- เหงา - จบ -
ผมหยิบเสื้อยืดกางเกงบอลแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า นั่งจิบเบียร์กระป๋องที่เหลือบนที่นอน ไถมือถือเหมือนชิลสุดๆ แต่ในใจนี่ตื่นเต้นสุดๆ
บอสเป็นคนยิ้มง่าย เปลี่ยนสีหน้าบ่อย แสดงออกความรู้สึกทางสีหน้าและแววตา เรื่องเมื่อกี้ยังติดหูผมอยู่เลย ผมรู้สึกไม่ค่อยพร้อมเจอหน้าเขาไงก็ไม่รู้
“ชุดนี้เหรอครับ ผมใส่แต่กางเกงก็ได้ ปกติผมไม่ใส่เสื้อนอนอยู่แล้ว”
“อ้าว ก็เห็นใส่เสื้อทุกวันนี่นา” ผมพูดถึงตอนที่วีดีโอคอลกัน
“ก็พวกนั้นผมยังไม่ได้จะนอนนี่ครับ ขอบคุณนะครับ มีผ้าห่มไหม ผมจะออกไปนอนโซฟา”
“นอนนี้แหละ จะไปนอนโซฟาแคบๆ ทำไม”
“ขอบคุณครับพี่ แต่ไม่ดีกว่า ตอนนี้ผมเหม็นขี้เหล้ามากเลย” มันทำท่าดมตัวเองฟุดฟิดๆ แถมยังทำหน้ารังเกียจตัวเองสุดๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีผ้าห่มด้วย มีแค่ผืนนี้ผืนเดียว อีกอย่าง อย่าให้ต้องเปลืองไฟเปิดแอร์สองห้อง เข้าใจไหม” เขาหัวเราะทันที ยอมพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันไปใส่เสื้อ
อ้าว เมื่อกี้บอกนอนไม่ใส่เสื้อ?
เด็กตัวโตเดินช้าๆ มานั่งเช็ดหัวอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอม ผมเลยชี้ให้เขาใช้ไดรเป่าผม จะได้แห้งเร็วๆ สักพักผมก็ใช้เขาปิดไฟ มีไฟหัวเตียงเป็นแสงสีเหลืองให้เขาพอมองเห็นทางกลับมาที่เตียง
บอสนั่งลงช้าๆ ค่อยๆ ยกขาขึ้นเตียง สรุปเขาคงเมามากจริงๆไม่งั้นคงไม่เอื่อยขนาดนี้ แต่ก็ดี ที่อาการเมาของเขาไม่เป็นพิษเป็นภัย ดูอ่อนแอไร้พิษสงซะจนน่าเอ็นดู...
เอ่อ ผมคงใช้คำผิด น่าสงสารมากกว่า น่าสงสาร
ผมยังไม่ปิดไฟ ยังคงนอนเล่นมือถือต่อไปเรื่อยๆ
“ทำไมเมื่อก่อน พี่ถึงบ่นเหงาบ่อยๆล่ะครับ” บอสถามผม ทั้งที่ตัวเองตาจะปิดอยู่แล้ว
“เหงาก็บอกเหงา พี่เป็นคนยอมรับความจริง”
“แล้วทำไมไม่มีแฟนซะทีล่ะครับ”
“หาง่ายรึไง มีขายในบิ๊กซี หรือเซนทรัลล่ะ?”
