม่ หากเจ้าไม่บอกสิ่งที่ต้องการแก่ข้า”

“เยี่ยงนั้นข้าจักบอกให้เจ้ารู้ แล้วโปรดตอบรับคำขอของข้าด้วยเทิดจันทรา ดวงใจของเจ้า ร่างกายของเจ้า หรือทุกอย่างที่เป็นเจ้า นับต่อแต่นี้ขอให้ข้าเป็นคนดูแลมันได้หรือไม” รามิฬเอ่ยขึ้นก่อนจะจับมือเล็กๆมากุมไว้ คนถูกถามได้แต่มองใบหน้าของผู้เป็นเพื่อนอย่างลำบากใจจันทรารู้ดีว่าสิ่งที่รามิฬเอ่ยออกมานั้นหมายถึงสิ่งใดหากแต่เขาจะตอบอีกคนไปว่าอย่างไรดีแต่จะปล่อยไว้ก็พาลแต่ให้รามิฬต้องเจ็บตัวเขาคงต้องบอกออกไปตรงๆเพราะนั้นมันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วเป็นแน่

“รามิฬ ข้าขอบน้ำใจเจ้ามาก หากแต่ข้ามิอาจรับน้ำใจนี้ไว้ได้ ต้องขอโทษเจ้ายิ่งนัก”

“เหตุใดกัน เจ้าถึงตอบรับความรู้สึกของข้ามิได้” แม้จะรู้สึกเจ็บปวดและกระวนกระวายใจแค่ไหนรามิฬก็ทำได้เพียงเก็บมันไว้ในจิตใจ

“เอ่อ...เพราะข้า คิดกับเจ้าเพียงสหายข้าไม่อาจคิดเป็นอื่นใดได้ โปรดเจ้าจงเข้าใจข้าด้วยเทิด”

“ข้ารู้ ข้าจักรอวันที่เจ้าตอบรับความรู้สึกของข้า ดวงใจของข้า” ชายหนุ่มตอบกลับไปก่อนจะส่งยิ้มให้คนตรงหน้าแล้วก้าวเดินจากไป ทางอีกคนก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของสหายอย่างนึกหนักใจเพราะคำตอบที่จันทราได้รับมานั้นมันทำให้เขาเข้าใจว่ารามิฬไม่ได้ยอมรับคำตอบของเขาแม้แต่น้อย

ภาพใบหน้าสวยที่หม่อนหมองลงนั้นค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นภาพใบหน้าของรามิฬที่กำลังโกรธถอยคำว่ากล่าวต่างๆนาๆที่ออกมาจากเรียวปากนั้นทำให้ข้าวสวยที่หลับอยู่รู้สึกกลัวและกระวนกระวนยิ่งนัก

 “ราชินี ราชินีเพค่ะ”

“อ่ะ!...ไพทรี” คนถูกเรียกสะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างตกใจ มือเล็กๆยกขึ้นจับใบหน้าของตัวเองอย่างสั่นๆ ฝันเขาฝันถึงมันอีกแล้ว เมื่อไหร่กันที่ความฝันเหล่านี้จะหายไป

“พระองค์ทรงฝันร้ายอีกแล้วหรือเพค่ะ” ไพทรีถามคนเป็นนายอย่างนึกสงสัย ราชินีของเขามักฝันร้ายบ่อยครั้งซึ่งไพทรีเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ราชินีทรงหลับไปเพราะอ่อนเพลียกับอาการแพ้ครรภ์แต่เมื่อหลับสักพักสีหน้าสวยๆนั้นคล้ายดูเจ็บปวด เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้านั้นมากมายราวกับเอาหยดน้ำมาพรมไว้ร่างเล็กๆบิดเร้าไปมาจนคนมองดูนึกหวั่นใจไพทรีจึงเรียกคนเป็นนายให้ตื่นขึ้น

ข้าวสวยเพียงพยักหน้าตอบไปเขาไม่มีแรงแม้จะพูดเลยจริงๆหัวใจที่เต้นเร็วนี้ทำให้เขากลัวยิ่งนักก็พาลให้นึกถึงใครอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีข้าวสวยอยากเจออัสบัสใช่เขาอยากเจอจริงๆเพราะยามใดก็ตามที่อยู่ใกล้คนๆนี้มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเสมอ

“อะ...อัสบัสละ”

“ทรงไปประชุมด่วนเพค่ะ พระองค์อยากพบองค์ราชาหรือเพค่ะ”

“อืม” เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยออกมาสั้นๆนั้นทำให้ไพทรีนึกเป็นห่วงคนเป็นนายยิ่งนัก

“ประเดี๋ยวหม่อมฉันให้คนไปตามให้นะเพค่ะ พระองค์ทรงนอนพักก่อนนะเพค่ะ หม่อมจะไปหาอะไรอุ่นๆมาให้เสวยพระองค์จะได้รู้สึกดีขึ้น” ไพทรีว่าก่อนจะประคองร่างเล็กๆให้นอนลงอย่าแผ่วเบาก่อนจะยกผ้าผืนบางมาหม่ให้คนไปนายแล้วเดินจากไป
หลังจากที่ไพทรีออกไปแล้วข้าวสวยก็ได้แต่นอนทอดสายตาไปยังด้านนอกอย่างรู้สึกเหม่อลอยจิตใจก็คิดกระวนกระวายไปหมดเสียทุกอย่างจนตัวเขาเองรู้สึกเครียดขึ้นมารู้ดีว่ามันจะส่งผลไม่ดีกับเจ้าตัวเล็กในท้องแต่ก็ไม่อาจละทิ้งได้เลย มือเล็กๆค่อยๆเลื่อนมากอบกุมท้องตัวเองเพียงเพื่อต้องการกำลังใจจากเจ้าตัวในท้องของเขา สายตาคู่สวยจ้องมองท้องตัวเองอย่างดีใจ ทั้งที่เป็นผู้ชายแท้ๆแต่เขากลับมีลูกได้เหมือนที่อัสบัสบอกไว้จริงๆถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรแต่เขาดีใจเหลือเกินที่ในท้องกำลังมีเลือดเนื้อเชื่อไขของเขาและอัสบัส

“จันทรา!” เสียงเอ่ยที่ไม่ดังมานักเรียกให้ข้าวสวยที่สนใจกับเจ้าตัวเล็กในท้องต้องหันมอง แต่ก็ต้องตกใจจนเผลอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเขาจะไม่มีทางตกใจมากขนาดถ้าคนตรงหน้าไม่ได้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับคนที่เขาพึ่งจะฝันเห็นแม้บนใบหน้าของคนตอนนี้จะมีรอยสักต่างๆอยู่หลายจุดแต่ก็ไม่ได้บดบังเคล้าโครงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

“ใยเจ้าถึงต้องตกใจเยี่ยงนั้น จันทราของข้า รู้หรือไม่นานแค่ไหนที่ข้ารอค่อยเจ้า” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับก้าวเดินมายังเตียงนอนที่ข้าวสวยอยู่

“คะ...คุณเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง” แม้จะรู้สึกกลัวข้าวสวยก็ยังคงเอ่ยถามออกไป ยิ่งอีกคนก้าวเข้าใกล้เขาเท่าไรความตื่นกลัวก็ยิ่งเพิ่มทวีเท่านั้น เมื่อไรกันอัสบัสถึงจะมา ข้าวสวยคิด

“อะไรกัน เจ้าจำข้าไม่ได้หรือย่างไร” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนข้าวสวยต้องถอยหนีแต่มันก็เท่านั้นเมื่อร่างกายเขาชนเข้ากับผนังหัวเตียงมันไม่มีที่ให้เขาหนีอีกแล้ว

“ผมไม่เคยรู้จักคุณ” ถึงจะกลัวมากเพียงใดแต่จะให้เขาอยู่เฉยมันก็กะไรอยู่

“อะไรกันจันทรา เจ้าลืมข้าเสียแล้วหรือ”

“ผมชื่อข้วสวยไม่ใช่จันทรา”

“จักชื่อใดเจ้าก็คือจันทรา คนที่หักหามน้ำใจของข้า” เสียงเอ่ยที่เคยเรียบนั้นเปลี่ยนมาเป็นดุดันจนข้าวสวยนึกกลัวขึ้นมาจับใจ ได้แต่งียบลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือใครแล้วต้องการสิ่งใดจากเขา

“ข้าก็รามิฬคนที่เจ้าหักหามน้ำใจอย่างไรเหล่า” เพียงสิ้นเสียงชื่อที่เอ่ยออกมานั้นก็ทำให้ดวงตาสวยนั้นเบิกกว้าง รามิฬคือคนในความฝันจะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ไม่จริงมันไม่ใช่เรื่องจริง เขารู้สึกสับสนเหลือเกินนี้มันเรื่องอะไรกัน ‘อัสบัสอยู่ไหนช่วยผมที’
รามิฬค่อยๆนั่งลงตรงหน้าของข้าวสวยก่อนจะยกมือขึ้นจับกุมใบหน้าเล็กที่พยายามหลบหนีอย่างแผ่วเบา ‘คิดถึงเหลือเกินดวงใจของข้า’ นานเท่าไรที่ไม่ได้เจอกันแม้ใบหน้านั้นจะแปลเปลี่ยนไปแต่คนตรงหน้าก็คือคนที่รักและหักหามน้ำใจของเขาความรักที่มีให้มากมายนั้นจะคงเหมือนเดิมแต่ความแค้นนั้นก็มีมากไม่แพ้กัน

“ทำไมถึงเป็นข้าไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าก็เป็นของมันทำไมถึงเป็นข้าไม่ได้”

“คะ...คุณพูดเรื่องอะไร”

“เจ้าจำมันไม่ได้อย่างนั้นหรือ น่าเศร้าใจยิ่งนัก”

“ผมไม่เข้าใจคุณต้องการอะไร”

“สิ่งที่ข้าตรงการก็คือดวงใจของเจ้า ร่างกายของเจ้าอย่างไรเหล่า”
คำตอบที่เอ่ยกลับมานั้นพาลให้ข้าวสวยนึกถึงความฝันเมื่อไม่นานมานี้ มันคืออะไรกันแน่เหตุใดเขาถึงต้องฝันถึงเรื่องราวน่าเจ็บปวดเหล่านั้นด้วยยังคนตรงหน้าที่บอกว่าคือรามิฬนี้อีกตกลงแล้วมันยังไงกันข้าวสวยจะไม่สับสนถึงเพียงนี้ถ้าคนตรงหน้าไม่ได้บอกว่าคือรามิฬ และยังสิ่งที่เขาพูดอีกมันช่างเป็นเรื่องราวที่คล้ายกันเสียเหลือเกิน

“หมายความว่าไง ผมไม่เข้าใจ”

“หึหึ แล้ววันหนึ่งเจ้าจักเข้าใจสิ่งที่ข้าเอ่ย จันทราของข้า” รามิฬว่าก่อนจะกุมลงหวังจุมพิตคนตรงหน้าที่คิดถึงมาแสนนานแต่ก็ต้องหยุดเมื่อเสียงของอีกคนที่เขาแค้นเคืองนั้นดังขึ้น

“เจ้าจะทำสิ่งใด!” อัสบัสที่พึ่งเข้ามาหลังจากมีคนไปรายงานว่าข้าวสวยต้องการพบเขาด่วนทำให้ต้องทิ้งการประชุมออกมาแต่เมื่อมาถึงก็แทบระงับความโกรธไม่ได้เมื่อภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นมันทำให้เขาแค้นใจ อัสบัสไม่รู้หรอกว่าชายตรงหน้าที่อยู่กับคนรักของเขานั้นคือใครแต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหมากนักนั้นคงเป็นอาการของคนรักที่หวาดกลัวจนร่างกายสั่นไหว

“อัสบัส!” ข้าวสวยเอ่ยชื่อคนเป็นสามีอย่างตกใจรีบผลักอีกคนอกทันที่ก่อนจะรีบก้าวลงจากเตียงไปหาอัสบัสทัน แรงถาโถมที่พุงเข้ามาทำให้อัสบัสเซนิดหน่อยแต่ก็รับคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างหวงแหน
ข้าวสวยร้องไห้ออกมันทันทีที่รับรู้ถึงแรงกอดของอีกคนความกลัวที่กักเก็บไว้นั้นถูกระบายออกมาด้วยแรงสะอื้นและร่างกายที่สั่นเทาจนอัสบัสนึกเป็นห่วงยิ่งนัก คนตัวเล็กคงรู้สึกกลัวมากสินะเขาไม่น่าปล่อยให้อยู่คนเดียวเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่าไรกัน” อัสบัสเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเสียงดังจนคนในอ้อมกอดสะดุ้ง

“ไม่ได้เจอกันนานเหลือเกิน คาวินสหายข้า”
อัสบัสรู้สึกสะอกกับชื่อเรียกของเขาที่อีกคนกล่าวออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง คนๆนี้คือใครกันแน่


ตอนที่ 15 น่าาาาา

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
 ตอนที่ 16 ต้นกำเนิดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา

    “อะไรกันสหายข้า เหตุใดเจ้าถึงทำหน้าเยี่ยงนั้น” รามิฬเอ่ยถามอัสบัสขึ้นก่อนจะกระตุกยิ้มมุม

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!”  อัสบัสถามขึ้นเสียงดังสายตาจ้องมองอีกคนอย่างนึกระแวง

“ข้าก็คือผู้คลอบงำความมืดของโลกนี้อย่างไรเล่า” เพียงสิ่งที่อีกคนกล่าวมันก็ทำให้อัสบัสนึกถึงชื่อใครคนหนึ่งขึ้นเสียทันที อาเทอร์ ผู้เป็นดั่งความมืดที่กัดกินพื้นที่โลกปีศาจไปหลายอาณาบริเวณ หน้าตาของคนนั้นเป็นแบบนี้อย่างนั้นหรือใบหน้าและร่างกายต่างเต็มไปด้วยร่องรอยความมืด

“เจ้าต้องการสิ่งใด อาเทอร์”

“เหตุใดเจ้าถึงถามคำถามที่เจ้ารู้คำตอบเป็นอย่างดีเล่าท่านราชาปีศาจ” ใช่อัสบัสรู้ดีว่าอาเทอร์นั้นต้องการสิ่งใดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวงแหนยิ่งชีวิต ข้าวสวย

“เจ้าอย่าได้หวังว่าจักเอาคนของข้าไปได้”

“ดูท่านช่างมั่นใจเหลือเกิน แต่ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ ชาตินี้เจ้าไม่มีวันได้ครองจันทราเป็นแน่แท้”

“เจ้าหมายความถึงสิ่งใด?” อัสถามขึ้นอย่างนึกสงสัยมือหนากระชับกอดคนรักแน่นยิ่งขึ้นทำไมเขาถึงรู้สึกใจไม่สู้ดีเลย แต่แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้นทำให้อัสบัสแทบลืมหายใจ ตราแห่งราหูทมิฬ ที่ถูกเผยจากสาบเสื้อนั้นมันบีบคั่นหัวใจเขาเหลือเกินกลัวเหลือเกินอัสบัสเผลอกอดข้าวสวยแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“การที่เจ้าเห็นมันนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจักเลิกเสแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเสียที คาวิน”

“ข้าไม่รู้อะไรทั้ง เจ้าอย่าได้หวังเลยทุกสิ่งมันจักต้องไม่มีวันเกิดขึ้น” .ใช่มันจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วข้าจักรอดูวันนั้น แต่ข้าจะบอกเจ้าไว้อีกอย่างเมื่อก่อนมันเคยเป็นอย่างไรมันก็จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่าหวังว่าพวกเจ้าจะได้สุขเลยตราบใดที่ข้ายังสุขไม่ได้” เป็นเพราะความโกรธแค้นในอดีตเป็นตัวเหนี่ยวรังให้อีกคนไม่ยอมปล่อยแม้เวลาจะล่วงผ่านไปนานแล้วก็ตาม

อัสบัสทำเพียงเงียบเท่านั้นจนร่างของผู้ครองราหูทมิฬได้จางหายไปท่ามกลางมวลอากาศ ทำไมจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นหมายถึงสิ่งใดใช่อัสบัสรู้ทุกอย่างเพียงแต่ไม่ทราบตัวตนของคนผู้นี้จนกระทั่งวันนี้ มันคงจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้วใช่หรือไม่ เรื่องที่เขากลัวที่สุดทั้งที่ดีใจเท่าไรที่ได้พบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา ต้องรอมานานแสนนานกว่าการพบกันจะเกิดขึ้น การปรากฏตัวของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเป็นดั่งคำทำนา

นั้นยามใดที่มวลหยาดน้ำไหลมาบรรจบไอแสง เหล่ามวลความรักจักบังเกิด สุขนั้นทั่วอณาราช พลันวิบัติจักเคลื่อนไปทั่วแคว้นแดน  ความหมายของมันนั้นคือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราพบเจอกับผู้ครองแสงแห่งราวินทราความรักจากใจทั้งสองจะเกิดขึ้นความสุขนั้นจะตามมาไปทั่วบริเวณ และเมื่อนั้นความวุ่นวายจะทั่วไปทุกพื้นที่ของโลก และตอนนี้ความวิบัตินั้นกำลังจะมาเยือนโลกดั่งครั้งอดีตกาลอีกครั้งความวิบัติที่ขับเคลื่อนไปด้วยความแค้นและความรักบทสรุปในคลานี้หารู้ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรจะเป็นเหมือนดั่งครั้งวันวานหรือจะแปลเปลี่ยนไปนั้นหารู้ไม่สิ่งที่ทำได้มีเพียงยอมรับชะตากรรมนี้แล้วสู้กับมันและจะเป็นตัวเขาเองที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ เมื่อครั้งนั้นอาจจะพลาดไปจนเราสองพรากกันครั้งนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงมันให้จงได้

“มันหมายความว่ายังไง เรื่องนี้เกี่ยวกับผมใช่ไหม” เสียงเล็กๆที่ติดสั่นเอ่ยขึ้นถามอย่างแผ่วเบา

“มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจักต้องรู้ที่รักของข้า”

“ทำไมจะไม่จำเป็น เรื่องนี้มันเกี่ยวกับผมใช่ไหม ที่ผู้ชายคนนั้นพูดมันคืออะไร คุณรู้ใช่ไหมแต่คุณไม่บอกผม”

“ข้าเองก็ไม่รู้สิ่งใด” เสียงแผ่วเบาจากคนเป็นราชาตอบกลับมา

“ทำไมๆคุณถึงไม่บอกอะไรผมเลย คุณจะให้ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม”

“ข้าขอโทษ แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า”

“คุณมันเห็นแก่ตัวที่สุด!” เสียงเล็กตะโกนว่ากลับไปเสียงดังก่อนจะเดินหนีจากคนเป็นสามีไปแต่แค่เพียงก้าวเดินไม่กี่ก้าวข้าวสวยก็รู้สึกหน้ามืดก่อนจะวูบไปได้ยินเพียงเสียงของอัสบัสที่เรียกตนเสียงดัง
อีกด้านของโลกปีศาจที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจนพื้นที่นั้นมืดมิดอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกนั้นชวนหันคนที่ย่างกายเข้ามาต้องหวาดกลัวแต่ก็ใช่จะเป็นกับน้องชายของราชาปีศาจ

“เจ้าช่วยเดินให้ช้าลงหน่อยไม่ได้หรือไร”

“ก็ข้าบอกท่านแล้วว่าเดินให้มันเร็วๆท่านอยากให้พวกปีศาจชั้นต่ำพวกนั้นพบหรือ”

“แล้วนี้เจ้ากำลังพาข้าไปที่ใดกัน คลูส”

ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันมิคาร์เอลและคลูสก็มักพบเจอกันบ่อยคงเป็นเพราะคลูสเข้ามาหาเขาทุกครั้งตลอดหลายวันที่รู้จักกันก็ทำให้มิคาร์เอลรู้ว่าคลูสไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรออกจะดูน่าสงสารเสียด้วยซ้ำไปการเป็นผู้รองรับมนต์ทินจากราหูทมิฬนั้นมันช่างดูทรมานยิ่งนักอย่าถามเลยว่าเขารู้ได้อย่างไรเพราะมิคาร์เอลเห็นมันมากับตาเมื่อคืนที่ผ่านมาร่างกายที่บิดเร้าไปด้วยความเจ็บปวดรอยความมืดมิดที่เคลื่อนบนร่างกายนั้นดูน่าหวาดกลัวมันช่างดูแสนทรมานเหลือเกิน กี่ปีมาแล้วที่ต้องทนกับความเจ็บเช่นนี้มิคาร์เอลได้แต่ร้องถามกับตัวเองภายในจิตใจ

การพบเจอกับคลูสทำให้มิคาร์ได้รู้เรื่องราวหลายๆอย่างที่น่าตกใจแต่ก็ไม่กล้าเล่าให้คนเป็นพี่ชายได้ฟังเพราะกลัวจะวิตกกังวลมากขึ้นยังช่วงนี้พี่สวยไม่สบายและข่าวดีของวันนี้ก็คือการที่พี่สวยของเขากำลังจะมีหลานตัวน้อยๆให้แก่เขา
คลูสเล่าให้ฟังว่าอาเทอร์กับผู้ครองราหูทมิฬคือคนๆเดียวกันที่มันค่อยกัดกินพื้นที่ของโลกปีศาจเพียงเพื่อรอค่อยการมาของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา และบัดนี้มันได้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง แต่เรื่องที่ทำให้มิคาร์เอลตกใจที่สุดเป็นเรื่องราวความรักและความแค้นเมื่อครั้งอดีตกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง หลังจากนี้เขาต้องรีบบอกข่าวให้แก่ผู้เป็นพี่ชายได้รู้

“ข้าจะพาท่านไปพบคนสำคัญของข้า” เสียงคลูสที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น

“เหตุใดข้าต้องพบด้วย”

“เพราะท่านเป็นของข้าอย่างไรเหล่า”

“ใครบอกกันว่าข้าเป็นของเจ้า”

“ก็ข้าบอกอยู่นี้ไงเล่า อ่อ ท่านคงไม่ลืมไปหรอกนะเรื่องที่ท่านเป็นของข้าอยากให้ข้าทบทวนให้หรือไม่”

“อะ...ไอ้บ้า” ถึงอยากจะเถียงกลับแต่ก็มิคาร์เอลก็ไปต่อไม่ได้เมื่อสิ่งที่อีกคนพูดมานั้นมันคือเรื่องทุกที่อย่างตัวเขาเองไม่อยากจะยอมรับ ใช่เขาเป็นของอีกคนไปแล้วถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจนักแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกคนไปกลับไม่ขัดขืนที่อีกคนจะเชยชมร่างกาย นึกขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกอายช่างน่าอายยิ่งนักที่ไปใจง่ายให้คนต้องสาป

ตอนนี้ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่กำแพงหินขนาดใหญ่ที่คลูสมักมาเป็นประจำเพราะมีคนสำคัญถึงสองคนที่อยู่ในที่แห่งนี่

“แม่!” คลูสเอ่ยเสียงเรียกคนเป็นมารดาผ่านช่องหินเล็กๆ

“มาแล้วหรือลูก เป็นอย่างไรบ้างหายไปสองสามวัน อยู่ได้อย่างไรกันโดยไม่รับเลือด” หญิงชราเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงคนเป็นแม่นั้นใจแทบสลาย แม้คลูสจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเธอแต่เธอก็รักยิ่งกว่าลูกคงเพราะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก

“ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“หึ ไม่ได้เป็นอะไรแต่รอยโสโครกที่เพิ่มขึ้นมานั้นมันอะไรกัน” เสียงของชายชราพูดขึ้นมาอย่างดุ แม้เสียงที่พูดนั้นเหมือนจะเป็นการว่ากล่าวแต่คลูสรู้ดีว่านั้นเพราะความห่วงใย

“เอ่อ...คือ” คลูสไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะหลักฐานก็มีอยู่ให้เห็น

“ทำไมถึงทำแบบนี้อย่าให้แม่เป็นห่วงนักสิ”

“ผมขอโทษ”

“แล้วนั้นพาใครมาด้วยละไม่คิดจะแนะนำให้แม่กับพ่อรู้จักหรืออย่างไร” เธอถามถึงมิคาร์เอลที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ

“เอ่อ...นี้ท่านมิคาร์เอลเป็นน้องชายของสามีน้อง” เมื่อได้ยินที่คลูสพูดมิคาร์เอลแทบหันมองคลูสอย่างทันที

“เจ้าว่าอย่างไร ทำไมเจ้าถึงเรียกพี่สวยว่าน้อง”

“ที่ข้าพาท่านมาที่นี้ก็เพราะเรื่องนี้ ท่านทั้งสองที่อยู่ในนั้นคือพ่อและแม่ของข้าวสวย”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ แต่จากประวัติท่านทั้งสองเสียไปที่โลกมนุษย์” มิคาร์เอลตอบขึ้น นี้มันเรื่องอะไรกันอีก

“นั้นเป็นเพราะอาเทอร์เรื่องที่ข้าจะเล่าต่อไปมันอาจจะไม่น่าเชื่อแต่ข้าอย่างให้ท่านรู้ไว้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นคือความจริงทุกอย่าง”

“....”

“เดิมทีแล้วท่านทั้งสองเป็นชาวโลกปีศาจพวกท่านก็ต่างใช้ชีวิตกันอย่างปกติจนกระทั้งมีบุตรชายกำเนิดขึ้นมาแต่เพราะชะตาหรืออะไรก็แล้วบุตรท่านนั้นมีตราหยาดน้ำแห่งจันทราที่หน้าอกพวกคนเก่าคนแก่ต่างรูปดีว่าเมื่อใดที่ผู้ครอบครองหยาดน้ำแห่งจันทราถือกำเนิดขึ้นมันย่อมเป็นภัยต่อผู้ครอบครองท่านทั้งสองเลยพากันไปอยู่ที่โลกมนุษย์ใช่ชีวิตอย่างมนุษย์ปลูกฝังลูกให้เป็นมนุษย์ต่อมาท่านมีลูกชายอีกหนึ่งดีที่คนนี้ไม่มีสิ่งใด ทั้งสี่ต่างใช่ชีวิตกันอย่างปกติสุขจนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วอาเทอร์ได้ไปยังโลกมนุษย์และได้พบเจอกับพวกซึ่งมันรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราแต่ด้วยความที่แม่เป็นผู้ให้กำเนิดทำให้มีกลิ่นอายของตราหยาดน้ำแห่งจันทราเลยใช้อุบายหลอกอาเทอร์ทางอาเทอร์ก็หลงกลเลยหาผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราไม่พบเลยจับท่านทั้งสองมาและสร้างสถานการณ์จอมปลอมบนโลกมนุษย์”

“อย่างนั้นก็แสดงว่า...”

“ใช่ข้าวสวยรากเดิมแล้วเป็นชาวปีศาจเหมือนพวกเราไม่สิเหมือนพวกท่านต่างหาก” มิคาร์เอลงงกับคำตอบของคลูสพูดเหมือนกับตนเองไม่ใช่ปีศาจ

“???”

“ข้าไม่ใช่ปีศาจเป็นแค่เพียงมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นอาเทอร์เลยพาตัวข้ามาเพื่อรองรับมนต์ทินของราหูทมิฬ ข้าคงอยู่ได้ไม่ถึงทุกวันนี้หากไม่ได้รับเลือดจากผู้ให้กำเนิดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา โชคดีที่อาเทอร์ไม่นึกเอะใจเพราะคิดว่าข้าเป็นปีศาจด้วยกันเลยทนมนต์ทินได้นาน” สีหน้าคลูสที่แสดงออกมานั้นในทำให้มิคาร์เอลนึกสงสารจับใจคลูสเป็นแค่เหยื่อผู้โชคร้ายที่ถูกดึงเข้ามาในวังวนของเรื่องนี้ มิคาร์เอลไม่รู้หรอกว่าตัวเองเข้าไปโอมกอดคนตัวใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเพื่อแค่อยากมอบกำลังใจให้คนๆนี้แค่อย่างให้รู้ว่าตรงนี้ยังมีเข้าอยู่

จากที่ฟังคสูลเล่ามาก็สรุปได้ว่าพี่สะใภ้ของเขาคือชาวปีศาจด้วยเหมือนกันและยังเป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา เพราะอย่างนี้มณีจันทราถึงเลือกพี่สวยไม่ใช่แค่เพราะพี่สวยเป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราแต่ยังเป็นพวกเราชาวปีศาจมิคาร์เอลเข้าใจดีแล้วว่ามณีจันทราไม่ได้เลือกมนุษย์มาเป็นคู่ครองของพี่ชายเพราะรู้อยู่แล้วว่าข้าวสวยคือชาวปีศาจถึงได้เลือกและยิ่งเป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราด้วยแล้วไม่แปลกเลยที่มณีจันทราจะเลือกมาโดยไม่มีข้อขังขาใดๆ


ตอนที่ 16 ตามมาติดๆๆๆๆๆ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2017 10:56:59 โดย ตั้งโอ๋ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
บทที่ 17 รอยความรู้สึกของจิตใจ

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

“พี่สวยหาใช่มนุษย์ไม่”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรมิคาร์เอล”

“ข้าก็หมายความว่า...” มิคาร์เอลได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆที่ตนเองรับรู้มาให้แก่ผู้เป็นพี่ชาย ตลอดระยะเวลาที่อัสบัสฟังน้องชายบอกกล่าวนั้นหารู้ไม่ว่ากี่ครั้งกันที่ต้องตกใจ มันหลายครั้งจนตัวอัสบัสเองยังนึกแปลกใจ ‘ข้าวสวย’ เรื่องราวชีวิตของคนรักนั้นซับซ้อนเหลือเกิน

“นี้มันอะไรกัน เจ้าคงไม่ได้หลอกข้า”

“ข้าจะหลอกท่านทำไมเล่า”

“แล้วท่านพ่อ ท่านแม่ ของข้าวสวยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ผ่ายผอมดูน่าสงสารยิ่งนัก”

“เจ้าอย่าได้บอกการนี้ให้ข้าวสวยได้รับรู้ คงต้องดูสถานการณ์ไปก่อน” ไม่ใช่ว่าอัสบัสอยากจะปิดบังคนรักไม่ให้ได้รู้เรื่องอะไรหากแต่การรับรู้สิ่งเหล่านี้พาลแต่จะทำให้อีกคนเป็นกังวลและอันตรายไม่ควรรู้เรื่องใดนั้นย่อมเป็นการดีแล้ว

“แล้วท่านพ่อ ท่านแม่ของพี่สวยเล่า”

“ข้าจักต้องช่วยพวกท่านเป็นแน่ แต่เวลานี้เราต้องเตรียมแผนให้รัดกุมเสียก่อน ข้าอยากพบผู้ที่บอกเรื่องราวเหล่านี้แก่เจ้า”

“คะ...คลูส นะหรือ เหตุใดท่านพี่ต้องการพบเขา”

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าผู้นั้นหวังดีต่อพี่สะใภ้เจ้าและเหล่าพวกเราข้าก็อยากขอแรงเขา มันยิ่งเป็นการดีที่คนผู้นั้นเป็นคนของอาเทอร์เราจะได้ถึงตัวมันได้โดยง่าย”

“ข้าจะบอกคลูสให้ก็แล้วกัน”

“ขอบใจเจ้ามาก นับจากนี้เราจะยุติทุกอย่างตั้งแต่ครั้นอดีตจนถึงวันนี้” ใช่เขาจะยุติเรื่องราวบ้าๆที่มันยึดเยื่อมายาวนานนี้ให้จบเสียทีไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตามแม้แต่ชีวิตเขาเองก็ยอม มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่อัสบัสไม่อาจให้สูญเสียได้ ข้าวสวยและลูก

อุก อ้วกๆๆๆๆ อ้วกๆๆ

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” อัสบัสที่พึ่งเดินเข้ามาถามขึ้น เขาแค่ออกไปคุยกับมิคาร์เอลครู่เดียวเลยปล่อยให้คนที่หลับอยู่ๆกับไพทรีแต่ครั้นเมื่อกลับเข้ามาคนที่หลับกลับตื่นขึ้นมาโก่งคออ้วกลงในกระโทนที่ไพทรีจับอยู่
อัสบัสรีบเดินเข้าไปคว้าร่างเล็กที่ดูเหนื่อยหน่ายจากการอาเจียนมาโอบไว้เบาๆ มักเป็นแบบนี้ทุกเช้าที่จะได้ยินเสียงอ้วกของข้าวสวยที่ดังไปทั่วบริเวณตำหนัก

แม้มันจะเป็นเพียงอาการแพ้ท้องคนเป็นสามีก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้แค่เมื่อวานเห็นคนรักล่มพับไปต่อหน้าก็ทำให้หัวใจเจ็บแทบสลายนับวันอาการแพ้ท้องยิ่งหนักขึ้นอย่างไม่มีทางแก้ไขอัสบัสทำได้เพียงค่อยดูแลอีกคนอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ร่างเล็กๆค่อยๆหันมาซบลงบนอกแกร่งอย่างไรเรี่ยวแรงเพราะอาการแพ้ท้องที่รุมเร้าทำให้ต้องตื่นจากการนอนมาโก่งคออ้วกอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่างกายเหนื่อยล้าจนแทบไม่อยากจะขยับไปไหนได้แต่ทิ้งตัวลงบนอกของสามี

ทั้งห้องต่างตกอยู่ในความเงียบอัสบัสรู้ดีว่าคนรักของเขานั้นเหนื่อยเกินกว่าจะทำการใดเขาเองก็ไม่อยากถามไถอะไรให้มากความเพราะรู้ดีอยู่แล้วได้แต่เอามือลูบลงบนปอยผมสีทองอย่างต้องการให้กำลังใจแม้มันจะเป็นเพียงการลูบเส้นผมเบาๆแต่ข้าวสวยรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากอีกคนที่ส่งผ่านมือนั้นมา ไม่ต้องเอ่ยอะไรทั้งสองก็ต่างเข้าใจกันดีในความรู้สึกนี้ คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของความรักใช่หรือไม่ทั้งสองได้แต่คิด

อีกด้านหนึ่งของโลกมนุษย์

 “เจ้า! อยู่หลังพี่ห้ามห่างพี่เด็ดขาด”

 “ครับ” เสียงสั่นๆตอบกลับไป มองดูคนที่ปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิดอย่างหวั่นกลัว

“เจ้าชนกลุ่มใดกัน” รีฟเฟอร์ร้องถาม

“อย่าถามในเรื่องที่ท่านรู้อยู่แล้วเลยท่านองครักษ์” เสียงหนึ่งจากคนใต้ชุดคลุมตอบกลับมา ใช่ตัวรีฟเฟอร์นั้นพอคาดเดาได้ว่าเป็นพวกใด มันรู้จนได้สินะ รีฟเฟอร์คิด

“อย่าได้หวัง เพราะข้าไม่มีทางให้เจ้าได้แตะแม้ปลายเส้นผม” เสียงเรียบแต่ดุดันและเย็นเฉียบราวน้ำแข็งนั้นดังออกมา ข้าวเจ้านึกตกใจกับเสียงของคนตรงหน้ามันเป็นครั้งแรกที่ข้าวเจ้าได้ยินเสียงที่น่ากลัวแบบนี้ของอีกคน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมักได้รับฟังเสียงทุ่มที่นุ่มและอ่อนโยนส่งมาให้เสมอนึกตกใจที่น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับว่ามันจะบาดขั้วหัวใจแต่กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างที่ตัวเองก็หาคำตอบไม่ได้

“แล้วเราจะได้รู้กันว่าข้าจักได้แตะแม้เพียงปลายเส้นผมหรือไม่ พรึบ!” จบคำของคนปริศนาปลายดาบแหลมใต้ผ้าคลุมดำสนิทก็พุ่งเข้าหารีฟเฟอร์ทัน หากแต่รีฟเฟอร์นั้นว่องไวดุดสายลมคว้าร่างคนตัวเล็กแล้วหลบปลายดาบแหลมอย่างรวดเร็ว

“พะ..พี่รีฟ” เสียงสั่นของคนตัวเล็กในอ้อมแขนที่กำลังสั่นเทานั้นเอ่ยขึ้นเรียกให้รีฟเฟอร์ต้องก้มลงมอง รู้ดีว่าข้าวเจ้านั้นกลัวไม่น้อยเพราะแรงสั่นของร่างกายนั้นบอกเขาอย่างชัดเจน

“ไม่ต้องกลัวพี่อยู่ตรงนี้ เจ้าหลบไปก่อนนะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนที่ชื่นเหงื่อแล้วปล่อยคนในอ้อมกอดให้หลบออกไป ข้าวเจ้านั้นทำตามอย่างรู้งานรู้ดีว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้จะค่อยถ่วงรีฟเฟอร์เสียเปล่าๆเลยเดินมาหลบที่มุมประตูแม้จะรู้สึกกลัวมากเพียงใดก็ตาม แต่ข้าวเจ้าเชื่อว่ารีฟเฟอร์สามารถปกป้องเขาได้แน่นอน

ไม่ใช่ว่าข้าวเจ้าไม่สงสัยว่าเหตุใดคนปริศนานั้นถึงต้องการตัวเขาแต่ครั้นจะให้ถามไถตอนนี้ก็ใช่เรื่องเพราะต่างฝ่ายต่างฟาดฟันกันอยู่ ข้าวเจ้าตกใจทุกครั้งที่เสียงคมดาบปะทะกัน ข้าวของภายในบ้านนั้นกระจุยกระจายอย่างไม่เหลือชิ้นดี ด้วยคมดาบของทั้งสอง แม้ยามนี้รีฟเฟอร์จะยังไม่เป็นอะไรแต่ข้าวเจ้าก็อดห่วงไม่ได้เวลาที่คมดาบพุ่งเข้าหา
ทางรีฟเฟอร์นั้นแม้จะจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้าที่ดูจะตึงมือเพราะคู่ต่อสู้นั้นฝีมือดีไม่น้อย อดห่วงอีกคนที่กำลังหลบมุมไม่ได้ ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นมากันกี่คนไม่อาจเดาได้เลยว่ายามที่เขากำลังต่อสู้กับคนผู้นี้จะไม่ใครอื่นเข้าหาข้าวเจ้าหรือไม่

“อะ! ปล่อยนะ พี่รีฟ” เสียงร้องของข้าวเจ้าเสียงให้รีฟเฟอร์ต้องหันมอง ตกใจจนแทบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้ต่างจากที่คิดเท่าไร ใช่มันไม่ได้มีคนเดียวแต่มีถึงสาม รีฟเฟอร์นึกโมโหตัวเองไม่น้อยที่ให้คนสำคัญอยู่ในอาณัติของคนปริศนาใต้ผ้าคลุมสองคนนั้น

“ข้าวเจ้า!” รีฟเฟอร์เอ่ยเรียกขึ้นดังอย่างนึกเป็นห่วง ครั้นจะเข้าไปหาอีกคนก็ติดต่อสู้อยู่กับคนใต้ชุดคลุมก่อนหน้า

“หึหึ ข้าคงต้องขอรับตัวท่านข้าวเจ้าไปก่อนแล้วละท่านองครักษ์ หึหึ”

“อย่าได้หวัง!” เอ่ยจบรีฟเฟอร์พุ้งเข้าหาคนตรงหน้าทันทีอย่างไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว มือข้างหนึ่งที่ว่างจากการจับกุมดาบนั้นก่อเกิดดวงไฟสีแดงก่อนมันจะพุ้งไปด้านหลังของตนเองไปปะทะเท่ากับร่างใต้ชุดคลุมคนหนึ่งที่จับตรึงข้าวเจ้าไว้นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงไม่น้อยเมื่อผู้นั้นกระเด็นออกไป ข้าวเจ้าใช้โอกาสนั้นสลัดออกจากการจับกุมของอีกคนอย่างนึกกลัว แล้ววิ่งตรงไปยังรีฟเฟอร์ทันที มาถึงได้ตัวของข้าวเจ้าก็ถูกรีฟเฟอร์โอมกอดไว้อย่างไม่รอช้าคนในอ้อมกอดทำเพียงซบหน้าลงกับอกของอีกคนด้วยร่างที่สั่นเทาจากความกลัว

ทางอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนที่หมายปองนั้นหลุดมือไปก็นึกเจ็บใจ ส่งปลายดาบแหลมคมเข้าหาสองร่างที่กำลังกอบกุมด้วยโทสะ
เสียงของคมดาบที่กระทบกันนั้นทำให้ความหวาดกลัวก่อเกิดเพิ่มขึ้นทุกขณะแต่ก็ยังรู้สึกปลอดภัยจากอ้อมแขนของอีกคนที่แม้จะต้องรับกับคมดาบก็ยังคงโอมกอดข้าวเจ้าไว้ไม่ห่างกาย

นับว่าการต่อสู้ครั้งนี้นั้นติดจะตึงมือไปเสียหน่อยเพราะค่อยเป็นห่วงอีกคนคงต้องรีบทำให้มันจบๆไปรีเฟอร์คิด และมันก็เป็นไปดั่งนั้นเมื่อดวงไฟสีแดงพุ่งเข้าใส่ผู้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมทั้งสามอย่างนับไม่ถ้วนก่อนจะล้มนอนลงอย่างไรเรี่ยวแรง รีฟเฟอร์ใช้โอกาสนี้พาข้าวเจ้าออกจากตัวบ้านที่ด้านในนั้นคงไร้ซึ่งสภาพที่ดูดีไปเสียแล้ว

ข้าวเจ้าวิ่งตามแรงดึงของอีกคนก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าบ้านมองดูรีฟเฟอร์วาดมือไปตามอากาศอย่างนึกสงสัยและก็ต้องตกใจเมื่อเกิดเป็นบานประตูสี่เหลี่ยมที่ด้านในมืดมิดจนน่ากลัว แต่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อรีฟเฟอร์รั่งให้เดินก้าวเข้าไป

”พี่รีฟจะ...จะไปไหน” ข้าวเจ้าที่รั้งมืออีกคนไว้ถามขึ้นอย่างนึกกลัว ไม่รู้ว่าด้านในนั้นจะเป็นอย่างไรเขาไม่อาจกล้าเข้าไปจริงๆ

“ไม่ต้องกลัว ประตูนี้จะพาเราไปยังโลกปีศาจ” รีฟเฟอร์ตอบพร้อมกับลูบหน้าของคนตัวเล็กที่ซีดลงเพราะความกลัวนึกโทษตัวเองที่ทำอะไรไม่บอกกล่าวอีกคนคงกลัวไม่น้อย

 “โลกปีศาจ?”

