บทที่ 6
ของเยี่ยมถังไม้ถูกยกมาตั้งไว้บนทางเดินก่อนที่ผ้าสีเทาเก่าๆ ผืนหนึ่งจะถูกโยนลงไป สองมือช่วยกันจับผ้าแกว่งในน้ำแล้วขยำจากนั้นถึงยกขึ้นมาบิดไล่น้ำส่วนเกินออกไปแล้วจบลงด้วยการวางมันลงพื้นทางเดินที่ยาวจากหน้าร้านจนถึงหลังร้าน อาคาเนะพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วเริ่มการไถ่โทษของตัวเอง
เมื่อเขากลับมาถึงก็พบซาโตรุยืนกอดอกหน้าตึงรออยู่ก่อนแล้ว ถึงจะพยายามส่งยิ้มไปให้แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงมีเพียงแววตาเชือดเฉือนตามมาด้วยเสียงบ่นยาวเหยียดจากเจ้าของร้านอันดับสอง ส่วนโคคิเพียงแค่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ แล้วคอยพยักหน้าเวลาซาโตรุเหลือบตาไปมองเท่านั้น
อาคาเนะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกไป เขาเพียงแค่บอกว่าเบื่อเลยหลบออกไปเดินเล่นตอนเช้าตรู่ก่อนทุกคนจะตื่น และเดินเพลินจนลืมเวลาทำให้กลับมาสายจนถูกจับได้
เขารู้ว่าซาโตรุตำหนิเพราะเป็นห่วง เคยมีเหมือนกันที่พวกหนุ่มๆ ในร้านออกไปเดินเตร็ดเตร่คนเดียวแล้วถูกดักทำร้ายเอา อาชีพแบบนี้ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าแขกคนไหนจะมีลูกมีเมียอยู่แล้วบ้าง หรืออาจเป็นตัวแขกเองที่ผิดใจกันขึ้นมา เรียกได้ว่ารายได้ดีแต่ต้องเสี่ยงชีวิตพอสมควร
หลังบ่นจนพอใจ ซาโตรุลงโทษอาคาเนะด้วยการให้ถูทางเดินทั้งหมดภายในร้าน แน่นอนว่าอาคาเนะไม่มีสิทธิ์โอดครวญ เขาเลยต้องมาเริ่มต้นวันโดยมีน้ำหนึ่งถังกับผ้าขี้ริ้วเป็นเพื่อน
เด็กหนุ่มถูไปหาวไป เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะเฝ้าไข้โทชิฮิโระ แต่พอหลับก็หลับไปแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน ถูกรวบตัวไปกอดตั้งแต่ตอนไหนก็สุดจะรู้ได้
“น่าจับมาช่วยถูนัก” อาคาเนะบ่นพึมพำกับผ้าเก่าๆ ในมือ ถ้าไม่ใช่เพราะโทชิฮิโระเขาคงกลับมาถึงร้านโดยยังไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาหายไปด้วยซ้ำ
มานึกๆ ดูแล้วตั้งแต่รู้จักโทชิฮิโระมาชีวิตเขามีแต่ความสับสนวุ่นวาย นี่ขนาดเพิ่งเจอกันสี่ครั้ง ขืนเจอมากกว่านี้ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
“ข้าไม่ได้เป็นแค่แขกคนหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ใช่หรือเปล่า”คิดถึงคำถามของโทชิฮิโระแล้วได้แต่ถอนหายใจ เพิ่งรอดตายมาได้ดันเอาแต่ถามเขาเรื่องไร้สาระ แล้วจะให้ปฏิเสธออกไปได้อย่างไร
เคยแต่เป็นฝ่ายใช้คำพูดอ้อนคนอื่น พอมาโดนเข้าเองแล้วถึงเข้าใจว่าอาการหัวใจเต้นแรงมันน่ากลัวเพียงใด ต่อต้านแทบไม่ได้สักนิด
“อาคาเนะ” เด็กหนุ่มขานรับโดยไม่ได้หันกลับมามองเพราะรู้ว่าคนเรียกคือโคคิ แต่เมื่อขานแล้วอีกฝ่ายยังเงียบอาคาเนะเลยโยนผ้าขี้ริ้วกลับลงถังแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมา
