บทที่ 28
ความอบอุ่นอากาศในฤดูหนาว ต่อให้หิมะไม่ตกมันก็ยังเย็นจนชวนให้ขดตัวอยู่บนฟูกอุ่นๆ แม้ว่าดวงตะวันจะแผดแสงแรงกล้าสักเท่าใด ขอเพียงอยู่ใต้ร่มเงา อาคาเนะก็มั่นใจว่าสามารถนอนได้ทั้งวันแน่
เมื่อเช้าจำได้ว่าตัวเองสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาตอนที่โทชิฮิโระลุกขึ้น อยากจะถามเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะไปไหน แต่ความง่วงงุน และรอยจูบแผ่วเบาข้างขมับ เอาชนะทุกสิ่ง อาคาเนะเลือกตัดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองทิ้ง ก่อนตัดสินใจหลับตาลง แล้วปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง จนกระทั่งโทชิฮิโระกลับมา
เสียงเปิดประตูปลุกอาคาเนะให้รู้สึกตัว แต่ยังคงขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาขึ้น ต้องโทษโทชิฮิโระที่สูบเรี่ยวแรงเขาไปจนหมด ทำเอาล้าจนไม่อยากขยับตัว
“ตื่นได้แล้วขี้เซา” ใบหูข้างหนึ่งของอาคาเนะตั้งขึ้น แต่แล้วก็พับลงแสดงออกถึงความไม่สนใจ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่พยายามปลุก
“ไม่ตื่นจริงหรือ” เมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าโทชิฮิโระ เขานั่งลงข้างกายคนที่นอนอยู่ ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไป อาคาเนะตกใจจนตัวแข็งตอนที่ถูกโทชิฮิโระคว้าตัวเข้ามากอด
“ใครให้เข้ามา” ดวงตาสีเพลิงเหลือบมองคนมี่กำลังกอดเขาจากด้านหลังพลางเอ่ยถามเสียงขุ่น ผิวกายโทชิฮิโระเย็นเฉียบจากการออกไปเดินตากลมด้านนอก ทำเอาความอบอุ่นที่เก็บสะสมมาลดลงอย่างรวดเร็ว
“ข้าต้องขออนุญาตจากคนที่นอนอุ่นอยู่คนเดียวด้วยหรือ ใจร้ายจริงนะเจ้า”
“ใครใช้ให้ออกไปไหนแต่เช้าเล่า เดี๋ยว! ทำอะไรเนี่ย!” อาคาเนะโวยลั่น เพราะโทชิฮิโระไม่เพียงแค่กอดอย่างทุกครั้ง แต่ยังสอดมืออันซุกซนเข้ามาในกิโมโนของเขาด้วย
“กำลังหาความอบอุ่นอยู่ อากาศข้างนอกมันเย็นรู้ไหม” เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูเจือไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดจะปกปิด ประกอบกับมือเย็นๆ ที่จับไปทั่วบอกให้รู้ว่านิสัยขี้แกล้งของโทชิฮิโระได้กลับมาแล้ว
“อย่า...มันเย็น...” อาคาเนะพยายามบิดตัวหนี แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งดิ้นยิ่งกลายเป็นถูกสัมผัสมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายจากอบอุ่นเริ่มกลายเป็นร้อนขึ้นอย่างช้าๆ
“โทชิ...”
“เดี๋ยวก็อุ่นแล้ว” เจ้าของอ้อมกอดกระซิบบอก พร้อมจูบลงตรงท้ายทอยของอาคาเนะ
อุ่นเกินไปแล้วต่างหาก ไอ้มังกรลามก!
