King of love ตอนที่ 24
“ข้าวสวย” เสียงเอ่ยเรียกคนรักเมื่อรู้สึกมือน้อยๆในอุ้งมือขยับเล็กน้อย ข้าวหลับไปห้าวันแล้วหลังจากเรื่องวันนั้น อัสบัสเองก็พึ่งฟื้นขึ้นเมื่อสองวันก่อนเช่นกัน
“ข้าวสวย” อัสบัสเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนรักที่นอนอยู่ยังคงหลับสนิท ใจของอัสบัสอยู่ไม่เป็นสุขแม้แต่นอนยามตื่นขึ้นมาแล้วรับรู้ว่าคนรักยังคงน้อยหลับใหล แม้อาการของข้าวไม่น่าเป็นห่วงมากแล้วก็ตามแต่คนตัวเล็กกลับยังคงไม่ตื่นขึ้นมันทำให้อัสบัสกังวลเป็นอย่างมาก ยิ่งนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นใจแทบสลายเมื่อเห็นร่างของคนรักถูกกลุ่มหมอกนั้นก่อนจะล้มลงในตอนนั้นอัสบัสไม่รูว่าจะทำอะไรเลยมันรู้สึกมืดมิดไปหมดทุกด้านใจแทบใจสิ้นอยู่ตรงแต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของข้าวสวยมันกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาดและอยู่ๆตัวข้าวสวยก็เรืองแสงสีทองออกมาจนกลุ่มหมอกสีดำนั้นจางลง ยอมรับเลยตอนนั้นตกใจอย่างมากแต่ด้วยความเป็นห่วงคนรักอัสบัสก็ไม่ได้คิดอะไร แต่จู่ๆ ร่างของข้าวสวยที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นกำลังลอยขึ้นจนหลุดจากมมือในที่สุด มันทำให้อัสบัสกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก แต่แล้วร่างกายใหญ่โตองเขานี้ก็ลอยขึ้นตามคนรักมาอัสบัสพยายามบังคับตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย และแปลกใจขึ้นมาอีกเมื่อร่างของอาเทอร์ก็ลอยขึ้นมาด้วยเช่นกันจนตอนนั้นทั้งสามยืนประจันหน้ากันทั้งสามถูกล้อมลอบไปด้วยแสงสีทองที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อัสบัสมองข้าวสวยอย่างนึกเป็นแต่ได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดในสายตาของอัสบัส มือเล็กทั้งสองค่อยๆยกขึ้นก่อนจะกอบกุมที่หน้าอกก่อนจะหลับตาลง และตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ตราแสงแห่งราวินทรามันเหมือนกับกำลังดันตัวเองออกจากตัวของเขา ทงอาเทอร์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน จนแล้วจนเล่าตราที่ตัวของทั้งสามก็ค่อยๆลอยขึ้นมามันทำให้รู้ว่าตรานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวอีกต่อ และหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยเพราะสายตาดับลงพร้อมกับตราทั้งสามที่พุ่งเข้าหากัน มารู้อีกทีก็วันที่ตื่นขึ้นมา
“อัส…บัส” เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกทำให้อัสบัสหลุดจากภวังค์ “ข้าวสวย เจ้าฟื้นแล้ว อย่าพึ่งขยับตัวเลย” อัสบัสทั้งตกใจและดีใจที่คนรักตื่นขึ้นมาแต่ก็ต้องห้ามให้ขยับเพราะพึ่งฟื้นขึ้น
“ผมเป็นอะไร ละ…แล้วลูกละยังอยู่กับผมไหม” ข้าวสวยถามขึ้นเพราะยังรู้สึกมึนๆอยู่ แต่เมื่อนึกทบทวนก็ต้องตกใจจำได้ว่าวันนั้นตัวเองวิ่งไปรับกลุ่มหมอกสีดำและมันก็พุ่งถูกท้องพอดีมันเจ็บมากแทบขาดใจเจ็บใจพูดไม่ออกยิ่งเห็นสายตาเจ็บปวดของอัสบัสยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานทำได้เพียงส่งนิ้มไปให้คนรักตรงหน้าในตอนนั้นข้าวสวยคิดว่าจะไปรอดแล้วเสียอีกได้แต่ภาวนาให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างรู้เพียงเสียงของหัวใจตัวเองที่พร่ำบอกว่าขอให้เรื่องราวทุกอย่างมันจบลงเสียที “อยู่…ลูกยังอยู่กับเรา เจ้าอย่าได้ห่วงเลยพวกเขายังอยู่ดี” อัสบัสว่า
“โอ๊ย!”