“เขาบอกว่ามีธุระกับเจ้า” ด้านหลังของโคคิมีชายอีกคนยืนอยู่ เจ้าของรอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่อาคาเนะเพิ่งบ่นถึงเมื่อครู่ได้มายืนอยู่ในสภาพมีผ้าผืนใหญ่คล้องแขนซ้ายเอาไว้
“มาทำไมเนี่ย” สีหน้าคนพูดบึ้งตึงขึ้นมาทันตา มองโทชิฮิโระตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถลึงตาใส่ คนเจ็บที่ไหนออกมาเดินเพ่นพ่านตั้งแต่วันแรกอย่างนี้
“ออกมาหาหมอตามคำสั่งเลยแวะมาดู” แขนข้างที่เจ็บถูกยกขึ้นให้ดูเป็นหลักฐาน โคคิมองสองหนุ่มสลับไปมาเริ่มนึกถึงคำพูดซาโตรุขึ้นมาบ้าง แขกคนนี้ฝ่ากำแพงของอาคาเนะเข้ามาได้แล้วจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปพักสิ มาหาข้าไม่ได้ทำให้แผลท่านหายเร็วขึ้น”
“เชิญคุยกันตามสบายนะ” คนที่รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินพยายามหาทางเอาตัวเองหลบออกไป แต่ฝ่ายแขกกลับเอาตัวมาขวางทางเขาเอาไว้ก่อน
“ข้าแวะมาดูอาคาเนะ แต่มีเรื่องจะพูดกับท่าน”
“ข้า?” โคคิชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง เขาไม่เคยพูดคุยกับชายคนนี้ด้วยซ้ำไป คนที่คอยจัดการเรื่องแขกให้พวกเด็กในร้านคือซาโตรุทั้งนั้น
“ข้ามาขอโทษเรื่องที่อาคาเนะออกจากร้านไปโดยพลการ เมื่อคืนอาคาเนะอยู่กับข้าเอง” คนฟังสองคนมีท่าทีตื่นตกใจไม่แพ้กัน โคคิอ้าปากค้างส่วนอาคาเนะทำตาโตจนแทบถลนออกจากเบ้า
“เดี๋ยว ไหนเจ้าบอกว่าออกไปเดินเล่น” เจ้าของร้านผู้กำลังสับสนกับข้อมูลใหม่หันกลับมาถามคนของตัวเองเป็นอย่างแรก คนที่โกหกคำโตไปเมื่อเช้าทำได้แค่เม้มปากแน่น
“เขาออกไปเดินเล่น แต่เราเจอกันโดยบังเอิญ ข้าถูกคนทำร้ายโชคดีได้อาคาเนะช่วยไว้” โทชิฮิโระบอกความจริงผสมเรื่องแต่งพอให้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่อาคาเนะยังคงลูบหน้าตัวเองด้วยความหนักใจอยู่ดี
“แล้ว?” สมองของโคคิหยุดทำงานไปแล้ว เขาไม่ใช้พวกชอบใช้ความคิดมากมายเหมือนอย่างซาโตรุ แต่ฟังดูเหมือนโทชิฮิโระจะอยากแก้ตัวให้อาคาเนะที่ไม่ยอมบอกอะไร
“เมื่อเช้าอาคาเนะรีบร้อนกลับมาเพราะกลัวท่านจะโกรธ” โทชิฮิโระไม่ได้เอ่ยชื่อซาโตรุออกไปเพราะถึงอย่างไรคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านก็คือโคคิ คนที่มีสิทธ์ขาดในการตัดสินก็คือโคคิเช่นกัน
“ข้าไม่คิดว่าท่านจะใช้เด็กๆ มาทำความสะอาดร้านเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันคือการลงโทษ ข้ายินดีจะชดใช้ให้เอง จะเรียกเงินค่าเสียเวลาของอาคาเนะก็ไม่ว่า” สายตาของโทชิฮิโระมองตรงไปยังถังน้ำใกล้ๆ เท้าของเด็กหนุ่มก่อนหันกลับมามองโคคิด้วยรอยยิ้มจางๆ
“อ้อ ก็ใช่ แต่ข้าไม่ใช่คนสั่งหรอกนะ ซาโตรุนู่นต่างหาก” โคคิไหวไหล่ ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นซาโตรุแทนเขา รับรองเลยว่านักบัญชีคนนั้นจะต้องเรียกเงินจากโทชิฮิโระอย่างคุ้มค่าทุกเม็ดทุกหน่วยเป็นแน่ แต่สำหรับโคคิแล้วเขาค่อนข้างนับถือน้ำใจคนที่ทำอะไรเปิดเผยเช่นนี้