“ลองไปเดินอิเกียรึยังครับ ที่นั่นของแปลกๆเยอะนะ”
“ขี้เกียจเดินในเขาวงกต หลง พี่ต้องหลงแน่ๆ”
“ฮ่าๆๆๆ”
“แล้วเราล่ะ”
“อะไรครับ”
“ทำไมยังไม่มีแฟนไง”
“ผมไม่รีบครับ รอมาตั้งหลายปี รออีกหน่อยจะเป็นไรไป”
“คนที่ชอบเหรอ เขาเป็นคนยังไงล่ะ” ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ผมก็ยังจะถาม
นั่นสินะ ผมลืมไปซะสนิท มั่วแต่เข้าข้างตัวเอง หลงตัวเองจนลืมไปเลยว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ถึงจะมีวูบนึงที่คิดว่าเขาหมายถึงผม แต่การคิดในแง่ร้ายมันง่ายกว่าปลอบใจตัวเองด้วยความคิดดีๆมากนัก
ทั้งที่ถามออกไป ในใจก็รู้สึกแปลกๆ ไม่อยากให้เขาตอบเลยสักนิด จะถามออกไปทำไมนะ
“ไม่บอกหรอกครับ เดี๋ยวพี่แย่งผมจีบ”
“ดีขนาดนั้นเลย ต้องสวยมากแน่ๆ”
“สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ครับ แต่สำหรับผม เขาสวยมาก”
“แล้วเขารู้ไหมว่าเราชอบเขา”
“ไม่แน่ใจครับ บางทีเขาก็ดูเหมือนรู้ตัวนะ แต่บางทีก็ชอบทำให้ผมวุ่นวายใจ”
“ยังไง”
“ไม่บอกหรอกครับ เดี๋ยวพี่รู้ว่าเป็นใคร ฮ่าๆๆ”
“แสดงว่า ไม่คิดจะเปลี่ยนใจจากเขาเลยใช่ไหม”
“ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเปลี่ยนนี่ครับ?”
“ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าเที่ยวให้ความหวังใครเขารู้ไหม มันบาป” ผมพูดช้าๆ ทำเป็นเล่นมือถือบังหน้า เหมือนบอกเหมือนสอนน้องคนนึงปกติธรรมดา
ผมว่า อาการผมมันจะหนักเกินไปแล้ว ผมไม่สามารถห้ามมือตัวเองไม่ให้มันสั่นได้เลย
“ครับ ผมจะไม่ให้ความหวังคนอื่นอีก”
“ดี นอนได้แล้ว” ผมกดล็อกมือถือ วางไว้ข้างเตียง และกำลังปิดไฟ
“ไม่มีหมอนข้างง่ะ” บอสดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม ขยับตัวไปมาใต้ผ้า เขาก็ยังคงเป็นบอสคนเดิม ที่ไม่ว่าทำอะไร ผมก็ไม่เคยถือสาอะไรกับเขาได้จริงจัง
“ถ้ากอดกู กูเตะ”
“ฮ่าๆๆๆ”
บางที เจ้าของลิปสติกนั้น อาจจะเป็นเจ้าของหัวใจของหมอนี่ก็ได้
ถ้าบอสมีแฟนขึ้นมาเมื่อไหร่ โรคขี้เหงาของผมต้องกลับมาซ้ำรอย ขนาดวันนี้แค่มันไม่รับโทรศัพท์ยังพาลขนาดนี้ แล้วถ้าถึงวันที่โทรหามันไม่ได้เลยล่ะ
ผมต้องแย่แน่ๆ ความเหงามันคงไม่ปราณีผมเหมือนเมื่อก่อน ไม่ไหวหรอก แค่คราวก่อนอาทิตย์เดียวผมถึงกับน้ำหนักลดไปสามโลเลยนะ ไม่เหลือให้ลดไปกว่านี้แล้ว
เห้อออ ผมกลายเป็นคนใจแตกกลัวความเหงาขึ้นสมองเพราะเขาแท้ๆ
......................................................
“เฮ้ย รอยมาได้ไงว่ะเนี่ย”
“อะไร?”
“เนี่ยพี่ ลิปสติก สีแดง ใหญ่มากเลยด้วย”
เหอะ!
“ก็ไปกอดใครมาบ้างล่ะวันนั้น หรือเยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
“ฮ่าๆๆๆ พี่ประชดเหมือนเมียหลวงของคุณพระอะไรแบบนั้นเลย”
“ซักผ้าไป ให้คุ้มกับที่ซุกหัวนอน”
“ฮ่าๆๆ คร้าบบบ”
กลายเป็นว่า น้องมันต้องนอนค้างห้องผมตั้งแต่คืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ก็คงอยู่ค้างอีกวัน เพราะเมื่อสายๆ เจ้าตัวกลับอพาร์ทเม้นท์ตัวเองแล้วเจอจดหมายน้อยแปะอยู่หน้าห้องธุรการแจ้งว่าเจ้าหน้าที่หอพักลางานยาวๆ
ก็เลยต้องกลับมาคอนโดผม ซักชุดที่มันใส่มาเมื่อวานเพื่อใส่ไปทำงานวันจันทร์ ผมเลยใช้ซักชุดผมให้ด้วย แต่ก็แค่จับหย่อยใส่เครื่องแล้วรอตากหรอกนะครับ
“พี่ วันนี้มีธุระที่ไหนไหมครับ” โอ้ ถามแบบนี้ ต้องมีอะไรแน่ๆ
“มี” ผมตอบทันที ด้วยความมั่นใจเสียงดังฟังชัดเลยล่ะ
“เหรอครับ” บอสรับคำแค่นั้น แล้วเงียบไป อยากจะเห็นหน้าหงอยๆ แต่จากตรงนี้มันมองไม่เห็น เสียดายจริงๆ
ผมถือหนังสือมือเดียว เดินมาหยุดพิงกำแพงข้างเครื่องซักผ้า ไม่ได้เหลือบไปมองบอสหรอก ทำเป็นอ่านหนังสือทำไก๋ไปงั้น
“ขยี้ผ้าเสร็จยัง ไปอาบน้ำ”
“?”