“เจ้า…อย่าพึ่งขยับแรงกระแทกวันนั้นมันเลยทำให้เจ้ายังเจ็บอยู่ หมอหลวงบอกว่าให้อยู่นิ่งๆสักระยะหนึ่ง” อัสบัสบอกกับคนรักที่พยายามกำลังลุกขึ้นแต่ก็ต้องร้องขึ้นมาเสียงดังเพราะเจ็บที่หน้าท้อง
“แต่มันเป็นแบบนี้ ลูกผมจะไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม” ข้าวสวยทำขึ้นอย่างกังวล
“ลูกเราไม่เป็นอะไร เจ้านอนนิ่งๆเถอะนะ” ถึงจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่อัสบัสเองก็กังวลไม่น้อยเหมือนกัน นับว่าพวกเขาทั้งสองโชคดีที่ลูกยังอยู่กับพวกเขา
“แต่ผมนอนจนเบื่อแล้ว”
“ถึงเบื่อเจ้าก็ต้องอดทนเพื่อนแฝดในท้องของเจ้า” คำพูดของอัสบัสเรียกสายตาของคนฟังให้ต้องรีบหันมองทันที
“แฝด…คุณหมายความว่ายังไง” ข้าวสวยตกใจมากับคำพูดของอัสบัส และงงมากจริงๆว่าอัสบัสจะสื่ออะไรอีกใจก็อย่างคิดไปว่าตนเองจะมีลูกแฝดก็อดจะดีใจไม่ได้ แต่พอมาคิดอีกทีมันจะเป็นไปได้หรือ
“ก็ลูกของเราอย่างไรเล่า” อัสบัสบอกทั้งรอยยิ้ม
“คุณพูดจริงๆเหรอ”
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไมเล่า ในท้องนี้มีเด็กตัวน้อยสองคนหมอหลวงบอกตอนมาตรวจเจ้า” ว่าทั้งยกมือขึ้นมาจับกุมท้องของข้าวสวยที่เริ่มนู้นขึ้น วินาทีที่รู้ว่าตนจะเป็นพ่อนั้นดีใจมากแต่ก็ต้องดีใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกถึงสองคน
“จริงเหรอ” ข้าวสวยเอ่ยขึ้นแผ่วเบาพร้อมกำยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจจนน้ำตาตีตื่นขึ้นมาที่ขอบตา มือเล็กค่อยเลื่อนขึ้นไปลอบท้องของตนเองที่มีมือใหญ่ของอีกคนวางอยู่ ทั้งสองปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในห้วงของความรู้สึกแม้จะไม่พูดอะไรกันต่อแต่ก็รับรูได้ถึงความรักและความสุขที่ทั้งสองต่างมีให้กันรวมถึงเด็กตัวน้อยในท้องตัวเช่นกัน หากใครมองมาก็ต้องยกยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ภาพชายหนุ่นตัวเล็กที่นอนลูบท้องของตนเองพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขข้างๆ กันก็มีชายร่างสูงนั่งเอามือกุมท้องทั้งส่งยิ้มให้กับคนบนเตียงนอน แม้พึ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมาแต่ทั้งสองก็พร้อมยิ้มสู้เมื่อสิ่งตรงหน้าตอนนี้มันทำให้มีความสุขมากซึ้งมากพอที่จะทำให้ลืมเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา ข้าวสวยนอนรักษาตัวอีกหลายวันจนตอนนี้ก็แข็งแรงดีแล้วสามารถขยับตัวได้เหมือนเดิมไม่รู้สึกเจ็บบริเวณท้องอีกแล้ว
“คุณผมอยากอาบน้ำ”บอกกับคนรักที่นั่งอยู่ข้างกัน ข้าวสวยรู้สึกอยากอาบน้ำมากเพราะตลอดเวลาที่นอนปวดอยู่นั้นทำเพียงเช็ดตัวเท่านั้นมันเลยรู้สึกเหนียวตัว และในเมื่อเขาเองก็หาดีแล้วก็เลยอยากที่จะอาบน้ำ
“เดี๋ยวข้าพาไป” ข้าวสวยทำเพียงพยักหน้ารับ อัสบัสก็เดินเข้ามาประครองทั้งที่ความจริงไม่ต้องแต่ด้วยความที่เป็นห่วงเลยอดไม่ได้ ข้าวสวยพยายามปฏิเสธหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลจนสุดท้ายได้แต่ปล่อยไปอยากทำอะไรก็ทำดีเสียอีกข้าวสวยเองจะได้ไม่เหนื่อย
“คุณแล้วทุกคนละ” หลังจากอาบน้ำเสร็จกลับมาที่ที่ห้องข้าวสวยก็เอ่ยถามถึวคนอื่นๆทันทีมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะยิ่งกับคนเป็นพ่อเป็นแม่