“เอาเป็นว่าข้ารับคำขอโทษก็พอ อาคาเนะคราวหลังก็เล่าให้มันหมดๆ ช่วยคนเป็นเรื่องดีไม่เห็นจะต้องปิด เอาถังไปเก็บแล้วพอได้แล้ว”
คนที่อยู่ๆ ก็พ้นผิดแอบก่นด่าโทชิฮิโระอยู่ในใจ ที่อาคาเนะไม่เล่าเป็นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ แต่คู่กรณีดันโผล่หน้ามาถึงร้าน มาบอกเล่าความเท็จหน้าซื่อตาใสเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” โทชิฮิโระเอ่ยลาสั้นๆ ทิ้งให้อีกสองหนุ่มยืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน
“สงสัยซาโตรุจะมีขาประจำรายใหม่ให้ขูดรีดแล้ว” โคคิเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาอาคาเนะสะดุ้ง ใบหน้าน่ารักแดงขึ้นเป็นแถบเพราะความหมายที่โคคิตั้งใจจะสื่อ
ขาประจำเป็นคำเรียกลูกค้าที่ทำตัวเสมือนเป็นคู่รักกับคาเงมะที่ตัวเองพอใจ พวกเขาคือแหล่งรายได้หลักเพราะแวะมาบ่อย และบางคนก็พร้อมจ่ายเงินแพงขึ้นถ้าต้องการแย่งชิงคู่ของตัวเองจากลูกค้าคนอื่น
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
“หน้าแดงอยู่นะอาคาเนะ” คนถูกแซวรีบยกมือขึ้นจับแก้มทำตาโต
“ไม่คุยด้วยแล้ว!” เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจ้ำหนีให้ห่างจากโคคิทันที
“บอกให้เอาถังน้ำไปเก็บด้วย”
“ไว้ค่อยมาเก็บ!” นานๆ จะได้เห็นอาคาเนะเขินจนแทบม้วนเป็นก้อนกลมได้เสียทีมีหรือโคคิจะไม่อยากแกล้ง มองถังน้ำที่อาคาเนะทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา เอาไปเล่าให้ซาโตรุฟังเสียหน่อยน่าจะดี
เย็นวันนั้นอาคาเนะถูกซาโตรุเรียกไปหาและถูกซักฟอกจนเกือบสะอาดเรื่องโทชิฮิโระ เขาต้องยอมรับออกไปว่าไปถึงบ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจและไปพบโทชิฮิโระกำลังบาดเจ็บเข้าพอดี สิ่งเดียวที่อาคาเนะยังคงปิดไว้คือสายเลือดครึ่งปีศาจของตัวเอง
ซาโตรุไม่ได้ตำหนิอะไรเรื่องที่อาคาเนะปกปิดความจริง เพียงแค่ถามว่าต่อจากนี้อาคาเนะจะพบโทชิฮิโระในฐานะแขกอีกไหม ต้องรวบรวมสติอยู่พักใหญ่กว่าอาคาเนะจะตัดสินใจพยักหน้า เขารับปากโทชิฮิโระไปแล้วแม้จะลำบากใจเป็นอย่างมากก็ตามและจะไม่ผิดคำพูด
จนเมื่อถึงวันถัดมาอาคาเนะถึงได้รับรู้ว่าเขาคิดผิดอย่างมหันต์ที่ตอบซาโตรุไปเช่นนั้น อาหารรสเลิศทั้งปลา หอย ปู และผักถูกจัดลงกล่องสองชั้นสีดำเรียบหรู ห่ออีกชั้นด้วยผ้าสีเขียวเข้มอย่างแน่นหน้าแล้วจับยัดใส่มืออาคาเนะในตอนที่เขาเพิ่งตื่นลงมา สมองที่ยังไม่ตื่นเต็มตากับน้ำหนักที่มากพอดูทำให้อาคาเนะแทบจะเซถอยหลังเมื่อต้องถือมันไว้
“อะไรหรือพี่ซาโตรุ”
“ของเยี่ยม ท่านโทชิฮิโระบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ อยู่คนเดียวด้วยคงทำอาหารลำบาก” ถึงจะฟังไม่ค่อยทันแต่อาคาเนะยังพอจับใจความได้ เขาก้มมองของในมือแล้วเงยขึ้นมองซาโตรุด้วยสีหน้างุนงง
“แล้วเอาให้ข้าทำไม”