“ใช่ เราต้องไปที่นั้นพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเจ้าอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้มันอันตราย”

“ตะ...แต่”

“เชื่อใจพี่นะ ไปที่นั้นเจ้าจะปลอดภัย และยังได้พบพี่สวยของเจ้าไง”

“จะได้เจอพี่สวยจริงๆใช่ไหม”

“ใช่สิ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว แค่ก้าวผ่านประตูนี้เจ้าก็จะได้เจอพี่สวยเชื่อพี่นะ”
ข้าวเจ้ามองคนตรงหน้าก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบกลับไป แม้จะกลัวก็ตาม แต่เมื่ออีกคนบอกไม่ต้องกลัวอะไรข้าวเจ้าก็จะเชื่อมันเพราะทุกครั้งสิ่งที่รีฟเฟอร์บอกกล่าวนั้นมักเป็นจริงเสมอเขาถึงเชื่อใจคนๆนี้มาโดยตลอดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และอีกอย่างยังจะได้เจอพี่สวยนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยเพราะเขานั้นคิดถึงผู้เป็นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมานานเหลือเกิน เราเหลือกันเพียงสองคนพี่น้องเท่านั้นแต่ข้าวสวยก็ต้องไปอยู่ไกลกันอีกแม้จะเหงา จะเสียใจ อยากจะร้องไห้เมื่อรู้สึกว่าเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวที่อยู่ในบ้านที่เคยมีทุกคนอยู่ แต่ข้าวเจ้าก็ยังเข้มแข็ง ยังอดทนได้ก็เพราะคนตรงหน้าที่ค่อยดูแลและใส่ใจทุกอย่างจนความเหงาและความกลัวนั้นหายไปนึกไม่ออกเลยถ้าไม่มีรีฟเฟอร์ตัวเขานั้นจะเป็นอย่างไร

รีฟเฟอร์ก้าวข้ามประตูนั้นไปก่อนจะยื่นมือส่งมาให้ข้าวเจ้าที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้ แค่อยากให้รู้ว่าตนเองจะไม่ไปไหนจะค่อยจับมือเล็กๆนี้ไม่ตลอดยอมรับเลยว่าตั้งแต่มาที่บ้านหลังนี้ และได้พบเจอกับคนตัวเล็กนั้นมันทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไปไม่น้อย ดวงตาสุกใสที่ดูเป็นประกายอยู่ตลอดเวลานั้นหากจ้องมองลงไปให้ลึกจะรู้ว่ามันมีอะไรหลายๆอย่างในใจอีกคน
ข้าวเจ้าก้มมองมือใหญ่ที่ยื่นส่งมาแล้วยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นจับมือของอีกคน มือนี้สินะที่ค่อยทำอะไรให้หลายๆอย่างแม้ระยะเวลาที่พบเจอกันจะไม่นานแต่มันก็ทำให้ข้าวเจ้ารู้ว่าคนๆนี้หวังดีกับเขาแค่ไหน ถ้าเขาอยากให้อีกคนจับมือกันไปแบบนี้ตลอดจะได้ไหมนะ

“พี่รีฟ! จับมือเจ้าไปตลอดได้ไหม ไม่ว่าเมื่อไรก็จะไม่ปล่อยมัน ได้ไม่” เร็วเท่าความคิด สิ่งที่คิดมันกลับพลั่งพลูออกมานึกอยากจะเอาคำพูดกลับคืนมาแต่ดูเหมือนมันจะไม่ทันไปเสียแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่อายกับคำพูดของตัวเอง

“ได้สิ สัญญาเลยว่าพี่จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปไหนเด็ดขาด” คลาแรกก็อดตกใจไม่ได้ที่อยู่ๆคนตัวเล็กเรียกชื่อแต่แล้วรอยยิ้มก็เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวแค่เพียงคำพูดของอีกคน ที่บอกไปว่าไม่มีวันปล่อยนั้นคือความรู้สึกจริงๆของเขา จะไม่มีเด็ดขาดวันที่จะปล่อยคนตัวเล็กให้หลุดจากมือไปไม่ว่าอีกคนจะสะบัดมันทิ้งก็ตาม เมื่อเขาบอกไม่ปล่อยมันก็จะไม่มีวันนั้นแน่นอน
เมื่อได้รับคำตอบจากคนตัวใหญ่ก็ยกยิ้มขึ้นมาทันทีบอกไม่ได้เลยว่ารู้สึกดีใจมากแค่ไหน ความอุ่นซานที่มันแผ่ไปทั่วร่างกายนี้มันอะไรกันข้าวเจ้าเองก็บอกไม่ได้รู้เพียงว่ายามนี้ใจเขานั้นสุขเหลือเกิน

ข้าวเจ้ายิ้มให้กับรีฟเฟอร์อีกครั้งก่อนจะก้าวข้ามบานประตูนั้นไป ทั้งสองต่างกอบกุมมือเดินหายเข้าไปในความมืดจนลับสายตาของชายแก่ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำพร้อมกับบานประตูที่ค่อยๆเลื่อนหายไปตามอากาศและเสียงแห้งเหี่ยวที่ว่า มันเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตไม่อาจแปรเปลี่ยน

ณ พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกสีขาวหนาตานั้นให้ความรู้สึกหนาวเย็นจนสุดขั้วหัวใจทั้งที่อุณหภูมิไม่ได้แตกต่างไปจากบริเวณอื่นของโลกปีศาจ หากคงเป็นเพราะเหล่าความรู้สึกที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณนั้นชวนให้หดหู่และหวาดกลัว ความเจ็บปวด ความอ้างว้าง และโดดเดี่ยวนั้นมันทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปยังขั้วหัวใจ

“ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าจะไม่ค่อยมาให้ข้าเห็นหน้าเลยนะคลูส เจ้าลืมหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือไร”

“ข้าหาได้ลืมหน้าที่ไม่ ข้าจะไปที่แห่งใดได้ท่านน่าจักรู้ดี”

“หึหึ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดเจ้าก็ยังคงเถียงข้าไม่เปลี่ยน”

“ข้าหาได้โต้เถียงท่าน ข้าไม่มีสิทธิ์นั้น” ใช่เขาไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปถกเถียงผู้ที่สาดเทความมืดใส่เขา ผู้ที่เปรียบเป็นดั่งเจ้าชีวิต

“แต่ข้าว่าหาเป็นเช่นนั้น แต่ก็ช่างมัน เข้าเรื่องเลยอย่าได้เสียเวลาเลย”

“ท่านมีเรื่องอันใดกับข้า” นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่อาเทอร์จะเรียกพบเขาหากไม่มีเหตุอันใด อย่างเช่นคลาก่อนก็ส่งเขาไปทำร้ายข้าวสวยที่เป็นน้องชาย แต่ก็แกล้งทำพลาดไป ครั้งนี้อย่าให้เป็นเรื่องนี้อีกเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรคลูสสามารถทำให้อาเทอร์นั้นพึ่งพอใจได้เสมอเพียงเพื่อแลกกับการเป็นอยู่ของสองชีวิตที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณ เว้นเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น

“มันก็หาใช่เรื่องหนักหนาอันใด ข้าเพียงต้องการน้องชายของราชาปีศาจเพื่อต่อรองกับมันก็เท่านั้น เจ้าทำได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำสั่งนั้นทำให้คลูสตกใจไม่น้อย น้องชายของราชาปีศาจก็ มิคาร์เอล ไม่เขาไม่อยากทำมันเลยคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากทำเลยตั้งแต่เมื่อพบเจอคนผู้นี้และยิ่งตอนนี้ มิคาร์เอลนับเป็นคนสำคัญของเขาคนหนึ่ง ใครอยากจะนำตัวคนรักมาให้กัน ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะไม่เต็มใจเท่าไรแต่มิคาร์เอลก็เป็นของเขาแล้วเป็นเรื่องลำบากใจไม่น้อยที่จะให้ทำอย่างนั้น

“ว่าอย่างไรเล่า ใยเจ้าถึงเงียบไปตอบข้ามา แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็หาปฏิเสธได้ไม่มันมีเพียงสิ่งเดียวคือเจ้าต้องทำ”
เพราะไร้ซึ่งคำตอบของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอาเทอร์เลยเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งนึกแปลกใจไม่น้อยที่คลูสผู้ที่เคยรับคำสั่งตนอย่างว่าง่ายแต่ครั้งนี้เหตุใดถึงเป็นเยี่ยงนี้หรือมีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับคลูส

“ข้าทราบแล้ว ขอตัวฝ่าบาท” ว่าจบก็จากลาคนเป็นท่านทันที
หลังจากออกมาคลูสคิดไม่ตกเกี่ยวกับคำสั่งของอาเทอร์ คงต้องคุยเรื่องนี้กับมิคาร์เอลเสียก่อน ยังนับว่าเป็นเรื่องดีที่อาเทอร์สั่งให้เขาจัดการกับเรื่องนี้ถ้าเป็นคนอื่นละก็เขาคงเป็นห่วงมิคาร์เอลไม่น้อยเลยทีเดียว

ทุกอย่างที่ทำไปนั้นพียงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและคนสำคัญจากที่เคยรู้สึกอะไรหลายๆอย่างเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกเหล่ามันก็ค่อยๆด้านชาจนไม่รู้สึกอะไร จนวันที่ได้พบกับรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ช่างแปร่งประกายจนตัวเขาเองละสายตาไม่ได้แม้แต่น้อย สีหน้าที่มีความสุขนั้นมันทำให้คลูสหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแค่เพียงครั้งแรกที่พบเจอ ยังจำได้ดีวันแรกที่พบเจอผู้ที่เป็นดั่งแสงสว่างในใจเขา วันนั้นวันที่ฟ้าสดใส สายลมที่เย็นสบายในสวนกุหลาบสีฟ้า คนๆนั้นที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกับข้าวสวย ใช่ คนๆนั้นก็คือ มิคาร์เอล ยามที่ผมสีแดงนั้นต้องแสงอาทิตย์ ปลิวไปตามแรงลม และรอยยิ้มนั้นมันทำให้ราวกับว่ารอบๆบริเวณนั้นมันเต็มไปด้วยประกายของความสุขจนตัวเขาเองยิ้มออกมาอย่างสุขใจ คงเพราะแบบนี้ถึงได้ตกหลุมรักอีกคนอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแม้จะรู้ดีว่ามันไม่ควร เขามันก็แค่ความมืดที่โสมมมีแต่จะทำให้แสงสว่างนั้นแปดเปื้อน แต่มันก็ยากเกินจะหักห้ามใจเหลือเกิน เพราะเหตุนี้เขาถึงได้เอาแต่ใจตัวเองบังคับให้อีกคนมาเป็นของตน
 


ตอนที่ 17 ตามมาติดๆๆเช่น แล้วจบเพียงเท่านี้น่าา เจอกันตอนหน้าคร่าาาาา

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
น่าเห็นใจคลูสเหมือนกันนะ ตกที่นั่งลำบาก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
มาแล้วๆๆๆๆ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตั้งโอ๋จะมาบอกว่า ขอหยุดอัพนิยายจนถึงเดือนเมษานะคะ เนื่องจากต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบบรรจุเลยไม่มีเวลานะคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆๆนะคะ
 รอเค้าหน่อยน่าาาสอบเสร็จจะรีบมาลงให้นะคะ
อย่าพึ่งทิ้งเค้าไปไหนนะตัวเอง เค้าขอโทษที่ต้องหยุดสักระยะหนึ่ง รักทุกคนนะคะ   ^3^   :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
สงสารคลูส อัสบัสต้องจบสงครามครั้งนี้ให้ได้นะ

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 18 คนที่เป็นดั่งความหวัง

“เจ้า!”

“พี่สวยยยย”

ร่างเล็กรีบเดินเข้าสวมกอดพี่ชายตนเองทันที คิดถึง คิดถึงมากๆ ข้าวเจ้าคิด ทางข้าวสวยก็มองน้องชายอย่างสงสัย มาที่นี้ได้อย่างไรกัน แต่ก็เก็บคำถามไว้ในใจ สวมกอดตอบน้องชายตัวเองอย่างนึกดีใจมันก็นามแล้วที่เราสองพี่น้องไม่ได้มานั่งกอดกันแบบนี้ แม้ข้าวสวยจะเหนื่อยล้าจากอาการแพ้ท้องที่รุมเร้าจนแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังสวมกอดน้องชายไม่ยอมปล่อยใบหน้าซีดนั้นยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ
“เจ้าคิดถึงพี่สวยจังเลย” ว่าจบก็ถูหน้าเล็กๆไปบนอกพี่ชายอย่างออดอ้อน ยามอยู่กับพี่ชายข้าวเจ้ามักทำตัวเด็กเสมอ ขี้อ้อน จนพี่ชายอย่างข้าวสวยนั้นอดไม่ได้ที่จะกุมลงหอมกลุ่มผมน้องเบาๆที่มักทำเสมอเมื่อน้องชายอ้อน

“แค่กๆ แห่ม” เสียงขัดจากร่างใหญ่ที่อยู่ข้างเตียงเรียกให้ข้าวสวยต้องหันมองก็พบสามีของตนเองยืนอยู่ใกล้ๆ อัสบัสมองหน้าตำนินิดหน่อยที่คนเป็นภรรยาไปหอมคนอื่น ถึงจะเป็นน้องชายก็เถอะเขาไม่ยอมหรอกนะข้าวสวยควรจะทำกับเขาแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไร

“อ๊ะ! พี่เขย”

“เจ้า! ทำไม่เรียกอย่างนั้นละ” ข้าวสวยว่าขึ้นทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะหน้าเห่อแดงขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจนทำให้ใบหน้าที่ดูซีดนั้นมีสีแดงฝาด อัสบัสอดยิ้มให้กับความน่ารักของคนรักไม่ได้

“ทำไม่ละ ก็เขาเป็นพี่เขยเจ้าจริงๆ” คนเป็นน้องไม่วายเถียงกลับมา

“ยังไงก็เถอะ แต่อย่าเรียกแบบนั้น” จะให้ข้าวสวยบอกไปได้อย่างไรกันว่าตนเองนะเขินแค่ไหนเมื่อยามได้ยินคำเรียกเช่นนั้น

“ก็ได้ เขินก็บอกมาเถอะ อิอิ”

“เจ้า!” ให้ตายสินะน้องชายคนนี้รู้ทันเขาไปหมดทุกอย่าง

“เจ้าตัวน้อยในท้องเป็นยังไงบ้างพี่สวย”

“ก็ร้ายนะสิ ทำพี่แพ้ท้องแถบไม่มีแรงทำอะไร”

“โฮ่ ร้ายตั้งแต่ในท้องเลยนะหลานน้า”

ทั้งสองต่างพูดคุยเรื่องต่างๆมากมายอย่างไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่ยื่นอยู่ใกล้ๆแม้แต่น้อย อัสบัสกับองครักษ์หนุ่มได้แต่มองหน้ากันก่อนจะถอดหายใจออกมา คงเพราะไม่ได้เจอกันนานทำให้สองพี่น้องนั้นมีเรื่องคุยกันเยอะ เลยตัดสินใจพากันเดินออกมาทั้งท่านและบ่าว แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ถูกเมียลืม ทางรีฟเฟอร์ก็ไม่ต่างกันสีหน้าหงอยๆนั้นอดทำให้คนเป็นนายนึกแปลกใจไม่ได้ องครักษ์ผู้ได้ชื่อว่านิ่งเงียบดุดน้ำแข็ง นั้นดูเหมือนน้ำแข็งในใจที่ฉาบหน้านิ่งนั้นหลอมละลายลงแล้วหรือไร ถึงได้แสดงสีหน้าที่ไม่ใช่แค่นิ่งเฉยแต่ก่อนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซ่ว

“หน้าเจ้าเหมือนดั่งหมาถูกทิ้ง องครักษ์ข้า”

“ฝ่ะ ฝ่าบาล!” อยากจะเถียงแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องเถียงออกอย่างไรเพราะรู้ตัวเองดี ก็มันอดไม่ได้จริงๆ ตอนอยู่โลกมนุษย์มีหรือที่ข้าวเจ้าจะไม่สนใจเขา พอมาเจอแบบนี้ก็อดน้อยใจไม่ได้ถึงจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าคนตัวเล็กของเขาคงจะดีใจที่ได้พบเจอพี่ชาย ยอมรับเลยว่าพอเป็นเรื่องของข้าวเจ้าไม่มีเลยที่รีฟเฟอร์จะนิ่งเฉยอยู่ได้ก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันความนิ่งเฉยที่เคยเป็นนั้นหายไปไหน

“หึหึ”

“ฝ่าบาลก็ไม่ได้แตกต่างจากกระหม่อนเท่าไรหรอกพะยะค่ะ” รีฟเฟอร์เอ่ยออกไปตามที่เห็น คนเป็นราชาถึงกับชะงักหยุดเดินอย่างกะทันหันยอมรับว่าจริง ก็เคยมีที่ไหนที่ข้าวสวยจะพูดคุยหยอกล้อสนุกแบบนั้นกับเขามันเลยอดรู้สึกไม่ได้

“ข้าว่าเราหยุดพูดเรื่องนี้กันเสียเถอะ มีเรื่องที่เราควรหนักใจยิ่งกว่า”

“เวลานี้มันไม่อยู่เฉยอีกเป็นแน่ฝ่าบาล”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น ตั้งแต่วันที่มันบุกเข้ามาพบข้าวสวย ข้ารู้ดีว่ามันต้องการประกาศสงครามกับข้า ข้าไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงอดีตเป็นแน่” อัสบัสหวังให้มันเป็นดั่งที่ตนคิดจักไม่มีวันที่เรื่องราวนั้นจะจบอย่างเลวร้ายเป็นอันขาด

 “เจ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ข้าไม่ยอมเป็นแน่”

“แต่ท่านพี่มันเป็นทางเดียวที่เราจะได้เข้าใกล้ตัวอาเทอร์”

“แต่ข้าไม่อาจเสี่ยงส่งเจ้าไปได้ มิคาร์เอล” อัสบัสว่าด้วยเสียงเครียดหลังจากพูดคุยกับคลูส มันทำให้เขารู้ว่าอาเทอร์ต้องการตัวมิคาร์เอลเพื่อต่อรองกับตนเอง อัสบัสไม่อาจเสียงส่งน้องชายเพียงคนเดียวของตนไปให้อาเทอร์ได้จริงๆ นับว่าเป็นการดีที่อาเทอร์สั่งการนี้แก่คลูส

“แต่”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น”

“ข้าก็เห็นด้วยกับท่านองค์ราชา มันเสี่ยงเกินไป มิคาร์เอล” คลูสที่ยื่นเงียบอยู่ข้างมิคาร์เอลพูดขึ้นห้ามอีกแรง

“ข้าดูแลตัวเองได้ พวกท่านลองคิดดู มันเป็นโอกาสดีที่เราได้เข้าใกล้มัน” มิคาร์เอลยังคงเถียงต่อ ไม่เข้าใจเลยจริงๆทำไมถึงไม่ยอมเห็นด้วย เขาโตแล้วดูแลตัวเองได้แล้วแท้ๆ และการที่อาเทอร์สั่งคลูสแบบนั้นมันต้องเป็นเรื่องดีสิที่จะได้เข้าถึงตัวอาเทอร์

“ข้ารู้ว่ามันเป็นโอกาสดี แต่เราลองหาวิธีการอื่นดูที่มันปลอดภัยกว่านี้” อัสบัสเอ่ยอีกครั้ง

“แล้วมันวิธีไหนกัน ท่านพี่ก็รู้ถ้าเราไม่รีบลงมือก่อนทางนั้นก็จะลงมือก่อน ข้าไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยหรอกนะ ข้ายอมรับมันไม่ได้ ท่านพี่ก็รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร ทั้งๆที่รู้ดีกว่าใครๆทำไม่ท่านพี่ถึงยังคงนิ่งเฉย” มิคาร์เอลเอ่ยทั้งดวงตาแดงกล่ำ เขาไม่อยากรับรู้เรื่องราวโศกอนาถกรรมแบบนั้นอีกเพียงครั้งเดียวก็เกินพอ แม้จะไม่รู้เรื่องราวอย่างละเอียดแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แล้วทำไมคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เต็มๆถึงยังนิ่งเฉย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

คลูสมองคนตัวเล็กข้างตนอย่างเห็นอกเห็นใจแม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่คนตัวเล็กพูดออกมาแต่ก็รับรู้ได้ว่ามันคงเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายไม่น้อย ได้แต่จับไหล่เล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นอย่างให้กำลังใจ

“เพราะข้ารู้ดีอย่างไร ถึงต้องระวังที่สุด เจ้าอย่าลืมว่าเราเหลือกันเพียงสองคนพี่น้องหากข้าส่งเจ้าให้มันข้าจะแน่ใจได้อย่างว่าเจ้าจะปลอดภัย” ทำไมมิคาร์เอลถึงไม่เข้าใจว่าพี่ชายอย่างเขานั้นก็เพียงเป็นห่วงน้องก็เท่านั้น

“ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่ข้ากลัว กลัวต้องเสียท่านกับพี่สวยไปเหมือนกัน ท่านก็รู้ว่าอาเทอร์คือใคร เขาคนนั้นเป็นผู้ครองราหูทมิฬนะ  ในอดีตท่านก็รู้ว่าคนๆนั้นทำอะไรไว้กับท่านและพี่สวย แม้ข้าจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแต่ท่านพี่ที่เป็นผู้ครองแสงแห่งราวินทราย่อมรู้ดี พี่สวยก็เหมือนกันท่านก็เห็นว่าพี่สวยฝันเห็นอดีตมากมายคิดว่าเราจะปิดบังเรื่องนี้กับพี่สวยได้อีกนานแค่ไหนกันวันหนึ่งก็ต้องรู้ ยิ่งถ้าเราช้ามันก็ยิ่ง..”

“มันจะไม่มีวันนั้น ข้าวสวยจะต้องไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่อง ทุกอย่างแม้แต่ชาติกำเนิด”

“ทำไม! ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้” เสียงเล็กตะโกนถามขึ้นมาเสียง จนทั้ง อัสบัส มิคาร์เอล คลูส และรีฟเฟอร์หันมองอย่างตกใจ ข้าวสวยแค่ต้องการพาข้าวเจ้ามาหามิคาร์เอลหวังว่าจะชวนกันไปเดินเล่นแต่ก็มาได้ยินเรื่องเหล่านี้อย่างไม่ตั้งใจ

“พี่สวย! เอ่อ” มิคาร์เอลมองข้าวสวยอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ข้าวสวยและข้าวเจ้ามองมาทางมิคาร์เอลเพื่อต้องการคำตอบแต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่อยู่ข้างมิคาร์เอลคือใคร

“พี่คลูส!” สองเสียงประสานเรียกกันโดยไม่ได้นัดหมาย  คนถูกเรียกหันมองก็ต้องรีบหลบหน้าอย่างรวดเร็ว มันไม่ควรเป็นแบบนี้
เท้าสองคู่ก้าวเข้าหาคลูสด้วยความตกใจ พี่ชายที่หายไปในวันที่พ่อแม่เกิดอุบัติเหตุทำไมถึงมาอยู่ที่นี้กันทั้งสองคิด

“พี่คลูสทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี้ได้ละ” ข้าวสวยถามขึ้น  ข้าวเจ้าก็พยักหน้าสมทบด้วยอีกที ทั้งสองดีใจที่ได้พบพี่ชายที่ค่อยดูและพวกเขามาตลอดตั้งแต่เด็กจนวันนั้นพี่ก็หายไปซ้ำยังพ่อแม่มาจากไปอีก ทั้งสองจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดีว่าทรมานแค่ไหน

“เอ่อ...เอ่อ คือเรื่องมันยาวเอาไว้พี่ค่อยเล่าให้ฟังได้ไหม” คลูสตอบไปด้วยสายตาอ่อนโยนมิคาร์เอลที่มองมานั้นรู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา

“เอางั้นก็ได้ คุณ! จะบอกผมได้หรือยังว่าปิดบังอะไรผมไว้” ข้าวสวยรับคำคลูสก่อจะหันไปเอ่ยคุยกับสามีอย่างเอาเรื่อง
อัสบัสเมื่อเจอสายตาของข้าวสวยก็อดหวั่นไม่ได้สายตาที่ทั้งโกรธและน้อยใจในคลาเดียว ราชาปีศาจหันมองคนรอบข้างอย่างนึกขอความช่วยเหลือเขาไม่อยากให้ข้าวสวยรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนกลับเมินต่อสายตาของคนเป็นราชา

“มันไม่มีเรื่องอะไรที่เจ้าต้องรู้” อัสบัสพร้อมกับเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก

“คุณโกหก แล้วที่มิคาร์เอลพูดละมันเกี่ยวกับผม คุณจะปิดบังผมไปถึงเมื่อไร ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้ นั้นมันก็เรื่องของผมเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า”

“ผมก็เป็นห่วงคุณเหมือนกัน! เอ่อ...” ข้าวสวยว่าขึ้นมาเสียงจนอดตกใจตัวเองไม่ได้เมื่อนึกว่าพูดอะไรออกไป  และรู้สึกร่างกายเซไปนิดหน่อยคงเพราะอาการแพ้ท้องที่ยังทำพิษอยู่ อัสบัสรีบคว้าร่างของคนรักมาไว้ในอ้อมกอดทันทีสีหน้าที่เคยดีขึ้นเริ่มซีดลงอีกครั้ง อย่างน่าเป็นห่วง

“ข้าวสวย!”

“เอ่อ...ขอร้องบอกผมได้ไหม” บอกไปทั้งสายตาร้องขอ ช่วยบอกให้เขารู้เรื่องบ้าง อย่าให้เขาเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย อัสบัสมองคนในอ้อมกอดนิ่ง สายตาเป็นกังวลระคนลังเล

“บอกพี่สวยไปเสียท่านพี่ เราไม่มีทางปิดเรื่องนี้ไปได้ตลอดหรอก” มิคาร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของพี่ชาย

“เฮ้อ...ข้ายอมแล้ว แต่ข้าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี”

“ท่านพี่ก็แค่เล่าอย่างที่เคยเล่าให้ข้าฟังก็แค่นั้น” มิคาร์เอลชี้ทางให้กับอัสบัส

“เอาอย่างนั้นก็ได้” อัสบัสบอกก่อนจะกวาดสายมองทุกคนที่รอฟังคำบอกกล่าวจากเขา ก่อนจะมาจบที่คนรักในอ้อมกอด อัสบัสก้มประทับริมฝีปากลงบนแก้มขาวที่ดูซีด ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้ไปยังศาลาในสวนที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสีนั้นกำลังพูดคุยกันอยู่บริเวณสวนของประสาท

“เดิมที่โลกปีศาจนั้นถูกดูแลโดยสามสหายที่เป็นดั่งแสงสว่างและแรงขับเคลื่อนของโลกนี้ คนหนึ่งคือ คาวิน ผู้ที่ครอบครองแสงแห่งราวินทรา  อีกคนนั้นคือ จันทรา ชายหนุ่มที่งดงามราวกับธิดาสวรรค์ ผู้ครอบครองหยาดน้ำแห่งจันทรา และคนสุดคือ รามิฬ ผู้ครอบครองราหูทมิฬ ทั้งสามต่างช่วยกันสร้างโลกนี้ขึ้นและช่วยกันดูแลมาโดยตลอด ตอนนั้นโลกทั้งใบล้วนเต็มไปด้วยความสุขสงบ ผู้คนต่างยิ้มแย้มกันอย่างมีความสุขราวกับว่าไม่มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนใดๆ แม้แต่น้อย พวกเขาเหล่านั้นมองไม่ออกเลยว่าจะมีความทุกข์มาเยื่อนพวกเขาได้อย่างไร ทั้งสามเองก็เช่นกันไม่เคยนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดกับโลกนี้เพราะพวกเขาต่างทุ่มทั้งกายและใจเพื่อดูแลโลกนี้ให้อยู่อย่างสงบสุข  ด้วยความที่ทั้งสามเป็นมิตรสหายกันทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันจากที่เคยรู้สึกว่าเป็นเพียงสหาย คาวิน และ รามิฬ กลับหลงรักจันทราที่เป็นสหาย คาวินรู้ดีว่ารามิฬนั้นแอบชอบจันทราแต่ด้วยความรักที่มีใจให้จันทรานั้นไม่อาจให้กับใครได้อีก คาวินเลยเลือกที่จะไม่หลีกทางให้กับรามิฬแต่เดินหน้าเข้าหาจันทราจนในที่สุดเขาก็ได้จันทรามาครอบครอง ทางรามิฬก็หารู้ไม่ว่าคาวินนั้นแอบชอบพอจันทราก็มักไปขอร้องให้คาวินช่วยเสมอเพราะตนเองไม่กล้าพอที่จะแสดงออกให้รู้ว่าตนนั้นชอบพอจันทรา แต่คาวินก็ปฏิเสธทุกครั้ง ทางรามิฬก็ไม่ได้เอะใจสิ่งใด วันหนึ่งรามิฬนั้นได้กล่าวคำรักแก่จันทราก็ต้องได้รับการปฏิเสธกลับแต่ก็ไม่เคยละความพยายามเลยที่จะเอาชนะใจของจันทรา  ทางคาวินกับจันทรานั้นเป็นกังวลมากกับเรื่องของรามิฬเพราะไม่รู้จะบอกเรื่องที่ทั้งสองชอบพอกันให้กับรามิฬอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่ารามิฬนั้นเป็นคนแบบไหนทั้งสองเลยเลือกที่จะปิดมันไว้จนกว่าจะพร้อมบอกกล่าวอีกคนแล้วมันก็พังลงเมื่อรามิฬมารู้มาเห็นเข้าและนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกปีศาจจนมาถึงทุกวันนี้” อัสบัสหยุดเล่าก่อนจะมองหน้าทุกคนไม่ใช่ว่ามันจบแต่ไม่อยากจะเหล่าต่อก็เท่านั้น

“อะไรกันจบแล้วหรือ” ข้าวเจ้าเอ่ยทักขึ้นมาเป็นคนแรก

“ยังหรอก” อัสบัสตอบ

“เรื่องนี้มัน” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นอย่างนึกสงสัยมันคล้ายคลึงเหลือเกินกับเรื่อง

“ใช่ มันคือเรื่องราวทั้งหมดใน ตราบสิ้นดวงหทัย มันไม่ใช่นิทานประรำประราแต่มันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตข้าคงไม่ต้องเล่าต่อหรอกนะเพราะเจ้ารู้ดีว่ามันเป็นอย่างไรต่อ” อัสบัสว่าขึ้น

“แต่ผมยังไม่รู้ตอนจบของเรื่องนั้นเลยคุณบอกผมได้ไหม” ข้าวสวยถามขึ้น อัสบัสนิ่งงันขึ้นมาทันที แค่เพียงตอนจบที่เขาไม่อยากนึกถึงมัน

“ข้าไม่อยากพูดถึง ได้ไหม” อัสบัสเอ่ยออกไปทั้งสายตาที่ดูหม่อนลงจนข้าวสวยไม่อยากเซ้าซี้ใครอีกคนต้องเอ่ยเพราะดูแล้วเรื่องรามมันคงจบอย่างน่าเศร้าเป็นแน่เพราะสายตาที่เจ็บปวดของอัสบัสได้บอกเป็นอย่างดี

“แล้วปานที่หน้าอกและที่ผมฝันละมันเกี่ยวกันไหม คุณเคยพูดว่าผมคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา ทำไมผมถึงมีมันละ มีเหมือนกับคนๆนั้น” ข้าวสวยถามขึ้นอย่างสงสัย เขาสงสัยมานานมากกับเรื่องนี้

“เพราะเจ้าคือเขาอย่างไรเล่า”

“ฮะ!” ข้าวสวย ข้าวเจ้าและคลูสร้องขึ้นมาพร้อมกันเมื่อได้ฟังอัสบัสตอบกลับมา มันอะไรกัน

“พี่เขยจะบอกว่า พี่สวยคือจันทรากลับชาติมาเกิด” ข้าวเจ้าถามขึ้นเสียงดังจนรีฟเฟอร์ต้องปราบ

“ก็เป็นอย่างนั้น เพราะตรานั้นอยู่บนตัวของข้าวสวย ข้าเองก็มีมันเช่นกัน” อัสบัสตอบมาอย่างนิ่งๆไม่แสดงถึงอาการใด

“ท่านพี่มีตราแสงแห่งราวินทรานะ” มิคาร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทั้งสามคนที่ไม่รู้เรื่องใดๆ หนักสุดก็คงเป็นพี่สะใภ้ของเขาที่ดูงวยงงอย่างเห็นได้ชัด คงคิดว่าอัสบัสมีตราเดียวกันกับตนเป็นแน่

“ฮะ!” เป็นอีกครั้งที่สามพี่น้องร้องออกมา ให้ตายเถอะวันนี้มีเรื่องให้แปลกใจหลายเรื่องเกินไปแล้วทั้งสามคิด

“ย่ะ...อย่างนั้นคุณก็” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นถามอย่างตกใจ ภายในใจนั้นเต้นรัวเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เคยอ่านมาใบหน้าก็เห่อแดงอย่างอดไม่ได้

“ใช่ ข้าก็คือคาวิน ข้าจำเรื่องราวทุกอย่างได้ตั้งแต่เยาว์วัย”

“ทำไมผมถึงไม่เห็นจำอะไรได้เลยทั้งที่คุณรู้ทุกอยย่าง”

“เรื่องนั้นข้าก็หารู้ไม่ แต่ความทรงจำเจ้าเริ่มไหลเข้ามาแล้ว ความฝันนั้น”
ข้าวสวยนึกถึงเรื่องราวความฝันที่ตอนเองมักฝันเห็นบ่อยๆแล้วรู้สึกไม่สู้ดีเลยแม้แต่น้อยเขาจำสายตานั้นของรามิฬในความฝันได้ดี   

“ถึงจะฟังมาทั้งหมดนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผมและโลกนี้” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นมาอย่างใจคิด เขาไม่รู้และไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน

“เพราะรามิฬอย่างไรเล่าพี่สวย ตั้งแต่จบเรื่องคลานั้นก็หายไปไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดแต่สิ่งที่ทำให้เหล่าพวกเราปีศาจหวาดกลัวคือการกลับมาของมันและการที่พี่ปรากฏตัวที่นี้นั้นเป็นตัวบอกเราว่ามันกำลังจะกลับมา” มิคาร์เอลบอกกล่าว ข้าวสวยที่ได้ฟังนั้นอดรู้สึกสลดไม่ได้ เพราะเขามาที่นี้โลกนี้ถึงอยู่ในอันตราย เขาไม่ควรมาที่นี้ตั้งแต่แรก

“เพราะผมสินะ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด

“พี่สวยหาใช่อย่างที่ท่านคิดไม่” มิคาร์เอลรีบเอ่ยทันทีที่เห็นสีหน้าของพี่สะใภ้นึกโทษตัวเองที่พูดอะไรไม่เข้าเรื่องออกมา

“หาใช่เพราะเจ้าเสียหน่อย มันคือชะตากรรมที่เราต้องเจอหลีกหนีไม่ได้หรอก รู้หรือไม่พวกเราเหล่าปีศาจรอค่อยมานานแค่นั้น รอวันที่เจ้ากลับมาดินแดนนี้อีกคลา ดินแดนที่เจ้าสร้างขึ้น”  อัสบัสเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนมือใหญ่ลูบกลุ่มผมราวต้องการบอกอีกคนว่า เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย

“แต่ผมกำลังจะทำให้ทุกคนเดือดร้อน”

“ใช่ทีไหนกันเจ้าไม่ได้ทำให้พวกเราเหล่าปีศาจเดือดร้อนเลย เจ้าไม่เห็นหรือไรตั้งแต่เจ้ามานั้นผู้คนต่างยิ้มแย้มอย่างสุขใจ แต่ก่อนมันหาใช่แบบนี้ทุกคนอยู่อย่างหวาดระแวงและหวาดกลัว ยิ่งมีอาเทอร์ปรากฏขึ้นมายิ่งทำให้ชาวปีศาจยิ่งหวาดกลัวเพราะหมอกดำนั้นกำลังกัดกินพื้นที่ให้มืดมิดและหนาวเหน็บไร้ซึ่งแสงตะวัน แต่แล้วเมื่อเจ้าก้าวเข้ามายังโลกนี้เจ้าก็เป็นดังแสงสว่างและยาใจให้กับทุกคนเป็นดังความหวังของทุกคน”

“ความหวัง?” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นอย่างสงเมื่ออัสบัสกล่าวจบ

“ใช่เจ้าคือความหวังของพวกเรา รู้หรือไม่ผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรานะมีพลังแสนวิเศษที่ทำให้คนทั้งโลกอยู่อย่างเป็นสุขได้”

“พลังวิเศษ? ผมไม่เห็นว่าผมจะทำอะไรได้เลย”

“ได้สิเจ้าทำมันได้ วันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจมัน ข้าว่าเราต่างแยกย้ายไปพักผ่อนกันเสียเถอะ เจ้าดูเหนื่อยมากข้าว่าไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่” อัสบัสตอบข้าวสวย ก่อนจะบอกทุกคนให้แยกย้ายกันไป แล้วหันมาพูดกับคนรักที่ดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง

“แล้วเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านั้นเล่า” มิคาร์เอลแย้งขึ้น

“ข้าว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว” อัสบัสตอบพร้อมกับประครองคนรักให้ลุกขึ้น

“แต่” มิคาร์เอลจะเอ่ยค้านขึ้นอีกแต่ถูกคลูสห้ามเอาไว้ คลูสก้มหัวเป็นการลาอัสบัสทีหนึ่งก่อนจะลากมิคาร์เอลออกมาถ้ายังฟื่นอยู่
ต่อมิคาร์เอลไม่ยอมจบง่ายๆเป็นแน่
ทั้งสี่มองมิคาร์เอลที่โวยวายใส่คลูสอย่างนึกแปลกใจ และยิ่งตกใจเมื่อร่างเล็กผมแดงนั้นถูกคลูสยกขึ้นบ่าทั้งยังโว้ยวายไม่เลิก อัสบัสได้แต่สายหน้าให้กลับน้องชายตัวเอง ช่างดื้อเสียจริง

