กินอิ่มนอนอุ่น หากเขาเป็นเพียงจิ้งจอกธรรมดาคงไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีก แต่สำหรับเขาไม่มีที่ใดจะชวนให้โหยหายิ่งไปกว่า 'บ้าน' ที่มีใครอีกคนอยู่อีกแล้ว
นึกแล้วก็ฉุนหน่อยๆ จนป่านนี้ทำไมโทชิฮิโระยังไม่มารับเขาอีก ถึงจะตามกลิ่นไม่ได้อย่างเขา อีกฝ่ายก็เก่งเรื่องตามตัวเขาอยู่ดีนั่นแหละ
คงไม่ใช่ว่าออกไปข้างนอกจนลืมเขาหรอกใช่ไหม
โอ๊ย คิดแล้วอยากกระโดดกัดเสียเดี๋ยวนี้เลย!
จิ้งจอกน้อยสะบัดหางฟาดผ้าปูนอนอย่างหัวเสีย พอดีกับที่มีคนเปิดประตูห้องเข้ามา เป็นคนติดตามของชายที่คุยกับเขา ไม่พูดไม่จาก็เดินมาสอดมือเข้าใต้สองขาหน้า ช้อนตัวอาคาเนะขึ้นในสภาพช่วงตัวและขาหลังห้อยย้วยแทบหลุดมือ
นุ่มนวลผิดกับเจ้านายลิบลับ
"วางมันลง" เมื่ออีกคนตามเข้ามาก็สั่งทันที แต่กลับถูกส่ายหน้าปฏิเสธ
"ข้าจะย้ายมันไปนอนตรงมุมห้อง"
"เมื่อครู่ฟังไม่เหมือนคำสั่งตรงไหน"
"ท่านยาสุนาริ" ผู้ชายตัวโตส่งเสียงโอดครวญให้ความรู้สึกขนลุกพิลึก อาคาเนะมองสำรวจอย่างไม่เกรงใจ บ่าวคนนี้ตัวสูงใหญ่กว่าเจ้านายเสียอีก
"คาซึมะ" เมื่อถูกเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เจ้าตัวถึงยอมทำตามแต่ยังแอบทำสีหน้าไม่พอใจนัก ทำเอาคนนอกอย่างอาคาเนะได้แต่พับใบหูลงข้างหนึ่งพลางเอียงคอมองไปด้วย
ตกลงว่าสองคนนี้เป็นนายบ่าวกันจริงหรือเปล่า บางคราวถึงได้ดูสนิทสนมจนแสดงอาการไม่พอใจต่อหน้ากันได้ชัดเพียงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่อาคาเนะรู้สึกว่าระหว่างสองคนนี้มีบางสิ่งชวนสะกิดใจ
เมื่อถึงเวลาเข้านอน กลายเป็นว่าอาคาเนะถูกจัดให้นอนอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าของห้องทั้งสอง ยาสุนาริหันหน้าหาผนัง ในขณะที่คาซึมะนอนหันหน้ามามองแผ่นหลังเจ้านายของตน แววตาคู่นั้นลึกซึ้งสื่อความหมาย จ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอมหลับตาลง
เป็นสายตาที่ทำให้อาคาเนะคิดถึงโทชิฮิโระสุดหัวใจ
หลังผ่านไปครึ่งคืนอาคาเนะก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขานอนไม่หลับ ถึงตาจะปิดแต่หูยังกระดิกอยู่เรื่อย สมองคิดทบทวนเรื่องราวว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้
กับดักของนักปราบปีศาจ คงมีผลกับปีศาจโดยเฉพาะ นั่นหมายความหน้าที่ของมัน คือการมุ่งหมายสลายพลังปีศาจ อาจเป็นไปได้ที่ผลของมันทำให้พลังปีศาจของอาคาเนะจะสูญหายไปชั่วคราว จนกลายร่างเป็นจิ้งจอกธรรมดาเช่นนี้
ตอนนั้นเองที่มีเสียงบางอย่าง ดึงอาคาเนะออกจากห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกน้อยลืมตาขึ้น กางใบหูเพื่อรับฟัง ด้านนอกมีเสียงคล้ายฝีเท้าแต่ดังมาจากกระเบื้องหลังคา
"เจ้าก็ได้ยินหรือ" คาซึมะตื่นแล้ว เขาเอื้อมมือข้ามหัวอาคาเนะไปสะกิดเจ้านายให้รู้สึกตัว ทั้งคู่สบตากัน ยาสุนาริดูจะเข้าใจความหมายโดยไม่จำเป็นต้องพูด
ดาบยาวสองเล่มถูกหยิบออกมาจากใต้กองผ้าสีขมุกขมัว ก่อนหน้านี้อาคาเนะไม่ได้สังเกตถึงมันเลยด้วยซ้ำ
"คิดว่ามีกี่คน" ยาสุนาริกระซิบถาม คาซึมะจึงหลับตาแล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
"สี่ ไม่ ห้าคน" คนถามกระตุกยิ้มถูกใจ แล้วถามต่อ