“ทำหน้างงอีก”
“หะ?”
“ไปดูหนังไง ‘ไว้พี่อยากไปเดี๋ยวจะบอกให้พาไป’ ไง ทำเป็นจำไม่ได้” ผมทวนคำตัวเองให้เขาฟัง
ผมจำได้นะว่าวันนั้นตอนที่เขาได้ยิน บอสกลั่นยิ้มมากขนาดไหน จนถึงกับต้องหันไปยิ้มให้ฟ้าที่ไม่มีดาว
“โอ้ะ”
“อะไร? จะไม่พาไป?”
“ไปครับไป”
“อ้าว เสร็จแล้วนี่” จะว่าไปผมก็ลืมสังเกตไปเลย บอสนั่งหน้าเครื่องซักผ้าที่เริ่มทำงานแล้ว เขานั่งบนพื้นนิ่งๆ ไม่ยอมลุกออกมา
อย่าบอกนะ เสร็จตั้งนานแล้ว แล้วไม่ยอมเดินมาคุยกันดีๆ นั่งตรงนี้คุยกับผมตั้งแต่แรก
“ทำไมไม่ลุก รออะไร จะนั่งรอตรงนี้จนผ้าแห้งเลยรึไง”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ฮ่าๆๆๆ”
ผมเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้า ผมกับบอสไม่มีทางใส่เสื้อผ้าไซซ์เดียวกันได้ แต่ผมก็ยังพยายามหาชุดที่เขาจะใส่ได้แล้วไม่ดูแปลกมากนักจากตู้ของผม แต่ดูเหมือนว่านอกจากชุดนอนที่ใส่อยู่ตอนนี้มันจะไม่มีเลย
“พี่ไม่ต้องหาหรอก เดี๋ยวผมใส่ชุดนี้แหละ” บอสมายืนซ้อนข้างหลังผม ตัวสูงๆของเขาคงมองข้ามหัวผมได้สบายๆ
“เปลี่ยนหน่อยน่า” ผมขยับจากฝั่งซ้ายหลบมาขวาการมีเขาซ้อนอยู่ข้างหลังมันรู้สึกแปลกๆ
“ที่ผมจะบอกคือมันคงไม่มีชุดที่ผมจะใส่ได้ในนั้นหรอกพี่ ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวไปซื้อใหม่เลยดีกว่า”
ผมก็รู้ว่ามันไม่มี เสื้อผ้าตัวเองมีอะไรบ้างทำไมจะไม่รู้ แต่ที่พยายามหาเนี่ยมันไม่มีอะไรจะทำต่างหากล่ะ ออกไปห่างๆหน่อยได้ไหมเนี่ย จะขยับตามมาทำไมอีกนะ
……….