“เพราะเจ้าต้องเป็นคนเอาไปให้ นี่ตื่นหรือยังอาคาเนะ” โคคิที่เดินมาจากด้านหลังผลักหัวอาคาเนะเข้าให้หนึ่งทีจนเจ้าตัวโวยวายหันไปจ้องโคคิตาขวาง
“อย่างที่โคคิว่า เจ้าต้องไปเยี่ยมท่านโทชิฮิโระ อยู่ดูแลเขาก็ได้ขอแค่กลับมาก่อนเปิดร้านเป็นพอ”
“เดี๋ยวสิ ท่านจะให้ข้าไปดูแลเขา...แบบไม่คิดค่าตัว?” ปกติซาโตรุเห็นเวลาของเด็กในร้านเป็นเงินเป็นทองจะตาย ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน ถ้าแขกอยากพาใครออกไปก็ต้องจ่ายเงินให้ด้วย แล้วนี่อะไร ทั้งอาหารแล้วยังรวมตัวเขาส่งไปให้ง่ายๆ อีก
“อยู่ร้านมาสามปีเจ้ายังไม่รู้จักวิธีล่อหลอกลูกค้าของซาโตรุอีกหรือ” โคคิลอยหน้าลอยตาเดินไปยืนข้างซาโตรุแต่ยังไหวตัวหลบทันเมื่อคนข้างตัวขยับจะฟาดมือใส่
“ล่อหลอก?”
“มันเป็นการลงทุนเพื่อหวังกำไร เรียกว่าซื้อใจลูกค้า” เจ้าของร้านที่มักดูไม่ค่อยมีหัวการค้ามาวันนี้กลับทำเป็นพูดเจื้อยแจ้วจนซาโตรุเผลอชักสีหน้าใส่
“บอกไปเถอะน่า อาคาเนะมันบื้อเรื่องมัดใจแขกจะตาย” คนถูกพาดพิงเหยียดขาไปเตะหน้าแข้งคนพูดด้วยความหมั่นไส้โดยมีซาโตรุคอยพยักหน้าสนับสนุน
“เดี๋ยวเถอะพวกเจ้า!” โคคิชี้หน้าคนร้ายและผู้ร่วมมือเรียงตัว มือก็ลูบหน้าแข้งตัวเองไปด้วย
“สรุปว่าจงไปซื้อหัวใจโทชิฮิโระของเจ้ามา เอาให้ถึงขั้นหลงได้ยิ่งดี แล้วหลังจากนี้เดี๋ยวเราก็จะได้เงินคืนมามากกว่าค่าอาหารที่เสียไปทั้งหมดวันนี้เสียอีก”
อาคาเนะถูกรุนหลังให้ออกจากร้านทันทีที่โคคิกล่าวคำบัญชาของตนเสร็จ เขายังแอบเห็นว่าโคคิถูกซาโตรุดึงหูลากกลับเข้าข้างในพร้อมโอดครวญไปตามทาง
น้ำหนักของกล่องไม้ในมือทำให้อาคาเนะต้องถอนหายใจเสียยืดยาว ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นหลังจากเพิ่งกลับออกมาเมื่อวาน
“หลงหรือ” จนตอนนี้อาคาเนะเองก็ยังไม่แน่ใจว่าระหว่างเขากับโทชิฮิโระ คือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไรกันแน่
ระหว่างทางเดินมาว่าทำใจยากแล้ว การจะก้าวเข้าไปมันทำใจยากยิ่งกว่า เมื่อคืนวานอาคาเนะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปโดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากคิดถึงความปลอดภัยของโทชิฮิโระ แต่เมื่อต้องมายืนอยู่หน้าประตูในตอนกลางวันเช่นนี้เขากลับลังเลจนไม่กล้าก้าวขาต่อไป
นอกจากนี้เขายังมีเหตุการณ์อันไม่น่าจดจำกับความทรงจำครั้งแรกของการมาที่นี่ด้วย
ตอนเห็นรอยแดงที่เกิดจากมือเขาบนหน้าโทชิฮิโระในใจมั่นสั่นไม่หยุดเพราะเขาไม่เคยถูกแขกคนไหนจูบมาก่อน ไม่ว่าจะบนส่วนไหนของร่างกายก็ตาม ยิ่งคิดถึงโทชิฮิโระยิ่งพบว่ามีแต่ความน่าอาย ไหนจะจูบครั้งถัดมาที่เขายอมปล่อยให้โทชิฮิโระทำตามใจเพราะคิดว่าจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายนั่นอีก
อาคาเนะกอดห่อผ้าในมือแน่นขึ้นแล้วหมุนตัวหันกลับหลัง เขายังไม่พร้อมจะพบโทชิฮิโระตอนนี้ และคงไม่พร้อมไปจนกว่าจะสามารถเรียกตัวเองก่อนจะเจอโทชิฮิโระกลับมาได้