น่าเศร้าที่อาคาเนะทำได้เพียงร้องประท้วงอยู่ในใจ เพราะดูเหมือนเขาจะพ่ายแพ้ให้กับชายคนนี้อย่างหมดรูป นับตั้งแต่วันที่พบกันในป่าเสียแล้ว
“ถ้าพวกท่านอยาก...ทำธุระกัน ให้ข้ามาใหม่วันหลังไหม” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามจากหน้าประตูห้อง ทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มถึงกับสะดุ้งเฮือกรีบตะเกียกตะกายถอยห่างจากโทชิฮิโระ และหันมองเงาบนบานประตูด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง
“ท่าน!” อาคาเนะอยากด่าแต่ด่าไม่ออก ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูโทชิฮิโระที่กำลังพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นอยู่อีกฟากห้อง
“เข้ามา” เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยปากบอก ประตูห้องจึงถูกเปิดออก โดยมีหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามา นางก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพต่อโทชิฮิโระ แต่พอจะหันมาทักอาคาเนะอีกคนกลับถูกเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามากอดไว้เสียก่อน
“อาคาเนะ?” เพราะไม่คิดว่าจะถูกกอด สึซึรันเลยได้แต่ยืนนิ่ง ถ้าเป็นคนอื่นคงกางกรงเล็บใส่ แต่เพราะเป็นเด็กหนุ่มที่เคยออกตัวปกป้องนางมาก่อน สึซึรันถึงยอมถูกกอดเอาไว้เช่นนี้
“ขอโทษ” คำขอโทษแสนสั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่สื่อออกมาผ่านอ้อมกอด ความรู้สึกผิด ความห่วงใย ถูกส่งผ่านมาถึงสึซึรันอย่างชัดเจน
“เข้าใจแล้ว แต่ปล่อยก่อนได้ไหม รู้สึกเหมือนมีสายตาใครบางคนค่อยทิ่มแทงแล้วมันอึดอัดนะ” อาคาเนะยอมผละออก ก่อนเหลียวมองไปยังโทชิฮิโระที่ทำเป็นเสมองไปทางอื่นตอนสบตากันเข้า
“ข้าน่าจะอยู่ดูเจ้า” ทั้งที่เห็นสึซึรันถูกทำร้ายจนทรุดลงไปต่อหน้า แต่เขากลับเลือกโทชิฮิโระมากกว่า ราวกับไม่เห็นชีวิตนางมีค่า พอได้เห็นว่าสึซึรันปลอดภัย อาคาเนะถึงได้ดีใจมาก
“ไม่เป็นไร เป็นข้า ข้าก็จะไป เพราะมีคนที่สำคัญมากกำลังรออยู่” สึซึรันไม่ได้ถือโทษโกรธอาคาเนะเลยที่ตามคาสุมิไปในระหว่างที่นางบาดเจ็บ มีแต่เสียใจมากกว่าที่ไม่สามารถเป็นกำลังให้กับโทชิฮิโระมากกว่านี้ได้
“อีกอย่างถึงเจ้าไม่อยู่ ก็มีคนดูแลข้าอยู่แล้ว ดูแลดีมากเสียด้วย”
“ใครหรือ”
“พวกคนที่ร้านสิจะมีใคร วันนี้พวกเขาก็มากับข้านะ” สึซึรันยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงฝีเท้าและกลิ่นอันคุ้นเคยก็ทำให้ใบหูของจิ้งจอกตั้งตรงขึ้น อาคาเนะหันซ้ายขวามองหาทางหนี ทำท่าจะกระโจนออกนอกหน้าต่าง แต่ถูกโทชิฮิโระใช้เสียงเข้มๆ ปรามเอาไว้
“อย่าหันหลังให้คนที่รักเจ้า เปิดใจได้แล้วอาคาเนะ” นานมาแล้วที่อาคาเนะรู้จักเพียงการหลบซ่อน และปิดบังสายเลือดในตัวเองครึ่งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจบอกใครๆ ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ แต่มีบางคนที่สมควรได้รับการยกเว้น
อาคาเนะยืนหันหลังให้ประตู ประสาทหูบอกเขาว่าคนที่โทชิฮิโระพูดถึงได้ก้าวเข้ามาในห้อง และคงได้เห็นร่างแท้จริงของเขาแล้ว ร่างที่หลอมรวมกันระหว่างสัตว์และมนุษย์
“อาคาเนะ” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่มีวี่แววของความตกใจ หรือหวาดกลัวปะปนอยู่แม้แต่น้อย อาคาเนะจึงค่อยๆ หันกลับมาตามคำเรียก