บ่ายวันเสาร์นี่คนเยอะจริงๆ แค่เดินสวนกับฝูงคนในห้าง ผมก็ตาลายแล้ว
บอสได้ชุดใหม่สองชุดมาแบบง่ายๆ ด้วยการเดินไปร้านเสื้อผ้า หยิบ แล้วเดินไปรูดบัตรทันที ช่างเป็นคนง่ายๆจนน่าตกใจ
“ดูเรื่องอะไรดี” ผมพูดขึ้นตอนมาถึงหน้าโรงหนัง ยืนดูโปรแกรมหนังแล้วก็ยังคงตาลายอยู่ดี เรื่องอะไรเป็นเรื่องอะไรบ้างล่ะเนี่ย
“อ้าว ผมนึกว่าพี่เลือกมาแล้ว”
“ก็มีเรื่องที่อยากดูหลายเรื่องนี่ นี่ก็น่าดู หนังผีก็อยากดู”
“ไม่เอาหนังผีนะครับ”
“โอเค ดูหนังผี”
“พี่เจ”
“ป่ะ ซื้อตั๋ว”
“...” เด็กตัวโตทำหน้าสยดสยอง แต่ก็เดินตามผมมาติดๆ
บอสไม่เคยขัดใจผมได้สำเร็จหรอกครับ ถึงเขาเหมือนจะไม่เต็มใจ แต่เอาเข้าจริงเขาก็ยอมคล้อยตามผมเสมอ
จริงๆผมแค่แกล้งเขา เพราะรู้ว่าเขากลัวผีเท่านั้นเอง ไปถึงเค้าร์เตอร์ซื้อตั๋วบอสถึงได้ทำหน้างงตอนที่ผมบอกชื่อเรื่องและรอบกับพนักงาน
“2 ที่ 480 ค่ะ”
บอสยื่นบัตรเครดิตเงาๆ ให้พนักงาน ระหว่างที่เขาเซ็นผมก็นึกสงสัย ถึงทักตอนนี้ก็สายไปแล้ว รูดเสร็จเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้วนี่
“ทำไมไม่ใช้บัตรที่ได้มาวันก่อนล่ะ”
“อ้อ ไม่ได้ลืมนะครับ แต่มันอยู่ที่หอ”
“นี่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีบัตรลดแล้วทำไมไม่บอก”
“ก็ผม อยากมาดูหนังกับ เอ่อ สรุปอันนั้นค่อยใช้วันหลังก็ได้ยังไงซะมันยังไม่หมดอายุ เดี๋ยวผมพามาใหม่”
“เฮ่”
“เอาน่า ไปเดินเล่นรอหนังฉายกันดีกว่า หิวไหมครับ ไปหาอะไรกินไหม?”
ผมไม่หิว บอสเองก็ยังไม่หิว บอสเลยลากผมไปเดินโซนของตกแต่งบ้านแถมยังทำท่าจะซื้อนั่นซื้อนี่จริงๆขึ้นมาอีก ผมเลยเบรกไว้ เพราะวันนี้เรามาดูหนัง ไม่พร้อมแบกของใหญ่กลับห้อง อีกอย่าง แกเข้าห้องตัวเองไม่ได้อยู่นะวันนี้เจ้าบอส อย่าเพ้อ ซื้อไปก็ต้องใส่ไว้ในรถ ลำบากแย่
เราเดินไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายชัดเจน จนมาถึงโซนห้องนอน
“ผมซื้อให้นะครับ”
“หา?” ผมมองหมอนข้างในมือบอส เขาประคองด้วยสองมือเหมือนถือถาดอาหารมาเสริฟให้ผม
เดี๋ยว หมอนข้าง
“เอาไว้ที่ห้องพี่เหรอ”
“ใช่ครับ”
“กะจะเอาไว้ก่ายเองใช่มะ”
“ฮ่าๆๆ”
“หัวเราะแบบนี้...”
“เอาน่า” บอสคะยั้นคะยอ ผมกำลังจะแย้ง แต่จู่ๆก็มีเสียงทักแทรกขึ้นมา
“บอส”
“เอ่อ หวัดดีวาวา”
บอสวางหมอนข้างลง เพราะแขนข้างนึงถูกเกาะไว้ ด้วยเด็กผู้หญิงคนเดิม ที่เจอที่ร้านข้าวมันไก่วันก่อน
ถึงผมจะรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่บอสชอบแน่ๆ แต่ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมแบบนั้น แววตามุ่งมั่นที่มองตรงไปแค่ผู้ชายตรงหน้าเธอแบบนั้น เหมือนกับกำลังไล่ผมให้ถอยไปไกลๆอย่างงั้นแหละ
เอ่อ แล้วแต่จะคิดเลย
“ทำไมไม่ตอบไลน์วา โทรไปก็ไม่รับ”
“อ้อ เอ่อ พอดี ดูหนัง แล้วก็ไม่ได้เปิดเสียงตั้งแต่ตอนนั้น วาวา มีธุระอะไรสำคัญรึเปล่า โทรมาตั้งหลายสายนี่”
บอส มึงยังไม่ได้ดู มึงแค่ซื้อตั๋ว
แต่ก็เอาเถอะ มันเป็นการแก้ตัวที่ทำให้ผมอยากหัวเราะจริงๆ
ผมเดินเลยไปดูหมอนข้างอีกยี่ห้อใกล้ๆปล่อยให้เขาคุยกันไปละกัน
“วาแค่จะคืนของ ไม่มีอะไรซะหน่อย”
“อะไรเหรอ?”