“ทุกคนปล่อนภัย”
“พ่อกับแม่ผม…เอ่อ…อยู่ที่ไหนเหรอ พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ที่ถามเพราะเป็นห่วงครั้งหนึางข้าวสวยเคยเสียพ่อและแม่ไปแล้วเขาเองแค่ไม่อยากเสียพวกเขาไปอีกถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่อวราวเป็นมายังแต่ก็ดีใจที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่
“พวกท่านปลอดภัยดีอย่าห่วงเลยประเดี๋ยวก็คงมาหาเจ้า”
“ครับ แล้วอาเทอร์ละครับ” ถามหาอีกคนที่มีชะตาร่วมกัน ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรอาเทอร์เพราะอย่างไรต้นเหตุของเรื่องก็มาจากตนเองด้วยเหมือนกัน
“ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย” อัสบัสบอก ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นทั้งสามต่างหมดสติไปหลายวันมีเพียงอัสบัสที่ฟื้นขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยข้าวสวยคงมีก็แต่อาเทอร์ที่ยังไม่ฟื้นขึ้นทั้งที่ร่างกายไม่ได้บาดเจ็บอะไรหมอหลวงเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะสาเหตุอะไรที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ที่ผ่านมาอาเทอร์จะร้ายแต่นั้นก็สหายแม้จะไม่ใช่ในชาตินี้แต่สายสัมพันธ์นั้นยังคงมีอัสบัสเองก็ไม่ได้นึกโกรธกับเรื่องที่อีกคนทำเพราะอย่างไรเสียอัสบัสก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ข้าวสวยและอัสบัสต่างปล่อยวางกับเรื่องนี้ก็รอเพียงอาเทอร์ที่ไม่รู้ว่าจะละทิ้งเรื่องนี้ให้มันผ่านไปและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใหม่อีกครั้งได้หรือไม่
“ทุกอย่างมันจะจบไหมครับ” ข้าวสวยถามขึ้นอย่างนึกกังวล
“ข้าก็หารู้ไม่ แต่ก็หวังว่าทุกอย่างมันจะยุติเพียงเท่านี้”
“เอ่อ…คือ” อย่างถามออกไปแต่ข้าวสวยก็นึกหวั่นใจ “เจ้ามีอะไรรึ” เมื่อเห็นอาการอึกอักของอีกคนก็อดถามไม่ได้
“คือ…ปานที่หน้าอกผมมัน…มันไม่มี” เพราะสังเกตเห็นตอนอาบน้ำเลยคิดว่าเก็บมาถามกับอัสบัสคงจะดีกว่า มันน่าแปลกที่ปานที่ติดตัวเรามาแต่เกิดอยู่ๆ มันก็หายไป
“ตรานั้นหรือ” อับัสถามขึ้นมาเสียงแผ่ว
“อืม” “ของข้าก็หายไป” เสียงแผ่วตอบกลับมาอีกครั้ง
“ตรงนี้ของคุณนะหรือ” ว่าพร้อมกับยกมือขึ้นวางบนอกแกร่งจุดที่เป็นที่อยู่ของตราแสงแห่งราวินทรา
“อืม” ตอบรับทั้งยกมือขึ้นกุมมือเล็กที่ทับอยู่บนหน้าอก
“ทำไมกัน”
“ข้าเองก็หารู้ไม่”
“แล้วมันจะไม่เป็นอะไรเหรอ เพราะตรานี้มันถึงทำให้ผมพบกับคุณ มันเป็นเหมือนพันธะที่ทำให้เราหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง” นึกหวั่นใจไม่น้อย ข้าวสงยคิดไม่ตกถ้าตราทั้งสองนี้หายไปก็หมายความว่าจุดเชื่อมโยงของเขาทั้งสองนั้นได้หายไปถ้าไปรู้สึกอะไรกับคนข้างๆจะไม่นึกเสียดายเลยแต่นี้ข้าวสวยบอกได้เต็มปากเลยว่ารักคนข้างกายนี้มากเหลือเกิน
“ช่างประไร ถึงตราแสงแห่งราวินทราและหยาดน้ำแห่งจันทราจะหายไปก็ไม่ได้หมายความว่ารักของเราจะเปลี่ยนไป ถ้าตราทั้งสองคือพันธะที่ทำให้เราได้พบเจอและรักกันในวันนี้มันหายไปเราแค่สร้างพันธะใหม่ด้วยใจเราทั้งสองข้าเชื่อว่ามันแนบแน่นยิ่งกว่าเสียอีก” คำพูดพรั่งพรูออกมายึดยาวอัสบัสคิดอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรเสียพันธะใดเหล่าจะสู้พันธะใจ