“พักผ่อนเสียเจ้าดูเหนื่อยมากเหลือเกิน ใบหน้าซีดเซียวยิ่งนัก อยากให้ข้าตามหมอให้หรือไม่’ อัสบัสที่พาข้าวสวยมาถึงที่พักถามขึ้นพร้อมกับประครองร่างเล็กให้นอนลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกผ่าห่มมาคลุมตัวคนรัก

“ไม่ต้อง คุณเรื่องที่คุณเล่านะมันยังมีอะไรมากว่านั้นใช่ไหม” เสียงเล็กเอ่ยถามไปตรงๆเพราะตัวเองรู้สึกเช่นนั้น อัสบัสยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะก้มลงประทับจูบบนหน้าผากมน

“เจ้าค่อยๆรับรู้มันนะดีแล้ว นอนเถอะ เจ้าตัวเล็กคงง่วงแล้ว” อัสบัสเอ่ยพร้อมกับยกมือไปลูบหน้าท้องของคนรักหวังให้ลูกน้อยในท้องได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา ข้าวสวยเห็นการกระทำของอัสบัสก็รู้สึกเขินอายขึ้นมารีบหลับตาลงเพื่อปิดความเขินอาย แต่คนเป็นสามีนั้นรู้ดีก็แก้มป่องๆนั้นขึ้นสีแดงระเรืองอย่างเห็นได้ชัดจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ภรรยาเขาช่างหน้ารักเหลือเกิน

“ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้ายอันใดกับเจ้าเป็นอันขาด ดวงใจของข้า”






มาแว้วววววว ตอนที่ 18 ตอนแรกกะจะหายไปจนกว่าจะสอบเสร็จแต่ทนกับความเครียดในการอ่านหนังสือไม่ไหวจริงๆๆๆ สิ่งที่ทำให้ผ่อนคลายก็คือสิ่งนี้นะคะเลยได้โผล่หัวมา อ่านกันสนุกนะคะ เจอกันตอนต่อไปน่าาาาา รักทุกคนนน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2017 20:26:59 โดย ตั้งโอ๋ »

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 19 ม่านความรู้สึก
    “มิคาร์เอลนั้นเจ้าจะไปไหน” เสียงถามดังขึ้นมาจากความมืดทำเอาคนถูกกล่าวถามตกใจไม่น้อยทั้งๆที่คิดว่าจะไม่มีใครเห็นแล้วแท้ๆ

“จะ...เจ้าเหตุใดถึงยังอยู่ที่นี้กัน” ทำไมละทำไมคลูสถึงยังอยู่ที่วังกันนี้มันก็ดึกมากแล้วแท้ๆ ไม่ใช่ว่าไปตั้งแต่หัวค่ำหรือไร มิคาร์เอลคิด

“ข้าถามว่าเจ้าจะไปที่ไหน นี้มันดึกแล้วไม่ใช่หรือไร” เสียงเข้มถามขึ้นอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการจากอีกคน

“ขะ...ข้าแค่ออกมาเดินเล่น” มิคาร์เอลตอบกลับอย่า'นึกหวั่นเกลงรู้ดีว่าคลูสไม่เชื่อตนเป็นแน่แต่ก็ไม่รู้จะหาคำพูดใดมากล่าวอ้างอีกคน

“อย่าได้โกหกข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ข้าถึงยังอยู่ที่นี้อย่างไรเล่า” ใช่คลูสรู้ดีว่ามิคาร์เอลจะทำสิ่งใด ทำไมกันทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อที่ข้าพูดบ้างนะ คลูสคิด

 “ข...ข้าแค่ออกมาเดินเล่นจริง” ตอบกลับไปทั้งไม่มองหน้าของอีกคน

“….” ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคลูสมีเพียงใบหน้าที่นิ่งสนิท ดวงตาสีดำที่จ้องมองราวต้องการคำตอบนั้นทำให้มิคาร์เอลไม่อาจต้านทานได้ ต้องแพ้ให้กับสายตานี้ทุกทีไป

“เอาละข้ายอมแล้ว ขะ...ข้าขอโทษ” มิคาร์เอลกล่าวออกไป คลูสนั้นรู้ดีว่าอีกคนกล่าวโทษเรื่องใด

“ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้า ไม่เชื่อพี่เจ้า”

“ก็ข้ากลัว กลัวเรื่องร้ายมันจะเกิดขึ้นถ้าข้าไปข้าก็มีโอกาสที่จะกำจัดอาเทอร์” เสียงที่ตอบกลับมานั้นช่างเบาและสั่นเครือ คลูสปล่อยลมหายใจออกมาอย่างหน่ายใจก่อนจะคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้มือหนาค่อยๆลูบไปตามเรือนผมสีแดงอย่างนึกอยากปลอบโยน

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงทุกคน แต่เจ้าก็ต้องห่วงตัวเจ้าเองด้วยเช่นกัน เจ้าแน่ใจได้อย่าไรว่าถ้าเจ้าไปแล้วจะจัดการับอาเทอร์ได้ อาเทอร์แข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด” คลูสว่าพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

“เราจะทำอย่างไรกันดี ขะ...ข้ามองไม่เห็นทางเลยจริงๆ อาเทอร์ผู้นั้นคือผู้ที่ครอบครองราหูทมิฬนะ”

“ข้ารู้ เราถึงต้องใจเย็นๆอย่างไรเล่า บุ่มบ่ามไปมันไม่ส่งผลดีเป็นแน่ เชื่อข้า” คลูสว่า ก่อนจะค่อยๆช้อนใบหน้าของมิคาร์เอลขึ้นมาแล้วจูบลงบนหน้าผากอย่างรักใคร่ไม่รู่ว่าใช่เวลาไปนานเท่าไรกับการโอบกอดนี้

แปะ! แปะ แปะ! อยู่เสียงตบมือก็ดังขึ้นทำให้ทั้งสองต้องละออกจากกัน และเมื่อหันไปมองทางที่มาของเสียงนั้นตกใจแทบหาคำกล่าวไม่ได้

 “อะ...อาเทอร์” มิคาร์เอลเอ่ยขึ้นมาเบาหวิวแต่ก็ดังพอที่คนข้างๆจะได้ยิน

“หึหึ ช่างเป็นฉากรักที่งดงามเหลือเกิน หึหึ ใช่หรือไม่คลูส” เสียงที่กล่าวออกมานั้นดูเหมือนจะขำขันแต่กลับแฝงไปแรงกดดันที่น่ากลัวยิ่งนัก

“ท่าน!” คลูสเอ่ยขึ้น

“เจ้าคิดว่าข้าโง่นักหรือไงกัน ถึงไม่รู้อะไรเลยว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด ข้าจะบอกเจ้าให้ ว่าเจ้านั้นคิดผิด คลูสของข้า”

“....” มิคาร์เอลและคลูสไม่ได้กล่าวอะไรกลับไปทำเพียงยื่นฟังอีกคนเงียบๆอย่างนึกระวัง เรื่องนี้มันเหนือการคาดหมายไว้จริงๆทั้งที่คิดว่าปกปิดได้แล้วแท้ๆแต่ทำไมกัน คลูสคิด

“ทั้งที่เจ้าเป็นคนของข้าเหตุใดจึงไปร่วมมือกับศัตรูข้ากัน” อาเทอร์ยังคงกล่าวออกไปอย่างนิ่งเฉย

“หึหึ คนของท่านหรือ ข้าไม่เคยพูดสักครั้งว่าข้าคือคนของท่าน อย่าลืมว่าท่านทำอะไรกับขะ...โอ๊ย! ท่าน!” คลูสเอ่ยกลับไปอย่างไม่ได้นึกกลัว ก็ดีเหมือนกันเขาเหนื่อยที่จะนิ่งเฉยเต็มที่ แต่ทั้งที่ยังกล่าวไม่จบก็รู้สึกเจ็บตรงหัวใจอย่างมีใครมาบีบรัดไว้จนต้องทรุดตัวลงพื้น มิคาร์เอลที่อยู่ใกล้ๆตกใจรีบเข้ามาประคองทันที

“หึหึ อย่างนี้นะหรือ” อาเทอร์ว่า

“โอ๊ย!”

“คลูส! เจ้าทำอะไรกับคลูส” มิคาร์เอลถามขึ้นเสียงดัง

“ข้าหาได้ทำอันใด มันเป็นสิ่งที่คลูสต้องรับอยู่แล้ว หึหึ”

“โอ๊ย!” อาเทอร์ว่าจบคลูสก็กรีดร้องขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องนั้นทำให้น้ำตาใสของมิคาร์เอลไหลออกมาอย่าห้ามไม่ได้ ภาพที่คลูสกรีดร้อง และบิดเร้าอย่างทรมานนั้นมันดูเจ็บปวดเหลือเกิน
มิคาร์เอลตกใจมากขึ้นเมื่อใบหน้าขาวของคลูสนั้นมีริ้วรอยสีดำขึ้นเป็นทางเคลื่อนไปตามใบหน้าราวกับมีอะไรกำลังเคลื่อนที่อยู่อย่างนั้น และดูเหมือนความเจ็บปวดทรมานจะมีเพิ่มมากขึ้น

“เจ้าทำอะไรเขา ยะ...หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ขะ...ข้าบอกให้หยุดไงเล่า”

“หึหึ  คนทรยศมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไรกัน”

“ยะ...หยุดเดี๋ยว เจ้า!” เมื่อร้องขอไม่มีท่าทีว่าอีกคนจะหยุดกระทำ มิคาร์เอลก็หัดมาเล่นงานกับคนตรงหน้าแทน ความเร็วที่พุ่งเข้าหาอาเทอร์นั้นหากเป็นคนธรรมดาก็แทบจะไม่มีโอกาสหนีได้ทันแม้แต่น้อย แต่ไม่ใช่กับคนที่ชื่ออาเทอร์ ที่หลบหมัดที่พุ่งมาราวดุดดังพายุได้อย่างคล่องแคล่ว นับว่าทุกทิศทางที่หมัดเล็กๆนั้นพุ่งแทบจะอ่านออกไปเสียหมด

“เสียเวลาเปล่าเลย หึหึ” อาเทอร์ว่าขึ้นอย่างไม่ทุกร้อนทั้งยังเบี่ยงตัวหลบหมัดเล็กของมิคาร์เอลไปด้วย

“....” ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากมิคาร์เอล รู้ดีว่าสู้คนอย่างอาเทอร์ไม่ได้เป็นแน่แต่จะให้อยู่เฉยมันก็ไม่เรื่องอีกเช่นกัน คนแบบนี้สมควรที่จะหายไป คิดแล้วก็รีบพุ่งเข้าหาทัน อีกใจก็อดเป็นห่วงคลูสไม่ได้คงต้องพาคลูสออกไปเสียก่อนสินะมิคาร์เอลคิด

“โอ๊ย!” เสียงร้องแสนเจ็บปวดนั้นดังขึ้นอีกคราเรียกให้มิคาร์เอลต้องละจากอาเอทร์ไปยังอีกคนที่ล่มอยู่บนพื้นทันที

“คลูส!” มิคาร์รีบเข้าประครองร่างที่กำลังบิดเร้าอู่อย่างห่วงใย

“หึหึ อะไรกัน หึหึ” อาเทอร์ว่า มิคาร์หาได้สนใจอีกคนไม่จิตใจตอนนี้มีแต่ความห่วงใยคนที่อยู่ในอ้อมกอด มันเกิดอะไรกันทำไมคลูสถึงเป็นแบบนี้อาเทอร์ทำอะไรคลูส คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจจนวุ่นวายไปเสียหมด

“คลูสเป็นอย่างไรบอกข้าสิ เจ้าทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดสักที”

“อยากให้ข้าหยุดเจ้าก็ไปกับข้า หึหึ”

“ไม่! อย่าหวังเลย” ใช่มิคาร์เอลคิดอย่างนั้น ถึงแม้คราแรกตั้งใจจะไปให้ถึงตัวอาเทอร์ก็จริง แต่ที่คลูสและอัสบัสพูดก็จริงเราต้องรอบคอบไม่วู่วาม ยิ่งหากตอนนี้อาเทอร์พาตัวเขาไปเชื่อว่าแผนที่อัสบัสและคลูสวางไว้ต้องพังเป็นแน่ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าทั้งสองวางแผนอะไร

“หึหึ เจ้าแน่ใจหรือ” ทางอาเทอร์นั้นก็แค่อยากได้มิคาร์เอลเพราะอยากจะกวนใจอัสบัสเท่านั้น แค้นที่เคยมีนั้นมันเป็นอย่างไรปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนั้นยิ่งเห็นอัสบัสเจ็บปวดมากเท่าไรก็ยิ่งสะใจมากเท่านั้นตลอดหลายปีที่ค่อยกัดกินโลกปีศาจก็หวังทำให้อัสบัสนั้นเจ็บใจ แล้ววันนี้คนผู้นั้นได้กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้งจะไม่ยอมให้ความสุขของทั้งสองเกิดขึ้นเป็นแน่ ถ้าคนอย่างเขาไม่สุขก็อย่าหวังว่าใครจะสุขเลย

“คลูสไหวไหมไปจากที่นี้กัน” มิคาร์เอลกับคลูสเบาๆแต่ก็ดังพอที่อาเทอร์จะได้ยิน

“มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ หึหึ” ว่าจบอาเทอร์ก็เข้ารั้งตัวมิคาร์เอลออกห่างจากคลูสทันที

“ปล่อย...ข้าบอกให้ปล่อยไงเล่า” มิคาร์เอลโวยวายเสียงดัง พยายามสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุมของอาเทอร์ ครั้นจะร้องขอให้ใครช่วยก็ดูจะยากเพราะบริเวณที่ทั้งสามอยู่ในเป็นป่าที่อยู่หลังราชวัง พวกทหารจะเดินตรวจตราเป็นทีๆเพียงเท่านั้น

“โอ๊ย!” เสียงร้องที่แสนเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาน้ำตาของมิคาร์เอลเอ่อมาอยู่ขอบตา

 “คลูส! ปล่อยนะ ปล่อยข้า”

“มิ...คาร์...เอล” เสียงกระท่อนกระแท่นที่ดังออกมาอย่างแผ่วเบายิ่งเรียกให้น้ำตายิ่งไหลริน

“คะ...คลูส ฮึก ปะ..ปล่อยข้า ฮึก” เรี่ยวแรงเริ่มจะอ่อนลงเมื่อเห็นอีกคนที่นอนอยู่บนพื้นพยายามฟืนสู้กับความเจ็บปวดเข้าหาตน แต่ก็ปวดใจหนักที่ไปหาอีกคนไม่ได้เพราะแรงยึดของอาเทอร์

“โอ๊ย!”

“คลูส!”

“หึหึ ไปกับข้า”

“ไม่! ปล่อยข้า ปล่อย! คลูส!” ทั้งที่พยายามขัดขืน พยายามสู้แล้วแต่ทำไมถึงไม่หลุดจากคนๆนี้ได้เลย ได้แต่มองภาพคลูสที่ค่อยๆจางหายไปอย่างเป็นห่วง นึกแค้นเคืองคนข้างกายที่จับตัวเขามา 
               

 อ้วก  อ้วก   อ้วก เป็นอีกเช้าที่เสียงอาเจียนดังขึ้นไปทั่ว ยามเช้ามืดแบบนี้ว่าที่คุณแม่อย่างข้าวสวยต้องลุกขึ้นมาโก่งคออาเจียนเป็นประจำคงเพราะเด็กตัวน้อยๆในท้องตั้งใจจะทักทายผู้เป็นแม่ยามเช้าเป็นแน่

 “เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเอ่ยถามจากว่าที่คุณพ่อถามขึ้นอย่างเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าเป็นอาการปกติของคนท้องแต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ที่เห็นอีกคนหน้าตาซีดเซียวดูไร้เรียวแรงเช่นนี้ แต่คนเป็นคุณแม่กลับยิ้มขึ้นทุกครั้งไม่ได้แสดงถึงอาการหงุดหงิดอะไรมีเพียงใบหน้าที่ระบายยิ้มน้อยๆพร้อมกับสีหน้าอ่อนเพลีย มือเล็กๆจะคอยลูบท้องที่เริ่มนูนขึ้นอยู่ตลอดราวกับกำลังบอกคนภายในว่าอย่าทักทายแม่แรงนักเลย

 “ผมไม่เป็นอะไรแค่รู้สึกเหนื่อยๆเท่านั้นเอง” ข้าวสวยตอบกลับคนที่เป็นห่วงไม่เลิกจับเขาไม่ปล่อย

 “อย่างนั้นนอนพักก่อนเทิด” อัสบัสว่าพร้อมกับประครองร่างๆเล็กที่ตอนนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างระวัง ข้าวสวยทำเพียงพยักหน้ารับก่อนจะนอนลงอย่างว่าง่ายเพราะตนเองก็รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย

หลังจากนอนลงเรียบร้อยมือเล็กๆจะยื่นไปจับกุมอยู่ที่ท้องของตนเองทันที คอยลูบมันอยู่อย่างนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมแค่รู้สึกว่าอยากจะสัมผัสมันอยู่ตลอดเพียงเท่านั้น ทางอัสบัสมองดูว่าที่คุณแม่อย่างนึกยิ้มในใจสังเกตเห็นตลอดว่าอีกคนทำอะไรอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปกอบกุมมือเล็กนั้นและสัมผัสกับท้องที่นูนขึ้นนั้นไปพร้อมๆกัน ความรู้สึกยามได้สัมผัสนั้นมันแทบจะบรรยายออกมาไม่ได้จริงๆว่าเขารู้สึกเช่นไร มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริงๆ

“ไม่นอนหรือไร” เสียงทุ้มทีฟังดูห่วงใยนั้นเอ่ยถามขึ้น

“ผมพึ่งจะตื่นนอนเองนะ” ใช่ข้าวสวยพึ่งจะตื่นนอนมาได้ไม่นานเพราะอาการแพ้ท้อง ถึงจะบอกให้นอนก็นอนไม่หลับเสียแล้วทั้งๆที่รู้สึกอ่อนเพลียแท้ๆ

“แต่เจ้าดูอ่อนเพลียยิ่งหนัก”

“ผมไม่เป็นอะไรแค่เหนื่อยนิดหน่อย นอนพักเฉยๆก็พอแล้ว”

“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเทิด ข้าจะอยู่ข้างๆตรงนี้” อัสบัสตอบไป ข้าวสวยทำเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะมาสนใจกับท้องของตัวเองต่อ

ภาพสองคนบนเตียงนอนนั้นช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน หากใครมาเห็นก็คงคิดเช่นนั้นไม่ต่างกัน ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ค่อยดูแลคนรักอย่างไม่ห่างกายนั้นช่างดูน่าปลาบปลื้มยิ่งนัก ถ้าไม่มีเรื่องร้ายๆอะไรเกิดขึ้นนั้นยอมดีไม่น้อย โลกทั้งใบคงเต็มเปรี่ยมไปด้วยความสุข

 “วันนี้เจ้าอยากออกไปเดินเล่นในสวนอีกหรือไม่” หลังจากตกอยู่ในความเงียบอยู่นานเพราะมัวสนใจแต่เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้อง ที่อายุครรภ์เพียงสองเดือนเศษเท่านั้น

“เอ่อ...คุณไปด้วยหรือเปล่า” เสียงเล็กถามขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“เหตุใดถึงถามเช่นนั้นข้าก็ต้องไปกับข้าเป็นแน่ แต่ข้าว่าวันนี้หยุดสักวันดีหรือไม่เจ้าพึ่งจะไปเมื่อวานเองไม่ใช่หรือ” อัสบัสว่าขึ้น ไม่ได้อยากจะกีดกันให้คนรักได้ออกไปเขาเพียงแค่เป็นห่วงคนตัวเล็กก็เพียงเท่านั้น จำได้ว่าเมื่อวานตอนไปในสวนข้าวสวยดูไม่ดีเลยคงเพราะกลิ่นของดอกไม้ต่างๆแล้วยิ่งมาได้ยินเรื่องราวพวกนั้นข้าวสวยยิ่งดูอ่อนเพลียยิ่งนัก ต่อจะให้พยายามอดทนปิดบังเขาอย่างไรอัสบัสก็รู้ดี

“แต่ผมอยากไป”

“แต่ข้าวะ...”

“ผมอยากไปจริงๆ”

อัสบัสไม่เข้าใจจริงว่าทำไมคนรักเขาถึงต้องยอมทนทรมานแค่เพียงเพื่อออกไปในสวนนั้น แม้จะไปไม่นานนักแต่มันก็นานพอที่จะทำให้คนรักของเขาแย่ลง

“เหตุใดเจ้าถึงดื้อเยี่ยงนี้” ใช่ ข้าวสวยดื้อมากจริงๆ ทั้งที่ดูเป็นคนว่าง่าย แต่เปล่าเลย ถ้าเป็นเรื่องที่ตนต้องการคนตัวเล็กจะดื้อดึงยากที่ห้าม

“พาผมไปเถอะนะ อัสบัส”

“เฮ้อ  ก็ได้ ข้าพาเจ้าไปก็ได้” และก็เป็นแบบนี้อีกจนได้ ทั้งที่พยายามห้ามพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ไม่มีเลยที่อัสบัสจะไม่ยอมทำตามสิ่งที่คนรักร้องขอ แม้ในใจจะขัดค้านเพียงใดก็ตาม เพราะมันคือความสุขของอีกคนต่อให้อัสบัสไม่เต็มใจแต่ก็ยอมให้เสมอ มันคงเป็นความรักที่มีให้แก่ข้าวสวยเป็นแน่ถึงได้ยอมเสียไปหมดทุกอย่าง

“ขอบคุณนะ แต่ผมอยากไปจริงๆ รู้ดีว่าคุณเป็นห่วงแต่ผมต้องไป...” ใช่ ข้าวสวยอยากจะไปจริงๆถึงจะไม่ค่อยชอบกลิ่นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นแรงจนทำให้ต้องรู้สึกเวียนหัวและอาเจียนก็ตาม แต่ก็จะอดทนเพราะในสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าที่กำลังแบ่งบาน สายลมที่พัดเข้ามาเป็นระรอกนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนักแม้จะต้องทนกับกลิ่นของดอกไม้เขาก็ยอม แค่สักพักหนึ่งก็ยังดี
และที่สำคัญในยามที่สายลมพัดผ่านมันทำให้ข้าวสวยหวนคิดถึงเด็กตัวน้อยสองคนนั้น ไดอาร์ และไอด้า เด็กสองคนที่ไม่อาจจะให้หายไปจากความทรงจำ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแต่ข้าวสวยไม่อยากให้สองคนนั้นหายไปจากความทรงจำของเขาเลยจริงๆ เพราะถึงอย่างนี้ต่อให้ต้องทนทรมานกับอาการแพ้ท้องยังไงเขาก็ต้องมา มาเพื่อเตือนความทรงจำด้วยสายลมนี้ ยามสายลมพัดผ่านมาข้าวสวยฝากคำคิดถึงไปกับสายลมทุกครั้งหวังให้มันได้พัดพาความรู้สึกเขาส่งไปยังอีกสองคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งใด แม้มันจะดูไร้จุดหมายแต่ข้าวสวยก็หวังตลอดว่าสายลมจะนำพาความรู้สึกเขาไปถึงเด็กน้อยสองคน และเฝ้าหวังเสมอว่าในสักวันพวกเราคงจะได้พบการอีกครา

ณ ปราสาทที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด เมฆหมอกที่เคลื่อนกายอยู่โดยรอบนั้นชวนให้เย็นยะเหยือกราวกับอยู่ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง

 ปัง! ปัง! ปัง!

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าไปนะ บ้าที่สุด” เสียงทุบประตูและเสียงตะโกนดังไปทั่วทั้งห้องใหญ่ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ถูกพามานั้นไม่มี
เลยที่มิคาร์เอลจะอยู่อย่างนิ่งเฉย พยายามจะหาหนที่จะออกไปจากห้องแห่งนี้แต่ก็ไร้ซึ่งหนทางเพราะห้องนี้นั้นถูกปิดแน่นหนาไปทุกบริเวณ พยายามใช้ทั้งกำลังและพลังที่มีจนมันแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่เลยที่จะคิดท้อถอย

“ปล่อยข้า บอกให้ปล่อยขะ….” คำกล่าวถูกตัดหายไปทันทีที่ประตูใหญ่เปิดออกเผยให้เห็นผู้เป็นเจ้าของปราสาท อาเทอร์

“เจ้าร้องไปก็เท่านั้น หึหึ” อาเทอร์ว่าทั้งยังจับมือเล็กที่พุ่งเข้ามา

“ปล่อยข้า” มิคาร์เอลฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ทำไมถึงทำร้ายคนๆนี้ไม่ได้เลยสักคน พยายามบิดมือตัวเองให้หลุดจากการจับกุมแต่ก็ไม่เป็นผล จึงส่งหมัดที่ว่างอยู่ไปหาหมายมุ่งเข้าตรงหน้าของอีกคนแต่ก็ถูกจับกุมและจับไขว้ไปด้านหลังทั้งสองข้าง ตอนนี้ทำได้แค่พยายามสะบัดตัวไปมาให้หลุดออกจากการจับกุมของอีกคน แต่มือหนานั้นแน่นยิ่งกว่าคีบเหล็ก

“หึหึ อะไรกันคิดจะเอากำลังเพียงน้อยนิดมาสู้กับข้าหรือไร” เสียงพูดดูถูกนั้นยิ่งทำให้มิคาร์เอลเจ็บใจยิ่งนัก

“เจ้า!” อยากจะเถียงกลับไปแต่ก็ไร้คำกล่าวเพราะกำลังเขาสู้อาเทอร์ไม่ได้จริงๆ

“อะไรกันข้าอุส่าจะพาคนรักมาให้แท้ๆ” เสียงพูดดูขบขำที่เอ่ยมานั้นทำให้มิคาร์เอลหยุดนิ่งทันที ถึงอยากจะเถียงกลับไปว่าตนไม่มีคนรัก แต่ใบหน้าของคลูสก็ปรากฏขึ้นมาถึงไม่อยากจะยอมรับก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รักอีกคน ถึงแม้จะไม่เคยพูดไปแต่มิคาร์เอลก็รักคลูสจริงๆก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรทั้งที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นั้นไม่ดีนักแต่ทุกครั้งตัวเขาเองก็ไม่เคยปฏิเสธคลูสเลยแท้ๆ แต่จะให้บอกว่าเป็นคนรักกันก็หาใช่จะถูกเพราะต่างไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์นี้เลย เราก็แค่อยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันและมีอะไรกันเป็นแค่คนรู้จักกันที่ความสัมพันธ์มากกว่าคนรู้จักกันก็เพียงเท่านั้น

“จะ...เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“...” ไร้เสียงตอบกลับจากคนด้านหลัง แต่ปรากฏร่างของคนที่มิคาร์เอลเป็นห่วงถูกโยนลงพื้นทั้งยังหลับใหลอยู่

“คลูส!” มิคาร์เอลรีบสะบัดออกจากการจับกุมของอาเทอร์ ครานี้เขาออกมาได้อย่างง่ายดายคงเพราะอีกคนตั้งใจจะปล่อยอยู่ก่อนแล้ว

มิคาร์เอลรีบเข้าประครองร่างไร้สติของคลูสทัน พยายามเอ่ยเรียกอีกคนให้ตื่นขึ้นโดยไม่ได้สนใจใครอีกคนก่อนหน้าที่ออกไปตอนไหนก็หารู้ไม่ จิตใจตอนนี้เป็นห่วงเพียงคนในอ้อมกอดที่หลับสนิท ใบหน้าซีดไร้สีของโลหิตนั้นทำให้มิคาร์เอลนึกกลัว ยิ่งเห็นริ้วรอยสีดำที่ขึ้นเป็นทางบนใบหน้ามากกว่าที่เห็นเมื่อคืนใจยิ่งอยู่ไม่สุข ครั้นยังกังวลเรื่องของอัสบัสและข้าวสวยอีก ไม่แปลกเลยที่ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม สีหน้าที่เคยสะบัดใส่คนในอ้อมกอดยามไม่พอใจนั้นจะเปื้อนคลอไปด้วยน้ำตา ทั้งความกลัว วิตกกังวล มันมีมากมายจนร่างกายแทบจะรับไม่ไหว ได้โปรดเทิดอย่าให้เรื่องร้ายมันเกิดขึ้นเลย

“มิ...คาร์...เอล” เสียงกระท่อนกระแท่นที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาเรียกสายตามิคาร์เอลให้มองคนในอ้อมกอด ก่อนจะระบายยิ้มขึ้นทั้งน้ำตา

“คลูส! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ฮึก” เอ่ยถามขึ้นทั้งเสียงสะอื้นเมื่อเห็นอีกคนลืมตาขึ้น

“ขะ...ข้าไม่เป็นอะไร อย่าร้องไห้” คลูสว่าทั้งยังส่งมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวอย่างแผ่วเบา นึกโทษตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องอีกคนได้เลย เมื่อไหร่กันนะที่จะหลุดพ้นจากความมืดนี้

“ขะ...ข้า” มิคาร์เอลไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดมากล่าว กับอีกคน แค่เห็นคลูสตื่นขึ้นมามันก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดสิ่งใด
คลูสค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะดึงคนข้างกายมาโอบกอดไว้อย่างต้องการปลอบประโลม ทำไมมิคาร์เอลต้องมาเห็นสภาพตัวเขาแบบนี้ด้วย ทั้งๆที่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อยากให้เห็นเขาในสภาพนี้ ความน่าเกียจ ความโสมมนี้ทำไมกัน

“นะ...หน้าเจ้า” มิคาร์เอลพลักตัวออกแล้วเลื่อนมือมากอบกุมใบหน้าขาวซีดที่เต็มไปด้วยริ้วรอยสีดำอย่างสั่นๆ คลูสยกมือขึ้นมากุมทับสองมือที่กุมหน้าตนไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“มันคงหน้ารังเกียจมากใช่หรือไม่” เสียงเอ่ยแสนเศร้านั้นทำให้มิคาร์เอลรีบเอ่ยกลับ

“มะ...ไม่ ไม่เลย” ใช่ มิคาร์เอลคิดอย่างนั้น ถึงใบหน้าหล่อเหลานั้นจะเต็มไปด้วยริ้วรอยสีดำแต่แววตาห่วงใย และห่วงหานั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เหตุใดจะต้องรังเกียจกันมันไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ใบหน้านั้นมันก็เป็นเพียงแค่ฉากนอกเท่านั้นมันไม่ได้สำคัญเท่าสิ่งที่อยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย


ตอนที่  19 มาแล้วน่าาาาาาาา :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ 20 แรงแค้นที่แสนเสน่หา

“พี่สวยที่นี้สวยจัง” เสียงเจี๊ยวจ๊าวของข้าวเจ้าเรียกให้ข้าวสวยต้องหันมอง น้องชายที่ไม่เจอกันหลายเดือนดูจะโตขึ้นมากเลยทีเดียว แต่ไอ้ท่าทีเจี๊ยวจ๊าวจ่อไม่หยุดนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจริงๆ นานพอดูที่เราสองพี่น้องไม่ได้พูดคุยกันแบบ

“เจ้าชอบมันก็ดีแล้ว” ใช่ข้าวสวยคิดแบบนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะมีโอกาสได้กลับไปยังโลกที่จากมาเพราะฉะนั้นการยอมรับที่แห่งนี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้เราเป็นสุข

“ดอกกุหลาบสีฟ้าเต็มไปหมดเลย เหมือนกับว่ากำลังอยู่บนท้องฟ้าเลย” ข้าวเจ้าว่าพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมของกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว แต่คงจะไม่ใช่กับว่าที่คุณแม่ที่ตอนนี้รู้สึกเวียนหัวมาก อาการคลื่นไส้ ตีขึ้นมาจนแทบจะอ้วกออกมา แต่เจ้าตัวก็ยังอดทน

อัสบัสที่ยืนพูดคุยอยู่กับองครักษ์เดินเข้าหาคนรักทันทีที่สังเกตเห็นอาการไม่ดีของอีกคน

“เจ้าไหวหรือไม่” ราชาปีศาจเอ่ยถามคนรักอย่างห่วงใย เป็นห่วงมากเหลือเกินแต่อีกคนก็ดื้อมากอีกเช่นกัน

“ผมไม่เป็นอะไรแค่เวียนหัวนิดหน่อย” ข้าวสวยตอบออกไป ทั้งความจริงแล้วตนเองนั้นปวดหัวมากกับกลิ่นของเหล่าดอกไม้ อาการคลื่นไส้ก็รุ่มเร้าจนแทบทนไม่ไหวแต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ยอมถอย

“เจ้าว่าพี่สวยกลับไปพักดีกว่าไหมสีหน้าดูไม่ดีเลย” ข้าวเจ้าที่พึ่งเดินเข้ามาว่าขึ้นอย่างเป็นห่วง

“พี่ไม่เป็นอะไร อยากออกมาเห็นท้องฟ้าแบบนี้บ้าง” บอกน้องชายออกไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เป็นกังวล

“แต่...”

“เจ้า มาที่พี่” ข้าวเจ้ายังพูดไม่ทันจบดีก็ถูกรีฟเฟอร์เรียกขัดเสียก่อน แม้ไม่อยากไปแต่สายตาของรีฟเฟอร์ที่ส่งมานั้นทำให้คนตัวเล็กต้องละออกไปหาอย่างห้ามไม่ได้ อัสบัสมององครักษ์ของตนอย่างใคร่คิด สองคนนี้มีอะไรที่มากกว่าเขารับรู้มาหรือไม่ แต่นั้นมันก็เรื่องส่วนตัวของทั้งสองจะไปก้าวก่ายก็ใช่จะควร

“หึหึ”

“มีอะไรหรือคุณ” ข้าวสวยเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่ออยู่ๆคนข้างกายก็หัวเราะขึ้นมา

“เปล่า ข้าแค่หัวเราะให้กับสุนัขหวงของ” อัสบัสว่าพร้อมกับมององครักษ์หนุ่มอย่างนึกขบขำมันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซ่ว รีฟเฟอร์ทำเพียงนิ่งเฉยรู้ดีว่าราชากำลังกระแซะตน

“สุนัข? ที่ไหนกัน” ข้าวสวยว่าขึ้นอย่างสงสัย ก็ตรงนี้ไม่เห็นมีสุนัขสักหน่อย

“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าอย่าใส่ใจเลย”

“ครับ ว่าแต่มิคาร์เอลไปไหนวันนี้ผมไม่เห็นเลย” ถือเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เห็นมิคาร์เอลตั้งแต่เช้าจนตอนนี้บ่ายแล้วแท้ๆ ปกติจะต้องมาวุ่นอยู่ใกล้ๆ

“ข้าก็ไม่เห็นตั้งแต่เช้า รีฟเฟอร์เจ้าเห็นมิคาร์เอลบ้างหรือไม่” เมื่อตอบกลับคนรักไปก็หันมาถามทางองครักษ์บ้าง

“กระหม่อมก็ไม่ทรงพบท่านมิคาร์เอลเลยพะยะค่ะ” รีฟเฟอร์ตอบกลับไปก่อนจะมองไปทางข้าวเจ้าเชิงสอบถามแต่คำตอบที่ได้มาคือการสายหัวไปมาของอีกคน

“แปลกจัง หรือจะไปกับพี่คลูส” ข้าวสวยว่า เพราะดูทั้งสองค่อนข้างจะสนิทกัน

“อาจจะเป็นไปได้ อย่างนั้นคงไม่น่าเป็นห่วง” อัสบัสว่า ข้าวสวยก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“ว่าแต่เจ้าเทิด เป็นอย่างไงบ้าง ไปนั่งพักตรงศาลาก่อนดีหรือไม่” เมื่อคลายสงสัยถึงน้องชายก็หันมาสนใจกับคนรักต่อ ข้าวสวยตอนนี้สีหน้าดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะชวนกลับอีกคนคงไม่ยอมเป็นแน่

“ก็ดีเหมือนกันครับ” ข้าวสวยตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะตนเองก็รู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อยได้นั่งพักคงจะดีขึ้น ไม่นึกเลยว่าการอุ้มท้องใครสักคนจะทรมานได้ถึงเพียงนี้แต่มันกลับมีความสุขอย่างบอกถูก

ทั้งสี่ต่างเคลื่อนกายมายังศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวน ใช้เวลาไปกับการนั่งพูดคุยถึงเรื่องต่างๆอย่างสนุกสนาน แม้ว่าที่คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มระบายให้กับเรื่องราวที่น้องชายเล่าจ่อไม่หยุด อะไรกันห่างกับเขาแค่ไม่นานข้าวเจ้ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้เลยหรือ ถึงแม้มันจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆแต่เขาก็มีความสุขที่ได้ยินน้องชายบอกกล่าวถึงเรื่องราวไปด้วยรอยยิ้ม แต่ที่หน้าแปลกใจทำไมทุกเรื่องถึงได้มีองครักษ์หน้านิ่งอยู่ตลอดกันนะ

ภาพบรรยายความสุขนั้นอยู่พาในสายตาของอาเทอร์อยู่ตลอดเวลา ภาพเหล่านั้นมันทำให้เขานึกเจ็บใจ ทำไมถึงยังมีความสุขกัน เขาคงปล่อยเวลาให้มันเนินนานไปสินะพวกเจ้าถึงได้สุขเช่นนี้ ทำไมต้องมีเพียงเขาทุกครั้งที่ต้องทุกข์อยู่คนเดียว ในเมื่อเขาทุกข์พวกมันก็ต้องทุกข์เช่นกัน คงถึงเวลาแล้วสินะ รอต่อไปก็พลาดแต่จะต้องมองดูความสุขของคนเหล่านั้น

ความเจ็บปวดที่ข้าได้รับมันไม่เคยที่จะหายไปอยากจะทำลายพวกเจ้าให้แหลกไปกับมือข้าแท้ๆ แต่ทำไมยามเห็นใบหน้าเจ้าข้าถึงนึกลังเลทุกครั้งไป ข้าเองก็เสียใจกับเรื่องที่ผ่านมามันค่อยหลอกหลอนข้าไปทุกวันเวลา แต่ความเจ็บแค้นนั้นค่อยเตือนข้าอยู่เสมอ ใช่เพราะพวกเจ้าที่หักหลังข้า เพราะฉะนั้นข้าจะทำทุกอย่างให้พวกเจ้าไม่มีความสุขในเมื่อความสุขของพวกเจ้าคือการครองรักอยู่ด้วยกันข้าก็จะแยกมันออกจากกันด้วยน้ำมือของข้า

ดวงใจของข้าทำไมกันเจ้าถึงต้องเป็นของคนๆนั้นทุกครั้งไป ครั้งนี้เจ้าจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นต่อให้ข้าต้องทำลายโลกนี้ข้าก็จะทำ ถ้านั้นคือการได้เจ้ามาเป็นของข้า

อาเทอร์ได้แต่จากออกมาจากภาพความสุขนั้นด้วยความแค้นเคือง อีกไม่นานเกินรอความสุขเหล่านั้นจะต้องหายไป

“นี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าว่าเรากลับกันเถอะ” อัสบัสว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ว่าที่คุณแม่ก็ดูจะเพลียมากแล้วนับว่าวันนี้ข้าวสวยอดทนเก่งมากที่ทนกับกลิ่นจุนของดอกไม้ได้นานขนาดนี้ คงเพราะมีข้าวเจ้าคอยเล่านั้นเล่านี้ไม่หยุด

“เจ้าก็ว่างั้น พี่สวยหน้าซีดมากเลย”

“พี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากรู้สึกดีขึ้นกว่าทุกวันเยอะเลย” ข้าวสวยพูดจริงๆ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว ไปกันเถอะ” อัสบัสว่าก่อนจะค่อยๆประครองข้าวสวยอย่างระวัง

“ไม่เป็นไรผมเดินได้”

“แต่ข้าว่า ให้ข้าประครองเจ้าดีกว่า”

“ผมเดินได้จริงๆ ผมแค่ท้องนะไม่ได้พิกลพิการ” จริงๆเลยเชียวจะเป็นห่วงกันเกินเหตุไปแล้ว

“แต่เจ้าหน้าตาดูซีด” คนเป็นห่วงยังคงเถียง

“คงเพลียจากอาการแพ้ท้องนั้นแหละ แต่ผลเดินได้จริงๆนะ รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” ใช่ข้าวสวยพูดจริงๆรู้สึกว่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาไม่ค่อยเวียนหัวหรือรู้สึกคลื่นไส้อะไรมากนัก

“แต่...”