“กุญแจไง” เสียงกรุ่งกริ้งทำให้ผมเผลอเหลือบไปดู
“อ้อ อยู่ที่วาเหรอ ดีจัง ขอบคุณนะ” ผมเห็นบอสแบมือตรงหน้า แต่ดูเหมือนจะรอเก้อ เพราะสาวเจ้าไม่ยอมยื่นอะไรคืนมาสักอย่าง
“ช่าย วาเห็นมันตกอยู่ข้างโซฟาที่เรานั่งเมื่อคืน”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ขอบใจนะ” บอสแบมือขึ้นกลางอากาศ เธอมองมือเขาแล้วยิ้มนิดๆ
“ไปกินข้าวด้วยกันก่อนสิ นะ”
“คือ ไม่ได้หรอก ผมมากับรุ่นพี่แล้ว คือ เกรงใจเขาน่ะ”
“ไปด้วยกันสามคนเลยก็ได้” เธอยังไม่ลดความพยายาม ยังคงพูดด้วยท่าทางร่างเริงเป็นมิตร แต่ดูเหมือนบอสจะมองข้ามรอยยิ้มนั้น เขาทำหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“วา คือ ไม่ดีหรอก วาจำที่เราบอกได้ไหม เรามีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ”
“จำได้ เกี่ยวอะไรกับกินข้าวเหรอ?”
“คือ เขาคือคนนี้ เราไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด แล้วก็คิดมาก เพราะฉะนั้น วาอย่าทำให้เราลำบากใจเลยนะ”
“...”
“โทษที แต่ขอกุญแจเราคืนนะ”
เธอยอมส่งให้ ทั้งที่เม้มปากคิ้วผูกโบว์ มองมาที่ผมอย่างเจ็บแค้น นั่นคือความรู้สึกของเธอ
ส่วนผม ผมรู้สึก หน้าชา ทำหน้าไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก
บอสแกะมือของผู้หญิงคนนั้นออก เดินมาดันหลังผมให้เดินต่อ ออกห่างจากเด็กผู้หญิงคนเดิม
“ไปโรงหนังกันเถอะครับ เดี๋ยวแวะเข้าห้องน้ำก่อนเข้าโรงอีก”
เราเดินคู่กันเงียบๆ บอสไม่พูดอะไรเลย แล้วผมควรจะพูดอะไรล่ะ?
“ป็อบคอนไหมครับ”
“อื้ม”
ผมยืนรอข้างหลังระหว่างที่เขาสั่งของกับพนักงาน พอผมได้มองเขาจากข้างหลัง
เราคุยกันทุกเรื่อง เหมือนจะรู้จักกันดี แต่ก็มีอีกเยอะแยะมากมายที่เราไม่เคยเอ่ยถึงเลย ระหว่างเรา มันอาจจะมีช่องว่างมากกว่าที่คิด
ตอนที่ดูหนัง เราไม่ได้พูดคุยกันเลย
มีครั้งนึงที่ผมเผลอหันไปมองเขา แล้วบอสรู้สึกตัว เขาหันมายิ้มบางๆให้ผม ก่อนหันไปดูหนังต่อ
ผมไม่รู้เขาเห็นอะไรจากผม แต่ผมเริ่มสงสัยว่าเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมว่าเราควรจะคุยกันจริงๆ จังๆ สักที
ตลอดทางที่อยู่บนรถท่าทางเขาปกติ ออกจะอารมณ์ดีด้วยซ้ำ
สุดท้าย ก็เป็นผมเองที่ทนเฉยต่อไปไม่ไหว
“ทำไมไปบอกเขาแบบนั้น” ผมเริ่มพูดตอนที่เราเริ่มกินข้าวกันที่ห้อง เขาบอกว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ผมให้ค้างด้วยเมื่อคืน
“หื๋อ วาวาเหรอครับ”
“ใช่”
“ก็... งั้นล่ะครับ ผมมีคนที่ชอบ...อยู่แล้ว” เขายิ้มเหมือนจะเขินให้กับช้อนตัวเอง ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด
“มีคนที่ชอบอ่ะรู้ แต่ทำไมต้องมาอ้างกูวะ” นี่ต่างหากเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปหลอกเขาแบบนั้น แถมยังพูดต่อหน้าผมเหมือนจงใจให้ผมได้ยิน ไม่คิดเลยเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง
โคตรรู้สึกแย่ที่มันไม่คิดจะแคร์ผมเลย
“พี่ไม่ชอบเหรอครับ?”