“ไม่ต้องห่วง ข้าเล่าเรื่องเจ้าให้พวกเขาฟังหมดแล้ว” สึซึรันขยิบตาให้แล้วถอยออกไปยืนอยู่กับโทชิฮิโระ คนที่ช่วยรักษาบาดแผลให้นางก็คือคนที่นางเคยจับตัวเพื่อบังคับอาคาเนะในคราวก่อน เจ้าของร้านทั้งสองพยายามช่วยนางแม้ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เพื่อตอบแทนพวกเขาสึซึรันจึงอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงสาเหตุที่ทำให้อาคาเนะต้องพัวพันกับเรื่องอันตรายด้วย
ซาโตรุมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าจากหัวจรดเท้า ทำเอาคนถูกมองต้องกลั้นใจเพราะทำอะไรไม่ถูก ส่วนโคคิเอาแต่จ้องไปยังใบหูของอาคาเนะที่ค่อยๆ ลู่ลงเรื่อยๆ
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” คำถามแรกจากซาโตรุสร้างความประหลาดใจให้อาคาเนะอยู่ไม่น้อย จนเอ่ยตอบออกมาได้ค่อนข้างตะกุกตะกัก
“มะ...ไม่ขอรับ” ซาโตรุถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่วนโคคิก้าวยาวๆ เข้าไปหาอาคาเนะ สัญชาตญาณสั่งให้อาคาเนะชักเท้าหนี แต่ทำได้เพียงครึ่งก้าวก็เปลี่ยนใจ เขาปิดบังพี่ชายทั้งสองมาหลายปี หากโคคิจะโกรธก็ไม่แปลก ถ้าจะถูกตีบ้างก็ควรก้มหน้ายอมรับ
“...!” มือที่คิดว่าจะชกมาสักหมัดกลับคว้าหมับเข้าที่หาง ทำเอาอาคาเนะสะดุ้งจนพองขน ส่วนคนจับยังคงบีบแน่นเข้าไปอีก พร้อมมองดูด้วยสายตาใคร่รู้
“โคคิ! ทำบ้าอะไร!” ซาโตรุตวาดพร้อมกระชากแขนโคคิกลับ
“แค่อยากรู้ว่าของจริงไหม” เจ้าของร้านตอบกลับหน้าซื่อ จนสหายสนิทถึงกับกุมขมับ ไม่รู้ว่าระหว่างโคคิกับอาคาเนะ ใครเป็นเด็กใครเป็นผู้ใหญ่กันแน่
“แบบนี้เรียกแขกได้เยอะนะ” โคคิทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือตัวเองราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ชายโตแต่ตัวคนนี้ถูกตวาดซ้ำอีกรอบ
“ไปเอาหัวโขกเสาจนกว่าจะลืมความคิดบ้าๆ เสีย! ทำไมข้าถึงมีเพื่อนอย่างเจ้านะ”
“ก็บ้านใกล้กัน”
“นั่นไม่ใช่คำถาม!” ซาโตรุกำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่ทุกอย่างยุติลงเมื่อมีเสียงใครบางคนหัวเราะขึ้นมา จนดวงตาทุกคู่ต่างพร้อมใจกันหันไปหาต้นเสียง
“ขอโทษ มัน...กลั้นไม่ไหว” อาคาเนะหัวเราะจนน้ำตาไหล พอความเครียดที่ขมวดเกลียวอยู่ภายในคลายออกก็ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้
“พวกเราไม่ได้เกลียด หรือกลัวเจ้าเลยนะอาคาเนะ” ซาโตรุเอ่ยเสียงนุ่ม หากเป็นมนุษย์ทั่วไปคงจะกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้เห็นปีศาจ แต่สำหรับเขาและโคคิ พอได้ฟังเรื่องราวจากสึซึรัน ได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วอาคาเนะเป็นอะไร กลับกลายเป็นเหมือนการไขปริศนาให้กระจ่าง ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างพวกเขากับอาคาเนะ บอกให้รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้เพียรสร้างกำแพงรอบตัวนัก
“แล้วตัวเจ้า ยังกลัวพวกเราอยู่หรือเปล่า” เพราะกลัวการถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัวจากผู้อื่น อาคาเนะถึงได้พยายามเก็บซ่อน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ เพราะกลัวจะถูกล่วงรู้ถึงตัวตนที่ปิดบังไว้
“ข้าเป็นปีศาจนะขอรับ”
“เห็นแล้ว จับแล้วด้วย” โคคิโพล่งออกมาก่อน แต่จำต้องหุบปากเพราะถูกซาโตรุมองตาขวางใส่ จะเถียงก็ขี้เกียจเลยเดินหลบไปยืนอีกด้านของโทชิฮิโระ