"ยกให้เจ้าสาม ไหวหรือไม่"
"จะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ขอรับ นายท่าน" คาซึมะยกยิ้มอย่างกวนๆ ช่างเป็นมนุษย์ที่ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับอันตรายที่ย่างกรายเข้ามาหาเอาเสียเลย
มีเงาคนปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง คาซึมะและยาสุนาริต่างพยักหน้าให้กันในความมืด ดาบคู่กายถูกชักออกจากฝักอย่างเงียบกริบ แล้วแทงออกไปพร้อมกัน
เสียงร้องเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวในจังหวะที่พวกเขาชักดาบกลับ เลือดสีแดงฉานสาดกระจายบนหน้าต่างที่ปูด้วยกระดาษ เสียงสั่งฆ่าดังระงมจากด้านนอก ก่อนนักฆ่าที่เหลือจะพุ่งตัวเข้ามา
ถึงจะมีจำนวนมากกว่า แต่ด้วยพื้นที่คับแคบจึงตวัดดาบไม่ได้อย่างใจคิด เป็นฝ่ายตั้งรับเสียอีกที่เคลื่อนตัวได้คล่องกว่า คาซึมะตวัดดาบเฉือนคอหอย และสะบั้นช่วงอกจนนักฆ่าล้มตายไปอีกสองคน ส่วนคนสุดท้ายอาศัยช่วงที่เพื่อนรับดาบปีนหน้าต่างหนีกลับออกไป
"เก็บของ" ยาสุนาริสั่งคำเดียวโดยไม่แยแสศพที่นอนจมกองเลือดอยู่สักนิด กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้งเสียจนอาคาเนะหน้ามืดไปพักหนึ่ง สัญชาตญาณชักนำให้เขาเดินไปสูดกลิ่นคาวนั้น ปีศาจถึงอย่างไรก็ชื่นชอบเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ในจิตใต้สำนึก
ราวกับเลือดปีศาจในตัวถูกกระตุ้น บางทีถ้าหากเขากินมนุษย์ พลังที่หายไปอาจกลับคืนมาก็ได้ เพียงแต่อาคาเนะว่างเว้นจากการดื่มเลือดมนุษย์มานานจนลังเล ถ้าต้องการก็แค่ขอเลือดไม่กี่หยดจากโทชิฮิโระเท่านั้น
"ต้องไปกันแล้ว" ยังไม่ทันได้แตะเลือดสักหยด อาคาเนะก็ถูกยาสุนาริอุ้มขึ้นเสียก่อน
"ห่วงมันเกินไปแล้ว" คาซึมะบ่นเสียงขุ่น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะห่วงจิ้งจอกที่เก็บมาอยู่อีก
"อิจฉาหรือ" ยาสุนาริถามยิ้มๆ แต่ทำให้ใบหน้าของคาซึมะบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
"อิจฉาแล้วผิดตรงไหน ในเมื่อท่านเป็นคนเก็บข้ามา สุนัขอย่างข้าก็ต้องหวงเจ้าของไม่ถูกหรือ" คำตอบนั้นทำให้ยาสุนาริถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เขายกมือขึ้นลูบหัวคาซึมะราวกับอีกเป็นเพียงเด็กชายที่ออกจะตัวโตเกินไปหน่อยเท่านั้น
"ที่ของเจ้า ไม่มีใครมาแย่งได้ วางใจแล้วออกไปกันได้แล้ว" คาซึมะคว้ามือที่ลูบหัวตนลงมาจับไว้ก่อนก้มหน้าเอาหน้าผากจรดมือนั้นพลางหลับตา
"จะปกป้องไม่ว่าจากสิ่งใด" นั่นคือส่วนหนึ่งของคำสาบานที่คาซึมะปฏิญาณต่อยาสุนาริไว้เมื่อครั้งถูกช่วยชีวิตในวัยเด็ก
"ไปกัน"
เกิดเรื่องขนาดนี้แต่ด้านนอกกลับเงียบสนิท แปลว่าได้มีการวางแผนและจัดการกับคนในที่พักทั้งหมดไว้ล่วงหน้า อาจถูกฆ่าหรือร่วมมือกัน แต่ยาสุนาริไม่คิดรั้งรอเพื่อสืบสาวอีกแล้ว
"ไปที่ว่าการเมือง" ทั้งสองถีบตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ยาสุนาริบังคับม้าด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างอุ้มอาคาเนะเอาไว้ ทว่าควบม้ามาได้ไม่เท่าไรก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธและคบไฟในมือกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาขวางทาง
ม้าตกใจส่งเสียงร้องพร้อมยกขาหน้าทั้งสองขึ้น ยาสุนาริและคาซึมะยังสามารถควบคุมมันให้ยอมสงบลงได้ แต่เป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูตีวงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง คะเนจากสายตาคร่าวๆ คราวนี้ศัตรูมีมากเกินสิบคน
เสียงฟ้าร้องครืนเรียกให้อาคาเนะเงยหน้าขึ้นมอง สายลมราตรีหอบเอากลิ่นเคยคุ้นมาจากทิศทางของเสียงคำรามนั้น และนั่นไม่ใช่กลิ่นของฝน
"บุตรชายของไดเมียวไทระ คงต้องขอให้เจ้าทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่" หนึ่งในคนที่ล้อมพวกเขาไว้ประกาศออกมา ชื่อตระกูลไทระอาคาเนะพอจะเคยได้ยิน เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่ปกครองแคว้นในเวลานี้
"คิดว่าชีวิตข้าสำคัญกับท่านผู้นั้นหรือ พวกท่านคาดผิดแล้ว" ยาสุนาริตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร เขาดูคุ้นชินกับเหตุการณ์นี้เกินไปเสียด้วยซ้ำ
"ไว้รอดูตอนเราส่งหัวเจ้ากลับไปที่ปราสาท"
"รักษาหัวเจ้าก่อนเถอะ!" คาซึมะตวัดดาบชี้หน้าคนพูด แต่ด้วยจำนวนคนที่ผิดกันมากขนาดนี้ ต่อให้ฝ่าไปได้ก็คงต้องบาดเจ็บกันบ้าง
อาคาเนะเงยหน้าหลับตา สูดกลิ่นที่แสนโหยหาก่อนตัดสินใจงับลงบนแขนของยาสุนาริเบาๆ เพื่อให้เขาตกใจจนคลายแรงที่จับตัวอาคาเนะไว้ลง จนสามารถกระโดดลงไปบนพื้นด้านหน้าได้ แต่ขาหลังด้านซ้ายยังเจ็บจนต้องยกเอาไว้
จิ้งจอกตัวจ้อย เดินได้ด้วยสามขา พอก้าวออกไปข้างหน้า ทุกคนต่างหัวเราะครืน
"ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของนายน้อยจะทำอะไรพวกหรือ" ยาสุนาริเองก็คิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอาคาเนะด้วยสายตาไม่เข้าใจ คาซึมะเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เวลานี้หากพวกเขาลงจากม้าก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ
แต่แล้วกลับมีเสียงใครบางคนถอนหายใจดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่ไม่มีใครเคยได้ยิน ทุกคนจึงเงียบลงในที่สุด สายลมพัดแรงขึ้นทีละน้อย จิ้งจอกตัวจ้อยดูราวกับแสยะยิ้มอยู่
"มนุษย์เอ๋ยมนุษย์" คราวนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคาซึมะและยาสุนาริ เพราะเจ้าของเสียงนั้น คือจิ้งจอกที่พวกเขาพามาเอง
"ข้าขอเตือน หากยังเสียดายชีวิต จงทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีไปเสีย" ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างลนลาน สุนัขจิ้งจอกตัวนี้พูดได้ แต่มองอย่างไรมันก็เป็นเพียงจิ้งจอกตัวเล็กจิ๋ว
"มองข้าทำไม ผู้ที่เจ้าควรกลัว อยู่บนท้องฟ้าโน่น" เมื่อสิ้นเสียงอาคาเนะ เสียงคำรามก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องอย่างแน่นอน ร่างสีขาวขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า เกล็ดสีขาวแวววาวสะท้อนแสงจันทร์ เหล่ามนุษย์ที่เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงในพริบตาต่างร้องโวยวายและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
"ปีศาจ! ปีศาจ!"
"หนี! เร็วๆ!"