“ผมเดินไหว งั้นจับมือกันไปแบบนี้ก็ได้” ข้าวสวยว่าพร้อมกับจับมือหนามากุมไว้ ก็ไม่เข้าใจเหมือนว่าทำไมถึงทำแบบนี้

อัสบัสเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ คนตัวเล็กที่ไม่ยอมให้ประครองแต่กลับให้เดินจับมือกันไปแต่ก็อดดีใจไม่ได้ เคยมีที่ไหนกันที่ข้าวสวยจะทำแบบนี้ อัสบัสจึงยอมเดินตามแรงดึงของอีกคน ข้าวสวยดูแข็งแรงขึ้นจริงๆ ถึงสีหน้าจะซีดเสียวแต่ดูดีกว่าเมื่อหลายวันขึ้นมากทั้งที่เมื่อตอนบ่ายยังดูแย่อยู่แท้ๆ แต่จะมามัวหาเหตุผลอันใดกัน แค่อีกคนกลับมาแข็งแรงแค่นี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไร

ข้าวเจ้าและรีฟเฟอร์มองทั้งสองคนที่เดินกุมมือกันไปแล้วได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แผ่นหลังทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันไปพร้อมกับสองมือที่กอบกุมกันไว้พาก้าวเดินไปข้างหน้าช่างดูสวยงามเหลือเกินยิ่งทั้งสองต่างหันมามอบรอยยิ้มให้กันและกันนั้นดูอบอุ่นเหลือเกิน

“อ๊ะ!” เสียงตกใจที่ส่งอออกมาจากปากเล็กเพราะรู้สึกถึงแรกกอบกุมที่มือข้างขวาของตนเอง ข้าวเจ้าก้มลงมองก็พบว่าเป็นมือของพี่รีฟของเขานั้นเอง แก้มใสแดงระเรืองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้รู้สึกเขินอายยิ่งนักถึงจะทำอะไรกันมากกว่าจับมือมาแล้วแต่ก็ไม่เคยเลยที่จะชินสักที ถ้าพี่สวยรู้จะว่าอะไรไม่นะที่น้องชายอย่างเขามีใจให้กับคนหน้านิ่งข้างๆ

รีฟเฟอร์ทำเพียงยกยิ้มน้อยๆกับอาการของข้าวเจ้าที่เวลาเขินจะน่ามองเป็นพิเศษ ปากเล็กแดงๆที่เคยเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดจะเม้นติดกันแน่นทุกครั้ง แก้มใสๆก็จะแดงขึ้นอย่างน่ามอง ทำไมเจ้าชายน้ำแข็งอย่างเขาถึงต้องมาละลายให้กับคนตัวเล็กคนนี้กันนะ รีฟเฟอร์คิด

ผ่านมาสามวันแล้วที่มิคาร์เอลหายไปจากไม่เป็นห่วงตอนนี้ทั้งราชวังนั้นกลับวุ่นกับการตามหาตัวน้องชายของราชาปีศาจไปทั่ว คลูสเองก็ไร้การติดต่อใดๆเช่นกัน ทำเอาคนเป็นราชาแทบนั่งไม่ติดเพราะเป็นห่วงน้องชาย แต่ที่หนักกว่าคงจะเป็น ข้าวสวยที่กังวลจนล่มป่วยทั้งที่อาการแพ้ท้องดีขึ้นแล้วแท้ๆ

“คุณ! เจอมิคาร์เอลบ้างไหม” ข้าวสวยที่นั่งอยู่บนเตียงนอนถามขึ้นทันที่ทีเห็นอัสบัสเดินเข้ามาแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากอีกคนมีเพียงในหน้าเคร่งเครียดที่สายหน้ากลับมาเท่านั้น

ฮึก ฮึก ฮึก

เมื่อได้รับคำตอบเสียงสะอื้นจากคนตัวเล็กก็ดังขึ้นทันที สามวันแล้วที่มิคาร์เอลหายตัวไปข้าวสวยเป็นห่วงมากเพราะมิคาร์เอลก็น้องคนหนึ่งของเขามาหายไปแบบนี้ก็ไม่แปลกที่ข้าวสวยจะเสียใจ ข้าวเจ้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆนั้นคอยลูบหลังเล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นก่อนจะลุกออกเมื่ออัสบัสเดินเข้ามาถึง

“เจ้าอย่ากังวลไม่เลย เราต้องพบมิคาร์เอลเป็นแน่” อัสบัสว่าขึ้นอย่างปลอบใจ

“พี่รีฟ!” เสียงข้าวเจ้าเอ่ยขึ้นเมื่อองครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาอีกคน รีฟเฟอร์ทำเพียงส่งยิ้มน้อยๆให้กับข้าวเจ้า ถึงจะเป็นเพียงยิ้มน้อยๆแต่ก็ยากจะได้เห็นจากองครักษ์ แต่สำหรับข้าวเจ้ารอยยิ้มขององครักษ์นั้นได้เห็นจนเป็นเรื่องชินตาไปเสียแล้ว

“ทรงไม่พบเลยพะยะค่ะ กระหม่อมว่า อาเทอร์น่าจะเป็นคนจับตัวท่านมิคาร์เอลไปนะพะยะค่ะ พระองค์ทรงจำเรื่องที่ท่านมิคาร์เอลกล่าวกับเราได้หรือไม่ กระหม่อมว่า...” รีฟเฟอร์ที่เข้ามาก็รีบรายงานคนเป็นนายทันทีก่อนจะเสนอความคิดที่ตนเองสงสัย

“เจ้าวะ...”

ปัง!

ไม่ทันจะได้เอ่ยจบเสียงที่ดังมาจากทางหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกลนักเรียกให้ต้องหันไปมอง

“อาเทอร์” เสียงแผ่วเบาจากปากของคนเป็นราชาดังขึ้น

“หึหึ ใช่ข้าเอง แค่ข้ามาจะตกใจอะไรขนาดนั้น” คนมาใหม่ว่าขึ้น

“เจ้าใช่หรือไม่ที่นำตัวน้องชายข้าไป” อัสบัสถามขึ้นเสียงดังจนข้าวสวยที่อยู่ใกล้ๆสะดุ้งแต่ก็ยังส่งมือไปลูบแขนใหญ่เป็นการบอกให้ใจเย็นๆทั้งที่ตนเองยังสะอื้นอยู่

“ถ้าข้าบอกว่าใช่แล้วเจ้าจะทำอย่างไร คาวิน หึหึ” เสียงพูดที่ฟังดูเหมือนจะยั่วอารมณ์โมโหนั้นทำเอาราชาปีศาจนึกฉุนขึ้นมา

“ข้าหาได้ชื่อคาวิน อย่าได้เข้าใจผิด” ใช่ตอนนี้เขาคืออัสบัสหาใช่คาวินคนนั้นไม่

“อะไรกัน หึหึ ต่อให้เจ้าจะเกิดใหม่สักอีกกี่ชาติเจ้า ก็คือคาวิน คนหักหลังข้าอยู่ดี” เสียงเอ่ยทีเล่นทีจริงที่ดุดันตอนท้ายนั้นสะกิดใจอัสบัสยิ่งนัก

“อย่าได้กล่าวอ้างถึงเรื่องที่มันผ่านมากอีกเลย คนไม่ยอมเข้าใจอะไรเยี่ยงเจ้าหวนนึกถึงเรื่องเก่าไปก็แค่นั้น” อัสบัสว่า

“หึหึ คนไม่เข้าใจสิ่งใดรึ เจ้าช่างกล้าพูดได้ แล้วคนที่หักหลังได้แม้กระทั้งสหายละ” อาเทอร์พูดขึ้นด้วยความเกลี้ยวกลาด

“...” ไร้เสียงตอบกลับจากคนเป็นราชา หักหลังหรือจะใช้คำนั้นมันก็ไม่ถูก ทั้งที่ข้ากับจันทรารักกันอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้นทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจกลับคิดว่าสหายอย่างข้าหักหลังเจ้ากัน อัสบัสคิดเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งอดีต

“เหตุใดถึงเงียบกันเล่า เถียงข้าไม่ได้สินะก็ในเมื่อที่ข้ากล่าวนั้นคือความจริง”

“เจ้าไม่เข้าใจอะไรตั้งแต่ตอนนั้น จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรบ้างเลย” อัสบัสว่า

“ใช่ข้าไม่เคยเข้าใจสิ่งใด เพราะพวกเจ้าข้าถึงเป็นเช่นนี้”

เผล่ง! เผล่ง! ปัง! ปัง! ปัง!

สิ้นเสียงเกลี้ยวกลาดจากอาเทอร์แจกันใบใหญ่ที่วางอยู่สองข้างประตูแตกกระจายเสียงดังสนั่น หน้าต่างห้องเปิดปิดกระทบกับขอบเสียงดังไปทั้งห้อง อัสบัสโอบกอดร่างเล็กข้างกายทันที  รีฟเฟอร์ก็ไม่ต่างกันรั้งข้าวเจ้ามาไว้ในอ้อมกอดด้วยเช่นกัน

สายตาโกรธเกรี้ยวที่ส่งมาจากอาเทอร์นั้นช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก และทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำที่ก่อเกิดอยู่ด้านหลังอาเทอร์นั้นหมุนวนราวกับพายุก่อนจะเกิดกระแสลมมหาศาลที่พัดพาทุกสิ่งในห้องกระจัดกระจายไปทั่ว อัสบัสและรีฟเฟอร์ใช้ร่างกายโอบปกป้องคนรักของตนไว้กับอก

เหล่าทหารที่แห่กันเข้ามาถูกกลุ่มก้อนควันสีดำนั้นพัดกระจัดกระจายไปทั่วราวกับเป็นเพียงเศษฝุ่นทำให้ไม่มีผู้ใดย่างกายเข้ามาในห้องแม้แต่น้อย แม้กระทั่งไพทรีที่ใช้ย่านไม้ของตนพุ่งเข้าไปหายังถูกพัดสะบัดจนขาดไม่มีชิ้นดีก่อนจะถูกแรงลมพัดไปจนร่างกายลอยปะทะเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้น

อัสบัสอยากจะไปต่อกรกับอีกคนแต่ก็เป็นห่วงคนในอ้อมกอดไม่น้อย นึกสับสนเหลือเกินว่าจะทำเช่นไรแต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างจะต้องแย่ลงเป็นแน่แท้

“รีฟเฟอร์ข้าฝากข้าวสวยด้วย” อัสบัสร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ไม่ไกลจากตนนัก รีฟเฟอร์พยักหน้ารับก่อนจะรั้งให้ข้าวเจ้าเดินตามตนมายังที่ราชาและราชินีของตนอยู่

“คุณ!” เสียงเรียกของข้าวสวยทำให้อัสบัสต้องหันมอง

“เจ้าอยู่กับรีฟเฟอร์และข้าวเจ้าเชื่อข้า หาที่หลบให้ทั้งสองก่อน” อัสบัสเอ่ยกับข้าวสวยก่อนจะหันไปสั่งรีฟเฟอร์ องครักษ์หนุ่มไม่รอช้ารีบพาร่างเล็กทั้งสองหลบออกจากบริเวณนั้นแต่ก็ยากนักเพราะแรงลมนั้นโหมกระหน่ำเหลือเกิน

“หึหึ คิดจะหนีหรือ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น” ว่าจบอาเทอร์ก็พุ่งมาทางข้าวสวยทันที เพราะอย่างไรเป้าหมายก็คือข้าวสวยอยู่แล้ว

แต่กลับไม่เป็นดั่งคิดเมื่ออัสบัสรีบเข้ามาขวางไว้ สุดท้ายการห้ำหั่นของทั้งสองก็เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มือของทั้งจับกุมดาบยาวปลายแหลมนั้น เสียงคมดาบสีทองสว่างปะทะเข้ากับคมดาบที่ปกคลุมไปด้วยสีดำมืดมิดดังไปทั่ว ทั้งสองต่างพลัดรับพลัดสู่กันอย่างดุเดือนแม้จะเป็นเพียงพื้นที่ในห้องนอนแคบๆก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรบราแม้แต่น้อย

ข้าวสวยจ้องมองภาพตรงที่ราวกับกำลังซ้อนทับกับอีกภาพหนึ่งนึกหวาดกลัว ทำไม ทำไม มันถึงเหมือนกันแบบนี้ การห้ำหั่นนั้นช่างบาดขั้วหัวใจเหลือเกิน ไม่อยากที่จะเห็นมันเลย ไม่ ไม่

“ยะ...หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้”

ราวกับเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครา คนทั้งสองที่ห้ำหั่นกันไม่ฟังเสียงร้องขอของเขา มันไม่ต่างกันเลยกับเหตุการณ์วันนั้น หยุดสักที ช่วยหยุดสักที

เสียงคมดาบที่กระทบกันดังไปทั่วมันก็ยังเบากว่าเสียงกรี๊ดร้องของใครคนนั้น ข้าวสวย

อัสบัสรีบหันมองคนรักอย่างเป็นห่วงและนั้นก็ทำให้เขาพลาดเพราะหลบคมดาบดำสนิทนั้นไม่ทันจึงเชือดเฉือนเข้ากลางหลังแกร่งอย่างห้ามไม่ได้ โลหิตสีแดงไหลเป็นทางอย่างน่ากลัว

“อัสบัส! ฮึก!” ข้าวสวยกรี๊ดร้องเรียกคนเป็นที่รักอย่างตกใจ ก่อนจะรีบสะบัดออกจากน้องชายวิ่งเข้าหาอัสบัสทันที มือเล็กๆค่อยประครองร่างที่ยืนเซอย่างเป็นห่วงสุดใจ

อาเทอร์จ้องมองภาพตรงหน้าที่ไม่เคยต่างไปจากครั้งอดีต วันนั้นจันทราก็ทำเช่นนี้ ทำไมนะ อยากรู้เหลือเกินหากคนที่โดนคมดาบนั้นเป็นข้าคนนี้เจ้าจะห่วงใยข้าเช่นนี้หรือไม่   ดวงใจของข้า

ภาพตรงหน้านั้นสุดแสนจะเจ็บปวดราวกับแผลเก่าที่ถูกปิดแล้วฉีกขาดอีกครั้งมันช่างเจ็บปวดยิ่งนัก และนั้นมันเหมือนกับกำลังตอกย่ำให้ความเจ็บปวดที่เคยมีมาให้มากยิ่งขึ้น ในเมื่อรักกันมาก ห่วงใยกันมากนัก เขานี้แหละจะทำลายมัน จะต้องเจ็บเหมือนที่เขาเจ็บ ทรมานเหมือนที่เขาทรมาน

........................................................................................

ตอนที่ 20  อ่านให้สนุกนะคะทุกคน รักคนอ่าน ^3^

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณนะคะ รักษาสุขภาพด้วย

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
King of love ตอนที่ 21

    “อัสบัส!”

เฮือก!

“ฝะ…ฝันไปสินะ” ข้าวสวยเอ่ยกับตัวเองหลังจากสะดุ้งตื่นจากความฝัน ร่างเล็กๆหายใจถี่และแรง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและเนื้อตัวจนชื่นไปทั่ว ยิ่งนึกถึงความฝันนั้นก็พาลให้รู้สึกบีบแน่นที่หัวใจ อัสบัส ชายคนรักที่อยู่ในความฝันนั้นกำลังจะหายไป แต่เมื่อตื่นมาก็พบว่าเป็นเพียงฝันก็อดใจชื่นขึ้นมาไม่ได้
“มันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะกวาดสายตามองหาคนที่แสนห่วงใยในความฝันแต่กลับพบว่าห้องที่เคยอยู่เป็นประจำนั้นเปลี่ยนไป ใจดวงน้อยเริ่มนึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง  ครั้นลองคิดทบทวนดูก็ทำเอาร่างเล็กตกใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“อะ…อัสบัส อัสบัส!” เสียงเล็กตะโกนร้องเรียกคนรักอย่างร้อนรนและเป็นห่วง ข้าวสวยจำได้ว่าอัสบัสถูกทำร้ายจากคนที่ชื่ออาเทอร์ แล้วหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นข้าวสวยก็ไม่รู้เลย รู้เพียงตอนนั้นตนเองโอบกอดร่างที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงทั้งน้ำตา

“อัสบัส! คุณอยู่ที่ไหน ฮึก ที่นี้มันที่ไหนกัน ฮึก อัสบัส ฮึก” ข้าวสวยเอ่ยเรียกทั้งสะอื้นไห้ ความกลัวและวิตกกังวลเริ่มครอบงำ เท้าเล็กๆก้าวลงจากเตียงนอนมุ่งไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลหมายจะเปิดออกไป แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อประตูบานใหญ่นั้นถูกปิดไว้เสียสนิท มือเล็กๆพยายามผลักและดึงประตูนั้นแต่ก็ไร้วี่แวว

ปัง!  ปัง!

“อัสบัส! ใครอยู่ด้านนอกเปิดประตูให้ผมหน่อย” เมื่อเปิดด้วยตัวเองไม่ได้ทางเดียวที่ทำได้คือร้องขอให้ใครสักคนช่วย แต่จนแล้วจนเหล่าก็ไม่มีใครสักคนเลย น้ำตาสีใสค่อยๆใสจากดวงตาสีสวยอย่างช่วยไม่ได้ข้าวสวยตอนนี้ทั้งกลัวและเป็นห่วงอัสบัสมากเหลือเกินยิ่งคิดว่าอีกคนกำลังบาดเจ็บก็ยิ่งเป็นกังวล

“คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ ฮึก”

เมื่อร้องไห้อาการปวดหัวก็เริ่มรุมเร่าเข้ามาอีกครั้ง ทำให้นึกเป็นห่วงเด็กตัวน้อยในท้องขึ้นมา ข้าวสวยพยายามจะไม่เป็นกังวลให้มากเพราะกลัวกระทบถึงลูกน้อยแต่ทั้งที่พยายามแล้วแท้ๆกลับทำไม่ได้เลย ร่างเล็กๆค่อยประครองตัวเองให้นั่งลงข้างประตูอย่างรู้สึกเหนื่อย มือเรียวยกขึ้นมาลูบท้องที่นูนของตนเองอย่างนึกขอกำลังใจ เพื่อลูก เพื่อคนที่รักเขาต้องเข้มแข็ง
หลังจากจ่มอยู่กับความคิดของตัวเองประตูบานใหญ่นั้นก็ค่อยๆ เปิดขึ้น ภาพที่เห็นทำให้ข้าวสวยต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ
 
“คะ…คุณ”

“ใยเจ้าถึงได้ตกใจถึงเพียงนี้เล่า” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำให้ข้าวสวยต้องขยับตัวถอยหนี คนๆนี้อันตรายข้าวสวยเชื่อแบบนั้น

“จักหนีข้าทำไมกันดวงใจของข้า” ชายหนุ่มว่าขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่บนพื้นห้องที่กำลังถอยหนีอย่างร้อนรน
 
“อะ…อย่ามาแตะตัวผม” คนตัวเล็กร้องว่าทั้งปัดมือใหญ่ที่ยื่นเข้ามา

“เพราะข้าหาใช่คาวินคนนั้นหรือไม่” เสียงทุ้มที่ฟังดูน้อยอกน้อยใจนั้นทำให้ข้าวสวยถึงกับต้องหยุดอยู่นิ่ง น้ำเสียงแสนเศร้ากับแววตาที่หม่อนลงนั้นข้าวสวยอดนึกเห็นใจไม่ได้

“คุณต้องการอะไรกันแน่” ข้าวสวยถามขึ้นอย่างสงสัยเพราะสับสนเหลือเกินกับคนๆนี้มันมีหลายเรื่องราว การกระทำหลายๆอย่างมันทำให้ข้าวสวยสับสน อย่าว่าแต่ข้าวสวยเลยอีกคนก็ไม่ต่างกันหลายๆครั้งที่อาเทอร์คิดหาคำตอบให้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ทุกสิ่งที่ทำไปมันดีแล้วหรือ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม แต่เมื่อยามนึกถึงความเจ็บปวดภายในจิตใจทำให้คำตอบมันคือดีแล้วสมควรแล้วที่ต้องเป็นแบบนี้ รักมากก็เจ็บมากและเขาจะไม่ยอมเจ็บเพียงคนเดียว ใช่ทำไมเขาต้องเจ็บคนเดียวพวกนั้นต้องได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของเขา

“ข้าก็ต้องการเจ้าอย่างไรเล่า แค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” อาเทอร์ตอบกลับมาก่อนจะแผ่วเบาลงตอนปลาย

“ทำไมกันผมไม่ได้มีอะไรดีให้คุณต้องมาสนใจแท้ๆ มันอะไรกันผมงงผมสับสนมันเรื่องอะไรกันแน่” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นออกมาอย่างเหลืออด ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ใครจะช่วยตอบให้เขาเข้าใจได้บ้างว่ามันคือเรื่องอะไรตั้งแต่มาที่โลกแห่งนี้เกิดเรื่องต่างๆมากมายกับเขาเหลือเกินโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงอัสบัสจะบอกเล่าเรื่องราวให้กับข้าวสวยฟังบ้างแต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยไขข้อกระจ่างแก่เขาเลย

“เพราะเจ้าคือดวงใจของข้า” อาเทอร์ตอบกลับมาเสียงเบา ข้าวสวยทำเพียงนิ่งเงียบจนอีกคนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าไม่เข้าใจเลยเหตุใดข้าถึงยังต้องการเจ้าถึงเพียงนี้ทั้งๆที่เจ้ากับคาวินทำให้ข้านั้นเจ็บหัวใจเจียนตาย หึหึ เจ้าว่ามันน่าตลกไหมละ อยากจะทำลายด้วยสองมือของข้าแท้ๆแต่ข้าก็กลับทำไม่ลงเมื่อพบเจอหน้าเจ้า” เสียงจากชายหนุ่มตรงหน้านั้นช่างดูเจ็บปวดเหลือเกินถึงข้าวสวยจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไรมากนักแต่ก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของคนตัวใหญ่ตรงหน้า

“อะ…เอ่อ” ทั้งที่อยากจะพูดอะไรออกไปบ้างแต่มันก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดออกไป

“ขอโทษที่ข้าเคยทำลายเจ้า แต่ครั้งนี้เราสองจะอยู่ด้วยกันไปจนนิรันดร์” เสียงพูดกับรอยยิ้มที่ส่งมานั้นทำให้ข้าวสวยนึกกลัวขึ้นมาจับใจ

“มะ…ไม่ ผมไม่ได้ต้องการอยู่กับคุณ” ข้าวสวยตอบกลับไปอย่างสั่นเครือ และเป็นคำตอบที่ทำให้สีหน้าของอาเทอร์เปลี่ยนไปด้วยความโกรธ ดวงตาแข็งกราวที่ส่งมายังร่างเล็กนั้นช่างน่ากลัวราวกับจะกลืนกินและพังทลายทุกอย่างไปได้ทุกเมื่อ

“เหตุใด เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่ต้องการอยู่กับข้า หรือเป็นเพราะคาวินเจ้าถึงเลือกข้าไม่ได้”

“คือ…”
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนข้าก็ไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการทำไมกัน” เสียงอีกคนดังจนข้าวสวยสะดุ้งสายตาโกรธเกลียวนั้นดูรุนแรงขึ้น

“…” ข้าวสวยก็ได้แต่นิ่งเงียบเช่นเคยไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับคนตรงหน้าดี ครั้นถ้าพูดไปก็กลัวว่าจะไปสะกิดอารมณ์คุกรุ่นของอีกคนเข้าให้

“หึหึ ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องอยู่กับข้าที่นี้ ต่อให้เจ้าจะรักคาวินมากเพียงใดก็ตามเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้ครองคู่เพราะเจ้าจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น อย่าคิดหวังที่จะได้ออกไปเลยเพราะมันคงไม่มีวันนั้น” ว่าจบอีกคนก็เดินจากไปทิ้งให้คนตัวเล็กต้องจ่มอยู่กับความคิดของตัวเอง ‘ไม่มีวันได้ออกไป’ ไม่จริงใช่ไหมยังไงอัสบัสก็ต้องมาช่วยเขากับลูกเป็นแน่ตอนนี้อีกคนต้องหาทางมาช่วยเขาออกจากที่แห่งนี้

“พ่อเขาต้องมาช่วยเราอยู่แล้ว” ข้าวสวยเอ่ยบอกกับลูกน้อยในท้อง ทั้งที่คิดอย่างนั้น ทั้งที่ปากเขากำลังยิ้มแต่ทำไมน้ำตาถึงไหลรินออกมา

ทางด้านอัสบัสนั้นยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงใหญ่เพราะผิดบาดแผลมันรุมเร้าทำให้ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาได้แต่นอนแน่นิ่งสีหน้าวิตกกังวลฉายแววอยู่ตลอดเวลาจนคนสนิทอย่างริฟเฟอร์นั้นเป็นห่วงยิ่งนัก และเป็นสองวันอีกเช่นกันที่ราชินีของเขาได้ถูกพาตัวไปสายตาเจ็บปวดของผู้เป็นราชาในวันนั้นรีฟเฟอร์จำมันได้ดี

“พี่รีฟพี่เขยจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสียงเล็กของข้าวเจ้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆถาม รีฟเฟอร์ทำเพียงมองหน้าคนตัวเล็กและพยักหน้าให้น้อยๆเป็นคำตอบ

“แล้วพี่สวยละจะเป็นอะไรไหม ยังมิคาร์เอลอีกคน พี่คลูสก็ด้วย” ข้าวเจ้าเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง รอบตัวเขาตอนนี้น่าเป็นห่วงทั้งนั้นทุกคนไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้างตัวเขาเองก็ช่วยเหลืออะไรใครไม่ได้เลย ยิ่งคิดก็พาลให้ยิ่งรู้สึกผิดที่ตัวเองพึ่งพาอะไรไม่ได้
“ทุกคนจะต้องปลอดภัยเชื่อพี่สิ” รีฟเฟอร์ตอบคนตัวเล็กที่สีหน้าหม่อนลง มือใหญ่ค่อยดึงร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะจุมพิตลงบนกลุ่มผมอย่างต้องการปลอบใจอีกคน

สายตาขององครักษ์หนุ่มจ้องมองคนเป็นนายของตัวเองอย่างมีความหวังแค่เพียงให้อีกคนตื่นขึ้นมาเชื่อว่าเรื่องที่กำลังวุ่นวายอยู่นี้จะคลี่คลายลง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านมากี่วันแล้วที่ข้าวสวยอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมหรูหราแห่งนี้ หนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน หรือมากกว่านั้นก็ไม่อาจรู้ได้เพราะห้องนี้ถูกปิดไปเสียทุกที่ไม่มีบริเวณไหนเลยที่จะมองออกไปภายนอกได้ แสงไฟที่เปิดอยู่ตลอดก็ไม่อาจช่วยบอกวันเวลาได้เลย

ตั้งแต่วันนั้นอาเทอร์ไม่ได้เข้ามาหาข้าวสวยอีกเลยมีเพียงเหล่ากำนันที่นำอาหารมาให้เขาถึงจะไม่ค่อยอยากกินแต่ข้าวสวยก็ต้องกินเพื่อลูกนอนในท้องที่โตขึ้นทุกวันหากได้รับสารอาหารไม่เพียงก็กลัวจะเป็นอันตราย

ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นอย่างไรกันบ้างมิคาร์เอลจะกลับไปหรือยัง อัสบัสละจะปลอดภัยดีหรือไม่ คำถามมากมายเกิดขึ้นในความคิดของคนตัวเล็กแต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยถามได้จากใคร ข้าวสวยใช่เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งเสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น
 
“พี่สวย!”

“มิคาร์เอล!” เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยเรียก มิคาร์เอลรีบก้าวเท้ามาหาข้าวสวยที่ยืนอยู่ข้างเตียงอยากดีใจ

“ดีใจกันขนาดนั้นเลยหรือ” เสียงของคนที่เข้ามาใหม่เรียกให้สองร่างเล็กที่กำลังโอบกอดกันด้วยความคิดถึงต้องหันไปมองก็พบว่าผู้นั้นคืออาเทอร์

“อาเทอร์” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มของทั้งสองหดหายลงทันทีที่เห็นเจ้าของประสาทนี้

                “เหตุใดพวกเจ้าถึงทำหน้าเยี่ยงนั้น ควรจักขอบคุณข้าไม่ใช่รึที่ให้พวกเจ้าได้พบกัน” อาเทอร์พูดขึ้น

“เจ้าปล่อยพวกข้าไปเดี๋ยวนี้” มิคาร์เอลพูดขึ้นอย่างโมโหก็รู้ดีว่าคนอย่างอาเทอร์ไม่มีทางปล่อยไปแน่ มือเล็กของข้าวสวยลูบลงบนแขนของมิคาร์เอลหวังให้อีกคนใจเย็น

“คุณมาทำไม” ข้าวสวยเอ่ยถาม

“ต้องมีเหตุด้วยหรือข้าถึงมาที่นี้ได้ อย่าลืมที่นี้มันที่ของข้า ข้าจะไปที่ใดเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” อาเทอร์ตอบกลับอย่างต้องการแกล้งคนถาม

“จริงสินะผมลืมไป คุณจะทำอะไรก็ได้” ข้าวสวยพูดขึ้นอย่างตัดพ้อ ทำเอาอาเทอร์รู้สึกไม่ดีแต่จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด

“มันก็เป็นอย่างนั้น ส่วนเจ้าจงนึกขอบคุณคลูสสะที่ขอให้เจ้ามาอยู่กับจันทรา” อาเทอร์ว่า ก่อนจะหันไปพูดกับมิคาร์เอลที่ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์แต่พอได้ยินชื่อคลูสก็อดเป็นกังวลไม่ได้ทั้งสองถูกออกจากกันเมื่อวานไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างอาการยิ่งไม่สู้ดีนัก

“ผมไม่ได้ชื่อจันทรา” เสียงของข้าวสวยเอ่ยค้านขึ้นมา ถึงเมื่อก่อนเขาจะเป็นจันทราที่อีกคนรู้จักก็ตามแต่ตอนนี้เขาคือข้าวสวย คนชื่อจันทรานั้นไม่มีอยู่อีกแล้วอีกอย่างเขาจำเรื่องราวเกี่ยวกับคนคนนั้นไม่ได้เลย ต่อให้อัสบัสจะบอกความฝันที่ฝันถึงนั้นคือเรื่องราวในอดีตแต่มันจริงแท้แค่ไหนใครจะรู้ได้

“ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าจะเกิดใหม่สักกี่ครั้ง เจ้าก็คือจันทราของข้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” อาเทอร์ว่าเสียงเรียบก่อนจะหันหลังเดินจากไปแต่แล้วเท้าคู่ใหญ่ก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียกจากข้าวสวย

“คุณ” อาเทอร์หันมองข้าวสวยอีกครั้งสายตาสงสัย

“เรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องในอดีต ทำไมคุณต้องจ่มอยู่กับมัน อยู่กับปัจจุบันไม่ดีกว่าหรือไง” ข้าวสวยเอ่ยพูดขึ้นด้วยหัวใจตื่นเต้น ไม่เข้าใจเลยจริงๆทำไมอีกคนถึงต้องจ่มอยู่กับอดีตขนาดนั้น พาลแต่จะให้เจ็บปวด

“เจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด” เสียงเรียบเอ่ยกลับมา

“ใช่ ผมไม่เข้าใจอะไรก็ไม่มีใครบอกอะไรผมให้เข้าใจ คุณอยากให้ผมเข้าใจคุณก็พูดมันออกมาสิ” ตอนนี้ข้าวสวยไม่อาจถอยได้เขาจะต้องเอาคำตอบจากอีกคนให้ได้

ข้าวสวยไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่อีกคนเอาแต่เงียบสองมือเล็กกำหมัดแน่อย่างต้องการเก็บอารมณ์ที่กำลังคุกรุ้นอยู่ในใจ มิคาร์เลที่ยืนอยู่ข้างกันก็กังวลไม่น้อย ไม่เคยเห็นข้าวสวยเป็นแบบนี้มือเล็กๆได้แต่เลื่อนไปกอบกุมมือของพี่สะใภ้อย่างห่วงใย

“ว่ายังไงบอกผมมาสิ” ข้าวสวยยังคงไม่ลดละความพยายาม อาเทอร์ดูหนักใจยิ่งนักกับอาการของอีกคนไม่ใช่พูดไม่ได้แต่มันเป็นเพราะเขาไม่อยากพูดก็เท่านั้นใครบ้างละที่อยากจะบอกเล่าความเจ็บปวดให้คนอื่นฟัง ไหนจะความผิดใหญ่หลวงที่เขาทำต่อคนตัวเล็กนี้อีกมันยากเกินจะพูดเหลือเกิน

“ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะรู้มัน”

“ทำไมละหรือว่าคุณกำลังกลัวอะไรอยู่” ใช่อาเทอร์กำลังกลัวอยู่จริงๆ เขากลัวต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีกครั้ง และไม่อยากให้สิ่งสำคัญต้องหายไปด้วยน้ำมือของเขาอีก

“ข้าหาได้กลัวสิ่งใด” อาเทอร์ตอบกลับสวนทางกับความรู้สึกของตนเอง คนตัวเล็กตรงกำลังทำให้เขาวุ่นวายใจอีกครั้ง เขาตัดสินใจหันหลังก้าวเดินออกมา

“เพราะจันทราไม่ได้รักคุณเหมือนที่เขารักคาวินใช่หรือไม่คุณถึงทำแบบนี้” เสียงเล็กตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด คนที่พึ่งก้าวเดินถึงหยุดชะงัก

“เจ้า!” อาเทอร์เอ่ยขึ้นพร้อมก้าวเดินเข้าหาข้าวสวยอย่างไม่พอใจ มือใหญ่กระชากมือเล็กจนคนถูกกระชากตกใจไม่น้อย
“ปล่อยพี่สวยนะ!” มิคาร์เอลว่าขึ้นเสียงดังก่อนจะเข้ามารั้งคนตัวใหญ่ที่กำลังจับข้าวสวยอยู่ แต่ก็ถูกอาเทอร์สะบัดจนกระเด็นล่มลงไปกับพื้น

“มิคาร์เอล!” ข้าวสวยเรียกน้องชายสามีอย่างตกใจจะรีบเข้าไปหาอีกคนก็ถูกอาเทอร์รั้งไว้

“เจ้าจะไปรู้อะไร” คำกล่าวถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ก็ไม่รู้นะสิ ผมถึงถาม คุณรักจันทราจริงๆแน่หรือ” คำพูดของคนตัวเล็กเรียกอารมณ์โมโหของอีกคนขึ้นมา

“รัก! ข้ารักจันทราแน่แท้” เสียงดังตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด

“รักเขาก็ปล่อยผมไป ผมไม่ใช่จันทรา ผมคือข้าวสวย!” ข้าวสวยว่าขึ้น อาเทอร์บอกรักจันทราซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเขาเลยตอนนี้เขาคือข้าวสวยคนธรรมที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ ไม่ใช่จันทราผู้สร้างโลกแห่งนี้อีกต่อไป

“ไม่ เจ้าก็คือจันทรา ข้าบอกไปแล้วอย่างไรว่าต่อให้เจ้าจะเกิดใหม่เป็นใครเจ้าก็คือจันทรา”

    “ตาสว่างสักทีคุณจะจ่มกับอดีตไปถึงไหน หยุดมันไว้เท่านี้เถอะ ทุกอย่างเลยหยุดมันได้ไหม”

“ไม่ ไม่มีวันที่ข้าจะทิ้งความรู้สึกนี้ไป เจ้ารู้หรือไม่ข้าเจ็บปวดแค่ไหนที่เจ้าสลัดรักของข้า และมันยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อเจ้ากับคาวินปิดบังข้า พวกเจ้าเห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไงกัน ต่อหน้าข้าบอกไม่มีอันใดพอลับหลังข้าพวกเจ้ากลับไปพลอดรักกันทั้งที่รู้ความรู้สึกของข้าดี ทำไม ทำไม! พวกเจ้าถึงไม่บอกข้าให้ข้าเป็นเพียงคนโง่เง่า คนหักหลังมันไม่ควรจะมีความสุขอันใด” ถ่อยคำยืดยาวออกจากปากของคนร่างใหญ่สุดที่จะอดทนเจ็บที่รักเขาแล้วเขาไม่รักตอบ เจ็บที่เพื่อนรักที่ค่อยร่วมทุกข์ร่วมสุขหักหลังเขาไม่เหลือชิ้นดี แค่เพียงบอกเขาสักนิดมีหรือที่เขาจะไม่ยอมรับเพราะอย่างไรนั้นก็เพื่อนและคนที่เขารัก แต่เปล่าเลยพวกเจ้าทั้งสองกลับร่วมมือกันปั่นหัวข้า  ใครเล่าจะเข้าใจข้า

“คุณเข้าใจผิดมันคงไม่เป็นแบบนั้น” เพราะไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดข้าวสวยจึงไม่หมั่นใจที่จะกล่าวสิ่งใดไปมากนัก
“หึ เข้าใจผิดหรือ ข้าเบื่อคำนี้เต็มที”

“เชื่อผมสิว่าจันทรกับคาวินไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้”

“เจ้าพูดได้สิในเมื่อเจ้าคือจันทรา แต่ข้า! ข้าคือรามิฬคนนั้น ข้าจำความรู้สึกเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เพราะอะไรรู้ไหม…” อาเทอร์ว่าก่อนจะถามข้าวสวยขึ้น คนถูกถามก็ได้แต่สายหน้าไปมา ข้าวสวยไม่รู้ว่าเพราะอะไร

“เพราะชีวิตฆ่ามันเป็นนิรันดร์อย่างไรเล่า!”

ปัง!