“ถึงเจ้าจะไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร แต่ข้าเชื่อว่านอกเหนือจากนั้น เราอยู่ร่วมกันด้วยความจริงใจ ไม่ใช่หรือ” ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันล้วนไม่ใช่เรื่องโกหก ทั้งยามสุขหรือยามเศร้า ไม่ว่าหัวเราะหรือร้องไห้ แล้วหากอาคาเนะจะเปลี่ยนไปเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันจะสำคัญตรงไหน
“ขอบคุณมากขอรับ ขอบคุณที่ยอมรับข้า” อาคาเนะเดินเข้าไปหาซาโตรุ เอียงคอให้เมื่อเห็นพี่ชายยกมือขึ้นหมายจะลูบหัว มือนี้มอบความอบอุ่นที่ต่างจากโทชิฮิโระ แต่อาคาเนะก็ชื่นชอบสัมผัสนี้อยู่ไม่น้อย
“คราวหลังถ้าทิ้งอาคาเนะไว้คนเดียวอีก อย่าหวังว่าข้าจะคืนให้ง่ายๆ” ถึงสายตาจะมองไปทางอื่นแต่โทชิฮิโระรู้ดีว่าโคคิกำลังพูดกับเขา ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยถูกมนุษย์ขู่เอาเป็นครั้งแรก ตอนไปที่ร้านเมื่อเช้าก็ถูกโคคิจ้องเอาราวกับจะฆ่าเสียให้ได้ ดูท่าเขาจะเจอกับพ่อหมีหวงลูกเข้าเสียแล้ว
“ไม่ต้องห่วง จะไม่ปล่อยให้ห่างมืออีกแล้ว”
“มังกรนี่รักษาสัญญาใช่ไหม”
“ด้วยชีวิต” โทชิฮิโระกดหน้าลงเพียงนิด แทนการให้เกียรติโคคิในฐานะผู้ปกครองของอาคาเนะคนหนึ่ง ถึงจะไม่ได้เห็นกับตา แต่โคคิก็ได้ฟังจากสึซึรันแล้วว่าโทชิฮิโระเป็นสัตว์เทพที่มีเกียรติในระดับนึง คำพูดคงจะพอเชื่อถือได้
“แม่ลูกตรงนั้น อ้อนกันเสร็จหรือยัง” ทำเคร่งเครียดได้ไม่เท่าไร โคคิก็หันไปสนใจซาโตรุและอาคาเนะอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถด่ายืดยาวจากสหายคนสนิทของตัวเอง
ดวงตะวันคล้อยต่ำ ช่วงเวลากลางวันกำลังจะจบลงในไม่ช้า เป็นสัญญาณเตือนโคคิและซาโตรุว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับไปทำงานของตน
“ขอโทษด้วยที่มารวบกวนเสียนาน” ไม่ว่าเมื่อไรซาโตรุยังคงปฏิบัติตัวราวกับโทชิฮิโระเป็นแขกของร้านอยู่เสมอ พวกเขาบอกลากันตรงชานบ้าน เพราะเกรงว่าหากไปส่งถึงประตูหน้า อาจมีใครผ่านมาเห็นอาคาเนะเข้า
“ทางนี้ต่างหากที่รบกวนไว้ในหลายๆ เรื่อง” เจ้าของบ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบบ่าของอาคาเนะที่ยืนอยู่ข้างกันไปด้วย
“หากมีเวลาก็แวะไปที่ร้าน เราจะต้อนรับเป็นอย่างดี” ถึงจะออกปากไปก่อน แต่ซาโตรุก็เหลือบมองโคคิเพื่อขออนุญาต เจ้าของร้านพยักหน้ารับคำ แล้วยังเอ่ยต่อหน้าระรื่น
“ค่าใช้จ่ายจะหักมาจากส่วนของค่าไถ่ตัวอาคาเนะ ไม่ต้องห่วง” พอโคคิพูดจบก็ถูกซาโตรุฟาดใส่กลางหลังเข้าให้ โคคิทำหน้าเหยเกก่อนจะแสร้งกระแอมไอกลบเกลื่อน
“คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ” สายตาโทชิฮิโระมองตรงไปยังใบหูและพวงหางของอาคาเนะ ตราบใดที่ยังซ่อนร่างปีศาจไม่ได้ อาคาเนะคงไม่สามารถออกไปเดินในเมืองได้เป็นแน่
“นานเท่าใด ข้ากับซาโตรุก็ยังอยู่ที่เดิมเสมอ และประตูร้านเราจะเปิดรับพวกเจ้าเสมอเช่นกัน” ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินโคคิพูดเรื่องซาบซึ้งกับใคร และมันทำให้อาคาเนะรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อๆ
ร้านแห่งนั้นจะไม่ใช่บ้านของเขาอีกแล้ว ความครึกครื้นของเสียงดนตรี และเสียงพูดคุยของผู้คน จะเป็นเพียงความทรงจำสำหรับเขา ถึงจะแทบไม่สนิทกับใคร แต่ยังอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องจากมา
มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกใครอีกคนค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาประสานไว้แล้วดึงไปซุกไว้ข้างหลัง เรียกให้คนที่กำลังเริ่มซึมเงยขึ้นมอง
“อย่าทำหน้าเศร้า หรืออยากให้ปลอบเจ้าตรงนี้” โทชิฮิโระก้มลงกระซิบข่มขู่ จนโดนอาคาเนะพ่นลมหายใจใส่แรงๆ ทั้งที่หน้าแดงระเรื่อ อาคาเนะออกแรงบีบมือที่ถูกคว้าไปให้คนขี้แกล้งได้เจ็บเล่น