ดวงตาคู่โตตวัดมองมนุษย์เหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราด เทพมังกรบินโฉบใกล้จนพวกมนุษย์หวาดกลัว วิ่งหนีกันจนล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะหันหน้ามาหายาสุนาริกับคาซึมะ
"อย่า! พวกเขาช่วยข้าไว้" โชคดีที่อาคาเนะกระโดดมาขวางไว้ได้ทัน ยาสุนาริจึงเพียงแค่รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดหายไปชั่วครู่ ส่วนคาซึมะถูกม้าสะบัดจนหล่นลงมานั่งคลุกฝุ่นเป็นที่เรียบร้อย
โทชิฮิโระไม่ได้สนใจใครอื่น เขารีบแปลงเป็นมนุษย์แล้วอ้าแขนรับตัวจิ้งจอกน้อยที่กระโจนเข้ามาหา อาคาเนะเบียดตัวซุกหาไออุ่นที่คิดถึงแทบขาดใจ ในขณะที่โทชิฮิโระกอดเขาเอาไว้ด้วยอ้อมแขนที่สั่นไม่หยุด
"ขอโทษ ข้าผิดเอง ขอโทษจริงๆ" ถึงจะเคยนึกโกรธแต่พอได้เจอหน้าอีกครั้ง อาคาเนะก็พบว่าในหัวใจมีแต่ความรักและคิดถึงจนล้นไปหมด ไม่มีคำต่อว่าใดๆ หลุดออกจากปากแม้สักครึ่งคำ
“ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย” หยดน้ำอุ่นหยดหนึ่งไหลลงกระทบใบหูอาคาเนะ ชายที่เข้มแข็งเสมอมา เวลานี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ แม้เพียงหยดเดียวแต่สื่อความหมายได้มากมายนับร้อยประโยค จิ้งจอกน้อยพับหูใบด้านหลังแล้วฝังจมูกลงกับแผ่นอกอันเป็นสถานที่อันแสนปลอดภัยที่สุดของตัวเอง
“ข้ารู้ท่านต้องมา”
"ขอบคุณที่ช่วยเหลือ" เพราะมัวแต่สนใจกันและกัน อาคาเนะจึงลืมอีกสองคนไปเสียสนิท เจ้าของคำขอบคุณได้ลงจากหลังม้า ทั้งยาสุนาริและคาซึมะต่างค้อมตัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจริง
"ไม่ได้ตั้งใจจะช่วย"
"โทชิ" อาคาเนะปรามเบาๆ แล้วหันไปมองยาสุนาริ
"ท่านช่วยชีวิตข้า ถือว่าข้าตอบแทนท่าน" ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่คนผู้นี้ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี น้ำใจนี้อาคาเนะย่อมจดจำไว้
"กลับบ้านกัน" โทชิฮิโระเร่งเร้า เขาอยากพาอาคาเนะกลับบ้านเสียที คราวนี้จิ้งจอกน้อยอยู่ห่างจากเขานานเกินไปแล้ว ซ้ำยังมาผูกมิตรกับใครก็ไม่รู้อีก
"ขอทราบชื่อเจ้าได้หรือไม่" คนถามกลับกลายเป็นคาซึมะที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าอาคาเนะสักเท่าไร แต่อาคาเนะพอจะเข้าใจ สายตาที่คาซึมะมองยาสุนาริเป็นสายตาเดียวกับที่เขามองโทชิฮิโระมาตลอด พอเห็นว่าเขามีคนของตัวเองอยู่แล้วก็วางใจ และเปิดใจยอมรับกันได้
"อาคาเนะ คงต้องลาแล้ว" อาคาเนะแนะนำตัวสั้นๆ พร้อมเอ่ยลา
"ลาก่อน" ยาสุนาริพยักหน้าพร้อมยิ้มออกมา อาคาเนะมองใบหน้านั้นพลางคิดว่ายาสุนาริช่างเป็นผู้ชายที่สง่าและงดงามมากจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้สวยดังเช่นสตรี แต่มีความสง่างามในแบบบุรุษจากตระกูลขุนนาง สมกับที่เป็นบุตรชายของไดเมียว
จากนั้นเทพมังกรก็ทะยานกลับขึ้นฟ้า ทิ้งเมืองที่แตกตื่นวุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของตนไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งกลับสู่ปราสาทของตน
จากกันสามวัน แต่เนิ่นนานเหมือนเวลานับสิบปีเลยผ่าน เพียงช่วงเวลาเดียวที่คิดว่าความตายได้พรากอาคาเนะจากไปแล้ว หัวใจก็แหลกสลายไม่มีชิ้นดี เวลานี้ได้จิ้งจอกน้อยคืนมาอีกครั้งโทชิฮิโระจึงวนเวียนกกกอดและบอกรักซ้ำๆ ทั้งปลอบขวัญตัวเองและอาคาเนะไปพร้อมกัน