แต่ว่าจะทำอย่างไร
“อาคาเนะ?” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ผู้อาศัยเพียงคนเดียวของคฤหาสน์เปิดประตูออกมาแล้วเดินเข้าไปหาอาคาเนะช้าๆ
“มาหาข้าหรือ” รอยยิ้มของโทชิฮิโระทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวไป ทั้งที่เขาแค่มาเพราะถูกซาโตรุใช้ให้มาแท้ๆ แต่พอถูกโทชิฮิโระถามกลับเขินราวกับว่าเป็นอย่างที่โทชิฮิโระพูด ไม่รู้ทำไมจนป่านนี้ถึงยังไม่ชินกับการรับมือกับผู้ชายคนนี้สักนิดเลย
“พี่ซาโตรุให้เอาของมาเยี่ยม” ยิ่งเห็นอาคาเนะหลบตา โทชิฮิโระยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อยากจะแกล้งคนขี้อายให้จนตรอกดูเสียที ตอนคาสุมิบอกว่าอาคาเนะมายืนอยู่หน้าคฤหาสน์เขาไม่เชื่อนางด้วยซ้ำ
อาคาเนะหยิ่งเกินกว่าจะยอมบอกกับเขาว่าคิดถึงทั้งที่สีหน้าและจิตใต้สำนึกแสดงออกอย่างซื่อตรงยิ่งกว่า โทชิฮิโระเลยไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่อาคาเนะจะเดินมาหาเขาเหมือนคนทั่วไป
“เข้ามาสิ”
คฤหาสน์ของโทชิฮิโระยังคงดูกว้างจนรู้สึกเงียบเหงาเหมือนอย่างเคย หากเปรียบเทียบระหว่างที่ร้านกับคฤหาสน์หลังนี้อาจมีพื้นที่ใช้สอยต่างกันไม่มาก
แต่ที่ร้านมีแต่เสียงของความวุ่นวายอยู่เสมอ จึงไม่เคยทำให้อาคาเนะรู้สึกถึงความเหงาเลย ผิดกับเวลานี้ที่พอเขาเงียบ โทชิฮิโระเงียบ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็ดูวังเวงขึ้นมาทันที
“จะไม่กินหน่อยหรือ” สุดท้ายคนที่ทนความเงียบนั้นไม่ได้ก็คืออาคาเนะ หลังจากแกะห่อผ้าและเปิดดูของในกล่องที่เขาถือมา โทชิฮิโระเพียงแค่วางมันไว้ข้างๆ แล้วนั่งจ้องหน้าเขาเท่านั้น
“ตอนนี้ยังไม่หิว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”
“ทำสิ ข้ากลับก่อนก็ได้” อาคาเนะลุกหนีอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบเสียงหัวใจตัวเองเวลาอยู่กับโทชิฮิโระสองต่อสอง มันดังจนหนวกหูและเขาไม่สามารถหยุดมันได้
แทนที่จะได้ก้าวออกไปเอวของอาคาเนะเกิดถูกมือดีคว้าเอาไว้เสียก่อน แม้จะใช้แขนได้เพียงข้างเดียวแต่โทชิฮิโระยังไวพอที่จะคว้าตัวจิ้งจอกขี้อายไว้ทันก่อนจะหนีไปได้
“อย่างอื่นที่ว่ามันหมายถึงเจ้า” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำเอาคนฟังหน้าแดงจนไม่กล้าหันกลับไปสบตาคนพูด
“ปล่อย แขนท่านเจ็บอยู่นะ” อาคาเนะประท้วงเสียงค่อย อยากจะบิดตัวออกแต่กลัวจะโดนแผลคนเจ็บ
“เจ็บที่ไหล่ แขนไม่ได้เป็นอะไร จะให้กอดเจ้าให้ดูไหม” นอกจากจะไม่ร่วมมือโทชิฮิโระยังขยับมืออีกข้างมาจับไว้ที่เอวของอาคาเนะด้วย
“ไม่ต้อง!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงแข็ง จังหวะเดียวกับที่โทชิฮิโระเกยคางลงบนไหล่ของเขาพอดี