“แล้วพบกันใหม่” ซาโตรุเลือกที่จะไม่เอ่ยคำว่า ‘ลาก่อน’ เพราะเชื่อว่าสักวันเขาจะได้กับน้องชายคนนี้อีก
“แล้วพบกัน พี่ซาโตรุ พี่...โคคิด้วย” คำเรียกขานตะกุกตะกักทำให้โคคิยกนิ้วขึ้นไชหูพลางกะพริบตาปริบๆ มองอาคาเนะที่กำลังทำหน้าเหมือนกินยาขม
“ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม เรียกข้าว่าอะไรนะ”
“อย่าให้พูดซ้ำได้ไหมมันกระดากปาก” อาคาเนะตอบกลับพร้อมทำปากยื่น ทำเอาคนถามแทบอยากเดินเข้าไปตบกะโหลกสักหนสองหน ถ้าไม่ใช่ว่าถูกซาโตรุคล้องแขนรั้งไว้เสียก่อน
“กลับกันได้แล้วคุณเจ้าของร้าน ใกล้ถึงเวลาเปิดแล้ว” เพื่อป้องกันการวิวาทระหว่างหมีกับจิ้งจอก ซาโตรุคิดว่าการลากโคคิออกไปน่าจะดีที่สุด เสียงเอะอะโวยวายของโคคิค่อยๆ ห่างออกไป เหล่าคนที่ยังอยู่ต่างพากันถอยหายใจออกมา
“ครอบครัวเจ้านี่ครึกครื้นดีนะ” โทชิฮิโระเอ่ยเย้าคนข้างกายและได้รับข้อศอกถองตอบกลับมา เป็นภาพที่คนมองอดไม่ได้ที่จะขำ
“พวกท่านก็ไม่แพ้พวกเขาหรอก” สึซึรันเอ่ยกลั้วหัวเราะ เทพมังกรที่แสนสง่างามพออยู่กับอาคาเนะแล้วกลับดูเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ชายที่มีคนรักที่รักมากอยู่ข้างๆ และพร้อมจะแกล้งเสมอเสียด้วย
“ไม่เข้าใจเลยว่านิสัยแบบนี้มีคนเคารพได้อย่างไร ถ้าบอกว่าเป็นพวกเจ้าสำราญยังพอว่า” อาคาเนะกอดอกเชิดหน้าใส่ ในสายตาเขาโทชิฮิโระดูไม่เห็นมีอะไรที่ใกล้เคียงกับการเป็นเทพเจ้าเลยสักนิด
“ถ้าอยากรู้ข้าทำให้ดูเอาไหม” โทชิฮิโระย้อนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนคนฟังทั้งสองต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน และเป็นสึซึรันที่เอ่ยถามขึ้นก่อน
“ท่านจะกลับไปหรือ”
“ถ้าหากอาคาเนะจะไปกับข้า” โทชิฮิโระยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ใช่ว่าเขาจะเป็นพวกยึดติดกับการถูกยกยอให้เป็นเทพ แต่หากสามารถกลับไปสู่ฐานะนั้น คงมีหลายสิ่งที่ดีต่ออาคาเนะด้วยเช่นกัน
“เกี่ยวอะไรกับข้า” คนถูกพาดพิงขมวดคิ้วถาม
“ถ้าอยากรู้ต้องลองไปดู” ดวงตาสีครามหรี่ลงเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าโทชิฮิโระประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงท้าทาย
“เว้นเสียแต่จิ้งจอกน้อยจะกลัวโลกภายนอก” ยิ่งได้ฟังคำยั่วยุ ใบหน้าอาคาเนะก็ยิ่งบึ้งตึง เขาอาจอ่อนประสบการณ์กว่าโทชิฮิโระทุกด้านเพราะวัยที่ต่างกัน แต่เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายพูดจาเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ได้
“ก็ไปสิ อยากรู้นักว่าท่านโทชิฮิโระยามเป็นเทพจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน” ความทะนงของเด็กหนุ่มคือสเน่ห์ที่โทชิฮิโระชื่นชม แต่สักวันเขาอาจต้องสอนอาคาเนะว่าให้รู้จักมองกับดักก่อนจะก้าวขาลงไปเสียบ้าง
ท่ามกลางขุนเขาอากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ ทิวทัศน์รอบด้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีขาวโพลนด้วยหิมะที่เริ่มตกลงมาหลายวันก่อน สายลมที่ปะทะใบหน้าหนาวเย็นจนอาคาเนะคิดว่าใบหน้าของเขาชาหนึบ
“ทนไหวไหม อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” คนที่ถามอย่างห่วงใยคือสึซึรันที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน อาคาเนะพยักหน้า พลางแหงนมองเจ้าของอุ้งเล็บที่เขาและสึซึรันนั่งอยู่ โทชิฮิโระในร่างมังกรกำลังบินไปบนฟ้า ฝ่าลมหนาวเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองที่เคยอาศัยอยู่