ส่วนที่เหลือเป็นไปตามที่อาคาเนะคิดไว้ พลังของเขาถูกสลายไปช่วยคราวด้วยผลของอาคมกำจัดปีศาจ พอได้เลือดจากโทชิฮิโระเขาก็สามารถแปลงร่างและฟื้นคืนพลังได้ตามเดิม ส่งผลให้บาดแผลที่ขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นอาคาเนะก็ถูกอุ้มเข้าห้องนอน ปล่อยให้ความคิดถึงคนึงหาทั้งหมดสื่อสารกันผ่านภาษากายแทนถ้อยคำอื่น
การร่วมรักครั้งนี้ยาวนานและอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ แต่ในความเนิบช้ากลับแฝงไว้ด้วยความโหยหาอันอัดแน่น ยิ่งจุดไฟสเน่หาให้เผาผลาญอาคาเนะจนแทบมอดไหม้ ร่างกายพวกเขาสอดประสานแทบไม่แยกห่าง ริมฝีปากอุ่นร้อนคลอเคลียอยู่ข้างใบหูก่อนวกมาดูดกลืนเสียงครวญครางแหบพร่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความร้อนที่เคลื่อนเข้าและออกเป็นจังหวะ กดย้ำราวกับกำลังพยายามยืนยัน ว่าร่างกายที่แนบชิดอยู่นี้เป็นตัวจริงไม่ใช่เพียงภาพฝัน
แววตาของโทชิฮิโระหม่นหมอง ถึงจะอยากต่อว่า แต่อาคาเนะรู้ดีว่าเทพมังกรคงตำหนิตัวเองหนักยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากพูดเสียงอีก สองมือจึงเลือกจะโอบกอดรั้งคอของโทชิฮิโระให้โน้มลงมาหา ให้ใบหน้าแสนเศร้าได้ซบลงตรงอกเขา
"ต่อจากนี้มีอะไรต้องบอกกัน ขอแค่นั้นได้ไหม" โทชิฮิโระต้องการปกป้องเขาด้วยความรู้สึกเช่นไร อาคาเนะก็ไม่อยากเห็นโทชิฮิโระบาดเจ็บแม้จะเล็กน้อยเพียงใดกลับมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน
"สัญญา สาบาน ขอแค่เจ้าอย่าหายไปจากข้าอีกก็พอ" ดวงตาคมกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาต่างฝากหัวใจไว้กับอีกฝ่ายด้วยความรักที่มีให้ หากใครคนหนึ่งเป็นอะไรไป หัวใจอีกคนก็คงตายไปพร้อมกัน
“ขอโทษ”
“อืม”
“ขอโทษนะอาคาเนะ”
“อื้ม”
“ข้า...” ถ้อยคำที่เหลือถูกอาคาเนะดูดกลืนโดยการทาบริมฝีปากลงไปทับ เวลานี้เขาไม่ต้องการคำขอโทษเสียหน่อย จิ้งจอกน้อยจงใจบดเบียดสะโพกเข้าหาจนเกือบจะเผลอร้องครางออกมาเมื่อสิ่งที่อยู่ด้านในกดโดนจุดอ่อนไหวเข้า
“ข้าขอเปลี่ยนคำขอโทษเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่” รอยยิ้มค่อยๆ กลับมาสู่ใบหน้าของโทชิฮิโระอีกครั้ง เขากดจูบลงบนปลายจมูกของอาคาเนะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมอบบรรณาการให้ตามคำบัญชา
✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿
สวัสดีค่าาาาา มาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันด้วยตอนพิเศษล่ะ
สารภาพว่าความจริงตั้งใจจะลงตั้งแต่กลางเดือนเนื่องจากไรท์มีภารกิจเข้าอบรม 4 เดือน แต่อัพไม่ทัน สิ้นปีมีโอกาสได้กลับบ้านเลยเอามาลงให้อ่านกันน้าาา
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายของเรา ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆ อย่างในตอนพิเศษตอนนี้ก็มีแขกรับเชิญเป็นตัวหลักจากเรื่อง
"สัญญาในสายลม" ที่ตีพิมพ์ไปกับสำนักพิมพ์หนึ่งเดียวมาแจมด้วย
ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนล่วงหน้านะคะ ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในปีหน้า ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สมหวัง ที่สำคัญคือให้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นพื้นฐานสำคัญ
แล้วพบกันค่า