“อ้าว ถ้าบอกชอบกูคงเป็นโรคจิตอ่ะ ชอบอะไรในมโน ชอบเรื่องโกหกงี้เหรอ จะบ้าป่ะ”
“พี่รังเกียจผมเหรอครับ” บอสมีสีหน้าจริงจัง ผมเองก็รู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน เขาถึงให้หยุดกินแล้วคุยกับผมอย่างจริงจัง
“เดี๋ยว ถามงี้หมายความว่าไง”
“พี่ไม่ชอบเรื่องที่ผมบอกวา?”
“ไม่”
“...”
“ทำไมไปบอกเขาแบบนั้น แค่บอกว่าไม่ชอบเขาก็น่าจะพอ ทำไมต้องอ้างบุคคลที่สาม” ซึ่งคือกู ต่อหน้ากู
“ถ้าผมบอกว่าชอบพี่ พี่จะเกลียดผมใช่ไหม?”
“ใช่เรื่องจะมาถามอะไรแบบนี้ตอนนี้ไหมเนี่ย” อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย
“ถ้าพี่คิดว่าผมล้อเล่น ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คนอื่นเข้าใจพี่ผิด ตกลงพี่จะเกลียดผมใช่ไหม”
“ทำไมต้องเกลียด”
“ก็พี่ไม่ชอบ”
“บอส”
“ครับ” เขาขานรับ แต่หลบตาผม
“ขอนะ เอาดีๆ พูดมาตรงๆ ไม่ต้องเล่นคำแล้วได้ไหม” ผมสับสัน อะไรที่เขาพูดจริง อะไรที่
“ขอโทษครับ ผมทำไม่ได้” เขาหลับตา มีสีหน้าเจ็บปวด
แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น
“บอส!” ทำไมจู่ๆ ก็มาดื้อเอาเวลาแบบนี้วะ
“พี่เจครับ พอก่อนได้ไหม ผมไม่พร้อมจริงๆ”
“พร้อมอะไรวะ ต้องรออะไรวะ มึงพูดอะไร เอาแต่พูดอะไรที่มันเข้าใจยากๆ วกไปวนมา กูงงไปหมดแล้วเนี่ย แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่พร้อมอะไร บอกมา”
“พี่...” การอ้อนวอนของเขาไม่มีผล ตอนนี้ผมต้องการคำตอบ ผมต้องการความจริงของเรื่องนี้
“พี่ขอสั่ง ให้บอกมา ถ้ายังนับถือกันเป็นพี่”
แล้วแทนที่มันจะตอบ มันกลับพูดให้ผมงงเข้าไปอีก
“ผมไม่พร้อมจะเสียพี่ไป อย่าบังคับให้ผมพูดเลยนะครับ”
“...”
โว้ยยยย วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมเนี่ย เสียอะไร ทำไมต้องเสีย ผมหงุดหงิดจนแทบระเบิด พูดแต่เรื่องขัดใจ ทำไมวันนนี้มันไม่ว่าง่ายเหมือทุกวัน ผมลุกออกจากโต๊ะ แล้วเดินไปรอบๆ
“...”
ผมเงียบ บอสก็เงียบ
“แล้วทำไมต้องทำหน้าจะร้องให้แบบนั้นด้วย ทำไมห่ะ คนที่มึงชอบเป็นคนเดียวกับที่กูชอบรึไง กลัวกูแย่งรึไงถึงไม่ยอมบอก จะบอกให้นะ หล่อๆอย่างมึงใครเขาก็ไม่ปฏิเสธหรอก หน้าสวยกว่าผู้หญิงอย่างกูนี่ต้องคิดมาก จีบผู้หญิงเขาก็คิดว่าเป็นเพื่อนสาว เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่ผู้ชายส่งสายตาให้ แม่ง น่าหงุดหงิดชิบหาย”
“แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นผมล่ะ?”