ครั้งก่อนเพราะกำลังขวัญเสียและอ่อนเพลียมาก อาคาเนะจึงแทบไม่ได้มองเลยว่าร่างมังกรของโทชิฮิโระสง่างามเพียงใด เกล็ดแวววาวสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ ดวงตาสีครามคู่โตดูเปล่งประกายราวกับมีอัญมณีอยู่ภายใน รูปลักษณ์นับว่าห่างไกลจากพวกปีศาจทั่วไปอยู่หลายขุม ดูทรงอำนาจแต่ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว คงเพราะแบบนี้มนุษย์ถึงยอมรับนับถือมังกรได้
กลิ่นเหม็นไหม้ของควันไฟช่วยฉุดอาคาเนะขึ้นจากภวังค์ อาคาเนะลุกขึ้นเพ่งสายตามองไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ที่ปลายสายตาปรากฏกลุ่มควันสีดำคล้ำลอยขึ้นจากพื้นดิน
“โทชิ” อาคาเนะแตะมือลงบนผิวของโทชิฮิโระร้องเรียกเสียงแผ่ว เด็กหนุ่มหันไปสบตากับสึซึรันที่คิดว่าคงจะสัมผัสได้ไม่ต่างกัน สิ่งที่ปะปนมากับสายลมไม่ได้มีเพียงแค่กลิ่นของควันแต่ยังมีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาด้วย
“เกาะให้มั่น ข้าจะเร่งความเร็วขึ้น”
บ้านที่สร้างจากไม้กลายเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี แม้จะมีหิมะปกคลุมอยู่รอบด้าน แต่ไม่อาจช่วยดับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ได้ เสียงร่ำร้องของคนเจ็บดังระงมจากบนท้องถนน เหล่าชาวบ้านต่างถูกลากออกจากบ้านของตนแล้วบังคับให้มาอยู่รวมกันท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ใครที่ต่อสู้จะถูกฟันอย่างไม่ปรานี ทุกคนจึงทำได้เพียงเกาะกลุ่มเอาไว้แล้วคอยดูแลกันเท่านั้น
“ไอ้หมู่บ้านนี้มันจนชะมัด ผู้หญิงดีๆ สักคนยังไม่มีเลย” เหล่าชายฉกรรจ์สวมเกราะเก่าคร่ำคร่ากวัดแกว่งอาวุธในมือยืนล้อมชาวบ้านเอาไว้ พวกนั้นบ่นใส่กันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เข้าฤดูหนาวอย่างนี้มันเดินทางแสนลำบาก แม้แต่กับพวกโจรป่า พอบังเอิญเจอหมู่บ้านเข้านึกว่าจะโชคดี ที่ไหนได้กลับเป็นหมู่บ้านจนๆ ที่แทบไม่มีอะไรจะให้ปล้น
“อย่างน้อยมีที่ให้ซุกหัวนอนไม่ต้องนอนกลางหิมะ”
“แล้วใครมันเผาบ้านวะ”
“เออ คอยดูอย่าให้ไฟลามแล้วกัน เดี๋ยวก็ไม่ต้องมีที่นอนกันหมด”
“แล้วจะเอาไงกับไอ้พวกนี้ดี” ปลายดาบของคนถามตวัดชี้ไปยังกลุ่มของชาวบ้าน ที่ผ่านมาพวกโจรมักจะแค่บุกเข้ามาปล้นชิงแล้วรีบจากไป แต่พอพวกโจรเอ่ยปากว่าจะอยู่ค้างแรมกันที่นี่ทำเอาทุกคนอดหวาดหวั่นไม่ได้
“ฆ่าทิ้งให้หมด จะได้ไม่ต้องหาคนมาเฝ้า” ใครสักคนตอบออกมาราวกับเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็นต้องถาม แน่นอนว่าในกลุ่มโจรเช่นนี้ย่อมมีพวกที่หลงใหลในการฆ่าฟันรวมตัวกันอยู่ พวกมันไม่รีรอที่จะเดินตรงไปหาเหยื่อที่กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและไร้ทางสู้
ตอนนั้นเองที่ลูกไฟตกลงมาจากฟากฟ้าขวางทางกลุ่มโจรเอาไว้!เหล่าโจรป่าแตกฮือ แม้แต่ชาวบ้านยังเงียบเสียงลง ทุกสายตาต่างมองขึ้นไปบนฟ้า เงาดำทะมึนเคลื่อนบนบังดวงอาทิตย์ ในขณะที่โจรป่าแตกตื่น แต่ชาวบ้านกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มออกมา
“นั่นมันตัวบ้าอะไร!” โจรคนหนึ่งร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา กำลังขดตัวอยู่บนฟ้าเหนือหัวพวกเขา
“กลับมาแล้ว”
“เทพของพวกเรา”