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” สิ้นคำของอาเทอร์ประตูห้องที่เคยปิดสนิทเปิดออก เสียงกล่าวถามอย่างตกใจของคนมาใหม่ดังขึ้น

“อัสบัส” ข้าวสวยร้องเรียก

“คาวิน เจ้า! เข้ามาได้อย่างไรกัน” อาเทอร์เองก็เช่นกัน

“คลูส!” ก่อนจะตอบกลับเสียงมิคาร์เอลก็ดังขึ้นเสียก่อน มิคาร์เอลรีบสาวเท้าเข้าหาคลูสทันทีถึงจะงงว่าคลูสกับอัสบัสมากันได้อย่างไรแต่มันก็หาใช่เวลาที่จะมาถามไถ

อัสบัสจ้องมองอาเทอร์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวมือหนาที่จับกุมมือเล็กอยู่นั้นเห็นทำให้เขาหงุดหงิดเหลือเกิน

“เจ้า! สิ่งที่พูดหมายถึงสิ่งใด” อัสบัสขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน อยากจะไปกระชากตัวอาเทอร์ออกมาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะคนรักอยู่ในกุมมือ และอีกอย่างเรื่องที่เขาได้ยินมันน่าสงสัยยิ่งนัก

“เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า” อาเทอร์ตอบกลับมาอย่างยียวน ข้าวสวยที่ถูกจับกุมไว้พยายามบิดมือออกจากมือของอีกตนแต่ก็ทำไม่ได้มือหนาเหมือนดั่งคีบเหล็กหนา

“ปล่อยข้าวสวยเดี๋ยวนี้” อัสบัสว่าขึ้นเสียงเย็นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กพยายามออกจากการจับกุม

“ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องเชื่อฟังเจ้า”

“ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าก็ยังคงดื้อรันไม่เปลี่ยน” อัสบัสว่า

“เจ้าก็ยังเป็นคนที่ข้าชังน้ำหน้าไม่เปลี่ยน” อาเทอร์ตอบกลับ

“ปล่อยผมนะ” เสียงเล็กของข้าวสวยดังขึ้นเรียกสายตาของทั้งสอง

“แค่เพียงคาวินมาเจ้าก็รีบจะไปหาเลยหรือไง”

“ไม่ใช่” ข้าวสวยตอบกลับเบาๆ แต่ก็มีส่วนด้วยเหมือนกันดีใจที่เห็นอีกคนหลังจากไม่ได้พบเจอกันหลายวัน

“หึ เอาเถอะจังอย่างไรข้าก็หาได้สนไม่ เพราะอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่กับข้าไปตลอด หึ”

“อย่าคิดว่าเจ้าจะทำได้เลยอาเทอร์ ไม่สิต้องเป็นรามิฬสินะ” อัสบัสว่าขึ้นบ้าง

“งั้นเรามาดูกันสหายข้า” ว่าจบอาเทอร์ก็ปล่อยมือจากข้าวสวยพุ่งเข้าหาอัสบัสที อัสบัสก็ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้ามาเช่นกัน ข้าวสวยมองทั้งสองคนที่พุ่งใส่เข้ากันอย่างนึกเป็นกังวลและโมโหทำไมต้องรุนแรงกันทุกที่เจอทำไมถึงไม่ลองไปใจคุยกัน
มิคาร์เอลกับคลูสเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเข้ามากันข้าวสวยไว้เพราะกลัวจะได้รับอันตราย ครบดาบที่ได้รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรฟาดฟันกันเสียงดังไปทั่วทั้งห้อง ข้าวของกระจัดกระจายอย่างหาชินดีไม่ได้

ข้าวสวยมองภาพของคนสองคนอย่างสุดจะจน ยิ่งอารมณ์คุณแม่ท้องอ่อนยิ่งหงุดหงิด

“มิคาร์เอลหลบ!” เสียงดังจากข้าวสวยทำเอามิคาร์เอลตกใจมีที่ไหนที่พี่สะใภ้เขาจะเสียงดังและทำหน้าโมโหแบบนี้ มิคาร์เอลไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคลูส พี่สวยตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน

“สวย พี่ว่าอย่าเข้าไปเลยนะ” คลูสพูดขึ้นห้ามคนเป็นน้อง แต่ก็ต้องเก็บปากเงียบเมื่อข้าวสวยตะหวัดสายตามามอง ใบหน้าสวยที่บึงตึงอย่างไมพอใจส่งมาใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่เพราะเคยเห็นและเข้าใจดีคนตัวใหญ่เลยรั้งมิคาร์เลให้ก้าวหลบและตัวเองก็เช่นกัน มิคาร์เอลทำท่าเอ่ยขัดแต่ก็ถูกสายตาของคลูสให้เงียบลง ไม่เข้าใจว่าทำไมคลูสถึงปล่อยพี่สวยไป

คลูสมองมิคาร์เอลอย่างรู้สึกผืด ก็คนตัวเล็กตรงหน้ามองเขาอย่างหงิดหงิด รู้ดีว่าถูกอีกคนเคืองเพราะไม่ห้ามข้าวสวยแต่จะให้เขาตอบว่าไงดีละข้าวสวยตอนนี้นะเหมือนตอนนั้นไม่มีผิดและเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำ จำได้ดีวันนั้นเขากับข้าวเจ้ามีเรื่องกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนก็เลยไปช่วยเลยมีเรื่องกันข้าวสวยมาเห็นเข้าพอดีสายตาวันนี้ก็เหมือนวันนั้น หูชาแน่ คลูสคิด เพราะตอนนั้นข้าวสวยโมโหและไม่พอใจที่มีเรื่องกันห้ามก็ไม่หยุดเลยหงุดหงิดองค์ลงเล่นเอาทั้งคลูส ข้าวเจ้า และพวกนั้นต้องนั่งพับเพียบฟังอีกคนบ่นเป็นชั่วโมงเอาสะเหน็บกิน ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยมีเรื่องอีกเลยพวกนั้นก็กลายเป็นเพื่อนซี้ของข้าวเจ้าไปโดยปริยาย
สองเท้าเล็กพาร่างกายบอบบางก้าวเข้าหาสองคนอย่างไม่หวาดกลัวคมดาบก่อนจะก้าวไปอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองที่แยกกันพอดี และเป็นเวลาที่ทั้งสองพุ่งเข้าหากันด้วยเช่นกันคมดาบในมือทั้งสองหยุดชะงักก่อนถึงตัวข้าวสวยอย่างพอดี โดยคนตัวเล็กไม่ได้หวาดกลัวหรือตกใจแม้แต่น้อย ผิดกับมิคาร์เอลที่รีบยิ่งมือปิดตาอย่างตกใจ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ อัสบัสและอาเทอร์ตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆคนตัวเล็กเข้ามาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกเขาหยุดไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น

“นั่งลง!” เสียงเอ่ยจากปากเล็กดังขึ้นอย่างนิ่งๆ ทั้งสองมองกันอย่างงงว่าอะไรคือนั่งลง แต่เมื่อสายตาสวยตะหวัดมามองคนละทีทั้งสองกลับนั่งลงอย่างโดยเร็ว คนตัวเล็กตอนนี้ราวกับไม่ใช่ข้าวสวย แต่ทั้งสองกลับนึกขึ้นมาได้ว่าอาการแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมา และด้วยเหตุนี้สีหน้าเหรอหราของทั้งสองก็ปรากฏขึ้น ไม่จริง ทั้งสองคิด อัสบัสมองอาเทอร์ อาเทอร์ก็มองอัสบัส สายตาดุดันของทั้งสองหายไปมีแต่สายตาฉายแววสงสัยสายตาสองคู่ประสาทกันอย่างต้องการยืนยันและนั้นมันก็ทำให้อัสบัสและอาเทอร์ต้องเอ่ยพร้อมกัน

“จันทรา!” ใช่ทั้งสองนึกถึงจันทราขึ้นมาเพราะข้าวสวยตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับจันทราในตอนนั้น อัสบัสและอาเทอร์ลอบกลืนน้ำลายอย่างกังวลเพราะรู้ชะตากรรมดีว่าจะเจอกับอะไร

“ผมไม่ใช่จันทรา” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นค้าน

“แต่…” อาเทอร์จะเอ่ยขึ้นแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อสายตาเรียวตะหวัดมามองก่อนจะหันมองอัสบัสมือเล็กยกขึ้นมากอดอกแล้วถอนหายใจเสียงดัง สายตาสวยตะหวัดทั้งสองอีกครั้งทำเอาอัสบัสและอาเทอร์ต้องรีบก้มหลบสายตา

มิคาร์เอลมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงๆมันเกิดอะไรขึ้น หันไปขอคำตอบจากคลูสที่อยู่ข้างๆก็ได้เพียงยิ้มแห้งๆกลับมา เลยหันกลับไปมองพี่สะใภ้อีกครั้ง แต้ก็ถูกคลูสสะกิดเลยต้องหันไปมอง

“ปิดหูไว้นะ” คลูสบอกมิคาร์เอลก่อนที่จะเอามือไปปิดหูตัวเอง มิคาร์เอลงงไม่น้อยกับคำพูดของคลูส แต่แล้วก็เริ่มเข้าใจเมื่อพี่สะใภ้เอ่ยขึ้น

มิคาร์เอลนั่งมองชายร่างใหญ่บึกบึนสองคนที่นั่งพับเพียบเข้าหากันโดยมีข้าวสวยยืนอยู่ใกล้ๆ นึกทึ่งในตัวพี่สะใภ้ที่ปราบสองคนนี้สองได้ เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นผู้เป็นพี่ชายนั่งพับเพียบทำหน้าสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย อาเทอร์ก็เช่นกัน ทั้งดูเหมือนราวกับเด็กทำผิดแล้วถูกจำได้

ปากเล็กที่เอ่ยนั้นพูดไม่หยุดหย่อยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ไม่นานมากในความรู้สึกของอัสบัสและอาเทอร์นานพอที่จะทำให้ขาทั้งสองข้างนั้นถูกเหน็บกินจนขยับแทบไม่ได้ ตลอดที่นั่งฟังคนตัวเล็กบ่นนั้นไม่มีโอกาสเลยที่จะได้ขยับตัวเพราะเพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็ถูกคนตัวเล็กเอ็ดเอา

มันนานพอดูกับความรู้สึกนี้ครั้งล่าสุดก็คงเป็นตอนก่อนที่จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต ทั้งสองจำได้ดีว่าทำให้จันทราโกรธเพราะออกรบโดยไม่บอกอีกคนหลังจากรบก็พบอีกคนรออยู่แล้วสีหน้าและอารมณ์ไม่ต่างจากตอนนี้เลย ตอนนั้นทั้งสองนั่งฟังอีกคนบ่นไปสองชั่วโมงไม่รู้ว่าสรรหาคำพูดมาจากที่ใดหนักหนา และยังให้นั่งสำนึกผิดอีกสองชั่วโมง รวมแล้วก็สี่ชั่วโมง สี่ชั่วโมงกับการนั่งพับเพียบโดนไม่ได้ขยับมันทรมานมากจริงๆสำหรับชายหนุ่มทั้งไหนจะคำพูดของอีกคนที่ทำให้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิตได้เลย หากถามว่าทำไมทั้งอัสบัสและอาเทอร์ถึงยอมทำอะไรแบบนี้นั้นมันก็เพราะคำว่ารักแค่คำเดียว

“นะ…นั้นพี่สวยแน่หรือ” มิคาร์เอลถามขึ้นเสียงเบา คลูสทำเพียงพยักหน้าพร้อมกับใบหน้าสยอง ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่านั้นคือพี่สะใภ้เขาจริงๆ คนตัวเล็กที่พูดอะไรมากมายเป็นชั่วโมงนั้นคือพี่สวยจริงๆ คำพูดที่พลั่งพลูออกมานั้นทั้งตัดพ้อน้อยใจและกล่าวว่าจนมิคาร์เอลรู้สึกผิดไปด้วยทั้งที่ไม่เกี่ยวแท้ๆ เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคลูสขึ้นมาทันที


........................................................
มาแล้วคร่าาาาาาาาา จุ๊ฟๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
น่าสงสารอาเทอร์เหมือนกันนะ
น่าจะหาคุ่ให้ซักคน  :o12:

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
King of love ตอนที่ 22

“ใครบอกให้คุณขยับ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นคนตัวโตสองคนเริ่มขยับตัว

“ข้า...คือ…” เสียงหวาดเกรงจากสองหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้น ครั่นจะตอบออกไปก็นึกเกรงสายตาของคนตัวเล็กตรงหน้า ไม่ใช่ว่าทั้งสองกลัวเรื่องไรเพราะรักถึงได้เกรงอกเกรงใจคนตัวเล็กก็เป็นเพียงเท่านั้น

“ผมละไม่เข้าใจพวกคุณจริงๆ เป็นบ้าอะไรกัน เรื่องที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปจะเก็บมันไว้ให้เป็นหนามทิ่มแทงตัวเองกันทำไม” ข้าวสวยพูดขึ้นอีกครั้งจำไม่ได้เหมือนกันว่าพูดถึงเรื่องนี้รอบที่เท่าไรถึงจะไม่รู้ว่าทั้งสองจะยอมเข้าใจหรือไม่ก็ตามแต่ดูจากสายตาที่วูบไหวนั้นก็พอจะยืนยันได้ว่าทั้งสองก็ยอมรับบ้างนับว่าเป็นเรื่องดี ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อข้าวสวยไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาทำเพียงทอดมองคนนั้นคนนี้อย่างต้องการดูปฏิกิริยาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นว่ามันมืดมิดไรซึ่งแสงของดวงจันทราและหมู่ดาวบอกได้เป็นอย่างดีว่าคืนนี้คงเป็นคืนเดือนมืด

“เฮ้อ…ลุกขึ้นเถอะครับ” ข้าวสวยถอดหายใจก่อนจะบอกให้ร่างใหญ่ทั้งสองลุกขึ้น คลูสกับมิคาร์เอลก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“…” สองหนุ่มทำเพียงนั่งเงียบขยับเพียงเล็กน้อย ข้าวสวยมองอย่างสงสัย

“ลุกเถอะครับ” คนตัวเล็กบอกย้ำอีกครั้งก่อนจะทำสีหน้างุนงง อะไรกันให้ลุกขึ้นแล้วแท้ๆยังจะนั่งอยู่อีก

“เอ่อ…” อัสบัสเหมือนจะเอ่ยอะไรแต่ก็ไม่ ข้าวสวยยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ ทางอัสบัสกับอาเทอร์หันมองหน้ากันอย่างรู้กัน อยากบอกคนตัวเล็กเหลือเกินว่าขามันชาแทบจะไม่รู้สึก ปวดไปหมดจะให้ลุกได้อย่างไรกัน แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มกลับไปก่อนจะหันมานวดขาเพื่อคลายความเจ็บปวด

“โอ๊ะ! เจ้า” เสียงจากสองหนุ่มดังขึ้นเมื่อแขนกระทบกัน ก่อนฟึดฟัดและหันหลังให้กัน ข้าวสวยมองการกระทำเหมือนเด็กอย่างเหนื่อยใจ

“พี่สวยท่านหน้าซีดมากเหลือเกิน” มิคาร์เอลถามขึ้นทันทีที่ข้าวสวยละออกจากชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งคำพูดของมิคาณ์เอลเรียกความสนใจของทั้งสองหนุ่มที่กำลังถกเถียงได้เป็นอย่างดี อัสบัสรีบเข้าหาคนรักเมื่อเห็นว่าอาการไม่สู้ดีนักแต่เนื่องด้วยการนั่งที่ยาวนานทำให้ขานั้นเหน็บชาไปหมดแทบจะลุกไม่ขึ้น และยังจะรู้สึกเจ็บมากแต่ด้วยความเป็นห่วงคนรักก็พยายามยกตัวเองขึ้นมุ่งเข้าหาข้าวสวยทันที ทางอาเทอร์ก็เช่นกันหากแต่ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าอัสบัสเข้าถึงตัวคนตัวเล็กเสียแล้วภาพตรงหน้าราวกับกำลังตอกย้ำความรู้สึกของเขาที่บอกว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่สำหรับเขาแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม แต่ที่แปลกใจอาเทอร์กลับไม่รู้สึกโกรธแค้นอย่างที่เคยเป็น และเหมือนข้าวสวยก็สัมผัสได้ถึงจุดนั้นด้วยเช่นกันทำให้ยิ่งมั่นใจว่าอาเทอร์ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิดเวลาคงช่วยเยี่ยวยาได้จริง

อีกด้านหนึ่งของประสาทที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและหมอกหนาเท้าสองคู่ก้าวเดินอย่างเร่งรีบไปยังบริเวณป่าข้างประสาทจนปรากฏแนวหินขนาดใหญ่

“พี่รีฟเรามาที่นี้ทำไม ไม่ไปช่วยพี่สวยกับพี่เขยเหรอ” ข้าเจ้าถามขึ้นทันทีที่หยุดเท้าพรางหอบหายใจเร็วขึ้นผิดปกติเพราะเร่งเดินมาที่แห่งนี้

“มาช่วยคนสำคัญของเจ้า” รีฟเฟอร์ตอบ

“คนสำคัญ? พี่สวยอยู่ที่นี้เหรอ” ข้าวเจ้าทวนขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะนึกถึงพี่ชายที่เหลือเพียงคนเดียวที่สำคัญที่สุดนะตอนนี้เพราะคนอื่นในครอบครัวได้จากไปแล้ว….รีฟเรอฟ์ทำเพียงยิ้มให้เท่านั้นแล้วเดินเข้าใกล้แนวหินนั้นก่อนจะตวัดคมดาบลงบนหินขนาดใหญ่จนเผยให้เห็นอุโมงค์ด้านในแต่ที่ทำให้ข้าวเจ้าตกใจยิ่งกว่าคงเป็นบุคคลสองคนด้านในที่จ้องมองมาอย่างหวั่นกลัวก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ

“ข้าว...เจ้า” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆราวกับไม่มั่นใจ

“พะ...พ่อ แม่” เสียงเอ่ยที่ออกมาจากข้าวเจ้านั้นสั่นเครือมาก ตกใจไม่น้อยที่พบเจอผู้ที่คิดว่าจากไปแสนนาน ร่างเล็กไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าหาชายหญิงทั้งสองทันที ทั้งสามกอดกันร้องไห้บอกไม่ได้ว่าดีใจมากแค่ไหนมันพูดไม่ออกจริงๆมีเพียงอ้อมกอดที่มอบให้กันและเสียงร้องไห้ที่แสนบีบคันหัวใจ ไม่ใช่ร้องไห้เพราะเจ็บปวดหากแต่มันดีใจจนต้องร้องไห้ออกมา

“เจ้า ฮึก เป็นยังไงบ้างลูก” คนเป็นแม่ถามขึ้นทั้งร้องให้มันนามมากแล้วที่ไม่ได้กอดลูกชายแบบนี้นานจนไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ใบหน้าที่มีริ้วรอยซึ่งบ่งบอกวัยนั้นค่อยๆก้มลงหอมหน้าผากมนของคนเป็นลูกอย่างห่วงหา คนเป็นพ่อก็ไม่ต่างกันมือใหญ่ลูบลงบนกลุ่มผมนั้นไม่ขาดมือ

“ฮึก พ่อ แม่ จะ...เจ้าไม่เป็นอะไร พ่อ กับ...ฮึก แม่ ยังไม่ตาย เจ้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” ข้าวเจ้าพูดทั้งสะอื้นพรากโอบกอดคนเป็นพ่อและแม่แน่น

“มะ...ไม่ ไม่เลย เจ้าไม่ได้ฝัน ฮึก แม่กับพ่ออยู่ตรงนี้” เธอเอ่ยบอกลูกชายราวกับต้องการย้ำให้รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝันแม้แต่น้อย ทั้งสามอยู่กันอย่างนั้นเป็นเวลานานจนรีฟเฟอร์ต้องเอ่ยขัดขึ้นมาถึงแม้ความจริงจะไม่อยากทำก็ตามรู้ดีว่าทั้งสามรู้สึกเช่นไร แต่จะชักช้าไม่ได้พวกเขาต้องออกจากที่นี้ให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าเหล่าทหารจะต้านทานพวกศัตรูได้นานแค่ไหน และที่สำคัญหลังจากพาทั้งสามไปยังที่ปลอดภัยรีฟเฟอร์ต้องกลับมาช่วยเหล่าองค์ราชาที่ไม่รู้ว่าเวลานี้จะเป็นเช่นยิ่งบุกเข้าประสาทอาเทอร์เพียงผู้เดียว โดยให้เขามาช่วยท่านพ่อและท่านแม่ขององค์ราชินีให้ปลอดภัยเสียก่อนไปสมทบกับพระองค์อีกคลา

“ข้าว่าพวกเรารีบออกจากที่แห่งนี้ก่อนเทิด” เสียงของรีฟเฟอร์เรียกให้ทั้งสามต้องหันมาสนใจ

“อ๊ะ! จริงด้วย พ่อกับแม่เราออกไปจากที่นี้ก่อนเถอะครับเดี๋ยวพวกนั้นจะมาเห็นเข้า” ข้าวเจ้าปาดน้ำตาออกก่อนจะเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อและแม่ ซึ่งต่างก็ไม่รอช้าทุกคนรีบมุ่งออกจากที่นี้ทันที ระหว่างทางภาพสู้รบกันนั้นทำให้ข้าวเจ้าตกใจไม่น้อยแต่ก็ได้อ้อมกอดอุ่นๆจากพ่อแม่ค่อยปลอบโยนเขา รีฟเฟอร์ทำเพียงส่งความห่วงใยไปให้เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาของตน

“เจ้าแล้วพี่สวยละ” เสียงของคนเป็นแม่เอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกถึงลูกชายคนโต หลังจากพ้นบริเวณสู้รบไปแล้ว

“เอ่อ...” ข้าวเจ้าไม่รู้จะตอบอย่างไรได้แต่ส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากรีฟเฟอร์ คนถูกโยนงานมาให้ถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะเหล่าเรื่องราวที่ข้าวสวยถูกอาเทอร์จับตัวไปเมื่อหลายวันก่อน

“ท่านทั้งสองอย่าได้กังวลเลย องค์ราชาต้องช่วยราชินีได้เป็นแน่” รีฟเฟอร์บอก แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าเป็นกังวลก็ชายหญิงวัยกลางคนนั้นลดลงได้เลยและมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อสายตาของทั้งสองมองขึ้นยังท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้ซึ่งดวงจันทร์และหมู่ดาว

“ไม่ได้การแล้ว เราต้องรีบไปที่นั้น” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“มีอะไรหรือพ่อ” ข้าวเจ้าถามขึ้นอย่างกังวลเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเป็นพ่อ

“รีบ...รีบพาพวกเราไปที่ข้าวสวยที” หญิงสาวร้องขอรีฟเฟอร์อย่างสั่นเคือง

“ท่านทั้งสองอย่าห่วงเลย” รีฟเฟอร์บอก เข้าใจหัวออกคนเป็นพ่อแม่ดียามรู้ว่าลูกตกอยู่อันตรายก็ยอมเป็นห่วง

“ไม่ได้เราต้องไป วันนี้มันคืนเดือนมืด” หญิงสาวบอกขึ้นเสียงสั่น

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” รีฟเฟอร์ถามขึ้นอย่างสงสัย ใจคอรู้สึกไม่สู้ดีนัก

“นั้นสิแม่ หมายความว่าไง คืนเดือนมืดแล้วทำไมกัน” ข้าวเจ้าถามสมทบ

“คืนเดือนมืดความมืดจะมีพลังสูงมากมันจะครอบงำผู้ถือครองจนไม่อาจควบคุมได้” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้น

“ผมไม่เข้าใจ หมายความว่าไง” ข้าวเจ้าว่า รีฟเฟอร์ทำเพียงคิดตามสิ่งที่คนเป็นพ่อของข้าวเจ้าเอ่ยบอก

“พวกท่านกำลังจะบอกว่า…”

“ใช่ คืนนี้อาเทอร์จะมีพลังสูงมากและจะเขาจะคุมตัวเองไม่ได้ความมืดจะครอบงำจนไม่เป็นตัวของตัวเอง และนั้นหมายความว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง” พ่อของข้าวเจ้าว่า

“ถึงอย่างนั้นลึกๆลงไปในใจอาเทอร์ไม่ได้ไม่ดีอะไรหรอกนะ เขาน่าสงสาร” คนเป็นแม่เอ่ย

“องค์ราชา พวกท่านประเดี๋ยวข้าจะให้คนพาไปยังประสาทของเรา ข้าวเจ้าไปกับท่านพ่อท่านแม่พี่จะเป็นช่วยองค์ราชาและองค์ราชินี กลับไปรอที่ประสาทนะ” รีฟเฟอร์ร้องบอกชายหญิงทั้งสอง ก่อนจะหันมาบอกกับข้าวเจ้า

“ไม่! ผมไม่ไปผมจะไปกับพี่” ข้าวเจ้าตอบกลับทันที

“อย่าดื้อกลับไปที่ประสาทกับท่านพ่อท่านแม่เสีย ไปกับพี่มันไม่ปลอดภัย” รีฟเฟอร์ว่าพร้อมกับลูบกลุ่มผมของข้าวเจ้าอย่างร้องขอ ไม่อยากให้คนตัวเล็กเป็นอันตรายใดๆแต่คนตรงหน้าก็ช่างดื้อเหลือเกิน

“ไม่! เจ้าจะไป” ข้าวเจ้าเถียง คนเป็นพ่อและแม่มองคนสองคนที่เถียงกันอย่างนึกตกใจทั้งสองมีบรรยากาศแปลกๆ ซึ่งคนผ่านน้ำร้อนมาก่อนยอมรู้ดี คนเป็นพ่อถอยหายใจเสียงดังก็จะเอ่ยขึ้น

“ไปกันทั้งหมดนี้แหละ มัวเถียงกันมันจะไม่ทันการ” ชายหนุ่มว่าขึ้นอย่างตัดปัญหา อีกอย่างเขาก็อยากไปช่วยลูกชายด้วยเหมือนกัน

“แต่มัน...” รีฟเฟอร์จะเอ่ยแต่โดนขัดขึ้น

“อย่ากังวลไปเลยพวกฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ใช่ไหมแม่” คนเป็นพ่อว่า

“ถึงจะไม่ได้บู้มานานแต็คิดว่าไหวนะพ่อ” คนเป็นแม่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ข้าวเจ้ามองพ่อกับแม่อย่างงงๆ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรก็เขาไม่เคยเห็นพ่อสู้กับใครและยิ่งแม่นี้แล้วใหญ่ใจดีจนมองภาพที่จะชกต่อยไม่ออกจริงๆ

“พวกท่าน!” รีฟเฟอร์เอ่ยขึ้นก่อนจะยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั้นสินะ หึหึ “เอางั้นก็ได้ถ้าพวกท่านต้องการ เจ้าอยู่ข้างพี่ตลอดห้ามห่างพี่เด็ดขาด” รีฟเฟอร์ตอบรับก่อนจะหันมาสั่งข้าวเจ้าที่ยังงงๆอยู่

ทั้งสี่เปลี่ยนทิศทางมุ่งไปยังประสาทของอาเทอร์แทนที่จะเป็นประสาทของอัสบัส พวกเขาเดินลัดเลาะมาตามแนวป่าจนมาถึงตัวประสาทแต่รอบบริเวณนั้นมีทหารอยู่เต็มไปหมด รีฟเฟอร์ไม่ได้นำทหารมาด้วยเพราะต้องการแอบเข้าไปโดยให้พวกศัตรูเห็นน้อยที่สุด อีกอย่างคืออัสบัสไม่อย่างให้มีการเสียเลือดเนื้อกันมากนักถึงแอบเข้ามาอย่างไรเสียก็เหล่าปีศาจด้วยกัน

“เดี๋ยวท่านกับเจ้าไปทางซ้าย พวกผมไปทางขวา” คนพ่อบอก รีฟเฟอร์พยักหน้ารับก่อนจะจูงมือข้าวเจ้าให้ตามมา และทางพ่อแม่ของข้าวเจ้าก็ไปอีกทาง รีฟเฟอร์พยายามหลบสายตาจากเหล่าทหารแต่ดูเหมือนจะไม่พ้นเมื่อหนึ่งในคนที่เฝ้าอยู่ทางเข้าเห็นพวกเขาเสียก่อนทำให้ต้องมีการลงไม้ลงมือ รีฟเฟอร์ไม่ได้เอาถึงชีวิตแค่เอาพอสลบด้วยสันดาบ ข้าวเจ้ามองอย่างปลามปลื้มก่อนจะยกนิ้วโป้งให้อีกคนเป็นบอกว่าเยี่ยมมาก

ทั้งสองก้าวเดินเข้ามาในบริเวณสวนของประสาทแต่เวณยามแน่นเหลือเกินโชคดีที่มีพุ่มไม้ให้ได้หลบ รีฟเฟอร์ค่อยจับมือข้าวเจ้าให้ค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ต่างแต่แล้ว

แกร๊บ!

“มีผู้บุกรุก” จบเสียงลงความวุ่นวายก็มา ข้าวเจ้าทำได้เพียงส่งใบหน้าขอโทษที่ดันไปเหยียบกิ่งไม้จนเสียงดังทำให้พวกทหารพบ รีฟเฟอร์มองข้าวเจ้าพร้อมกับส่งมือไปขยี้เข้ากับกลุ่มผมของคนตัวเล็ก

“หึหึ งั้นก็ช่วยไม่ได้ อยู่ข้างๆพี่ห้ามไปไหนจำไว้” รีฟเฟอร์ว่าพร้อมกับเหล่าทหารที่กรู่เข้ามา ทหารหลายสิบคนกำลังพุ่งเข้าหารีฟเฟอร์กับข้าวเจ้า เสียงคมดาบกระทบกันดังไปทั่วข้าวเจ้าทำได้เพียงวิ่งตามแรงดึงของคนตัวใหญ่ รู้ดีว่าเป็นตัวถ่วงแต่ก็ไม่รู้จะช่วยรีฟเฟอร์ยังไง

“ระวังเจ้า ตุบ!” เสียงร้องจากด้านหลังดังขึ้นทำให้ข้าวเจ้าต้องหันไปมองก็พบว่ามีทหารคนหนึ่งพุ่งมาทางเขา ข้าวเจ้าตกใจมากกุมมือรีฟเฟอร์ไว้แน่นอีกคนก็วุ่นจัดการกับทหารตรงหน้า ข้าวเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่หลับและยกขาถีบทหารคนนั้นอัตโนมัติ

“หึหึ เก่งมาก” เสียงรีฟเฟอร์เอ่ยชมก็ได้แต่ยิ้มเก้อไปให้ก็ไม่คิดหรอกว่าจะโดนคนมันตกใจอะไรๆก็ไปเอง

ข้าวเจ้าหันมาค่อยระวังตัวอีกครั้งเพื่อไม่ให้เป็นภาระของรีฟเฟอร์แต่ก็ต้องใจหายเมื่อเห็นทหารกำลังมุ่งมาทางนี้และเหมือนทหารพวกนั้นจะเห็นแม่เลยพุ่งไปทางแม่แทน

“แม่!” ข้าวเจ้าเอ่ยเรียกคนเป็นแม่เสียงดังด้วยความเป็นห่วงจะวิ่งเข้าไปแต่ถูรีฟเฟอร์รั้งไว้ หัวใจเขาเจ็บปวดเมื่อคิดว่าคนเป็นแม่ตกอยู่ในอันตรายแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อแม่ของตนเองซัดมัดเข้าใส่ทหารตัวโตและตามด้วยลูกเตะยอดอกทำเอาคนโดนหลับกลางอากาศ ข้าวเจ้าตกใจมากนั้นใช่แม่ของเขาจริงๆใช่ไหม คุณแม่ที่แสนใจดีไม่เคยแม้แต่จะตีหรือดุด่าแต่คนตรงหน้านี้ใครกัน ข้าวเจ้ามองพ่อกับแม่ของตนเองอย่างอึ่งๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าทั้งสองจะบู้ได้ถึงขนาดนี้ ราวกับว่าทุกอย่างรอบตัวมันอื้ออึงไปหมด

“หึหึ เจ้า...เจ้า ได้ยินพี่ไหม” รีฟเฟอร์ร้องเรียกข้าวเจ้าที่อยู่นิ่ง

“วะ...ว่าไงครับ” คนตัวเล็กตกใจหลุดจากพะวง ก็พบว่าทหารทุกคนถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้วโดยไม่มีเลือดสักหยด

“ฝีมือยังใช่ได้นะแม่” เสียงคนเป็นพ่อดังขึ้นข้าวเจ้ารีบหันมองทันที

“พ่อ! แม่! นี้มันอะไรกัน เจ้าหัวใจจะวายตาย ทะ...ทำไม แม่ถึง...” ข้าวเจ้าพูดขึ้นอย่างติดขัดเพราะไม่รู้จะพูดอะไร มันอึ้งและสับสนมากเหลือเกิน

“เอาไว้ค่อยคุยกัน รีบไปช่วยพี่ก่อนเถอะ” คนเป็นพ่อว่าขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กทั้งตกใจและสงสัย รีฟเฟอร์เห็นด้วยทั้งสี่จึงรีบมุ่งหน้าไปช่วยคนในประสาททันทีแต่เพราะไม่รู้ว่าคนถูกจับอยู่ส่วนใดของประสาททำให้ใช้เวลาและแรงไปมากจนในที่สุดก็มาถึงประตูห้องหนึ่งที่แว้วได้ยินเสียงดังจากด้านในมันเป็นเสียงของคมดาบ อย่าบอกว่าพวกเขามาช้าไป ทั้งสี่ไม่รอช้ารีบผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออกเผยให้เห็นคนด้านใน

เสียงคอมดาบฟาดฟันดังสะนั่นไปทั่ว คนด้านในแทบจะไม่รับรู้การมาของพวกเขาทั้งสี่เลย

“ฮึก หยุด หยุด ผมบอกให้หยุดไง ฮึก” เสียงข้าวสวยร้องเสียงดังบอกให้คนทั้งคู่ที่กำลังห่ำหั่นกันนั้นหยุดลง ข้าวสวยก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมเหตุการณ์ถึงได้เป็นเช่นนี้ทั้งที่ดูว่ามันจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่แล้วทุกอย่างก็พังลงเมื่ออาเทอร์เปลี่ยนไปอยู่ดีๆเขาก็ร้องทุรนทุรายและค่อยแปรเปลี่ยนไปสายตาที่เคยอ่อนลงกลับแข็งเกล้าขึ้นมาสีตาสีดำสนิทกลายเป็นสีแดงในชั่วพริบตาร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีดำนั้นแผ่หมอกควันสีดำออกมารอบกายราวกับว่าไม่ใช่อาเทอร์คนที่เคยเห็นอยู่ทุกทีมันเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง  เสียงร้องของข้าวสวยไปไม่ถึงอาเทอร์อีกต่อไป อัสบัสก็ตกใจไม่น้อยที่อาเทอร์เปลี่ยนไปเช่นนั้นแทบจะรับคมดาบของอาเทอร์ที่พุ้งเข้าใส่ไม่ทันเพราะมันรวดเร็วเหลือเกิน เสียงหัวเราะเย้อยั่นที่ดังสลับกับคำก่นด่านั้นมันชวนให้ปวดใจ

“ข้าวสวย! ลูก” คนเป็นแม่เอ่ยร้องเรียกเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้าหาลูกชายอย่างนึกถึง ข้าวสวยตกใจไม่น้อยเมื่อหันไปพบกับผู้เป็นแม่และพ่อที่จากไปแล้ว ด้านหลังยังมีข้าวเจ้ากับรีฟเฟอร์ตามมาด้วย ‘นี้มันอะไรกันทำไมพ่อกับถึงมาอยู่ที่นี้’ ข้าวสวยตั้งคำถามขึ้นในใจตัวเอง

“มะ...แม่ ฮึก ทำไม ทำไมถึง ฮึกมาอยู่ที่นี้ได้ ท่านไม่...” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นอย่างสั่นและติดขัด

“เรื่องนั้นค่อยคุยกันนะ “เธอว่าพร้อมกับดึงลูกชายมากอดแน่นก่อนจะตกใจเมื่อหันไปเห็นคลูสที่นอนทุรนทุรายอยู่กับพื้นข้างกายมีมิคาร์เอลนั่งน้ำตาคลออยู่

“คุณดูคลูสก่อน” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้น

“พ่อ”

“ ไงลูกชาย หึหึ คิดแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้” ทักลูกชายได้ก็หันไปจ้องมองคนสองคนที่กำลังสู้รบกันอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

“พ่อรู้ นี้มันอะไรกันผมสับสนไปหมดแล้ว” ข้าวสวยว่าขึ้น ตอนนี้เขาเหนื่อยมากเหลือเกินเรีย่วแรงแทบจะไม่มี อาการแพ้ท้องก็กำลังรุมเร้า ไหนจะเรื่องต้องหน้าอีก ข้าวเจ้าเห็นท่าทางพี่ชายดูไม่สู้ดีนักก็เข้ามาประครองไว้

“เรื่องมันค่อนข้างยาวเอาไวค่อยเล่าที่หลังละกัน ตอนนี้เรามาช่วยคิดกันดีกว่าจะทำอย่างไรกับอาเทอร์ดี ตอนนี้อาเทอร์ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ความมืดมันครอบคลุมเขาไปแล้ว”

อ๊าก!