“มึงว่าไงนะ?” ผมมองกลับไปด้วยแววตานิ่งขึง รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา
“เปล่าๆๆ ผมล้อเล่นครับ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”
“มึงเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น เรื่องแบบนี้มันล้อเล่นได้เหรอว่ะ มึงเป็นคนประเภทที่ลองใจคนอื่นด้วยเรื่องนี้เหรอ”
“คือ...”
“เคยบอกแล้วนะ ว่าอย่า อย่าเที่ยวให้ความหวังคนอื่น ถ้าไม่มีใจ” แล้วมึงจะมาให้ความหวังกูซ้ำแล้วซ้ำอีกทำซากอะไร
“พี่เจ”
เหมือนเขามีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
“โอกาสสุดท้าย มึงชอบกู?” ผมตัดสินใจถามเขาออกไปตรงๆ ก่อนนี้ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่บอสบอกว่าแอบชอบมาตลอด ผมเนี่ยนะที่เขาชอบ? ไม่มีความเป็นไปได้เลย จนเมื่อไม่กี่วินานทีก่อนผมถึงสงสัย ว่าเขาหมายถึงผม คนที่เขาชอบคือผมจริงๆ
ถ้าเป็นอย่างนั้น...
“เอ่อ...” ผมยืนนิ่งมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น เขาค่อยๆ หลบตา ก้มหน้า เกามือตัวเองยุกยิก แถมหูแดงมาก ก่อนจะพยักหน้า แล้วส่งเสียงสั่นๆ ตอบกลับมา “ครับ”
ไอความร้อนพุ่งขึ้นหน้า มึนงงสับสน ผมลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนที่จะคิดอะไรต่อผมจ้ำอ้าวเข้าห้องนอน
“พี่เจ พี่เจครับ”
ผมไม่ตอบ ปิดประตูใส่เขาที่เห็นด้วยหางตาว่ากำลังลุกตามมา
ทำไมเป็นผมล่ะ ทั้งหมดนั้นเขาหมายถึงผมเหรอ?
หลังจากเบบี้ถามผม ผมก็มองเขาใหม่ ไม่สิ มองเขาเปลี่ยนไป แอบคิด แอบจิตนาการว่าถ้าเป็นแฟนกัน วันๆคงไม่น่าเบื่อ มีคนเล่าเรื่องตลกที่เจอแต่ละวันให้ฟัง มีคนที่ฟังเรา และสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง มันคงจะดี
เรื่องคืนนั้นทำให้ผมยิ่งฝังใจว่าจะต้องเป็นเขา แล้วอยู่ๆ เขาก็บอกว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ชอบมานาน ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียน ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนคนอกหัก แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าเขาไม่ผิดพร้อมๆกับที่ยอมรับว่าตัวเองเผลอคาดหวังไว้มากจนเกินถอนใจ ได้เวลาหยุดความคิดจินตนาการไร้สาระของตัวเอง แล้วกลับไปเป็นเพื่อนกัน เอาจริงๆตอนนั้นผมถอดใจไปแล้ว รับผิดชอบที่ทำตัวเองรู้สึกแย่ด้วยการปลอบใจตัวเอง
ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ หัวใจผมเต้นรัวจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากอก ตื่นเต้นจนหน้าร้อน แต่มือกลับเย็นไปหมด
“พี่เจครับ ผมขอโทษ”
บอสเคาะประตูเบาๆ แล้วพูดกับประตู ผมที่ยืนพิงประตูอยู่ ถูกแรงสั่นสะเทือนของประตูเขย่าหัวใจซ้ำอีก
“อย่ารังเกียจผมเลยนะครับ” คนรังเกียจที่ไหนเขาจะหน้าแดงแบบนี้ล่ะ
ไอ้บ้าเอ้ย
“อย่าหลบหน้าผมได้ไหม ผมทนไม่ได้ถ้าไม่ได้เจอไม่ได้คุยกับพี่”
“พี่ครับถ้าพี่ไม่อยากเห็นหน้าผม ผมจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แต่ขอแค่อย่าบล็อกผม ข้อความถ้าผมส่งมาบ่อยน่ารำคาญนานๆกดอ่านทีก็ได้ ไม่ต้องตอบทุกข้อความหรือทุกวันก็ได้ สองสามวันตอบครั้ง หรือ หรือตอบอาทิตย์ละครั้งก็ได้ นะครับ” เสียงอ่อนอ้อนวอนจนผมแทบทรุด
อะไรจะเยินยอยอมผมหมดทุกอย่างขนาดนี้ มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!