“ก็จริงของคุณ ให้ใจเราเป็นพันธะของกันและกันไม่ว่าเมื่อไรมันก็จะเกี่ยวกันเสมอ” ตาสองตาผสานเข้าด้วยกันอย่างต้องการบอกความรู้สึกให้กัน
“สวีทกันอยู่เหรอ” เสียงจากหญิงสาววัยกลางกันเรียนให้ข้าวสวยและอัสบัสต้องละสายตาออกจากกัน
“แม่! สวยเปล่าสักหน่อย” ปากบอกว่าเปล่าแต่หน้าขึ้นสีแดงระเรืองอย่างเห็นได้ชัดแล้วจะบอกว่าเปล่าได้ไงกัน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร มีสามีแล้วยังจะมาเขิน”
“แม่!” เธอก็แค่แกล้งแหย่ลูกชายเล่นเพียงเท่านั้นเห็นลูกดูร่าเริงก็สบายใจ
“แกล้งอะไรลูกอีกละถึงได้เสียงดังไปข้างนอกเลย”
“พ่อ แม่แกล้งสวย” เห็นคนเป็นพ่อเดินเข้ามาข้าวสวยก็รีบฟ้องทัน
“ฉันเปล่า” รีบบอกกับสามีทันทีที่ถูกมองมา ชายหนุ่มได้แต่สายหน้าให้กับการกระทำของภรรยาตัวเอง ลูกชายก็ด้วยเหมือน
“เป็นยังไงบ้างลูก” เลิกสนใจกับเรื่องก่อนหน้าหันมาถามอาการของลูกชายแทน
“ดีขึ้นมากแล้วละครับ” ตอนนี้แทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแล้วคงมีก็แต่ตรงช่วงท้องที่ยังมีอาการอยู่เมื่อขยับตัว “พ่อกับแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ข้าวสวยไม่ลืมที่จะถามอาการของท่านทั้งสอง
“พ่อกับแม่ไม่เป็นอะไร” คนเป็นพ่อบอก
“ไม่ต้องห่วงพ่อกับหรอกห่วงตัวเองดีกว่า ลูกไม่เป็นอะไรแน่นะ แล้วหลานแม่ยังอยู่ดีใช่ไหม” หญิงสาวถามลูกชายด้วยความห่วงไหนจะหลานอีกสองคนในท้องอีก ครั้งแรกที่รู้ว่าลูกชายคนโตกำลังท้องก็อดตกใจไม่ได้แต่พอมาคิดดูมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอย่างไรเสียปีศาจอย่างพวกเธอก็มีโอกาสได้ทั้งนั้นยิ่งเป็นข้าวสวยที่ทำพันธะสัญญารักกับอัสบัสก็เป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องน่ายินดีและเธอก็ดีใจมากที่กำลังจะมีหลาน
“แม่รู้ด้วยเหรอครับ”
“รู้สิลูกเขยแม่เป็นคนบอกเอง” ว่าทั้งส่งสายตาล้อเลียนให้ลูกชายที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมด
“แม่! สวยไม่คุยกับแม่แล้ว” ข้าวสวยพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าหนี คนเป็นแม่ทำเพียงยิ้มอย่างสนุกที่ได้แหย่ลูกชาย ยิ่งเห็นอาการงอนของลูกก็ยิ่งสนุกรู้ดีว่าที่ลูกพูดมานะทำไม่ได้หรอก
“แม่กับพ่อไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” เสียงที่เอ่ยถามเรียกร้อยยิ้มของทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี คนเป็นแม่ยิ้มรับเห็นไหมเธอบอกแล้วว่าลูกชายเธอนะทำไม่ได้อย่างที่พูดหรอก
“แข็งแรงดีทุกอย่างจ๊ะ” เธอตอบลูกชายก่อนจะเดินมานั่งข้างๆข้าวสวยที่เคยมีอัสบัสนั่งอยู่ก่อนจะลุกให้เธอนั่งแทน
“คิดถึงพ่อกับแม่จังเลยครับ ฮึก สวยไม่คิดว่าจะ ฮึก ได้เจอกันอีก ดีจัง ฮึก เลย” ข้าวสวยพูดทั้งสะอื้นเอี้ยวตัวไปกอดผู้เป็นแม่แน่น
“ไม่ร้องสิโตแล้วนะ แม่ก็ดีใจที่ได้พบลูกอีกครั้ง” เธอว่าทั้งยกมือขึ้นลูบหลังของลูกชายเบาๆ เป็นการปลอบ คนเป็นพ่อก็ไม่ได้นิ่งเฉยมือใหญ่ที่มีร่องรอยของกาลเวลาว่าอายุเขานั้นผ่านมากครึ่งค่อนชีวิตแล้วค่อยๆ ลูบลงบนเส้นผมสีทองสวย ข้าวสวยรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของมือสองคู่นี้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน
อัสบัสจ้องมองภาพของทั้งสามแล้วอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้น และเขาเชื่อว่าหากใครมาเห็นก็คงรู้สึกเฉยเดียวกับเขา ความรักของครอบครัวมันยากจะหาอะไรมาบรรยาย อัสบัสปล่อยให้ทั้งสามได้อยู่ด้วยกันส่วนตนเองก็ยืนดูอยู่เงียบๆ บ้างก็นึกเป็นห่วงคนรักที่ร้องไห้ไม่หยุด
“พ่อกับแม่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี้ได้ละก็ในเมื่อ...” หลังจกสงบสติอาราณ์ได้ข้าวสวยเอ่ยถามเรื่องที่สงสัยขึ้นมาทันถึงจะไม่อยากพูดถึงเองนั้นก็ตาม
“มันก็ค่อนข้างยาวเหมือนกันนะ แม่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี” เธอพูดตามที่คิด
“เอาเป็นว่าวันนั้นพ่อกับแม่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจนตายแต่ถูกพามาที่โลกนี้แทน อาเทอร์มันจับตัวมาเพราะมันต้องการลูกก็เท่านั้น” คนเป็นพ่อบอกขึ้นมาแทน เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากเพราะอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วไม่อยากให้ต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีกบางเรื่องไม่รู้เลยไม่คงจะดีกว่า แต่ยังคงมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ข้าวสวยจะต้องรู้นั้นก็คือต้นกำเนิดของตัวเองแต่ทั้งเขาและภรรยาตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้จะให้อัสบัสเป็นบอกกับข้าวสวยเพราะไม่อยากเห็นข้าวสวยโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ขึ้นในครอบครัว
“เอ่อ...”
“บ้างเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านเถอะลูก เรื่องบางเรื่องไม่รู้มันคงจะดีกว่านะ” คนเป็นพ่อบอกกับลูกชายเมื่อเห็นว่าจะเอ่ยถามขึ้นอีก
“แม่ว่าลูกพักผ่อนดีกว่าจะได้แข็ง พ่อกับแม่ไม่กวนแล้ว” เธออยากให้ลูกชายพักผ่อนจริงๆ ยิ่งท้องไส้อยู่แบบนี้การพักผ่อนเป็รเรื่องที่ดี
“อัสบัสพ่อฝากดูข้าวสวยด้วยนะ พ่อกับแม่ไปละ” ชายหนุ่มหันไปบอกกับลูกเขยก่อนจะบอกลาลูกชายตัวเอง ถึงแม้อัสบัสมีศักดิ์เป็นถึงราชาของโลกปีศาจนี้ก็ตามแต่ก็ให้การปฏิบัติต่อพ่อแม่ของข้าวสวยอย่างคนทั่วไปเพราะพ่อแม่ของข้าวสวยก็เหมือนกับพ่อแม่ของเขาด้วยเหมือนกันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกยศศักดิ์กัน
ตอนนี้พ่อและแม่ออกไปแล้วทำให้ในห้องเหลือเพียงข้าวสวยและอัสบัสสองคน อัสบัสจัดการให้ข้าวสวยได้นอนพักผ่อนอีกสักหน่อยเพราะหน้าตาอ่อนเพลีย
หลายวันผ่านมาแล้วจากวันที่ฟื้นขึ้นมาตอนนี้ข้าวสวยแข็งแรงดีอาจจะมีอ่อนเพลียบ้างพราะอาการแพ้ท้องที่คิดว่าหายไปแล้วแต่มันยังมีอยู่ และวันนี้ก็รู้สึกเวียนหัวอยู่หลายครั้งเลยขอให้อัสบัสพาออกมาเดินเล่นในสวน
สายลมที่พัดมามันไม่แรงมากนักทำให้รู้สึกดี กลิ่นของดอกกุหลาบสีฟ้าที่แบ่งบานอยู่ไม่ได้ทำให้ข้าวสวยรู้แย่เหมือนแต่ก่อน ทำให้อาการเวียนหัวทุเลาลงไปได้มากเลยที่เดียว
อับัสพาข้าวสวยมานั่งตรงศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้า นับว่าที่น้เป็นที่ที่ข้าวสวยชอบมากที่สุดเพราะมันให้ความรู้สึกว่าตัวเรากำลังอยู่บนท้องฟ้ากว้าง
“ผมลืมชวนข้าวเจ้ากับมิคาร์มาด้วย”
“สองคนนั้นคงไม่ว่ามากับเจ้าหรอก หึหึ” อัสบัสว่าติดตลก