“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามา ถึงจะมาเพราะซาโตรุก็ตาม” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลับลงพร้อมความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ มันคล้ายจะเปี่ยมล้นด้วยความสุข แต่พอคิดว่าคำพูดเหล่านี้จะอาจจะจางหายไปเมื่อไรก็ได้หัวใจกลับรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมา
“เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือ” บางครั้งอาคาเนะก็อดคิดไม่ได้ว่าโทชิฮิโระมีความสามารถในการอ่านใจคนหรือเปล่า ร่างของอาคาเนะถูกจับให้หมุนตัวกลับมาหาโดยมีมือใหญ่ช่วยเชยคางเขาให้เงยขึ้นสบตาของอีกฝ่าย
“อาคาเนะ”
“ทำไมถึงต้องเป็นข้า” มันไม่มีเหตุผล โทชิฮิโระอาจอยู่ตามลำพังแต่เขายังคงมีบ้านหลังใหญ่ มีเงินมากถึงขนาดเอาไว้โยนทิ้งกับร้านค้าบริการผู้ชาย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกที่จะทำแบบนี้แทนที่จะมองหาผู้หญิงดีๆ แต่งงานสร้างครอบครัว
คาเงมะมักถูกทอดทิ้งเสมอ เวลาสามปีอาคาเนะได้เห็นรุ่นพี่ในร้านหลายคนหัวใจแหลกสลายเพราะถูกคนที่ไว้ใจทอดทิ้งไปในที่สุด อาคาเนะไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นถึงไม่เคยยอมใกล้ชิดกับใครตลอดมา
“ไม่รู้สิ” คำตอบที่ได้ทำให้แววตาของอาคาเนะวูบไหว ไม่รู้อย่างนั้นหรือ เป็นคำตอบที่จะว่าชัดเจนก็ชัดเจนดี ดีกว่าโกหกกันด้วยคำหวานสวยหรูแต่จอมปลอม
“ขอโทษ ข้าไม่ควรถาม” อาคาเนะดันมือของโทชิฮิโระออกจากปลายคาง รู้สึกร้อนขึ้นมาที่หัวตาจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่สนใจแม้ว่าโทชิฮิโระจะพยายามคว้ามือของเขาเอาไว้
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ”
“ไว้เราค่อยคุยกันเถอะ ถ้าท่านจ่ายเงินข้าก็ต้องคุยกับท่านอยู่แล้ว พี่ซาโตรุรอต้อนรับท่านอยู่แล้วด้วย” น้ำเสียงอาคาเนะแฝงความเย้ยหยันอยู่ลึกๆ ตัวของเขา เวลาของเขา ซื้อได้ด้วยเงินอยู่แล้ว คงง่ายกว่าถ้าจะทำใจยอมรับว่าโทชิฮิโระก็ไม่ต่างจากแขกเหล่านั้น
“อย่าประชดกับข้า” โทชิฮิโระขึ้นเสียงดุ นั่นทำให้อาคาเนะยอมเลิกสะบัดมือออกจากมือของโทชิฮิโระเสียที
“ทำไมต้องถามหาเหตุผลกับข้า เจ้าคาดหวังคำตอบอะไรอยู่”
“เปล่า”
“โกหก คนเราถามคำถามด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่งคือยากรู้ และสองคืออยากฟังสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน ถ้าเจ้าแค่อยากรู้ก็ควรพอใจในสิ่งที่ข้าตอบ แต่เจ้าไม่”
คำพูดของโทชิฮิโระตรงเสียจนอาคาเนะต้องสะบัดหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง
“อยากให้ข้าบอกว่าข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น หลงใหลใฝ่ฝันอยากอยากได้เจ้ามาครอบครองหรือ”
“เปล่า!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงดังกว่าเดิม คำพูดพวกนั้นฟังดูก็รู้ว่าโกหก เพราะเขาฟังมันมานับครั้งไม่ถ้วนจากแขกแทบทุกคนอยู่แล้ว