“บอส”
“คะ ครับ”
“สิ้นเดือน สัญญามัดจำหอจะหมดใช่ไหม”
“เอ่อ ใช่ครับ แต่ผมไม่ย้ายไปไหนนะครับ ผมอยากอยู่ใกล้ๆพี่ แบบ คือ ถ้าเผื่อพี่มีอะไรให้ผมช่วยจะได้มาได้ทันทีไงครับ ใช้ผมได้ทุกอย่าง อย่า อย่าไล่ผมนะครับ”
“ไม่ย้ายจริงๆ เหรอ”
“ไม่เอาครับ อย่าไล่ผม”
“ให้ย้ายมาที่นี่ก็จะไม่มาเหรอ?”
“เอ๋”
“บอส”
“คะ ครับ”
“มาไหม?”
“มาครับ ย้ายครับย้าย ย้ายวันนี้เลยได้ไหมครับ”
“บ้าเหรอจะรีบไปไหน”
“ก็ กลัวพี่เปลี่ยนใจ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ”
“หัวเราะบ้าอะไรนักหนาเล่า”
“พี่เจ ออกมาหน่อยสิครับ”
“ไม่ออก”
“ยังกินข้าวไม่เสร็จเลยนะ”
“อิ่มแล้ว”
“ผมอยากเห็นหน้า ออกมาหน่อยสิครับ”
“ไม่ชอบเด็กเอาแต่ใจโว้ย”
“เขาเรียกอ้อนต่างหาก ออกมาหน่อยนะครับ”
“ไม่ ออก โว้ย” ผมตะโกนสุดเสียง
โคตรเขิน พูดออกไปได้ไง แบบนี้มันยิ่งกว่าตอบรับว่าชอบเหมือนกันซะอีก
ชวนเขามาอยู่ด้วยเฉยเลย บ้า มึงต้องบ้าแน่ๆ
แป็บเดียวเขาก็โทรเข้ามา
“ปิดกล้องทำไมครับ ผมอยากเห็นหน้า”
“โว้ยยย เดี๋ยวก็ได้เห็นจนเบื่อ”
“ไม่เบื่อหรอกครับ”
“รู้ได้ไง”
“ดูจากความรักของผมไงครับ” เขาเองก็หน้าแดงไม่แพ้กัน
ถึงผมจะปิดกล้องทางผมก็ตาม แต่ทางไอ้เด็กนั้น มันเปิดกล้องแล้วทำหน้าหล่อใส่กล้องมารัวๆ
เห้อ
กูจะทนเด็กอ้อนได้สักกี่น้ำวะ
กี่น้ำ...
ไม่ ไม่น๊าาาาาาาา
-------------------------------------------------------------------------
จบ.
แฮ่!----------
ฝากรอตอนพิเศษ >>ความจริงที่ยังไม่ถูกเปิดเผย กับ >>ความปึ๋งปั๋งของเด็กหนุ่ม
แต่ก็ขอพัก สักพัก 5555 ขอกลับไป "ปั่นมะนาว" ให้ทุกคนดื่มก่อนเนอะ อิอิ
จบไปแล้ว อาจจะไม่ค่อยครบ สมบูรณ์นัก ขอใช้ข้ออ้างว่ามันเป็นเรื่องสั้น 555555 (อย่า อย่าโยนขวดมาที่ฮับ)
ถือว่าชิลๆขั้นเวลาแล้วกันเนอะ
เปิดให้ถามเรื่องที่ยังติดค้าง สงสัย ไม่เคลียร์ของคู่นี้นะคะ นึกอะไรออกทวงมาเลยค่ะ จะได้รวมมาเล่าในตอนพิเศษกันซะเลย ให้พวกนางตอบกันเอง ดีกว่าให้คนเขียนมาอธิบาย มันแห้งแล้งขาดสีสันเนอะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคะแนน และบวกเป็ดจ้าาา