“ก็จริงของคุณ” พูดถึงก็นึกอยากจะงอนน้องชายทั้งสองที่ตอนเอาแต่มาคนรักไม่ห่าง เมื่อสองวันก่อนทั้งได้บอกับทุกคนแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าวเจ้าจะชอบกับรีฟเฟอร์ทั้งที่รีฟเฟอณ์เป็นคนนิ่งและดูน่ากลัวยังสงสัยอยู่เลยว่ารีฟเฟอร์ทำยังไงให้ข้าวเจ้าชอบได้ ยิ่งมิคาร์เอลกับคลูสนี้หน้าตกใจมากเข้าไปอีกก็เห็นมิคาร์เอลชอบโวยวายและด่าว่าคลูสตลอดก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าไปชอบกันตอนไหนถึงตอนที่ถูกอาเทอร์จับตัวไปจะรู้สึกว่ามิคาร์เอลเป็นห่วงคลูสมากอย่างผิดปกติแต่ก็ไม่เวลาสนใจกับเรื่องนั้น
“รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่” เพราะเป็นห่วงเลยต้องค่อยดูแลและถามไถ่คนตัวเล็กตลอด
“ดีขึ้นมากเลยครับรู้สึกสดชื่นดี” ว่าพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าแรงๆ
“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดีให้รีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่”
“ครับๆ” ข้าวสวตอบรับพอผ่านๆ นับวันอัสบัสยิ่งดูแลดีมากมากจนข้าวสวยนึกเคืองเพราะจุกจิกในทุกเรื่อง แต่เพราะเข้าใจว่าอีกคนเป็นห่วงเลยไม่ได้ขัดอะไร
ทั้งสองต่างนั่งกันเงียบๆ ไม่มีใครเอ่ยอะไรมีเพียงสองมือที่กอบกุมกันไว้เท่านั้น บ่อยให้เวลามันผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกในใจ นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายเดือนที่ผ่านมาทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะทิ้งสิ่งไม่ดีมันออกไปให้มันคงเหลือแต่สิ่งดีๆใจเราจะได้เป็นสุข
“เจ้าอยากจะร็เรื่องชาติกำเนิดของเจ้าเองหรือไม่” เสียงทุ่มเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา
“ชาติกำเนิดของผมนะเหรอ” ถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่ค่อยยแน่ใจ
“อืม”
“ทำไมละครับ ผมก็เกิดมาจากพ่อกับแม่ไง แต่ทำไมคุณพูดเหมือนมันมีอะไร” อยู่ๆ มาเจอคำถามนี้ก็อดสงสัยไม่ได้
“ใช่เจ้าเกิดจากท่านพ่อและท่านแม่ แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้น”
“อะไรคือที่มากว่านั้น คุณทำผมงงนะ”
“เจ้าเคยสงสัยไหมทำไมมณีจันทราถึงเลือกเจ้าเป็นภรรยของข้า” คนถูกถามสายหน้าไปมา “แต่ข้าสงสัยกับเรื่องนี้เพราะมณ๊จันทรไม่เคยเลือกคู่ครองที่เป็นมนุษย์เลตั้งแต่อดีตกาลจนข้าได้พบกับตราหยาดน้ำแห่งจันทราบนตัวเจ้าข้าถึงได้รู้ว่าทำไม”
“เพราะผมคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา” ข้าวสวยตอบขึ้น
“มันก็ใช่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ตราที่เป็นของเราเหล่าชาวปีศาจมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปปรากฏบนตัวของมนุษย์”
คำพูดของอัสบัสทำให้ข้าวสวยนึกสับสน อัสบัสพูดเหมือนกับว่าตัวเขาไม่ใช่มนุษย์แต่นั้นมันจะเป็นได้ยังไงก็ตั้งแต่เล็กจนโตจำได้ว่าอยู่ที่โลกมนุษย์มาตลอด
“คุณกำลังจะบอกอะไรผมกันแน่”
“ข้ากำลังบอกเจ้าว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจัทรานั้นเป็นชาวโลกปีศาจหาใช่มนุษย์” ข้าวสวยพยายามคิดถามสิ่งที่อัสบัสพูด ถ้าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราคือปีศาจแสดงว่าเขาที่เป็นผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราก็ต้องเป็น...