“เจ้าถามว่าทำไมต้องเป็นเจ้า ข้าไม่รู้อาคาเนะ ไม่รู้ว่าทำไมสายตาถึงคอยมองหาเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบเวลาได้เห็นสีหน้าที่ไม่ใช่เพียงหน้ากากการค้าของเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงดีใจที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเจ้าได้”
ทุกคำพูดโทชิฮิโระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และยืนยันด้วยสายตาที่จ้องตรงมา ความเคืองขุ่นในใจคนฟังจางหายราวกับหมอกยามต้องแสงตะวัน มีเพียงความเขินอายที่พุ่งขึ้นมาแทนที่
“เอาไว้เราค่อยหาเหตุผลกันได้ไหม...นะ” คำว่า ‘นะ’ ประกอบกับสายตาคล้ายจะอ้อน ทรงพลังยิ่งกว่าประโยคยืดยาวที่โทชิฮิโระพร่ำพูด อาคาเนะหลุบตาหนีสายตาเว้าวอนจากคนที่กำลังรวบตัวเขาเข้าสู่อ้อมกอดเป็นพัลวัน
“ถ้าจูบเจ้าตอนนี้ ข้าจะโดนตบหรือเปล่า” รอยยิ้มเจิดจ้าอยู่ห่างเท่าลมหายใจรินรดกัน อาคาเนะทุบไหล่กว้างไปสองสามครั้งเป็นการแก้เขิน ในขณะที่คนแกล้งหัวเราะร่วน
“เลิกล้อข้าเสียที เป็นบ้าอะไรของท่าน” ไม่รู้ว่าเขาจะต้องถูกโทชิฮิโระถามคำถามนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทุกครั้งที่พวกเขาจูบกันหรือ มันน่าอายจะตายเวลาถูกถามก่อนที่จะทำ
“ได้ๆ ต่อไปจะไม่ถามแล้ว” ประโยคง่ายๆ อย่างคำว่า ต่อไป ทำให้หัวใจของอาคาเนะพองโต ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องมีใครอยู่บ้าง แต่การพูดกับใครสักคนว่าต่อไปจะทำอะไรด้วยกัน นั่นคือการเริ่มต้นมองไปยังอนาคตใช่ไหม
มือของโทชิฮิโระค่อยๆ เลื่อนขึ้นจากเอวบางลากผ่านแผ่นหลังขึ้นมาถึงแนวสันคอ กดเบาๆ ที่ท้ายท้อยเพื่อให้อาคาเนะแหงนหน้าขึ้นมาหา พวกเขาสบตากันก่อนที่อาคาเนะจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆ โน้มเข้าหากันก่อนที่เสียงจากอะไรบางอย่างจะทำให้บรรยากาศหวานๆ สะดุดลงกลางอากาศ
โทชิฮิโระหัวเราะออกมาดังลั่น ในขณะที่ต้นต้อของเสียงประหลาดหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย สองมือยกขึ้นกุมท้องตัวเองที่ดันส่งเสียงร้องประท้วงออกมาได้พอดิบพอดี
“เพราะท่านนั่นแหละ!” อาคาเนะโวยวาย ฟาดมือใส่โทชิฮิโระซ้ำๆ จนคนถูกทุบต้องพยายามกลั้นหัวเราะ
“ข้าหรือ ข้าทำอะไร” โทชิฮิโระทำตาโต คนเราจะหิวจะอิ่มใครจะไปห้ามได้นอกจากตัวเอง
“เพราะพี่ซาโตรุใช้ข้าให้มาหาท่าน ตื่นมายังไม่ทันกินอะไรสักคำ” ใบหน้าน่ารักงอง้ำ ทั้งโกรธทั้งอายจนปรับสีหน้าไม่ถูก ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดตอนโทชิฮิโระลูบหัวให้
“ไปกินข้าวกัน เรามีอาหารแล้วนี่” โทชิฮิโระหงายมือส่งไปให้อาคาเนะ เด็กหนุ่มเบ้ปากแต่ก็ยอมวางมือของตัวเองลงบนมือนั้นแล้วเดินตามหลังโทชิฮิโระไปโดยพยายามจะไม่หลุดยิ้มออกมา
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.
ไม่มีของขวัญอะไรจะเอามาให้ทุกท่าน นอกจากเอานิยายตอนต่อไปมาฝาก ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ คุยกันได้นะเราฉีดยาแล้ว
ว่าแต่ต่อไปเวลาจะจูบ ขอก่อนหรือไม่ต้องขอดีคะ