นอกจากเทพมังกรที่ส่งเสียงคำรามจากบนฟากฟ้า ยังมีอีกสองคนกระโจนลงมาและก้าวไปยืนขวางระหว่างพวกโจรและชาวบ้านเอาไว้ สึซึรันกางกรงเล็บของตน ในขณะที่อาคาเนะเริ่มสร้างเปลวไฟขึ้นจากฝ่ามืออีกครั้ง
“ปีศาจ!!” พวกโจรร้องกันเสียงหลงและวิ่งหนีโดยไม่คิดจะต่อสู้ บ้างวิ่งกระจายหายไป บ้างขึ้นม้าแล้วควบออกไปสุดกำลัง ทำเอาทั้งอาคาเนะและสึซึรันที่ตั้งท่าเตรียมเผชิญหน้าเต็มที่ถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูก
“อะไรกัน ข้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปากบ่นระหว่างใช้กรงเล็บสางเส้นผมสีขาวของตนไปด้วย ส่วนอาคาเนะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจแล้วดับเปลวไฟในมือลง ดีแล้วที่เขาไม่ต้องฆ่าใครในวันนี้
แรงดึงจากด้านหลังเรียกให้อาคาเนะสะดุ้งจนหางตั้ง พอเหลียวมองข้ามไหล่ถึงได้เห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งกำลังกำแขนเสื้อของเขาอยู่ อาคาเนะหลบสายตาที่มองตรงมา เม้มปากแน่นด้วยความกังวล ตอนกระโจนลงมาเขาคิดเพียงว่าต้องช่วยชาวบ้านเท่านั้น ลืมคิดไปสนิทเลยว่าตัวเองยังอยู่ในสภาพครึ่งจิ้งจอกอยู่
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา” หญิงชราเอ่ยออกมาโดยมีหยดน้ำใสไหลล้นจากหางตา
“ข้า...” ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงขอบคุณก็ค่อยๆ ดังขึ้นซ้ำๆ จากชาวบ้านที่เดินรุมล้อมเข้ามาหา พวกเขาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนแต่กลับยิ้มให้กับปีศาจทั้งสอง จนอาคาเนะเริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในสภาพร่างแท้จริงอย่างตอนนี้
หลังจากนั้นชาวบ้านทุกคนต่างพร้อมใจกันคุกเข่าแล้วก้มลงคำนับจนศีรษะจรดพื้น ยิ่งทำให้อาคาเนะวางตัวไม่ถูก จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเทพมังกรได้มาอยู่ด้านหลังของตนแล้ว
“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงของโทชิฮิโระทรงอำนาจและก้องกังวานเมื่อเขาอยู่ในร่างมังกร อาคาเนะลอบถอนหายใจเมื่อได้รู้ว่าที่ชาวเมืองน้อมคำนับ คือโทชิฮิโระไม่ใช่เขา
เหล่าผู้คนต่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และได้เห็นเทพมังกรจำแลงร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้า นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเทพมังกรในร่างนี้ โทชิฮิโระเดินเลยผ่านอาคาเนะไปพร้อมกับยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนของหญิงชราแล้วช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
“ข้ากลับมาตามสัญญาแล้วท่านยาย”
แม้จะไม่รู้ว่าสัญญาที่โทชิฮิโระพูดถึงคือสัญญาเรื่องอะไร แต่พอได้เห็นหญิงชราหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปิติ อาคาเนะก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
นามของเทพมังกรถูกเรียกขานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทพมังกรในใจของชาวเมือง สิ่งที่โทชิฮิโระทำตลอดมา ไม่ใช่เพียงการขับไล่ศัตรูออกจากเมืองนี้ แต่ยังทำให้ตัวตนของเขากลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไปด้วย แค่เพียงได้เห็นเทพมังกรกลับมา ชาวเมืองต่างก็เริ่มเชื่อว่าเมืองนี้จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านเทพมังกรได้โปรด อย่าจากพวกเราไปอีก” คำร้องขอดังอื้ออึงจากรอบด้านแล้วจึงเงียบลงเมื่อโทชิฮิโระยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม
“ก่อนนี้เราเพียงต่างคนต่างอยู่ พึ่งพากันเพียงเพราะความบังเอิญเท่านั้น เมื่อผู้นำของพวกเจ้าเห็นข้าเป็นภัย ข้าจึงไปจากที่นี่” โทชิฮิโระไม่คิดจะรื้อฟื้นความบาดหมางครั้งเก่าจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงสาเหตุแท้จริงที่เขาต้องละทิ้งเมืองนี้ไป
“แต่ตอนนี้เราต่างเห็นแล้วว่าทุกอย่างแย่ลงเพียงใด จากนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำดินแดนของข้า หากพวกเจ้ายังศรัทธาในเมืองนี้ก็จงช่วยกันฟื้นฟูมันขึ้นมา” แม้มีพลังมหาศาล แต่ใช่ว่าลำพังโทชิฮิโระจะเสกสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้ ยังคงต้องพึ่งพาเรี่ยวแรงของมนุษย์ธรรมดาที่จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเมือง
“พวกเราจะทำ”
“พวกเราทำได้”
“มาทำด้วยกันเถอะ!” น้ำเสียงของทุกคนฟังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แว่วเสียงสูดจมูกเพื่อกลั้นสะอื้นจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน พอเห็นอาคาเนะหันมามองสึซึรันก็รีบเบือนหน้าหนี
ที่นี่คือบ้านเกิดของสึซึรัน แต่นางเกือบทำให้มันกลายเป็นเพียงเมืองร้างเพียงเพราะความแค้นส่วนตัว การได้เห็นโทชิฮิโระกลับมาอยู่ท่ามกลางชาวเมืองอีกครั้ง ได้เห็นพวกเขาพยายามต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง ทำให้นางอดที่จะตื้นตันไม่ได้
“อาคาเนะ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล ทุกคนที่ยืนโดยรอบต่างพร้อมใจกันขยับเพื่อเปิดทางให้ โทชิฮิโระยื่นมือออกมาหาเป็นสัญญาณเรียกให้เข้าไปใกล้ แต่เพราะถูกสายตาหลายสิบคู่จับจ้อง ทำเอาอาคาเนะแทบจะก้าวขาไม่ออก
"อย่าสนใจสายตาคนอื่นอาคาเนะ มองแค่ข้า” ประโยคเดียวกันกับที่ได้เคยฟังเมื่อครั้งเจอกันวันแรก ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในอก รู้สึกคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังบอกว่า ไม่ว่าในสายตาคนอื่นโทชิฮิโระจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับเขาโทชิฮิโระจะยังเป็นคนเดิมเสมอ
สองขาพาอาคาเนะเดินตรงไปยังคนที่เรียกหา พร้อมทั้งวางมือลงบนฝ่ามืออุ่นให้ได้กอบกุมมือเขาก่อนกระตุกให้ก้าวไปยืนเคียงข้าง
“จากนี้หากพวกเราจะอยู่ร่วมกัน มีคนที่ข้าต้องแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก ทางนั้นคือสึซึรันสหายข้า” โทชิฮิโระผายมือไปทางสึซึรันทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงรีบปรับสีหน้าปาดน้ำตาแล้วยิ้มให้
“ส่วนนี่คืออาคาเนะ” แทนที่จะพูดกับทุกคน โทชิฮิโระกลับหันหน้าเข้าหาอาคาเนะโดยที่ยังกุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ ระยะห่างที่แสนจะใกล้ทำให้อาคาเนะเริ่มรู้สึกร้อนบนใบหน้าขึ้นมา ประกอบกับสายตาวิบวับที่มองมายิ่งทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวได้เสียตอนนี้
“จิ้งจอก...สุดที่รักของข้า” ต่อจากนั้นอาคาเนะคิดว่าเขาไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดอีก หูทั้งสองข้างอื้อตันด้วยความดันเลือดที่พุ่งสูงจนร้อนผ่าวทั้งใบหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหลบสายตาไปจากโทชิฮิโระด้วยซ้ำ
เป็นอีกหนึ่งวันที่อาคาเนะจดจำได้ขึ้นใจ ว่ามังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หน้าด้านหน้าทนไม่แพ้ความแข็งของเกล็ดบนตัวเลยทีเดียว
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.
สวัสดีวันเด็ก เรามาแกล้งเด็กกันต่อ
ตอนหน้าจบแล้วค่าาาา