“ปีศาจ! คุณกำลังจะบอกผมเป็นปีศาจเหรอ” เอ่ยขึ้นเสียงดังเพราะตกใจกับความคิดของตัวเอง
“ถ้าข้าบอกว่าใช่เจ้าจะทำอย่างไรเล่า” อัสบัสถามอย่างลองเชิง แต่อีกคนกลับเงียบคิ้วสวยขมวดเขาหาจนมันแทบจะพันกันมือที่เคยจับกันก็ถุกปล่อยออกไม่กุมมือตัวเองที่หน้าตัก
อัสบัสรู้ดีว่าข้าวสวยคงตกใจที่อยู่ๆ ก็มารับรู้เรื่องนี้แต่มันเป็นเรื่องที่ข้าวสวยจำเป็นต้องรู้อัสบัสจึงต้องพูดมัน
“คุณพูดจริงๆ เหรอ” เสียงแผ่วเบาถามขึ้นมา จะให้ข้าวสวยเชื่อมันก็ยังไงอยู่มันสับสนมันกังวลและกลัว ถ้าตนเองเป็นปีศษจแล้พ่อ แม่ และน้องชายละเป็นปีศษจด้วยไหมหรือแค่เขาคนเดียวแต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเขาไม่ใช่ลูกของพ่อและแม่จริงๆ พอคิดได้แบบนี้ก็นึกกลัวขึ้นมากับความจริงนี้
“มันคือเรื่องจริงที่เจ้าต้องรู้” เพราะมันคือชาติกำเนิดของข้าวสวยเอง ดังนั้นข้าวสวยจำเป็นต้องรู้มันแม้จะยากที่จะยอมรับก็ตาม
“สะ...แสดงว่าผมไม่ใช่คน ผมไม่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่ ไม่ได้เป็นพี่ชายของข้าวเจ้าใช่ไหม” ข้าวสวยเอ่ยถามขึ้นเสียงสั่นน้ำตาตีตื้นขึ้นมาที่ขอบตาจนมันแทบจะร่วงลงมา
“ไม่เลย…” พูดแค่นี้น้ำตาของข้วสวยก็ไหลออกมาทันทีไม่อยากจะรับฟังต่อ “อย่าร้องไห้ เจ้าฟังข้าเจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจ และที่สำคัญเจ้าเป็ฯลูฏของท่านพ่อและท่านแม่จริงๆ” อัสบัสนึกโมโหตัวเองที่ทำให้คนรักร้องไห้เพราะคำพูดที่มันสื่อไม่ชัดเจน
“แต่พ่อกับแม่ไม่ใช่ปีศาจ ฮึก นะคุณ” เถียงขึ้นมาทั้งยังสะอื้นจนอัสบัสนึกอยากจะตีสักทีกับการคิดเองเออเอง
“แล้วถ้าไม่ใช่ปีศาจจะให้บุตรที่เป็นปีศาจได้อย่างไรเล่า เจ้านี้คิดไปถึงไหนกัน”
“เอะ! คุณว่าไงนะ” ข้าวสวยนึกท้วนคำพูดอีกครั้งแต่คำตอบที่ได้คือมันจริงอย่างอัสบัสพูด “พ่อ แม่ และเจ้าก็เป็นคนของโลกปีศาจเหรอ” ข้าวสวยรีบเช็ดน้ำตาแล้วถามอีกคนทันที
“ก็ใช่อย่างไรเล่า พวกเจ้าทั้งครอบครัวคือคนของโลกปีศาจ เป็นพวกเดียวกับข้า แต่ด้วยมีเหตุให้ครอบครัวเจ้าต้องไปอยู่ที่โลกมนุษย์”
“ทุกคนสินะไม่ใช่แค่ผม” พอได้ยินแบบนี้ก็ค่อยยิ้มขึ้นมาได้ข้าวสวยกลัวมากกลัวว่าตนเองจะไม่ใช่ลูฏของพ่อกบแม่และไม่ใช่พี่ชายของเจ้าถ้าเป็นแบบนั้นก็เสียใจมากน่าดูก็ตั้งแต่จำความได้ก็มีพ่อและแม่รวมทั้งข้าวเจ้าท่อยู่ด้วยกันมาตลอดมันเป็นเหมือนครอบครับ แต่ถ้าเขาไม่ใช่ลูกมันก็จะไม่มีความว่าครอบครัวนี้ข้าวสวยเลยกลัวและกังวล
“ใช่ มันไม่ใช่แค่เจ้า เพราะอย่างนั้นเลิกคิดมากเสีย” อัสบัสบอกทั้งยกมือใหญ่วางบนกลุ่มผมสีทองก่อนจะโยกหัวเล็กไปมา
“ปล่อยเลยนะ ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย” ข้าวสวยโวย