“ คลูส! ฮึก” เสียงมิคาร์เอลร้องเรียกเมื่อคลูสร้องเสียงดังเรียกให้ทุกสายตาต้องหันไปมองอย่างห่วงใย คลูสตอนนี้น่าสงสารเหลือเกินเขาดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดร่องรอยสีดำที่เคลื่อนไปตามตัวนั้นคงเป็นที่มาของความเจ็บปวดนี้ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ก็ดีๆอยู่แท้ๆแต่พออาเทอร์เปลี่ยนไปคลูสก็ทรมานขึ้นมา มิคาร์เอลนึกโทษตัวเองที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยได้แต่นั่งกอดร่างที่อยู่บนพื้นให้สงบลง

“คลูส แม่เองนะ” หญิงสาวเอ่ยบอกราวกับต้องการเรียกสติ เหมือนคลูสจะรับรู้แต่ร่างกายกลับบังคับไม่ได้มันทรมานเหลือเกินทรมานกว่าครั้งไหน

“หนูช่วยจับคลูสให้แม่หน่อยได้ไหม” เธอหันมาพูดกับมิคาร์เอล คนกำลังร้องไห้ก็ได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะจับคลูสไว้ในอ้อมกอด

“แม่พี่คลูสเป็นอะไร” ข้าวสวยถามขึ้นออย่างห่วงใย แต่ไม่วายสายตายังคงค่อยชำเลืองมองคนรักอยู่ตลอด

“ความมืดที่ถูกส่งมาจากอาเทอร์นะจ้ะ” แม่ตอบก่อนจะหันไปขอดาบจากรีฟเฟอร์แล้วใช่ปาดลงบนนิ้วจนเลือดสีแดงไหลออกมาทำเอาทุกคนตกใจไม่น้อย

“แม่” เสียงของข้าวสวยและข้าวเจ้าเอ่ยเรียก แม่ทำเพียงส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหันไปให้หยดเลือดไหลลงบนปากของคลูสและนั้นยิ่งทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่า

“ถึงจะสู้เลือดของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราไม่ได้แต่เลือดของผู้ให้กำเนิดช่วยระงับความเจ็บปวดนี้ได้” แม่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างทำหน้าตาสงสัยก็อยู่ๆแม่เอาเลือดไปให้คลูสกินมันเลยค่อนข้างที่จะตกใจแต่เมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวจากแม่ก็โล่งอกไป และคลูสตอนนี้ก็ดูเหมือนสงบลงแล้วเขายิ้มให้กับทุกคนก่อนสายตาจะไม่หยุดอยู่ตรงหน้ามิคาร์เอลทำเอาน้ำตาที่หยุดไหลกลับไหลอีกครั้ง

“ขอ...โทษที่ทำให้เป็นห่วง” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นบอกกับมิคาร์เอล มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าคนตัวโตที่อยู่บนตักก่อนจะสายหน้าไปมาอย่างบอกว่าไม่เป็นอะไร คลูสไม่มีเรี่ยวแรงมาพอจะพยุงตัวเองได้แต่นอนนิ่งบนตักของคนตัวเล็ก

ทุกคนหายใจอย่างโล่งออกที่เห็นว่าคลูสอาการดีขึ้นแม้จะไม่หายแต่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ก็ดีมากแล้ว ทุกคนเลื่อนสายตาไปยังคนสองคนที่ยังสู้กันอย่างไม่ลดละ เหล่าทหารจากด้านนอกก็กรู่กันเข้ามาทำหีรีฟเฟอร์ พ่อและแม่ของข้าวสวยและข้าวเจ้าต้องเข้าไปรับมือ และนั้นก็ทำให้คนเป็นลูกชายอย่างข้าวสวยตกใจเมื่อเห็นฝีไม้ลายมือของคนเป็นพ่อแม่ กับพ่อคงไม่แปลกใจเท่าไรเพราะเป็นชายแต่กับคนเป็นแม่นี้เกินกว่าที่คิดเหลือเกินขนาดข้าวสวยเป็นชายแท้ๆแต่กลับชกต่อยไม่เป็นผิดกับแม่แสนใจดีของเขาที่ตอนนี้ทั้งมือทั้งเท้าตวัดใส่คู่ต่อสู้ไม่ยั้ง  หันไปมองข้าวเจ้าก็ได้แต่รอยยิ้มแห้งๆส่งมาให้ ทำไมเรื่องที่ข้าวสวยไม่รู้ถึงได้ดูเยอะแยะขนาดนี้ เมื่อทั้งสามจัดการกับเหล่าทหารได้อัสบัสที่ค่อยมองอยู่นั้นก็จัดการกั้นม่านพลังไว้ที่ประตูเพื่อนกันไม่ให้ทหารเข้ามาได้อีก แต่เพราะสนใจกับจุดนี้ทำให้พลาดท่าถูกคมดาบของอาเทอร์

“อัสบัส!” ข้าวสวยร้องเรียกคนรักอย่างตกใจเมื่อเห็นคมดาบกรีดลงบนแขนข้างซ้ายของอัสบัสพยายามสะบัดให้หลุดจากการจับกุมของน้องชายแต่ก็ไม่ เมื่อคนเป็นแม่มาจับอีกแรง จากที่เรี่ยวแรงไม่ค่อยมีอยู่พอดิ้นทำให้เหนื่อยจนหน้ามืดดีที่แม่และข้าวเจ้าประครองไว้ได้ทัน

“ฮาๆ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะไม่มีทางรอดจากคมดาบของข้า” อาเทอร์เอ่ยเสียงดัง อัสบัสรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เสียท่าให้อาเทอร์ไปรอบหนึ่งแต่ความเจ็บจากบาดแผลนี้ไม่เจ็บเท่ากับการได้เห็นน้ำตาของคนรักที่ไหลรินออกยามที่คมดาบกรีดเข้าแขนของเขา ‘ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ อย่าร้องเลยดวงใจของข้า’ อัสบัสพูดขึ้นในใจ เวลานี้อยากจะอยู่ข้างกายคนรักมากเหลือเกิน

“ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจเสียที” อัสบัสเอ่ยถามขึ้นอย่างเหลืออด ทั้งที่ตอนแรกอาเทอร์ดูอ่อนลงแล้วแท้ๆแต่ทำไมกัน

“ฮาๆ อย่าพูดให้ขำนักเลยคาวิน ข้าก็เข้าใจดีไงเล่า เข้าใจดีที่พวกเจ้ารวมหัวกันหลอกข้า หักหลังข้า”

“ข้าบอกแล้วว่าพวกข้าหาได้หักหลังเจ้า ไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้” อัสบัสตอบกลับมา

“คุณเชื่อเถอะนะ คาวินกับจันทราไม่ได้คิดที่จะหักหลังคุณจริงๆ” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นมาทั้งน้ำตายังเต็มสองแก้ม พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของข้าวเจ้าแต่ก็ไม่เป็นผล ใจมันเป็นห่วงคนเป็นสามียิ่งนัก อยากจะช่วยอัสบัสเกลี่ยกล่อมอาเทอร์แต่ดูเหมือนคำพูดของตนเองจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“เจ้าก็พูดได้ในเมื่อเจ้ากับมันรุมหัวกันหักหลังข้า” อาเทอร์ตอบกลับข้าวสวยมาเสียงดังจนคนตัวเล็กสะดุ้ง

“มะ...ไม่จริง เชื่อ ผะ...ผมสิ ทั้งคาวินและจันทรานั้นรักและเป็นห่วงคุณนมากนะ” ข้าวสวยตอบออกไปตามความรู้สึก ทุกครั้งที่เขาได้ฝันหรือเห็นเหตุการณ์ในอดีตนั้นมันทำให้เขาได้รับถึงความรู้สึกหนึ่งที่ทั้งสามมีให้กัน ความรักและความห่วงใยซึ่งกันและกันของทั้งสามนั้นมีมากเหลือเกินเพราะแคร์กันมากถึงยากที่จะพูดอะไรที่รู้ดีว่าจะทำลายความรู้สึกของอีกคนมากแค่ไหนเลยเลือกที่จะเลี่ยงมันแต่ก็ใช่ว่าจะไม่พูดเพียงแต่ทั้งคาวินและจันทราพยายามหาโอกาสเหมาะที่จะบอกอีกคนแต่จนแล้วจนเหล่าก็ไม่ประสบสักคลาจนอีกคนมารู้เข้าด้วยตัวเอง

อัสบัสเองก็รู้สึกผิดทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้แม้วันนี้เขาจะไม่ใช่คาวินแล้วก็ตามแต่จิตวิญญาณนั้นก็ยังเป็นคาวินซึ่งมันหลีกหนีไม่ได้ต่อให้คนเราเกิดใหม่สักกี่พบกี่ชาติอย่างไรเสียจิตวิญญาณนั้นก็เป็นดวงเดียวกันอย่างห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงจะบอกเป็นเรื่องของคาวินแต่มันก็คือเรื่องของเขาด้วยเช่นกันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องทำให้มันจบให้ได้ในชาตินี้ทุกคนจะได้พบเจอความสุขจริงๆเสียที แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นตอนนี้อัสบัสยังมองไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร

อาเทอร์หรือก็คือรามิฬนั้นในความทรงจำของคาวินและจันทราเป็นคนที่มักอารมณ์แต่ไม่วู่วาบและมีเหตุผล ถึงจะอารมณ์ร้อนแค่ไหนรามิฬจะฟังเหตุผลก่อนทุกครั้ง คงจะมีช่วงหลังๆที่รามิฬเปลี่ยนไปมักควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้จากที่เคยมีเหตุผลก็กลายมาเป็นคนไร้เหตุผลทำอะไรโดยไม่นึกคิดแต่นั้นก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักจนมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นรามิฬถึงเปลี่ยนไปคนละขั้วไม่รับฟังเหตุผลอะไรเลย แม้คาวินและจันทราจะรู้ถึงนิสัยของอีกคนแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ รู้ว่าเมื่อไรที่บอกถึงความสัมพันธุ์ของทั้งสองให้ฟังรามิฬนั้นจะต้องเสียใจมากเพราะก็รักจันทราด้วยเช่นกันถึงได้ปิดเงียบแต่ทั้งสองก็หวังเสมอว่าหากรามิฬรับรู้จะเข้าใจคนทั้งสองแต่เปล่าเลยทุอย่างกลับตะละปัดไปหมด

“ผมว่าพวกเรามาคุยกันดีๆเอาไหม” ข้าวสวยพยายามเกลี่ยกล่อมอาเทอร์ ถ้ามองดีๆแล้วอาเทอร์นั้นไม่ได้ร้ายอย่างที่คิดข้าวสวยรู้สึกเช่นนั้น อัสบัสพยักหน้าสบทบอีกแรง

“...” ไร้การตอบกลับจากอาเทอร์ มือแกร่งที่ถือดาบค่อยอ่อนลง สายตาสับสนนั้นทำให้ทุกคนมีความหวังแต่แล้วก็กลับขึ้นมาแข็งเกล้าอีกครั้ง ผ่านในจิตใจของอาเทอร์นั้นสับสนยิ่งหนักหลายครั้งที่โอนอ่อนไปถามคำพูดของข้าวสวยแต่เสียงในความคิดมันร้องดังไปมาซ้ำๆย้ำแต่คำเดิม เสียงนั้นมันดังขึ้นๆจนตัวเองนั้นทนไม่ไหว บ้างครั้งอาเทอร์เองก็คิดเพราะอะไร ทำไมถึงให้อภัยทั้งสองไม่ได้ ถ้าลองคิดดูอีกทีทั้งคาวินและจันทราแทบจะไม่ผิดอะไรสองคนนั้นก็เพียงแค่รักกันก็เท่า แต่ทำไม ทำไมกัน ใช่สิพวกนั้นปิดบังทำไมถึงไม่ยอมบอกกัน ทั้งๆที่เราเป็นสหายกัน ทั้งๆที่รู้ว่าข้ารักจันทราแต่ทำไมคาวินถึงทำเช่นนั้น พอคิดอย่างนั้นเสียงในความคิดก็ดังขึ้นอีกครั้งมันเหมือนกับใครสักคนพูดในหูเขาอยู่ตลอดเวลา จากที่ไม่คิดจนเขาต้องคิดจนมันรู้สึกไม่ใช่ตัวของตัวเอง

อาเทอร์ตกอยู่ในความคิดของตัวเองนานจนทุกคนหวั่นใจเพราะสีหน้าที่เดี๋ยวดูกังวลเดี๋ยวผ่อนคลายจนเดาอารมณ์ไม่ถูก

“ว่าอย่างไร คุณได้ยินผมไหม อาเทอร์” เพราะเห็นว่าอีกคนนิ่งเงียบอยู่นานเลยเอ่ยถามขึ้นแต่ก็อไร้ซึ่งการตอบกลับมา อาเทอร์ทำเพียงก้มหน้านิ่งและแสดงสีหน้าที่หลากหลายราวกับกำลังคิดอะไรมากมาย

ทางอาเทอร์นั้นได้ยินที่อีกคนเอ่ยถามเพราะมันเป็นเสียงจากที่ไกลๆที่ดังเขามาในความคิดของเขายามมันเข้ามันแทรกความคิดนั้นมันราวกับว่ากำลังมีใครมาดึงเขาออกจากที่มืดที่กึ่งก้องไปด้วยเสียงตอกย่ำความรู้สึกในเหตุการณ์นั้น

“เขาคงพยายามท่ะต้องสู้กับมันนะลูก ให้เวลากับเขาหน่อยนะ” อยู่ๆคนเป็นแม่ก็เอ่ยบอกข้าวสวยขึ้นมาซึ่งมันทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันคืออะไร ราวกับว่าแม่รู้อะไรมา

“แม่หมายความว่าไง อาเทอร์กำลังสู้กับใคร” ข้าวสวยยถามขึ้น อดสงสัยไม่ได้ก็ไม่เห็นว่าอาเทอร์จะสู้กับใครเลย

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” อัสบัสก็เอ่ยถามขึ้น

“มันคงถึงเวลาที่ต้องรู้แล้วสินะ ไม่ใช่แค่พวกเราแต่คุณ อาเทอร์” แม่ว่าทั้งเอ่ยเรียกชื่อาเทอร์เสียดังจนคนที่ตกอยู่ในความคิดนั้นต้องหันมอง

“แม่” ข้าวสวยเอ่ยเรียกคนเป็นแม่อย่างนึกห่วงใย คนถูกเรียกทำเพียงส่งยิ้มให้ก่อนจะปล่อยมือจากข้าวสวยแต่ไม่วายเรียกคนเป็นพ่อมาประครองไว้แทน

............................

มาแล้วตอนที่ 22 ค่ะ  รักคนอ่านน่าาาาาาา จุ๊ฟหน่อยยยยยยย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 14:04:11 โดย ตั้งโอ๋ »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
king of love ตอนที่ 23

   “เอาละ อาเทอร์ ตอนนี้ฉันอยากให้คุณพยายามควบคุมตัวเอง ได้ยินเสียงอะไรก็เฉยเข้าไว้ เข้าใจไหม” หญิงสาวเอ่ยบอก
   “ทำไมข้าต้องฟังเจ้า” อาเทอร์เถียงกลับมา
   “เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ ถ้าอยากให้ทุกอย่างมันจบคุณต้องทำตามที่ฉันพูด ...คิดดีๆก่อนนะฉันรู้ว่าใจจริงคุณไม่ได้ร้ายอะไร ถ้าคุณเชื่อฉันทุกอย่างมันดี”
   “…” อาเทอร์เงียบก่อนจะนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งพยายามนึกทบทวนทุกอย่าง และคำตอบที่ได้คือเขาเองก็เหนื่อยกับเรื่องนี้เต็มทีมันยาวนานมากจนรู้สึกเหนื่อย ยิ่งการมีชีวิตนิรันดร์นี้เขายิ่งเหนื่อยเพราะความมืดในใจแท้ๆถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ยอมตกปากรับคำไป
   “คุณรู้ไหมว่าคุณถูกความมืดครอบงำ” หญิงสาวถามอาเทอร์ขึ้นมา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนรักของลูกชายคนโตที่เจ็บอยู่ก็ยังเดินมาหาลูกชายเขา แล้วหันมารับคำตอบจากอาเทอร์ซึ่งก็ทำเพียงพยักหน้า
   อาเทอร์รู้ดีว่าตนเองนั้นถูกความมืดครอบงำครั้งเมื่อหลังจากเหตุการณ์นั้นเพราะปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างเขาซึ่งเป็นผู้ครองราหูทมิฬอยู่แล้วนั้นเป็นการง่ายที่ความมืดจะครอบงำถ้าไม่คุมอารมณ์เอง อย่างไรเสียความมืดก็คือสิ่งชั่วร้ายถ้าไม่แกร่งพอก็ยากที่จะคุม
   “เป็นเรื่องยากมากที่จะคุมความมืดและความช่วยร้ายได้แต่คุณก็คุมมันได้และได้มาตลอดเพราะถ้ายามใดที่ผู้ครอบครองนั้นมีจิตใจใฝ่ดีความมืดที่ชั่วร้ายนั้นก็เข้าครอบงำไม่ได้ใช่หรือไม่” หญิงสาวว่า อาเทอร์ทำเพียงพยักหน้ารับ ทุกคนก็ต่างตั้งใจฟังเธอจึงเริ่มเล่าต่อ
   “แต่คุณรู้ไหมยามใดก็ที่จิตใจท่านสับสนและว้าวุ่นมันก็เข้าครอบงำคุณได้เหมือนกันเพราะใจคุณไม่แกร่งพอ ต่อให้ความว่าวุ่นใจนั้นมันมาจากความรักก็ตาม”
   “เจ้าจะบอกข้าว่า...” อาเทอร์พูดขึ้นอย่าตะลึงเมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่หญิงสาวต้องการสื่อเพราะอย่างนี้เขาถึงเปลี่ยนไปรู้ดีว่าตนเองมักเป็นคนใจร้อนแต่ก็ไม่เคยวู่วาบจะมีเหตุผลตามมาทุกครั้งแต่หลังจากรู้ใจตัวเองว่าตนนั้นชอบพอจันทราตอนนั้นจำได้เลยว่ามันวุ่นวายใจมากกังวลไปเสียทุกอย่างว่าจะทำอย่างไรจะสารภาพเลยดีไหม อะไรกันแค่เพราะเรื่องแค่นี้ก็ทำให้มันกัดกินใจเขาได้ ทำไมไม่คิดเอะใจ ทำไมถึงไม่รู้ให้เร็วกว่านี้
   “ใช่ อย่างที่คุณเข้าใจ คุณถูกมันเข้ากัดกินตั้งแต่เมื่อนั้น เมื่อที่คุณหลงรักจันทรา ความมืดมันคอยกัดกินจิตใจท่านทีละเล็กที่น้อย จนมาเจอกับเหตุการณ์นั้นมันครอบครองคุณได้เต็มตัว สิ่งยืนยันคือการมีชีวิตชั่วนิรันดร์ของคุณ”
   “หึหึ” อาเทอร์หัวเราะเยาะให้กับความน่าสมเพทของตัวเอง
   “แต่ที่น่าปวดใจกว่านั้นคุณรู้ตัวบ้างไหมว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณปราถนา”
   “เจ้าหมายความว่าไงทำไมข้าจะไม่ปรารถนาที่จะทำไมทั้งที่...”
   “ท่านแน่ใจจริงหรือว่าคุณอยากทำแบบนั้น” หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้น
   “....” อาเทอร์ทำเพียงเงียบพยายายามทบทวนเรื่องราวภายในใจ
   “มันมันควบคุมคุณโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่คุณเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อความอยู่รอดของมันตลอดเวลาที่ผ่านคุณรู้ดีว่ามันไม่ใช่ตัวคุณเลยแต่คุณก็ยังนิ่งเฉย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคูณรู้หรือไม่รู้ แต่ถ้าคุณเอะใจสักนิดหนึ่งคุณจะรู้ว่าทุกคืนเดือนมืดอย่างวันนี้มันจะหายไปโดยที่คุณก็หาคำตอบไม่ได้ ที่คุณเที่ยวกระจายพื้นที่ในโลกปีศาจนี้ก็เพราะอะไรคุณรู้ไหม”
   คำพูดของหญิงสาวทำให้อาเทอร์ต้องคิดหนัก นั้นสิทุกคืนเดือนมืดเขาจะไม่รู้สึกตัวในคืนนั้นมันเหมือนกับว่าคืนนั้นมันไม่มีมันหายไป แต่กับเรื่องที่ทำให้พื้นที่ในโลกปีศาจปกคลุมไปด้วยความมืดนั้นเขาเพียงเพื่อต้องการตามหาจันทรา เพราะจันทราเป็นแสงสว่างในความมืดยามใดก็ตามที่มืดลงหากมีแสงสว่างส่องขึ้นแสดงว่าจันทราอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
   “เพราะจันทรา ข้าทำมันเพียงเพราะต้องการจันทรา”
   “คุณแน่ใจหรือ” หญิงสาวถามขึ้นทำให้อาเทอร์นึกสับสน
   “ใช่ ข้าทำเพื่อสิ่งนี้” อาเทอร์ตอบกลับมาเสียงดังทำเอาข้าวสวยที่อยู่ในอ้อมกอดของอัสบัสสะดุ้ง
   “นั้นมันก็ความคิดของคุณที่เข้าใจผิดมาตลอดคุณรู้ไหมต่อให้คุณปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไปด้วยความมืดคุณก็ไม่สามารถเห็นแสงสว่างของจันทราได้หรอกนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะแสงนั้นมันต้องสัมผัสด้วยใจถึงจะเห็นมัน”
   อาเทอร์สะอึ้กกับคำพูดของหญิงสาวจริงสิเขาไม่เคยใช้ใจสัมผัสมันเลยสักครั้ง
   “แต่นั้นมันก็กลลวงกลหนึ่งไว้หลอกคุณให้ทำละนะ” หญิงสาวว่าก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกอย่างระอา
   “แม่ อะไรคือกลลวง แม่พูดเหมือนมีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างนั้นแหละ” ข้าวสวยเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย ฟังอยู่นานแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แม่ของตนเองพูด
   “ถ้าแม่บอกว่าใช่ละ” เธอว่าขึ้นทั้งไม่จริงจังนักแต่เรียกเสียงฮือฮาได้จากทุกคน เพราะไม่คิดว่านอกจากอาเทอร์แล้วจะมีใครอีก
   “เจ้าต้องการบอกอะไร” อาเทอร์ถามขึ้นเสียงเครียด
   “นั้นสิแม่เจ้างงไปหมดแล้วกับเรื่องนี้ตกลงมันยังไง” ข้าวเจ้าที่ยืนฟังอยู่นานพูดขึ้น เรื่องมันชักสับสนวุ้นวายมากเหลือเกินคนนอกอย่างเขายังรู้สึกปวดหัวกับมันแล้วคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างพี่ชายเขาจะขนาด เลยอดไม่ได้ที่จะหันมองคนเป็นพี่ที่อยู่ข้างๆ
   “ก็อย่างที่แม่บอก” เธอว่า
   “แล้วใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด” อัสบัสเอ่ยถามขึ้น ซึ่งก็เป็นคำถามที่มีอยู่ในใจของทุกคน
   “จะ...” หญิงสาวกำลังจะเอ่ยตอบแต่ต้องเก็บเงียบเมื่ออาเทอร์เปลี่ยนไป ทุกคนต่างตกใจที่เห็นอาเทอร์เปลี่ยนไปทั้งที่คุยกันอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นมีท่าทีอะไรแต่ตอนที่ร่างกายแกร่งนั้นรอบกายมีแต่กลุ่มหมอกควันสีดำพุ้งกระจายออกมา ดวงตาดำสนิทกลายเป็นสีแดงน่ากลัว
   “แย่แล้วทุกคนระวังตัว” เสียงร้องบอกจากพ่อของข้าวสวยพูดขึ้นเสียงดังเมื่อรับรู้ถึงการมาของใครคนหนึ่ง
   “แม่มันอะไรกันทำอยู่ๆอาเทอร์ถึงเป็นแบบนั้น” ข้าวเจ้าที่เกาะรีฟเฟอร์แน่นถามขึ้นมองคนต้องหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างหวาดกลัว แต่ก็ไร้คำตอบจากคนเป็นแม่
   “คุณทำไมอาเทอร์ถึงเป็นแบบนั้น” ข้าวสวยก็เอ่ยถามคนรักที่กำลังโอบกอดตนไว้
   “ข้าก็หารู้ไม่ เรื่องนี้คงมีเพียงท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าที่บอกได้” อัสบัสตอบกลัวมาก่อนจะหันมองตรงหน้าอย่างระวัง
    “ฮาๆ ยินดีที่ได้พบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา ผู้ครองแสงแห่งราวินทรา ฮาๆ” อาเทอร์เอ่ยขึ้นแต่ที่แปลกไปคือเสียงมันไม่ใช่เสียงอาเทอร์
   “...” ทุกคนได้แต่เงียบจ้องมองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างระวัง
   “จะ...เจ้าแห่งความมืด” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ก็ดังพอให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆได้ยิน
   “มันคือผู้ใดกัน” อัสบัสเอ่ยถามขึ้นทันนี้
   “นี้แหละผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด” หญิงสาวว่า
   “ฮะ” ทุกคนเอ่ยอย่างตกใจ
   “เหตุใดข้าถึงไม่รู้จักมัน” อัสบัสว่าขึ้นอย่างสงสัย
   “ก็ไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้จัก เพราะทุกคนต่างลืมมันกันไปจนหมดสิ้น” พ่อของข้าวสวยที่ยืนอยู่ข้างกันพูดขึ้น
   “ท่านหมายความว่าอย่างไร” อัสบัสว่า
   “จะว่ายังไงดีละเรื่องมันยาวเอาเป็นว่า เจ้าแห่งความมืดนั้นถูกสะกดไว้ในตราของราหูทมิฬและมีตราหยาดน้ำแห่จันทราและตราแสงแห่งราวินทราช่วยกันสะกดไว้อีกทีจนมันถูกลืมเลื่อนไปแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนมีผู้ไปทำลายตราทั้งสามทำให้ตราทั้งสามนั้นแยกออกไปคนละทิศละทางและไปปรากฎอยู่บนจันทรา คาวิน และรามิฬ ยังไง และเมื่อมันไม่มีตราหยาดน้ำแห่จันทราและตราแสงแห่งราวินทราค่อยกันมันเลยหลุดออกมาได้แต่ก็ไม่มากนักเพราะราหูทมิฬก็มีพลังสะกดอยู่ด้วยบวกกับใจที่แข็งแกร่งของผู้ครอบครองแต่เมื่อยามใดก็ตามผู้ครอบครองราหูทมิฬอ่อนแรงมันจะแทรกแทรงเข้าไปในจิตใจของผู้ครองครองราหูทมิฬ เพราะอย่างนี้อาเทอร์ถึงเป็นเช่นนั้น” หญิงสาวพยายามเล่าให้รวบรัดที่สุดตาก็ค่อยระวังเจ้าแห่งความมืดที่เอาแต่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
   “วันนี้เป็นคืนเดือนมืดและเวลานี้เที่ยงคืนมันเลยครอบงำอาเทอร์ได้เต็มตัว” เสียงพ่อของข้าวสวยพูดขึ้น
   จากคำบอกเล่าของทั้งพ่อและแม่ทำให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่ามันเป็นมาอย่างไร อัสบัสและข้าวสวยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้มาจากความตั้งใจของอาเทอร์หรือก็คือรามิฬทั้งหมด
   “ฮาๆ ฮาๆ” เสียงหัวเราะของเจ้าแห่งความมืดดังไปทั่วทั้งห้อง หมอกสีดำก็เคลื่อนตัวกระจายไปปกคลุมตามบริเวณต่างๆจนตอนนี้ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ทำให้การมองเห็นของทุกคนนั้นลดลงอัสบัสกระชับอ้อมกอดที่กอดคนรักทันที
   “วันนี้ช่างเป็นวันดีเหลือเกินผู้ครอบครองตราทั้งสามอยู่กันพร้อมหน้าไม่ต้องเสียเวลาหาตัว ฮาๆ วันนี้ละจะเป็นวันสุดท้ายของพวกเจ้า ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน ฮาๆ” เจ้าแห่งปีศาจเอ่ยขึ้น มันนานมากเหลือเกินกับการถูกกุมขังถ้าไม่มีทั้งสามเขาก็จะหลุดพ้นจากการกักกัง นับว่าโชคดีที่ผู้ครองราหูทมิฬน่าโง่นั้นนำพาทั้งสองมาให้ เวลาที่รอคอยคงมาถึงเสียแล้วไม่ต้องพึ้งผู้ครองราหูทมิฬนั้นอีกต่อไปวันนี้พวกเจ้าทั้งสามพร้อมกับตราทั้งสามจะต้องหายสาบสูญไป เจ้าแห่งความมืดคิด
   “หึหึ เจ้าคงทำได้เพียงคิดเท่านั้นเจ้าแห่งความมืด” อัสบัสว่าขึ้นก่อนจะส่งข้าวสวยให้กับคนเป็นแม่ดูแล
   “อัสบัส” ข้าวสวยร้องเรียกทั้งรั่งมืออีกคนไว้
   “ข้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา” อัสบัสกุมมือคนรักก่อนจะเอ่ยสัญญากับอีกคนถึงก่อนหน้าที่จะผิดสัญญาเพราะพลาดจนเจ็บตัวก็ตามแต่ครั้งนี้จะไม่ผิดเป็นแน่เขาจะระวังให้มาก
   “หึหึ ช่างมั่นใจเหลือเกินผู้ครองแสงแห่งราวินทรา ข้าก็อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะทำสิ่งใดได้” เจ้าแห่งความมืดว่าขึ้น
   “ทำได้หรือไม่ได้ข้าหารู้ไม่ แต่เมื่อกาลก่อนมันยังเคยกักกังเจ้านานกาลนี้ก็ยอมได้” อัสบัสว่า
   “เจ้า! ช่างอวดดีนัก งั้นเจ้าอย่าได้อยู่เลย” สิ้นเสียงเจ้าแห่งความมืดก็ตรงเอาหาอัสบัสทันที อัสบัสไม่รอช้าพุ่งเขาหาอีกคนด้วยเช่นกัน อัสบัสพยายามล่อให้เจ้าแห่งปีศาจออกห่างจากพวกข้าวสวยเพื่อความปลอดภัย
   เสียงคมดาบประทะกันดังสนั่นไปทั่วต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับผลัดกันสู้ ทุกครั้งที่คมดาบกระทบกันใจของข้าวสวยเต้นแรงทุกครั้งนึกเป็นห่วงคนรัก มีอะไรที่ตนเองพอจะได้บ้างหรือไม่
   “แม่เราช่วยอัสบัสไม่ได้เลยหรือ” ข้าวสวยถามคนเป็นแม่
   “นั้นสิแม่เราพอจะมีวิธีกำจัดเจ้าแห่งความมืดไหม” ข้าวเจ้าถามสมทบ
   คนเป็นแม่ได้แต่แต่สายหน้าส่งไปให้ลูกทั้งสองรู้ดีว่าเป็นห่วงราชาปีศาจเธอเองก็เป็นห่วงไม่น้อยแต่ไม่รู้จริงๆว่าควรทำสิ่งใดถึงจะรู้เรื่องราวมากมายแต่กับเรื่องวิธีกำจัดเจ้าแห่งความมืดเธอเองก็จนปัญญา   
   “พี่สวย พี่ต้องช่วยได้เป็นแน่” อยู่ๆก็มีเสียงของมิคาร์เอลที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง
   “พี่นะเหรอ” ข้าวสวยว่าทั้งชี้เข้าหาตัวเอง ยังสงสัยอยู่เลยเขาจะช่วยอะไรได้
   “ใช่ๆ ต้องเป็นพี่เท่านั้น ไม่สิรวมท่านพี่ด้วยอีกคน” มิคาร์เอลว่าอย่างกระตือรือร้น
   “พี่จะช่วยอะไรได้ละ พี่ไม่มี...”
   “ได้สิพี่สวยพี่ต้องช่วยได้แน่ๆ จำที่ท่านแม่พูดได้ไหมที่ว่าเจ้าแห่งความมืดถูกสะกดด้วยตราหยาดน้ำแห่งจันทราและตราแสงแห่งราวินทราแสดงว่าตราทั้งสองต้องกำจัดเจ้าแห่งความมืดได้แน่” มิคาร์เอลว่าขึ้นตามที่ตนเองคิด
   “มันก็จริงอย่างท่านมิร์คาเอลกล่าวมา แต่จะทำอย่างไรถึงจะกำจัดเจ้าแห่งความมืดได้ด้วยผู้ครองตราทั้งสองละพะยะค่ะ” รีฟเฟอร์เอ่ยสบทบ ทำให้ทุกสายตาตกไปอยู่ที่มิคาร์เอล
   “อันนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” มิคาร์เอลว่าก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆให้กับทุกคนก็เขาไม่รู้จริงๆ ทุกคนได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
   “อ๊ะ! ข้ารู้แล้ว” อยู่ๆมิคาร์เอลก็เอ่ยขึ้นเสียงดังอีกครั้ง
   “ว่าไงมิคาร์เอลต้องทำอย่างไร” ข้าวสวยรีบถามขึ้นทันที
   “ข้าพึ่งนึกได้ท่านพี่เคยกล่าวว่า ผู้ครอบครองหยาดน้ำแห่งจันทรานั้นมีพลังวิเศษเพียงแค่ตั้งจิตนึกคิดทุกอย่างก็จะเกิดแต่สิ่งดีๆ คนที่จิตใจมีความมืดจะได้รับแสงสว่างจากใจถึงใจมันจะช่วยล้างความมืดในใจได้ และโลหิตเป็นดั่งยาวิเศษโรคใดแผลใดได้รับจะหายจนสิ้น” มิคาร์เอลว่า
   “อย่างนั้นองค์ราชินีต้องส่งใจไปให้ถึงอาเทอร์ เพื่อดึงอาเทอร์กลับมา และให้เจ้าแห่งความมืดถูกดึงไปในตราดั่งเดิม” รีฟเฟอร์ว่า
   “แม่ก็ว่าแบบนี้น่าจะโอเค ขอแค่ดึงอาเทอร์กลับมาก่อนเรื่องที่จะกำจัดเจ้าแห่งความมืดนั้นค่อยหาทางกันอีกที เพราะถ้ามาคิดดูแล้วตราทั้งสามต้องร่วมมือกันถ้าอาเทอร์ยังถูกเจ้าแห่งความมืดครอบงำเราก็ทำอะไรไม่ได้” หญิงสาวว่า
   “อย่างท่านแม่ว่า ตอนนี้พี่สวยต้องดึงอาเทอร์กลับมาให้ได้” มิคาร์เอลบอกก่อนจะมองข้าวสวยอย่างมีความหวัง
   “พี่จะลองดู ถึงไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ก็ตามแต่พี่จะลองดู” ข้าวสวยว่า ก่อนมือเล็กจะยกขึ้นกุมท้อง ‘เป็นกำลังใจให้แม่กับพ่อด้วยนะลูก’ ข้าวสวยบอกกับลูกน้อยในท้องในความคิด และเหมือนเด็กน้อยจะรับรู้เพราะข้าวสวยรู้สึกถึงแรงกระตุกที่หน้าท้องของตนเอง
   ข้าวสวยตั้งสมาธิกับตัวเองก่อนที่สองมือยกขึ้นมากอบกุมไว้ที่อกก่อนจะหลับตาลงและนึกถึงอาเทอร์ เขาพยายามเรียกหาอาเทอร์เรียกอยู่ตลอดแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากอีกคนแต่ข้าวสวยก็ไม่ท้อจิตเขามุ่งนึกถึงแต่อาเทอร์และเรียกอยู่ตลอด ‘ขอให้เขานำอาเทอร์กลับมาได้ด้วยเทิด’ ข้าวสวยคิด

   “อาเทอร์ อาเทอร์ รามิฬ” เสียงเอ่ยเรียกชื่อที่ดังอย่างแผ่วเบาเรียกให้คนที่หลับใหลอยู่ต้องลืมตาตื่นขึ้นแต่ก็พบว่ารอบด้านนั้นมีแต่ความมืดมิดและความหนาวเหน็บ
   “อาเทอร์ อาเทอร์ อาเทอร์” เสียงเรียกยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง
   “ใคร ใครเรียกข้า” อาเทอร์เอ่ยถามอยากแผ่วเบา พยายามเดินตามหาต้นเสียงนี้แต่มันก็แผ่วเบาเหลือเกิน
   “อาเทอร์ อาเทอร์ รามิฬได้โปรด กลับมาเถอะนะ” เสียงที่ดังขึ้นอีกนั้นทำให้อาเทอร์ต้องหยุดชะงักเขาจำเสียงนี้ได้ดี
   “จันทรา จันทราเจ้าอยู่ที่ใด” อาเทอร์พยายามฟังเสีงและเดินตามเสียงเรียกไปในความมืด ‘คิดถึงเหลือเกิน จันทราของข้า’ อาเทอร์คิด
   เท้าแกร่งก้าวเดินอย่างไร้จุดหมายเขารู้เพียงต้องตามเสียงเรียกนี้ไปเสียงเรียกที่อ่อนโยนฟังยามใดก็รู้สึกอบอุ่นทุกคลา อาเทอร์เดินตามมาจนพบเข้ากับแสงสีขาวที่ทอดยาวอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่อาเทอร์ก็เลือกเดินตามแสงสว่างนี้ไปถึงไม่รู้ว่าจะไปที่ใดก็ตามแต่ความอบอุ่นนี้มันช่างเหมือนความอบอุ่นที่เขาเคยได้รับจากจันทราถึงได้ตัดสินใจมาทางนี้อย่างไม่ต้องคิดอะไร ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่อาเทอร์ต้องเดินอยู่นี้ยังดีที่ยังมีเสียงเรียกที่คุ้นเคยเรียกอยู่ตลอด
   ระหว่างที่อาเทอร์กำลังเดินอยู่นั้นอยู่ๆแสงสีขาวก็สาดส่องเข้ามาจนเขาต้องหลับตาเพราะสู้แสงไม่ไหว แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าด้านหน้าตัวเองเป็นทุ่งหญ้ากว้างสีเขียวขจี
   “ลุงๆ” เสียงเล็กๆพร้อมแรงสะกิดทำให้อาเทอร์ต้องหันกลับไปมองก็พบกับเด็กตัวน้อยสองคนที่มีใบหน้าละมาดคลายคลึ่งกันบ่งบอกได้ดีว่าคงเป็นพี่น้องกัน สีผมส้มทองมองแล้วทำให้นึกถึกใครคนหนึ่งที่มีผมสีทองสวยงาม
   “ลุงๆ” เสียงเล็กเรียกขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนเป็นลุงยังคงนิ่งเฉย
   “เรียกข้าหรือ” อาเทอร์ถามถึงจะรู้อยู่แล้วก็ตามเพราะตรงนี้ไม่มีใครมีเพียงเขาและเด็กทั้งสอง
   “เรียกลุงนั้นแหละ ข้านามว่าไดอาร์ ลุงละ” เสียงเล็กเจี้ยวจ้าวตอบกลับมามีบอกชื่อตนเองเรียบร้อยและไม่ลืมถามคนเป็นลุง
   “ข้า...ข้านามว่ารามิฬ” ถึงแม้จะนานมากแล้วที่ไม่ได้ใช่ชื่อนี้แต่ก็ไม่เคยลืมชื่อเดิมของต้นเอง เด็กชายทำเพียงยิ้มตอบกลับมาเท่านั้นก่อนจะเดินไปจับมือของอาเทอร์ทำให้เด็กชายอีกคนที่หลบอยู่ด้านหลังไร้ที่หลบบัง
   “แล้วเจ้าผู้นี้มีนามว่าอย่างไร” อาเทอร์ยิ้มให้เด็กหนุ่มตัวน้อยที่รู้สึกจะขี้อายคาดว่าคงเป็นผู้น้องเพราะร่างกายเล็กกว่าอีกคน เด็กหนุ่มมองหน้าอาเทอร์แล้วก้มหลบ อาเทอร์จึงยกมือข้างที่ไรการจับกุมจากไดอาร์มาวางบนกลุ่มผมสีส้มทองก่อนจะลูบลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับส่งยิ้มพิมพ์ใจที่แทบจะหาได้ยากจากอาเทอร์
   เด็กชายจ้องมองรอยยยิ้มนั้นก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆตอบกลับมาพลางนึกในใจ ‘ท่านลุงช่างยิ้มอบอุ่นเหลือเกิน’
   “ข้า...ข้านามว่าไอด้า” เสียงเล็กเอ่ยตอบพร้อมกับร้อยยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าอาเทอร์ยิ้มส่งมาให้
   “ไอด้าขี้อาย” เสียงจากไดอาร์ว่าขึ้นทำให้ไอด้ามองค่อนแก้มป่องใสพี่ชาย อาเทอร์เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้พาลให้นึกถึงใครอีกคนที่ชอบทำท่าทางเช่นนี้
   “หึหึ เอาละอย่าทะเละกันเลย เหตุใดเจ้าทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี้กัน” อาเทอร์รีบห้ามทับก่อนจะถามขึ้นอย่างสงสัยว่าเหตุใดเด็กชายทั้งสองถึงมีอยู่ในที่ๆดูไร้ผู้คนเช่นนี้
   “ข้าก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกที่ก็มาอยู่ที่นี้กับน้องแล้ว แต่อีกไม่นานก็จะไปแล้วละ” ไดอาร์ว่า
   “ข้าก็เช่นกันเดินตามแสงสว่างมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่แห่งนี้เสียแล้ว” อาเทอร์ว่า
   “ท่านอย่ากังวลเลยประเดี๋ยวท่านก็จะได้กลับไปแล้วละ” ไดอาร์ว่าต่อ
   “กลับไปอย่างนั้นหรือ กลับอย่างไรเล่าข้ามองไม่เห็นทางเลย” อาเทอร์ว่าพร้อมกับนั่งลงก่อนจะดึงให้ไอด้ามานั่งลงบนตัก เด็กชายขัดขืนเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินอาย
   “ถึงเวลาข้าจะพาท่านกลับไป” ไดอาร์ว่าขึ้นก่อนจะชวนอาเทอร์คุยเล่นถึงเรื่องต่างๆมากมายๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่อาเทอร์บอกได้เต็มปากเลยว่าเขานั้นมีความสุขมากเหลือเกินนานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยได้ยิ้มอย่างเป็นสุขเช่นนี้ เด็กชายทั้งสองช่างน่ารักเหลือเกิน ยิ่งไอด้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะพูดเจี้ยวจ้าวไม่หยุดขนาดนี้แต่เขากลับไม่รู้สึกเบื่อกลับชอบเสียด้วยซ้ำยิ่งเจอคนพี่ชายขัดใจแก้มขาวๆชมพูๆนั้นจะป่องขึ้นจนอดใจไม่ได้ที่จะบีบมัน
   “ถึงเวลาที่ท่านลุงต้องไปแล้ว ท่านแม่คงรอแย่แล้ว เวลานี้ท่านลุงคงสบายแล้วใช่หรือไม่ตรงนี้ot” ไดอาร์ว่าขึ้นก่อนจะเลื่อนมือเล็กจิ่มลงบนอกซ้ายของอาเทอร์
   อาเทอร์มองการกระทำของไดอาร์แล้วต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นึกอยากอยู่ตรงนี้ให้นานกว่านี้แต่ก็คงไม่ได้เพราะเขาต้องกลับไป แต่เมื่อคิดก็นึกเอะใจกับคำพูดของเด็กชายที่กล่าวถึงแม่ ทำไม่แม่ของเด็กชายต้องรอเขาด้วย
   “ถึงเวลาแล้วหรือ” อาเทอร์ถาม
   “ใช่ถึงเวลาแล้ว ท่านแม่และทุกคนรอท่านลุงอยู่” ไอด้าว่าขึ้นทั้งเสียงหง่อยๆ เพราะไม่อยากให้ท่านลุงไปเลยแต่ไม่ได้เพราะท่านแม่รออยู่
   “ท่านแม่และทุกคน” อาเทอร์ทวนอีกครั้งอย่างสงสัย
   “ใช่ท่านแม่และทุกๆคนเลย” ไดอาร์ว่าพร้อมกับทำไม้ทำมือ
   “มีคนรอคนอย่างข้าด้วยหรือ”
   “มีสิๆ ทุกคนรอท่านลุงทั้งนั้น ไปเถอะ” ไดอาร์พร้อมกับรั้งมือของอาเทอร์ให้ลุกขึ้น ทั้งสามก้าวเดินมาตามทุ่งหญ้ากว้างก่อนไปหยุดตรงทางเดินทางหนึ่ง
   “ท่านลุงเดินตามทางนี้ไปก็จะถึง” ไดอาร์ว่าขึ้น
   “พวกเจ้าไม่ไปกับข้าหรือ” อาเทอร์ถามทั้งสองเพราะไม่อยากทิ้งเด็กทั้งสองไว้
   “มันยังไม่ถึงเวลาที่พวกข้าต้องไป” เด็กทั้งสองส่ายหน้าก่อนไดอาร์จะเอ่ยขึ้น
   อาเทอร์พยักหน้ารับก่อนจะดึงไดอาร์เข้ามากอดเพื่อกล่าวลา และหันมากอดไอด้าที่ยืนน้ำตาคลอเห็นแล้วไม่อยากจากไปเลย
   “ท่านลุงอย่าลืมข้านะ ฮึก เราจะได้เจอกันอีก ฮึก ท่านลุงห้ามลืมข้าเด็ดขาดไม่อย่างนั้นข้าจะงอนท่านลุง ฮึก” ไอด้าเอ่ยบอกทั้งน้ำตาเขาชอบท่านลุงมากๆไม่อยากจากท่านลุงเลยแต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อย่างไรในภายภาคหน้าเราก็คงได้เจอกันแม้ไม่รู้ว่านานแค่ไหนก็ตามขออย่างเดียวอย่าให้ท่านลุงลืมเขาก็เป็นพอ
   “ข้าสัญญาข้าจะไม่ลืมเจ้า ไอด้า”
   “สัญญานะ” ไอด้าว่าทั้งยกนิ้วก้อยให้อีกคน อาเทอร์ก็ไม่รอช่างส่งนิวก้อยของตนเองไปเกี่ยวนิ้วเล็กๆทันที
   “ข้าสัญญว่าต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนฟ้าจะถล่มดินจะทลายข้าจะไม่ลืมเจ้า เจ้าจำไว้นะ” อาเทอร์ว่าทั้งเกี่ยวก้อยสัญญากับอีกคน ก่อนทั้งสองจะกอดลากันอีกครั้ง
   “แล้วพบกันใหม่นะท่านลุง”