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ช่างดื้อเหมือนกันนัก ไม่รู้ว่าลูกจะซึมซับไปด้วยหรือเปล่าความดื้นนี้” อัสบัสว่าติดตลกเลยได้สายตาค้อนวงใหญ่กลับมา
“ผมไม่คุยกับคุณและนิสัยไมดี” ข้าวสวยว่าคนรักแก้มขาวๆป๋ฮงขึ้นทันทีบ่งบอกว่ากำลังงอน ก่อนจะเดินออกจากศาลามาทิ้งให้อัสบัสยืนยิ้มบ้าอยู่คนเดียว
“รอข้าด้วย เจ้าจะรีบเดินไปไหนเล่า” อัสบัสร้องบอกก่อนจะรีบก้าวเดินตามคนรักไป
ช่วงขาสั้นของข้าวสวยนั้นสู้ขายาวๆอย่างอัสบัสไม่ได้อยู่แล้วอัสบัสก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็ตามทันคนรัก แต่ข้าวสวยกลับไม่สนใจอัสบัสพยายามตามง้องอนคนรักที่เอาแต่เดินหนีถ้าใครมองคงนึกขันไม่น้อยที่คนอย่างราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่วิ่งไล่ตามคนรักที่กำลังง้องอน
ข้าวเองก็ไม่ได้นึกเคืองอะไรมากก็แค่เพียงแกล้งอัสบัสกลับก็เท่านั้นที่มาบอกว่าเขาดื้อแถมยังมาว่าลูกว่าจะเกิดมาดื้นเหมือนเขาอีก แต่สุดท้ายก็แกล้งไม่ได้นานต้องแพ้ทางให้กับอัสบัสทุกครั้งไป
“หายง้อข้าแล้วใช้หรือไม่” อัสบัสว่าทั้งยืนกอดคนรักแน่น
“อืมมม” ตอบตกลงไปอย่างจำยอม เพราะอีกคนเอาแต่กอดแน่นแถมยังมาบอกอีกว่าถ้าไม่หายงอนก็จะกอดอยู่อย่างนั้นแล้วแบบนี้จะให้ข้าวสวยทำยังไงได้นอกจากยอมอีกคน เป็นแบบนี้ทุกทีเลย
“ดีมาก” ว่าทั้งก้มลงหอมแก้มคนรักและผลักออกอย่างรวดเร็ว ข้าวสวยทำได้เพียงส่งสายตาค้อนให้กับคนฉวยโอกาส “กลับตำหนักกัน” อัสบัสเอ่ยชวนทั้งรอยยิ้ม
“ผมอยากไปเยี่ยมอาเทอร์” ข้าวสวยรั้งมืออีกคนที่กำลังจะก้าวเดิน
“เมื่อวานเจ้าพึ่งไปมาไม่ใช่หรือ” ไม่ใช่แค่เมื่อวานแต่ก่อนหน้านี้ก็ไปมาแล้วด้วยเหมือนกันใจคอจะไปทุกวันเลยหรือไงกัน
“ก็ผมสงสารเขา ถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใครคงจะรู้สึกไม่ดี” อย่างไรเสียอาเทอร์ก็เพื่อนคนหนึ่งข้าวสวยทิ้งไม่ได้จริงๆ อัสบัสก็เหมือนกันเขาไม่มีทางทอดทิ้งอาเทอร์ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ไปกับข้าวสวนทุกครั้งแถมยังไปมากกว่าข้าวสวยอีก ตอนนี้อาเทอร์น่าเป็นห่วงเพราะยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยแต่หมอหลวงเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่จะฟื้นขึ้นมาและอย่าให้รู้ว่าทั้งเขาและอัสบัสจะไม่มีทางทอดทิ้งเพื่อนคนนี้อย่างแน่นอน
เพราะความเป็นเพื่อนไม่ว่าเมื่อไหร่เพื่อนก็ยังคือเพื่อน อาจจะทำผิดไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะให้อภัยกันไม่ได้ คนเราล้วนจะผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทำผิดเลย แต่สิ่งสำคัญคือให้จำมันไว้เป็นบทเรียนของชีวิต
มาแล้วววตอนที่ 24 เหลืออีกตอนเดียวจบแล้วน่าาาาาาา