   “ข้าวสวย ข้าวสวย” เสียงเรียกของหญิงสาวผู้เป็นแม่ดังขึ้นมาในโสตประสาททำให้ข้าวสวยต้องลืมตาตื่นขึ้น
   “แม่”
   “เป็นอย่างไรบ้างลูกทำไมนิ่งไปนานขนาดนั้น” เธอถามขึ้นอย่างห่วงใยเพราะเห็นลูกชายนั่งนิ่งไปนานมาก
   “ผมไม่เป็นอะไร” ข้าวสวยตอบพร้อมกับยกมือนวดขมับเบาๆเพราะรู้สึกมึนๆ
   “แล้วเป็นยังไงบ้างลูก” เธอถามขึ้นเพราะสถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน ทั้งอัสบัส รีฟเฟอร์และพ่อของข้าวสวยต่างช่วยกันรับมือเจ้าแห่งความมืด
   “ผมรู้สึกว่าอาเทอร์ได้ยินเสียงผม แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาได้ไหมแต่ผมเชื่อนะว่าเขาต้องกลับมาแน่” ข้าวสวยว่าก่อนหันมองสถานการณืตรงหน้าที่ยังคงฟาดฟันกันอย่างดุเดือน กำแพงห้องนั้นถูกฟันจนเป็นรอยบางจุดนั้นทะลุเป็นรู จากที่อัสบัสรับมือเพียงคนเดียวตอนนี้กลับมีทั้งรีฟเฟอร์ และพ่อของตนร่วมอยู่ด้วยเห็นแล้วก็นึกเป็นห่วงดูแล้วแต่ละคนเริ่มอ่อนแรงผิดกับเจ้าแห่งความมืดที่เรี่ยวแรงไม่ลดละ เขาทำได้เพียงภาวนาขอให้ทุกคนปลอดภัย
   ข้าวสวยพยายามลุกขึ้นยืนแต่ด้วยความที่นั่งนานทำให้รู้สึกเมื่อยและหน้ามืดแม่เลยต้องมาประครองและเป็นจังหวะที่อัสบัสหันมากันพอดีเลยนึเป็นรักทำให้ไม่ระวัง
   “ท่านพี่ระวัง!” เสียงของมิคาร์เอลเรียกให้ข้าวสวยต้องหันมองคนก็พบว่าอัสบัสกำลังมองมาที่เขาและเจ้าแห่งความมืดที่สู้อยู่กับรีฟฟอร์ปล่อยกลุ่มหมอกสีดำขนาดใหญ่มากทางอัสบัสที่ไม่ทันมอง ข้าวสวยตกใจมารีบสะบัดมือตัวเองออกจากแม่ของตนเองแล้วพุ่งเข้าหาอัสบัสโชคดีที่อยู่ไม่ห่างมากนักเพราะห้องมันไม่ได้กว้างอะไรแต่โชคร้ายคือเขาเข้ารับกลุ่มหมอกสีดำนั้นแทนอัสบัส
   “ข้าวสวย!” อัสบัสเรียกคนรักเสียงดังเมื่อเห็นกลุ่มหมอกสีดำนั้นปะทะเข้ากับร่างของคนรักตนเองก็ไม่รอช้ารีบเข้ารับร่างเล็กไว้ทันที
   ทุกคนตกใจมากเมื่อร่างของข้าวสวยถูกกลุ่มหมอกนั้นพุ่งใส่แต่แล้วก็ต้องตกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อกลุ่มมองสีดำค่อยกระจายและโอบรอบกายทั้งข้าวสวยและอัสอัสบัส
   “ฮาๆ ฮาๆ ในที่สุดข้าก็กำจัดพวกเจ้าได้ ฮาๆ” เสียงของเจ้าแห่งความมืดดังกึ่งก้องไปทั่ว
   “ท่านพี่ พี่สวย” มิคาร์เอลเอ่ยเรียกพี่ชายทั้งสองทั้งน้ำตา
   “ฮาๆ ฮาๆ ข้าจะอยู่อยย่างนิระ...จะ..จันทรา...คาวิน เจ้าออกจะ..แก่ราหูทะ ม...มิฬมาได้งะ...อกจากตะ...ตัวข้า” เจ้าแห่งปีศาจเริ่มเปลี่ยนไปเรียกให้ทุกคนต้องหันไปมองอีกครั้ง ร่างกายที่มีสองจิตวิญญาณต่างส็กันเพื่อแยกชิงร่าง ซึ่งทำให้ทุกคนรู้ว่าอาเทอร์กำลังกลับมาก็อดยิ้มในใจ
   เมื่อเห็นว่าทางเจ้าแห่งงความมืดดูไม่น่าเป็นห่วงมากทุกคนก็มุ่งไปทางอัสบัสและข้าวสวยทันแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออยู่ๆแสงสว่างค่อยๆกระจายออกจากกลุ่มหมอกสีดำที่ปกคลุมทั้งสองพร้อมกับเสียงกรีดร้องจากเจ้าแห่งความมืดที่ตอนที่ถูกแสงสว่างนั้นโอบล้อมไปรอบก็จะถูกถึงเข้ามาในกลุ่มเดียวกันกับอัสบัสและข้าวสวยทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
   ร่างทั้งสามลอยขึ้นกลางอากาศเสียงกรีดร้องจากเจ้าแห่งความมืดยังคงดังไม่ขาดสาย ร่างของอัสบัสและอาเทอร์ที่ถูกเจ้าปีศาจคลอบงำถูกลำแสงจากข้าวสวยที่กำลังหลับสนิทนั้นดึงตราที่อยู่บนตัวออกมาลอยอยู่ทามกลางคนทั้งและตามมาด้วยกลางหยาดน้ำแห่งจันทราที่ลอยขึ้นไปยามที่ทั้งสามเข้าใกล้กันนั้นราวกับมีแรงดึงดูดมหาสานที่ดึงให้ตราทั้งสามเข้าชนและเมื่อตราหยาดน้ำแห่งจันทรา ตราแสงแห่งราวินทรา และตราราหูทมิฬสัมผัสกันก็เกิดแสงสว่างไปทั่วทั้งบริเวณจนมากไม่เห็นสิ่งใดและทุกอย่างก็จบสิ้นลง

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
King of love ตอนที่ 24

“ข้าวสวย” เสียงเอ่ยเรียกคนรักเมื่อรู้สึกมือน้อยๆในอุ้งมือขยับเล็กน้อย ข้าวหลับไปห้าวันแล้วหลังจากเรื่องวันนั้น อัสบัสเองก็พึ่งฟื้นขึ้นเมื่อสองวันก่อนเช่นกัน

“ข้าวสวย” อัสบัสเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนรักที่นอนอยู่ยังคงหลับสนิท ใจของอัสบัสอยู่ไม่เป็นสุขแม้แต่นอนยามตื่นขึ้นมาแล้วรับรู้ว่าคนรักยังคงน้อยหลับใหล แม้อาการของข้าวไม่น่าเป็นห่วงมากแล้วก็ตามแต่คนตัวเล็กกลับยังคงไม่ตื่นขึ้นมันทำให้อัสบัสกังวลเป็นอย่างมาก ยิ่งนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นใจแทบสลายเมื่อเห็นร่างของคนรักถูกกลุ่มหมอกนั้นก่อนจะล้มลงในตอนนั้นอัสบัสไม่รูว่าจะทำอะไรเลยมันรู้สึกมืดมิดไปหมดทุกด้านใจแทบใจสิ้นอยู่ตรงแต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของข้าวสวยมันกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาดและอยู่ๆตัวข้าวสวยก็เรืองแสงสีทองออกมาจนกลุ่มหมอกสีดำนั้นจางลง ยอมรับเลยตอนนั้นตกใจอย่างมากแต่ด้วยความเป็นห่วงคนรักอัสบัสก็ไม่ได้คิดอะไร แต่จู่ๆ ร่างของข้าวสวยที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นกำลังลอยขึ้นจนหลุดจากมมือในที่สุด มันทำให้อัสบัสกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก แต่แล้วร่างกายใหญ่โตองเขานี้ก็ลอยขึ้นตามคนรักมาอัสบัสพยายามบังคับตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย และแปลกใจขึ้นมาอีกเมื่อร่างของอาเทอร์ก็ลอยขึ้นมาด้วยเช่นกันจนตอนนั้นทั้งสามยืนประจันหน้ากันทั้งสามถูกล้อมลอบไปด้วยแสงสีทองที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อัสบัสมองข้าวสวยอย่างนึกเป็นแต่ได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดในสายตาของอัสบัส มือเล็กทั้งสองค่อยๆยกขึ้นก่อนจะกอบกุมที่หน้าอกก่อนจะหลับตาลง และตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ตราแสงแห่งราวินทรามันเหมือนกับกำลังดันตัวเองออกจากตัวของเขา ทงอาเทอร์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน จนแล้วจนเล่าตราที่ตัวของทั้งสามก็ค่อยๆลอยขึ้นมามันทำให้รู้ว่าตรานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวอีกต่อ และหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยเพราะสายตาดับลงพร้อมกับตราทั้งสามที่พุ่งเข้าหากัน มารู้อีกทีก็วันที่ตื่นขึ้นมา

“อัส…บัส” เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกทำให้อัสบัสหลุดจากภวังค์ “ข้าวสวย เจ้าฟื้นแล้ว อย่าพึ่งขยับตัวเลย” อัสบัสทั้งตกใจและดีใจที่คนรักตื่นขึ้นมาแต่ก็ต้องห้ามให้ขยับเพราะพึ่งฟื้นขึ้น

“ผมเป็นอะไร ละ…แล้วลูกละยังอยู่กับผมไหม” ข้าวสวยถามขึ้นเพราะยังรู้สึกมึนๆอยู่ แต่เมื่อนึกทบทวนก็ต้องตกใจจำได้ว่าวันนั้นตัวเองวิ่งไปรับกลุ่มหมอกสีดำและมันก็พุ่งถูกท้องพอดีมันเจ็บมากแทบขาดใจเจ็บใจพูดไม่ออกยิ่งเห็นสายตาเจ็บปวดของอัสบัสยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานทำได้เพียงส่งนิ้มไปให้คนรักตรงหน้าในตอนนั้นข้าวสวยคิดว่าจะไปรอดแล้วเสียอีกได้แต่ภาวนาให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างรู้เพียงเสียงของหัวใจตัวเองที่พร่ำบอกว่าขอให้เรื่องราวทุกอย่างมันจบลงเสียที “อยู่…ลูกยังอยู่กับเรา เจ้าอย่าได้ห่วงเลยพวกเขายังอยู่ดี” อัสบัสว่า

“โอ๊ย!”

“เจ้า…อย่าพึ่งขยับแรงกระแทกวันนั้นมันเลยทำให้เจ้ายังเจ็บอยู่ หมอหลวงบอกว่าให้อยู่นิ่งๆสักระยะหนึ่ง” อัสบัสบอกกับคนรักที่พยายามกำลังลุกขึ้นแต่ก็ต้องร้องขึ้นมาเสียงดังเพราะเจ็บที่หน้าท้อง

“แต่มันเป็นแบบนี้ ลูกผมจะไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม” ข้าวสวยทำขึ้นอย่างกังวล

“ลูกเราไม่เป็นอะไร เจ้านอนนิ่งๆเถอะนะ” ถึงจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่อัสบัสเองก็กังวลไม่น้อยเหมือนกัน นับว่าพวกเขาทั้งสองโชคดีที่ลูกยังอยู่กับพวกเขา

“แต่ผมนอนจนเบื่อแล้ว”

“ถึงเบื่อเจ้าก็ต้องอดทนเพื่อนแฝดในท้องของเจ้า” คำพูดของอัสบัสเรียกสายตาของคนฟังให้ต้องรีบหันมองทันที

“แฝด…คุณหมายความว่ายังไง” ข้าวสวยตกใจมากับคำพูดของอัสบัส และงงมากจริงๆว่าอัสบัสจะสื่ออะไรอีกใจก็อย่างคิดไปว่าตนเองจะมีลูกแฝดก็อดจะดีใจไม่ได้ แต่พอมาคิดอีกทีมันจะเป็นไปได้หรือ

“ก็ลูกของเราอย่างไรเล่า” อัสบัสบอกทั้งรอยยิ้ม

“คุณพูดจริงๆเหรอ”

“ข้าจะโกหกเจ้าทำไมเล่า ในท้องนี้มีเด็กตัวน้อยสองคนหมอหลวงบอกตอนมาตรวจเจ้า” ว่าทั้งยกมือขึ้นมาจับกุมท้องของข้าวสวยที่เริ่มนู้นขึ้น วินาทีที่รู้ว่าตนจะเป็นพ่อนั้นดีใจมากแต่ก็ต้องดีใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกถึงสองคน

“จริงเหรอ” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นแผ่วเบาพร้อมกำยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจจนน้ำตาตีตื่นขึ้นมาที่ขอบตา มือเล็กค่อยเลื่อนขึ้นไปลอบท้องของตนเองที่มีมือใหญ่ของอีกคนวางอยู่ ทั้งสองปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในห้วงของความรู้สึกแม้จะไม่พูดอะไรกันต่อแต่ก็รับรูได้ถึงความรักและความสุขที่ทั้งสองต่างมีให้กันรวมถึงเด็กตัวน้อยในท้องตัวเช่นกัน หากใครมองมาก็ต้องยกยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ภาพชายหนุ่นตัวเล็กที่นอนลูบท้องของตนเองพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขข้างๆ กันก็มีชายร่างสูงนั่งเอามือกุมท้องทั้งส่งยิ้มให้กับคนบนเตียงนอน แม้พึ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมาแต่ทั้งสองก็พร้อมยิ้มสู้เมื่อสิ่งตรงหน้าตอนนี้มันทำให้มีความสุขมากซึ้งมากพอที่จะทำให้ลืมเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา ข้าวสวยนอนรักษาตัวอีกหลายวันจนตอนนี้ก็แข็งแรงดีแล้วสามารถขยับตัวได้เหมือนเดิมไม่รู้สึกเจ็บบริเวณท้องอีกแล้ว

“คุณผมอยากอาบน้ำ”บอกกับคนรักที่นั่งอยู่ข้างกัน ข้าวสวยรู้สึกอยากอาบน้ำมากเพราะตลอดเวลาที่นอนปวดอยู่นั้นทำเพียงเช็ดตัวเท่านั้นมันเลยรู้สึกเหนียวตัว และในเมื่อเขาเองก็หาดีแล้วก็เลยอยากที่จะอาบน้ำ

“เดี๋ยวข้าพาไป” ข้าวสวยทำเพียงพยักหน้ารับ อัสบัสก็เดินเข้ามาประครองทั้งที่ความจริงไม่ต้องแต่ด้วยความที่เป็นห่วงเลยอดไม่ได้ ข้าวสวยพยายามปฏิเสธหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลจนสุดท้ายได้แต่ปล่อยไปอยากทำอะไรก็ทำดีเสียอีกข้าวสวยเองจะได้ไม่เหนื่อย

“คุณแล้วทุกคนละ” หลังจากอาบน้ำเสร็จกลับมาที่ที่ห้องข้าวสวยก็เอ่ยถามถึวคนอื่นๆทันทีมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะยิ่งกับคนเป็นพ่อเป็นแม่

“ทุกคนปล่อนภัย”

“พ่อกับแม่ผม…เอ่อ…อยู่ที่ไหนเหรอ พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ที่ถามเพราะเป็นห่วงครั้งหนึางข้าวสวยเคยเสียพ่อและแม่ไปแล้วเขาเองแค่ไม่อยากเสียพวกเขาไปอีกถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่อวราวเป็นมายังแต่ก็ดีใจที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่

“พวกท่านปลอดภัยดีอย่าห่วงเลยประเดี๋ยวก็คงมาหาเจ้า”

“ครับ แล้วอาเทอร์ละครับ” ถามหาอีกคนที่มีชะตาร่วมกัน ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรอาเทอร์เพราะอย่างไรต้นเหตุของเรื่องก็มาจากตนเองด้วยเหมือนกัน

“ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย” อัสบัสบอก ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นทั้งสามต่างหมดสติไปหลายวันมีเพียงอัสบัสที่ฟื้นขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยข้าวสวยคงมีก็แต่อาเทอร์ที่ยังไม่ฟื้นขึ้นทั้งที่ร่างกายไม่ได้บาดเจ็บอะไรหมอหลวงเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะสาเหตุอะไรที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ที่ผ่านมาอาเทอร์จะร้ายแต่นั้นก็สหายแม้จะไม่ใช่ในชาตินี้แต่สายสัมพันธ์นั้นยังคงมีอัสบัสเองก็ไม่ได้นึกโกรธกับเรื่องที่อีกคนทำเพราะอย่างไรเสียอัสบัสก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ข้าวสวยและอัสบัสต่างปล่อยวางกับเรื่องนี้ก็รอเพียงอาเทอร์ที่ไม่รู้ว่าจะละทิ้งเรื่องนี้ให้มันผ่านไปและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใหม่อีกครั้งได้หรือไม่

“ทุกอย่างมันจะจบไหมครับ” ข้าวสวยถามขึ้นอย่างนึกกังวล

“ข้าก็หารู้ไม่ แต่ก็หวังว่าทุกอย่างมันจะยุติเพียงเท่านี้”

“เอ่อ…คือ” อย่างถามออกไปแต่ข้าวสวยก็นึกหวั่นใจ “เจ้ามีอะไรรึ” เมื่อเห็นอาการอึกอักของอีกคนก็อดถามไม่ได้

“คือ…ปานที่หน้าอกผมมัน…มันไม่มี” เพราะสังเกตเห็นตอนอาบน้ำเลยคิดว่าเก็บมาถามกับอัสบัสคงจะดีกว่า มันน่าแปลกที่ปานที่ติดตัวเรามาแต่เกิดอยู่ๆ มันก็หายไป

“ตรานั้นหรือ” อับัสถามขึ้นมาเสียงแผ่ว

“อืม” “ของข้าก็หายไป” เสียงแผ่วตอบกลับมาอีกครั้ง

“ตรงนี้ของคุณนะหรือ” ว่าพร้อมกับยกมือขึ้นวางบนอกแกร่งจุดที่เป็นที่อยู่ของตราแสงแห่งราวินทรา

“อืม” ตอบรับทั้งยกมือขึ้นกุมมือเล็กที่ทับอยู่บนหน้าอก

“ทำไมกัน”

“ข้าเองก็หารู้ไม่”

“แล้วมันจะไม่เป็นอะไรเหรอ เพราะตรานี้มันถึงทำให้ผมพบกับคุณ มันเป็นเหมือนพันธะที่ทำให้เราหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง” นึกหวั่นใจไม่น้อย ข้าวสงยคิดไม่ตกถ้าตราทั้งสองนี้หายไปก็หมายความว่าจุดเชื่อมโยงของเขาทั้งสองนั้นได้หายไปถ้าไปรู้สึกอะไรกับคนข้างๆจะไม่นึกเสียดายเลยแต่นี้ข้าวสวยบอกได้เต็มปากเลยว่ารักคนข้างกายนี้มากเหลือเกิน

“ช่างประไร ถึงตราแสงแห่งราวินทราและหยาดน้ำแห่งจันทราจะหายไปก็ไม่ได้หมายความว่ารักของเราจะเปลี่ยนไป ถ้าตราทั้งสองคือพันธะที่ทำให้เราได้พบเจอและรักกันในวันนี้มันหายไปเราแค่สร้างพันธะใหม่ด้วยใจเราทั้งสองข้าเชื่อว่ามันแนบแน่นยิ่งกว่าเสียอีก” คำพูดพรั่งพรูออกมายึดยาวอัสบัสคิดอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรเสียพันธะใดเหล่าจะสู้พันธะใจ

“ก็จริงของคุณ ให้ใจเราเป็นพันธะของกันและกันไม่ว่าเมื่อไรมันก็จะเกี่ยวกันเสมอ” ตาสองตาผสานเข้าด้วยกันอย่างต้องการบอกความรู้สึกให้กัน

“สวีทกันอยู่เหรอ” เสียงจากหญิงสาววัยกลางกันเรียนให้ข้าวสวยและอัสบัสต้องละสายตาออกจากกัน

“แม่! สวยเปล่าสักหน่อย” ปากบอกว่าเปล่าแต่หน้าขึ้นสีแดงระเรืองอย่างเห็นได้ชัดแล้วจะบอกว่าเปล่าได้ไงกัน

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร มีสามีแล้วยังจะมาเขิน”

“แม่!” เธอก็แค่แกล้งแหย่ลูกชายเล่นเพียงเท่านั้นเห็นลูกดูร่าเริงก็สบายใจ

“แกล้งอะไรลูกอีกละถึงได้เสียงดังไปข้างนอกเลย”

“พ่อ แม่แกล้งสวย” เห็นคนเป็นพ่อเดินเข้ามาข้าวสวยก็รีบฟ้องทัน

“ฉันเปล่า” รีบบอกกับสามีทันทีที่ถูกมองมา ชายหนุ่มได้แต่สายหน้าให้กับการกระทำของภรรยาตัวเอง ลูกชายก็ด้วยเหมือน

“เป็นยังไงบ้างลูก” เลิกสนใจกับเรื่องก่อนหน้าหันมาถามอาการของลูกชายแทน

“ดีขึ้นมากแล้วละครับ” ตอนนี้แทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแล้วคงมีก็แต่ตรงช่วงท้องที่ยังมีอาการอยู่เมื่อขยับตัว “พ่อกับแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ข้าวสวยไม่ลืมที่จะถามอาการของท่านทั้งสอง

“พ่อกับแม่ไม่เป็นอะไร” คนเป็นพ่อบอก

“ไม่ต้องห่วงพ่อกับหรอกห่วงตัวเองดีกว่า ลูกไม่เป็นอะไรแน่นะ แล้วหลานแม่ยังอยู่ดีใช่ไหม” หญิงสาวถามลูกชายด้วยความห่วงไหนจะหลานอีกสองคนในท้องอีก ครั้งแรกที่รู้ว่าลูกชายคนโตกำลังท้องก็อดตกใจไม่ได้แต่พอมาคิดดูมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอย่างไรเสียปีศาจอย่างพวกเธอก็มีโอกาสได้ทั้งนั้นยิ่งเป็นข้าวสวยที่ทำพันธะสัญญารักกับอัสบัสก็เป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องน่ายินดีและเธอก็ดีใจมากที่กำลังจะมีหลาน

“แม่รู้ด้วยเหรอครับ”

“รู้สิลูกเขยแม่เป็นคนบอกเอง” ว่าทั้งส่งสายตาล้อเลียนให้ลูกชายที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมด

“แม่! สวยไม่คุยกับแม่แล้ว” ข้าวสวยพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าหนี คนเป็นแม่ทำเพียงยิ้มอย่างสนุกที่ได้แหย่ลูกชาย ยิ่งเห็นอาการงอนของลูกก็ยิ่งสนุกรู้ดีว่าที่ลูกพูดมานะทำไม่ได้หรอก

“แม่กับพ่อไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” เสียงที่เอ่ยถามเรียกร้อยยิ้มของทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี คนเป็นแม่ยิ้มรับเห็นไหมเธอบอกแล้วว่าลูกชายเธอนะทำไม่ได้อย่างที่พูดหรอก

“แข็งแรงดีทุกอย่างจ๊ะ” เธอตอบลูกชายก่อนจะเดินมานั่งข้างๆข้าวสวยที่เคยมีอัสบัสนั่งอยู่ก่อนจะลุกให้เธอนั่งแทน

“คิดถึงพ่อกับแม่จังเลยครับ ฮึก สวยไม่คิดว่าจะ ฮึก ได้เจอกันอีก ดีจัง ฮึก เลย” ข้าวสวยพูดทั้งสะอื้นเอี้ยวตัวไปกอดผู้เป็นแม่แน่น

“ไม่ร้องสิโตแล้วนะ แม่ก็ดีใจที่ได้พบลูกอีกครั้ง” เธอว่าทั้งยกมือขึ้นลูบหลังของลูกชายเบาๆ เป็นการปลอบ คนเป็นพ่อก็ไม่ได้นิ่งเฉยมือใหญ่ที่มีร่องรอยของกาลเวลาว่าอายุเขานั้นผ่านมากครึ่งค่อนชีวิตแล้วค่อยๆ ลูบลงบนเส้นผมสีทองสวย ข้าวสวยรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของมือสองคู่นี้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน

อัสบัสจ้องมองภาพของทั้งสามแล้วอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้น และเขาเชื่อว่าหากใครมาเห็นก็คงรู้สึกเฉยเดียวกับเขา ความรักของครอบครัวมันยากจะหาอะไรมาบรรยาย อัสบัสปล่อยให้ทั้งสามได้อยู่ด้วยกันส่วนตนเองก็ยืนดูอยู่เงียบๆ บ้างก็นึกเป็นห่วงคนรักที่ร้องไห้ไม่หยุด

“พ่อกับแม่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี้ได้ละก็ในเมื่อ...” หลังจกสงบสติอาราณ์ได้ข้าวสวยเอ่ยถามเรื่องที่สงสัยขึ้นมาทันถึงจะไม่อยากพูดถึงเองนั้นก็ตาม

“มันก็ค่อนข้างยาวเหมือนกันนะ แม่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี” เธอพูดตามที่คิด

“เอาเป็นว่าวันนั้นพ่อกับแม่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจนตายแต่ถูกพามาที่โลกนี้แทน อาเทอร์มันจับตัวมาเพราะมันต้องการลูกก็เท่านั้น” คนเป็นพ่อบอกขึ้นมาแทน เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากเพราะอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วไม่อยากให้ต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีกบางเรื่องไม่รู้เลยไม่คงจะดีกว่า แต่ยังคงมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ข้าวสวยจะต้องรู้นั้นก็คือต้นกำเนิดของตัวเองแต่ทั้งเขาและภรรยาตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้จะให้อัสบัสเป็นบอกกับข้าวสวยเพราะไม่อยากเห็นข้าวสวยโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ขึ้นในครอบครัว

“เอ่อ...”

“บ้างเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านเถอะลูก เรื่องบางเรื่องไม่รู้มันคงจะดีกว่านะ” คนเป็นพ่อบอกกับลูกชายเมื่อเห็นว่าจะเอ่ยถามขึ้นอีก

“แม่ว่าลูกพักผ่อนดีกว่าจะได้แข็ง พ่อกับแม่ไม่กวนแล้ว” เธออยากให้ลูกชายพักผ่อนจริงๆ ยิ่งท้องไส้อยู่แบบนี้การพักผ่อนเป็รเรื่องที่ดี

“อัสบัสพ่อฝากดูข้าวสวยด้วยนะ พ่อกับแม่ไปละ” ชายหนุ่มหันไปบอกกับลูกเขยก่อนจะบอกลาลูกชายตัวเอง ถึงแม้อัสบัสมีศักดิ์เป็นถึงราชาของโลกปีศาจนี้ก็ตามแต่ก็ให้การปฏิบัติต่อพ่อแม่ของข้าวสวยอย่างคนทั่วไปเพราะพ่อแม่ของข้าวสวยก็เหมือนกับพ่อแม่ของเขาด้วยเหมือนกันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกยศศักดิ์กัน

ตอนนี้พ่อและแม่ออกไปแล้วทำให้ในห้องเหลือเพียงข้าวสวยและอัสบัสสองคน อัสบัสจัดการให้ข้าวสวยได้นอนพักผ่อนอีกสักหน่อยเพราะหน้าตาอ่อนเพลีย

หลายวันผ่านมาแล้วจากวันที่ฟื้นขึ้นมาตอนนี้ข้าวสวยแข็งแรงดีอาจจะมีอ่อนเพลียบ้างพราะอาการแพ้ท้องที่คิดว่าหายไปแล้วแต่มันยังมีอยู่ และวันนี้ก็รู้สึกเวียนหัวอยู่หลายครั้งเลยขอให้อัสบัสพาออกมาเดินเล่นในสวน

สายลมที่พัดมามันไม่แรงมากนักทำให้รู้สึกดี กลิ่นของดอกกุหลาบสีฟ้าที่แบ่งบานอยู่ไม่ได้ทำให้ข้าวสวยรู้แย่เหมือนแต่ก่อน ทำให้อาการเวียนหัวทุเลาลงไปได้มากเลยที่เดียว

อับัสพาข้าวสวยมานั่งตรงศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้า นับว่าที่น้เป็นที่ที่ข้าวสวยชอบมากที่สุดเพราะมันให้ความรู้สึกว่าตัวเรากำลังอยู่บนท้องฟ้ากว้าง

“ผมลืมชวนข้าวเจ้ากับมิคาร์มาด้วย”

“สองคนนั้นคงไม่ว่ามากับเจ้าหรอก หึหึ” อัสบัสว่าติดตลก

“ก็จริงของคุณ” พูดถึงก็นึกอยากจะงอนน้องชายทั้งสองที่ตอนเอาแต่มาคนรักไม่ห่าง  เมื่อสองวันก่อนทั้งได้บอกับทุกคนแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าวเจ้าจะชอบกับรีฟเฟอร์ทั้งที่รีฟเฟอณ์เป็นคนนิ่งและดูน่ากลัวยังสงสัยอยู่เลยว่ารีฟเฟอร์ทำยังไงให้ข้าวเจ้าชอบได้ ยิ่งมิคาร์เอลกับคลูสนี้หน้าตกใจมากเข้าไปอีกก็เห็นมิคาร์เอลชอบโวยวายและด่าว่าคลูสตลอดก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าไปชอบกันตอนไหนถึงตอนที่ถูกอาเทอร์จับตัวไปจะรู้สึกว่ามิคาร์เอลเป็นห่วงคลูสมากอย่างผิดปกติแต่ก็ไม่เวลาสนใจกับเรื่องนั้น

“รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่” เพราะเป็นห่วงเลยต้องค่อยดูแลและถามไถ่คนตัวเล็กตลอด

“ดีขึ้นมากเลยครับรู้สึกสดชื่นดี” ว่าพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าแรงๆ

“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดีให้รีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่”

“ครับๆ” ข้าวสวตอบรับพอผ่านๆ นับวันอัสบัสยิ่งดูแลดีมากมากจนข้าวสวยนึกเคืองเพราะจุกจิกในทุกเรื่อง แต่เพราะเข้าใจว่าอีกคนเป็นห่วงเลยไม่ได้ขัดอะไร

ทั้งสองต่างนั่งกันเงียบๆ ไม่มีใครเอ่ยอะไรมีเพียงสองมือที่กอบกุมกันไว้เท่านั้น บ่อยให้เวลามันผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกในใจ นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายเดือนที่ผ่านมาทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะทิ้งสิ่งไม่ดีมันออกไปให้มันคงเหลือแต่สิ่งดีๆใจเราจะได้เป็นสุข

“เจ้าอยากจะร็เรื่องชาติกำเนิดของเจ้าเองหรือไม่” เสียงทุ่มเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา

“ชาติกำเนิดของผมนะเหรอ” ถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่ค่อยยแน่ใจ

“อืม”

“ทำไมละครับ ผมก็เกิดมาจากพ่อกับแม่ไง แต่ทำไมคุณพูดเหมือนมันมีอะไร” อยู่ๆ มาเจอคำถามนี้ก็อดสงสัยไม่ได้

“ใช่เจ้าเกิดจากท่านพ่อและท่านแม่ แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้น”

“อะไรคือที่มากว่านั้น คุณทำผมงงนะ”

“เจ้าเคยสงสัยไหมทำไมมณีจันทราถึงเลือกเจ้าเป็นภรรยของข้า” คนถูกถามสายหน้าไปมา “แต่ข้าสงสัยกับเรื่องนี้เพราะมณ๊จันทรไม่เคยเลือกคู่ครองที่เป็นมนุษย์เลตั้งแต่อดีตกาลจนข้าได้พบกับตราหยาดน้ำแห่งจันทราบนตัวเจ้าข้าถึงได้รู้ว่าทำไม”

“เพราะผมคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา” ข้าวสวยตอบขึ้น

“มันก็ใช่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ตราที่เป็นของเราเหล่าชาวปีศาจมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปปรากฏบนตัวของมนุษย์”

คำพูดของอัสบัสทำให้ข้าวสวยนึกสับสน อัสบัสพูดเหมือนกับว่าตัวเขาไม่ใช่มนุษย์แต่นั้นมันจะเป็นได้ยังไงก็ตั้งแต่เล็กจนโตจำได้ว่าอยู่ที่โลกมนุษย์มาตลอด

“คุณกำลังจะบอกอะไรผมกันแน่”

“ข้ากำลังบอกเจ้าว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจัทรานั้นเป็นชาวโลกปีศาจหาใช่มนุษย์” ข้าวสวยพยายามคิดถามสิ่งที่อัสบัสพูด ถ้าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราคือปีศาจแสดงว่าเขาที่เป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราก็ต้องเป็น...

“ปีศาจ! คุณกำลังจะบอกผมเป็นปีศาจเหรอ” เอ่ยขึ้นเสียงดังเพราะตกใจกับความคิดของตัวเอง

“ถ้าข้าบอกว่าใช่เจ้าจะทำอย่างไรเล่า” อัสบัสถามอย่างลองเชิง แต่อีกคนกลับเงียบคิ้วสวยขมวดเขาหาจนมันแทบจะพันกันมือที่เคยจับกันก็ถุกปล่อยออกไม่กุมมือตัวเองที่หน้าตัก

อัสบัสรู้ดีว่าข้าวสวยคงตกใจที่อยู่ๆ ก็มารับรู้เรื่องนี้แต่มันเป็นเรื่องที่ข้าวสวยจำเป็นต้องรู้อัสบัสจึงต้องพูดมัน

“คุณพูดจริงๆ เหรอ” เสียงแผ่วเบาถามขึ้นมา จะให้ข้าวสวยเชื่อมันก็ยังไงอยู่มันสับสนมันกังวลและกลัว ถ้าตนเองเป็นปีศษจแล้พ่อ แม่ และน้องชายละเป็นปีศษจด้วยไหมหรือแค่เขาคนเดียวแต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเขาไม่ใช่ลูกของพ่อและแม่จริงๆ พอคิดได้แบบนี้ก็นึกกลัวขึ้นมากับความจริงนี้

“มันคือเรื่องจริงที่เจ้าต้องรู้” เพราะมันคือชาติกำเนิดของข้าวสวยเอง ดังนั้นข้าวสวยจำเป็นต้องรู้มันแม้จะยากที่จะยอมรับก็ตาม

“สะ...แสดงว่าผมไม่ใช่คน ผมไม่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่ ไม่ได้เป็นพี่ชายของข้าวเจ้าใช่ไหม” ข้าวสวยเอ่ยถามขึ้นเสียงสั่นน้ำตาตีตื้นขึ้นมาที่ขอบตาจนมันแทบจะร่วงลงมา

“ไม่เลย…” พูดแค่นี้น้ำตาของข้วสวยก็ไหลออกมาทันทีไม่อยากจะรับฟังต่อ “อย่าร้องไห้ เจ้าฟังข้าเจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจ และที่สำคัญเจ้าเป็ฯลูฏของท่านพ่อและท่านแม่จริงๆ” อัสบัสนึกโมโหตัวเองที่ทำให้คนรักร้องไห้เพราะคำพูดที่มันสื่อไม่ชัดเจน

“แต่พ่อกับแม่ไม่ใช่ปีศาจ ฮึก นะคุณ” เถียงขึ้นมาทั้งยังสะอื้นจนอัสบัสนึกอยากจะตีสักทีกับการคิดเองเออเอง

“แล้วถ้าไม่ใช่ปีศาจจะให้บุตรที่เป็นปีศาจได้อย่างไรเล่า เจ้านี้คิดไปถึงไหนกัน”

“เอะ! คุณว่าไงนะ” ข้าวสวยนึกท้วนคำพูดอีกครั้งแต่คำตอบที่ได้คือมันจริงอย่างอัสบัสพูด “พ่อ แม่ และเจ้าก็เป็นคนของโลกปีศาจเหรอ” ข้าวสวยรีบเช็ดน้ำตาแล้วถามอีกคนทันที

“ก็ใช่อย่างไรเล่า พวกเจ้าทั้งครอบครัวคือคนของโลกปีศาจ เป็นพวกเดียวกับข้า แต่ด้วยมีเหตุให้ครอบครัวเจ้าต้องไปอยู่ที่โลกมนุษย์”

“ทุกคนสินะไม่ใช่แค่ผม” พอได้ยินแบบนี้ก็ค่อยยิ้มขึ้นมาได้ข้าวสวยกลัวมากกลัวว่าตนเองจะไม่ใช่ลูฏของพ่อกบแม่และไม่ใช่พี่ชายของเจ้าถ้าเป็นแบบนั้นก็เสียใจมากน่าดูก็ตั้งแต่จำความได้ก็มีพ่อและแม่รวมทั้งข้าวเจ้าท่อยู่ด้วยกันมาตลอดมันเป็นเหมือนครอบครับ แต่ถ้าเขาไม่ใช่ลูกมันก็จะไม่มีความว่าครอบครัวนี้ข้าวสวยเลยกลัวและกังวล

“ใช่ มันไม่ใช่แค่เจ้า เพราะอย่างนั้นเลิกคิดมากเสีย” อัสบัสบอกทั้งยกมือใหญ่วางบนกลุ่มผมสีทองก่อนจะโยกหัวเล็กไปมา

“ปล่อยเลยนะ ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย” ข้าวสวยโวย

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ช่างดื้อเหมือนกันนัก ไม่รู้ว่าลูกจะซึมซับไปด้วยหรือเปล่าความดื้นนี้” อัสบัสว่าติดตลกเลยได้สายตาค้อนวงใหญ่กลับมา

“ผมไม่คุยกับคุณและนิสัยไมดี” ข้าวสวยว่าคนรักแก้มขาวๆป๋ฮงขึ้นทันทีบ่งบอกว่ากำลังงอน ก่อนจะเดินออกจากศาลามาทิ้งให้อัสบัสยืนยิ้มบ้าอยู่คนเดียว

“รอข้าด้วย เจ้าจะรีบเดินไปไหนเล่า” อัสบัสร้องบอกก่อนจะรีบก้าวเดินตามคนรักไป

ช่วงขาสั้นของข้าวสวยนั้นสู้ขายาวๆอย่างอัสบัสไม่ได้อยู่แล้วอัสบัสก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็ตามทันคนรัก แต่ข้าวสวยกลับไม่สนใจอัสบัสพยายามตามง้องอนคนรักที่เอาแต่เดินหนีถ้าใครมองคงนึกขันไม่น้อยที่คนอย่างราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่วิ่งไล่ตามคนรักที่กำลังง้องอน

ข้าวเองก็ไม่ได้นึกเคืองอะไรมากก็แค่เพียงแกล้งอัสบัสกลับก็เท่านั้นที่มาบอกว่าเขาดื้อแถมยังมาว่าลูกว่าจะเกิดมาดื้นเหมือนเขาอีก แต่สุดท้ายก็แกล้งไม่ได้นานต้องแพ้ทางให้กับอัสบัสทุกครั้งไป

“หายง้อข้าแล้วใช้หรือไม่” อัสบัสว่าทั้งยืนกอดคนรักแน่น

“อืมมม” ตอบตกลงไปอย่างจำยอม เพราะอีกคนเอาแต่กอดแน่นแถมยังมาบอกอีกว่าถ้าไม่หายงอนก็จะกอดอยู่อย่างนั้นแล้วแบบนี้จะให้ข้าวสวยทำยังไงได้นอกจากยอมอีกคน เป็นแบบนี้ทุกทีเลย

“ดีมาก” ว่าทั้งก้มลงหอมแก้มคนรักและผลักออกอย่างรวดเร็ว ข้าวสวยทำได้เพียงส่งสายตาค้อนให้กับคนฉวยโอกาส “กลับตำหนักกัน” อัสบัสเอ่ยชวนทั้งรอยยิ้ม

“ผมอยากไปเยี่ยมอาเทอร์” ข้าวสวยรั้งมืออีกคนที่กำลังจะก้าวเดิน

“เมื่อวานเจ้าพึ่งไปมาไม่ใช่หรือ” ไม่ใช่แค่เมื่อวานแต่ก่อนหน้านี้ก็ไปมาแล้วด้วยเหมือนกันใจคอจะไปทุกวันเลยหรือไงกัน

“ก็ผมสงสารเขา ถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใครคงจะรู้สึกไม่ดี” อย่างไรเสียอาเทอร์ก็เพื่อนคนหนึ่งข้าวสวยทิ้งไม่ได้จริงๆ อัสบัสก็เหมือนกันเขาไม่มีทางทอดทิ้งอาเทอร์ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ไปกับข้าวสวนทุกครั้งแถมยังไปมากกว่าข้าวสวยอีก ตอนนี้อาเทอร์น่าเป็นห่วงเพราะยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยแต่หมอหลวงเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่จะฟื้นขึ้นมาและอย่าให้รู้ว่าทั้งเขาและอัสบัสจะไม่มีทางทอดทิ้งเพื่อนคนนี้อย่างแน่นอน

เพราะความเป็นเพื่อนไม่ว่าเมื่อไหร่เพื่อนก็ยังคือเพื่อน อาจจะทำผิดไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะให้อภัยกันไม่ได้ คนเราล้วนจะผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทำผิดเลย แต่สิ่งสำคัญคือให้จำมันไว้เป็นบทเรียนของชีวิต


มาแล้วววตอนที่  24  เหลืออีกตอนเดียวจบแล้วน่าาาาาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2017 15:17:02 โดย ตั้งโอ๋ »

ออฟไลน์ ตั้งโอ๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0


King of love ตอนที่ 25



“อัสบัส แม่ว่าลูกหยุดเดินไปมาเสียทีเถอะ แม่ตาลายหมดแล้ว” เสียงของหญิงสาวผู้เป็นแม่ของข้าวสวยเอ่ยบอกกับลูกเขย เพราะนานแล้วที่ชายหนุ่มเอาแต่เดินวนไปวนมาไม่หยุด

“เอ่อ ข้าเป็นกังวลนิดหน่อยท่านแม่” อัสบัสว่าทั้งสีหน้าเคร่งเครียด

“มันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกเชื่อแม่สิ” เธอว่าทั้งลูบไหล่สูงอย่างหวังให้คลายกังวล

“พ่อเข้าใจ พ่อก็เคยเป็น ฮาๆๆ” คนเป็นพ่อว่าทั้งหัวเราะอย่างขบขัน แต่ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกเป็นกังวล เข้าใจความรู้สึกของอัสบัสดีเพราะตนเองก็เคยประสบกับมันมาก่อน

“แต่มันนานมากเลยเจ้าเริ่มจะเป็นห่วงพี่สวยขึ้นมาแล้วนะครับพ่อ” ข้าวเจ้าที่ยืนอยู่ข้างๆว่า มันนานมากแล้วที่ทุกคนมายืนอยู่หน้าห้องใหญ่

                “อย่าห่วงเลยเชื่อแม่ สวยต้องไม่เป็นอะไร รวมทั้งสองแฝดด้วย” เธอว่าขึ้นทั้งรอยยิ้ม แต่ในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้

            ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่ทุกคนก็อดเป็นห่วงไม่ได้ยิ่งเป็นข้าวสวยที่เป็นชายที่ตั้งท้องความยุ่งยากมันเลยมากกว่าหญิงสาว

อุแว๊ อุแว๊ อุแว๊  อุแว๊

เสียงเด็กร้องที่ดังจากห้องตรงหน้าเรียกให้ทุกคนต้องให้ความสนใจ หัวใจของทุกคนเต้นแรงและเร็วมากเพราะเสียงร้องนั้นบ่งบอกว่าเด็กน้อยทั้งสองได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้ว

“ลูกข้า ลูกข้าเกิดแล้ว” อัสบัสพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทุกคนก็เช่นกันต่างยินดีกับเรื่องนี้เวลาที่รอคอยสิ้นสุดลงเสียที

              อัสบัสจ้องมองประตูตรงหน้าราวกับว่ามันสามารถมองทะลุผ่านไปด้านในได้ทั้งที่ความจริงไม่เลย ความรู้สึกแรกที่ได้ยินเสียงของลูกน้อยมันตื่นเต้นและดีใจจนบอกไม่ถูก สองมือกุมกันที่หน้าอกมันสั่นตามจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วเกินปกติ อยากวิ่งผ่านประตูที่ปิดสนิทนั้นเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำการใดไม่ได้เพราะหมอหลวงสั่งห้ามไว้เลยทำได้เพียงแค่รออยู่ตรงนี้แม้จะอยากเห็นหน้าลูกน้อย และคนรักสักเพียงใดก็ตาม

               เวลาค่อยๆเดินไปเรื่อยๆเสียงของเด็กน้อยทั้งสองยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ยิ่งเวลาผ่านไปอัสบัสก็ยิ่งนึกเป็นห่วงคนรักที่อยู่ด้านในลูกน้อยยังมีเสียงให้ได้ยินเขาถึงอุ่นใจแต่กับข้าวสวยไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างพอมานึกถึงต้องนี้ภาพสีหน้าความเจ็บปวดของคนรักก็ฉายขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล

              ประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกเรียกให้ทุกคนรีบเดินเข้าหาทันทีซึ่งคนแรกที่ถึงตัวผู้เปิดก็คืออัสบัส

“หมอหลวง ลูกข้า เมียข้าเป็นอย่างไรบ้าง” อัสบัสเอ่ยถามขึ่นอย่างร้อนรน คนถูกถามยิ้มยินดีส่งให้ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ทรงยินดีด้วยพะยะค่ะ พระโอรสทั้งสองแข็งแรงดีพะยะค่ะ ส่วนองค์ราชินีก็ทรงปลอดภัยดีเช่นกันอาจมีอ่อนเพลียบ้างเพราะบาดแผล”  คำบอกกล่าวนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกใจชื่นขึ้นมาทันที ความกังวลที่สะสมมานานเริ่มคลายลง

“ข้าเข้าไปหาลูกเมียข้าได้หรือไม่” อัสบัสถามขึ้น เขาอยากเห็นลูกน้อยและคนรักของเขามากเหลือเกิน

“เชิญพะยะค่ะ” หมอหลวงว่าทั้งเปิดทางให้องค์ราชาผ่านเข้าไปในห้อง ทุกคนที่เหลือก็ค่อยๆตามเข้ามาจนในห้องนั้นเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน

          อัสบัสจ้องมองสามชีวิตที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่อย่างอธิบายความรู้สึกไม่ถูก ร่างเล็กๆสองร่างที่น้อยข้างๆร่างของคนรักที่สีหน้าดูอิดโรยแต่ยังคงยิ้มให้กับลูกน้อยทั้งสองที่นอนอยู่ข้างกัน มันช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกินในความคิดของอัสบัส

“ข้าวสวย” เสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกคนรักทั้งรอยยิ้ม ใบหน้าเล็กค่อยๆ หันมาตามเสียงเรียกก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานกลับไปให้แม้ตัวเองแถบจะไม่มีแรงแล้วก็ตาม

“อัสบัส”

“เป็นอย่างไรบ้าง ที่รักของข้า” อัสบัสถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆเด็กน้อยทั้งสองทำให้ตอนที่เด็กน้อยทั้งสองถูกขนาบข้างไปด้วยผู้เป็นพ่อและแม่

                ข้าวสวยทำเพียงสายหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันมามองสองแฝด อัสบัสเห็นเช่นนั้นก็คลายกังวลหันมาสนใจกับสองแฝดที่นอนหลับตานิ่ง เด็กน้อยผมสีส้มทองแปลกตาทำให้อัสบัสต้องขมวดคิ้วเพราะสิ่งที่เห็นมันค่อนข้างน่าแปลกใจอดไม่ได้ที่จะมองคนรักอย่างสงสัยทำไมกัน

“พวกเขามาอยู่กับผมจริงๆ” ข้าวสวยว่าทั้งมองหน้าลูก อัสบัสเองก็อดแปลกใจไม่ได้ทำไมกันแต่เขาก็ยินดีที่เด็กน้อยทั้งสองคือลูกของเขา

“ไดอาร์ ไอด้า” เสียงเล็กของข้าวสวยพูดขึ้น อัสบัสก็เข้าใจได้ทันที เพราะสองชื่อนี้้ข้าวสวยมักพูดให้เขาได้ยินบ่อยๆ หนูน้อยไดอาร์ที่มีรอยดอกกุหลาบหกกลีบสีดำใต้ดวงตาข้างซ้ายและไอด้าหนูน้อยผู้มีรอยดอกกุหลาบหกกลีบสีขาวที่ใต้ดวงตาขวา มันค่อนข้างเหลือเชื่อที่บุคคลในความฝันของข้าวสวยตอนนั้นจะมาเป็นลูกของเขาและข้าวสวยในตอนนี้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเลยในเมื่อวันนี้เด็กทั้งสองคือลูกน้อยของเขาไม่ว่าจะเป็นมาอย่างไรทั้งไดอาร์และไอด้าก็คือลูกเขา มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเราได้เกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน

              ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างจ้องมองภาพครอบครัวนั้นอย่างสุขใจทำเพียงยืนดูเงียบๆ และค่อยๆทยอยกันออกมาถึงแม้อยากจะอยู่ดูหลานก็เถอะแต่เอาไว้ก่อนก็ได้ปล่อยให้เวลานี้เป็นของครอบครัวมือใหม่ไปก่อน

             อัสบัสและข้าวสวยต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกทั้งสองทำเพียงส่งยิ้มให้กันและมองดูลูกน้อยอย่างไม่รู้จักเบื่อ ความรู้สึกมากมายมันเอ่อล้นจนไร้คำที่จะพูดออกมารู้เพียงเวลานี้ทั้งสองต่างมีความสุขยิ่งนัก

หลายเดือนต่อมา

แอ๊  แอ๊

“ไม่เอาครับไอด้าไม่แกล้งไดอาร์นะครับ” ข้าวสวยร้องบอกเด็กน้อยไอด้าที่เอามือตีไดอาร์ที่นอนอยู่ข้างกัน เพราะหลังจากจัดการอาบน้ำให้สองแฝดเรียบร้อยก็พากันให้มานอนเล่นบนเตียงใหญ่แต่ไอด้าผู้เป็นน้องกลับคอยแต่เอามือเล็กตีลงบนไดอาร์ผู้เป็นพี่ แม้จะรู้ว่าถึงห้ามลูกไปก็คงจะไม่รู้เรื่องอะไรก็ตาม ทางไดอาร์ทำเพียงนอนมองหน้าคนเป็นแม่นิ่งๆ

“ไอด้าหนูอยู่นิ่งๆสิครับ” เพราะต้องการใส่เสื้อผ้าให้ลูกเลยต้องร้องบอกเด็กน้อยที่นอนยกไม้ยกมืออยู่ไม่นิ่งขาสองข้างก็ยกขึ้นลงบนที่นอนอยู่บ่อยๆ ดูท่าแล้วหนูน้อยไอด้าโตขึ้นคงจะซนไม่เบา

“ข้าวสวยแต่งตัวให้ลูกเสร็จหรือยัง” อัสบัสที่พึ่งเข้ามาร้องถามขึ้น

“ใกล้แล้วครับ ก็น้องไอด้าสิอยู่ไม่นิ่งเลย” บอกทั้งส่องสายตาให้คนรักดูเด็กน้อยที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ผิดกับไดอาร์ที่นอนมองหน้าพ่อทีแม่ทีอยู่นิ่งๆ มีบางครั้งที่ยกมือขึ้นมาเหมือนต้องการจะทักทาย

“เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่เฉยเลยเด็กน้อยของพ่อ” ร้องถามลูกก่อนจะส่งมือใหญ่ไปจับมือเล็กๆ ที่ยกขึ้นมาก่อนจะสายไปมาอย่างหยอกล้อ

“คุณอย่าไปชวนลูกเล่นสิ มาช่วยผมแต่งตัวเลยครับ” ข้าวสวยดุคนเป็นพ่อก่อนจะส่งเสื้อผ้าให้อัสบัสแต่งตัวให้ไอด้าส่วนตัวเองก็แต่งตัวให้ไดอาร์ “เรียบร้อยครับพี่ไดอาร์ของแม่หล่อมาก” เด็กน้อยยิ้มน้อยๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงของแม่ ข้าวสวยก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้เห็นลูกยิ้มออกมา มือเล็กๆค่อยๆยกขึ้นจับหน้าของข้าวสวยที่โน้นเข้ามาหา สองขาน้อยก็ยกขึ้นก่อนจะค่อยวางลงข้างแก้มของข้าวสวย คนเป็นแม่ก็อดไม่ได้ที่จะจูบลงบนเท้าเล็กๆนั้น

“ขะ...ข้าวสวย” เสียงเรียกจากคนรักทำให้ต้องหันไปสนใจก่อนจะมองหน้าอัสบัสอย่างสงสัย “คือ...”

“ฮาๆ เชื่อผมหรือยังครับ อิอิ” ข้าวสวยนึกตลกคนรักทันทีก็อัสบัสยังแต่งตัวให้ไอด้าไม่เสร็จเลย ไม่ใช่ว่าแต่งตัวให้ไม่เป็นเพราะตลอดสามเดือนที่ผ่านมาข้าวสวยและอัสบัสจะเป็นคนจัดการเองตลอดไม่เคยให้คนอื่นทำเลย พวกเขาก็แค่อยากจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองก็เท่านั้น หากแต่ช่วงนี้ไอด้ามักจะอยู่ไม่นิ่งทำให้เวลาใส่เสื้อผ้ายุ่งยากกว่าเดิมเพราะขาน้อยๆนั้นชอบยกขึ้นหลบหนีตลอดมือไม้ก็อยู่ไม่นิ่ง เคยมีครั้งหนึ่งที่รั้งผมสีแดงเพลิงของอัสบัสจนเจ้าตัวร้องลั่นตั้งแต่นั้นมาอัสบัสเลยไม่เคยปล่อยผมอีกเลย

“เจ้าดูสิพอข้าเอาใส่ก็ยกเท้าออก เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังพ่อ” ฟ้องคนแม่เสร็จก็หันมาถามคนลูกแต่คำตอบที่ได้กลับมาคือเสียงอ๊อแอ๊พร้อมกับกัดมือตัวเองเล่น

“ฮาๆ มาครับผมจัดการเอง” ข้าวสวยว่าก่อนจะอุ้มไดอาร์ที่นอนอยู่บนเตียงส่งให้อัสบัส ทางอัสบัสก็รับแฝดพี่มาก่อนจะเขยิบตัวหลบออกมาให้ข้าวสวยได้แต่งตัวให้แฝดคนน้อง

“เจ้าดูน้องเจ้าสิไดอาร์ ช่างซนเหลือเกิน”

“ฮาๆ คุณก็ไปว่าลูก มาครับคนดีแต่งตัวกันนะ” ว่าคนพ่อเสร็จก็หันมาจัดการกับคนลูกที่ยังส่งเสียงอ๊อแอ๊ไม่ขาดสาย “น้องไอด้าถ้าหนูยังไม่อยู่นิ่งๆ แม่ไม่พาไปเยี่ยมท่านลุงนะครับ” ข้าวสวยร้องขู่เพราะสองครั้งแล้วที่เข้าใส่กางเกงตัวน้อยให้แต่เจ้าตัวกลับยกขาหลบ เลยต้องยกเรื่องนี้มาขู่ก็ไม่รู้หรอกว่าลูกจะเข้าใจหรือไม่แต่ขาน้อยที่ถูกจับใส่กางเกงไม่ได้ยกหนีเหมือนอย่างเคย คงจะกลัวไม่ได้ไปเยี่ยมท่านลุงเขาจริงๆ สินะ

“หึหึ” อัสบัสนึกขันลูกตัวเองขึ้นมาทันทีอยู่มาตั้งนานไม่ยอมแต่พอขู่เรื่องท่านลุงก็ยอมทันที หลายครั้งที่มักมีเหตุการณ์เช่นนี้ ทั้งข้าวสวยและอัสบัสก็อดแปลกใจไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้วิธีปราบเด็กดื้อ

“ให้ตายเถอะ ต้องงัดไม้นี้ขึ้นมาทุกที” ข้าวสวยว่าทั้งจัดชุดบนตัวลูกให้เข้าที่

“ไปกันหรือยังวันนี้สายมากแล้ว”

“อืมครับ เสร็จแล้วไปกันเถอะ” ว่าแล้วทั้งสองก็อุ้มลูกน้อยไว้คนละคนก่อนจะออกเดินไปอีกตำหนักหนึ่งที่เป็นที่พักของใครอีกคน

                สายลมอ่อนที่พัดผ่านเข้ามานั้นทำให้ผ้าม่านตรงหน้าต่างปลิวสะบัดไม่ตามแรงลม กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ที่มาตามกระแสลมชวนให้รู้สึกสดชื่น ตำหนักแห่งนี้ถูกรายล้อมไปด้วยกุหลาบสีฟ้าคนปลูกหวังเพียงให้กลิ่นอายหอมนี้ได้คอยบรรเทาคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงมานานหลายเดือนได้รู้สึกผ่อนคลาย

“นานแล้วนะครับที่เขาไม่ยอมตื่นขึ้นมา” ข้าวสวยเอ่ยผ่านความเงียบขึ้นมาเมื่อทั้งสี่มาหยุดอยู่ที่เตียงนอนขนาดใหญ่

“สักวันหนึ่งเขาคงตื่นขึ้นมาเป็นแน่” อัสบัสว่าทั้งยกมือข้างที่ไม่ได้อุ้มไดอาร์มากอบกุมไหล่บางของคนรักอย่างต้องการปลอมประโลม

“แล้วมันเมื่อไหร่กันละครับ” ข้าวสวยว่าทั้งกระชับอ้อมกอดไอด้าที่อยู่ไม่นิ่ง มือน้อยๆคอยแต่จะยื่นเข้าหาคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

“ข้าเองก็จนปัญญา เวลานี้เราทำได้แค่รอเท่านั้น” ใช่พวกเขาทำได้แค่รอ รอวันที่อาเทอร์จะฟื้นขึ้นมา เพราะนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เวลาก็ล่วงเลยมาหลายเดือนอีกคนก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาจากนิทราเลยทั้งที่ทุกอย่างบนกายนั้นปกติดี

“อยากไปหาท่านลุงหรือครับ” ข้าวสวยร้องถามไอด้าที่ร้องอ๊อแอ๊อยู่เนื้อตัวก็ดิ้นไม่หยุดมักเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มา ข้าวสวยเหลือบมองอัสบัสอย่างต้องการความคิดเห็นเมื่อคนตัวใหญ่พยักหน้าให้ก็เป็นอันรู้กันว่าอนุญาต ข้าวสวยค่อยๆ วางไอด้าลงข้างๆอาเทอร์ เด็กน้อยหยุดนิ่งทันทีมีเพียงสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังยิ้มที่ใจปรากฏขึ้นมาเท่านั้น ทำเอาคนเป็นแม่นึกหมั่นไส้ลูกตัวเองขึ้นมา อารมณ์ดีเชียวนะ แต่พอหันไปทางไดอาร์รายในทำเพียงใบหน้านิ่งพร้อมดวงตาที่ใกล้จะปิด

“ถ้าเขาตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็ดีสินะครับ ไอด้าคงดีใจน่าดูเลย” ว่าทั้งมองลูกน้อยที่นอนนิ่งอยู่ข้างกายใหญ่

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

“ผมว่าเรารีบไปในสวนกันเถอะครับทุกคนคงรอนานแล้ว” หันบอกคนรักก่อนจะก้มลงอุ้มลูกน้อยขึ้นมาในอก ใบหน้าเล็กแบะปากขึ้นมาทันทีจนคนเป็นแม่ต้องเอ่ยบอกว่าจะพามาใหม่ เพราะอย่างนี้ทั้งสี่ถึงมาที่นี้ทุกวัน แม้คนบนเตียงจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาก็ตาม

ทั้งสองโอบอุ้มลูกน้อยเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าที่แบ่งบานอย่างสวยงามมันกลายเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยของข้าวสวยไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามานั้นเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ไม่เคยนึกคิดว่าตนเองจะมาอยู่ ณ จุดนี้ คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่วันหนึ่งกลับถูกเลือกให้เป็นคู่ครองของผู้ยิ่งใหญ่ของเหล่าปีศาจนับว่าเป็นเรื่องที่เกินจะเหลือเชื่อ แม้กระทั้งตอนนี้ยังแอบคิดอยู่เลยว่าคนอย่างเขานะหรือที่เป็นภรรยาของราชาปีศาจจริงๆ บางครั้งก็แอบคิดนะว่าตอนนี้ตัวเองอาจกำลังฝันไปแต่รอเท่าไรก็ไม่ตื่นเสียทีจนตอนนี้ถ้าหากว่าเป็นความฝันจริงๆ เขาก็อยากจะนอนต่อไปอย่างไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกเลย

“คิดไปคิดมาชีวิตผมก็ตลกดีนะครับ อยู่ๆ ได้มาเป็นเมียปีศาจเฉยเลย” เสียงเล็กเอ่ยติดตลกแทรกความเงียบขึ้นมา

“มันเป็นโชคชะตาของเราที่ได้พบเจอกัน เจ้าไม่ดีใจหรือที่มีข้าเป็นสามี” คนตัวสูงที่เดินข้างกันพูดขึ้น

“หึหึ แรกๆ ก็ไม่นะใครจะไปดีใจลงละครับอยู่ๆ ได้มาเป็นเมียปีศาจนะ”

“แล้วตอนนี้ละเจ้ารู้สึกอย่างไร” เท้าใหญ่หยุดเดินหันมองหน้าคนรักอย่างต้องการคำตอบ

“เอ่อ...” ข้าวสวยก็ยังคงเป็นข้าวสวยไม่เคยชินกับสายตาแพรวพราวของอีกคนสักที สายตาที่มองมาอย่างกับจะครอบครองเขานั้นให้ทำยังไงก็คงไม่ชินจริงๆ

“ว่าอย่างไรเล่า” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูเอ่ยถามคนรักอีกครั้ง แม่จะเป็นคุณแม่ลูกสองแล้วแต่ก็ยังคงเขินอายกับคนเป็นสามีอยู่ดี ใบหน้าขาวๆ ถึงได้ขึ้นสีแดงระเรืองจนอัสบัสอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสัมผัสพวงแก้มใสนั้น

“คุณ!”

“อย่าเสียงดัง เห็นหรือไม่ลูกตกใจแย่แล้ว หึหึ”

“ใครใช้ให้คุณแกล้งผมกัน”

“หึหึ ข้าเปล่าแกล้ง ตกลงคำตอบข้าละ” บอกปัดทั้งทวงคำตอบจากอีกคน ถึงจะรู้คำตอบดีแต่ก็อยากจะได้ยินจากปากของคนรัก

“กะ...ก็ ชอบไง!”

“ว่าอย่างไรนะ หึหึ”

“ไอ้เขาควายบ้า” สรรพนามที่หายไปนานถูกยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง ไอ้ปีศาจเจ้าเล่ห์ ถามอยู่ได้เขาเขินจะแย่อยู่แล้วแท้ๆ ไอ้เขาควายบ้าๆ บางที่ก็คิดนะว่าหลงรักอีกคนไปได้ไง

“หึหึ บอกดังให้ข้าได้ยินได้หรือไม่” มือใหญ่ยกขึ้นจับเส้นผมสีทองขึ้นทัดหู คนที่เอาแต่ก้มหน้าก็รู้ถึงสัมผัสแผ่วเบาก็ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นมองคนรักที่ส่งยิ้มมาให้พาลให้ใบหน้าใสขึ้นสีอีกครั้ง สวีทไม่อายลูกกันเลยจริงๆ

ดวงตาคู่สวยจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงที่ฉายแววความรู้สึกของอีกคนออกมาข้าวสวยรู้ดีว่าคืออะไร ความรักใคร่ ใช่สิ่งที่ส่งผ่านทางสายตาสีแดงคู่นั้นคือความรักที่มีต่อเขา ความแน่วแน่ในสายตาคู่นั้นทำให้รู้ว่าอัสบัสรักเขาอย่างที่พูดใจ พอย้อนกลับมามองตัวเองเคยมีสักครั้งไหมที่ทำให้อีกคนแน่ใจในตัวเขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเอาเปรียบคนตรงหน้ามาตลอดมันคงจะดีใช่ไหมที่ทำให้อีกคนแน่ใจในความรู้สึกของเขา

“คุณรู้ไหมครั้งแรกที่มาที่นี้ผมกลัวมากเลย ต้องมาอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคย พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมายแถมยังต้องมาเป็นเมียปีศาจอีก ทั้งที่คิดว่าตัวต้องใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาเท่านั้นแต่ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อผมเจอกับลูกแก้วสีแดงนั้น ตอนที่คุณบอกผมต้องมาเป็นคู่ครองคุณผมยังคิดอยู่เลยว่าเองฝันไปหรือเปล่า เป็นผมจริงๆ นะเหรอที่เป็นภรรยาราชาปีศาจอย่างคะ...”

“ฝันอะไรกันเล่า เอากันจนมีลูกถึงสองคนแล้วแท้ๆ หึหึ” เสียงทุ้มขัดขึ้นมา

“คุณ! อะ..ไอ้เขาควายบ้า” นึกโมโหจริงๆ อุส่าห์ทำซึ้งก็ยังมาขัด ไอ้ปีศาจบ้า ข้าวสวยนึกหงุดหงิดอีกคนกว่าจะรวบรวมความกล้าพูดออกมาได้ มาขัดกันซะได้งั้นก็ไม่ต้องฟังมันแล้ว มองหน้าคนรักอย่างนึกเคืองก่อนจะกระทืบเท้าใหญ่เข้าไปเต็มแรงให้หายหมั่นไส้แล้วเดินหนีออกมามือเล็กกระชับอ้อมกอดของลูกไว้แล้วเดินอย่างเร็วๆ

ทางคนถูกคนร้ายร้องเสียงดังกับความเจ็บที่ได้รับมันเบาๆ ซะที่ไหนกัน ไม่คิดเลยว่าเมียจะเท้าหนักขนาดนี้ ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ทันได้รู้ว่าอีกคนจะบอกอะไรเพราะความปากไว้แท้ๆ แบบนี้คงต้องง้อสินะ

“เจ้าต้องช่วยพ่อง้อแม่เจ้ารู้หรือไม่ ไดอาร์” อัสบัสบอกกับลูกในอ้อมแขนแต่เด็กน้อนทำเพียงนิ่งเฉยและเมินหน้าหนีราวกับต้องการบอกคนเป็นพ่อว่า ‘เขาไม่เกี่ยว’ คุณพ่อลูกสองหน้ายู้ทันทีแม้แต่ลูกยังไม่คิดจะช่วยเขาเลย

“เป็นอะไรพี่สวยหน้าบูดมาเชียว” ข้าวเจ้าเอ่ยถามพี่ชายที่พึ่งเดินขึ้นมาบนศาลา

“สงสัยจะงอนสามี” คนเป็นแม่เอ่ยแซวลูกตัวเอง

“แม่!”

“จริงซะด้วย หึหึ” เธอว่า

“ไม่ใช่สักหน่อย” เสียงสะบัดเถียง แล้วแบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไรกัน เธอสายหน้าอย่างหน่ายๆ ให้ลูกชาย เจ้าลูกเขยนี้ก็ไปทำท่าไหนให้คนโกรธยากอย่างข้าวสวยงอนได้นะ

“ไม่ก็ไม่ หลานยายมานี้มาลูก” ว่าทั้งอุ้มไอด้าออกจากมือลูกชาย เด็กน้อยผมส้มทองยิ้มโชว์เหงือกทันทีที่คนเป็นยายหยอกล้อ

“ท่านพี่กับไอดาร์เล่าพี่สวย” มิคาร์เอลที่กินขนมอยู่ถามขึ้นเมื่อไม่เห็นพี่ชายของตนมาพร้อมกัน

“ช่างตาบ้านั้นเถอะ กินอีกแล้วอ้วนเป็นหมูแล้วนะมิคาร์เอล” ข้าวสวยว่าล้ออีกคนที่วันๆ เอาแต่กิน

“ขะ...ช้าอ้วนเป็นหมูหรือ” พอได้ยินพี่สะใภ้ว่าเสียงเล็กก็เอ่ยถามคนรักที่อยู่ข้างๆ ทันที ปากเล็กเริ่มแบะออกอย่างกับจะร้องไห้

“มะ...ไม่ๆๆ เจ้าไม่ได้อ้วนแม้แต่น้อย สวยเดียวเถอะ” พูดปลอบคนรักเสร็จก็หันมาดุน้องชาย

“หึหึ พี่ล้อเล่น มิคาร์เอลไม่อ้วนหรอกไม่ร้องนะ” ว่าทั้งนึกตลกน้องชายที่ตอนนี้กลายเป็นว่าที่คุณแม่คนใหม่อีกคน ช่วงนี้เลยกินเยอะเป็นพิเศษ และอารมณ์แปรปรวนมากว่าอะไรนิดก็น้ำตาซึมถึงจะรู้แต่ข้าวสวยก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งอีกคนก็ตอนที่อ้อนคลูสมิคาร์เอลน่ารักจะตายทั้งที่ปกติไม่มีให้เห็นหรอกถึงคลูสจะดุแต่ทุกคนก็รู้ว่าลึกๆ ในใจนั้นดีใจแค่ไหนที่คนรักออดอ้อน

ข้าวสวยมองทุกคนที่อยู่ในศาลาแล้วก็ต้องยิ้มทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ใบหน้ายิ้มแย้มของแต่ละคนบอกถึงความสุขที่มีเขาเองก็เช่นกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ความรู้สึกนี้อยู่แบบนี้ไปตลอด

“คนใจร้ายเหตุใดไม่รอข้ากับลูก” เสียงของอัสบัสที่พึ่งมาถึงว่าคนรักอย่างน้อยใจ

“มันเรื่องของผม” ข้าวสวยตอบกลับ เขายังไม่หายโกรธอีกคนเลยนะ

“ไดอาร์ดูแม่เจ้า เขาไม่รักพวกเราแล้วเป็นแน่” บอกลูกน้อยในอกที่นอนนิ่ง แนะมีเฉยลูกคนนี้นิสัยเหมือนใครกันเย็นชาเสียจริง

“ไดอาร์มาหาแม่มาครับ” ข้าวสวยไม่สนใจคนตัวใหญ่หันมาอุ้มลูกน้อยแทน

“ข้าขอโทษ” เสียงใหญ่ร้องบอกคนรัก ก่อนจะส่งสายตาคาดโทษไปให้คนที่อยู่โดนรอบริอาจมาล้อราชาปีศาจอย่างข้า ข้าวสวยไม่ได้สนใจคนตัวใหญ่หันมาหยอกล้อกับลูกน้อยในอก ทำไมพี่ไดอาร์ถึงหน้านิ่งจังผิดกับไอด้าเลยเวลาหยอกล้อไอด้าชอบยิ้มโชว์เหงือก แต่ไดอาร์ทำเพียงหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่มือไม้ยังคงยกขึ้นเล่นตอบ ไปเอานิสัยใครมาโตขึ้นหวังว่าคงไม่หน้านิ่งเย็นชาไปหรอกนะ

“หายโกรธข้าเทิด”

“ผมไม่ได้โกรธอะไร” ที่บอกว่าไม่แสดงว่าโกรธจริงๆ

“ท่านพ่อข้าฝากลูกด้วย” ว่าทั้งแย่งลูกจากอกคนรักส่งให้ผู้ใหญ่ “ส่วนเจ้ามากับข้า” ว่าจบก็รั้งร่างเล็กให้เดินตามออกมา อีกคนก็โวยวายทันทีแต่ก็เดินตามคนตัวใหญ่มา

“ปะ...ปล่อยเลยนะ” มือเล็กสะบัดออก แต่ไม่หลุดกลับถูกร่างใหญ่ดึงเข้ามากอดแน่น จนต้องนิ่งอยู่เฉยๆ อ้อมแขนใหญ่โอบรัดร่างคนรักแน่นใบหน้าหล่อซุกไซ้ไปตามซอกคอเล็กอย่างต้องการสูดดมกลิ่มหอมๆ จากกายขาว

“ข้าขอโทษ ใยต้องโกรธข้ากัน ดวงใจของข้า” บอกก่อนจะรั้งใบหน้าเล็กขึ้นมารับจูบเบาๆ ที่ไม่ได้ลุกล่ำอะไรเป็นเพียงสัมผัสที่แผ่วเบาแต่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกคนที่ส่งมา

“ใครใช้ให้คุณขัดผมละ อุส่าห์รวมรวบความกล้าได้แท้ๆ คุณมันบ้าที่สุด” ว่าทั้งทุบอกคนรักไปแรงๆ แก้มขาวพองขึ้นทันทีเมื่อนึกถึง

“หึหึ ก็บอกข้ามาสิ สัญญาว่าคลานี้ข้าจะไม่ขัดเจ้าแม้แต่น้อย” มือใหญ่ลูบแก้มที่พองขึ้นอย่างเบามือเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อีกคนโดนขัดใจแก้มขาวๆ จะพองขึ้นมาให้น่าหยิก

“ไม่! ของดีมีครั้งเดียวคุณอยากทำมันหลุดเอง”

“อะไรกัน เจ้าไม่รักข้าแล้วหรือไร” เอ่ยอย่างน้อยใจทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่อย่างที่พูด

“ไม่ใช่สักหน่อย” เสียงเล็กสวนขึ้นมาทันที

“หึหึ งั้นก็บอกข้าสิ ว่าเจ้ารักข้าหรือไม่” คนรักเขาก็แบบนี้ต้องให้ใช้ไม้นี้ทุกที

“เอ่อ...” อยากจะตะโกนบอกคนตรงหน้าดังๆ ให้ได้รู้แต่ก็รู้สึกอาย เขาไม่ได้ใจกล้าเหมือนอีกคนเสียหน่อยที่จะพูดอะไรก็พูดขึ้นมาได้

“ว่าอย่างไรเล่า” นี้ก็เร่งจัง เข้าใจบ้างไหมว่าคนมันเขินให้ตายเถอะ ไอ้เขาควายบ้า มองสายตาคู่นั้นแล้วก็ต้องรีบหลบทำไมถึงต้องตั้งใจรอขนาดนั้น ถ้าหากเขาไม่บอกออกไปคงจะใจร้ายกับอัสบัสมากสินะ  มาคิดๆ ดูแล้วมันก็จริงอย่างอัสบัสว่าจะเขินอายทำไมในเมื่อมันคือความรู้สึกของตัวเราเองถ้าเราไม่บอกแล้วใครจะมาบอกให้เรา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างต้องการรวบรวมความกล้าเป็นไงก็เป็นกัน

“ผะ...ผมรักคุณ”

“เจ้าว่าอะไรนะข้าได้ยินไม่ชัดเลย” ความจริงแล้วมันชัดมากเพียงแค่อยากได้ยินคำว่ารักจากอีกคนอีกก็เท่านั้น

“ผมบอกว่าผมรักคุณไง ไอ้เขาควายบ้า” ต่อว่าแต่ปากเล็กกลับยิ้มไม่หยุด

“ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน ดวงใจของข้า” ปากหนาเลื่อนลงมาจูบคนรักอย่างหนักหนวงออยากจะกลืนกินอีกคนไปทั้งตัวไม่มีใครหอมหวานไปกว่าคนรักของเขาอีกแล้ว ใบหน้าหล่อมองคนรักนิ่งก่อนจะกระซิบบอกคำถามที่อีกคนสงสัยหนักหนาให้ใบหน้าขาวต้องขึ้นสีแดงระเรือง อยากจะบอกอีกคนเหลือเกินว่าลองไม่ใช่เขาดูสิจะอาละวาดให้โลกนี้แตกไปเลย “เจ้านี้แหละเมียข้า”

                อีกโลกที่มืดมิดมีเพียงชายร่างใหญ่ที่นั่งนิ่งนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ตนเองเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ในความมืดนี้ มองไปทิศทางใดมันก็ไร้ซึ่งแสงสว่าง ความหนาวเย็นที่ทำเอาเจ็บปวดไปสุดขั้วหัวใจอยากจะหนีไปจากที่ตรงนี้ให้ไกลแสนไกลแต่ร่างกายกลับไม่ทำอย่างที่ใจคิด ทั้งๆ ที่อยากจะลุกขึ้นแล้วก้าวเดินออกไปแต่ร่างกายยังคงหยุดนิ่งไม่ขยับคงเพราะลึกๆ ลงไปในใจเขาเองไม่กล้าที่จะก้าวเดินออกไปเนื่องจากความผิดที่ได้ทำมา ความผิดที่คอยกัดกินจิตใจมันทำให้เขานึกอยากจะหายไป แต่การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ไร้ตัวตน เขาต้องดีใจสินะที่จากทุกคนมาได้คนทำผิดอย่างเขาไม่ควรอยู่กับใครทั้งนั้น ความเจ็บปวดและทรมานคงเหมาะสมกับเขาที่สุด วันแล้ววันเล่าที่ต้องเจ็บปวดกับความโดดเดี่ยวและหนาวเหน็บโดยไม่รู้เลยว่าวันใดมันจะจบลง แต่แล้ววันหนึ่งความอบออุ่นที่แทรกเข้ามาก็ทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยวราวกับมีร่างกายอุ่นๆ ของใครอีกคนอยู่ข้างกัน  ความอบอุ่นนั้นค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความหนาวเหน็บ มันอุ่นซ่านไปทั้งใจแล้วค่อยๆ จางหายไปหากแต่มันก็กลับมาอีกครั้งในเวลาต่อมา ราวกับเป็นช่วงเวลาของมันจนเขาแทบอดทนรอเวลาที่ความอบอุ่นนั้นเข้ามาอีกครั้งเหมือนเช่นตอนนี้ไม่ไหวมันทำให้เขาอยากที่จะไปจากตรงนี้ไปหาต้นต่อของความอบอุ่น รอก่อนความอบอุ่นของข้า

.................................................................................

ในที่สุดก็มาสักทีตอนจบบบบบบบบบบบบบบ  จบจริงๆนะ ขอโทษที่หาไปนะคะ

เรื่องสุดท้ายก็ดำเนินมาถึงตอนจบตั้งโอ๋ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะที่อยู่กันจนมาถึงวันนับว่านานพอดู ตั้งโอ๋ก็ชอบหายหัว อิอิ อันนี้เขาขอโทษน่าาาาา ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกคอมเม้น ขอบคุณทุกการรอค่อย ตั้งขอขอบคุณจริงๆ นะคะ สุดท้ายนี้ตั้งโอ๋อยากบอกทุกคนว่ารักทุกคนมากๆๆนะคะ ถ้าไม่มีคนอ่านทุกตั้งโอ๋ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีแรงแต่งจบหรือเปล่า เพราะกำลังใจจากทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของตั้งโอ๋ที่คอยผลักดันให้ตั้งโอ๋ได้มีแรงบันดาลใจและกำลังใจในการแต่ง ตอนนี้พูดยาวจังเยยยยย พอจบแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะคะเนี้ย ตั้งโอ๋กำลังคิดอยู่ว่าตอนพิเศษจะมีดีหรือเปล่ายังไงก็ช่วยบอกด้วยนะคะถ้าอยากให้มี แต่เอาจริงๆ แล้วตั้งโอ๋ตั้งใจว่าจะแต่งอยู่แล้วละค่ะ อิอิ แค่เรียกร้องความสนใจ อิอิ งั้นเอาไว้แค่นี้นะคะ รู้สึกตัวเองพูดมากจังเลย

อ่อ ลืมเลยยยยยยย

ตั้งโอ๋ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ  เรื่อง  ดวงใจในสายลม ใครชอบเด้กๆ ก็ไปอ่านกันได้เลยจะบอกว่าถ้าคุณได้อ่านแล้วคุณจะหลงรักลูกคู่ เหมือนอย่างที่ตั้งโอ๋รักนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ บายบายยยยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด